ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD] Princesses & The Boys : เจ้าหญิงสุดร้ายกับเจ้าชายสุดขั้ว!

    ลำดับตอนที่ #7 : 3rd Tale ~ It’s Time to Let Her Hair Down

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.68K
      4
      3 พ.ค. 55

      
    3rd Tale ~ It’s Time To Let Her Hair Down

      

    “ไงครับพี่ ทริปฮันนีมูนสนุกมั้ย?”

    ไอ้น้องเทพบุตร ชเวชีวอนพูดขึ้นมาเป็นคำแรกทันทีที่รับโทรศัพท์จากผม

    “ยังไม่ได้ฮันนีมูนเฟ่ย ฉันพายูริไปทำงาน มีเวลาเที่ยวแค่นิดหน่อย แล้วเราก็ยังไม่ได้แต่งงานกัน”

    “อ๋อ... ที่ไม่มีเวลาเที่ยวเนี่ยแสดงว่ามัวแต่ขลุกอยู่ในห้องล่ะสิ” น้ำเสียงกวนๆแบบหล่อๆของมันใช้ไม่ได้ผลสำหรับผม แต่คงได้ผลสำหรับสาวๆคนอื่น เพราะไอ้ที่นั่งหน้าสลอนอยู่เนี่ยหัวเราะคิกคักกันเป็นแถว ยกเว้นซินเดอเรลล่าของผมที่นั่งหน้าแดงแปร๊ดเหมือนรองเท้าที่สวม ไม่ค่อยจะบอกความจริงเค้าเล้ย

    “อย่ามาทำนอกเรื่อง นี่ฉันอยู่กับพวกเด็กๆ ยัยพวกนี้ตื้อให้ฉันโทรมาถามนายว่าตกลงเอาไง?”

    “ก็เค้าจัดแบบไหนก็แบบนั้นน่ะแหละครับ” ชีวอนตอบแบบสบายๆ

    “หมายความว่าคุณจะเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นเพื่อนพี่ซูยองแทนงั้นเหรอคะ?” ยุนอาถามโพล่งขึ้นมาเป็นคนแรก แล้วก็โดนมักเน่ส่งสายตาดุให้เป็นเชิงว่า อย่าขัดสิคะ

    “ก็... คงงั้นมั้งครับ ^^

    ทิฟฟานี่ทำท่าเหมือนจะประท้วงอะไรสักอย่างแต่ก็โดนฮโยยอนล็อกคอปิดปากไว้ซะก่อน

    “ฉันขี้เกียจจะเดาแผนแก เอาเป็นว่าจะทำอะไรก็รีบๆทำ ถ้าคยูฮยอนมันกลับมาแล้วรู้เรื่องนี้เมื่อไหร่ ศพแกไม่สวยแน่” ผมพูดกรอกกลับเข้าไปแล้วสิ่งที่ได้ตอบกลับมาก็คือเสียงหัวเราะน่าหมั่นไส้ของมัน คือจริงๆผมสนิทกับหมอนี่เพราะไปเจอกันที่โบสถ์บ่อยๆ อย่าเพิ่งคิดว่าคนอย่างผมจะเข้าถึงพระเจ้าอะไรนั่นได้ คือผมน่ะขับรถพาพี่สาวไปโบสถ์แล้วก็เจอหมอนี่ทุกอาทิตย์ ไม่เค้ย ไม่เคยจะคิดว่ามันจะสำแดงความเลวอะไรได้จนกระทั่งวันนี้นี่แหละ

    “ครับๆ ผมรู้แล้ว เหลือเวลาอีกสองอาทิตย์ ผมจะเล่นเกมบุกแบบจัดเต็มแล้วกันนะครับ”

    “เออ แล้วก็ ว่างเมื่อไหร่ ฉันจะไปเอาฮีบอมกลับมาด้วย”

    “ผมขอยืมตัวมันไว้ก่อนได้มั้ย? พี่มีคนอยู่เป็นเพื่อนแล้วนี่ ผมเหงา” อยากเขวี้ยงเกลือใส่หน้าไอ้น้องนี่จริงๆ คนอย่างชเวชีวอนกระดิกนิ้วเรียกทีเดียวผู้หญิงก็แห่มาชนิดว่าตั้งฮาเร็มได้ แต่ก็นะ... ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงพูดแบบนั้น แต่พอมาเจอยูริ ผมก็เข้าใจล่ะว่าถ้าไม่ได้เป็นคนที่ใช่จริงๆ ต่อให้มีอีกสักกี่คนก็ไม่ได้ช่วยให้หายเหงาหรอก

    “ตามใจแกแล้วกัน เลี้ยงแมวฉันดีๆนะ ถ้ามันกลับมาแล้วผอมล่ะน่าดู”

    “รับทราบครับผม ^^” ชีวอนพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะตัดสายไปโดยมีเสียงถอนหายใจเป็นพรืดดังตามหลัง

    “นึกว่าจะรู้อะไรมากขึ้น นี่ยิ่งมืดแปดด้านกว่าเดิมอีก” ยูริยกมือขึ้นนวดขมับ ท่าทางดูจะเครียดหนัก

    “แต่ฉันชักเป็นห่วงคู่ซันนี่อ่ะ ยื้อไว้นานๆเดี๋ยวจะพาลมีปัญหานะ” แทยอนว่า

    “นี่ เร่งทางนี้ไม่ได้ก็ไปเร่งทางนั้นสิ” ผมพูดพลางหยิบขนมโยนเข้าปากแบบชิวๆ “งานนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก จริงมั้ย?”

    คำตอบที่ผมได้คือรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากสาวๆ ทั้งหกคน...

     

     

    เสียงข้อความดังขึ้นทันทีที่ผมวางสายจากพี่ฮีชอล

    อีกแล้ว...

     

    วันนี้ฉันมีงานถ่ายแบบที่สตูดิโอแถวคังนัม ช่วยมารับหน่อยนะคะ แล้วเราจะได้ไปกินมื้อกลางวันกัน~^_^ - ฮโยซอง

     

    ผมมองข้อความแล้วโยนโทรศัพท์ทิ้งลงไปบนเบาะข้างคนขับ ถึงไงก็เหอะ ผมก็ไปทุกครั้งที่เธอชวนถ้าไม่ได้ติดธุระอะไร อย่างน้อยก็เป็นการฆ่าเวลาเล่นอย่างนึงล่ะนะ

    ผมเลี้ยวรถเข้าไปที่สตูดิโอตามที่อยู่ที่คุณฮโยซองส่งข้อความมาให้ แล้วก็สะดุดตากับรถโฟล์คส์วาเก้น ชีรอคโค่สีบรอนซ์ทองคันหนึ่ง... คนที่ใช้รถคันนี้นี่นอกจากมีเงินแล้วยังต้องมีสไตล์สุดๆ ไปเลย กระจกทั้งคันติดฟิล์มดำผมเลยมองไม่เห็นว่าใครเป็นเจ้าของ แต่จู่ๆประตูรถคันนั้นก็เปิดออก

    ชเวซูยอง... เจ้าหญิงบนหอคอยคนนั้น

    ผมยิ้มแล้วขับเลยรถคันนั้นไปจอดไว้ไม่ใกล้ไม่ไกลกันนักแล้วก็มองเธอผ่านกระจกส่องท้าย เยี่ยมเลย... เหมือนว่าการถ่ายภาพน่าจะเสร็จแล้ว ผมเห็นเธอเอาของบางอย่างมาเก็บบนรถ แล้วหยิบกระเป๋าสะพายไปด้วย เธอยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอางออกจากใบหน้า แต่เปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดลำลองสบายๆแล้ว แค่เสื้อยืดสีขาวกับโค้ทสีน้ำตาลแล้วก็เลกกิ้งยีนท์เท่ๆสวมกับรองเท้าไม่มีส้นผมคิดไว้ไม่มีผิด ผู้หญิงคนนี้มีสไตล์ มีมากขนาดที่ทำให้เสื้อผ้าธรรมดาๆดูมีระดับได้เมื่อมันอยูบนตัวเธอ

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นจอนฮโยซองโทรเข้ามา ผมมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองเดาไว้ไม่พลาด ผมไม่รับสาย แต่รอจนกระทั่งซูยองเดินเข้าสตูดิโอไป ผมถึงลงจากรถแล้วเดินตามเข้าไปบ้าง

    “คุณชีวอน!” เสียงฮโยซองดังขึ้นทันทีที่ผมเหยียบเข้าไปข้างใน นางแบบคนอื่นอยู่ในระหว่างถ่ายภาพ แล้วทุกคนก็หันมามองผมเป็นตาเดียว โดยเฉพาะชเวซูยองที่ทำหน้าตาเหมือนโดนผีหลอก

    “เดี๋ยวรอฉันแปบนึงนะคะ ขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” ฮโยซองโผล่มาจากไหนไม่รู้ แต่จู่ๆก็เข้ามาควงแขนผม หลังจากนั้นก็รีบเดินไปทางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่สนใจเสียงเรียกของซูยองด้วยซ้ำ

    “สวัสดีครับ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เราเจอกันตอนกลางวัน” ผมทัก แล้วเธอก็ยิ้มแหยๆตอบกลับมา

    “คุณมาหาฮโยซองสินะ ดีใจด้วยที่ความสัมพันธ์คืบหน้า” ขอบคุณมากที่เลิกตอแยกับซันนี่ สายตาเธอหมายความประมาณนั้น

    “คุณฮโยซองนัดผมไปทานข้าวกลางวัน ไปด้วยกันสิครับ”

    “ไม่ล่ะค่ะ เดี๋ยวพวกคุณจะอึดอัด” ฉันขี้เกียจไปนั่งเป็นก้าง นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่เธอคิด

    “ทำไมล่ะครับ? ทีตอนผมไปกับคุณซันนี่ทีไรคุณก็ตามติดหนึบไปด้วยตลอด หรือว่าคุณฮโยซองกับคุณซันนี่เนี่ยความสำคัญไม่เท่ากัน?”

    ชเวซูยองมองหน้าผมแบบหาเรื่อง พอดีกับที่ฮโยซองเดินกลับมา เสื้อผ้าเธอนี่เน้นเนื้อนมไข่เป็นคอนเซปต์เหมือนทุกครั้งจนผมเริ่มจะเอียน แต่ก็ต้องปั้นหน้ายิ้มรับ

    “แต่งตัวสวยอีกแล้วนะครับ” ผมหยอด ทั้งๆที่คิดอยู่ในใจว่าจะไม่มีทางปล่อยให้น้องสาวของผมแต่งตัวแบบนี้เป็นอันขาด

    “ปากหวานจัง ไปกันเถอะค่ะ ^_^

    “คุณซูยองจะไปกับด้วยน่ะครับ” ผมมัดมือชก เล่นเอาซูยองมองผมตาเขียวปั้ด

    “อ้าวเหรอ? จะไปกับเราน่ะนะ?” ฮโยซองถามกลับด้วยท่าทางไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ ผมรู้ว่าซูยองต้องอ้าปากปฏิเสธแน่นอน

    “ผมชวนเองแหละครับ ไหนๆเราสองคนก็รู้จักกันได้เพราะคุณซูยอง ผมจะได้เลี้ยงขอบคุณเธอสักหน่อย” เจอไม้นี้เข้าไปดูเหมือนฮโยซองจะโดนล้างสมองไปทันที

    “งั้นก็... ไปกันเถอะครับ ^^


     

    เซ็งโว้ยยยยยยย!!!

