ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic]Bleach:Soul Reaper Revelation

    ลำดับตอนที่ #31 : *Season 1*Episode 28:Call my SOT

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 334
      0
      9 มี.ค. 52

    ดาบที่เตรียมจะฟาดแสกกลางหน้ากลับหยุดชะงัก เมื่อดาบซันเงสึถูกริบบิ้นสีขาวกระชากไปไกล ลอยละลิ่วผ่านอากาศ พร้อมกับแววตาของเจ้าของดาบที่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เช่นเดียวกับ การสั่งตายหายวับไปในทันที เหล่ายมทูตบางคนมีสีหน้าพิศวงงงงวย เมื่อเห็นการกระทำของตนเอง อิจิโกะก้มลงมองที่มือซึ่งไร้ดาบฟันวิญญาณคู่ใจ ชิเมโกะตะลึงได้ไม่นาน แต่ก็ต้องรีบใช้SOTเพื่อจัดการเจ้าชายเบื้องหน้า ให้ศิโรราบ แต่ว่ากลับมีริบบิ้นสีขาวยาวไม่รู้กี่เมตรพุ่งทำลายเกราะที่กางไว้แตกกระจายปลายริบบิ้นเรียวบางอ่อนโยนแฝงความเข้มแข็ง พันรอบข้อเท้าแล้วกระชากลงมา

     

                “กรี๊ด”หญิงสาวถึงกับหวีดร้องแต่ก็พยายามสลัดริบบิ้นทิ้ง แต่ทว่ากลับมีความยืดหยุ่นกว่าที่คิด ไม่ว่าจะใช้ดาบฟันก็ทำไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่เซนริยังคงนิ่งจนขยับตัวไม่ออก ชั่วครู่ เสียงเฉียบขาดก็ดังขึ้นมาก่อน

     

                “มัวตะลึงอะไรของนาย ยิงประจุมาเซ่”หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ที่แขนมีริบบิ้นพันอยู่ พร้อมกับริบบิ้นที่ปรากฎจากฝ่ามือ ผมที่มัดรวบสองข้าง และดวงตาสีน้ำเงินไพลินที่มองมาอย่างไม่สบอารมณ์ และเมื่ออีกฝ่ายไม่กระทำตามที่สั่ง เธอจึงว่าอีกรอบ “ฉันบอกให้ยิงไงเล่า!

    ทำให้เจ้าชายถึงกับต้องมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ประจุวิญญาณถูกยิงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ชิเมโกะไม่ได้ขยับตัว พลังนั้นจึงปะทะร่างเธออย่างรุนแรง เมื่อฝุ่นละอองหายไปจึงเห็นร่างของเธอโชกเลือด

     

    เจ้าหญิงโทโอยะคลายริบบิ้นออกมา พร้อมกับแรงดันวิญญาณมหาศาลที่ทำให้พลังที่เหนือชั้นของนางพญาถึงกับต้องสยบแทบเท้า ดวงตามองร่างบาดเจ็บอย่างไม่แยแส

     

                “ไง สภาพไม่ดีเลยนะนาย”เธอเหลือบตามองอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง “บอกซะก่อนว่าฉันห่วยวิชาด้านรักษา ไปให้คนอื่นจัดการแผลนายต่อละกัน”น้ำเสียงไร้เยื่อใย แต่ก็ถือว่าเป็นมิตรกว่าครั้งก่อนๆ ยูกิหันมาทางชิเมโกะ ที่ตอนนี้พยายามใช้SOTออกมาอยู่

     

                “เปล่าประโยชน์ ในเมื่อพลังของเธอฉันสั่งให้มันหยุดทำงานไปแล้ว”น้ำเสียงเย็นยะเยือกและน่าสยองขวัญทำให้สั่นสะท้านได้ง่ายดาย

     

              “นั่นเธอทำได้ไงน่ะ”อากิโกะถึงกับค้างไปในทันที แม้จะเป็นราชวงศ์เหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ซี้ปึ๊กขนาดรู้ความสามารถทุกด้านแต่ทว่าคำตอบกลับออกมาจากเจ้าตัว

     

                “ถ้าคิดว่าพลังFuture Fortune and Destinyของฉันทำได้แค่แก้นู่นนี่ก็คิดผิดแล้ว”น้ำเสียงของยูกิเริ่มแฝงจิตสังหารมากขึ้นทุกที “เพราะพลังของฉัน คือสิ่งที่ทำให้พลังทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการเล่นความตายหรือกาลเวลาก็ตาม ใช้การไม่ได้ทุกอย่าง”และแล้วสายฟ้าสีขาวก็พุ่งจากนิ้วเรียวดูบอบบางนั่น ยิงไปที่ด้านหลังของอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว “อย่าลืมด้วยว่า ฉันสามารถใช้วิถีมารหรือเวทอาคมทุกชนิดโดยไม่ต้องร่ายท่วงทำนองแห่งวิญญาณ จำไว้หน่อยก็ดี”

     

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ เพียงแต่ความกดดันกลับมากขึ้น เพราะดูเหมือน โซเคนโย โทโอยะ จะไร้ความสะทกสะท้านกับอำนาจของชิเมโกะ ไม่สิ ยูกิดูน่ากลัวยิ่งกว่า ดวงตาที่เหมือนจะสูบพลังชีวิตให้เหือดหาย ต่างจากครั้งแรกที่เจอ ทั้งน่ากลัวกว่า แต่กลับแฝงความอ่อนโยนอยู่บ้าง เสียแต่บารมีที่แผ่นั้น ยิ่งอยากจะคุกเข่า

