ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD] Princesses & The Boys : เจ้าหญิงสุดร้ายกับเจ้าชายสุดขั้ว!

    ลำดับตอนที่ #19 : 8th Tale ~ Poison Never Hides in The Apple

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 913
      1
      12 ส.ค. 56


    8th Tale ~ Poison Never Hides in The Apple
     

    “ครูคะ หิวจังเลย~” วูฮีพูดอ้อนฉันหลังจากเราวอร์มเสียงเสร็จ

    นี่ก็ผ่านมาได้เกือบสองอาทิตย์แล้วนับจากตอนออดิชั่น  ตอนนี้ฉันไม่ได้มีหน้าที่แค่เป็นโวคอลโค้ชของวูฮีแค่อย่างเดียว แต่ยังพ่วงตำแหน่งคนขับรถประจำตัว คอยรับส่งอีตาพีดีหน้าบวมนั่นอีก กลายเป็นว่าฉันต้องขอซอฮยอนกับพี่จองโมโดดสอนยาวจนกว่าไอ้เรื่องซ้อมละครบ้าๆนี่จะจบลงและคิมคิบอมจะไปพ้นๆจากชีวิตฉัน -*-

    “เอ้า! ทุกคน วันนี้สปอนเซอร์อาหารกลางวันมาจากแฟนคลับของคุณไอลี ปรบมือกันหน่อยเร้ว~!” เสียงสตาฟฟ์คนหนึ่งประกาศก้อง แล้วเจ้าตัวก็เดินนวยนาดผ่านหน้าฉันไปอย่างน่าหมั่นไส้ เชอะ! ฉันมองไอลีเดินแจกข้าวกล่องกับทีมงาน แล้วก็อดรู้สึกหิวไม่ได้แฮะ อืม... นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาวางฟอร์มสินะ

    “ไปหาอะไรใส่ท้องกันดีกว่านะแล้วค่อยซ้อมต่อ” ฉันพูดพลางลากแขนวูฮีไปทางกองข้าวกล่องสุดหรูที่กองพะเนิน ว้าว~ มีแต่ของน่ากินทั้งนั้นเลย โอ๊ะ! มีซูชิของโปรดฉันด้วย แฟนคลับนักร้องนี่เงินถุงเงินถังกันจัง

    ฉันเอื้อมมือจะไปหยิบกล่องใกล้ตัว แต่แล้วก็โดนใครบางคนตีมือดังเผียะ พอเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นคุณนักร้องชื่อดังจ้องตาขวาง

    “ใครอนุญาตมิทราบยะ?”

    “ก็แฟนคลับเธอซื้อมาเลี้ยงทีมงานไม่ใช่เหรอ?” ฉันตอบหน้าซื่อ

    ไอลีหรี่ตาลงแล้วยิ้มมุมปากยังกับแม่มด ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบกล่องเครื่องเคียงเล็กๆขึ้นมา

    “ของเธอสองคนน่ะ แค่นี้ก็พอ”

    ฉันมองของที่อยู่ในกล่องนั่น มีแต่ไชเท้าดองแล้วก็ถั่วงอกกับแป้งทอดอีกสองสามชิ้น มันจะไปพอยาไส้อะไรกันล่ะ -*-

    “ยัยแม่มด! ขี้งกชะมัด คนอย่างเธอนี่ไม่น่าเป็นนักร้องดังได้เลยนะ” ฉันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกระซิบใส่ยัยงิ้วที่ทำลอยหน้าลอยเป็นทองไม่รู้ร้อน

    “ใครกันแน่ที่ไม่น่าจะเป็นนักร้องได้น่ะ? ฉันเห็นนะ พักนี้เธอไปไหนมาไหนกับคิบอมประจำ... เธอมีอะไรดีนักหรือไง? เธอมีความสามารถตรงไหนกันฮึ? มองยังไงฉันก็ดูดีกว่า สวยกว่า น่าหลงใหลกว่า ถ้าหากว่าเธอมีความสามารถจริงๆล่ะก็ โชว์ออกมาสิ ทำให้ฉันเห็น ฉันถึงจะยอมรับเธอ” ไอลีขู่ฟ่อใส่ฉัน ก่อนจะปรายตามองไปรอบๆห้องที่มีทั้งทีมงาน ทั้งนักแสดงนั่งอยู่เต็มไปหมด เท่านั้นเลือดในตัวฉันก็เหมือนจะลดอุณหภูมิลงทันที

    “ว่าไงล่ะ? ทำให้ฉันเห็นสิ” ไอลีพูดด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้สตาฟฟ์รอบๆข้างหันมาสนใจพวกเรา ท่าทางจะไม่ดีแล้วแฮะ...

    ฉันกำลังจะถอยหลังกลับ แต่ยัยแม่มดนั่นก็ยังไม่เลิกรา เธอตะโกนข้ามห้องไปหาคุณซอ หัวหน้าทีมแคสติ้ง

    “คุณซอคะ ฉันได้ยินมาว่าตอนคุณไปแคสติ้งวูฮี อาจารย์คิมแทยอนได้โชว์ความสามารถที่น่าประทับใจมาก แต่ฉันยังไม่มีโอกาสได้ฟังเธอร้องเพลงเลย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆเหรอคะ?”

    ฉันกับวูฮีมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก ยัยแม่มดนี่คิดจะทำอะไรกัน! ตั้งใจจะให้ฉันร้องเพลงต่อหน้าสตาฟฟ์ละครเกือบร้อยชีวิตน่ะเหรอ? ฉัน...แบบนั้น...ฉันจะทำได้ยังไงกัน!

    “อื้อ อาจารย์ร้องเพลงเพราะจนผมกับพีดีอึ้งไปเลยล่ะครับ อาจารย์ช่วยแสดงความสามารถแบบตอนนั้นหน่อยสิครับ!

    นั่นคือสิ่งที่ฉันไม่อยากได้ยินมากที่สุดในตอนนี้ ฉันหันกลับไปมองหน้าไอลีที่หรี่ตาลงมองฉันอย่างท้าทาย เธอรู้รึเปล่าว่าฉันกลัวการร้องเพลงต่อหน้าคนหมู่มาก? ถ้ารู้แล้วยังทำแบบนี้มันก็มากเกินไปหน่อยแล้ว!

    “ว่าไงล่ะ? เป็นครูสอนร้องเพลงแค่นี้ไม่น่าจะถึงกับทำไม่ได้นี่ ใช่ไหม?” ยัยแม่แม่มดนั่นยิ้มเยาะ ในขณะที่ตอนนี้ตัวฉันแข็งเป็นหิน ภาพความทรงจำเลวร้ายครั้งสุดท้ายที่ฉันขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีต่อหน้าคนนับพันผุดกลับขึ้นมาในหัวสมอง ฉันกวาดสายตามองไปรอบห้องซ้อม ทุกคนต่างมองมาที่ฉันด้วยสายตาคาดหวัง

    ไม่... ฉันทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้...

    “ครูคะ...” วูฮีมองฉันอย่างอ้อนวอน ถ้าฉันไม่ทำ วูฮีต่างหากคือคนที่จะลำบาก... ถ้าหากฉันที่เป็นครูสอนร้องเพลงของวูฮีไม่แสดงความสามารถให้ทุกคนเห็น วูฮีเองก็จะไม่ได้รับความเชื่อใจจากทุกคนด้วยเหมือนกัน

    นี่ฉันควรจะทำยังไงดีนะ...

    ไอลีที่ยิ้มเยอะอยู่เริ่มปรบมือเป็นคนแรก แล้วคนอื่นๆก็ตามมา กลายเป็นตอนนี้ทุกคนปรบมือเสียงดังเกรียวกราว กดดันให้ฉันเริ่มทำอะไรสักอย่าง... ฉันควรจะทำได้สิ ถึงคนจะเยอะเหมือนกัน แต่ฉันไม่ได้ยืนอยู่บนเวทีสักหน่อย... แต่ว่า การตกเป็นเป้าสายตาของคนนับร้อยมันก็ยังทำให้ฉันทำอะไรไม่ถูกอยู่ดี มือฉันสั่นไปหมด พยายามนึกถึงเพลงที่ร้องวันนั้นแล้วหลับตาลง แต่เสียงกระซิบกระซาบรอบตัวก็ยิ่งทำให้ฉันประหม่ามากกว่าเดิม ฉันสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเริ่มเปล่งเสียง

    แต่สิ่งที่ผ่านออกมาจากริมฝีปากของฉันมันเหมือนไม่ใช่เสียงของตัวเอง ฉันลืมทั้งโน้ต ทั้งจังหวะ ทั้งคีย์ที่ควรจะร้อง หัวใจเหมือนถูกบีบอัดด้วยแรงกดดันมหาศาล ฉันหันกลับไปมองหน้าวูฮีอย่างขอความช่วยเหลือ แต่สิ่งฉันได้เห็นคือความผิดหวังในแววตาของเธอ

    ฉันทำไม่ได้... ฉันร้องเพลงไม่ได้...

    น้ำตาอุ่นๆเอ่อขึ้นมาแล้วเสียงของฉันก็ขาดห้วงลงไป โลกทั้งโลกหมุนคว้าง เสียงโห่ไล่ดังขึ้นมาจากข้างล่างเวทีที่ไม่มีอยู่จริง... ฉันรู้... มันเป็นเสียงโห่ไล่ในอดีตที่ตามหลอกหลอน และแม้ว่าฉันจะรักการร้องเพลงมากขนาดไหน แต่ฉันก็ลบความกลัวในวันนั้นไม่ได้จริงๆ

    “วูฮี... ครูขอโทษ” ฉันกระซิบได้แค่นั้นก่อนจะหันหลังแล้ววิ่งออกมาจากห้องซ้อมท่ามกลางความประหลาดใจและผิดหวังของทุกคน

    ฉันได้แต่วิ่งผ่านทุกคนออกมาเรื่อยๆ ผ่านโรงละครด้านหน้าออกมาจนถึงถนนใหญ่หน้าตึก แล้วฉันก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆตรงริมฟุตบาท น้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่อยู่

    คิมแทยอนเป็นคนที่ไม่เอาไหนจริงๆ เธอมันไม่ได้เรื่อง... ความฝันที่อยากเป็นนักร้องของฉัน นอกจากตัวเองจะทำไม่ได้แล้ว ฉันยังทำลายความฝันของลูกศิษย์ตัวเองลงไปด้วย

    ฉันควรจะทำยังไงดี...นี่ฉันควรจะทำยังไงกับตัวเองดี...
     

    “ครับ งั้นเหรอครับ เข้าใจแล้ว...” ผมตอบรับหัวหน้าซอที่โทรมารายงานเรื่องวุ่นๆระหว่างการซ้อมให้ผมฟัง โชคร้ายที่วันนี้ผมต้องแยกไปทำงานในห้องอัดคนเดียว ก็เลยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ก็ยังไม่วายได้รับโทรศัพท์รายงานจากคุณซอ

    ดูเหมือนว่าตั้งแต่แทยอนออกไป วูฮีก็หมดความมั่นใจตามไปด้วย เธอไม่มีสมาธิในการแสดง และไม่เหลือความมั่นใจอีกต่อไป ไอลียิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงด้วยการซ้ำเติมเด็กคนนั้น จนสุดท้ายทุกคนก็ตัดสินใจยกกอง และทีมแคสติ้งเริ่มประชุมกันเพื่อหาตัวนักแสดงสำรองมาแทนเผื่อสถานการณ์ไม่ดีขึ้น

    ผมถอนหายใจกับตัวเอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมคิมแทยอนถึงร้องเพลงไม่ได้? แล้วตอนนี้เธอไปอยู่ไหน? ไม่ใช่ว่าเตลิดเปิดเปิงไปดื่มเหล้าแบบวันนั้นหรอกนะ? หรือผมควรจะโทรหาเพื่อนๆเธอดีไหม?

    ระหว่างที่กำลังชั่งใจว่าจะทำอะไรก่อนดี ผมก็ได้ยินเสียงเพลงเบาๆดังขึ้นไม่ไกล ผมหันมองรอบตัวแล้วก็รู้ว่าที่มาของเสียงนั่นมาจากหลังประตูบานใหญ่ที่เปิดแง้มเอาไว้ มันคือประตูโรงละครที่อยู่ใกล้กับทางออกของตึก ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วก็จำเสียงนั้น จำบทเพลงนั้นได้ อยู่นี่เอง... คิมแทยอน

    ผมถือวิสาสะเดินเข้าไปข้างใน เห็นผมสีน้ำตาลบลอนด์ของเธอโผล่พ้นมาจากแถวที่นั่งช่วงกลางๆ ผมปิดประตูแล้วเดินลงไป จนกระทั่งหยุดอยู่ตรงที่นั่งข้างเธอ

    “โอ๊ะ ทำงานเสร็จแล้วเหรอ” เธอเอ่ยทัก เหลือบตาขึ้นมองผม ถึงสีหน้าจะดูหมองๆลงนิดหน่อยแต่ท่าทางจะไม่ได้โคม่าอะไร ผมถอนหายใจแล้วก็นั่งลงข้างๆเธอ

    “กินอะไรมารึยัง?” ผมถามกลับพลางเอนหลังลงกับพนักเก้าอี้ในขณะที่แทยอนโน้มตัวลงไปพิงกับพนักที่นั่งข้างหน้า เธอเงียบไปพักใหญ่ๆ แล้วเสียงท้องร้องก็ดังขึ้น

    “ห้ามหัวเราะนะ” เธอเอ็ดเสียงเขียว จนผมได้แต่กลั้นยิ้มเอาไว้แล้วล้วงลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท เจอช็อกโกแลตแท่งกับแอปเปิ้ลเล็กๆลูกนึง ผมยื่นให้เธอโดยไม่ได้พูดอะไร

    ยัยตัวเล็กหันมามองผมแล้วก็หยิบไปแต่แอปเปิ้ล แทนคำขอบคุณ เธอกัดคำโตๆลงบนเปลือกสีแดงสดนั้นแล้วเคี้ยวกร้วมๆแบบไม่เกรงใจใคร

    “กินแอปเปิ้ลแบบนั้น ระวังเถอะเดี๋ยวก็จะโดนวางยาตายเหมือนสโนวไวท์”

    “อ่อก...นะ...นาย วางยาฉัน...” คิมแทยอนทำท่าบีบคอแอ๊คติ้งรับมุกซะเหมือน แต่ผมกลับเอาแท่งช็อกโกแลตตีหัวเธอ ยัยนั่นเลยหยุดทำเป็นเล่นแล้วหันมากินแอปเปิ้ลเงียบๆ

    “ไม่เอาช็อกโกแลตเหรอ?”

