ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SNSD] Princesses & The Boys : เจ้าหญิงสุดร้ายกับเจ้าชายสุดขั้ว!

    ลำดับตอนที่ #8 : 4th Tale ~ Love Turning Into Foam

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.97K
      2
      23 พ.ค. 55


     

     


    4th Tale ~ Love Turning Into Foam

       

    ถ้าฉันโดดลงทะเลไปตอนนี้... ฉันจะกลายเป็นฟองมั้ยนะ?

    หรือเรื่องเลวร้ายต่างๆที่ฉันเพิ่งเจอมา มันอาจจะจมหายไปกับสายน้ำ... จมลงไปพร้อมกับร่างของฉัน...

    ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีน่ะสิ

    ฉันก้าวขึ้นไปอีกก้าว ชายหาดซอกโชที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามที่สุดในคังวอนโดดึงเอาภาพเก่าๆกลับขึ้นมาในความทรงจำ แล้วน้ำตาก็ค่อยๆไหลลงมาช้าๆ

    ทั้งๆที่เรากำลังจะแต่งงานกัน... ทั้งๆที่ฉันรักเขามากขนาดนั้น...

     

    “รักฉันมากแค่ไหนคะ?”

    “รักมากกว่าท้องทะเล รักยิ่งกว่าท้องฟ้า รักที่สุดเลย”

    “งั้นเราแต่งงานกันนะคะ”

    “ครับ ผมจะแต่งงานกับคุณ... แจคยอง”

     

    ทำไม? ทำไมต้องเป็นฉัน? ทำไมล่ะ? ฉันรักเขาไม่พอ ฉันดีไม่พอ หรือเพราะอะไร ทำไมเขาถึงได้ทำร้ายฉันแบบนี้

    หัวใจของฉันเจ็บจนแทบไม่รู้สึกถึงความหนาวของลมทะเล มันไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว แม้แต่เสียงมันก็หมดไปกับการร้องไห้ตั้งแต่เมื่อคืน เหลือก็แต่น้ำตาที่ทำยังไงก็ไม่หยุดไหลสักที

    ตะวันกำลังจะขึ้นที่ขอบฟ้า ใกล้รุ่งสางแล้ว...

    ฉันหลับตา ก้าวเท้าไปสู่ความว่างเปล่าเบื้องหน้า...

    สายน้ำเย็นเยียบและกลิ่นเกลือโอบรอบตัวฉันในชั่วเสี้ยววินาที แค่แป๊บเดียว ทนเจ็บอีกแค่นิดเดียวเท่านั้นแล้วพอลืมตาขึ้น ทุกอย่างก็จะละลายหายไปกับฟองคลื่น ฉันจะมีชีวิตใหม่

    แต่แล้วความรู้สึกทั้งหมดมันก็เริ่มชา ฉันขยับตัวไม่ได้ แม้แต่จะหายใจก็ยังทำไม่ได้

    ฉันกำลังจะตาย!

    สติเริ่มเลือนรางลงทุกที แล้วสิ่งสุดท้ายที่ฉันรู้สึกคือมือคู่หนึ่งที่กำลังดึงฉันลงไป

    ดำดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรเหมือนจุดจบของเจ้าหญิงเงือกที่หัวใจแหลกสลายไม่มีชิ้นดี...

     

     

    “...ฟานี่...ทิฟฟานี่... ฮวังมิยอง!

    เปลือกตาของทิฟฟานี่ค่อยๆขยับก่อนจะปรือเปิดขึ้นตามเสียงเรียกของคู่หมั้นผม--ชเวซูยอง ดูเหมือนฟานี่ยังคงอยู่ในภาวะช็อกจากการเพิ่งรอดตายมาหมาดๆ แล้วก็ดูยังไม่ได้สติร้อยเปอร์เซ็นต์

    “ไม่เป็นไรแล้วนะฟานี่ พวกเราอยู่นี่ เธอไม่เป็นไรแล้ว” เจสสิก้าจับมือซีดขาวของเพื่อนรักขึ้นมากุมเอาไว้ ตอนนี้ผม ซูยอง เจสสิก้าและแทยอนกำลังยืนอยู่ในห้องพักผู้ป่วยที่โรงพยาบาลไม่ไกลจากหาดซอกโชในคังวอนโด เรื่องของเรื่องมาจากการหายตัวไปของทิฟฟานี่เมื่อวาน เธอไม่รับโทรศัพท์ ไม่มีใครรู้ว่าเธอไปไหน ทีแรกไม่มีใครเอะใจ จนกระทั่งเจสสิก้าที่นัดทิฟฟานี่เอาไว้นั่งรอเพื่อนกว่าสามชั่วโมงแต่ก็ยังไร้วี่แวว หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มตามหา ยุนอากับซูยองบุกไปหาอเล็กซานเดอร์ ว่าที่เจ้าบ่าวในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าของทิฟฟานี่แล้วก็พบสาเหตุของการหายตัวไป...

    เขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น...

    แน่นอนครับ เจ้าหญิงของผมด่าหมอนั่นซะเละ แถมผู้หญิงที่อยู่กับหมอนั่นคือคิมแจคยอง นางแบบที่เคยจามาหลายครั้ง คุณคู่หมั้นผมคงได้จิกกัดผู้หญิงคนนั้นซะเละ ถ้าไม่ใช่ว่าผู้หมวดอิมที่ไปด้วยกันเกิดเลือดขึ้นหน้าทำท่าจะชักปืนยิงไม่เลี้ยง เพื่อป้องกันไม่ให้ยุนอาต้องจับตัวเองยัดใส่ตะราง ซูยองเลยต้องรีบลากตัวน้องรองกลับแล้วประชุมพลหาตัวทิฟฟานี่

    เจสสิก้านำทางให้เรามาที่นี่เพราะจำได้ว่าฟานี่มีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่ซอกชู เราเจอรถของฟานี่ แต่ไม่เจอตัว กว่าจะถามเอาจากคนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงจนรู้ว่าทิฟฟานี่โดดลงทะเลไปตอนรุ่งสาง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกือบจะสายเกินไป

    “ให้ผมโทรบอกพี่ฮีชอลให้มั้ย?” ผมหันไปพูดกับสามสาวที่ดูเหมือนไม่อยากคลาดสายตาไปจากทิฟฟานี่ตอนนี้

    “ไม่เป็นไรค่ะ บอกรายนั้นก่อนโวยวายแน่ๆ ฉันโทรรายงานมักเน่ก่อนน่าจะดีกว่า” แทยอนพูดขึ้นมาแล้วก็คว้าโทรศัพท์เดินออกไป ไม่ลืมที่จะกอดทิฟฟานี่แน่นๆก่อนหนึ่งที ผมเห็นตาของเธอแดงๆ อันที่จริงก็ทุกคน แต่ผมเข้าใจว่าไม่มีใครอยากร้องไห้ตอนนี้

