ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Miracle Earth พิภพปาฏิหาริย์ : ปฐมบทแห่งราชันย์

    ลำดับตอนที่ #91 : ตอนที่ 89 ก้าวที่สี่ ขบวนร้อยอสูร

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.86K
      55
      23 เม.ย. 64

           

          ผลลัพธ์ของสงครามครั้งนั้นคือการพ่ายแพ้ของทริสทาน ระบอบการปกครองที่เคยมีมาอย่างยาวนานถูกทำลายลงในบันดล หัวเมืองใหญ่น้อยต่างพากันกระด้างกระเดื่อง จนทวีปมืดเริ่มดำมืดสมชื่อ แต่กระนั้นเหล่าพันธมิตรในสงครามก็ได้ทำการก่อสร้างกำแพงขนาดยักษ์ไว้ที่แนวชายแดนที่เชื่อมต่อกับทริสทานเอาไว้ จนเชื่อมต่อกันเป็นกรงขังขนาดยักษ์ล้อมกรอบทวีปปิศาจเอาไว้แดนกลาง

     

                แน่นอนว่าพวกทริสทานก็คงเข็ดขยาดจนไม่กล้าออกมาแม้แต่จะเฉียดปลายกำแพงเหล่านั้น ทว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจจะทำให้สามัญสำนึกทุกสิ่งอย่างถูกทำลายลงในชั่วพริบตา แต่เซโน่เองก็ยังไม่ปักใจเชื่อในทฤษฏีนั้นซักเท่าไหร่ เพราะถ้าหากคนที่อยู่เบื้องหลังมันบังการได้ถึงขั้นนี้จริงๆ เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นย่อมไม่อาจจะคำนวณได้เพียงอารมณ์ชั่ววูบอย่างแน่แท้

     

                เซโน่ปราดตามองไปทางลูกศิษย์สองคน ก่อนจะค่อยๆโล่งอกได้เปราะหนึ่งว่าอย่างน้อยทั้งสองก็ต่างเป็นกำลังชั้นดีที่ยังเหลืออยู่ในตอนนี้ แต่นั้นก็ยังเสี่ยงเกินไปที่จะให้อาเซียร์และเร็นใช้กำลังหมดเท่าที่มีในการต่อสู้เพียงครั้งนี้ครั้งเดียว เพราะพวกเขายังไม่ทราบถึงกำลังรบของกองทัพปริศนาได้แน่ชัด มิหนำซ้ำถ้าบริเวณนี้เกิดเรื่อง มีความเป็นไปได้อยู่ไม่น้อยที่ข้างนอกย่อมจะเกิดเรื่องแล้ว

     

                แต่อย่างน้อยก็ยังวางใจได้ในเมื่อด้านนั้นมีแม่ทัพมนตราอยู่ถึงสองคน

     

                “เอาไงเอากัน…” เซโน่สบถออกมาเบาๆ ก่อนจะกวาดสายตาหาศัตรูตนที่อยู่ใกล้ที่สุด

     

                จนกระทั่งอาจารย์วัยกลางคนเกิดมองเหลียวหลัง

     

                จนพบเข้ากับจิ้งจอกตัวหนึ่ง

     

                  ความเงียบเป็นศัตรูกับมนุษย์ทุกคนโดยธรรมชาติ โดยอย่างยิ่งกับคนที่มีนิสัยไม่ชอบความอึมครึมเป็นทุนเดิม คนจำพวกนี้ย่อมเกิดอาการหนักกว่าผิดปกติ แต่กระนั้นความเงียบก็เป็นได้ทั้งมิตรแท้ในยามยาก และศัตรูในยามลำบาก ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกทางไหน

     

                และตอนนี้เหมือนกับว่าโนอาห์ได้เผชิญหน้ากับมันทั้งสองทาง

     

                นักโทษหนุ่มผู้ซึ่งต้องหาอันฉกาจฉกรรจ์ที่สุดในแผ่นดินกำลังเดินวนไปมาในห้อง เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าตอนนี้ตัวเขาเองไม่มีอะไรทำจริงๆ จะให้หาเพื่อนคุยก็ยิ่งทำไม่ได้ใหญ่ ในเมื่อทหารยามที่เฝ้าเขาอยู่เอาแต่ปิดปากเงียบเหมือนตัดปากทิ้งไปแล้ว อีกทั้งการฝึกฝนสรรพวิชายิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่