    แบบว่าก็อยากจะตะโกนออกมาดังๆอยู่หรอกนะ แต่ว่าถ้าฉันทำแบบนั้น มีหวัง โดนจอนฮโยซองฆ่าทิ้งแน่ๆ ตั้งแต่ฉันแนะนำยัยนี่ให้รู้จักกับชเวชีวอน ฉันก็กลายร่างเป็นหมาหัวเน่าทันที เหมือนอย่างตอนนี้ไง

    “คุณฮโยซองครับ” อีตาเทพบุตรสมองนิ่มถอดเสื้อสูทส่งให้ฮโยซอง รับไปคลุม สูทอาร์มานี่ ย้ำ อาร์มานี่แบบแพงโคตร อีตานี่ยอมให้ใช้เป็นผ้าคลุมกระโปรงเฉยเลย แต่ก็ต้องยอมรับล่ะว่าเค้าสุภาพบุรุษสุดๆ

    “คุณชอบทานอะไรครับ?” จู่ๆชีวอนก็ถามขึ้นมา หมอนี่ถามใคร? ถามฉันหรือ ฮโยซอง?

    “ฉันชอบทานพวกสลัดแบบญี่ปุ่น แล้วก็พวกซาชิมิน่ะค่ะ” ฮโยซองตอบขึ้นมาก่อนพร้อมมองพ่อสุภาพบุรุษยังกะเป็นเนื้อปลา =__=

    “แล้วคุณล่ะ?”

    “เห? ฉันเหรอ”

    “อื้อ” เขาพยักหน้า อืม... ว่ากันตามจริงแบบไม่รักษาภาพพจน์เลยแล้วกัน

    “ฉันชอบทงคัตสึชามใหญ่ๆ แบบใส่หมูทอดเยอะๆ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ใส่ไข่สักสองฟอง”

    หมอนั่นทำตาโตจนตาแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว “ผมสั่งแบบที่คุณว่าเป็นประจำเลย”

    ฉันมองหน้าเขาแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ชีวอนโบกมือเรียกพนักงานมารับออเดอร์ แล้วก็เหมือนจะอยากพิสูจน์ว่าไอ้ที่เขาพูดมาน่ะเป็นเรื่องจริง หมอนั่นรอให้ฮโยซองร่ายเสร็จก่อนจะตบท้ายบ๋อยไปว่า ขอแบบเดิม สองที่ พนักงานยิ้มรับแล้วเดินกลับเข้าไป

    แค่ประมาณสิบนาทีอาหารก็มาเสิร์ฟ หมอนี่พูดจริงแฮะ เขากินแบบที่ฉันชอบกินจริงๆด้วย แถมยังเป็นผู้ชายคนแรกที่ไม่ช็อคกับปริมาณการกินของฉัน นอกจากที่บ้าน แล้วก็ยัยตัวป่วนแปดคนนั่น ไม่มีใครคนไหนบนโลกจะรับพฤติกรรมการกินของฉันได้ ยิ่งถ้าฉันอยู่กับยุนอาด้วยเมื่อไหร่ล่ะก็ บางทีเรากินกันได้เยอะแบบสิบมื้อต่อวัน =__=

    แต่แน่ล่ะ งานนี้ดูเหมือนฮโยซองจะไม่ชอบใจอย่างแรง ระหว่างกินข้าวยัยนี่เลยค่อนแคะตลอดว่าฉันมีพยาธิอยู่ในท้องบ้างล่ะ หรือไม่ก็หาว่าฉันกินยังกับคนใช้แรงงาน แหม ถ่ายแบบกับเดินแบบน่ะเป็นกิจกรรมเผาผลาญพลังงานชั้นดีเลยนะยะ!

    จบมหกรรมการกินข้าว ฮโยซองชวนเราสองคนไปต่อที่คาราโอเกะ เอ่อ... อันนี้เป็นกิจกรรมที่นอกจากเพื่อนสาวในก๊วนแล้ว แม้แต่พ่อแม่วงศ์ตระกูลก็ยังรับพฤติกรรมฉันไม่ได้ อย่าได้อธิบายถึงความเรื้อนเลย เอาเป็นว่า... ฉันร้องเพลงแย่ ไม่ได้เสียงดีเหมือนแทยอนที่เป็นครูสอนร้องเพลง หรือเจสสิก้าที่เกิดมาเป็นลูกสาวท่านฑูตแต่ดันมีพรสวรรค์ไปทำเกลืออะไรก็ไม่รู้ ฮโยยอนบ่นว่าเวลาฉันร้องเพลงบัลลาดฟังดูเหมือนวัวคลอดลูก หล่อนเสียงดีมากกกก คิมฮโยยอน -*-

    แหงแซะ ฮโยซองเป็นอีกคนที่เสียงดีขนาดไปเดบิวท์เป็นนักร้องได้สบายๆ ฉันนั่งเหม่อมองเธอร้องมาประมาณแปดเพลงได้แล้ว แต่ละเพลง ถ้าไม่ใช่แนวแอ๊บแบ๊วชวนขนหัวลุกก็จะเป็นบัลลาดเมโลดราม่าน้ำตาท่วมทุ่ง ฉันมารู้สึกว่าแทยอนเสียงดีโคตรๆก็งานนี้แหละ เพราะถ้ายัยนั่นเป็นคนเดียวที่ไม่ว่าจะร้องอะไรแนวไหน ฉันก็นั่งฟังได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ ผิดกับตอนนี้ที่กำลังนั่งแช่งชักหักกระดูกตัวเองให้หูดับๆไปซะตอนฮโยซองไล่คีย์ขึ้นไปสามออคเตฟ

    “คุณไม่ร้องบ้างเหรอ?” ชีวอนหันมายื่นไมค์ให้ฉันหลังจากที่ฮโยซองร้องจบไปอีกเพลง ยัยนั่นแลดูจะดี๊ด๊าเหลือเกิน ขุดหลุมฝังเพื่อนชัดๆ

    “ฉันร้องเพลงไม่เก่ง”

    “เอาน่า ฉันร้องคนเดียวจนเจ็บคอแล้วเนี่ย” นั่นไง ดูจากแววตาแล้วประสงค์ร้ายชัดๆ -*-

    สุดท้ายฉันก็ต้องลุกไปกดเลือกเพลงแบบสุ่มๆ เอาวะ! ไหนๆก็ไหนๆ เสียภาพพจน์แบบสุดๆเลยแล้วกัน ฉันเลือกเพลงโปรดที่ร้องกับยุนยูลฮโยบ่อยๆ เพลงลูกทุ่งชะชะช่ากะโหลกกะลา แล้วก็เริ่มร้องในสไตล์ที่ปกติจะไม่ทำ ถ้าไม่ได้อยู่กับยัยพวกนั้น

    ฮโยซองกับชีวอนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งแม้กระทั่งตอนที่ฉันร้องจบแล้ว คือก็อยากจะขำอยู่หรอกนะ แต่ว่าแบบว่าฉันโคตะระอายเลย T^T ไม่ใช่เพราะเพื่อนไม่ทำหรอกนะเนี่ย หมดกัน ภาพพจน์นางแบบสุดหรูของฉัน

    “ตาผมบ้างนะ” ชีวอนลุกขึ้นแล้วเขาก็เลือกเพลง ฉันได้แต่เกาหัวแบบเซ็งๆในขณะที่ฮโยซองดี๊ดาเข้าไปช่วยหมอนั่นเลือกเพลง โอ๊ยยยย ผู้ชายก็มีสมอง หล่อนไม่ต้องไปช่วยเค้าอ่านหรอกย่ะ หมั่นไส้ลูกกะตา -*- แล้วฉันหมั่นไส้ไปเพื่อ

    “เอาเพลงนี้ล่ะ” หมอนั่นกดเพลงแล้วทำนองชะชะช่าแบบโปกฮาก็เริ่มขึ้น

    เฮ้ย!

    Superman ของโนราโซ!!!!

    ไอ้หล่อนี่เอาจริงง่ะ =[]=!

    ถ้าคุณคิดว่าผู้ชายหล่อ หน้าตาดี ชาติตระกูลสูงส่ง แถมยังเป็นสุภาพบุรุษสุดตีนไปเมื่อสิบห้าบรรทัดก่อนหน้านี้ กรุณาลบมันให้หมด เพราะไอ้ที่เต้นเป็นลิงเป็นค่างอยู่ตรงหน้าเนี่ย มันคือร่างอวตารที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับชเวชีวอนที่ฉันเคยรู้จักเลยสักนิด!

    ลงท้าย ฉันกับฮโยซองก็พากันหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอยู่บนโซฟา ให้ตาย! หมอนี่ขนมาทุกเสต็ปเลยอ่ะ! เชื่อเค้าเลย! แถมนอกเหนือจากท่าเต้นกะโหลกกะลาแล้ว เสียงหมอนี่ฟังไม่ได้เอาซะเลย

    “คุณไปหัดมาจากไหนน่ะ?” ฉันถามพร้อมกับปาดน้ำตาจากการหัวเราะ

    “แฟนเพื่อนคุณไง” เขาตอบขำๆ แต่ฉันกลับลงไปหัวเราะตัวงอบนโซฟาอีกรอบ คิมฮีชอล! ตายๆ ถ้าพี่ฮีชอลกับยูริถ้ามีลูกด้วยกันเมื่อไหร่ สิ่งแรกที่ฉันจะทำคือวัดไอคิวเด็ก =__=!

    “จริงๆผมเป็นแฟนคลับวงโนราโซนะ แบบว่าเต้นได้ทุกเพลงเลยอ่ะ” หมอนั่นสารภาพแล้วโยนไมค์ลงบนโซฟาข้างตัวฉัน

    ไม่น่าเชื่อ... ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างชเวชีวอนจะทำให้ฉันมีความสุข หัวเราะ แล้วก็ทำให้หัวใจฉันเต้นแปลกๆ โดยเฉพาะตอนที่เขากำลังมองฉันพร้อมรอยยิ้มเทพบุตรเหมือนอย่างตอนนี้ ทำไมนะ?

    ฉันคงไม่ได้...เริ่มหลงสเน่ห์เจ้าชายเข้าแล้วหรอกใช่ไหม?