     

    เบื้องหน้าของคนๆนี้

     

                “แก ไอคาอิน ใครสั่งให้แกตั้งระบบป้องกันสิบเอ็ดที่เล่า”

     

    ความตึงเครียดหายไปฉับพลัน ส่วนคนถูกถามเอานิ้วชี้หน้าตนเอง แล้วอ้าปากค้าง

     

                “สิบเอ็ด หรอ”

     

                “นายคงไปเซ็ตระบบตรงจุดที่ยูกิไปทำธุระน่ะนะ เลยมาช้าล่ะมั้ง”อิจิโจอธิบายแล้วปล่อยให้หัวหน้าราชองครักษ์คนนี้ค่อยๆคิดทบทวน ก่อนจะร้องแว๊กแล้วขอโทษของโพยเจ้าหญิงเป็นการใหญ่ แต่ดูเหมือนยูกิจะไม่ได้ติดเอาความอะไร ดวงตาคู่สวยแต่แลดูน่ากลัวมองไปที่ชิเมโกะ

     

                “เฮ้ เลนยะ ใช้การพลิกหมากกระดานโกะงั้นรึ”น้ำเสียงทรงอำนาจและเฉียบขาดเอ่ยถามฝาแฝดตนเอง ซึ่งคนถูกถามพยักหน้า

     

                “มีแกแล้วค่อยดีหน่อย ที่เหลือ แกแก้ปัญหา”

     

    ว่าแล้ว เลนยะก็ถอยฉากออกมา ส่วนยูกิเลิกคิ้วน้อยๆ

     

                “ช่างโยนปัญหาไม่เปลี่ยน”

     

    บทสนทนาซึ่งดูๆแล้วทั้งคู่คงจะสนิทกันมากพอสมควร แต่ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้ เมื่อปัญหาหนักๆได้ถูกโยนมาที่คนซึ่งพึ่งมา

     

                “จะไหวมั้ยน่ะ”อิกคาคุพึมพำ แต่ถูกรันงิคุค้อนเข้าให้ทันที

     

                “ดูระดับฝีมือเมื่อครู่จะเรียกว่าไหวหรือไม่”

     

    ทำให้เจ้าตัวรูดซิบปากปิดเงียบสนิท เพราะเห็นฝีมือ แค่แรงดันวิญญาณ พลังควบคุมความตายก็แตกสลายและสิ้นสยบเบื้องหน้าร่างระหงของอิสตรีผู้นี้

     

                “เซนริ รอบนี้นายเกณฑ์คนซ่อมสถานที่ละกัน”น้ำคำที่เรียบเฉย แต่สำหรับคู่หูอย่างเซนรินั้นรู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้คิดจะทำอะไร พระพักต์ของเจ้าหญิงโทโอยะเลื่อนสูง เมื่อเห็นชิเมโกะ ใช้ไอพิษสร้างคทา ที่เป็นวงแหวนสีดำทั้งหมด และมีวงแหวนแขวนในวงกลมนั้นสี่วง (เป็นรูปแบบทั่วไปของคทาแถบเอเชีย ของยุโรปจะเป็นไม้แล้วมีหัวคทากลมๆ) “คิดจะประลองด้วยอาคมและวิถีมารงั้นรึ”

     

    และแล้วร่างบางก็วับหายไป พร้อมกับดาบฟันวิญญาณในมือ จากนั้นจึงฟาดลงไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย พร้อมกับแรงดันวิญญาณมหาศาลที่ทำให้อาวุธของอีกฝ่ายสั่นสะท้าน ชิเมโกะกัดฟันกรอด อยู่ต่อหน้าคนๆนี้ก็ไม่ต่างจากแมงเม่าบินเข้ากองไฟ พูดอีกนัยน์หนึ่งคือการรนหาที่ตาย

     

                SOT Stand by”ยูกิพูดช้าๆ ราวกับพลังวิญญาณที่พุ่งปรี๊ดจนน่าวาดหวั่น ทำให้ชิเมโกะสะดุ้ง

     

                Fortune mode, created event”ดูเหมือนยูกิจะพูดภาษาอังกฤษสำเนียงนั้นได้ชัดถ้อยชัดคำมาก และแล้ว คทาในมือของชิเมโกะก็แปรเป็นดาบฟันวิญญาณตามเคย เจ้าหญิงโทโอยะใช้สันดาบกระแทกข้อมือขวาที่จับด้ามดาบและด้านซ้ายที่ค้างอยู่ตรงคมดาบเพราะคทาแปรสภาพแล้ว เจ้าของต้องเปลี่ยนมือให้เร็ว เมื่อนางพญาโลกมือเผลอคลายด้ามดาบ ยูกิจึงได้โอกาสที่จะเอาสันดาบกระแทกกับคมดาบพร้อมกับที่มือซ้ายจับด้ามดาบอีกฝ่าย ทำให้ด้ามดาบฝังลงไป ในระยะเวลาไม่กี่วินาที

     

                “นั่นเธอทำได้ยังไง”อิจิโกะมีสีหน้าตื่นตะลึง

     

                “พลังของSOT ของพี่ยูกิสามารถจะเปลี่ยนได้สามโหมดคือfuture เปลี่ยนอนาคต fortuneเปลี่ยนโชคชะตาหรือเหตุการณ์ และdestiny เปลี่ยนจุดจบ แต่ถ้าจะใช้ได้ติดต่อกันมีแต่สองโหมดแรกเท่านั้นล่ะ”มาซาฮิโระอธิบาย หลังจากสังเกตุมาซักระยะ