     

                เวทมนตร์ไม่สามารถใช้ได้ ดังนั้นต่อให้เขาโคจรลมปราณมหาเมฆาเพื่อรวบรวมพลังวัตรมาใช้แทนมานาได้ ก็ย่อมร่ายเวทไม่ได้ และยิ่งจะให้โคจรลมปราณอยู่เฉยๆยังไร้สาระไปกันใหญ่ ลมปราณก็เหมือนยา ถ้ากินมากๆเข้ายาย่อมกลับมาแว้งกัดผู้บริโภคได้เสมอ

     

                “รู้งี้ถ่วงเวลาไว้ซักนิดหน่อยก็ดี” เขาทิ้งตัวลงบนเตียงเพียงอันเดียวในห้อง ก่อนจะค่อยปรือตาปิดตา หวังว่าการนอนหลับจะช่วยเยียวยาจิตใจอันเหงียบของเขาได้

     

                แต่ว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนั้น

     

                “ฮือ...” โนอาห์ลืมตาขึ้นเล็กน้อย หลังจากพบว่าเกิดสิ่งผิดปกติอะไรบางอย่างขึ้นในห้อง ความรู้สึกที่เหมือนกับเหตุการณ์ในห้องสภาเมื่อวันนั้นย้อนกลับมาฉายซ้ำ และมันก็เป็นไปตามที่โนอาห์คิดไว้จริงๆ

     

                “ดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้าจะเจอแต่เรื่องน่าปวดหัว ไม่สิ...ต้องบอกว่าเจ้าเองนั้นแหละที่เป็นก่อเรื่องน่าปวดหัวเหล่านั้น” ชายคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ รูปร่างสูง ผมสีดำยาวถูกทำเป็นเปียพันทบมาที่คอหนึ่งครั้ง หน้าตาเกลี้ยงเกลา ดวงตาสีแดงฉานคู่นั้นราวกับจะจ้องลงไปถึงมหานรกชั้นที่ลึกที่สุด ท่วงท้าองอาจและเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างไปจากอัลเครอซ

     

                และเหมือนจะมากกว่าด้วยซ้ำไป

     

                ถึงกระนั้นโนอาห์ยังจำคนผู้นี้ได้ไม่รู้ลืมเลือน

     

                ก็เพราะว่ามันเป็นคนเดียวกับที่โผล่มาคุยกับเขาในห้องสภาเมื่อวันนั้น

     

                “จะเข้าห้องใครเขา คราวหลังช่วยเคาะประตูหน่อยก็ดีนะ” โนอาห์ส่ายหัวไปมา ทักทายราวกับเหมือนรู้จักกันมาก่อน เพราะว่าเขาเองยังจำเสื้อคลุมยาวสีดำที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ได้เป็นอย่างดี ซึ่งนั้นเป็นจุดเดียวที่สร้างความแตกต่างให้กับชายผู้นั้น และดูเหมือนการปรากฏตัวของเขายังไม่อาจไปปลุกโสตประสาทของทหารยามสองคนนั้นได้แม้แต่นิด เหมือนกับว่าเขากำลังตกอยู่ในอำนาจมนตร์ของชายปริศนาอีกครั้ง

     

                ที่ไหนก็เหมือนกันไปเสียหมด

     

                อีกทั้งยังเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นใบหน้าของชายผู้นั้นชัดๆ

     

                “เจ้าไม่คิดจะบอกว่าข้าเป็นคนก่อเรื่องทั้งหมดหน่อยหรือ” ชายปริศนาเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความประหลาด แต่น้ำเสียงเชิงหยอกล้อที่กล่าวออกมากลับสวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด

     

                “ถ้านายเป็นตัวการจริง ฉันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ” โนอาห์ยักไหล่วืด เอนตัวลงพิงขอบเตียงอย่างสบายใจ ไม่ได้เกรงกลัวเลยแม้แต่น้อยว่าตอนนี้เขากำลังสนทนาอยู่กับผู้ใด

     