     

     

    ปาร์ตี้ของเราจบลงด้วยการที่ผมพาฮโยซองไปส่งที่บ้าน หลังจากนั้นก็บังคับซูยองให้ยอมให้ผมพาเธอกลับไปส่งที่สตูดิโอเพื่อเอารถของเธอ

    หลังจากคาราโอเกะ เธอก็นั่งเงียบเก็บตัว ไม่พูดไม่จาอะไรกับผมอีก

    หรือผมทำอะไรผิดไปนะ?

    “อ๊ะ” เสียงของคนนั่งข้างๆอุทานขึ้นเบาๆ แต่นั่นก็ทำให้ผมเหยียบเบรคจนตัวโก่ง

    “มีอะไรเหรอ?”

    “วันนี้วันอาทิตย์” ซูยองพูดออกมา สายตาเธอมองไปทางโบสถ์ที่ผมเกือบจะขับผ่านไป ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงของเธอ เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่อ่านจากสายตาแล้ว เธอคงอยากเข้าไปสวดมนต์

    “ไปกันเถอะ” ผมบอกเธอแล้วเลี้ยวรถเข้าไปจอด เธอมองผมเหมือนประหลาดใจหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทักท้วงอะไร แม้กระทั่งตอนที่ผมเดินลงไปเปิดประตูรถให้แล้วจูงมือเธอเดินเข้าไปทางประตูหน้าของโบสถ์

    “ขอโทษนะคะ” ซูยองพูดขึ้นมาระหว่างที่เราเปิดประตูเดินเข้าไป มือของเรายังคงจับกันแน่น บรรยากาศในโบสถ์ที่เงียบเหงา ออกจะดูหน้ากลัวนิดหน่อย ด้านหน้าของโบส์เป็นรูปปั้นกางเขนขนาดยักษ์ ผมก้มหัวล้มนิดหน่อยแล้วเอามือวาดสัญลักษณ์กางเขนแบบที่ทำประจำทุกครั้งเวลาเข้าโบสถ์

    “ไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างคุณจะทำอะไรแบบนี้เป็นด้วย” เธอพูดกับผมขำๆนี่เป็นครั้งแรกที่เธอยิ้มให้ผม ยิ้มแบบที่ออกมาจากใจ ไม่ได้ยิ้มเหยียดๆ หรือประชดประชันเหมือนทุกครั้งที่เราเจอกัน

    “สวดมนต์มั้ย?” ผมถามขณะที่เราสองคนเดินมาจนถึงด้านหน้าเวทีที่ใช้ร้องเพลงเวลาประกอบพิธีสำคัญๆ เธอปล่อยมือผม ประสานมือทั้งสองข้างของเธอเอาไว้เหนือริมฝีปากแล้วหลับตาลง ผมทำแบบเดียวกัน แต่ต่างกันที่ผมสวดมนต์ทั้งๆที่สายตาไม่อาจละไปจากใบหน้าของเธอ แพขนตาที่แนบอยู่กับผิวหน้า เธอไม่ได้ขาว แต่ในความมืดแบบนี้ผมกลับเห็นเธอได้ชัดราวกับเธอเป็นดวงดาวที่ส่องแสงกระจ่าง เรือนผมสีน้ำตาลที่ม้วนตัวเป็นคลื่นทิ้งตัวลงปรกไหล่ ผมเอื้อมมือไปสัมผัสเรือนผมนั่นเบาๆ มันนุ่ม ลื่นเหมือนกับเส้นไหม ผมเห็นซูยองลืมตาขึ้น เธอมองผมอย่างที่ไม่เคยมองมาก่อน

    แล้วก่อนที่ผมจะรู้ตัวด้วยซ้ำ ริมฝีปากของเราก็สัมผัสกัน

    เหมือนเจ้าชายกับเจ้าหญิงในนิทาน... ท่ามกลางแสงจันทร์ ในโบสถ์อันศักดิ์สิทธิ์ จุมพิตที่เหมือนเป็นคำสาบานของรักนิรันดร์

    แล้วผมก็นึกออก... สิ่งที่ผมตั้งใจจะสวดมนต์ขอจากพระเจ้า

    ขอให้ผมได้แต่งงานกับเธอ


     “สวัสดีที่รัก” ฉันเอ่ยทักน้องแมวสีเทาที่เข้ามาป้วนเปี้ยนเป็นประจำ... วันนี้ มาปลุก =__=

    เห็นตาสีเทาแบ๊วๆของมันแล้วก็นึกถึงผู้ชายคนนั้น ชเวชีวอนและจูบของเราในโบสถ์ อ๊ายยยยยย นี่ฉันทำอะไรลงไปนะวันนั้น ฉันปล่อยให้เขาจูบไปได้ยังไง

    ก๊อก ก๊อก! เสียงเคาะประตูหน้าของฉันดังขึ้น ฉันอุ้มเจ้าแมวนี่ขึ้นมา กะว่าเดี๋ยวจะให้ข้าวเช้ามันพร้อมๆกับหาอะไรใส่ท้องตัวเอง แต่ดันมีใครไม่รู้มาขัดจังหวะ

    ฉันเปิดประตูออกไปแล้วก็ต้องช็อก

    ชเวชีวอน!

    เสื้อผ้าหน้าผมเขาดูเหมือนเพิ่งตื่น แต่ก็มีออร่าความหล่อชะวิ้งชะวับ แล้วเรื่องที่เราจูบกันเมื่อวานก็ทำให้ฉันหน้าร้อนวาบ

    เฮ้ย! ไม่ดิ! ทำไมหมอนี่ในสภาพเพิ่งตื่นถึงได้มายืนอยู่หน้าห้องฉันอ่ะ!

    “ผมมาตามหาแมว” เหมือนอ่านใจออก หมอนี่รีบตอบ ฉันปล่อยเจ้าแมวลงพื้นทันที แล้วมันก็เข้าไปคลอเคลียขาของเจ้านาย หนอย... อย่าบอกนะว่าเอาแมวมาเป็นสปาย? ไม่มั้ง? แมวคงไม่รู้เรื่องอะไรขนาดนั้น...

    “หมายความว่าเราอยู่คอนโดเดียวกันมาตลอดเหรอเนี่ย?” ฉันถาม หมอนั่นหิ้วแมวขึ้นมาแล้วขยี้หัวมันแรงๆทีนึง

    “ขอกาแฟซักแก้วได้มั้ย?”

    แทนคำตอบฉันกระแทกประตูใส่หน้าหมอนั่นแล้วล็อกทันที

    เขารู้รึเปล่า? หรือเพราะเขารู้ว่าฉันอยู่ใกล้ๆเขา เขาอาจจะเคยเห็นฉันแล้วด้วยซ้ำ! ถ้างั้นแล้ว ที่เขาทำไปทั้งหมดเพราะอะไร? แม้กระทั่งเรื่องเมื่อวานที่เราจูบกัน?

    ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อโทรศัพท์ของฉันก็ดังขึ้น

    “ฮัลโหล ว่าไงซันนี่”

    “ฮึก...ฮึก... ยัยโย่ง”

    “ซันนี่? เธอร้องไห้เหรอ?” ฉันถามกลับไปอย่างไม่แน่ใจ ร้อยวันพันปี คนอย่างอีซุนคยูไม่เคยร้องไห้ให้ใครเห็น ไม่ต้องเอาว่าให้ใครเห็นหรอก ร้องไห้อย่างเดียวซันนี่ก็แทบไม่เคย ต่อมน้ำตาแม่นี่อยู่ลึกจนแทบจะเรียกว่าไร้ความรู้สึกไปแล้ว

    “เป็นอะไร ใครทำอะไรเธอ?”

    “หมอนั่น... หมอนั่นเค้าไม่กลับมาแล้ว เค้าไปเวียนนา แล้วเค้าก็เจอคนอื่นที่นั่น...ฮึก” เสียงของซันนี่ขาดห้วงลงไปอีก

    “อยู่ที่ไหน? ฉันไปหามั้ย? อยู่กับแทยอนรึเปล่า?”

    “ไม่ แทยอนไปทำงาน ฉัน...ฉันอยู่หน้าคอนโดเธอ กำลังจะขึ้นลิฟท์... ฮึก”

    เวรแล้วไงล่ะ! ถ้าซันนี่อยู่ที่นี่ตอนนี้ หมายความว่าโอกาส 99.99% ยัยเตี้ยต้องเจอชเวชีวอนแหงมๆ แล้วยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ ซวยแน่ซูยองเอ๊ย!

    ฉันหันไปมองโทรศัพท์ ซันนี่วางไปแล้ว สมองรีบประมวลหาหนทาง... น่าจะยังทันน่า ฉันน่าจะลงไปข้างล่างแล้วเจอซันนี่ พายัยนั่นไปที่อื่น หรือไม่คิดอีกที นายชเวชีวอนอาจจะกลับไปแล้ว ฉันหันหลังแล้วเปิตประตูออกไป แล้วก็รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนหนังสโลว์โมชั่น ชเวชีวอนยังยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมๆกับที่ลิฟต์หยุดลงพอดี

    ซันนี่เดินออกมา ใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา เธอเห็นฉัน เห็นชเวชีวอน

    แล้วหมอนั่นก็เดินเข้าไป ถามซันนี่ด้วยความเป็นห่วง ในขณะที่ฉันได้แต่ยืนบื้อมองภาพเพื่อนตัวเองโถมตัวเข้าสู่อ้อมกอดของผู้ชายคนนั้นเต็มๆตา

    เจ็บใจ... เจ็บใจที่สุดเลย

    ที่ฉันเจ็บแค่เพราะฉันไม่อยากให้ซันนี่เสียใจ ไม่อยากให้ซันนี่ต้องเลิกกับพี่คยูฮยอน... แค่นั้นจริงๆนะชเวซูยอง...

    สุดท้ายซันนี่ก็เผลอหลับไปบนโซฟาของฉันหลังจากร้องไห้อยู่ร่วมชั่วโมง แทยอนกับคนอื่นๆที่รู้เรื่องที่หลังต่างก็ผลัดกันโทรมาถามทุกๆสิบห้านาที ฉันเลยแทบไม่ได้อยู่ปลอบซันนี่ อีตาเทพบุตรบ้านี่เลยได้โอกาสทำคะแนนใหญ่ โอ๊ย! จะมีทางไหนตามตัวพี่คยูฮยอนกลับมาเคลียร์ได้มั้ยนะ

    “นี่คุณ เอามือออกไปห่างๆซันนี่เลยนะ” ฉันตีมือปลาหมึกของชเวชีวอนที่กำลังลูบผมซันนี่เบาๆอย่างหมั่นไส้ ทำไมฉันถึงได้นึกถึงเรื่องเมื่อคืน ตอนเขาลูบผมฉันนะ?