     

                “แสดงว่า...”โอริฮิเมะเริ่มเดาอะไรได้บ้างแล้ว

     

                “อื้อ พี่ยูกิลบเหตุการณ์ตอนที่ชิเมโกะเปลี่ยนจากดาบเป็นคทา แล้วใช้จังหวะพร้อมกับเรียนรู้องค์ประกอบของอาวุธพื้นฐานในการต่อสู้เมื่อครู่”

     

     

    กลับมาที่บนฟ้า

     

    ชิเมโกะกุมมือที่เลือดพั่งพรูไม่ขาดสาย พร้อมกับหยดเลือดที่ไหลราวกับน้ำพุ เพราะช่วงที่จับ ยูกิจงใจให้กระแทกเส้นเลือด... ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เลือดถูกเสียมากกว่าที่อื่นๆ หากไม่นับจุดอาเทอร์รี่ของหัวใจ

     

                “น่าจะเรียนชีววิทยาบ้างนะ จะได้ป้องกันได้ถูก”น้ำเสียงทรงอำนาจแฝงความเย้ยหยัน ทำให้อารมณ์ของคนถูกเย้ยเริ่มพุ่งสูง

     

    โซเคนโย โทโอยะ... ชิเมโกะคิดในใจ... ผู้ควบคุมการปกครองคนนี้เก่งกว่าที่คิดไว้มาก หล่อนประเมินนางต่ำเกินไป เท่าที่รู้มาไม่ถนัดการโจมตีโดยเน้นพลังสูงเหมือนพวกเซนริ แต่ดูจากทักษะง่ายๆแต่ได้ผลประจวบกับประสานกับพลังและความคิดสติปัญญาที่ล้ำลึกแล้วนั้น จัดว่าไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

     

                “ช้าไปนะ”น้ำเสียงทรงอำนาจบอกจากด้านหลัง ทำให้อีกฝ่ายซึ่งเหม่อชั่วครู่ เพราะจิตใจหวั่นไหวกับความสามารถของบุคคลที่ได้ชื่อว่า อ่อนแอและอันตรายที่สุด ดวงตาคู่โตของชิเมโกะหันขวับไป แต่แล้วก็ต้องตะลึงเมื่อที่ฝ่ามือมีประจุสีขาวฟ้าพุ่งลงมาจากนภาหลอมกับจนเกิดเป็นคลื่นพลัง และท่าทางที่ราวกับจะเล็งเป้าหมาย และเป้าหมายจะเป็นอะไรไม่ได้นอกจาก... เธอ!

     

                “ชิส์”และแล้วมือของชิเมโกะก็ปรากฎสายฟ้าสีม่วงดำเตรียมโต้คืนเช่นกัน

     

                “โฮชิอากิ ฮาไคฉะ (คลื่นดารา)”และแล้วลำแสงสีฟ้าขาวจากยูกิก็พุ่ง แต่กลับดูสโลโมชั่นสำหรับทุกคน ชิเมโกะสามารถเบี่ยงตัวหลบได้อย่างง่ายดาย รอยยิ้มปรากฎบนใบหน้าของสตรีเจ้าของพลังสายฟ้าสีม่วงดำ

     

                “เล่นอะไรเนี่ย”เร็นจิถอนหายใจเฮือกเพราะเล่นโจมตีแบบนั้น ใครๆก็หลบได้ แต่อากิโกะส่ายหน้า

     

                “อย่าประมาทเชียว”

     

    ทางด้านชิเมโกะที่หลังจากมองลำแสงพลาดไปอย่างไม่คิดว่าจะพลาดได้ ก็หัวเราะด้วยเสียงแหลมสูงดังลั่น

     

                “นี่หรือพลังของเจ้า”

     

    แต่สีหน้าของเจ้าหญิงกลับไม่แปรเปลี่ยน

     

                “ติดกับฉันล่ะ”

     

    น้ำเสียงไร้ทำนองสูงต่ำกล่าวต่อช้าๆ มือค่อยๆวาดอย่างพลิ้วไหว ผ้าสีขาวที่พันไว้ที่มือขวากระเด็นหลุดออกมา จนกลายเป็นเหมือนริบบิ้น ยูกิคว้ามันไว้ แล้วสะบัดไปเต็มแรง ผ้าสีขาวยืดยาวออก จนฉีกขาดแผ่กระจายกลายเป็นผ้าบางจำนวนมาก แล้วเข้ารัดตรึงพันธนาการอีกฝ่ายไว้

     

                reflection”หญิงสาวเอ่ยช้าๆ พร้อมกับบังคับให้คลื่นดาราที่หายไปตั้งแต่แตะกระจกนั้น กลับคืน กระจกใสที่ป้องกันพุ่งมาอย่างตรงๆ

     

    เมื่อมันกระทบกับร่างชิเมโกะ เกิดฝุ่นฟุ้งกระจาย พร้อมกับที่ลำแสงหายไปก็มีร่างของคนถูกดจมตีสะบักสะบอมขึ้นหน่อย แต่ก็มีเกราะสีม่วงใสป้องกันไว้

     