                “นั้นสินะ เหตุการณ์ที่ผ่านมาถ้าข้าเป็นเจ้าก็ต้องฟันธงไว้แบบนั้นจริงๆ” เขาพยักหน้านิดๆ

     

                “แต่ข้าก็ยังขอทวนประโยคเดิม เจ้าจงออกไปโลกแห่งนี้ซะ” ชายผู้นั้นพูดประโยคเหมือนที่เคยบอกโนอาห์เมื่อวันนั้นขึ้นมาอีกครั้ง โนอาห์ที่ได้ยินเพียงขมวดคิ้วหน้ายู่เล็กน้อย ก่อนจะแผดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เนื่องจากไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาได้ยิน

     

                “นั้นคงเป็นคำตอบของเจ้า” ชายปริศนาตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนกับว่าได้คาดคำนวณเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่แรก

     

                “นายนี่มันตลกหน้าตายชัดๆ...เอาเถอะ ถึงคราวที่ฉันขอถามบ้างแล้วกัน” โนอาห์หยุดหัวเราะไปซักพัก ก่อนจะเอ่ยต่อไปด้วยน้ำที่ทวีความจริงจังยิ่งขึ้นกว่าเดิม

     

                “นายต้องการอะไรกันแน่” โนอาห์พูดด้วยสีหน้าที่คล้ายจะกลับไปเป็นชิวหลงคนเก่า

     

                ชิวหลงคนที่ไม่ยึดกฎเกณฑ์อะไรเป็นหลักเป็นแหล่ง

        

     

                ปริศนาตอนนี้มีมากเกินไป หากสามารถคลี่คลายลงได้แม้ซักอย่างสองก็อย่าง นั้นย่อมถือเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อยโดยเฉพาะในสถานการณ์แบบนี้ โนอาห์ผ่านคนมามากในระดับหนึ่งจึงทำให้พอประเมินถึงความต้องการและลักษณะนิสัยได้ในระดับหนึ่ง แต่กลับชายปริศนาที่อยู่ๆก็โผล่มาคนนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น สิ่งที่เขารู้มีเพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้น

     

                หนำซ้ำราวกับว่าเป็นเขาซะเองที่กำลังถูกอ่านใจ

     

                “ไม่เลวๆ มีไม่กี่คนหรอกนะที่รู้ว่ากำลังถูกข้าทำอะไรอยู่” ชายผมดำยาวชื่นชมชายต่างโลกตรงหน้า และถ้าโนอาห์เห็นไม่ผิด คล้ายกับคนผู้นั้นกำลังคลี่รอยยิ้มอยู่เล็กน้อย

     

                คงตาฝาดไป

     

                “เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เจ้าและพรรคต้องสับสนไปมากกว่านี้ ข้าไม่ใช่ศัตรูของเจ้า และในตอนนี้ก็ยังไม่ถือว่าเป็นมิตรของเจ้าเช่นกัน” คำพูดที่ฟังดูงุนงงมากกว่าจะเข้าใจถูกกล่าวออกมาจากปากของชายปริศนา และนั้นก็นับรวมไปถึงโนอาห์ที่ตอนนี้กำลังกระพริบตาปริบๆ

     

                กลายเป็นว่าแทนที่จะได้เริ่องอะไรเพิ่มมากขึ้น

     

                กลับได้แต่ปัญหาเพิ่มมาอีกอย่างสองอย่าง

     

                “แผนของเจ้ามันรัดกุมก็จริง แต่ต่อให้ตะเข็บฟ้าไร้ขอบเขตก็ยังมีรอยรั่วเล็กๆซุกซ่อนอยู่ โดยเฉพาะกับจิตใจของคนเรายิ่งไม่อาจมองข้ามได้” คนผู้นั้นอาศัยช่วงที่โนอาห์กำลังตะลึงงัน บอกเล่าถึงความนัยอะไรบางอย่าง

     

                “อุบัติการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้...บางทีมันอาจจะหนักหนาเกินไปสำหรับเจ้าและพรรคพวก” ชายประหลาดเอ่ยคำพูดที่ราวกับปลุกจิตใต้สำนึกของโนอาห์ให้ตื่นจากภวังค์หลับใหล ชายต่างโลกชะงักนิ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ

     

                “ต่อให้ปัญหามันจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่ใหญ่ไปยิ่งกว่าฟ้า คนอื่นๆอาจจะไม่เข้าใจการกระทำของพวกเรา แต่พวกนายคงจะเข้าใจ” โนอาห์ฉีกยิ้มกว้าง นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เจอคนประเภทนี้

     

                “เจ้าจะบอกว่าตัวเจ้านั้นเป็นฟากฟ้าเบื้องบนหรือยังไง” คู่สนทนาเลิกคิ้วเล็กน้อย

     

                “ไม่...คนทุกคนล้วนอยู่ใต้ผืนฟ้า เราทั้งหมดต่างเท่าเทียมกันไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ไอ้คนตัวการมันอาจจะคาดคำนวณได้มาถึงขั้นนี้ก็จริง แต่บอกให้นายรับรู้ไว้ ณ ตรงนี้เลยว่า” โนอาห์เว้นจังหวะไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยรอยยิ้ม

     

                “ฉันเองก็ถนัดในการสร้างความประหลาดใจให้กับคนอื่นๆเหมือนกัน” คำตอบสั้นๆที่ถึงกับทำให้ชายปริศนาคลี่รอยยิ้มออกมาบางๆ ก่อนจะหุบลงหลังจากทราบถึงการมาของใครบางคนที่บริเวณด้านนอกข่ายมนตร์

     

                “ดูเหมือนว่าพรรคพวกของฉันได้เดินทางมาถึงแล้วสินะ” โนอาห์พูดขึ้น ที่เขารับรู้ได้ไม่ใช่เพราะมีความสามารถในเชิงเวทแกร่งกล้า แต่เพราะขอบเขตการรับรู้ของเขามันสูงล้ำมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถึงอย่างนั้นในตอนแรกโนอาห์ไม่คิดว่าประสาทสัมผัสของเขาจะกว้างไกลถึงขั้นทะลุข่ายอาคมในอีกโลกได้เช่นนี้

     

                “เจ้านี่ช่างสนใจเหมือนอย่างที่สหายของข้าบอกเอาไว้ไม่มีผิด ในเมื่อไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน คงไม่ใช่เรื่องดีซักเท่าไหร่ที่สหายของเจ้าจะมาเห็น โดยเฉพาะกับเจ้าเด็กหนุ่มที่ยุ่งยากพรรค์นั้นด้วยแล้ว” ถึงแม้คำพูดจะสื่อให้เห็นว่าลำบากใจอยู่ไม่น้อย แต่สีหน้าของเขากลับดูเหมือนกำลังนึกสนุกอยู่มากกว่า

     

                “จะไปทั้งที ไม่บอกชื่อกันบ้างหน่อยเหรอไง ถือซะว่าเป็นของขวัญเล็กน้อย” โนอาห์ทักขึ้น อย่างน้อยๆการได้รู้ชื่ออีกฝ่ายคงทำให้อะไรๆมันง่ายขึ้นเยอะอย่างเห็นได้ชัด

     

                โนอาห์คิดว่ามันจะเป็นเช่นนั้น

     

                ชายผู้นั้นนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

     

                ราบเรียบเสียจนน่าขนลุก

     

                “โซโลมอนคือนามของข้า...หวังว่าเราสองจะได้เจอกันอีกในวันข้างหน้า” สิ้นคำพูด ร่างของชายที่บอกว่าชื่อโซโลมอนก็ได้อันตรธานหายไปจนหลงเหลือเพียงหมอกควันสีดำ ในขณะที่ขอบเขตสัมมาสติของโนอาห์ได้ลอยละล่องออกไปไกลแสนไกล ไกลจนไม่ทันได้กล่าวคำอำลา

     

                เขาจำได้เป็นอย่างดีว่ารู้จักชื่อนั้นที่ไหนมาก่อน

     

                และยังเป็นคนที่คาดเดาถึงที่มาของชื่อนั้นเสียด้วยซ้ำ

     

                ดูเหมือนว่าใครบางคนในโลกนี้ก็ถนัดเรื่องสร้างความประหลาดใจเหมือนกัน

     

               

     

                 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×