    “ถ้านายอยากให้ฉันตายล่ะก็ฉันจะกิน... ช็อกโกแลตเคลือบอัลมอนด์และเฮเซลนัท ขอบคุณมาก ฉันแพ้ถั่ว” ยัยตัวป่วนตอบผมพลางกัดแอปเปิ้ลอีกคำ ผมกะพริบตาปริบๆกับข้อเท็จจริงอีกข้อที่เพิ่งรู้เกี่ยวกับคิมแทยอน นอกจากตัวเตี้ย ขี้แย ขาวเหมือนผี ติดเพื่อนเหมือนลูกแหง่แล้วยัยนี่ยังแพ้ถั่วอีก โอเค...ผมจะจำเอาไว้

    แล้วมันธุระของผมตรงไหนที่ต้องไปสนใจเรื่องพวกนั้นกันล่ะ?

    ผมนั่งฟังเสียงแทยอนกัดแอปเปิ้ลโดยที่ไม่ได้พูดอะไร อันที่จริงผมก็อยากถามเธอเรื่องวันนี้ แต่ที่เธอยังรอผมอยู่โดยที่ไม่หนีไปไหนนั่นก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผมประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ระหว่างที่ผมกำลังคิดว่าจะถามอะไรก่อนดี ยัยนั่นก็ชิงตัดหน้าผมซะก่อน

    “นี่... นายกลัวอะไรมากที่สุดเหรอ?”

    ผมหันไปมองหน้ายัยตัวเล็ก ไม่รู้จู่ๆทำไมถึงได้ถาม ผมขำออกมานิดหน่อยแล้วก็ตอบเธอ

    “ความสูง กลัวมากขนาดที่บางทีมองออกไปนอกหน้าต่างยังไม่ได้เลย แล้วคุณล่ะ?”

    “หลายอย่าง...” เธอตอบเซ็งๆ “ฉันกลัวว่าเพื่อนๆฉันจะหายไป กลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว แล้วก็กลัวนั่น...” เธอเอื้อมมือข้ามพนักเก้าอี้แล้วชี้ไปยังเวทีที่อยู่ในแสงไฟสลัว ผมหันกลับมามองเธอแล้วก็เห็นเสี้ยวหน้าที่แฝงไปด้วยความทุกข์และความเจ็บปวด เธอยังคงพูดต่อไปโดยที่เกยคางไว้บนพนักเก้าอี้ สายตาเหม่อมองออกไปยังเวทีตรงหน้า

    “ฉันเคยขึ้นไปประกวดร้องเพลง แต่เพราะความตื่นเต้น ฉันลืมเนื้อแล้วก็ร้องสลับไปสลับมาไปหมด คนดูเป็นร้อยโห่ไล่ฉันลงจากเวที นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็กลัวการร้องเพลงต่อหน้าผู้คนมาตลอด ทั้งๆที่ฉันรักการร้องเพลงมาก แต่มันก็เจ็บปวดทุกทีเวลาที่พยายามจะร้องเพลงแล้วเสียงมันไม่ยอมออกมา ฉันกลัวสายตาของคนที่มองฉัน กลัวว่าฉันจะพลาดเหมือนเดิม แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังอยากร้องเพลง ฉันไม่รู้จะทำยังไงกับตัวเองดีแล้ว...” หางเสียงของเธอสั่นเครือ ผมได้แต่นั่งนิ่งรับรู้ข้อเท็จจริงอีกหนึ่งข้อที่ทำให้ผมเข้าใจชัดแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อบ่ายนี้ ทำไมเธอถึงร้องเพลงไม่ได้ ทำไมจู่ๆเธอถึงได้วิ่งหนีหายไป...

    ผมล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อหยิบเอากระดาษโน๊ตสองสามแผ่นออกมาแล้วคว้าข้อมือของคิมแทยอนให้ลุกขึ้น มุ่งหน้าไปยังเวทีด้วยกัน ถึงยัยนั่นจะโวยวายมาบ้างเป็นระยะ แต่ผมไม่ปล่อยมือเธอ แล้วก็ไม่คิดจะพูดอะไรให้มากความด้วย จนในที่สุดเราสองคนก็มายืนอยู่ใต้แสงไฟสีเหลืองนวลบนเวที ผมก้าวเข้าไปนั่งหน้าเปียโนก่อนจะหันไปมองคิมแทยอนที่ขมวดคิ้วทำตาโตมองผมอย่างไม่เข้าใจ

    ผมได้แต่ยิ้มออกมาแล้วคลี่โน๊ตเพลงออกวาง ก่อนจะยื่นกระดาษที่เป็นเนื้อเพลงให้เธอ

    “ฟังแล้วจำทำนองให้ดีๆล่ะ”

    นิ้วของผมพรมลงไปบนคีย์สีขาวและดำ ร้อยเรียงเป็นท่วงทำนองหวานซึ้งดังก้องไปทั่วโรงละครว่างเปล่า แม้จะไม่มีเครื่องดนตรีชิ้นอื่น แต่ผมได้ยินเหมือนเสียงไวโอลินเล่นรับสอดประสาน เพียงไม่นานเพลงที่ผมเล่นก็จบลง ผมเงยหน้าขึ้นสบดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นที่มีแววประหลาดใจ

    “เนื้อเพลงนี่...”

    “ของคุณไง... เพลงนี้ผมแต่งให้คุณ ทีนี้... ผมเล่นทำนองให้ฟังไปแล้วนะ คุณจะช่วยร้องเนื้อเพลงนั่นออกมาเป็นเมโลดี้ได้ไหม?”

    “แต่ฉันกลัวเวที--

    “คุณไม่ได้กลัวเวที คุณกลัวสายตาคนที่มองคุณต่างหาก... ที่นี่มีแค่เราสองคนเท่านั้นนะ ผมจะลงไปนั่งข้างล่าง คุณก็แค่ต้องร้องเพลงให้ผมฟัง เหมือนอย่างที่คุณทำในวันนั้นไง คุณทำได้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” ผมขยี้หัวเธอแล้วก็ยิ้มให้ แววตาของเธอส่องประกาย ปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง ผมหันหลังกลับแล้วก้าวลงจากเวที ก่อนจะเลือกที่นั่งแถวหน้าสุด ตรงที่จะได้เห็นนักร้องบนเวทีชัดที่สุด เธอจะทำได้มั้ยนะ? ผมเอนหลังลงกับเก้าอี้แล้วก็ได้แต่รอคอย...

     

    ฉันก้มลงมองเนื้อเพลงในมือ แล้วความรู้สึกมากมายก็ประเดประดังเข้ามาจนหัวใจเต้นแรงไปหมด... ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายตรงหน้านี้... คนที่เจอกันได้เพียงไม่นาน แต่เขากลับเขียนเนื้อเพลงได้ราวกับอ่านใจฉันออก ฉันกลืนน้ำลาย พยายามข่มกลั้นความรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ก่อนจะก้าวเข้าไปยืนใต้แสงไฟ สูดลมหายใจลึกแล้วเริ่มขับขานบทเพลง...

     

    ฉันยืนอยู่ตรงหน้าเธอที่กำลังจะจากไป โดยที่ยังไม่ทันได้เตรียมใจ

    พูดอะไรไม่ออก ฉันได้แต่โบกมือให้กับเธอ

    โชคดีนะ ฉันโบกมือให้กับเธอที่สว่างสดใส

     

    ราวกับความทรงจำถูกฉายซ้ำกลับมา... ซันนี่ที่สวยน่ารักในชุดเจ้าสาวกำลังยิ้มและหัวเราะอย่างร่าเริง ฉันได้แต่มองเพื่อนรักที่เปล่งประกาย พยายามเหลือเกินที่จะส่งยิ้มตอบกลับไปให้เธอ แม้ว่าน้ำตาจะเอ่อท้นขึ้นมา...

     

    ฉันหวังเพียงแค่เห็นเธอมีความสุข

    ขอให้เธอเปล่งประกายอยู่เช่นนี้ตลอดไป

    ฉันเอ่ยคำลาพร้อมรอยยิ้ม ต้องเข้มแข็งขึ้นกว่านี้

    ถึงเวลาที่เราต้องจากกันแล้วลาก่อน

     

    ฉันนึกถึงเช้าวันที่ตื่นมาพร้อมกับเธอ มือเล็กๆที่คอยปาดน้ำตาให้ฉัน รอยยิ้มอ่อนโยนที่มีให้ฉันเสมอ และเพราะซันนี่...ฉันถึงต้องเข้มแข็งยิ่งกว่านี้ เข้มแข็งมากพอที่จะเอ่ยคำลาที่ยากเหลือเกินสำหรับพวกเรา...

     

    ณ เวลานี้พวกเรา...

    ต้องจากกันแล้ว ที่รักของฉัน เธอที่เป็นคนสำคัญที่สุดของฉัน

    คนที่โอบกอดฉันอย่างอบอุ่นดุจดังแสงอาทิตย์

    ดวงตาของฉันเอ่อท้นไปด้วยความรู้สึกยามที่มองเธอ... ลาก่อน

     

    อ้อมกอดอบอุ่นของซันนี่ที่คอยปลอบฉันเสมอในช่วงเวลาเลวร้าย ฉันยังรู้สึกถึงอ้อมแขนของเธอได้แม้กระทั่งตอนนี้ แต่ต่อจากนี้... คงไม่มีอีกแล้ว...

     

    ฉันยิ้มให้เธออย่างสดใส

    ลาก่อน ขอให้โชคดี คนสำคัญที่สุดของฉัน

    เธอที่งดงามเปล่งประกาย และเป็นดั่งแสงสว่างให้แก่ฉัน

     

    เราไม่ได้จากกันสักหน่อย เข้าใจไหมคิมแทยอน? แล้วยังงี้จะให้ฉันบอกลาเธอได้ยังไงกัน? คำพูดสุดท้ายของซันนี่ยังดังก้องอยู่เต็มสองหู ฉันรู้ดี... รู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะพูดคำนั้น แต่ไม่เป็นไรนะ... คำว่าลาก่อนที่เธอพูดออกมาไม่ได้... ฉันจะพูดมันออกมาเอง พร้อมกับรอยยิ้ม

     

    ลาก่อน ที่รักของฉัน ฉันได้แต่มองเธอและกล่าวคำลา

    ขอได้มองเธออีกแม้เพียงสักนิด... ลาก่อน...

     

    ลาก่อน... อีซุนคยู เพื่อนรักของฉัน...

     

     

    ผมลุกขึ้นยืน ปรบมือให้กับเธอ มีเพียงเสียงปรบมือของผมดังก้องกังวานในโรงละครอันว่างเปล่า คิมแทยอนมองมาที่ผม แล้วโดยที่ไม่มีเสียงใดๆเลย น้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มขาวๆของเธอ เหมือนหัวใจผมกระตุกวูบ รู้ตัวอีกทีสองขาของผมก็พาตัวเองกลับขึ้นมายืนบนเวทีแล้ว ผมเห็นไหล่บางๆ สั่นเทาแล้วก็นิ่งไป ก่อนที่จะดึงร่างเล็กๆ เข้ามาในอ้อมกอด นั่นแหละผมถึงได้ยินเสียงร้องไห้ที่เธอกลั้นเอาไว้มานาน

    มีคำถามเป็นร้อยเป็นพันที่ผมอยากถามเธอว่าทำไมถึงได้ร้องไห้? เพราะเศร้า เพราะเหงา เพราะกลัว หรือเพราะเจ็บปวด? และผมจะทำอะไรได้บ้าง ยังเหลืออะไรให้ผมทำอีกไหมเพื่อปกป้องผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้จากทุกสิ่งที่กำลังทำให้เธอร้องไห้... แต่คำถามทั้งหมดกลายเป็นเพียงความเงียบงัน ผมทำได้แค่เพียงวางคางไว้บนผมนุ่มๆของเธอ ลูบแผ่นหลังสั่นเทานั่นเบาๆ... และโดยที่ไม่รู้ตัวเลย น้ำตาของผมก็ไหลลงมาช้าๆ... เจ็บปวด... ทำไมผมถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้นะ?

    เท่าที่รู้คือครั้งนี้ผมไม่ได้เสียน้ำตาเพราะความเศร้าที่เธอถ่ายทอดผ่านบทเพลง แต่ผมร้องไห้เพราะน้ำตาของนักร้องคนนี้ต่างหาก...

    เพราะอะไรกันนะ?
     