    “วันหลังอย่าทำอะไรโง่ๆแบบนี้อีก รู้ไหม? ไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นมันไม่มีค่าอะไรไม่มีค่าได้เท่าเสี้ยวนึงของตัวเธอด้วยซ้ำ” ซูยองพูดออกมา น้ำเสียงสั่นเครือจนผมต้องเดินเข้าไปกอดเธอ ลูบผมเธอเบาๆ

    “ฟานี่ไม่เป็นไรแล้ว ปล่อยเธอพักผ่อนเถอะนะ” ผมบอกทั้งซูยองและเจสสิก้า ดูสภาพของทิฟฟานี่ตอนนี้พูดอะไรไปเธอก็คงยังไม่รับรู้ แต่ถึงยังงั้น น้ำตาก็ยังคงไหลลงมาไม่หยุด

    ผู้ชายคนนั้นทำได้ยังไงกันนะ ทำร้ายผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนี้ลงคอได้ยังไง

    ผมดึงซูยองออกมานอกห้อง ปล่อยเจสสิก้าที่ยืนยันจะนั่งเฝ้าทิฟฟานี่เอาไว้ข้างใน

    “โกรธเหรอคะ?” เธอหันมาถามผม

    “โกรธสิ เพราะผมรู้ว่าเพื่อนๆคุณสำคัญกับคุณมากขนาดไหน”

    ซูยองนิ่งไป ก่อนจะแค่นยิ้มออกมา

    “ผมพูดอะไรผิด?”

    “ไม่ผิดเลย... แต่ฉันเจ็บใจตัวเองที่ไม่เตือนฟานี่ตั้งแต่แรก” ผมเลิกคิ้วมองคุณคู่หมั้นที่ทำสีหน้านิ่งแบบน่ากลัว “อเล็กซานเดอร์ ลี ยูเซบิโอ หมอนั่นน่ะ... ตั้งแต่คบกับฟานี่มาก็ไม่เคยคิดจะมาเจอพวกเรา ฉันนึกว่าเขาแค่ไม่เห็นหัวเพื่อนๆ”

    ผมมองหน้าซูยองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ถ้าสำหรับสาวๆกลุ่มอื่นการเข้ากับเพื่อนแฟนไม่ได้คงจะเป็นเรื่องเล็ก แต่ไม่ใช่กับกลุ่มนี้แน่นอน แค่แว่บเดียวที่เห็นพวกเธออยู่ด้วยกัน แม้แต่เด็กอนุบาลก็บอกได้ว่าพวกเธอทั้งเก้าคนรักกันมากขนาดไหน พวกเธอเป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิท เป็นครอบครัว

    “ตอนนี้ฉันเพิ่งแน่ใจว่าผู้ชายคนนั้น ไม่ใช่แค่ไม่แคร์พวกเรา แต่เขาไม่เคยแคร์ทิฟฟานี่เลยต่างหาก”


    ฉันไม่อยากลืมตาเลย แต่พอรู้สึกได้ถึงสัมผัสอุ่นๆที่ฝ่ามือ ฉันก็อดสงสัยไม่ได้

    ใครกันนะ? ใช่นางเงือกรึเปล่าที่ช่วยฉันขึ้นมาตอนนั้น?

    “...อย่าเพิ่งบอกซันนี่เลยดีกว่า ยัยนั่นฮันนีมูนอยู่ ถ้ารู้เรื่องสงสัยได้รีบแจ้นกลับมาแน่” เสียงของฮโยยอนดังขึ้นไม่ไกล ฉันค่อยๆ ลืมตาขึ้น สาวๆทุกคนอยู่พร้อมหน้า รวมทั้งพี่ฮีชอลกับพี่ชีวอนก็ด้วย คนเดียวที่ไม่อยู่คือซันนี่ ก่อนจะเกิดเรื่องซันนี่เพิ่งจะได้มีโอกาสไปฮันนีมูนกับพี่คยูฮยอนที่อัมสเตอร์ดัม

    “แค่ถ้าพี่เค้ารู้ทีหลัง รับรองวีนแตกแน่” ยุนอายืนกอดอกหันหลังให้ฉันอยู่

    “พี่ฟานี่!” เสียงของซอฮยอนดังขึ้นอีกข้าง แล้วทุกคนก็หันกลับมามองฉัน ทำเหมือนกับว่าฉันเป็นเด็กแรกเกิดแล้วต่างคนต่างก็ยิงคำถามกันมาเป็นชุดๆจนฉันฟังไม่ทัน

    “เดี๋ยวๆ พูดทีละคนสิพวกเธอ -*- ยังกับนกกระจอกแตกรัง” พี่ฮีชอลพูดห้ามแล้วเพื่อนๆของฉันก็เงียบลงพร้อมกัน แทยอนดึงมือฉันไปกุมไว้ส่วนเจสสิก้าลูบผมฉันเบาๆแล้วถามขึ้นเป็นคนแรก

    “เจ็บตรงไหนรึเปล่า? เธอโอเคใช่ไหม?”

    “อือ ไม่เป็นไร” ฉันตอบ เสียงที่ออกไปฟังดูแหบแห้งเหมือนไม่ใช่ทิฟฟานี่ แต่สายตาที่ทุกคนมองมาด้วยความเป็นห่วงทำให้ขอบตาฉันร้อนผ่าว ถึงแม้จพยายามกลั้นมันเอาไว้เท่าไหร่ ฉันก็ทำไม่ได้

    สิก้าเริ่มร้องไห้แล้วดึงฉันเข้ามาในอ้อมกอด แล้วก็ตามมาด้วยแทยอน ซูยอง ยูริ ยุนอา ฮโยยอน ซอฮยอน เหมือนกับทุกคนช่วยรับเอาความเจ็บปวดทั้งหมดของฉันออกไป ปกป้องฉัน อยู่เคียงข้างฉันโดยที่ไม่เคยมีคำสัญญาอะไรร่วมกัน ต่างจากคนที่เคยสาบานว่ารัก แต่กลับไม่เคยใส่ใจฉันเลยสักนิด

     

    “แต่งงานกับผมนะทิฟฟานี่ ผมรักคุณเท่าท้องทะเล เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”

     

    ฉันมันโง่ที่เชื่อคำพูดของผู้ชายคนนั้น

    โง่ที่แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังลบมันออกไปจากใจไม่ได้

    “ไอ้ผู้ชายสารเลวเอ๊ย! อย่าให้เจอ พ่อจะเอาส้นรองเท้ายัดปาก” พี่ชีวอนที่ยืนข้างๆแอบขำกับคำพูดของพี่ฮีชอล แล้วพี่เค้าก็เดินตรงเข้ามาสบตาฉัน สาวๆคนอื่นถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่

    “ผมไม่รู้ว่าคุณเข้มแข็งพอที่จะรับรู้เรื่องนี้มั้ย แต่ว่า... ผมคิดว่ามันจำเป็นที่จะต้องบอก”

    ฉันเห็นซูยองกระตุกแขนพี่เค้าเบาๆ แต่ฉันกลับปาดน้ำตาออก ส่งยิ้มให้เขา พี่ชีวอนเลยหันไปหายุนอาที่มีสีหน้าลำบากใจที่สุด น้องรองหยิบเอาแฟ้มขึ้นมาจากกระเป๋าแล้วยื่นมาให้ฉันตรงหน้า

    “อเล็กซานเดอร์ ลี ยูเซบิโอ ผู้ชายคนนี้เคยแต่งงานมาแล้วหนึ่งครั้ง กับเจ้าของธุรกิจเครื่องสำอางตั้งแต่อายุสิบเก้า เขาหลอกภรรยาเก่าที่อายุมากกว่าสี่ปีจนเกือบหมดตัว สองปีถัดมาเธอก็ล้มละลาย ทั้งคู่เลยหย่ากัน จากนั้นหมอนี่ก็ย้ายมาเกาหลีเพราะหนีหมายฟ้องคดีฉ้อโกง”

    ฉันเปิดมองแฟ้มประวัติของผู้ชายที่เกือบจะได้เป็นเจ้าบ่าวในพิธีแต่งงานอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าของฉันด้วยมือที่สั่นเทา เขาจงใจหลอกฉันเพื่อเงินงั้นเหรอ?

    “พี่ให้อะไรเขาไปบ้างหลังจากเขาขอพี่แต่งงาน?” ยุนอาถามขึ้นมา

    “อพาร์เมนท์โอนเป็นชื่อของเขา หุ้น 50% ของจิลว์” รวมทั้งอนาคต ชีวิต และหัวใจของฉัน...

    “ย่าห์! ฟานี่ ฉันรู้นะว่าเธอไม่ค่อยชอบงานบริหารแบรนด์น้ำหอมที่ตกทอดมาจากรุ่นปู่ย่าตายาย แต่ไอ้การที่จู่ๆ ปล่อยให้ผู้ชายคนนี้ซื้อหุ้นเธอไปครึ่งนึงนี่ฉันว่ามากไปหน่อยนะ” ยูริพูดขึ้นมา ฉันรู้ว่าเธอโกรธ... ไม่ได้โกรธฉัน แต่โกรธผู้ชายคนนั้นที่ทั้งหลอกลวงและเอาทุกอย่างไปจากชีวิตฉันจนไม่เหลืออะไรเอาไว้เลย

    “ก็ฉันตั้งใจจะฝากชีวิตไว้กับเขา...” ฉันพูดได้แค่นั้นแล้วเสียงก็เริ่มหายไปในลำคอ น้ำตาที่ดูเหมือนจะแห้งไปก็เริ่มไหลออกมาอีก แค่เท่านั้น ยูริก็หน้าหมองลงก่อนจะเดินเข้ามากอดฉันเอาไว้

    “ทีนี้... ผมคิดว่า ได้เวลาแล้วล่ะ ที่คุณจะทวงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของคุณคืนมา” พี่ชีวอนพูดขึ้นเรียบๆ

    “พวกเราทุกคนจะช่วยคุณเอง”

     

     

    “ฉันย้ายไปอยู่บ้านพี่ฮีชอลแล้ว เธออยู่นี่ไปก่อนแล้วกัน” ฉันวางกระเป๋าของทิฟฟานี่ลงที่โซฟากลางอพาร์ทเมนท์สุดหรูของฉัน ใจจริงไม่อยากปล่อยให้ยัยนี่อยู่คนเดียวเลยเพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะคิดมากแล้วทำอะไรโง่ๆอีก แต่ว่าคนที่โดนแบบทิฟฟานี่ ถ้าไม่เจ็บเลยคงจะแปลก แค่เท่านี้ฉันก็ว่าเพื่อนฉันเข้มแข็งพอแล้ว

    “เธอโอเคนะ?” ฉันหันไปถามฟานี่ที่พยักหน้าตอบกลับมา ใบหน้าเรียวซูบตอบลงไปตั้งแต่กลับมาจากซอกโช

    “ฉันยังมีบลูเพิร์ลให้ดูแลอยู่ ไม่เป็นไรหรอกน่า” ฟานี่ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มจางๆ นอกจากจะเป็นเจ้าของแบรนด์น้ำหอมชื่อดังในเอเชียแล้ว ฟานี่ยังเปิดบริษัทรับจัดอีเวนท์ หรือที่คนทั่วไปมักจะเรียกกันว่าออร์แกไนซ์เซอร์นั่นแหละค่ะ จริงๆเจ้าตัวออกจะใส่ใจบลูเพิร์ล อีเวนท์ ออร์แกไนซ์เซอร์มากกว่าแบรนด์จิลว์ด้วยซ้ำเพราะเป็นงานที่เธอชอบ แม้ว่ารายได้หลักๆของยัยนี่จะมาจากกำไรของจิลว์ ไม่ใช่เพิร์ล

    “ฉันเปิดทีวีดีกว่า” ฟานี่เอื้อมมือไปหยิบรีโมทที่วางอยู่บนโต๊ะ ฉันทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างๆเธอ แต่แล้วพอทีวีจอพลาสม่าสุดหรูของฉันเปิดขึ้น ควอนยูริก็แทบจะกัดลิ้นตาย

    ก็ในข่าวมันเป็นแถลงการณ์แต่งงานระหว่าอเล็กซ์กับนางแบบที่ชื่อคิมแจคยอง!