    “ทำไม? หึงผมเหรอ?” หมอนั่นตอกกลับมายิ้มๆ

    “ฉันหึงแทนสามียัยเตี้ยนี่หรอก” สาบานได้ว่าถ้าฉันงับหัวไอ้หมอนี่ได้ฉันทำไปแล้ว

    “สามีคนที่ทำให้คุณซันนี่ต้องเสียใจขนาดนี้น่ะเหรอ? รับรองว่าถ้าเป็นผม ผมไม่ทำให้เธอร้องไห้แน่”

    ฉันนิ่งเงียบ หาคำพูดมาตอกกลับหมอนี่ไม่ได้เลยทั้งที่ปกติฉันไม่น่าจะแพ้ง่ายขนาดนี้ แต่ไอ้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกบีบคอนี่คืออะไร แล้วทำไมขอบตาฉันถึงได้ร้อนขนาดนี้นะ?

    “ฝากซันนี่ด้วยนะ”

    “คุณจะไปข้างนอกเหรอ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะดูแลซันนี่ให้เอง” เขาไม่แม้แต่จะถามฉันซักคำว่าฉันไปไหน สายตาของเขาไม่มองอะไรเลยนอกจากซันนี่

    ทำไมต้องเป็นซันนี่?

    ฉันหยุดความคิดตัวเองเอาไว้แค่นั้นแล้วหันหลังกลับ คว้ากุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์ออกมา

    ไม่คิดจะหันกลับไปมองภาพของคนสองคนที่อยู่ข้างหลังอีกเลย...

     

     

    “แล้วเธอทิ้งสองคนนั้นไว้แบบนั้นจะดีเหรอ?”

    ฉันถามซูยองที่ยกมือขึ้นเสยผมก่อนจะดื่มคอกเทลในมือรวดเดียวหมด ซดแต่วันเลยเว้ยเฮ้ย

    “หมอนั่นเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอกน่ะ เค้าดีกว่าพี่คยูฮยอนเยอะ” นี่มันพาลด่าพี่เค้ารึเปล่านะ =__=”

    “แล้วนี่เธอนั่งกลุ้มเรื่องอะไรล่ะ?”

    “ควอนยูล! เพื่อนรักเธอกำลังทะเลาะกับสามีเข้าขั้นแตกหักนะ! เธอไม่กลุ้มอะไรบ้างเลยเหรอ?” ซูยองปรี๊ดแตกใส่ฉัน

    “ก็ไม่ได้จะไม่กลุ้มน่ะนะ แต่ว่ากลุ้มไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ยังไงมันก็เป็นเรื่องของซันนี่กับพี่คยูฮยอน ถ้าพี่เค้าไม่ได้รักซันนี่จริงๆ ฉันยอมให้เพื่อนเจ็บครั้งนี้แล้วไปเจอผู้ชายที่ดีกว่า”

    “ผู้ชายที่ดีกว่าอย่างชเวชีวอนน่ะเหรอ?” ซูยองมองฉันอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

    “ทำไมล่ะ? เธอบอกเองนี่ว่าเขาเพอร์เฟกต์?” แทนที่จะตอบฉัน ซูยองหยิบเชอร์รี่ในแก้วออกมาวางบนเคาน์เตอร์แล้วเทว้อดก้าเพียวๆเติมลงไปในแทน เป็นเอามากนะเนี่ย

    “ฉันไม่อยากให้สองคนนั้นรักกัน” ซูยองพูดออกมา

    “เพราะ?”

    “ฉันไม่อยากเห็นซันนี่เลิกกับพี่คยูฮยอน”

    “งั้นเธอก็ต้องหาวิธีดึงชเวชีวอนออกมาจากซันนี่ให้ได้ก่อนที่พี่เค้าจะกลับมา ไม่งั้นเป็นเรื่องใหญ่แน่” ฉันพูดพลางลูบหลังซูยองไปด้วย “แล้วก็ต้องรีบด้วยนะ เพราะอีกสองวันนี้พี่คยูฮยอนจะกลับมาจากเวียนนาแล้ว”

    “เฮ้ย! อีกสองวันเนี่ยนะ! แล้วฉันจะทำยังไง!?” ยัยโย่งร้องเสียงหลง ขณะที่ฉันได้แต่ลูบหลังยัยเพื่อนจอมยุ่งนี่เบาๆ

    “มันคงต้องมีสักวิธีแหละ”

     

     

    ทางออกแรกของฉันคือจอนฮโยซอง

    อย่างน้อยถ้ายัยนั่นกลับไปเกาะแกะกับชเวชีวอนได้ในสองสามวันนี้หมอนั่นคงไม่มีเวลาไปยุ่งกับซันนี่

    ฉันอุตส่าห์ขับรถบึ่งมาหาฮโยซองที่งานอีเวนท์ของเธอ ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้รับเชิญ แต่ก็อุตส่าห์บากหน้ามาเพื่อค้นพบว่าตอนนี้สถานะความเป็นเพื่อนของเราอยู่ในจุดติดลบ แบบว่าฮโยซองกระแทกประตูห้องแต่งตัวใส่หน้าฉันไปเลย โอเค... ดีมาก

    แต่เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ฉันเลยทำได้แต่นั่งรอฮโยซองทำงานเสร็จ ทีนี้เธอก็จะไม่มีข้ออ้างหลบหน้าฉันอีก ฉันจะได้อธิบายเรื่องทั้งหมด รวมถึงขอให้เธอกลับไปตามตื้ออีตาบ้านั่นอย่างที่ฮโยซองคงจะอยากทำเต็มแก่

    แผนฉันคือรอให้ทุกคนออกไปก่อน ทีนี้ก็จะเหลือฮโยซองอยู่คนเดียว จากประสบการณ์การทำงานร่วมกัน ฉันรู้ดีว่ายัยนี่เอ้อระเหยที่สุด กว่าจะอาบน้ำ แต่งตัว เก็บของ ทำงานกะยัยนี่ทีไร ฉันนั่งรอจนเน่าทุกที

    “...รู้แล้วล่ะน่า ฉันจะรีบๆแต่งกับชเวชีวอนให้เร็วที่สุด แล้วหาเงินไปใช้หนี้ให้พี่” ฉันชะงักฝีเท้าทันทีที่ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์ของฮโยซองดังลอดออกมาจากห้อง

    “...ก็อย่าใช้เงินให้มันเยอะนักสิ! รู้มั้ยว่ามันยากแค่ไหน ไอ้บื้อนั่นไม่สนใจฉันเลย! เขาบอกฉันให้เลิกยุ่งกับเขาเพราะเขามีคนที่ชอบอยู่แล้วด้วยซ้ำ!” สมองฉันกำลังเริ่มประมวลผลอย่างรวดเร็ว นี่ฮโยซองตั้งใจอ่อยชีวอนเพราะเงินเหรอเนี่ย ชั่ววินาทีนั้นฉันรู้สึกเหมือนความผิดทับลงมาทั้งตัวจนก้าวขาไม่ออก ไม่รู้ว่าฮโยซองกระชากประตูออกมาเมื่อไหร่ แล้วเราก็เผชิญหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง

    “เธอ...ได้ยินเหรอ?” ฮโยซองถาม

    “ฮโยซอง เลิกซะเถอะ... ถ้าเธอไม่ได้ชอบเขาจริงๆ ถ้ามันเป็นเพราะเงินก็อย่าทำต่อไปเลยนะ”

    “เธอไม่ได้ลำบากแบบฉันเธอก็พูดได้นี่!” จอนฮโยซองตวาดใส่หน้าฉัน “เธอทำตัวยังกับเป็นราชินี มีผู้ชายดีๆอยู่ตรงหน้าก็ยังหยิ่งอยู่ได้ แล้วคราวนี้จะมาบอกให้ฉันเลิก เฮอะ ตลกตายล่ะ”

    “แต่เขาไม่ได้ชอบเธอนะ เขาชอบเพื่อนฉันต่างหาก!” ฉันขึ้นเสียงกลับไปบ้าง

    “แล้วยังไง?” ฮโยซองยิ้มก่อนจะผลักฉันไปจนชิดกำแพง “ผู้ชายอย่างชเวชีวอนเป็นสุภาพบุรุษมากนี่... คนอย่างนั้นน่ะ ต่อให้ไม่ได้รักแต่ถ้าเกิดมีอะไรเลยเถิดไปแล้ว เธอลองคิดสิว่าเขาจะทำยังไง?”

    ฉันช็อก... ช็อกสุดๆ ไม่คิดว่าผู้หญิงที่สดใสร่าเริงคนนั้นจะเปลี่ยนไป กลายเป็นแม่มดจอมวางแผนที่ทำได้กระทั่งใช้ร่างกายตัวเองผูกมัดผู้ชายเพื่อเงิน นี่มันบ้าเกินไปแล้ว! ถ้าชเวชีวอนรักฮโยซองสักนิด ฉันจะไม่ห้ามเลย แต่นี่...เป็นเพราะฉัน เพราะฉันทำให้สองคนนี้รู้จัก และฉันกำลังจะทำให้สองคนนี้ตกนรกทั้งเป็น!

    กว่าที่ฉันจะพูดอะไรออกไปได้ฮโยซองก็เดินไปแล้ว ทิ้งฉันไว้กับความสิ้นหวังและความรู้สึกแย่ๆ...

    ที่สำคัญ... ฉันเพิ่งจะเสียเพื่อนไปหนึ่งคนเพราะความโง่เง่าของตัวเอง...

     

    ผมควงกุญแจรถอย่างสบายอารมณ์ หลังจากที่เพิ่งไปส่งซันนี่ที่คอนโด ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย สายตาผมก็หยุดลงที่ร่างของใครบางคนที่ก้มหน้านั่งพิงกำแพงอยู่ข้างประตูคอนโด

    ใครคนนั้นคือชเวซูยอง

    เธอเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าผม

    “ตลกเนอะ ฉันออกไปทั้งๆที่ลืมคีย์การ์ดไว้ในห้อง”

    “โชคดีที่คุณเจอผม โชคดีที่เราเพิ่งรู้เมื่อเช้าว่าเราอยู่คอนโดเดียวกัน” ผมตอบพลางส่งมือให้เธอ จริงๆทำใจไว้แล้วครึ่งนึงถ้าเธอจะปัดมันออก แต่ตรงกันข้าม ชเวซูยองจับมือผม ปล่อยให้ผมดึงเธอลุกขึ้นยืน

    ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าวันนี้เธอดูเศร้าจัง...

    “กาแฟซักแก้วมั้ยคะ?”