                “ปฏิกิริยา Reflection (การสะท้อน) ทำให้กระจกบันทึกรูปลักษณ์ของคลื่นดาราจากฉัน รวมถึงความสามารถ เมื่อลำแสงหายไป แต่ตัวก๊อปปี้ก็ยังอยู่ ถึงจะไม่รุนแรงเท่าของจริงมันก็สามารถสะท้อนกลับได้ เพราะกระจกที่คาอินสร้างไว้ คือกระจกที่ก่อเกิดพลังวิญญาณสำหรับระดับพวกฉันโดยเฉพาะ”ยูกิอธิบายเรื่อยๆ ราวกับมองอีกฝ่ายออกหมด ว่าอยากรู้เรื่องอะไร

     

                “แต่ถึงกระนั้น ข้าก็ยังสร้างเกราะได้ ทีนี้ก็ถึงตาข้าบ้างล่ะ”ยังไม่ทันที่จะลงมือใช้กองทัพบดขยี้เหล่ายมทูตให้สิ้นซาก ยูกิก็โบกมือส่งสัญญาณให้เซนริขยับตัวบ้าง เพราะแค่มีเธอออยู่ด้วย เซนริก็สามารถใช้พลังSOTได้อย่างอิสระแล้ว ยูกิสามารถให้ใครก็ตามใช้ได้ถ้าเกิดเธออนุญาต ลำแสงที่เป็นเข็มนาฬิกา พุ่งลงมาเบื้องล่างพร้อมกับที่การหยุดการเต้นของหัวใจและทุกๆอย่างนั้น ชะงักลงอย่างรวดเร็ว

     

                “ฉันลืมบอกแกไปอีกอย่างน่ะนะ”หญิงสาวเงยหน้าจากพื้นดินเมื่อดูสถานการณ์เสร็จแล้วมาทางชิเมโกะ “Reflection สามารถสะท้อนตัวแกได้ และดึงร่างจริงออกมา คนใดคนหนึ่งในกรณีที่มีสองบุคลิก และฉันเลือก ยัยท่านหญิงคนนั้น”

     

                “เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อ...”

     

                “ในเมื่อฉันยังไม่ได้ทำอันตรายกับบุคลิกทั้งสองโดยตรงสินะ”ยูกิพยักหน้าหงึกหงักแต่สีหน้าเธอก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไร “ลืมบอก พอดีฉันใช้ไอนี่”ยูกิยกวัตถุใสบางอย่างยกขึ้นมา เป็นเหมือนแจกันดีไซน์สมัยใหม่ และมีเหลื่อมมากมาย และพอมันสะท้อนกับแสงจากคลื่นดารามันก็แยกสีได้ออกมาเป็นเจ็ดสีเหลื่อมๆ! “แจกันนี้คือแจกันอาบพลังวิญญาณ เป็นปริซึมชนิดพิเศษในห้องแล็บเอาไว้ให้รุ่นน้องทดลองเรื่องการกระจายแสงตอนเรียนเรื่องเลนส์เสริม เมื่อลำแสงจากคลื่นดาราฉันผ่านปรึซึม สเปรกตรัมของมัน จะเป็นวัตถุคล้ายเส้นใยวิญญาณ สามารถเจาะทำร้ายหรือทำอะไรกับวิญญาณได้แม้จะเป็นวิญญาณแฝง ปกติ พวกหน่วยของยูโตะจะใช้ในการดึงจิตชั่วร้ายออกมาจากคน แต่ในที่นี้ ฉันดึงร่างเคย์โกะออกมาแทน ตอนที่ฉันยิงคลื่นดาราตอนนั้น แล้วหยิบปริซึมสะท้อนแสงใส่เธอตรงๆ แต่จิตใจเคย์โกะอ่อนแอ อยู่คนเดียวสู้กับเธอคงไม่ไหว เลยขอซักสองรุมหนึ่ง น่าจะเหมาะกับคนที่ใช้วิธีการเอาSOTมากักอะไรซะหมด ทั้งๆที่การประลองสำหรับพวกเรา ผู้ควบคุมกลไกแห่งจักรวรรดิ ต้องอาศัยหลักความเสมอภาค ไม่ใช่แบบเธอซึ่งทำผิดกฎต้องถูกลงโทษ แต่ถ้าอีกฝ่ายมาแรง เราก็จะแรงกลับ ฉันจึงไม่ผิดอะไรเพราะกฎหมายไม่ได้บอกไว้”น้ำเสียงและแผนการถูกเล่ามาอย่างรวดเร็ว จนแต่ละคนอึ้งเป็นแถบๆกับหัวสมองที่ปราดเปรื่องของเจ้าหญิงโซเคนโย โทโอยะ พระองค์นี้

     

    ร่างของซากุรากิ เคย์โกะที่ถูกกระชากออกมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย เด็กสาวมองสิ่งรอบตัวอย่างมึนงงและตื่นๆ จนกระทั่งเสียงเฉียบขาดของยูกิจะดังขึ้นอีกครา

     

                “รีบๆเคลียร์เรื่องซะ นี่มันปัญหาเธอชัดๆ”

     

    ผู้หญิงบ้าอะไร เด็ดขาดโคตร.... เซนริคิดในใจ ขณะมองเหตุการณ์ทั้งหมด

     

                “เฉียบขาดดีแท้เลย”คานาเมะเริ่มพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

     

    ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความสงบ เคย์โกะเริ่มสาวเท้าไปใกล้ๆกับร่างมือตนเองที่ถอยหลังออกมา แต่แล้วร่างบางก็ต้องหยุด เพราะสายตาเธอไปสะดุดกับใบหน้าที่เริ่มมีรอยยิ้มชั่วร้าย

     

                “น่าเสียดายนะ ที่ร่างมืดของเธอ ไม่ได้มีอะไรผูกติดมากมาย”และแล้วร่างของชิเมโกะก็เปล่งแสงออกมา