    “ฉันว่าเราไปดูหนังกันดีกว่านะฟานี่” ฉันตั้งใจจะแย่งรีโมทในมือมาปิดทีวีทิ้งซะ แต่ทิฟฟานี่กลับดึงมันออกไป สายตาของเธอจับจ้องที่ภาพข่าว

    “ฉันจะดู”

    แล้วควอนยูลจะทำอะไรได้ T^T

    “ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าคุณจะแต่งงานกับทิฟฟานี่ ฮวังไม่ใช่เหรอคะ คุณอเล็กซ์” เสียงนักข่าวยิงคำถามขึ้นมาได้ตรงจุดมาก

    “เรื่องนั้นมันเป็นอดีตไปแล้วครับ ตอนนี้คนที่ผมรักมีแค่คนเดียว และคนๆนั้นคือแจคยอง” ไอ้สิบแปดมงกุฎนั่นจับมือผู้หญิงคนนั้นท่ามกลางสายตาประชาชี ทั้งคู่มองกันด้วยสายตาหวานเยิ้มหยดย้อยจนฉันอยากจะอ้วก

    “แล้วคุณแจคยองรู้สึกยังไงกับข่าวลือเรื่องเป็นมือที่สามคะ?” เฮ้ย ช่วยถ่ายหน้านักข่าวให้ดูหน่อยได้ป่ะ -*- จะได้ส่งคนไปตามเก็บถูก

    “มือที่สามอะไรกันคะ เรื่องแบบนี้มันช่วยไม่ได้นี่ ในเมื่อเค้ารักษาของเค้าไว้ไม่ได้เอง ถ้าอเล็กซ์เลือกฉัน นั่นก็หมายความว่าฉันดีกว่า ทำให้เขามความสุขมากกว่า และที่สำคัญ เขารักฉันมากกว่า ว่ายังงั้นมั้ยล่ะคะ?” แจคยองตอบคำถามได้น่าหักคอมาก นี่ถ้ายุนอาอยู่ในงานแถลง รับรองว่าได้ล้มโต๊ะแล้วแน่นอนพันเปอร์เซ็นต์

    “ฟานี่ ฉันว่าเธออย่าเสียเวลาดูต่อเลยดีกว่า ไร้สาระทั้งนั้น”

    “ฉันจะดู” ทิฟฟานี่พูดย้ำอีกเป็นครั้งสองแล้วฉันก็ได้แต่นั่งนิ่ง มือซีดขาวของเธอกำรีโมทแน่นจนสั่นเทา ตายิ้มที่ใครๆก็หลงไหลตอนนี้เอ่อท้นไปด้วยน้ำตา แต่ฉันบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่น้ำตาแห่งความเสียใจ... เธอโกรธผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่ขอเธอแต่งงานแล้วทรยศหักหลังเธออย่างไม่มีเยื่อใย

    “ยูริ... เธอเคยได้ยินนิทานเรื่องเจ้าหญิงเงือกไหม?” ทิฟฟานี่ถามขึ้นมาขณะที่ภาพข่าวฉายฉากหอมแก้มสวีทหวานของทั้งคู่

    “เคยสิ” ฉันตอบสั้นๆ

    “ตอนจบของในนิทาน นางเงือกกระโดดลงทะเลแล้วหายไปเป็นฟอง... ทั้งๆที่มีโอกาสทำลายคำสาปของตัวเองได้”

    “ใช่ ก็ถ้านางเงือกฆ่าเจ้าชายซะเธอก็จะกลับไปเป็นนางเงือกได้เหมือนเดิม” ฉันมองทิฟฟานี่ปาดน้ำตาออกไป แววตาของเธอเปลี่ยนเป็นเย็นชาเหมือนอุณหภูมิของน้ำเย็นเยียบที่ก้นทะเลลึก

    “ถ้างั้นฉันจะเลือกทางนั้น... ฉันจะทำให้ผู้ชายคนนั้นตายทั้งเป็นเพื่อถอนคำสาปให้ตัวเอง!


    “นี่ แน่ใจเหรอว่าฟานี่จะไม่เป็นไรน่ะ?” คิมฮโยยอนกระซิบถามฉันเป็นรอบที่ล้านหลังจากที่วันนี้เราเปลี่ยนโลเคชั่นจากนัดเจอกันที่ผับเดอะไนน์เป็นร้านประจำของอเล็กซานเดอร์ ผู้ชายเลวบัดซบคนนั้น -*-

    “พวกเราก็มากันตั้งหลายคน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจัดการเองค่ะ” น้องรองยุนอาพูดขึ้นมาด้วยท่าทีจริงจัง แต่กลับทำเอาพวกเราเสียวสันหลังวาบ =__= เอิ่ม... อิมยุน เธอออกโรงเมื่อไหร่นี่มีแต่พังกับพังนะ...

    “ว่าแต่ เมื่อสามวันก่อนเป็นวันเกิดพี่ซันนี่นี่คะ มีใครโทรไปเบิร์ธเดย์รึยัง?” ซอฮยอนถามขึ้นมา ปกติแล้วพวกเราจะปาร์ตี้ฉลองกันทุกปี แต่พอดีปีนี้ยัยนั่นติดไปฮันนีมูนกับสุดที่รักเลยได้ฉลองวันเกิดอยู่ต่างประเทศกับคุณสามีแบบสองต่อสอง แต่ทางนี้ก็หัวปั่นกับเคสของทิฟฟานี่ไม่แพ้กันหรอก

    “ฉันส่งข้อความไปแล้วนะ” ยุนอายกมือขึ้นเป็นคนแรก

    “ส่วนพี่ก็... ซันนี่โทรมาหาตอนตีสี่วันที่เราอยู่ชอกโซ =__= ท่าทางจะลั้ลลากับคุณสามีดี แต่ว่า...”

    “แต่ว่า?” ฮโยยอนเลิกคิ้ว ฉันชั่งใจ ว่าจะเล่าเรื่องสัมผัสพิศวงของยัยเตี้ยนั่นดีมั้ย แต่สรุปว่าไม่ดีกว่า แค่นี้พวกเราก็มีเรื่องให้คิดกันจนหัวบานแล้วล่ะ

    “อ๊ะ โจทก์เรามาแล้ว” ฉันพูดขึ้น แล้วพวกเราสี่คนก็หันไปมองทางประตูผับ อเล็กซ์ซานเดอร์ อดีตว่าที่เจ้าบ่าวของทิฟฟานี่เดินเข้ามา แหม... แค่ก้าวแรกสาวๆก็เข้าไปล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด แต่ถึงยังงั้นเขาก็ยังชายตามองมาทางโต๊ะเรา แน่ล่ะ วันนี้สาวๆแต่งสวยเต็มที่ โดยเฉพาะยุนอาที่ปกติอยู่ในเสื้อยืดกางเกงยีนส์กัวแจ๊กเกตหนัง วันนี้ยังไปขุดเอาเดรสปักเลื่อมสีม่วงเข้มมาใส่ สวยจนมีค็อกเทลแวะเวียนมาเสิร์ฟฟรีที่โต๊ะไม่ได้ขาด ส่วนน้องเล็กก็แรงใช่ย่อย ตั้งแต่เข้ามานี่มีหนุ่มเดินมาเจ๊าะแจ๊ะแล้วสองสามคน แต่แม่คุณก็สะบัดบ๊อบใส่ไปอย่างนิ่มนวล มีแค่ฉันกับฮโยยอนที่ดูเหมือนจะสนุกกับการบริหารเสน่ห์ เช็กเรตติ้งกับหนุ่มๆ