    เสียงเพลงดังกระหึ่มในผับเดอะไนน์เหมือนประจำ และนี่ก็เป็นอีกคืนที่โต๊ะประจำของเราถูกจับจอง แต่ถึงแม้จะมีคนสามคนนั่งอยู่บนโต๊ะก็ไม่ได้มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นทำลายความเงียบน่าอึดอัดนี่ ฉันวางแก้วน้ำส้มลงบนโต๊ะก่อนเหลือบไปเห็นผู้กองอิมที่เดินตรงเข้ามาด้วยท่าทางเป็นกังวล

    “ซอฮยอนอา พี่แทยอน โอเคไหม?” นั่นคือคำถามแรกของพี่ยุนอา ฉันกับพี่จงฮยอนมองหน้ากัน แล้วเราก็บุ้ยใบ้ไปทางคนต้นเรื่องที่นั่งเท้าคางเงียบเป็นเป่าสากมาตั้งแต่ต้น ถึงฉันกับพี่จงฮยอนจะชวนคุยเท่าไหร่ พี่เค้าก็ตอบมแค่ เหรอกับ อืมจนเราสองคนไปไม่เป็น

    “แล้วคนอื่นๆล่ะ? พี่ซันนี่?” หมวดอิมยังถามโดยไม่สนใจพี่แทยอนที่นั่งเหม่อเหมือนวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว

    “พี่แทยอนไม่ยอมให้โทรหาค่ะ” ได้ฟังคำตอบนั้นแล้วพี่ยุนอาก็ได้แต่ขยี้หัวอย่างขัดใจ

    “แล้วนี่จะรู้มั้ยเนี่ยว่าเรื่องเป็นยังไงมายังไง ทำไมพี่แทยอนถึงได้สภาพเหมือนโดนสูบวิญญาณออกจากร่างไปแบบนี้ล่ะ!” หมวดอิมชี้นิ้วไปทางเจ้าตัวที่ยังนั่งเท้าคางทำหน้าเอ๋อ ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆทั้งสิ้น

    แล้วโดยที่ไม่คาดคิด โจทก์ของเราก็พูดพึมพำออกมา

    “นี่... เวลาที่เราเอาใครสักคนออกจากหัวสมองไม่ได้นี่มันเป็นอาการป่วยอย่างนึงรึเปล่า?”

    พวกเราสามคนมองหน้ากันกะพริบตาปริบๆ พี่จงฮยอนยิ้มให้ฉันเล็กๆก่อนจะหันไปถาม

    “พี่หมายถึง... พี่กำลังคิดถึงแต่ใครคนหนึ่ง ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ภาพของเค้าคนนั้นก็ยังอยู่ในสายตาพี่ทุกที่ ต่อให้หลับตาพี่ก็ยังเห็นเค้า แล้วทุกๆครั้งที่พี่อยู่ใกล้ๆคนๆนั้น หัวใจของพี่ก็จะเต้นแรงจนเจ็บไปหมด... แบบนั้นรึเปล่าครับ”

    “โอ๊ะ! ใช่เลย จงฮยอน! นายรู้ได้ยังไงน่ะ” พี่แทยอนหันมาทำตาโตมองคู่หมั้นของฉันอย่างประหลาดใจ

    “ถ้างั้นอาการแบบนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ วางใจได้ ^^” พี่จงฮยอนหันมายิ้มให้ฉันอย่างมีเลศนัย ปล่อยให้เจ้าตัวนั่งงงอยู่คนเดียว ตรงกันข้ามกับพี่ยุนอาที่ดูจะช็อกซะยิ่งกว่าช็อก ก่อนที่หมวดจะยกมือขึ้นนวดขมับแล้วหันไปสั่งเตกีล่าแรงๆ กับพนักงานเสิร์ฟที่เดินเข้ามา

    “นี่! เดี๋ยวสิ ทำไมทุกคนทำท่าแบบนั้นล่ะ? ยุนอา ตกลงพี่เป็นอะไรกันแน่?” พี่แทยอนทำท่าเหมือนเริ่มประสาทเสีย

    “ฉันก็แค่เห็นลางร้ายขึ้นมาตะหงิดๆ เพราะอาการของพี่เนี่ยมันเหมือนกับที่คนอื่นๆในกลุ่มเคยเป็นเดี๊ยะ แล้วทุกครั้งมันก็มีเรื่องวุ่นวายตามมาไม่หยุดจนฉันปวดหัวน่ะสิ” พี่ยุนอาเอื้อมมือไปตบบ่าพี่ใหญ่ของกลุ่มเราด้วยอาการปลง แต่พอเห็นสีหน้างงเป็นไก่ตาแตกของคนฟัง พี่เค้าก็เลยช่วยอธิบายขยายความต่อให้จนจบ

    “พี่ก็แค่กำลังตกหลุมรักเท่านั้นแหละ”

    โครม!!

    ฉันกับพี่จงฮยอนลุกขึ้นยืนชะโงกหน้าข้ามโต๊ะไปดูพี่แทยอนที่ตกเก้าอี้ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น ท่าทางจะเจ็บน่าดู แต่พี่ยุนอากลับคว้าเตกีล่าที่เพิ่งมาเสิร์ฟซัดรวดเดียวหมดก่อนจะพูดออกมา

    “นั่นไงล่ะ พูดยังไม่ทันขาดคำความซวยก็บังเกิดขึ้นแล้ว งานนี้ต้องยุ่งแหงๆ...”

    ฉันสบตากับพี่จงฮยอน ต่างคนต่างกลืนน้ำลายลงคอ

    ท่าทางสิ่งที่พี่ยุนอาพูดน่าจะเป็นเรื่องจริงซะแล้ว...

     

     

    “คิดยังไงถึงชวนฉันออกมาดื่มเนี่ย?” อคแทคยอน เพื่อนซี้สมัยเรียนมหาลัยของผมถามขำๆก่อนจะยกขวดเบียร์รินเติมให้จนเต็มแก้ว ผมนั่งมองฟองสีขาวนวลละลายหายไปในชั่วพริบตาแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ แทนที่จะตบคำถามมัน ผมเลือกที่จะถามผู้ชายอีกคนที่นั่งข้างๆ

    “คุณคยูฮยอนทำไมวันนี้มาได้ล่ะครับ ไม่อยู่ดูแลคุณซันนี่เหรอ?”

    “รายนั้นวางแผนเดินสายไปนอนบ้านเพื่อนให้ครบแก็งค์อยู่ครับ คืนนี้ไปนอนบ้านสิก้าคนแรก ผมเลยต้องระเห็จออกนั่งดื่มกับแทค... จะว่าไปเราคุยกันแบบธรรมดาก็ได้นะครับ ไม่ต้องสุภาพกับผมนักหรอก” คุณคยูฮยอนพูดก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบอย่างอารมณ์ดี ท่าทางเขาดูจะสนิทสนมกับเพื่อนผมอยู่เหมือนกัน หรือว่าบรรดาแฟนของสาวๆกลุ่มนี้จำเป็นต้องร่วมก๊วนปาร์ตี้กันได้ด้วย? แบบนี้ก็ดีแฮะ...

    “นี่นายจงใจไม่ตอบคำถามฉันเหรอ คิบอม? หน้านายมันเขียนอยู่ทนโท่ว่ามีปัญหานะ” แทคชกไหล่ผมเบาๆพลางหันไปหัวเราะกับคยูฮยอน ผมถอนหายใจออกมาอีกรอบแล้วก็ยอมเปิดปาก

    “คือ... ฉันแค่ไม่เข้าใจตัวเองน่ะ... นายเคยเป็นมั้ยที่จู่ๆก็รู้สึกเจ็บปวดเพราะเห็นใครคนหนึ่งกำลังเจ็บปวด”

    “หมายความว่า นายเจ็บปวดไปพร้อมกับใครคนหนึ่ง ในทางกลับกัน ถ้าคนๆนั้นยิ้มหรือหัวเราะนายก็จะมีความสุขไปด้วยใช่ไหม?” คยูฮยอนที่เปลี่ยนมาพูดแบบธรรมดากับผมช่วยเจ้าแทคมันซักไซ้ ซึ่งผมก็ได้แต่พยักหน้ารับ

    “นายรู้สึกอยากทำอะไรสักอย่างเพื่อคนๆนั้นด้วยรึเปล่า? อย่างเช่นว่า อยากทำให้เธอยิ้มอย่างมีความสุข จนบางครั้งนายเผลอทำอะไรงี่เง่าลงไป” อคแทคยอนถามต่อ แล้วผมก็พยักหน้าอีกเหมือนเคย

    “ถ้าการแต่งเพลงให้นับเป็นเรื่องงี่เง่าล่ะน่ะ... ใช่ ฉันเคยทำบางสิ่งบางอย่างให้ใครคนนั้น แต่ก็รู้สึกว่ามันยังไม่พอ”

    “ถามจริงๆเถอะ นายเป็นนักแต่งเพลงที่เคยร่วมงานกับนักร้องระดับโลกมาแล้วจริงๆเหรอ =__= ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” เพื่อนสนิทของผมมองหน้าผมแบบผิดหวังสุดๆ

    “ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะเฟ้ยแทค... ฉันก็เคยมีความรักมาก่อน แต่ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร บอกตามตรง... ยัยนี่ไม่ใช่เสปคฉันตั้งแต่แว่บแรกด้วยซ้ำ” ผมตอบออกไปก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม

    “คนเคยมีความรัก ไม่ได้แปลว่าจะเคยเจอรักแท้นี่?” คยูฮยอนสวนกลับมานิ่งๆ พร้อมรอยยิ้มรู้ดีแบบที่ต้องสะอึก

    “เอาเข้าจริงตอนฉันเจอเจสสิก้าก็โดนคุณเธอเล่นซะแสบเหมือนกัน” แทคยอนหัวเราะพลางตบบ่าผม “บอกได้คำเดียวว่าตอนนั้นน่ะนะ เหมือนอคแทคยอนเจอสาวในฝัน แต่เป็นฝันร้ายชัดๆ ไปไงมาไงไม่รู้...สุดท้ายฉันก็หลงรักลูกเป็ดขี้เหร่จนถอนตัวไม่ขึ้น”

    ผมได้แต่นิ่งฟังสองคนนั้นแล้วก็คิดทบทวนความรู้สึกของตัวเองในใจ

    เป็นไปได้จริงๆ เหรอที่คิมแทยอนจะเป็นรักแรกของผม!

     

     

    ฉันเดินโซซัดโซเซกลับเข้ามาในคอนโด อันที่จริงไม่ได้ดื่มมากเท่าไหร่หรอกนะ แต่ยังมึนกับคำพูดของเด็กๆไม่หาย... ฉันเนี่ยนะ! คิมแทยอนเนี่ยนะมีความรัก! แถมผู้ชายคนนั้นจะเป็นใครดันไม่เป็น ดันเป็นอีนายพีดีหน้าป่องคิมคิบอม!

    หรือฉันอาจจะแค่หวั่นไหวเฉยๆที่เขาแต่งเพลงให้? แล้วยังไงล่ะ...

    อ๊ากกกกก!!! คิมแทยอนอยากจะบ้า!! T^T

    ฉันเดินเข้าลิฟท์ไปแล้วก็กดปุ่มปิดรัวๆ ไม่ได้สนใจว่ามันจะพังคามือรึเปล่า แต่พอมันเลื่อนปิดไปได้แค่ครึ่งเดียวมือใครบางคนก็พุ่งมาดึงมันเปิดซะงั้น พ่อแก้วแม่แก้ว หัวใจร่วงไปอยู่ตาตุ่ม

    “ขอโทษครับ ขอผมไปด้วย...คน...”

    เมื่อกี้ฉันคงแค่ตกใจ แต่ตอนนี้บอกได้คำเดียวว่า ช็อก!

    คิมคิบอม!

    หมอนั่นก้าวเข้ามาในลิฟท์ด้วยท่าทางประดักประเดิดไม่ต่างจากฉัน ประตูลิฟท์เลื่อนปิด และเราสองคนอยู่ด้วยกัน... สองต่อสอง

    วินาทีนี้แม้แต่เสียงกลืนน้ำลายฉันยังได้ยินเลย

    “ไม่กดเหรอ?”

    “หา...เอ่อ...ชั้นไหนล่ะ?”

    “ก็เราอยู่ชั้นเดียวกัน...”

    “แหะๆ... จริงสินะ” ฉันหัวเราะแห้งๆ พยายามที่จะไม่มองหน้าเขา นึกอยากเอาหัวโขกกำแพงลิฟท์ให้ตายไปข้าง ทำม๊ายยย ทำไม! ทำไมต้องเป็นคิมคิบอมในเวลานี้นะ! T^T หัวใจฉันจะระเบิดอยู่แล้ว!

    ลิฟท์ดูเหมือนจะเคลื่อนตัวเชื่องช้ามาก ใช่สินะ เราอยู่ชั้นที่ 20 นี่ แม่อยากจะเก็บข้าวของย้ายลงไปอยู่ชั้น 1 ให้มันรู้แล้วรู้รอด! เราได้แต่ปล่อยให้ความเงียบกั้นกลางระหว่างเราสองคน ตั้งแต่ฉันเจอหน้าอีตานี่มาไม่เคยมีวันไหนที่มันจะสงบปากสงบคำมากเท่านี้มาก่อน แต่ก็อีกนั่นแหละ... ถ้าเขาปากหมาใส่ฉันซะเหมือนทุกทีอะไรๆ มันคงจะง่ายกว่านี้ เพราะฉันจะได้ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเวลาที่อยู่กับเขา...