     

    แต่ละคนต้องถอยกรูดกันอย่างรวดเร็ว ร่างบาดเจ็บของอิสตรีค่อยๆกลายเป็นหมอกควัน

     

                “ข้าจะพักเรื่องนี้ไว้ก่อน ดูเหมือนยัยภาชนะจะหมดประโยชน์เสียแล้ว”เธอปรายตาไปที่ท่านหญิงแห่งซากุรากิ แล้วหันมาทางยูกิ ซึ่งมองมาที่เธอโดยไม่คิดจะแก้ปํญหาใดๆ เพราะรู้ว่า ห้ามไปก็เปล่าประโยชน์ เสียพลังและเวลาเปล่าๆ “ซักวัน พวกเจ้าจะต้องดับสิ้นในเวลาอีกไม่นาน ข้าขอเตือน”พร้อมกับที่ร่างของชิเมโกะสลายหายไปพร้อมกับที่กองทัพหมอกก็แตกกระจายกลายเป็นอากาศธาตุธรรมดา ไม่มีวี่แววแห่งกองทัพนรกนั่นอีกต่อไป


    พวกหัวหน้าหน่วยที่มาช่วยต่างก็กลับโซลโซไซตี้ไปในเวลาไม่นานนัก เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์สงบลงแล้ว พร้อมกับที่เกราะป้องกันกระจกของคาอินก็ถูกลบทิ้งไปทั้งหมด ที่เหลือก็ผู้บาดเจ็บ ซึ่งยูกิผ่อนบาดแผลให้ได้เท่านั้น แต่พอถามว่าทำไมไม่ทำให้หาย คำตอบก็คือ

     

                “เพราะว่าถ้าแก้มากกว่านี้ เดี๋ยวเรื่องก็ไม่จบ”และนั่น ก็คือขีดจำกัดของพลังของเธอ แต่นับว่า เป็นการใช้ที่ซับซ้อนแต่มีประโยชน์มากมาย อากิโกะทำหน้าที่รักษาตามเคย แต่ครั้งนี้พวกแผนกพิเศษอย่างราชวงศ์ต่างก็ให้ความร่วมมือ ซึ่งแต่ละคนส่วนใหญ่ก็เชี่ยวชาญด้านนี้ บ้างก็ช่วยกันแบกไปส่งห้องพยาบาลเพื่อทำการรักษาอีกที ซึ่งห้องพยาบาลน่าจะเรียกว่าโรงพยาบาลมากกว่าเสียอีก เพราะมันให้ความรู้สึกแบบนั้น ทุกคนคิดในใจ

     

                “นี่ เธอก็มาช่วยกันหน่อย”เจ้าหญิงโทโอยะชี้นิ้วไปทางพวกอิจิโกะที่กำลังช่วยกันแบกพาไปรักษา เคย์โกะหันมาประจันหน้ากัน ก่อนจะใช้หมอกสีขาวช่วยนำพาไปส่งเป็นการผ่อนแรง เคย์โกะนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะพยักเพยิดให้อีกฝ่ายตามมา ทั้งคู่เดินมาที่ดาดฟ้าซึ่งตอนนี้ไม่มีคนอยู่เพราะลงไปข้างล่างกันเกือบหมด สายลมที่พัดไหว แต่กลับไม่มีใครพูดออกมา ในที่สุดเคย์โกะก็ทำลายความเงียบขึ้น

     

                “เธอ คิดยังไงกับท่านเซนริกันแน่”คำถาม... ที่ทำให้ยูกิต้องนิ่งไปในทันที ดวงตาสีไพลินคมสวยหรี่ลงด้วยสายตาไม่ถูกใจกบคำถามพรรค์นี้เท่าไหร่นัก

     

                “จะรู้ไปทำไม”

     

    เคย์โกะกัดริมฝีปาก แล้วหันมาเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตรงๆ

     

                “ฉันชอบเขา”เธอตัดสินใจพูดออกมาในที่สุดทำให้ยูกิสะดุ้งเล็กน้อย แต่เธอดูถึงความคิดด้านรักๆไคร่ๆของแต่ละคนพอออก การแสดงสีหน้าและท่าทางจึงไม่มากเท่าไหร่นัก “ฉันชอบเขามาตั้งนานแล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปซักเท่าไหร่”

     

    ยูกิยืนเงียบให้อีกฝ่ายพูดออกมาจนหมด สีหน้ายังไม่เปลี่ยน แม้บางครั้งจมีร่องรอยแห่งความรำคาญอยู่บ้าง

     

                “ฉันรอให้สายตาของเขามองมาที่ฉันตลอด แต่สายตานั้นที่มองมาที่ฉัน ไม่ได้เหมือนกับที่เขามองกับเธอ!”ประโยคสุดท้ายราวกับจะกระแทกกระทั้น แต่ทว่าไม่ทำให้เจ้าหญิงโทโอยะโกรธแต่อย่างไร เพียงแต่สวนกลับ

     

                “เธออยากจะพูดอะไรกันแน่”น้ำเสียงนั้นเย็นเยียบ หญิงสาวกอดอกพิงกำแพงประตูดาดฟ้าด้วยสายตาเย็นชา “ถึงฉันจะไม่ใช่คนสนใจเรื่องนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ เธอคิดหรือไงว่า ความรักที่เธอมอบให้เขา มันทำให้หมอนั่น มีความสุขได้”

     