    อเล็กซานเดอร์เดินมาอ้อยอิ่งอยู่ใกล้ๆโต๊ะเรา แต่ผู้หมวดอิมกลับจิกตาใส่อย่างเย็นชา โหดจริง = = อ้อ! ไม่ต้องห่วงนะคะว่าหมอนี่จะรู้จักหน้าค่าตาใครในกลุ่ม เพราะหมอนี่ไม่เคยจะมาปรากฏตัวให้เราเห็น หรือถึงจะเคยมันก็นานมาก แล้วก็อย่างว่าแหละ พี่แกไม่ใส่ใจใครนอกจากฟานี่ แถมยังใช้ข้ออ้างประมาณว่า ไม่อยากอึดอัดเวลาอยู่กับสาวๆ เพราะงั้นถึงได้ไม่เคยโผล่หัวมาเวลาเรานัดรวมพล อันที่จริงก็ไม่ได้จะเอะใจอะไรหรอกนะ ถ้าไม่ติดว่าแฟนเพื่อนอีกสามคนเนี่ย เข้ากับคนในกลุ่มได้ดีมากเลยล่ะ

    “โทรบอกฟานี่เลยมั้ย?” ฮโยยอนถามขึ้นมาหลังจากเป้าหมายของเราเดินแยกไปนั่งที่โต๊ะอีกฝั่งเพราะเห็นสัญญาณว่าเราไม่เล่นด้วย

    “ไม่ต้องโทรแล้วล่ะค่ะ พี่ทิฟฟานี่มาแล้ว” น้องเล็กพูดขึ้น แล้วเราก็หันไปมองทางประตูเป็นตาเดียว

    ทิฟฟานี่... ฮวังมิยอง คนนั้นแทบไม่เหลือเค้าของนางเงือกผู้น่าสงสารที่เธอเคยเป็นเมื่อสองสามวันก่อน ผิวขาวๆของเธอเปล่งประกายในเดรสคล้องคอสีทองสว่าง เรือนผมสีแดงที่เพิ่งไปย้อมมาหมาดๆถูกดัดเป็นลอนใหญ่ๆแล้วจับไพล่พาดมาข้างซ้าย ตายิ้มที่เคยทำให้หนุ่มๆตายมานับไม่ถ้วนถูกกรีดให้สวยคมดูเย้ายวน

    ถ้าคอนเซปต์ของยัยนี่คือนางเงือกที่ตายแล้วเกิดใหม่ ขอบอกเลยว่าถ้าตายแล้วเกิดใหม่ได้แบบนี้ฉันยอมตายเป็นล้านครั้ง

    เพราะตอนนี้ทิฟฟานี่คือคนเดียวที่ทุกสายตาจ้องมอง ยิ่งเมื่อตอนเธอเดินเข้ามารวมกลุ่มกับพวกเรา ทุกสายตาก็ยิ่งมอง ขนาดซูยองกับพี่ชีวอนเดินเข้ามาด้วย สองรายนั้นยังกลายเป็นแบคกราวด์ไปเลย

    “ว่าไงสาวๆ” ทิฟฟานี่ทักก่อนจะทำตายิ้มส่งให้พวกเราแล้วนั่งลงข้างยุนอา ยัยน้องรองเหวอไปเลย

    “ฉันมั่นใจว่าสวยสุดแล้ว เจอพี่วันนี้ยอมยกธงขาวเลยอ่ะ”

    “ผู้หญิงสวยขึ้นได้เสมอแหละจ้ะน้องรัก โดยเฉพาะเวลาที่นึกอยากฆ่าผู้ชายสักคน ^^

    อูย... โหด...

    “นี่ อดีตเจ้าบ่าวเธอมองตาค้างแล้ว” ฮโยยอนกระซิบ แล้วพวกเราก็หันไปมองทางนั้น จริงด้วยแฮะ อเล็กมองฟานี่ตาค้างไปเลย คงช็อกสินะที่อะไรๆมันผิดแผน

    “เอาล่ะสาวๆ” ทิฟฟานี่ลุกขึ้นก่อนจะสะบัดผมทำสวยหนึ่งที “ขอฉันไปจัดการ เหยื่อก่อนนะ”

     

     

    ฉันเดินตรงเข้าไป มองตรงไปยังผู้ชายที่เคยได้ชื่อว่าเป็นคนรักของฉัน ถึงจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่เขาจะรู้ไหมว่าฉันผ่านการร้องไห้ ผ่านความทุกข์ทรมานมามากแค่ไหนกับคำสัญญาจอมปลอมที่เขาเคยพูดไว้แล้วไม่คิดจะทำ

    “ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะ” ฉันพูดก่อนจะหย่อนก้นลงนั่นบนพนักโซฟาที่เขานั่งอยู่ ใจจริงฉันไม่อยากแม้แต่จะหายใจร่วมโลกกับผู้ชายคนนี้ แต่เพราะความเย้ายวนที่ได้เห็นเขาเจ็บปวดทรมานกำลังล่อตาล่อใจฉันอยู่ข้างหน้า เพราะงั้นตอนนี้ฉันจะทนไปก่อน

    “เรื่องอะไรครับ?” เขาถามย้อนกลับมา รอยยิ้มใสซื่อแบบนั้นทำเอาฉันหลงเชื่อมาหลายครั้ง แต่ไม่ใช่ครั้งนี้

    “เรื่องการแต่งงาน เรื่องที่จิวล์เป็นของคุณ”

    “ทิฟฟานี่... ผมไม่ได้ดีใจกับเรื่องพวกนั้นหรอกนะ ผมไม่เคยคิดร้ายกับคุณเลย” โกหก ฉันเถียงในใจ

    “เหรอคะ งั้นบอกฉันได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น?” ฉันไล้ปลายนิ้วไปบนไหล่กว้างๆใต้เสื้อเชิ้ต ก่อนจะเกี่ยวนิ้วเข้ากับปมเนคไท รั้งให้เขาเอนตัวลงพิงกับพนักที่มีฉันนั่งอยู่ข้างบน ใช่...ตอนนี้ฉันคือคนคุมเกม

    “ถ้าคุณร้อนแรงแบบนี้ตั้งแต่ต้น... ถ้าคุณยอมให้ผมทำได้มากกว่าแค่กอดจูบ... รับรอง ทั้งชีวิตผมให้คุณแน่”

    ฉันพยายามข่มความโกรธที่พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆก่อนจะแค่นยิ้มให้เขา

    “เพราะฉันให้คุณไม่ได้ คุณเลยหลอกฉันแล้วทิ้งฉันไปหาผู้หญิงคนอื่นงั้นเหรอคะ?”