    ฉันเหลือบตาไปมองคนข้างตัว เหลือบแบบเหลือบสุดๆ เรียกว่าหางของหางตา แต่ดูเหมือนตานั่นก็จะทำแบบเดียวกันและในเวลาเดียวกันซะด้วย หมอนั่นทำเป็นไอแก้เก้อ ส่วนฉันก็ขยับมือพัดให้ตัวเองเร็วๆ ทำไมไม่ถึงซักทีเนี่ย! T^T

    “เอ่อ... ดูคุณหน้าแดงๆนะ” จู่ๆหมอนั่นก็ทักขึ้นมา เล่นเอาซะฉันสะดุ้งเลย

    “โอ๊ย ฉันก็ไปสังสรรค์กับเพื่อนมานิดหน่อยน่ะ ไม่ได้เมาอะไรมากมายหรอก” ฉันรีบตอบ รู้สึกตัวเองเสียงสูงกว่าเดิมไปสามคีย์เห็นจะได้ ยังไม่ทันที่เราจะพูดอะไรต่อจากนั้น ลิฟท์ก็หยุดลง ไชโย! T^T

    ฉันรีบก้าวเท้าไปทางประตูโดยไม่ทันมองว่าหมอนั่นเองก็ทำอย่างเดียวกัน เลยกลายเป็นว่าเราสองคนเดินชนกันจังๆ และฉันคงล้มลงไปนอนวัดพื้นแล้วถ้าไม่ใช่ว่าคิมคิบอมเอื้อมมือมาคว้าตัวฉันเข้าไปในอ้อมกอดได้ทัน

    แต่ว่าตอนนี้ใบหน้าของเราสองคนอยู่ใกล้กันมาก ใกล้ชนิดที่เป็นอันตรายต่อหัวใจสุดๆ คิมคิบอมทำตาโต ท่าทางประหลาดใจส่วนฉันเองก็คงมีสีหน้าไม่ต่างกันเท่าไหร่ แต่ทำไมนะ ทำไม... ฉันไม่เคยคิดว่าหมอนี่ดูดีมาก่อน จมูกได้รูปนั่น ดวงตาที่ดูมีสเน่ห์เวลาเค้ายิ้ม หรือแม้กระทั่งริมฝีปาก ถึงจะรู้ว่ามันอันตรายแต่ฉันก็ห้ามสายตาตัวเองให้จ้องริมฝีปากของเขาไม่ได้ แล้วยิ่งตอนนี้เหมือนมันยิ่งเคลื่อนเข้ามาใกล้เรื่อยๆ... เรื่อยๆ...

    ตริ๊ง! ตริ๊ง!

    เสียงร้องเตือนของลิฟท์ทำให้เราผละจากกันแทบจะในทันที ตอนนี้หน้าฉันร้อนจนแทบจะลุกเป็นไฟได้อยู่แล้ว!!

    “เอ้อ... ราตรีสวัสดิ์” หมอนั่นพูดแล้วก็ก้าวฉับๆไขประตูปิดเข้าห้องตัวเองไปทันที ทิ้งฉันที่ยังยืนจับต้นชนปลายไม่ถูกไว้หน้าลิฟท์กับหัวใจที่ทำยังไงก็ไม่ยอมเต้นด้วยจังหวะปกติสักที

    จริงเหรอเนี่ย... เป็นไปไม่ได้ใช่มั้ย...

    นี่ฉันตกหลุมรักคิมคิบอมจริงๆงั้นเหรอ?
     

    ฉันจ้องภาพสะท้อนในกระจกอย่างภูมิใจ ไอลี นักร้องสาวที่กำลังโด่งดังจ้องตอบกลับมา สไตล์ลิสท์ส่วนตัวของฉันกำลังช่วยจัดแต่งทรงผมให้อย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการซ้อมละคร แต่ฉันต้องมั่นใจว่าฉันจะต้องดูดีในทุกมุม

    “คุณไอลีนี่ทั้งสวยทั้งมีความสามารถเลยนะคะ” เธอเอ่ยชม และนั่นทำให้เงาสะท้อนตรงหน้าฉันแย้มรอยยิ้มขึ้นมา

    “ต่างกับเด็กคนนั้นนะคะ ได้ยินว่าครูสอนของแบวูฮีเองเป็นถึงลูกสาวเจ้าของสถานีโทรทัศน์เลยนะคะ มิน่าล่ะถึงได้เป็นหุ้นส่วนใหญ่โรงเรียนดนตรีได้ทั้งๆที่ไม่มีความสามารถ” สไตล์ลิสท์ช่างคุยนั่นยังคงเมาท์ต่อไม่หยุด ฉันไม่ได้ประหลาดใจหรอกนะสำหรับเด็กที่ชื่อแบวูฮี แค่แว่บเดียวที่มองใครๆก็รู้ว่าเด็กคนนั้นยังขาดคุณสมบัติอยู่มาก ถ้าคิดที่จะเป็นนักร้องล่ะก็มันต้องมีอะไรมากกว่าหน้าสวยๆ กับเสียงเพราะๆ ถึงยังงั้นฉันก็คิดว่าคิบอมน่าจะมองออก และเหตุผลที่เขายอมให้เด็กนั่นผ่านแคสติ้งคงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากยัยครูฝึกสอนหน้าเด็กนั่น

    “ฉันได้ยินมาว่าครูคิมแทยอนกับพีดีคิมสนิทกันเป็นการส่วนตัว... เป็นเรื่องจริงเหรอคะ?” ฉันลองถามหยั่งเชิง แล้วก็ไม่ผิดหวัง ยัยสไตล์ลิสท์นั่นทำเสียงจุ๊ปากแบบตัวแม่ขาเมาท์แล้วก็พรั่งพรูออกมาเป็นชุด

    “ใครๆเค้าก็ลือกันว่าสองคนนั้นอยู่ด้วยกันค่ะ ก็พีดีน่ะติดรถมากับคุณแทยอนทุกเช้า กลับด้วยกันทุกเย็น พีดีก็ออกจะหล่อ รวย มีความสามารถ ถึงคิมแทยอนจะสู้คุณไอลีไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับนะคะว่าเธอน่ะรวย หน้าตาก็ไม่ได้แย่อะไรนัก แต่รับรองว่าถ้าฉันเป็นผู้ชาย ฉันต้องเลือกคุณไอลีอยู่แล้วล่ะค่ะ”

    ฉันกลอกตาให้กับความช่างสอพลอของสไตล์ลิสท์คนนี้แล้วก็ทำได้แค่ปั้นหน้ายิ้มตอบไปตามมารยาท ยังไม่ทันที่ยัยนั่นจะอ้าปากพูดอะไรต่อ ใครคนหนึ่งก็ถือวิสาสะเปิดประตูเข้ามาในห้องโดยที่ไม่แม้แต่จะเคาะก่อน

    คิมคิบอม...

    “หวังว่าคุณคงไม่ได้กำลังยุ่งอยู่นะ” เขาเริ่มพูด แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูบังคับกลายๆซะมากกว่า

    “ฉันว่างสำหรับคุณเสมออยู่แล้วล่ะคะ” ฉันโปรยยิ้มที่คิดว่ามีสเน่ห์มากที่สุดให้กับเขาก่อนจะหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้าแฟนเก่าที่เดินเข้ามาใกล้

    “งั้นผมขอคุยกับคุณ เป็นการส่วนตัว หน่อยได้ไหม?” คิบอมจงใจเน้นคำก่อนจะตวัดหางตาไปมองสไตล์ลิสท์ที่เห็นได้ชัดว่ายืนเงี่ยหูฟังเป็นสปายอยู่ตั้งแต่ต้น สงสัยว่าได้มีข่าวลือเรื่องฉันกับคิบอมแน่ๆ แต่ก็ช่างปะไร อันที่จริงนั่นก็เป็นสิ่งที่ฉันต้องการอยู่แล้ว

    คุณสไตล์ลิสย่องหลบออกไปอย่างรู้หน้าที่ ดีไม่ดีอาจจะแอบฟังอยู่หน้าประตู แต่ห้องที่นี่เก็บเสียงทุกห้อง เพราะงั้นอย่าหวังว่าจะได้ยินอะไรเลย ต่อให้ฉันร้องเทสต์คีย์โซปราโนอยู่ในห้องนี้เสียงก็ไม่มีทางทะลุออกไปถึงข้างนอกได้ คิบอมดูจนแน่ใจว่าประตูล็อก แล้วเขาก็หันกลับมาเผชิญหน้ากับฉัน

    “ไอลี สิ่งที่คุณทำมันมากเกินไป” เขายิงตรงประเด็นแบบไม่คิดจะอ้อมค้อมให้เสียเวลา ฉันพอจะเดาได้เลาๆอยู่แล้วล่ะว่าเขาคงเป็นแบบนี้ คิบอมเป็นคนตรงไปตรงมาจนบางทีก็น่ารำคาญ แต่ว่าส่วนมากฉันมักจะมองมันเป็นความน่ารักของเขาซะมากกว่า

    “ถ้าหมายถึงคิมแทยอนล่ะก็ ฉันไม่เห็นว่าจะมากไปตรงไหน ฉันไม่ได้ไปตัดลิ้นให้แม่นั่นร้องเพลงไม่ได้สักหน่อย เธอทำไม่ได้เอง แล้วฉันก็คิดว่ามันไม่แฟร์ที่คุณจะให้โอกาสคนไร้ความสามารถอย่างนั้นทั้งๆที่มีคนอยากได้โอกาสนี้อยู่อีกตั้งมากมาย” ฉันตอกกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ยังอดสงสัยในใจไม่ได้... ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะเป็นเดือดเป็นร้อนกับเรื่องของคนอื่น แต่ทำไมกับคิมแทยอนเขาถึงได้แสดงท่าทางแบบนี้ออกมา นี่มันต่างจากคิมคิบอมที่ฉันเคยรู้จักจนคาดไม่ถึง และที่แน่ๆ... มันทำให้ฉันเจ็บ...

    “ยัยนั่นกลัวเวที... ความรู้สึกแบบนั้นคุณน่าจะเข้าใจดีว่ามันเป็นยังไง ถ้าคุณรู้เรื่องนี้แล้วใช้จุดนั้นเล่นงานคิมแทยอนล่ะก็ ผมคงต้องบอกคุณว่าผมเสียใจมากที่คุณใช้จุดอ่อนของคนอื่นเป็นเครื่องมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... ในเมื่อตัวคุณเองก็เคยผ่านความรู้สึกเจ็บปวดแบบนั้นมาแล้ว”

    ฉันนิ่งไปกับสิ่งที่คิบอมพูดออกมา

    เด็กคนนั้นกลัวเวทีเหรอ? ฉันไม่ได้สังเกตเลย แต่พอนึกย้อนกลับไปแล้ว ท่าทางแบบนั้น สีหน้าแบบนั้น... ไม่ต่างกับฉันเมื่อก่อนเลยสักนิด... แต่ถึงยังไงฉันก็ยังเชิดหน้าใส่คิมคิบอม

    “แล้วยังไง? นั่นเป็นเรื่องที่ฉันผ่านมาได้ คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าคิมแทยอนก็ควรจะผ่านไปให้ได้ ถ้าเธอยังคิดที่จะร้องเพลงต่อไป”

    “แต่สิ่งที่คุณทำมันเป็นการซ้ำเติมเด็กคนนั้นนะ!” คิบอมขึ้นเสียงใส่ฉันด้วยความโมโห ฉันได้แต่มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา แล้วก็หัวเราะแค่นออกมา... คิมคิบอมที่ใครๆก็เคยพูดว่าเหมือนเจ้าชายน้ำแข็ง คนที่แสดงอารมณ์ออกมาได้ยากขนาดนั้นกลับโมโหฉันเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับชีวิตเขาเลยสักนิด

    “คุณชอบยัยนั่นมากขนาดนั้นเลยเหรอไง?” ฉันถามกลับ จ้องเข้าไปในดวงตาของเขาตรงๆ คิบอมดูเหมือนจะได้สติ เขากระแอมไอสองสามทีแล้วก็หลบสายตา... เป็นแบบนี้ทุกทีเวลาที่ฉันรู้ทัน... แต่ครั้งนี้ฉันภาวนาให้ตัวเองคิดผิด ภาวนาให้คิมคิบอมจ้องตาฉันแล้วปฏิเสธกลับมา แต่ก็ไม่...

    “ผมแค่ไม่ชอบการเล่นด้วยวิธีสกปรก และผมเคยคิดว่าคุณเป็นคนที่ดีกว่านี้...” เขาพูดออกมาในที่สุด

    “แต่ฉันไม่สนว่าคุณจะคิดยังไงกับฉัน ฉันแค่อยากรู้ว่าคุณยังรักฉันอยู่บ้างไหม?” ฉันถามออกไปตรงๆ คิบอมนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำตอบ

    “เรื่องของเรามันจบไปนานมากแล้ว และผมก็ไม่คิดว่าจะรักคุณได้อีก”

    ผู้ชายตรงหน้าฉันหมุนตัวเดินกลับออกไป ทิ้งให้ฉันได้แต่นั่งนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะหันกลับไปจ้องมองเงาในกระจก

    กระจกเอ๋ย... ช่วยบอกฉันที...

     

    เป็นเพราะคิมแทยอนใช่ไหม เขาถึงได้เย็นชากับฉันได้ถึงขนาดนี้...?
     