                “ฉันมีความสามารถและทุกอย่างพอที่จะทำให้เขามีความสุข”เด็กสาวก้มหน้าไหล่สั่นสะท้าน “มันผิดรึไงที่ต้องการแค่ให้สายตามองมาที่ฉันคนเดียว สายตาที่แฝงความอ่อนโยนซึ่งเขาไม่เคยมีให้ฉัน มีแต่ความคิดที่เราเป็นญาติกัน ไม่อยากให้เขามองไปที่ใครอื่น ฉัน... ฉัน...”น้ำเสียงมีแววเจ็บปวด แต่ไม่ทำให้ยูกิรู้สึกสงสาร ในทางกลับกัน รู้สึกสมเพชมากกว่า

     

                “แค่นี้รึไง เป็นคนสนิทกันแท้ๆเลยนะ แต่กลับมองถึงความรู้สึกหมอนั่นไม่ออก”น้ำเสียงแฝงแววตำหนิ ดวงตาสีไพลินมองตรงๆโดยไม่เกรงกลัวกับดวงตาที่แฝงด้วยความโมโหของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย “จริงอยู่ที่เซนริจะเป็นคนเย็นชา และมักจะให้เกียรติ แต่หมอนั่น เกลียดการถูกกักขัง เธอน่าจะรู้ดีว่า ไม่ควรจะจับหมอนั่นมาคลุมถุงชน เซนริเป็นเจ้าชาย แต่เขาต้องการอิสระในการจะดำเนินชีวิต ไม่ใช่มาผูกติดเป็นตังเมเหมือนอย่างที่เธอคิด”ยูกิว่าพลางไม่สนใจและไม่หยุดให้อีกฝ่ายมีโอกาสตอบโต้ “ยิ่งเธอกักขังเขา เมื่อไหร่ เขายิ่งอยากจะดิ้นรนหลุดจากเธอให้มากขึ้นเท่านั้น จะรักใครทั้งทีน่ะ หัดคิดถึงอีกฝ่ายซะบ้างสิ อย่ามาทำเห็นแก่ตัวใส่ฉัน มันน่ารำคาญรู้มั้ยที่ต้องมานั่งทนฟังเธอบ่นพรรณาแล้วเอาแต่กัดฉันไม่หยุดมาหลายปีเนี่ย คิดว่าแค่นี้มันแก้ปัญหาได้หรอ” แต่ทำให้เคย์โกะตัวสั่นสะท้านด้วยแรงโทสะ

     

                “เธอจะไปเข้าใจอะไรกัน”

     

                “เข้าใจสิ ทำไมจะไม่เข้าใจ”หญิงสาวว่าเสียงดัง “รักคือการให้มิใช่การครอบครอง อยากจะมีความรักที่สวยงามล่ะก็ อย่ามาเอาแต่ใจ เอาตนเองเป็นที่ตั้งเหมือนไอคู่รักที่เธอเจอในนิยายน้ำเน่าที่พระเอกไม่มีวันชายตามองใครเลย เพราะฉันรู้จักพวกผู้ชายดี ตอนทำงานกับพวกนั้นทีไร ยังไงพวกนั้นก็ต้องมีการหยุดมองคนอื่นแล้วคุยกันแบบเพื่อนบ้าง ไม่มีใครสติไม่ดีมาคิดไกลเลยเถิดแบบเธอหรอกนะ ผู้ชายผู้หญิงมันก็ต้องมีคำว่าเพื่อน คู่หู คู่รัก ไม่ใช่เอาแต่รักๆ บ้ารักงี่เง่าอย่างเธอ ซึ่งมีแต่ความหลง”

     

                “ฉันไม่เคยคิดแต่จะหลง”น้ำเสียงของท่านหญิงเย็นยะเยือก พร้อมจิตสังหารที่ลอยละล่องอย่างยากจะควบคุมได้

     

                “แล้วไอที่เธอพูดมันคืออะไรกัน ไอความรักกักขังมันคือความหลงชัดๆ และหลงก็แค่หน้าตาเท่านั้นแหล่ะ นิสัยเธอมันดูง่ายจะตาย ใช่ เห็นด้วยเลยว่าเซนริถือว่าหล่อมากๆ ฉันไม่ปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นหญิงคนไหนก็หมายปองเขาทั้งนั้น เป็นเพื่อนหรืออะไรก็ได้ แต่ไม่เคยมีแบบเธอ ที่บ้าขนาดนั้นซักหน่อย

    ความรู้สึกที่เธอมอบให้กับเขา ฉันสังเกตุคู่หูคนนี้ตลอด เขาไม่เคยดีใจซักนิด และยิ่งเธอมุ่งหาจิตมืดมันยิ่งทำให้เขาโกรธจัดขึ้นไปอีก นับตั้งแต่เธอร่วมมือกับเลนโยจะฆ่าฉันเมื่อแปดปีกว่าที่แล้ว ทั้งๆที่ไม่ควรจะทำ การกระทำของเธอจะให้ฉันเรียกว่าอะไรอีก ซากุรากิ เคย์โกะ”น้ำเสียงนั้นยิ่งน่าหวาดผวาเข้าไปอีก “ตอนที่เซนริต้องลำบาก ตอนที่เขาต้องสู้กับเซโร่ ทำไมเธอถึงไม่ทำอะไรเลย แค่มองเฉยๆ นี่เรียกว่าความรักรึยังไง ความรัก การที่เราจะรักใครจริงๆ ควรจะช่วยในยามที่เขาลำบาก ควรจะอยู่ด้วยในยามที่เขาไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ก็ควรจะเคียงข้างเขาสิ ไม่ใช่ออกห่างแล้วหลงบ้าหลงบออย่างเธอ”ยูกิว่าอย่างไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะเจ็บช้ำขนาดไหน แต่สำหรับเคย์โกะแล้ว ไม่ว่าขนาดนี้มันไม่สาสมกับสิ่งที่ทำไว้กับทุกคน