    “เรื่องแบบนี้เป็นธรรมดาของผู้ชายนะครับฟานี่ ผมแค่ต้องการรีแลกซ์บ้าง” รีแล็กด้วยการพาผู้หญิงคนอื่นมากกในอพาร์ตเมนท์ของฉัน เตียงของฉัน ห้องนอนของฉันเนี่ยนะ!

    ฉันดึงเนคไทขึ้น บังคบให้เขาเงยหน้า ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหวานเชือดคอที่สุดเท่าที่จะทำได้ “คุณนี่มันเลวบัดซบจริงๆค่ะที่รัก”

    “แล้วไงครับ? คุณไม่เห็นจะแคร์นี่ คุณก็ออกมาหว่านเสน่ห์ให้ผู้ชายคนอื่นได้หน้าตาเฉย ถ้าไม่งั้นไอ้ทั้งหมดที่คุณทำนี่ก็แค่ต้องการให้ผมรู้สึกเสียดายคุณใช่ไหมล่ะ?” เขาตอกกลับมาพร้อมรอยยิ้มแบบคนที่เหนือกว่า บ้าจริง เค้ารู้ทัน! สมองของฉันคิดหาคำมาแก้เกมอย่างรวดเร็วแต่ทว่าแรงโอบที่เอวกลับทำให้ฉันตกใจจนทุกสิ่งทุกอย่างถูกโยนทิ้งไปข้างหลัง

    “แน่นอนว่าถ้าผมเป็นคุณผมเสียดายครับ” ผู้ชายหล่อลากดินคนหนึ่งหันไปพูดกับอดีตเจ้าบ่าวที่หน้าเสียไปถนัด ฉันเลยตามน้ำ ยกมือขึ้นโอบรอบคอหนุ่มปริศนาคนนั้นแล้วทำท่าออเซาะแบบที่พี่ฮีชอลสอน เบียดตัวเข้าไปใกล้ร่างสูงๆแล้วเอนลงซบไหล่ทำเหมือนตัวเองหาศูนย์ถ่วงไม่เจอ

    “คุณ...?”

    “ชองยุนโฮ คนรักของทิฟฟานี่ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก... ผมอยากเจอคุณมานานแล้ว” ชองยุนโฮย้ำคำว่าคนรักก่อนจะส่งยิ้มเย็นๆให้ฉันแล้วลดมือลงมาวางไว้แถวๆสะโพก เหมือนจะย้ำให้หมอนั่นรู้ว่าเรามีสถานะเป็นคนรักที่ลึกซึ้งกันมากกกกกก

    ทั้งๆที่ฉันเพิ่งรู้จักชื่อเขาเมื่อสามวินาทีที่แล้ว!

    “ขอตัวก่อนนะครับ ไม่อยากทำให้คุณเสียเวลา ไปเถอะฟานี่” ผู้ชายคนนี้เรียกฉันซะสนิทสนมเชียว แต่ฉันไม่ขัดหรอกเพราะกำลังดื่มด่ำกับแววตาแค้นเคืองของอดีตคนรัก สะใจมาก

    ยุนโฮพาฉันกลับมาที่โต๊ะของเพื่อนๆ ที่ดูไม่แปลกใจเลย เขาทรุดตัวลงนั่งข้างๆก่อนจะหันมามองฉันด้วยสายตาเอาเรื่อง

    “ฮวังมิยอง คุณจะเอาตัวเองไปอ่อยไอ้ผู้ชายไร้ค่าคนนั้นอีกทำซากอะไร รู้มั้ยว่านั่นไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น ล้มเลิกแผนแก้แค้นของคุณซะ ถ้ายังมีหัวคิดอยู่”

    “อย่าเรียกฉันแบบนั้น เรียกฉันว่าทิฟฟานี่” ฉันตวัดเสียงตอบกลับไปอย่างหงุดหงิด ผู้ชายคนนี้เป็นใครมิทราบถึงได้มาแต๊ะอั๋ง อ้างว่าเป็นแฟนฉันแล้วยังมาด่ากันฉอดๆ แบบนี้ มันจะมากเกินไปหน่อยแล้วนะ!

    “เอ่อ... ฟานี่ ขอโทษนะพอดีผมแนะนำให้ไม่ทันน่ะ นี่ชองยุนโฮ เพื่อนผมเอง ผมขอให้เขามาช่วยคุณ” พี่ชีวอนพูดขึ้นมา เฮอะ? ช่วยเหรอ ช่วยยังไงไม่ทราบ?

    “ขอบคุณนะคะพี่ชีวอน แต่ดูจากท่าทางไม่เต็มใจของเขา ฉันคิดว่าฉันหาผู้ชายคนอื่นมาเล่นเป็นแฟนน่าจะดีกว่าค่ะ”

    “ใครบอกว่าผมจะมาทำอะไรโง่ๆแบบนั้น?” นายปากหมานั่นสวนขึ้นมา แล้วซูยองก็รีบห้ามทัพ

    “ฟานี่... พี่ยุนโฮเป็นทนาย เขาจะช่วยเธอทำคดีฟ้องร้องเรื่องฉ้อโกง เชื่อมือได้เลยนะ พี่เค้าจบฮาร์วาร์ดมา”

    ฮาร์วาร์ด! หน้ายังงี้น่ะนะจบฮาร์วาร์ด!

    ฉันมองหน้าเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ชองยุนโฮยังคงดูมีท่าทางไม่ค่อยพอใจ

    “ถ้าสนุกมากพอแล้วก็รีบกลับ พรุ่งนี้ผมจะเอาหมายฟ้องไปให้ดู... แต่เช้า”

    ฉันได้แต่กะพริบตาปริบๆมองดูอีตาบ้านักศึกษาฮาร์วาร์ดนั่นเดินเก๊กๆออกไป

    ให้ตาย! นี่ฉันต้องฝากอนาคตไว้กับผู้ชายคนนี้จริงๆเหรอเนี่ย!