    ผมกะพริบตาปริบๆ ไม่นึกว่าจะโดนยิงแบบไม่ทันตั้งตัวขนาดนี้ แต่ผมก็เดินตามเธอไป เธอไม่พูด ไม่มองหน้าผมซักคำระหว่างที่เราเดินไปด้วยกัน ขึ้นลิฟท์ด้วยกัน หรือแม้กระทั่งตอนที่เธอไขกุญแจห้อง ถึงเธอจะไม่พูด แต่มือเธอยังคงอยู่ในมือผม

    เธอกำลังเสียใจ ผมบอกได้แค่นั้น

    ผมควรจะถอยมั้ยนะ? ในเมื่อมันทำให้เธอเสียใจได้ขนาดนี้? ยูริเคยฝากผ่านพี่ฮีชอลมาบอกผมว่าซูยองให้ความสำคัญกับเพื่อนๆเท่ากับครอบครัว โดยเฉพาะเพื่อนทั้งแปดคนนี้ พวกเธอคล้ายมีสายสัมพันธ์บางอย่างยึดเหนี่ยวกันเอาไว้ อะไรบางอย่างที่ผมพอจะเข้าใจได้ เพราะผมเองก็ผูกพันกับพี่ฮีชอลในทำนองเดียวกัน

    “นั่งก่อนสิคะ” ซูยองหันมาบอกกับผมก่อนจะเดินลับเข้าไปในครัว แค่ไม่กี่วินาทีเธอเดินกลับเข้ามากับแก้วไวน์สองใบ

    “ไหนคุณชวนผมดื่มกาแฟ?” ผมถามเธอขำๆ ซูยองยิ้มตอบแล้วทรุดตัวนั่งลงตรงกันข้าม

    “เวลาแบบนี้ฉันว่าแอลกอฮอล์จำเป็นมากกว่าคาเฟอีนน่ะ”

    “อยากเล่าให้ผมฟังมั้ย?”

    ซูยองหลบสายตาผม มือที่จับก้านแก้วไวน์เอาไว้สั่นเทาจนผมทนดูไม่ได้ ผมลุกไปนั่งข้างเธอ หยิบแก้วไวน์ออกจากมือคู่นั้นแล้วกุมมันไว้ในมืออุ่นๆของผม

    “อย่าดีกับฉันนักเลย ฉันหลอกคุณอยู่นะ” เธอพูด

    “ผมรู้... เรื่องฮโยซองใช่ไหม? คุณแค่ไม่อยากให้ผมยุ่งกับคุณซันนี่ คุณเจตนาดี”

    “แต่มันทำให้ทุกอย่างเลวร้าย ฮโยซองไม่ได้รักคุณ เค้ารักแค่เงินของคุณ ฉันเกือบทำร้ายพวกคุณทั้งสองคนเพราะความเอาแต่ใจของฉันเอง” น้ำตาไหลลงมาเป็นทางบนใบหน้าเรียวสวย แพขนตาของเธอจับหยดน้ำที่เป็นประกาย เหมือนเพชรเม็ดเล็กๆที่สวยงามที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา

    “แต่ผมไม่ได้หลงกลฮโยซอง ผมไม่ได้รักเธอ” คนที่ผมรักคือ...

    แทนที่ผมจะพูดคำนั้นผมกลับหยุดชะงัก มองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในดวงตากลมโตคู่นั้น แล้วผมก็หยิบไวน์ขึ้นมาดื่มเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสบตากับเธอ

    “ขอบคุณนะคะที่ไม่โกรธ” ซูยองบีบมือผมพร้อมกะพริบตาถี่ๆเพื่อหยุดน้ำตาที่กำลังไหล เธอเอื้อมไปหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบ ผมได้แต่มองริมฝีปากคู่นั้นสัมผัสน้ำองุ่นสีแดง ผมจำรสของมันได้ดีหอม หวาน แต่ถ้าดื่มมากเกินไป มันอาจจะทำให้คุณเมาได้โดยไม่รู้ตัว

    ใช่... ผมไม่รู้ตัวเลยว่าริมฝีปากเรากำลังสัมผัสกันอีกครั้ง

    รสไวน์ในปากยังคงหอมกรุ่น เย้ายวนเหมือนตอนที่ผมลิ้มรสมันโดยตรง ดูจะยิ่งกว่าเมื่อมันผสมรวมกับรสชาตของตัวเธอ ผมจูบซับหยดไวน์ที่ไหลลงมาตามแนวคาง จนถึงลำคอของเธอ ลมหายใจร้อนๆเป่ารดผมเหมือนกำลังร่ายมนตร์ มือเล็กๆดึงรั้งผมให้ขยับเข้ามาใกล้ ให้กอดเธอแน่นขึ้น

    ผมได้ยินเสียงร้องของฮีบอม เหมือนมันกำลังเตือนอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่รับรู้อะไรแล้วทั้งนั้น

    ไม่รับรู้อะไรเลยนอกจากสัมผัสของผู้หญิงที่ชื่อชเวซูยอง



    ผมขมวดคิ้ว ดึงตัวเองกลับเข้ามาอยู่ในโลกปัจจุบัน

                    แผ่นหลังเนียนสวยที่อยู่ตรงหน้า ยังคงนิ่งสนิทไม่ขยับเลยสักนิด แล้วผมก็เริ่มได้คำตอบของคำถาม

                    ข้อหนึ่ง ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆผมคือชเวซูยอง และผมคงทำอะไรที่เลวร้ายสุดๆสำหรับเราสองคน

                    ข้อสอง ผมมีคำพูด และคำถามเตรียมพร้อมอยู่ในใจแล้ว

                    และข้อสาม แมวตัวนั้น ฮีบอมมองผมเหมือนจะบอกว่า ฉันเตือนนายแล้วก่อนจะกระโดดแผล็วลงไปจากเตียง

                    ผมลุกขึ้น กุมหัวตัวเองที่ปวดร้าวไปถึงข้างใน แต่ความรู้สึกนี้มันไม่เท่าความเจ็บปวดในใจ

                    “คุณตื่นแล้วเหรอ?” ซูยองหันมาหาผม เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงคอ แต่ผมก็ไม่สนใจจะมอง แสดงว่าระหว่างผมจับต้นชนปลายอยู่นี่เธอตื่นแล้ว หรือเธออาจจะมีสติอยู่ตลอดทั้งคืน ต่างจากผมที่จำไม่ได้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง

                    “เรา... ควรจะต้องแต่งงานกัน” ผมพูดออกไป “เร็วที่สุด”

                    “ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ค่ะ แค่คุณอย่าไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่นก็พอ” เธอพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มจางๆ แต่รอยยิ้มที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกของเธอกลับทำให้ผมตาสว่าง

                    เธอทำเพราะไม่ต้องการให้ผมยุ่งเกี่ยวกับซันนี่

                    ผมโดนหลอก

                    “เข้าใจแล้ว คุณแค่ต้องการให้ผมอยู่ห่างๆจากเพื่อนคุณใช่มั้ย” ผมพูดออกไป พยายามบังคับน้ำเสียงตัวเองไม่ให้สั่น แต่มองจากสีหน้าของเธอผมก็รู้ว่าเธอรู้สึกได้

                    “ฉัน--

                    “คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรแล้ว ผมสัญญา ผมจะไม่อยู่ให้ซันนี่เห็นอีก รวมถึงคุณด้วย” ผมคว้าผ้าขนหนูที่อยู่ข้างเตียงมาพันรอบตัวแล้วลุกออกไป ทิ้งเธอไว้ให้อยู่ในห้องนอนตามลำพัง

                    ผมแพ้เกมนี้แล้ว... เจ้าหญิงบนหอคอย ไม่มีวันมองลงมาที่ผมจริงๆ

     

     

                รู้ตัวอีกทีฉันก็เดินสโลสเลอยู่ในห้างหรูอันดับหนึ่งของโซลที่มีตาบ้านั่นเป็นเจ้าของ

                    ผู้ชายที่นอนบนเตียงฉันเมื่อคืน คนที่ตื่นมาด้วยสีหน้าช็อกสุดขีดเมื่อรู้ว่าคนที่นอนข้างๆเขาไม่ใช่คนที่เขารัก วินาทีที่เห็นใบหน้าเสียใจสุดซึ้งของเขา หัวใจฉันเหมือนแหลกเป็นชิ้นๆ หลังจากเขาไปแล้วฉันทำได้แต่นั่งร้องไห้

                    เพราะอะไรตัวฉันเองยังไม่รู้เลย

                    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ฉันมองหน้าจอ... ยูริ แน่ล่ะ ยัยนั่นต้องข่าวเร็วแน่นอนเพราะหมอนั่นคงวิ่งโร่ไปฟ้องพี่ฮีชอลแล้ว

                    “ว่าไง” ฉันพูด

                    “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นน่ะ พวกเราเป็นห่วงเธอมากเลยนะ ฉันกับแทยอนโทรหาเธอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทำไมติดต่อไม่ได้เลย”

                    “เธอมาห่วงอะไรฉัน คนที่เธอควรจะเป็นห่วงคือซันนี่ต่างหาก... แต่ตอนนี้คงไม่ต้องแล้วล่ะ หมอนั่นคงไม่ยุ่งกับซันนี่แล้ว”

                    “หมายความว่าไง? เธอทำอะไรลงไปชเวซูยอง?” ยูริถามฉันน้ำเสียงจริงจัง แต่ก่อนที่ฉันจะได้ตอบอะไร สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่าง ผู้ชายร่างสูงที่ดูคุ้นตาเดินผ่านหน้าฉันไปพร้อมกับผู้หญิงคนนึง... สองคนนั้นกำลังคววงแขนกันอยู่ ฉันมองหน้าอีกทีแล้วก็รู้ว่าตัวเองกำลังจ้องหน้าสามีของเพื่อนรัก

                    “โจคยูฮยอน!

                    เสียงแหลมๆของฉันดังขึ้นพร้อมกับความคิด แล้วฉันก็ก้าวเข้าไป คว้าไหล่ของเขาให้หันกลับมาเผชิญหน้า พี่เค้าดูประหลาดใจมาก แน่ล่ะ เจอเพื่อนของภรรยาระหว่างการพากิ๊กมาเดท คงเซอร์ไพรซ์น่าดูสินะ

                    “หวัดดีซูยอง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” เขาทักฉันพร้อมรอยยิ้ม แถมยังทำหน้าตาใสซื่อเหมือนตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่อยากจะเชื่อเลย!

                    “นี่พี่ทำแบบนี้ได้ยังไง? ซันนี่เสียใจขนาดไหนพี่รู้มั้ย? พี่ทรยศเพื่อนของฉันแบบนี้ได้ยังไงกัน!?” ฉันเริ่มขึ้นเสียงใส่เขาจนคนรอบข้างหันมามอง

                    “เดี๋ยวนะซูยอง เธอพูดเรื่องอะไร?”

                    “ยังจะมีหน้ามาถามอีก! พี่กลับจากเวียนนามาพร้อมใครล่ะ! พี่นอกใจซันนี่แบบนี้น่ะเหรอ! คนเฮงซวยเอ๊ย!