     

    “นี่นายพูดอะไรออกมา รู้ตัวรึเปล่า!?” ฉันวีนเสียงแหลมปรี๊ดใส่คิมคิบอมที่ยังตีหน้าเฉยขับรถต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมรถที่ตานั่นขับเนี่ย เป็นรถฉันซะด้วย... ไม่ได้ละทิ้งหน้าที่หรืออะไรหรอกนะ แต่หมอนี่ชอบบอกว่าฉันขับช้าเป็นเต่าแล้วก็ชอบแย่งกุญแจไปขับเองซะดื้อๆ ค่าน้ำมันก็ไม่จ่ายให้ด้วย ชิส์ เดี๋ยวสิ นี่ไม่ใช่เวลามานอกเรื่องนะ ประเด็นมันอยู่ที่หมอนี่เพิ่งพูดอะไรออกมาต่างหาก

    “ก็แค่บอกว่า เพลงที่เขียนให้คุณน่ะ ผมเซ็นสัญญากับค่ายไปแล้วว่าจะออกเป็นซิงเกิ้ล แล้วคุณก็ต้องมาเป็นนักร้องให้ผมด้วย”

    “คิมคิบอม นายประสาทไปแล้วรึไง? นายก็รู้ว่าฉันกลัวเวที อยากให้งานตัวเองพังไม่เป็นท่ารึไงห๊ะ?” ฉันสวนกลับไป แต่หมอนั่นกลับพูดต่อโดยไม่หันมามองหน้าฉันด้วยซ้ำ

    “อีกสามวันจะมีงานโชว์เคส เพราะงั้นหาเวลาว่างไปเข้าห้องอัดด้วยล่ะ อ้อ! อย่าลืมหาเสื้อผ้าดีๆใส่ขึ้นโชว์ในวันงานด้วยนะ”

    ฉันนึกฉุนหมอนี่ในใจ ให้ตายเถอะ! นี่มันไม่ได้ฟังที่ฉันพูดไปเลยหรือไง อย่างฉันน่ะนะจะให้ขึ้นไปร้องเพลงในงานโชว์เคสวันแถลงข่าว เฮอะ! มีแต่พังกับพังไม่เป็นท่าแน่นอนล่ะงานนี้

    “นายไปหานักร้องคนอื่นเถอะ ไอลีก็ได้นี่ ฉันร้องให้นายไม่ได้หรอก”

    เอี๊ยด!

    อีตาบ้านั่นเหยียบเบรกกลางถนนแบบไม่สนใจเสียงแตรดังลั่นที่ตามมาข้างหลัง เขาหันหน้ามามองฉันตรงๆพร้อมแววตาจริงจังที่ทำให้หัวใจของฉันเริ่มเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ

    “เพลงนั้นผมแต่งให้คุณ เพราะงั้นมีแต่คุณคนเดียวเท่านั้นที่จะร้องมันได้ ผมไม่ให้ใครหน้าไหนร้องทั้งนั้น”

    “แต่ฉันกลัวเวที--

    “คุณไม่คิดอยากจะเอาชนะมันบ้างเหรอ?” คำพูดของเขาทำให้ฉันจุกไปพักหนึ่ง ได้แต่นั่งนิ่งสบตาคู่นั้นที่ปนเปไปด้วยความรู้สึกหลายอย่าง “คุณรักการร้องเพลงมาก ผมอยากให้คุณเอาชนะตัวเองให้ได้ เพื่อที่คุณจะได้ร้องเพลงต่อไป... อย่างน้อยก็คิดซะว่านี่เป็นค่าตอบแทนที่ผมแต่งเพลงให้... ได้ไหม?” น้ำเสียงท้ายประโยคเขามีแววอ่อนลง รอยยิ้มอบอุ่นแบบนั้นทำให้หัวใจฉันแทบจะหยุดเต้น แล้วโดยที่ไม่รู้ตัวเลย ฉันก็พยักหน้าตอบกลับไปช้าๆ

    “...ฉันจะลองดู”

    คิมคิบอมยิ้มกว้าง แล้วหันกลับไปขับรถต่อ ทิ้งให้ฉันนั่งอึ้งกับคำตอบของตัวเองอยู่ในใจ

    ที่ฉันตอบตกลง ไม่ใช่เพราะอยากเอาชนะตัวเองหรือเพราะอยากจะร้องเพลงอะไรทั้งนั้น... แต่เพราะฉันอยากทำเพื่อผู้ชายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉันนี่ต่างหาก...

    คิมแทยอน เธอจะทำได้ไหมนะ?

     

     

    “เอาล่ะ เท่านี้ก็สวยแล้ว แทงกูของพวกเรา” ฮโยยอนแตะลิปสติกลงบนริมฝีปากของฉันเป็นขั้นตอนสุดท้าย แล้วการแปลงโฉมยัยเอ๋อคิมแทก็เสร็จสมบูรณ์ ฉันจ้องเงาตัวเองในกระจก ผู้หญิงตรงหน้านั่นดูยังกับไม่ใช่ฉันแน่ะ ผมถูกม้วนเป็นลอนเรียบร้อย แก้มเป็นสีชมพูเรื่อกับริมฝีปากอิ่มที่แต้มด้วยสีแดงนิดๆ ชวนให้นึกถึงเจ้าหญิงที่ใสบริสุทธิ์ราวหิมะ แถมฮโยยอนยังออกแบบชุดมาให้เป็นพิเศษ ถึงขั้นที่อูยองโทรมาบ่นฉันเรื่องที่ยัยนี่เอาแต่หมกตัวอยู่หน้าจักรแทบไม่กินไม่นอนไปสามวัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาสวยถูกใจ เดรสแขนกุดสีครีมอ่อนเกือบขาว ช่วงบนของเสื้อใช้ผ้าลูกไม้ซีทรูปักคริสตัลเย็บต่อกับผ้าสีพื้นๆ กระโปรงถูกตัดเป็นทรงบานออกเย็บทับด้วยผ้าลูกไม้ลายเดียวกัน สวยและดูหรูสุดๆจนไม่อยากจะเชื่อว่าชุดนี้มันจะมาอยู่บนตัวฉันได้

    “แต่งตัวสวยแล้วทั้งทีก็ทำหน้าตาให้มันดีหน่อยสิ นี่ฉันอุตส่าห์บอกคุณสามีให้ขนกล้องทุกตัวที่มีในบ้านมาถ่ายคลิปประวัตศาสตร์นี้เก็บไว้เลยนะ” ว่าที่คุณแม่ตัวเตี้ยยืนหัวเราะคิกคักเกาะแขนฟานี่ที่ทำท่าไม่ต่างกัน คิมแทสุดจะเซ็ง =__=

    ทันทีที่ฉันป่าวประกาศให้สาวๆในกลุ่มรู้เรื่องที่จะร้องเพลงนี่ เชื่อมั้ยคะว่าทุกคนทำตัวประหนึ่งว่าลูกสาวจะแต่งงาน ฮโยยอนถึงกับลงทุนซื้อผ้ามาตัดชุดให้ใหม่ ส่วนฟานี่กับซูยองก็ประโคมกันขนเครื่องสำอางทุกชนิดที่มีมาโบ๊ะหน้าจืดๆของฉันให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น นี่ไม่นับที่ว่ายัยพวกนั้นถึงขั้นลางานมาดูฉันร้องเพลงแบบครบกลุ่มเลยนะ

    “พวกเราออกไปกันดีมั้ย แทยอนจะได้ทำสมาธิ” ยัยโย่งซูยองเสนอ เฮ้ย... เวลานี้สิ่งที่ฉันไม่ต้องการที่สุดคือการอยู่คนเดียวนี่แหละ T^T แต่เพราะกลัวจะโดนเพื่อนหาว่าป็อด แถมหมวดยุนก็ไปนั่งแกร่วจองที่อยู่ตั้งนานสองนานแล้ว ฉันเลยไม่กล้าจะรั้งใครไว้ ได้แต่ยืนโบกมือหยอยๆร่ำลาเพื่อนจนกระทั่งประตูปิด

    .................

    กร๊าซซซซ!!! ฉันจะทำยังไงดีละเนี่ย T^T อีตาคิมคิบอมคนบ้า! ถ้ารอดจากงานนี้ไปได้ล่ะก็แม่จะต่อยให้แก้มบวมกำลังสองเลย คอยดู!

    ฉันคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยแล้วก็ได้แต่เดินไปเดินมาตรงหน้ากระจก ก็มันตื่นเต้นนี่ ตื่นเต้นมากๆ เลย ถึงจะเข้าห้องอัดไปแล้ว แต่ว่านี่ฉันต้องร้องสดต่อหน้าผู้ชมนับร้อย นับร้อยเลยนะ! ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าฉันทำไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น...

    ก๊อก ก๊อก...

    เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำเอาฉันสะดุ้งโหยง แล้วใครบางคนก็แง้มบานประตูเข้ามา... โธ่ นึกว่าใคร อีตาคิมคิบอมน่ะเอง

    “ไง ตื่นเต้นเหรอ” เขาทัก ซึ่งฉันก็ได้แต่ค้อนขวับก่อนจะตอบไปแบบประชดๆ

    “ไม่ตื่นเต้นเลย ฉันชิลล์จนจะนั่งซักผ้าได้อยู่แล้วเนี่ย”

    “งั้นเหรอ ก็ดี”

    ดีบ้านปลาทองนายน่ะสิ -*-... ฉันได้แต่คิดในใจก่อนจะเริ่มกลับไปเดินสวนสนามหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีกรอบ ไม่ได้สนใจนายนั่นที่ยืนนิ่งเป็นเป่าสากอยู่อีกสองหรือสามนาทีหลังจากนั้น จนกระทั่งฉันหงุดหงิดขึ้นมา

    “นี่นายจะยืนบื้อมองฉันทำไมไม่ทราบ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ออกไปได้แล้วไป๊”

    “...ก็... แค่จะบอกว่าวันนี้เธอแต่งแบบนี้แล้วดูดี”

    ฉันชะงักกึก รู้สึกเหมือนเลือดพากันสูบฉีดขึ้นมากองบนหน้า ทำไมต้องหวั่นไหวขนาดนี้ด้วยเล่าคิมแทยอน! เค้าก็แค่ชมเธอตามมารยาทนะ อีกอย่างลงยัยพวกนั้นจัดเต็มขึ้นมาขนาดนี้มันก็ต้องดูดีมีระดับกว่าตัวฉันในเวลาปกติอยู่แล้วสิ แต่ถึงจะคิดยังงั้นมันก็ไม่ได้ทำให้หัวใจฉันเต้นช้าลง ยิ่งเห็นท่าทางขัดๆเขินๆของหมอนั่นที่อยู่ตรงหน้าด้วยแล้วฉันยิ่งแทบจะบ้าไปใหญ่

    “หายตื่นเต้นแล้วเหรอ?” หมอนั่นทักขึ้นมา แล้วก็เหมือนมีสวิตช์เปิดปิด ตอนนี้ไอ้ความรู้สึกแบบที่มีผีเสื้อเป็นฝูงบินวนอยู่ในท้องมันกลับมาอีกแล้ว ฮือ... T^T คิมแทยอนอยากต๊าย

    หมอนั่นเหมือนจะอ่านสีหน้าฉันออก ถึงได้ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นมา

    “ต้องทำยังไงเธอถึงจะหายตื่นเต้น?”

    “ไม่รู้สิ... คือแบบว่าถ้ามีอะไรสักอย่างที่ช่วยเบนความสนใจฉันจากเรื่องขึ้นเวทีนี่ไปได้ก็คงจะดี” ฉันตอบออกไปก่อนจะกลับไปเดินกรรมฐานเหมือนเดิม ก็คนมันกลุ้มนี่!

    คิมคิบอมยืนคิดอะไรอยู่สักครู่หนึ่งแล้วเขาก็หันมาบอกฉัน

    “งั้นหวังว่านี่น่าจะช่วยเบนความสนใจได้มากพอนะ...”

    แล้วก่อนที่ฉันจะรู้ตัว นายพีดีนั่นก็ก้าวเข้ามาประชิด มือใหญ่ๆนั่นประคองใบหน้าฉันให้เงยขึ้น ก่อนจะประทับริมฝีปากลงมา

    มันอาจจะแค่ประมาณสิบวิ ยี่สิบวิ หรือนานกว่านั้น แต่สมองฉันกลับหยุดประมวลผลไปโดยสิ้นเชิง ชั่ววินาทีที่ริมฝีปากของเราสัมผัสกันทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่ง

    เขากำลังจูบฉัน คิมคิบอมจูบฉัน!

    “ถ้าหายตื่นเต้นแล้วก็ร้องเพลงให้ดีๆล่ะ” เขาพูดหลังจากที่ผละออกไป แล้วฉันก็ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกทั้งสิ้น รู้สึกตัวอีกที หมอนั่นก็ดึงประตูปิดตามหลังไปแล้ว ทิ้งไว้แต่สัมผัสอุ่นๆบนริมฝีปาก

    บ้าไปแล้ว! นี่มันบ้าชัดๆ!

    ฉันยกมือขึ้นทาบแก้มตัวเองที่ร้อนจี๋ยังกับจะเป็นไข้ เราจูบกัน! นี่เราเพิ่งจูบกัน! หมอนั่นอยู่ๆก็จูบฉันหน้าตาเฉยเนี่ยนะ!!!

    คิมแทยอนอยากจะบ้า!!!

    ก๊อก! ก๊อก!