    “นายก็รู้ว่าฉันเกลียดการกระทำโง่ๆที่ไร้แบบแผน” ผมพูดกลับไปในโทรศัพท์แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะหึๆของชเวชีวอนดังตอบกลับมา

    “อ๋อเหรอ แต่นายก็ยอมทำตัวโง่ๆด้วยการเดินเข้าไปช่วยทิฟฟานี่?”

    “ฉันแค่ห่วงสวัสดิภาพลูกความน่ะ” ผมตอบก่อนจะดึงพวงมาลัยรถให้เลี้ยวเข้ามาในเขตอัพกูจองแถวๆคอนโดที่อยู่ของลูกความคนล่าสุดที่ชีวอนขอร้องเหลือเกินว่าให้ผมช่วย ไอ้คดีแพ่งแบบนี้มันค่อนข้างฟ้องยากเพราะฝ่ายหญิงเป็นคนเซ็นเอกสารยกให้ฝ่ายชายไปเอง เพราะงั้นทีแรกผมเลยไม่อยากรับ กลัวจะเสียประวัติ แต่เพราะเป็นเพื่อนกับชีวอนมาตั้งแต่สมัยไฮสคูล ผมเลยอดจะรับงานนี้มาไม่ได้

    แต่ถ้าคดีแพ้ขึ้นมา เท่ากับแขวนคออาชีพทนายได้เลย เพราะรับรองว่าต้องดังยิ่งกว่าระเบิดนิวเคลียร์ ก็คุณฝ่ายจำเลยที่เราจะฟ้องกำลังมีข่าวแต่งงานกับนางแบบสาวอนาคตไกล ส่วนมาดามฮวัง ลูกความผมเนี่ย เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของแบรนด์น้ำหอมจิลว์ จัดว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการไฮโซ พอๆกับเพื่อนเธอที่เหลือในกลุ่ม แต่ละคนรวยไร้เหตุผลชนิดไม่น่าจะสังคมกับใครได้ แต่เท่าที่เจอเมื่อวานนอกจากความสวยเทียบชั้นนางฟ้าแล้ว แต่ละคนก็ไม่ได้ดูถือตัวอะไร ออกจะดูธรรมดาๆกันด้วยซ้ำ

    “โอเค ฉันจะไม่คอมเมนท์เรื่องนั้นนะ แต่แค่อยากจะบอกว่า ทิฟฟานี่น่าสงสารมาก นายไม่รู้หรอกว่าการถูกคนที่รักหมดหัวใจทรยศหักหลังน่ะมันเจ็บขนาดไหน”

    “แหม พูดซะยังกับตัวเองเคยโดน?” ผมหัวเราะตอบกลับไป

    “ฉันไม่เคยโดนหักหลัง แต่ฉันเข้าใจว่าการรักใครสักคนสุดหัวใจมันเป็นยังไง นายเองถ้าได้รักใครสักคนก็จะเข้าใจเหมือนกัน” หมอนั่นตอบกลับมาเล่นซะผมไปต่อไม่ถูกเลยแฮะ ความรักบ้าบออะไรกันจะทำให้คนเราหูหนวดตาบอดมากขนาดนี้ =__=

    “ไร้สาระน่า ฉันจะถึงคอนโดลูกความแล้ว รีบๆวางไปซะฉันจะทำงาน” ชีวอนหัวเราะตอบกลับมาก่อนจะกดวางสายไป ชีวิตการเป็นทนายความของผมทำให้ผมไม่อยากไว้ใจใคร เพราะคนที่มีคดีให้ฟ้องกันเนี่ยส่วนมากก็เป็นคนเคยรักกันทั้งนั้น แต่ถึงยังงั้นต่างฝ่ายก็ยังทรยศกันได้ลงคอ เห็นแบบนี้อยู่ทุกวันจะให้ไปเชื่อลงได้ยังไงว่าความรักวิเศษสวยงาม ดูอย่างนิทานเรื่องเจ้าหญิงเงือกเป็นตัวอย่าง ทุ่มเทแทบตาย แต่สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นฟอง

    เหมือนทิฟฟานี่ ฮวัง...

    ผมเลี้ยวรถเข้าไปจอดแล้วคว้ากระเป๋าเอกสารเดินเข้าไปในคอนโดสุดหรูที่เจ้าของจริงๆคือคุณควอนยูริ เธอให้ที่อยู่ผมมาเรียบร้อยแล้ว ระหว่างอยู่ในลิฟท์ผมก็ทบทวนลิสท์เอกสาร แง้มในกระเป๋าดูว่าตัวเองเตรียมทุกอย่างมาพร้อมรึยัง ในที่สุดประตูลิฟท์ก็เปิดออก ผมขยับเนคไทเล็กน้อยก่อนจะเดินไปกดกริ่งที่หน้าประตูห้องเธอ

    เสียงตึงตังโครมครามดังขึ้นจากข้างในทำเอาผมขมวดคิ้วขึ้นเล็กๆ แล้วประตูก็เปิดออกก่อนที่ผมจะทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ

    “ยูริอา ทำไมมาแต่เช้าเลย--” เสียงแหบๆของเธอขาดห้วงลงไปทันทีที่เห็นว่าคนหน้าประตูไม่ใช่เพื่อนแต่ดันเป็นผม เธอกะพริบตาสองทีก่อนจะทำหน้าเหมือนระลึกขึ้นได้ว่าผมพูดอะไรไปเมื่อวาน แล้วแถม ตอนนี้เธออยู่ในเสื้อสายเดี่ยวกับกางเกงขาสั้น ที่แนบรูปร่างซะจนเห็นสวนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ทิฟฟานี่กรี๊ดลั่นแล้วปิดประตูกระแทกใส่หน้าผมทันที

    “เอ่อ... ผมบอกคุณแล้วนะว่าผมจะมา”

    “รอตรงนั้นแหละ” เธอตะโกนตอบเสียงห้วนแล้วผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังปึงปัง แค่ไม่ถึงสิบวิประตูก็เปิดออกพร้อมกับเจ้าของห้องที่ตอนนี้ดูเรียบร้อยขึ้นมาหน่อยเพราะสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวทับ ผมสีแดงยาวสลวยของเธอไม่ได้เป็นลอนเรียบร้อยเหมือนเมื่อวาน แต่มันกลับทำให้เธอดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น--เซ็กซี่มากขึ้น ใบหน้าไร้เครื่องสำอางทำให้เธอดูเด็กลงไปถนัด ดวงตาบวมปูดหลังกรอบแว่นนั่นบอกชัดเลยว่าเมาค้าง