                    พี่คยูฮยอนเหวอไปก่อนจะเริ่มทำหน้าเครียด ฉันตั้งท่าจะด่าเขาอีกซักสองชุดแต่มือหนักๆของพี่เค้าก็กดลงบนบ่าฉัน

                    “ชเวซูยอง ตั้งสติแล้วฟังให้ดีๆ ผมไปเวียนนาแล้วกลับมาพร้อมกับพี่สาวแท้พี่โจอารา พี่ครับนี่ซูยอง เพื่อนของซันนี่ครับ”

                    ฉันสบตากับคนที่พี่คยูฮยอนแนะนำว่าเป็นโจอาราแล้วหันมองหน้าคนโดนกล่าวหาที่ตอนนี้กำลังเดือดปุดๆ จะว่าไป... จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเจอกันแล้วที่งานแต่งยัยเตี้ย แล้วสติสตังฉันมันหายไปไหนหมดถึงจำไม่ได้ว่านี่เป็นพี่สาวของสามีสุดที่รักของอีซุนคยู งานงอกสิฉัน เข้าใจผิดเต็มประตู แล้วดันด่าซะเต็มปากเต็มคำเลยด้วย T_T

                    เสียงโทรศัพท์ของพี่คยูฮยอนดังขึ้น พี่เค้าหัวเราะหึๆอย่างน่ากลัวก่อนจะมองหน้าฉันแบบโหดๆ แล้วกดปุ่มสปีคเกอร์โฟน

                    “ตะเอง ไปซื้อของกับพี่อาราถึงไหนแล้วอ่ะ~ ซันนี่หิวม๊ากมาก กลับมากินข้าวฝีมือภรรยาเร้ว~” เสียงแอ๊บแบ็วแบบน่าเขวี้ยงรองเท้าใส่นั่นเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากเพื่อนสุดที่รักของฉัน พี่คยูฮยอนดึงโทรศัพท์มาใกล้ๆแล้วพูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนขนลุก

                    “ที่รักครับ เราคงต้องเคลียร์อะไรกันหน่อยแล้วล่ะ...”

                    “เห? เคลียร์อะไรกัน?”

                    “เคลียร์เรื่องที่ซูยองเข้าใจว่าผมไปมีกิ๊กที่เวียนนาแถมพากลับมาเย้ยคุณน่ะสิ ^^*

                    ซันนี่หลุดคำคล้ายๆคำหยาบคายออกมาชุดนึง ฉันอยากจะผสมโรงด้วยน่ะนะ ถ้าไม่ติดว่าเงาดำทะมึนของพี่คยูฮยอนกำลังแผ่รังสีอำมหิตอย่างน่ากลัว

                    “ซูยอง ถ้าวันนี้ไม่มีธุระอะไรแล้วผมเชิญไปกินข้าวเย็นที่บ้านนะ ^^ เพราะเราคงมีเรื่องให้คุยกันอีกยาว”

                    เรื่องทำท่าจะยาว... แต่สงสัยชีวิตฉันจะสั้นก็งานนี้แหละ

     

     

    พวกเรานั่งสงบเสงี่ยมกันอยู่บนโซฟาตัวยาวในคอนโดของซันนี่และพี่คยูฮยอน รายหลังนี่ทำหน้าเหมือนหมาป่าหิวโหด พร้อมแยกเขี้ยวขู่ได้ทุกเมื่อ

    “อธิบายมาว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้ข่าวลือผิดๆ ที่ว่าผมทิ้งซันนี่ไปทำงานแล้วมีกิ๊กเนี่ยหมายความว่าไง”

    ยัยเตี้ยซันนี่ที่งานนี้โดนไปเต็มรีบหลบงุดๆ มาหาฉัน

    “แทยอน เธอนั่นแหละต้นคิด”

    เฮ้ย! เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด มันโบ้ยกันเห็นๆค่ะท่านผู้ชม!

    “ผมว่าไม่มั้งครับที่รัก ^^* ผมรู้จักคุณดีว่างานแบบนี้ถ้าคุณไม่เสนอตัวเอง รับรองไม่มีใครลากคุณไปทำได้หรอก” พี่คยูฮยอนยิ้มโรคจิตส่งให้ซันนี่ที่ทำหน้าเบ้

    “ใจเย็นๆก่อนคยูฮยอน” พี่ฮีชอลทูเดอะเรสคิว รีบเข้ามาขัดตาทัพช่วยซันนี่ก่อนเป็นคนแรก “คืออันที่จริง... คนต้นคิดแผนนี้คือชเวชีวอน”

    “ชเวชีวอน? ตาบ้านั่นคิดจะทำอะไร?” ซูยองโพล่งขึ้นมาทันที ฉัน ซันนี่ และยูริมองหน้ากันอย่างชั่งใจ อันที่จริงพวกเราทั้งกลุ่มรู้เรื่องนี้แต่เก็บเงียบไว้ แล้วก็ยังอยากจะเก็บไว้อยู่ถ้าไม่ติดว่านั่นจะทำให้ซันนี่มีคดีกับพี่คยูฮยอนขึ้นมาจริงๆ

    “ฉันเล่าเองก็ได้” ซันนี่เริ่ม “คือ... พี่ชีวอนบอกพวกเราตั้งแต่งานเปิดตัวซันไรส์ ว่าพี่เค้าอยากรู้จักซูยอง แต่ยัยโย่งนี่ก็วางท่าสุดๆ พี่เค้าก็เลยขอให้พวกเราช่วย”

    “พวกเราเหรอ? พวกเราของเธอนี่มันรวมใครบ้างยะ อีซุนคยู” ตอนนี้ซุยองเริ่มกลายร่างอีกคนแล้ว T^T

    “ก็ทุกคนในกลุ่ม รวมพี่ฮีชอล นอกจากเธอ”

    “นอกจากผมด้วย - -*” คุณสามีของซันนี่เสริมขึ้นมา

    “นั่นแหละ... แทยอน เล่าต่อซิ” ซันนี่โยนบทต่อมาให้ฉันดื้อๆ อะไรกัน =__=

    “พี่ฮีชอล ยูริ กับคุณชีวอนเลยวางแผนกัน ทำทีเป็นให้พี่ชีวอนตามตื๊อซันนี่ เธอจะได้เป็นฝ่ายเข้าหาเขา แต่พอเธอเอาฮโยซองเข้ามา แผนพวกเราก็ตัน ซันนี่เลยแกล้งร้องไห้ ทำเป็นเสียใจเรื่องพี่คยูฮยอนเพื่อหลอกให้เธอใช้แผนรุกกับพี่ชีวอนน่ะ”

    “พวกเธอบ้าไปแล้ว!” ซูยองแทบจะกรี๊ดใส่หน้าพวกเรา ในขณะที่พี่คยูฮยอนหัวเราะหึๆ

    “มิน่า ซันนี่ถึงได้ไล่ผมไปนู่นไปนี่ ให้ผมแวะรับพี่อารากลับบ้าน เพื่อยื้อเวลานี่เอง”

    “ก็ถ้านายอยู่ ฉันกล้าทอดสะพานให้พี่เค้าที่ไหนล่ะ” ซันนี่ตอบเสียงอ่อย แต่ชัดเลยว่าเล่นมุกนี้พี่คยูฮยอนต้องหายโกรธ แน่ะ เจ้าตัวมีแอบยิ้มด้วยอ่ะ

    “งั้นยังงี้ยิ่งต้องอยู่ด้วยกันตลอดแล้วล่ะ ที่รักของผมจะได้ไม่มีโอกาสไปมองผู้ชายคนอื่น” พี่คยูฮยอนโอบเอวซันนี่เข้ามาซะจนชิด แถมยังหอมแก้มคุณภรรยาโชว์เพื่อนๆอีกตะหาก เฮ้ย! ทำอะไรเกรงใจคนโสดกันบ้างเซ่! T^T

    “แล้วสรุป ตอนนี้แผนจะจบลงยังไงล่ะ?” พี่อารา หันมาถามพวกเราที่ได้แต่ส่ายหน้า

    “จบตรงที่มันไม่สำเร็จน่ะสิ” พี่ฮีชอลพูด “ชีวอนมันยอมแพ้เธอแล้ว มันล้มเลิกความตั้งใจที่จะจีบซูยองแล้ว” พวกเรามองหน้าซูยองที่ทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่พี่ฮีชอลพูด แต่เพราะเราเป็นเพื่อนกันมานานฉันถึงเห็นรอยอะไรบางอย่างที่คล้ายๆกับความเสียใจ

    ฉัน ซันนี่ กับยูริมองหน้ากันอีกครั้ง แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ฉันคนเดียวที่รับรู้ได้

    “ซูยอง” ยูริเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้ “พวกเราอาจจะผิดนะที่หลอกเธอ แต่พวกเราจะไม่ทำแบบนี้เลยถ้าไม่มั่นใจว่าชเวชีวอนรู้สึกยังไง... พวกเราสร้างสถานการณ์ได้ แต่สร้างความรู้สึกที่เขามีให้เธอไม่ได้”

    “แต่เขาไม่ได้รู้สึกอะไร เขาไม่ได้คิดอะไรกับฉันซักหน่อย”

    “ยัยเด็กโง่” พี่ฮีชอลสวนขึ้นมาทันที “เจ้าหญิงที่ไม่ยอมลงมาจากหอคอยน่ะ สุดท้ายแล้วก็ต้องกลายเป็นยัยแก่เหี่ยวแห้งแร้งทึ้ง รู้เอาไว้ซะว่าไม่มีผู้ชายคนไหนหรอกที่จะยอมโง่ปีนขึ้นไปซ้ำสอง ตกลงมาครั้งเดียวก็เจ็บสาหัสเจียนตายแล้ว”

    ยูริดึงมือพี่ฮีชอลเอาไว้ ไม่ให้เหวี่ยงใส่ซูยองไปมากกว่านี้ แต่ยังไงก็ยังห้ามคำพูดพี่เค้าไม่ได้อยู่ดี

    “เธอลองตกลงมาเองดูสักทีก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นยังไง”



     

    ฉันโยนกระป๋องเบียร์เปล่าๆลงถังขยะก่อนจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะ นึกไม่ออกว่าเพราะอะไร เมื่อไหร่ และ ทำไม ฉันถึงได้ตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ทั้งๆที่ก็รู้แล้วว่าทั้งหมดมันเป็นแผนการของยัยพวกเพื่อนตัวดีที่หวังจะจับคู่ฉันกับตาบ้านั่น เจสสิก้าถึงขั้นหิ้วกระเป๋าชาแนลราคาเหยียบแสนจากชิคาโก้มาฝากเพราะกลัวฉันจะโกรธจริงจัง ส่วนคนอื่นๆก็โทรมาสารภาพผิดแบบเรียงตัว แม้แต่ยูริยังบังคับให้พี่ฮีชอลส่งดอกไม้กับรองเท้าจากชูส์โฮลิคมาให้ฉันแทนคำไถ่โทษ อันที่จริงฉันไม่ได้โกรธเลย เพราะรู้ว่าทุกคนทำไปเพราะรักฉัน แต่ไอ้ความรู้สึกโหวงๆนี่มันคืออะไร ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

    เพราะชเวชีวอนหายไปจากชีวิตฉันรึเปล่านะ?