    เสียงเคาะประตูทำเอาฉันสะดุ้งโหยง ตายละหว่า อย่าบอกนะว่าอีตาบ้านั่นกลับมาอีกรอบ ฉันยังไม่พร้อมจะเจอนายตอนนี้นะ อีตาพีดีบ้าปัญญาอ่อน! ระหว่างที่ฉันมองไปรอบๆห้อง กำลังชั่งใจว่าจะมุดไปหลบใต้โต๊ะเครื่องแป้งดีมั้ย บานประตูก็เปิดออก เสียงรองเท้าส้นสูงทำให้ฉันหายใจทั่วท้องไปได้เปลาะหนึ่งว่าไม่ใช่อีตาห้าบวมนั่น แต่พอหันหน้าไปเจอผู้มาเยือน ความโล่งใจเมื่อครู่ก็หายไปในพริบตา

    เพราะคนที่ยืนอยู่ต่อหน้าฉันตอนนี้คือไอลี...

    “ไง ยินดีด้วยนะเรื่องเพลง” ยัยแม่มดนั่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย เธอวางกาแฟลงบนโต๊ะแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆประหนึ่งตัวเองเป็นราชินี

    “เธอมีธุระอะไร ต้องการอะไรจากฉัน?”

    “อย่ามาทำเหมือนว่าฉันเป็นยักษ์เป็นมารหน่อยเลยน่า” ยัยนั่นพูดออกมาติดจะหงุดหงิดเล็กๆ ก่อนจะสะบัดผมอย่างมีมาด “เรื่องเมื่อวันนั้นน่ะ ฉันไม่รู้มาก่อนว่าเธอกลัวเวที ก็เลยแค่จะมาชี้แจงเฉยๆ ฉันไม่ใช่พวกชอบเล่นลูกไม้ตุกติก แล้วก็ไม่อยากให้คิบอมเข้าใจฉันแบบนั้นด้วย”

    ฉันหรี่ตาลงมองไอลีอย่างไม่แน่ใจ สรุปว่ายัยนี่มาไม้ไหนกันแน่ๆ ไอ้เท่าที่ฟังเนี่ยมันเหมือนจะตีความว่าเป็นคำขอโทษกลายๆได้เหมือนกันแฮะ...

    “ยังไงฉันก็ยังไม่ยอมรับความสามารถของเธอในฐานะนักร้องหรอกนะ เพราะคนเป็นนักร้องน่ะ อุปสรรคแรกที่ต้องก้าวผ่านไปก็คือเวที ถ้าเธอมีความสามารถมากขนาดที่คิบอมเขียนเพลงให้ เธอก็ควรจะแสดงมันออกมาให้เต็มที่” ไอลีพูดต่อ แล้วฉันก็เห็นแววบางอย่างไหววูบในดวงตาของเธอ มันดูเป็นอะไรสักอย่างที่คล้ายกับความจริงใจ แม้ว่าอีโก้เธอจะสูงมากเกินกว่าที่จะยอมรับหรือพูดทุกสิ่งออกมาตรงๆ

    ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนไม่ดีเลย แม้ว่าการแสดงออกของเธออาจจะดูเย่อหยิ่งถือตัว แต่ภายในเปลือกนอกที่เธอสร้างเอาไว้ ข้างในเธอก็เป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาๆที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักร้อง...

    แล้วฉันก็มั่นใจว่า ณ วินาทีนี้ ไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกฉันได้ดีไปกว่าผู้หญิงคนนี้

    “ขอบใจนะ ฉันจะพยายามทำเต็มที่” ฉันพูดออกไปพร้อมรอยยิ้ม ไอลีแค่เหลือบตามองทำเป็นเก๊กท่าต่อแล้วก็เลื่อนแก้วกาแฟมาให้ฉัน

    “ดื่มอะไรเย็นๆก่อนขึ้นเวทีสักหน่อยจะช่วยสงบสติอารมณ์ได้ นี่ถือซะว่าเป็นคำแนะนำจากนักร้องดังเชียวนะ เธอน่ะควรจะรู้สึกขอบคุณฉันให้มากๆ ทั้งที่เธอก็ทำตัวแย่ใส่ฉันมาตลอด”

    “อ๋อเหรอ~ คุณนักร้องดังผู้สุดแสนจะใจดี” ฉันตอบประชดพลางเบะปากให้ยัยแม่มดที่หรี่ตามองกลับมาอย่างจิกกัดเช่นกัน ยัยนั่นทำเสียงจิ๊กจั๊กแล้วหมุนตัวกลับ เดินไปทางประตู

    “ฉันเสียเวลามามากพอแล้ว ไปล่ะ อย่าทำอะไรให้มันขายหน้ามาถึงทีมละครนะยะ”

    “รีบๆไปเลยแม่นักร้องคิวทอง!” ฉันแลบลิ้นใส่แล้วยัยนั่นก็ปิดประทูกระแทกกลับมา ชิส์ ปากร้ายได้จนถึงที่สุดจริงๆ... แต่ถึงยังไง ฉันก็อดรู้สึกขอบคุณเธอไม่ได้

    ฉันคว้าแก้วกาแฟสตาร์บั๊คขึ้นมา กลิ่นหอมลอยขึ้นมาแตะจมูก ฉันยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะดูดกาแฟรสชาตนุ่มๆเข้ามาในปาก... จริงด้วยแฮะ ความหวานกับความเย็นของน้ำกาแฟช่วยทำให้ฝูงผีเสื้อในท้องหายไปได้จริงๆด้วย ไอลีพูดไว้ไม่ผิด...

    แต่ทันทีที่ฉันกลืนกาแฟลงคอไป สัญชาติญาณในตัวก็ร้องเตือนถึงอะไรบางอย่าง...

    กลิ่นของมันไม่ได้มีแต่กาแฟ...

    ฉันพลิกข้างแก้วดูทันทีแล้วร่างทั้งร่างก็ชาวาบ

    เฮเซลนัทไซรัป!

    ฉันอ่านได้เท่านั้นแล้วตาสองข้างก็เริ่มพร่าพราย ลมหายใจติดขัด สองมือสั่นเทาจนต้องปล่อยให้แก้วกาแฟร่วงลงไปกับพื้น น้ำสีน้ำตาลครีมไหลเจิ่งนองเป็นทาง แต่ตอนนี้ในหัวของฉันมันมึนไปหมด

    ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที!

    ฉันโซซัดโซเซพยายามจะเดินไปทางประตู แต่ระยะทางดูจะไกลเหลือเกิน...

    ทำไมกัน? ทำไมไอลีถึงได้ทำกับฉันแบบนี้? นี่เธอจงใจงั้นเหรอ? แต่ว่า... เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันแพ้ถั่ว?

    สองขาของฉันหมดเรี่ยวแรง ลมหายใจขาดห้วงลง ลำคอของฉันตีบตันจนแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกไปก็ยังทำไม่ได้ แล้วในเสี้ยววินาทีนั้นเองใครบางคนก็เปิดประตูเข้ามา...

    ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย!!!

    ใบหน้าสวยหวานของเธอที่ฉันพอมองเห็นได้เพียงเลือนรางไม่มีวี่แววของความประหลาดใจแม้สักนิด เรียวปากสีชมพูอิ่มขยับรอยยิ้มเย็นชาระหว่างที่มองฉันกำลังจะตายอยู่ตรงหน้า

    แล้วฉันก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด... คนที่รู้ว่าฉันแพ้ถั่ว... คนที่เจ็บปวดกับอาการกลัวเวทีของฉัน...คนที่วางแผนให้ไอลีเอากาแฟใส่เฮเซลนัทไซรัปมาให้ก่อนขึ้นโชว์เคสไม่กี่ชั่วโมง...

    คนๆนั้นก็คือแบวูฮี...
     

    เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังก้องมาจากทางที่ผมเพิ่งจะเดินจากมาได้ไม่นาน วินาทีนั้นร่างทั้งร่างของผมชาวาบ แล้วสองขาก็รีบพาตัวเองวิ่งกลับไปทางเดิมก่อนที่สมองจะสั่งการซะอีก

    “เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ร่างของไอลีโผล่ขึ้นตรงหน้า เธอดูประหลาดใจไม่แพ้กัน... ว่าแต่ ไอลีมาทำอะไรที่นี่? ผมไม่ได้บอกเธอด้วยซ้ำว่าจะมีงานนี้... หรือว่า...

    “คุณทำอะไรอีก? คุณทำอะไรแทยอน? บอกผมมานะไอลี!” ผมบีบไหล่ทั้งสองข้างของเธอด้วยความร้อนรน ยังไม่ทันคาดคั้นอะไรต่อเพื่อนๆของคิมแทยอนก็วิ่งตามผมมา แทคยอนพุ่งพรวดผ่านหน้าผมไปเป็นคนแรก ในขณะที่ทุกคนที่เหลือยังดูสับสน และผมก็ยังไม่คิดจะปล่อยตัวไอลีไปง่ายๆ คุณทิฟฟานี่ หนึ่งในเพื่อนสนิทของเธอก้าวเข้ามาบีบข้อมือผมเบาๆ

    “อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ค่ะ... เมื่อกี้น่ะเสียงสิก้า ยัยนั่นเป็นคนขวัญอ่อน ยังไงเราไปดูกันก่อนดีกว่า”

    ไอลีสะบัดตัวหลุดจากผมก่อนจะเดินฝ่ากลุ่มพวกเราออกไป ผมกับผู้หมวดยุนอามองหน้ากัน แล้วเธอก็หันไปบอกเพื่อนๆ

    “ทุกคนรอตรงนี้นะคะ เดี๋ยวฉันกับคุณคิบอมไปดูเอง--

    “แทยอน!!” เสียงร้องแหลมของซันนี่ดังขึ้นขัดกลางประโยค ผมหันหลังกลับไปมองแล้วภาพที่เห็นก็ทำให้เลือดในตัวเย็นเฉียบ

    ร่างซีดขาวเหมือนหิมะของคิมแทยอนที่ไร้สติถูกแทคยอนอุ้มออกมาโดยมีเจสสิก้าที่ร้องไห้ไม่หยุดวิ่งตามหลัง

    “เรียกรถพยาบาล เรียกรถพยาบาลเร็ว! แทยอน... แทยอนไม่หายใจแล้ว!

    เสียงหวีดร้องเบาๆดังขึ้นประสานกัน แล้วชั่ววินาทีนั้น แทบทุกคนก็เกือบจะหยุดหายใจตามไปด้วย ซอฮยอนเป็นคนแรกที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นด้วยมือสั่นเทา แล้วยุนอาก็รีบวิ่งตามแทคยอนไปทันที

    “คิบอม นายรีบตามสองคนนั้นไปสิ! พาแทยอนไปโรงพยาบาลเร็วเข้า!” คำพูดของคยูฮยอนเรียกสติของผมคืนมา และโดยที่ไม่ต้องรอให้ใครเตือนซ้ำสอง ผมออกวิ่งตามคุณยุนอาไปทันที สมองอื้ออึงไปด้วยภาพของคิมแทยอน รอยยิ้มของเธอ น้ำเสียงที่เพราะจับใจนั่น ภาพตอนที่เธอร้องไห้กับผม หัวเราะกับผม... เท่านั้นหัวใจก็เหมือนถูกบีบรัด

    เป็นความผิดของผมเอง... เพราะผมที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้... ทั้งที่พยายามจะช่วยเธอ แต่ผมกลับทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย แล้วถ้าผมปกป้องผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ไว้ไม่ได้ ผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง?

    “พี่แทคยอน พี่สิก้า ไปเอารถมาเร็ว ฉันจะปฐมพยาบาลเท่าที่ทำได้ไปก่อน” คุณยุนอาสั่งการอย่างรวดเร็ว ผมก้าวเข้าไปรับร่างของแทยอนต่อจากเพื่อนสนิทที่รีบวิ่งตรงไปอีกทางกับเจสสิก้า

    “ช่วยวางร่างพี่แทยอนลงกับพื้นได้ไหมคะ ฉันจะทำ CPR?” ผมพยักหน้ารับแล้วก็ประคองร่างเย็นเฉียบให้นอนลงกับพื้น คุณยุนอาแตะปลายนิ้วตรงลำคอเพื่อวัดชีพจร แววตาคล้ายโล่งใจเล็กๆของเธอบอกให้รู้ว่าคิมแทยอนยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าเธอหยุดหายใจนานมากไปกว่านี้ ทุกอย่างอาจจะสายเกินแก้

    มือเล็กๆขอยุนอาประสานเหนือตำแหน่งหัวใจก่อนจะกดลงแรงๆสองสามที สลับกับการเป่าลมเข้าไปในปาก แต่ไม่ว่าจะทำยังไง ร่างตรงหน้าก็ยังแน่นิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ผมได้แต่มองคุณยุนอา ฝากความหวังไว้สุดหัวใจ แต่น้ำตาที่ร่วงลงมาเป็นสายบนใบหน้าสวยๆของเธอยิ่งบีบหัวใจผมจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ

    “คิมแทยอน! อย่าทำแบบนี้! พี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะ... อย่าทิ้งฉันไป... อย่าทิ้งพวกเราไป” คุณยุนอาพึมพำอย่างสิ้นหวัง แล้วเธอก็นั่งลง เริ่มต้นร้องไห้เหมือนเด็กๆ

    เป็นไปไม่ได้... มันต้องไม่เป็นแบบนี้...

    “แทยอน... คิมแทยอน” ผมดึงร่างเย็นเฉียบเข้ามาในอ้อมกอด ดวงตาพร่าพรายไปด้วยหยดน้ำที่เอ่อท้น “ได้โปรด... หายใจสิ... คุณจะให้ผมทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น... แต่ขอร้อง... อย่าตายไปต่อหน้าผมแบบนี้” ผมจรดหน้าผากลงแนบผิวขาวราวหิมะของเธอ ริมฝีปากสีกุหลาบที่เพิ่งจูบไปไม่นานยังหลงเหลือความหวานจากสัมผัสสุดท้าย ทำไม... ทำไมต้องเป็นแบบนี้...