     

    เธอทนไม่ไหว เพราะชักจะหมดความอดทนกับเรื่องพวกนี้เต็มที ทั้งๆที่เธอเองก็มีสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่คนๆนี้กลับหาปัญหาไร้สาระมาให้อีก ช่วยก็ไม่ช่วยแล้วยังจะหาเรื่อง... โดยเฉพาะการขโมยความทรงจำนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ควรจะทำอย่างยิ่ง เพราะมันส่งผลร้ายต่อโซลโซไซตี้และส่วนรวมอย่างสูง ความทรงจำถ้าเซนริไม่พยายามทำทุกอย่างเพื่อดึงกลับมา มีหรือ ระบบการปกครองจึงจะคงเส้นคงวาได้ไม่เอนเอียงเกินไป

     

                “กลับไปคิดเสียใหม่ซะ ฉันหมดอารมณ์จะคุยด้วยแล้ว หวังว่าหัวที่เต็มไปด้วยความบ้าของเธอจะมีปัญญาพอที่จะเอาคำพูดของฉันไปปรับปรุงตนเอง”และแล้วร่างระหงก็เดินจากไปพร้อมกับปิดประตูดาดฟ้าดังปั้ง และไม่คิดจะหันกลับมามองอีกเลย

     

    ความโกรธจางหายไปเมื่อนึกถึงคำพูดของชิเมโกะได้ แผ่นดินจะลุกเป็นไฟ พวกเราจะต้องถูกกวาดล้างไปจนหมด หมายความว่าอย่างไรกันนะ

     

     

     

    สวบ สวบ

     

    เสียงฝีเท้าของคนๆหนึ่งที่แทบจะเป็นวิ่งผ่านดงหญ้ารกชัฏและขึ้นสูงไปเรื่อยๆ เขาสวมผ้าคลุมปิดหน้าปิดตาไว้ ทำให้ไม่มีใครมองใบหน้าของคนผู้นี้ได้ถนัด บริเวณที่เขาคนนี้วิ่งผ่านไป เริ่มมีสัตว์อสูรในเทพนิยายตะวันออกเดินเตร่มากขึ้น แต่มันกลับไม่ทำร้ายอาคันตุกะผู้มาเยือนแต่อย่างไร ป่าที่เริ่มปกคลุมด้วยอากาศเย็น มากขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ชายใส่ผ้าคลุมปิดหน้ายังคงวิ่งไปจนถึงถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งมีคบเพลิงจุดเมื่อเขาวิ่งผ่าน เป็นระยะทางที่ยาวไกลนัก มือหยาบกร้านของเขาแหวกใยแมงมุงและดงหญ้า ที่กองสูง จนเผยให้เห็นจิตวิญญาณของคนกลุ่มหนึ่ง ไม่สิ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ควรจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะรูปกายอันน่าเกลียดและน่าสะพรึงของพวกมัน ที่เคลื่อนไหวชวนสะอิดสะเอียน

     

    ชายผู้นั้นคุกเข่าลงให้กับสิ่งมีชีวิตที่เป็นเพียงแค่จิต

     

                “ความทรงจำของเจ้าหญิงโซเคนโย โทโอยะ กลับมาแล้วรึยัง”น้ำเสียงแหบต่ำดังมาจากจิตคนหนึ่ง ชายผู้นั้นพยักหน้า

     

                “เรียบร้อยแล้วขอรับ และดูท่า พลังทุกอย่างจะมากขึ้นกว่าทุกทีอีกด้วย เป็นเสี้ยนหนามตำใจของพวกเรายิ่งนัก โดยเฉพาะมกุฎราชกุมารเซนริและซานาดะแจมด้วยคิดว่าครั้งนี้คงจะรับมือยากกว่าเมื่อเก้าหมื่นปีก่อนอย่างมากขอรับ”

     

    เสียงจิ๊จ๊ะของหญิงสาวที่เป็นจิตเอ่ยอย่างรำคาญใจ

     

                “แต่พวกมันก็แค่เด็กอายุ17-18กันเท่านั้น จะไปกลัวอะไร้ เมื่อพวกเราหลุดจากพันธนาการเมื่อไหร่ค่อยจัดการพวกมันก็ได้ ง่ายๆ”

     

                “อย่าประมาทสองคนนั้นเด็ดขาด สมัยเราสองราชวงศือาจจะดูเป็นเหมือนผู้อยู่ต่างขั้ว แต่ตอนนี้สองคนนั้นอายุเท่ากัน เป็นเพื่อนนักเรียนด้วย ฝีมือน่ากลัว รวมถึงหนึ่งในธิดาฝาแฝดของคุนะยูกิอีก แต่ข้าขอสาบานว่า มันต้องตายมากกว่าสมัยเก้าหมื่นปีก่อน”

     

                “ใช่ ข้าชักอยากหลุดออกมาจากพันธนาการเร็วๆเสียแล้ว เลือดแห่งราชวงศ์ต้องโอชะแน่ๆ ว่ามั้ย หึหึ”

     

    เสียงหัวเราะน่าสะพรึงขวัญดังไปทั่วป่าอสูร เสียงหัวเราะที่ทำให้ขนลุกซู่และหัวใจหล่นไปอยูที่ตาตุ่ม