    เขามีอิทธิพลกับฉันมากมายขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจนฉันสะดุ้ง ซันนี่อีกแล้ว ยัยเตี้ยนี่โทรมาเช็กฉันเช้ากลางวันเย็น ติดกันสามวันตั้งแต่เกิดเรื่อง ทั้งเป็นห่วง ทั้งรู้สึกผิด พอเจอแบบนี้เข้า ใครจะไปโกรธลงล่ะ

    "ว่าไง" ฉันถาม

    "อยากออกมากินข้าวเย็นด้วยกันมั้ย" ซันนี่ถาม

    "ไม่กินกับคุณสามีเหรอ?"

    "ฉันมีเวลากินกับหมอนั่นทั้งชีวิตเลยล่ะ"

    คำตอบของซันนี่ทำให้ฉันหัวเราะออกมา

    “ไม่ต้องหรอก พวกเธอเอาเวลาไปวางแผนฮันนีมูนกันเถอะ”

    “เธอก็รู้นี่ว่าฉันยังไปไม่ได้ จนกว่า... ช่างมันเถอะ” ซันนี่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะพูดเอาดื้อๆ แต่ถึงยัยเตี้ยจอมจุ้นนี่จะไม่พูดฉันก็รู้... เธอรอให้ฉันหายดี รอให้ชเวซูยองกลับมาเป็นคนเดิมที่ไม่ได้ขลุกตัวหมกอยู่ในห้องแล้วดื่มเบียร์แทนข้าวเย็นเป็นกิจวัตร แล้วไอ้อาการนี้ของฉันมันจะหายเมื่อไหร่ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

    “เมี้ยว~

    เสียงร้องดังขึ้นจากทางประตูระเบียง ฉันหันหลังกลับไปมองแล้วก็เห็นเจ้าแมวตัวเดิมของชีวอนนั่งอยู่ตรงนั้น สักพักมันก็ปล่อยก้อนกลมๆอะไรบางอย่างที่คาบขึ้นมาด้วย ก่อนจะเริ่มเขี่ยเล่น =__=

    “ยัยเตี้ย แค่นี้ก่อนนะ” ฉันวางสายจากซันนี่ที่เหมือนจะโวยวายตามหลัง แต่ตอนนี้ความสนใจฉันอยู่ที่คุณแมวนี่มากกว่า มันไม่เคยขึ้นมานับตั้งแต่วันนั้น เหมือนกับเจ้าของของมัน... เขาทำตามที่พูดทุกอย่าง หายไปจากชีวิตจนฉันลืมไปเลยว่าเขาอยู่ข้างล่างนี่

    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเรา”

    ฉันอุ้มเจ้าแมวขึ้นมา มันรองทักก่อนจะเอาหน้าไถกับแก้มฉัน

    “ไหนดูซิเอาอะไรมา” ฉันเอื้อมมือไปคว้าก้อนกลมๆ ที่ปรากฏว่าเป็นเศษกระดาษอะไรซักอย่าง เจ้าตัวยุ่งนั่นพยายามดิ้นหลุดจากอ้อมกอดฉันไปคว้ามันมาเล่นจนได้ ฉันเลยต้องจับตัวเจ้าแมวล็อกไว้แล้วแงะเศษกระดาษนั่นออกจากปากมัน ฉันคงจะโยนทิ้งไปแล้วถ้าไม่ได้เห็นคำสามคำอยู่บนนั้น

    ชีวอน/ชเว

    ตามมาหลอกมาหลอนกันจนได้ ฉันเหวี่ยงก้อนนั่นลงถังขยะ ถ้าไม่ติดว่าอะไรบางอย่างมันแว้บเข้ามาในหัว...

    อะไรบางอย่างนั่นคือวิธีเขียนชื่อที่แปลกๆ แต่กลับคุ้นสายตาเหมือนอะไรสักอย่าง ฉันรีบลุกกลับไปที่ถึงขยะแล้วคุ้ยเอาก้อนกลมๆนั่นกลับมาคลี่ดู

     

    ชื่อผู้โดยสาร ชีวอน/ชเว

    เส้นทางการบิน อินชอน/เกาหลี แวนคูเวอร์/แคนาดา

     

    ฉันกวาดตามองเลขไฟลท์ วันที่และเวลา มันคือ E-ticket ที่หมอนั่นซื้อตั๋วเครื่องบินออนไลน์แล้วคงปรินท์ทิ้งไว้ สายตาของฉันหยุดอยู่ตรงประเภทเที่ยวบิน

    เที่ยวบินขาเดียว ไม่มีเที่ยวกลับ

    ออกบินวันนี้ตอนสามทุ่ม

    หัวใจฉันเหมือนโดนบีบจนแหลกเป็นชิ้นๆ

    ฉันลุกขึ้น เดินโงนเงนกลับไปที่โต๊ะ หยิบโทรศัพท์ขึ้นด้วยมืออันสั่นเทาก่อนจะกดโทรออก

    “ว่าไงซูยอง” ยูริรับโทรศัพท์ขึ้นมา และก่อนที่เธอจะได้ทันพูดอะไร ฉันก็ตอบกลับไปก่อน

    “นัดรวมพลด่วนเลย ที่สนามบินอินชอน เดี๋ยวนี้”

     

     

    เสียงประกาศเรียกผู้โดยสารดังก้องทันทีที่พวกเราก้าวเข้ามาในสนามบินอินชอน ทันทีที่พี่ยุนอาโทรมา ฉันกับพี่แทยอนก็รีบบึ่งกลับมาจากโรงเรียนดนตรีทันที แม้ว่าฉันจะต้องเลื่อนสอนนักเรียนออกไปอีกหน่อย แต่ว่าตอนนี้พี่ซูยองคือคนที่สำคัญที่สุด

    “เจอบ้างมั้ย?” พี่สิก้า กับพี่ฟานี่ วิ่งมาทางพวกเรา ท่าทางจะมาได้สักพักแล้ว

    “ฉันกับซอฮยอนนี่เพิ่งมาถึงน่ะ เธอหาทางไหนแล้วบ้าง?”

    “เขาน่าจะอยู่แถวๆเคาน์เตอร์ผู้โดยสารขาออกของสนามบินน่ะ แต่เค้าบินเฟิร์สคลาส คงเข้าฟาสต์แทรคไปเลย ไม่มายืนต่อแถวเหมือนคนอื่นหรอก ถ้ายังไม่เข้าไปก็ดีน่ะสิ” พี่เจสสิก้า ลูกสาวนักการฑูตและหุ้นส่วนสายการบินอันดับหนึ่งของประเทศบอกข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับพวกเรา

    “เธอบล็อกไฟลท์ของเค้าได้มั้ยสิก้า?” พี่ทิฟฟานี่ถามขณะที่พวกเราออกเดินไปด้วยกัน

    “ถ้าทำได้ฉันทำไปแล้วย่ะ”

    “ย่าห์! พวกเธอ” พี่ยูริวิ่งเข้ามาสมทบกับพวกเราจากอีกทาง มีพี่ฮีชอลที่ทำหน้าบูดสุดๆวิ่งตามมาด้วย

    “ไอ้เด็กนั่นไม่รับโทรศัพท์ฉัน ทิ้งแมวฉันไว้นี่ไม่ว่า แต่ไอ้ที่จู่ๆหนีไปแคนาดาแบบนี้เนี่ยมันน่าฆ่าทิ้งชะมัดยาด!

    “คนอื่นๆล่ะ?” พี่แทยอนหันไปถามพี่ยูริที่ทำท่าเหมือนกำลังสติแตก

    “แยกย้ายกันออกตามหาน่ะสิ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าอินชอนมันกว้างขนาดนี้มาก่อนเลย ให้ตาย”

    “ใจเย็นๆก่อนค่ะพี่” ฉันหันไปพูด “เราลองแยกย้ายกันตามหาตรงแถวๆผู้โดยสารขาออก แบ่งทีมซักคนสองคนไว้เฝ้าตรงฟาสต์แทรค ฉันคิดว่าเราน่าจะเจอเขาค่ะ”

    “น้องเล็กพวกเธอฉลาดมาก งั้นฉันกับยูริจะไปเดินดูในร้านอาหารแถวนี้ เผื่อหมอนั่นไปนั่งรอก่อนเครื่องออก”

    “เดี๋ยวฉันกับเจสสิก้าดูตรงฟาสต์แทรคให้เอง” พี่ฟานี่หันมายิ้มให้เราก่อนจะ ลากพี่เจสสิก้าวิ่งไปอีกทาง พร้อมกับที่พี่ฮีชอลและพี่ยูริออกเดินไปเช่นกัน

    ฉันกับพี่แทยอนเดินวนตรงแถวผู้โดยสาร โชคร้ายสุดๆที่วันนี้คนเยอะมาก แต่ถึงยังงั้น พวกเราก็เจอพี่ยุนอากับพี่ฮโยยอนที่ตามมาทีหลังสุด พี่ซันนี่กับพี่คยูฮยอนออกจะดูเป็นกังวลมากๆเพราะทั้งคู่ออกมาตามหาคุณชีวอนพร้อมๆกับพี่ซูยองแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอ เราเดินจนกระทั่งเจอพี่ซูยองที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังลงเรื่อยๆ

    ฉันทำได้แค่เดินเข้าไปกอดพี่เค้าเบาๆ

    “ซอฮยอนอา... พี่เป็นแบบนั้นใช่มั้ย? เป็นเจ้าหญิงบนหอคอยที่ไม่เคยมองลงมา ไม่เคยสนใจว่าใครจะพยายามไขว่คว้ามากแค่ไหน พี่ผลักเขาตกลงไปข้างล่างด้วยมือตัวเอง พี่เสียเขาไปแล้วใช่มั้ย?”

    ฉันได้แต่สบตากับพี่แทยอน ก่อนที่พี่เค้าจะเอื้อมมือมาลูบหลังพี่ซูยองเบาๆ

    “ไม่สายไปหรอก ยังเหลือเวลาอีกตั้งเยอะนะ พวกเรามีกันตั้งหลายคน แค่หาชเวชีวอน จะไม่เจอได้ยังไง” พี่แทยอนพยายามปลอบ ส่วนฉันก็ดึงพี่ซูยองออกมาสบตาตรงๆแล้วช่วยเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าให้

    “พยายามให้ถึงที่สุดก่อนนะคะเจ้าหญิง ถึงเค้าจะหล่นลงไปแล้ว แต่พี่ก็กระโดดจากหอคอยลงไปช่วยเค้าได้นี่คะ?”