    แล้วในขณะที่พวกเราได้แต่ร้องไห้อย่างสิ้นหวังนั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหว ร่างของคิมแทยอนเกร็งกระตุกขึ้นมา เธอยังคงไม่ได้สติ แต่ก็เริ่มสำลักและหายใจอีกครั้ง

    “ยุนอา! คุณยุนอา!! แทยอนหายใจแล้ว!!” อิมยุนอารีบปาดน้ำตาออกก่อนจะรีบขยับเข้ามาดูอาการใกล้ๆ พร้อมรอยยิ้มกว้าง แต่พอเห็นร่างเล็กๆเกร็งกระตุกขึ้นมาอีกรอบ เราก็ได้แต่มองหน้ากันอย่างจนปัญญา แล้วในวินาทีนั้นเอง รถสปอร์ตสีขาวก็ขับมาจอดตรงหน้า มีแทคยอนเป็นคนขับ

    “ขึ้นมาเลย เร็วเข้า!

    ผมช้อนร่างแทยอนขึ้นมาอีกครั้ง ยุนอาช่วยเปิดประตูให้ แล้วแทคยอนก็ออกรถไปอย่างรวดเร็ว

    น้ำตาของผมยังคงไหลลงมาไม่หยุด... ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ไม่เคยเจ็บปวดเจียนตายเพราะใครบางคนมากขนาดนี้มาก่อน ผมไม่รู้เลย...

    ถ้าเจ้าหญิงคนนี้ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมไม่รู้เลยว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง...
     

    พวกเรานั่งรอหน้าห้องไอซียูมากว่าหกชั่วโมงแล้ว ฉันหันไปมองสภาพเพื่อนๆที่แต่ละคนดูเหนื่อยล้า แต่ถึงยังงั้นก็ไม่มีใครกล้าลุกออกไปไหน แม้แต่ซันนี่ที่พวกเราพร่ำบอกให้เธอกลับบ้านไปพัก แต่ยัยนั่นก็ยังนั่งรออยู่ด้วยกัน ใบหน้าซีดขาวของเธอที่พิงอยู่บนไหล่พี่คยูฮยอนยังคงมีน้ำตาไหลลงมาไม่หยุด

    ฉันกำมือแน่น ความเจ็บปวดของฉันมันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่แทยอนกำลังต่อสู้อยู่ตอนนี้... ที่สำคัญ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใคร ทิฟฟานี่ ฮวังจะไม่ปล่อยเอาไว้แน่!

    “ฟานี่...” ฉันหันไปตามเสียงเรียก พี่ยุนโฮกับยุนอาสาวเท้าเร็วๆเข้ามา สองคนนี้ปลีกตัวไปตามสืบหาคนร้ายตัวจริงที่ทำให้แทยอนตกอยู่ในสภาพนี้

    “ได้เรื่องว่ายังไงบ้าง?” ฉันถามทั้งสองคนนั้น ซอฮยอนกับจงฮยอนเองก็รีบลุกตามขึ้นมาดูด้วย

    “เราไปขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดมา” พี่ยุนโฮพูด “เจอเรื่องที่คาดไม่ถึงเชียวล่ะ...”

    ยุนอาหยิบเอาไอแพดขึ้นมาแล้วเปิดวิดีโอให้ดู ภาพเริ่มเล่นตั้งแต่ตอนที่ฉัน ซันนี่ และฮโยยอนเข้าไปแต่งหน้าแต่งตัวให้แทงกู หลังจากนั้นคุณคิบอมก็เข้าไป สองคนนั้นคุยกันสักพักแล้วเขาก็ออกไปหลังจากจูบเธอ ไม่ทันถึงนาทีไอลีก็เข้ามา เธอวางแก้วกาแฟให้แทยอน ท่าทางที่คุยกันดูไม่ได้มีพิรุธอะไร พอไอลีออกไปจากห้อง แทยอนก็หยิบกาแฟแก้วนั้นขึ้นมาดื่ม

    “งั้นคนร้ายก็เป็นคุณไอลีสินะคะ เพราะเธอเป็นคนที่ซื้อกาแฟใส่เฮเซลนัทไซรัปมาให้พี่แทยอนทั้งๆที่รู้ว่าพี่แทยอนแพ้ถั่ว” มักเน่สรุปขึ้นมาแต่น้องรองส่ายหน้า

    “ประเด็นคือ... ในกองละคร ไอลีกับพี่แทยอนแทบจะไม่มองหน้ากันเลยด้วยซ้ำ คนอื่นก็ไม่มีใครรู้ว่าพี่แทยอนมีอาการแพ้ถั่วรุนแรง”

    “งั้นจะบอกว่าคุณไอลีไม่ได้ตั้งใจ แต่เป็นเรื่องบังเอิญที่เธอซื้อกาแฟนั่นมาให้พี่แทยอนงั้นเหรอครับ” จงฮยอนเลิกคิ้วถาม ท่าทางไม่ค่อยอยากยอมรับความจริงข้อนี้เท่าไหร่ ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

    “เรื่องที่ช็อคที่สุดมันอยู่ตรงนี้แหละ” พี่ยุนโฮพูดขึ้นก่อนจะแตะหน้าจอเบาๆ ให้คลิปเล่นต่อ

    แทยอนล้มลงไปกองกับพื้น เธอพยายามตะเกียกตะกายมาทางประตู แต่แล้วจู่ๆใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามา คนที่พวกเราคิดไม่ถึงเลย

    “แบวูฮี!

    เด็กผู้หญิงคนนั้นก้าวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ ยืนมองแทยอนที่ทุรนทุรายอยู่ที่พื้นด้วยอาการไม่สะทกสะท้าน ก่อนจะหลบออกไปโดยไม่แม้แต่จะให้ความช่วยเหลือใดๆ

    “เราสอบปากคำไอลีแล้ว เธอบอกว่าแบวูฮีเป็นคนแนะนำเธอให้ซื้อกาแฟมาให้แทยอน ไอลีเองก็ไม่รู้ว่าแทยอนมีอาการแพ้ถั่ว ตอนนี้เจ้าตัวเองก็เครียดมากอยู่เหมือนกัน” พี่ยุนโฮขยายความ

    “งั้นแบบนี้เราสามารถเอาผิดเด็กคนนี้ได้รึเปล่า?” ฉันถามรัวเร็วพลางมองหน้ายุนอาสลับกับพี่ยุนโฮ

    “หลักฐานมันยังอ่อนเกินไป ต่อให้รวมคำให้การของไอลีไปด้วย แต่ยังไงซะพี่แทยอนก็ดื่มกาแฟเข้าไปเอง อีหรอบนี้เข้าข่ายอุบัติเหตุมากกว่า” ยุนอาตอบ ท่าทางเธอดูอยากจะเอาเรื่องทางฝ่ายนู้นอยู่เหมือนกัน

    “แต่ถ้าพี่แทยอนเป็นอะไรไปล่ะคะ? ถ้าเกิดว่า... ถ้าเกิดว่า...” ซอฮยอนระเบิดอารมณ์ออกมา นัยน์ตาของเธอรื้นไปด้วยน้ำตา ฉันเอื้อมมือออกไปดึงน้องเล็กเข้ามาในอ้อมกอด พยายามที่จะไม่ร้องไห้ตามไปด้วย พวกเราทุกคนได้แต่ยืนนิ่ง... มันก็จริงอย่างที่ซอฮยอนพูด ไม่ยุติธรรมเลยที่จะปล่อยให้แบวูฮีลอยนวลไปได้ง่ายๆ แบบนี้...

    “ผมว่าผมมีวิธีนะครับ...”

    เสียงของคิมคิบอมดังขึ้นข้างหลัง พวกเราหันหลังกลับไปมอง ไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเขาได้ยินบทสนทนาทั้งหมดมาตั้งแต่เมื่อไหร่

    “วิธี?” จงฮยอนเลิกคิ้วถาม

    “ครับ... วิธีที่จะจับตัวแบวูฮีให้ได้คาหนังคาเขาเลยล่ะ...”

     

    “ค่ะ... งั้นเหรอคะ... ดีจังเลยนะคะ...”

    “วันพรุ่งนี้พวกเราจะพากันไปเยี่ยมคุณแทยอน เธอพักฟื้นอยู่ที่ห้อง 609 น่ะครับ คุณก็ไปด้วยกันสิครับ?”

    “ดีเลยค่ะ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคะ”

    “ครับ งั้นผมไม่กวนคุณแล้วดีกว่า เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”

    ฉันวางสายโทรศัพท์ด้วยมือที่สั่นเทา...

    คิมแทยอนยังไม่ตาย ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงที่ทำลายความฝัน ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันวาดหวังเอาไว้ ทั้งๆที่ฉันเคยรัก เคยเคารพนับถือ แต่ทุกสิ่งมันหมดไปตั้งแต่วินาทีที่ฉันได้ยินจากปากทีมงานว่า ตัวจริงที่คิมคิบอมต้องการแคสติ้งเข้ามาเล่นละครคือคิมแทยอน ไม่ใช่ฉัน...

    สุดท้ายแล้วฉันก็เป็นแค่ตัวสำรอง สุดท้ายแล้วคิมแทยอนก็ขโมยแสงสปอตไลท์และความฝันไปจากฉัน

    ฉันเริ่มต้นเดินวนไปวนมา... จะทำยังไงดี? เธอเห็นหน้าฉันแล้ว ต้องจำได้แน่ๆว่าฉันเข้าไปในห้อง... เรื่องไอลีฉันพอปัดไปได้ไม่ยาก เพราะถึงยังไง สองคนนั้นก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว คงไม่มีใครเชื่อเรื่องที่ยัยแม่มดพูด แต่ถ้าหากคิมแทยอนฟื้นขึ้นมาแล้วบอกเรื่องนี้กับตำรวจ...

    ไม่ได้! ฉันจะให้คิมแทยอนรอดชีวิตไปไม่ได้เด็ดขาด!

    ฉันกำมือแน่น... พยายามข่มความกลัวที่มีอยู่ในใจ แล้วเริ่มต้นออกเดิน ในเมื่อก้าวออกไปแล้วฉันก็จะไม่หันหลังกลับ... ทุกๆสิ่งที่ฉันทำก็เพื่อชื่อเสียง และอนาคตการเป็นนักร้องของฉัน ต่อให้ต้องกลายเป็นแม่มดฉันก็ต้องทำ เพราะฉันไม่เหลือทางเลือกอื่นอีกแล้ว

    แสงไฟของกรุงโซลในยามค่ำคืนไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่ฉันกำลังจะทำต่อไปนี้ง่ายขึ้นเลย... มันไม่ง่ายดายเหมือนครั้งแรกแน่นอน แต่โชคดีที่ของหาง่ายอย่างเฮเซลนัทไซรัปกลับสามารถฆ่าคิมแทยอนได้ไม่ต่างจากยาพิษ ฉันก้มลงมองไซริงค์ในมือ แล้วแท็กซี่ก็จอดลงตรงหน้าโรงพยาบาล...

    ...ถอยกลับไปไม่ได้อีกแล้ว

    ฉันดึงฮู้ดขึ้นปิดบังใบหน้า ไม่ลืมที่จะสวมผ้าปิดปาก นอกจากจะช่วยอำพรางตัวได้แล้วมันยังดูกลมกลืนไปกับบรรดาผู้ป่วยที่เข้าออกโรงพยาบาลอีกด้วย ตอนนี้หมดเวลาเยี่ยมแล้ว น่าจะไม่มีใครเหลืออยู่ในห้อง แต่ถ้าหากมี... ฉันเอื้อมมือไปแตะวัตถุเย็นเยียบในกระเป๋าหน้าของเสื้อสเว็ตเตอร์ที่สวมอยู่... ที่ช็อตไฟฟ้า หวังแค่ว่าฉันจะไม่ต้องใช้มันก็พอ อะไรๆ จะได้ไม่ยุ่งยากมากกว่าเดิม

    สองขาของฉันพาตัวเองมุ่งตรงไปทางบันไดหนีไฟ แต่ละขั้นที่ก้าวขึ้นดูจะยากเย็นขึ้นเรื่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่หยุดเดิน ในที่สุดป้ายตรงหน้าก็บอกว่าฉันขึ้นมาถึงชั้นหก ฉันแง้มประตูออกระวังไม่ให้เกิดเสียง หลังจากดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น ฉันก็มุ่งหน้าไปทางห้องของคิมแทยอน

    บานประตูถูกผลักเปิดออกอย่างเงียบเชียบ แสงจากระเบียงทางเดินลอดผ่านเข้ามาในห้องมืดสลัว ทำให้พอมองเห็นร่างบนเตียงได้รางๆ โชคดีที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย ฉันรีบผลักประตูปิดอย่างรวดเร็วแล้วสาวเท้าเข้าไปข้างเตียงอย่างเชื่องช้า ร่างหญิงสาวที่นอนเหยียดยาวเต็มไปด้วยสายระโยงระยาง หน้ากากอ็อกซิเจน... สายน้ำเกลือ...

    ฉันมองขวดของเหลวใสๆตรงหน้าก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาออกมาแล้วบรรจงแทงปลายเข็มเข้าไปฉีดน้ำหวานที่ประหนึ่งยาพิษให้ผสมลงไปในน้ำเกลือ แล้วมันก็จะแทรกซึมเข้าสู่ร่างของคิมแทยอนอย่างช้าๆ... เพียงเท่านี้สโนว์ไวท์ก็จะตกอยู่ในห้วงนิทราตลอดไป...