     

                “เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้ อย่าทำให้พวกข้าผิดหวังล่ะ”ชายสวมหมวกพยักหน้าอย่างนอบน้อม

     

                “ขอรับ พวกเราจะต้องกวาดล้างพวกมัน เพื่อทำให้สิ่งที่เราต้องการเป็นจริง พวกเราจะไม่ยอมแพ้เหมือนกับสงครามเมื่อเก้าหมื่นปีก่อนอีกต่อไป ข้าให้สัญญา”

     

    สงครามเมื่อเก้าหมื่นปีก่อน อีกหนึ่งตำนานที่เหี้ยมโหด และเต็มไปด้วยน้ำตา แต่กลับถูกลืมเลือนจนไม่มีใครอยากจะจดจำมัน เหตุการณ์ที่ทำให้บางอย่างต้องแปรเปลี่ยน บัดนี้ ภัยร้ายกำลังจะก่อตัวขึ้นช้าๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว พร้อมกับที่ พลังและบารมีแห่งจักพรรดิแห่งจักรวรรดิทั้งสี่จะต้องหวั่นไหว



    ทางด้านเซนริ ที่กำลังเอนตัวหลังนอนบนเตียง ก็ต้องสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดเบิกตากว้าง เหงื่อไหลซึม เป็นครั้งแรกที่มีสีหน้าเช่นนี้ ใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งกว่าเทพบุตรองค์ใดฉายความเครียดจัด และหวาดหวั่นบางอย่าง อณูร่างกายรับรู้ถึงบางอย่างอยู่ข้างใน ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมหัว และรู้สึกถึงดวงจิตตัวเองที่กำลังถูกกัดกินทีละน้อย ทีละน้อย
    ความรู้สึกนี้มันคืออะไรกัน ชายหนุ่มหอบหายใจ แล้วลุกขึ้นอีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าเทอควอยซ์ที่ไม่เหมือนใครในราชวงศ์สบภาพสะท้อนในกระจกอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อภาพที่ควรจะสะท้อนห้องนอนเขากลับเป็นภาพสถานที่ที่เขาไม่เคยเห็น แต่จิตในสำนึกกลับบ่งบอกถึงความคุ้นเคย


    ดวงตาปราดมองด้านหลังอย่างตื่นตระหนก 


    สิ่งที่ปรากฎในคลองสายตาเขาคือหยดเลือดและซากศพเต็มไปหมด ร่างสูงถอยหลังไปชนกับตู้เสื้อผ้าทันที แต่พอกระพริบตามันก็หายไปแล้ว


                   "นี่มัน"เซนริเค้นเสียงออกมาอย่างยากลำบาก พลางส่ายหัวไล่ความคิดไปก่อนจะลุกไปดื่มน้ำเพื่อดับภาพหลอนๆน่าสยดสยอง ชายหนุ่มหยิบแก้วน้ำใสขึ้นมา ซึ่งจัดวางไว้ในห้องพัก


    แต่แล้วภาพที่สะท้อนกับแก้วนั้นกลับเป็นภาพหลอนอีกรอบ


    เพล้ง


    แก้วถูกปล่อยลงแตกกระจาย เขาหอบหายใจถี่ แต่เมื่อมองอีกที มันก็หายไปแล้ว


    เซนริกัดฟันแน่น 


    นี่เขาเป็นอะไรไป




    ทางด้านยูกินั้นซึ่งไม่ได้นอนมาทั้งคืน นั่งอยู่บนระเบียงห้องพักตนเอง ดวงตาหรี่ลงแล้วค่อยๆยกมือขึ้นบังแสงอรุณยามเช้า ใบหน้างดงามดูอ่านได้ยากยิ่ง เมื่อยามเช้ามาเยือน


    ในที่สุด ก็เริ่มแล้ว จุดวิกฤตแห่งจักรวรรดิ และจุดจบของเผ่าพันธุ์ เทพและมนุษย์ หลังจากที่เธอเฝ้านับถอยหลังตลอด


    วันที่... จะต้องสูญเสียครั้งใหญ่ ใกล้เข้ามาแล้วสินะ

                                         *****%$%##@$*****

    Preview Season 2:Fate of 4 Emperors Power of 4 Empires 

    กาลเวลาที่แสนจะยาวนาน หนังสือลึกลับ เหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้จักรวรรดิต้องหลั่งเลือด 

    ความกดดัน ความทุกข์

    สิ่งที่น่าสะพรึงได้กลับมาอีกครั้ง เมื่อเหตุการณ์บางอย่างไม่ได้มีคนจดจำมากว่าหลายหมื่นปีจนเกือบแสนปี กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง!!! ใครคือผู้บงการเบื้องหลังกันแน่ 

    หรือนี่จะเป็นการล่มสลายของราชวงศ์ทั้งสี่!!!

    บางสิ่งที่ดำมืดได้ก่อตัวจากภายในราชสำนัก พร้อมกับพายุร้ายที่มาเยือน

    อิจิโกะ และผองเพื่อนจะสามารถก้าวสู่โลกแห่งความสูญเสียได้หรือไม่ ความกดดัน และความหวั่นไหว พวกเขาจะยอมแพ้หรือว่าอะไร

    ติดตามได้ใน

    Season 2: Part Cataclysm of 4 Empires

    หมายเหตุ: season 2 ทำแค่สองตอน แต่ยาวกว่าseason1ไม่ต่ำกว่าสองเท่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×