    “พี่ไม่โง่ขนาดนั้นหรอกน่ะ” พี่ซูยองหัวเราะขึ้นมาเล็กๆแล้วหันหลังออกเดินไปอีกทาง

    พวกเราได้แต่ยืนนิ่งมองอยู่อย่างนั้น

    หวังว่าจะมีปาฏิหารย์สุดท้ายให้เจ้าชายกับเจ้าหญิงได้เจอกัน

     

     

    ฉันวนเวียนอยู่ตรงอาคารผู้โดยสารขาเข้าชั้นสอง อีกไม่ถึงชั่วโมงเครื่องจะออกแล้ว... ควรจะยอมแพ้ได้แล้วสินะ ฉันเอนตัวลงพิงราวระเบียงอย่างเหนื่อยอ่อน นึกเสียใจกับทุกสิ่งที่ทำลงไป ฉันหลอกเขา หลอกจนวินาทีสุดท้าย... หลอกกระทั่งความรู้สึกตัวเองว่าไม่ได้รักผู้ชายคนนั้น

    ฉันเหม่อมองลงไปยังกลุ่มคนที่เดินสวนกันไปมาอยู่ข้างล่าง พยายามมองหาวี่แววของเจ้าชายคนนั้น แค่เพียงแว่บเดียว แค่แว่บเดียวก็ยังดี

    นั่นไง... ร่างสูงๆนั่น ใบหน้าหล่อๆ ท่าทางที่ดูเพอร์เฟกต์ไม่มีที่ติแบบนั้น...

    ฉันกำลังมองเขาอยู่นี่!

    ชเวชีวอน อยู่ข้างล่าง มุ่งหน้าไปตรงเคาน์เตอร์ผู้โดยสารขาออก แล้วเขาก็หยุดยืน

    “นี่ นาย!” ฉันพยายามเรียกก่อนจะเริ่มออกวิ่งตามเขาแม้ว่าเราจะอยู่กันคนละชั้น โธ่! เวลาแบบนี้ลิฟท์กับบันไดเลื่อนถึงได้อยู่ไกลนักนะ! ถ้าฉันลงลิฟท์ ฉันอาจจะคลาดสายตาจากเขา อาจจะพลาดโอกาสครั้งเดียวในชีวิตไปเลยก็ได้!

    พยายามให้ถึงที่สุดก่อนนะคะเจ้าหญิง ถึงเค้าจะหล่นลงไปแล้ว แต่พี่ก็กระโดดจากหอคอยลงไปช่วยเค้าได้นี่คะ?

    วินาทีนั้นคำพูดของซอฮยอนย้อนกลับเข้ามาในหัว แล้วฉันก็กำราวระเบียงแน่น ก่อนจะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะกล้าทำ

    แต่ฉันก็ทำไปแล้วเพราะผู้ชายคนนี้

    “ชเวชีวอน!” ฉันตะโกนสุดเสียง ยกขาปีนข้ามราวระเบียงออกไป แน่นอน ไม่ใช่แค่หมอนั่นหรอกที่เห็นฉัน ตอนนี้คนทั้งสนามบินกำลังมองฉันอยู่เลย

    “เฮ้ย! คุณ!” หมอนั่นวิ่งออกมาตรงหน้า ถอดแว่นกันแดดออก เขายังดูหล่ออย่างไม่น่าเชื่อ ฉันยืนอยู่บนขอบด้านนอกของระเบียง มือสองข้างยังจับราวเอาไว้แน่น

    “คุณมันบ้าที่สุด! เจ้าชายบ้าบออะไรใจป๊อดชะมัด! ตกลงไปจากหอคอยแล้วมันเจ็บนักใช่มั้ย หา!

    “ใจเย็นก่อนนะคุณ อย่าทำอะไรโง่ๆนะ!” เขาตะโกนตอบกลับมา ตอนนี้สาวๆในกลุ่มของฉันปรากฏตัวพร้อมหน้าแล้ว ทุกคนยังคงยืนนิ่ง จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกด้วยความช็อก

    หมอนั่นบอกฉันว่าอะไรนะ? ห้ามทำโง่ๆใช่ไหม? นี่แหละสิ่งที่โง่เง่าที่สุดในชีวิตฉันเลย!

    “ถ้าฉันโดดลงไปนายจะรับฉันไว้รึเปล่า? นายจะรับฉันไว้ใช่ไหม?”

    “ชเวซูยอง! อย่าทำแบบนั้นนะ!” เพื่อนๆทุกคนร้องห้าม ฉันเหลือบเห็นยุนอาวิ่งเข้ามาจากทางด้านข้าง แต่ว่านั่นก็สายไปแล้ว ฉันปล่อยมือ ทิ้งตัวลงไป

    “ซูยอง อย่านะ!” เสียงกรี๊ดของสิก้า ฟานี่ และซันนี่ดังขึ้นพร้อมกัน แต่ฉันหลับตา ไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น

    มันควรจะเจ็บ มันควรจะเจ็บมากๆเลยด้วย

    แต่สิ่งที่ฉันรู้สึกกลับไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่มันคืออ้อมกอดอุ่นๆของใครคนหนึ่ง

    คนที่ฉันเฝ้ารออยู่บนหอคอยทั่วทั้งชีวิต

    “คุณนี่มันบ้าดีเดือดจริงๆ! ถ้าผมเข้ามารับไว้ไม่ทันจะเป็นยังไง คิดบ้างไหม?” เขาดูหัวเสียมากๆ แต่แล้วใบหน้าหล่อๆนั่นก็เริ่มยิ้ม แล้วก็กลับกลายเป็นหัวเราะ “ให้ตายสิ ชเวซูยอง! คุณนี่เหลือเกินจริงๆ ไม่รู้ผมรักคุณเข้าไปได้ยังไงตั้งแต่แรก”

    “รักเหรอ?” ฉันหันขวับไปถามเขาทั้งๆที่เรายังคงนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าทุกๆคนกำลังรุมล้อมเข้ามา “นี่เรื่องจริงหรือโกหก?”

    “ถ้าพูดว่าโกหกคุณจะว่ายังไง?”

    “ฉันก็จะบอกว่าฉันรักคุณ...รักทั้งๆที่โกหก รักทั้งๆที่พูดความจริง”

    “ถ้างั้นผมจะสารภาพความจริงกับคุณสามเรื่อง” เขาพูดก่อนจะดึงตัวฉันให้ลุกขึ้นยืน แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยฉันออกจากอ้อมกอด

    “เริ่มที่เรื่องแรกเลย”

    “เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนั้น ผมรู้ว่าเราไม่ได้มีอะไรกัน” ฉันมองรอยยิ้มแบบรู้ทันของเขาแล้วก็อดขำออกมาไม่ได้ นี่เขารู้ตัวด้วยเหรอว่าโดนฉันวางยานอนหลับแล้วจัดฉากขึ้นมา แต่ทั้งๆที่รู้ก็ยังเล่นตามน้ำเนี่ยนะ

    “ผมเฮิร์ทสุดๆไปเลย เพราะคุณทำแบบนั้น ผมตั้งใจจะบอกรักคุณ บอกความจริงทุกอย่าง แต่คุณก็หลอกผม”

    “ก็คุณทำตัวไม่ดีก่อนนี่” ฉันท้วงเพราะหมอนี่ชักจะเรียกคะแนนสงสารจากคนอ่านมากไปหน่อยแล้ว

    “เอาเป็นว่าข้ามไปข้อสอง... ผม...ไม่ได้คิดจะไปแคนาดา”

    “หา?!” คราวนี้ไม่ได้มีแต่เสียงของฉัน พี่ฮีชอล และสาวๆคนอื่นก็ร้องขึ้นมาพร้อมกัน แต่ชเวชีวอนกลับหันไปยิ้มกว้างกับพี่คยูฮยอนที่กำลังปลอบซันนี่ที่สะอึกสะอื้นไม่หยุด อย่าบอกนะว่ายัยนี่คิดว่าฉันจะโดดลงมาตายจริงๆ =__=

    “เห็นมั้ยครับ ผมบอกแล้วว่าแผนผมน่ะ เจ๋งที่สุด” พี่คยูฮยอนไฮไฟว์กับหมอนั่น เล่นเอาซันนี่หยุดร้องไห้แล้วเงยหน้ามองตาเขียวปั้ด

    “นี่นายหลอกพวกฉันเหรอ?

    “เป็นการเอาคืนไงครับที่รัก แผนพวกคุณน่ะไม่ได้ถึงครึ่งของผมหรอก ตั๋วที่ซูยองเห็นนั่นผมเป็นคนทำขึ้นมาเองแหละ แล้วผมก็บอกให้คุณชีวอนเอาก้อนกระดาษนั่นยัดใส่ปากฮีบอมโยนขึ้นระเบียงห้องซูยองไปเอง

    พวกเราทุกคนอ้าปากค้าง

    “นี่แกกล้าเอากระดาษยัดปากแมวฉันเรอะ” พี่ฮีชอลท่าทางจะของขึ้นวุ้ย

    “อย่ามาหาเรื่องผมนะพี่ มีอย่างที่ไหน เอาภรรยาเค้าไปเป็นนกต่อ - -* แฟนตัวเองมีไม่ใช้ อีกอย่าง พวกเธอน่ะ เล่นกับความรู้สึกของคน ตัวเองโดนซะบ้างทีนี้ซึ้งรึยังล่ะ? ความรักน่ะ มันต้องเกิดจากความจริงเป็นพื้นฐาน ไม่ใช่เล่นเกมกันไปมา” โดนดอกนี้เข้าไปทุกคนทำหน้าจ๋อยไปเป็นแถบ แต่ยังไงฉันก็เป็นคนโดนหลอกทั้งขึ้นทั้งล่องเลยนี่นา ไม่ยุติธรรมอ่ะ!

    ฉันอ้าปากกำลังจะทวงสิทธิ์ตัวเอง แต่พี่คยูฮยอนก็โอบเอวซันนี่ เดินนำคนอื่นๆ ออกไปอีกทาง โหย เล่นแล้วหนีเรอะ! - -*

    “จะไปไหน ผมยังไม่ได้บอกข้อสามเลย” ชเวชีวอนดึงข้อมือฉันไว้ แต่นาทีนี้คนสวยเริ่มจะเหวี่ยงแล้วค่ะ หมอนี่จะหลอกอะไรฉันนักหนาเนี่ย

    “รีบๆสารภาพมาเลยดีกว่าว่าคุณมีอะไรปิดบังฉันอีก ให้ตายเหอะ! คุณนี่มันเหลี่ยมจัดจริงๆ!

    ชีวอนยิ้มแล้วดึงตัวฉันเข้าไปกอด “ความจริงข้อสุดท้ายที่ผมปิดบังเอาไว้คือ... ผมรักคุณ รักมาตลอด รักตั้งแต่วินาทีแรกที่ฮีบอมพาผมไปเจอคุณ รักจนยอมปีนขึ้นหอคอยไม่ว่ามันจะสูงเสียดฟ้าแค่ไหนก็ตาม”

    ฉันยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากของเขา หยุดคำพูดทุกคำเอาไว้ตรงนั้น

    “จะไปพูดถึงหอคอยอีกทำไม ในเมื่อฉันโดดลงมายืนอยู่กับคุณบนพื้นอยู่ยังงี้”

    เขายิ้ม แล้วฉันก็ยิ้ม จากนั้นเจ้าชายก็จูบเจ้าหญิง รสจูบแสนหวานแทนสัญญารักนิรันดร์ไม่ต่างจากในนิทาน

    เสียอย่างเดียวที่บังเอิญเรื่องนี้... มันคือเรื่องจริง ^^


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×