    “มาจริงๆด้วยสินะ”

    เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลังจนฉันสะดุ้งทำเข็มหล่นจากมือ ไฟในห้องสว่างขึ้นในทันทีจนตาพร่า แต่พอฉันหรี่ตาลงมองอีกครั้งความกลัวก็ทำให้ฉันนึกอะไรไม่ออก

    ตำรวจ! ตำรวจมากกว่าสิบคนกำลังยืนอยู่ตรงหน้า! แถมคนที่นำหน้ามาคือเพื่อนของคิมแทยอน แล้วยังมีอาจารย์ซอฮยอนกับเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่มอีก

    “พี่ฮีชอล ขอบคุณนะคะที่ให้ความร่วมมือ” ผู้หมวดยุนอาระบายยิ้มแล้วตะโกนข้ามฉันมายังคนบนเตียง ฉันหันหลังกลับไปแล้วก็เพิ่งจะเห็นเต็มตาตอนนี้เองว่าคนที่อยู่บนเตียง ใต้สายระโยงระยางนั่นไม่ใช่คิมแทยอน! ผู้ชายคนนั้นตลบผ้าห่มขึ้น ดึงหน้ากากออกซิเจนและสายน้ำเกลือที่ติดไว้หลอกๆออกจากแขนก่อนจะก้าวกลับไปรวมกลุ่มกับทุกคน

    “คุณแบวูฮี ผมชองยุนโฮ ในฐานะทนายของฝ่ายโจทก์คิมแทยอน ขอแจ้งข้อหาพยายามกระทำการฆาตกรรมลูกความของผมโดยเจตนา คำพูดใดๆของคุณจะถูกบันทึกไว้เพื่อเป็นหลักฐานดำเนินคดีในชั้นศาลต่อไป” ผู้ชายคนหนึ่งก้าวออกมาข้างหน้าแล้วนายตำรวจสองคนก็เข้ามาสวมกุญแจมือโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัว

    ไม่... มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ... ทำไมชีวิตฉันต้องจบลงแบบนี้...

    ฉันมองทุกคน พยายามคิดหาคำแก้ตัวอะไรก็ได้มาหักล้าง มันต้องมีสักอย่างสิ! หรืออย่างน้อยฉันก็ต้องซัดทอดไปหาใครสักคน... ใช่แล้ว! ไอลีไงล่ะ!

    “ฉ...ฉันถูกไอลีบังคับให้ทำนะคะ... ฉันไม่ได้อยากทำร้ายอาจารย์เลย... จริงๆนะคะ เชื่อฉันสิ!

    “ฉันไปบังคับเธอเมื่อไหร่ไม่ทราบ?”

    เสียงคุ้นเคยนั้นทำให้เลือดในตัวของฉันเย็นเฉียบ ไอลีก้าวออกมาจากในเงามืด และดูเหมือนจะมีฉันแค่คนเดียวที่ประหลาดใจ

    “เธอนี่ร้ายกาจจริงๆนะ หลอกใช้ฉันจนเกือบจะฆ่าคนสำเร็จ แล้วตอนนี้ยังคิดจะป้ายความผิดมาอีก คนอย่างเธอน่ะมันขยะชัดๆ”

    “หุบปากไปเลยนะ! คนอย่างเธอจะมาเข้าใจอะไร!” ฉันตวาดก้องกลับไป ตำรวจสองคนนั้นล็อกตัวฉันไว้แน่น ไม่ปล่อยให้ฉันพุ่งเข้าไปทำร้ายยัยแม่มดตรงหน้า

    แทนที่จะประชดประชันฉันด้วยคำพูด ไอลีกลับเดินเข้ามาใกล้แล้วมองฉันอย่างพินิจพิจารณา ในที่สุดยัยนั่นก็ยิ้มเย็นๆ แล้วพูดออกมา

    “ฉันเข้าใจแล้ว... สเน่ห์ที่เธอขาดไป อันที่จริงมันง่ายนิดเดียวเอง... เธอไม่เคยรักการร้องเพลงอย่างที่ฉันหรือคิมแทยอนรัก เธอไม่ได้มีความสุขที่ได้ร้องเพลง เธอแค่ทะเยอทะยาน อยากมีเงิน อยากมีชื่อเสียง คนอย่างเธอ... ต่อให้พยายามจนตายก็ไม่มีทางได้ยืนอยู่ใต้แสงสปอตไลท์หรอกนะ แบวูฮี”

    ราวกับถ้อยคำเหล่านั้นทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจ ในที่สุดแล้วฉันก็แพ้... น้ำตาที่ฉันกั้นเอาไว้เริ่มไหลลงมาอย่างควบคุมไม่อยู่ สุดท้ายแล้วฉันก็ลงไปนั่งกับพื้น ไม่สนใจที่จะเก็บเสียงร้องไห้เอาไว้อีกต่อไป

    ...สุดท้ายแล้วฉันก็แพ้อย่างหมดรูปจริงๆ...

     

     

    ผมกุมมือบางๆนั่นไว้ในมือสองข้างของผม คุณยุนอาเพิ่งโทรมาบอกว่าแผนการจับตัวแบวูฮีสำเร็จเรียบร้อยดี และตอนนี้กำลังพาตัวผู้ต้องหาไปที่กรม

    แต่ถึงยังงั้น แทยอนก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมา...

     

    “หมอช่วยเท่าที่ทำได้แล้วครับ แต่เธอหยุดหายใจไปช่วงหนึ่ง เพราะฉะนั้นหมออยากให้คุณทำใจไว้ว่าเธอมีโอกาสมากที่จะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย...”

     

    ถ้อยคำเหล่านั้นทำให้ขอบตาผมร้อนผ่าว ได้แต่จ้องมองใบหน้าซีดขาวที่ยังคงไร้การเคลื่อนไหวของผู้หญิงตรงหน้า...

    “คุณนี่เหมือนสโนว์ไวท์เลยนะ... ตัวเล็กๆ ขาวๆ แล้วก็ร้องเพลงเพราะ... เค้าว่ากันว่าสโนว์ไวท์ทำให้เจ้าชายตกหลุมรักได้ด้วยเสียงร้องเพลง คุณว่าจริงไหม?” ผมพูดกับเธอ พยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติเหมือนเวลาที่เราคุยกัน แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้ว่าเธอได้ยินรึเปล่า ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากจะพูดอยู่ดี

    “...ถ้าเป็นอย่างนั้น ผมที่ตกหลุมรักคุณตั้งแต่ได้ยินเสียงเพลงก็ต้องเป็นเจ้าชายสินะ... เจ้าชายก็ต้องทำให้เจ้าหญิงตื่นได้ด้วยจุมพิตสิ คุณว่าผมจะทำได้ไหม?”

    ร่างบนเตียงยังคงนิ่ง มีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆทางท่อออกซิเจนเท่านั้นที่บ่งบอกว่าเธอยังคงมีชีวิต

    ผมก้มหน้าลงกับเตียง ไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป

    ต่อให้คิมแทยอนกลายเป็นสโนว์ไวท์ที่ไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย แต่ผมก็ยังรักเธอ... และจะรักเธอต่อไปจนกว่าเธอจะกลับมา...

    ผมปาดน้ำตาออก แล้วลุกขึ้นยืน แม้มันจะเป็นเรื่องโง่ๆ แต่ผมก็หวังว่าตัวผมจะมีเวทมนตร์วิเศษเหมือนอย่างในนิทาน ผมโน้มตัวลงมอบจุมพิตให้กับเจ้าหญิงที่ยังคงอยู่ในห้วงนิทราเบาๆ ก่อนจะยืนรอคอยอย่างมีความหวัง

    ตื่นสิ... คิมแทยอน... สโนว์ไวท์ของผม ได้โปรด อย่าทิ้งผมไว้แบบนี้...

    ดางตาคู่นั้นยังคงปิดสนิท อาจเป็นเพราะผมไม่มีเวทมนตร์ หรือเพราะผมไม่ใช่เจ้าชาย...

    ผมทรุดตัวลงนั่งฟุบหน้าลงกับเตียงแล้วร้องไห้อย่างที่ไม่เคยร้องมาก่อน มันเจ็บปวดจริงๆกับการที่จะต้องสูญเสียใครสักคนไปแบบนี้ ทั้งที่ผมยังไม่ทันได้พูดกับเธอเลยว่าผมรักเธอ...

    “...น...ซา...รั...”

    เสียงแผ่วเบาแทบเป็นเสียงกระซิบดังขึ้น... เพลงของผม เพลงที่ผมเขียน!

    “แทยอน! คิมแทยอน!” ผมเรียกชื่อเธอ เกือบจะตะโกนอยู่แล้ว นิ้วซีดขาวเริ่มขยับ ริมฝีปากพึมพำอะไรสักอย่าง แม้จะยังไม่มีเสียงอะไรเล็ดรอดออกมา แต่หัวใจผมก็พองโตขึ้นด้วยความหวัง

    จนกระทั่งแพขนตาของเธอค่อยๆขยับ แล้วสโนว์ไวท์ของผมก็ตื่นขึ้น

    “...นาย...”

    ถ้อยคำสั้นๆที่เธอเรียกผมล้างเอาคำพูดเป็นล้านคำที่ค้างอยู่ในหัวสมองออกไปจนหมด ณ วินาทีนี้ ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ต่อให้ผมต้องตายลงตรงนี้ผมก็จะไม่ขออะไรอีก

    เพราะผมได้เจ้าหญิงของผมกลับคืนมาแล้ว...

     

     

    เสียงหัวเราะแหลมปรี๊ดของพี่ซันนี่ดังออกมาจากห้อง ผสมโรงด้วยมุกตลกโปกฮาอะไรสักอย่างของพี่ฮีชอลทำเอาฉันยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง

    ขนาดว่าจองห้องใหญ่พิเศษแบบวีไอพีสุดๆมาแล้ว แต่คนสิบหกคนก็ทำให้ที่นี่เล็กลงได้ถนัดตา ก็ตอนนี้ครอบครัวเรามีสมาชิกมาเพิ่มอีกแล้วนี่คะ นู่นไง คนที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ข้างเตียงกำลังป้อนแอ๊ปเปิ้ลให้กับคนป่วยที่เคี้ยวตุ้ยๆ

    “ดูแลกันดีอย่างนี้นี่เอง พี่แทยอนถึงได้ดีวันดีคืน” ฉันก้าวเข้าไป วางช่อดอกไม้ลงบนโต๊ะแล้วคนสองคนที่โดนแซวก็หน้าแดงเป็นลูกตำลึง

    “ทำมาเป็นแซวนะ ยุนอา คดีเป็นไงบ้าง?” พี่แทยอนตอบกลับแถมยังจงใจเบี่ยงประเด็นอีกแน่ะ

    “ก็เรียบร้อยดีค่ะ เจ้าตัวเค้าก็สารภาพออกมาหมด แต่ยังไงคงโดนติดคุกหลายปีแน่นอน”

    “น่าเสียดายนะคะ ทั้งที่ตอนแรกเธอก็ออกจะเป็นเด็กดี” น้องเล็กของเราพลิกโหมดกลับมาเป็นสาวงามจิตใจดีอีกแล้ว แหมๆ แล้ววันที่พี่แทยอนอยู่ในไอซียูนั่นใครกันล่ะที่เป็นเดือดเป็นร้อนอยากจะเอาเรื่องคนทำผิดเหลือเกิน =_=

    “ว่าแต่... ตอนนี้ในกลุ่มเราก็เหลือยุนอาคนเดียวแล้วสิ?” พี่ยูริพูดขึ้นมา แถมยกเรื่องไหนมาก็ไม่ยก ดันเอาฉันเป็นเป้าซะงั้นน่ะ

    “พอเลยๆ เห็นกว่าแต่ละคนจะผ่านมาได้นี่ฉันก็เข็ดแล้ว ยิ่งรายหลังๆเนี่ยจบที่โรงพยาบาลทุกคน ฉันขออยู่เป็นโสดต่อไปจนตายเลยดีกว่า”

    ทุกคนหัวเราะครืนไม่เว้นแม้แต่คนป่วยที่ดูจะหายดีเร็วจนน่าหมั่นไส้

    ฉันเองก็พลอยอดยิ้มไปด้วยไม่ได้ ก่อนจะไล่สายตามองทีละคู่...

    เจ้าหญิงในนิทานกับเจ้าชายงั้นเหรอ? จริงสินะ... แต่ละคนดูสวย สง่า น่าปกป้อง เหมือนเจ้าหญิงผู้เพียบพร้อมที่ออกมาจากเทพนิยายยังไงยังงั้น แต่ฉันไม่ใช่สักหน่อย จะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวที่ไหนยอมรับเจ้าหญิงที่ดีแต่วิ่งควงปืนอย่างฉันคนนี้บ้าง?

    คงไม่มีเทพนิยายเรื่องไหนที่เหมือนกับฉัน แต่ฉันเองก็ไม่ได้คิดจะเหมือนใครอยู่แล้ว...

    ถ้าต้องแลกระหว่างให้ตัวเองกลายเป็นเจ้าหญิงผู้เพียบพร้อม แต่ไม่สามารถปกป้องใครได้ ฉันยอมเป็นผู้กองอิมยุนอาแบบนี้ต่อไปดีกว่า

    นิทานในตอนของฉัน... ถ้าหากว่ามันจะเริ่มล่ะก็นะ... มันคงจะเป็นนิทานบทใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครเขียนขึ้นมาบนโลกแน่ๆ

     

    คุณว่าอย่างนั้นมั้ย?

     



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×