    “เชิญข้างใน” เธอพูดเรียบๆ ก่อนจะเดินนำผมเข้าไปในห้องรับแขกที่ดูเรียบร้อยสะอาดตาทุกกระเบียดนิ้วผิดกับสภาพคนอาศัย ทิฟฟานี่เดินอย่างไร้เรี่ยวแรงไปนั่งลงบนโซฟาก่อนจะเริ่มยกมือขึ้นนวดขมับ ขาเรียวๆ ยกขึ้นไขว่ห้างแล้วเธอก็มองผม

    “รีบๆจัดการธุระให้เสร็จ ฉันต้องไปทำงานต่อ” เธอบอก

    ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่หยิบเอกสารที่เตรียมไว้ออกมาให้เธอดู เธอรับไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน ดวงตาคู่สวยกวาดมองเอกสารอย่างจริงจัง เธอไล่อ่านทีละบรรทัดทีละหน้าอย่างตั้งใจ แปลกแฮะ... ผมนึกว่าเธอคงจะเหวี่ยงหมายนั่นกลับใส่หน้าผมแล้วบอกให้อธิบายให้ฟัง แต่ท่าทีเคร่งขรึมของเธอ วิธีที่เธอใช้ปลายนิ้วพันผมสีแดงนุ่มๆระหว่างอ่านทีละตัวอักษรกลับทำให้ผมใจเต้นอย่างประหลาด ผมนั่งคอยเงียบๆ รอมาดามอ่านจบ รอคำถามแรกที่จะออกมาจากปากเธอ

    “ฟ้องคดีอาญานี่หลักฐานไม่อ่อนไปหน่อยเหรอคะ? ถ้าเป็นคดีเรียกร้องทรัพย์สินคืนถึงจะใช้เวลานานกว่า แต่น่าจะชัวร์กว่า จะได้ไม่เสี่ยงประวัติคุณ”

    ผมมองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา เอกสารทางกฏหมายปกติแล้วไม่ใช่ว่าอ่านห้านาทีสิบนาทีแล้วจะเข้าใจ แต่ทิฟฟานี่ฮวังไม่ใช่แค่เข้าใจ เธอกลับมองสถานการณ์ จุดแข็งและจุดอ่อนของหลักฐานที่เรามีแบบทะลุปรุโปร่ง แถมยังเข้าใจด้วยว่าตัวเองอยู่ในสถานะไหน

    ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมากกว่าที่ผมคิดไว้

    “อย่ามองฉันแบบนั้นสิ ฉันจบนิติศาสตร์มานะ ถึงจะไม่ใช่ฮาร์วาร์ดก็เถอะ” เธอโยนร่างคำฟ้องของผมลงบนโต๊ะก่อนจะหยิบปึ๊งเอกสารหลักฐานต่างๆขึ้นมาเปิดดูผ่านๆ

    “คุณจบนิติฯ แต่มาเป็นเจ้าของบริษัทน้ำหอมเนี่ยนะ?”

    “ก็มันเลือกไม่ได้นี่ ฉันอยากเป็นทนาย แต่เพราะต้องรับช่วงบริษัทต่อจากคุณพ่อก็เลยต้องทิ้งเรื่องนั้นไป” เธอตอบกลับมาง่ายๆ ก่อนจะหันมาสบตาผม “อย่าเพิ่งมาคุ้ยประวัติฉัน คุณน่ะ คิดยังไงจะฟ้องอาญา?”

    “ก็จำเลยมีประวัติเข้าข่ายพฤติกรรมฉ้อโกงมาก่อน ถ้าฟ้องอาญาแล้วชนะเรื่องก็จะไม่ยืดเยื้อ เพียงแค่เราต้องมีหลักฐานชี้ชัดว่าเขามีเจตนาหลอกลวงคุณเพื่อหวังทรัพย์สมบัติ”

    “เขาฉลาด ไม่ทิ้งอะไรเอาไว้เลย ส่วนฉันก็โง่... ที่รักเขามาก ไว้ใจเขามากจนไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้...” ทิฟฟานี้ยิ้มแค่นให้ตัวเอง น้ำใสๆรื้นขึ้นมาที่ขอบตา แล้วผมก็รู้สาเหตุว่าทำไมเธอถึงได้ตาบวมมากขนาดนั้นเธอร้องไห้ คงร้องทุกคืนตั้งแต่ที่รู้ว่าโดนไอ้เลวนั่นหลอก

    “คุณ... กาแฟสักแก้วมั้ย?” ผมถามเธอออกไปแบบนั้น มองเธอหันหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อซ่อนน้ำตา

    “รบกวนด้วยนะคะ” เธอตอบกลับมา คงไม่อยากให้ผมเห็นเธอในสภาพอ่อนแอ ผมลุกขึ้นแล้วเดินเข้าครัวไป สมองก็ครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

    น่าแปลก... ที่ผมรู้สึกว่าว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันสารพัดจะเลว ทั้งๆที่ถ้าหากเป็นลูกความคนอื่นผมมักจะคิดว่ามันเป็นเพราะความประมาท หรือเพราะไว้ใจอะไรมากเกินไป อะไรทำให้คนเรางมงายหลงเชื่อคนคนนึงได้มากขนาดนั้น ผู้หญิงคนนี้ทั้งๆที่รู้กฏหมาย แต่กลับปล่อยให้ตัวเองโดนโกงเอาทุกอย่างไปง่ายๆ นี่เพราะความรักเหรอ?

    ผมคนกาแฟในแก้วไปเรื่อยๆ นึกขึ้นมาได้ว่าควรจะรินอีกแก้วไปให้ทิฟฟานี่ด้วย แต่พอยกกาแฟออกมาจริงๆคุณลูกความของผมก็หลับคาโซฟาไปซะแล้ว

    “คุณ... นี่คุณ” ผมเรียก แต่ทิฟฟานี่ไม่มีท่าทางว่าจะตื่นเลยสักนิด สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ ผมดึงเอกสารที่เธออ่านค้างไว้กลับมาใส่ในซองแล้ววางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะประคองร่างบางๆให้ลงมานอนสบายๆ ผมดึงแว่นสายตาออก ลูบเส้นผมสีแดงเข้มให้พ้นจากใบหน้าเธอ

    ผู้ชายคนนั้นหัวใจมันทำด้วยอะไร ถึงทำร้ายนางเงือกที่สวยงามขนาดนี้ได้ลงคอ...

    ผมถอดเสื้อสูทห่มให้เธออย่างเบามือ นึกไปถึงคำพูดของชีวอน

    นายเองถ้าได้รักใครสักคนก็จะเข้าใจเหมือนกัน...

    ความรักที่เหมือนกับต้องคำสาปน่ะเหรอ?

    มีไปทำไมให้ลำบากชีวิตกันล่ะ!




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×