ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic]Bleach:Soul Reaper Revelation

    ลำดับตอนที่ #38 : *Season 2* Episode 9:Mysterious tribe

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 184
      0
      10 ธ.ค. 51

    ภาพนี้มันอะไร... คำถามบังเกิดในใจของเซนริ ที่หันไปทางการันอีกครั้ง แม้การันจะเก่งมาจากไหน แถมเอาชนะสามารถฆ่าระดับทหารผู้เจนสนามศึกมามาก ขณะที่แต่ละคนต้องดักทางโจมตีซัพพอร์ตให้บุรุษผู้สูงศักดิ์คนนี้อยู่ แต่รู้สึกจะทำได้ยาก เพราะเซนรินั้น... ไม่มีสมาธิเอาเสียเลย แต่ทว่ามกุฎราชกุมารพระองค์นี้ความสามารถถูกฝึกฝนมาดีเยี่ยมพร้อมพรสวรรค์ ทำให้การันไม่สามารถทำอันตรายได้เลย

     

    มือบังคับดาบฟันวิญญาณ แล้วผ่าแสกกลาง จากนั้น ไอเทวะก็ไหลออกจากดาบราวกับเชือกคลืบคลานไปใกล้ๆ เซนริสะบัดดาบทำให้เชือกมักร่างการันอย่างรวดเร็ว

     

    แต่ทว่าการันไม่ยอมตายง่ายๆ เขาใช้กงเล็บคลืบคลาน แต่ทว่าสายตาของทหารและพวกอิจิโกะเห็นทันจึงโจมตีใส่ไปก่อน เซนริตวัดปลายดาบเป็นวิถีดาบคล้ายกับสุริยัน เพลงดาบแห่งเทพ... ไม่ได้ปรากฎมานานแล้ว

     

    อัคคีพุ่งออกจากปลายดาบทั้งๆที่ไม่ได้ปลดปล่อยชิไค ร่างสูงโปร่งส่งเปลวไฟมอดไหม้ไปที่ร่างของการัน ซึ่งส่งผลให้ผิวหนังนั้นไหมพร้อมกับเลือดสีดำไหลไม่ขาดสาย เมื่อเส้นเลือดจะตรงเจ้ามาทำร้าย แต่มืออีกข้างที่ว่างก็ใช้คุเรไนคาตานะออกมาทันที

     

    เลือดประจันกับเลือด

     

    เซนริสัมผัสบางอย่างจากในนั้นได้ ไอที่น่ารังเกียจ และเหมือนกับจะคุ้นเคยมาก่อน หมายความรวมๆคือศัตรู

     

                “เจ้าชาย จะบอกอะไรให้นะ ถึงท่านฆ่าข้าไปก็ออกจากที่นี่ไม่ได้อยู่ดี”การันหัวเราะหึๆขณะถูกเผาแล้วแส้เทวะฟาดมันกับกำแพง เซนริเลือกใช้จิตแห่งเทพเพราะอีกฝ่ายน่าจะเป็นปีศาจไปครึ่ง เทพและปีศาจเป็นพลังที่ต่อต้านกันเอง ถ้าพลังไหนมากกว่า อีกฝ่ายจะแพ้ได้ง่ายกว่าใช้วิธีอื่น อันนี้เขาเรียนรู้มาจากยูกิที่เป็นพวกสองสายเลือด หญิงสาวเคยอธิบายไว้คร่าวๆว่าให้ใช้เทคนิคนี้ อีกอย่างถ้ามีพลังวิญญาณสูงจะใบ้นิดเดียว เก็บพลังงานไว้ได้ เหมาะมากในการประหยัดเวลา

     

    อิจิโกะที่ได้ยินเช่นกันหันไปมองรอบตัว ยันต์ถ้าเกิดไม่เอามันออกพวกเขาจะออกจากบริเวณนี้ไม่ได้ เป็นการกักขังที่สมบูรณ์แบบไม่เบา

     

    แต่ทว่าตัวแทนยมทูตสะดุ้งโหยง เมื่อรับรู้ถึงจิตปีศาจอีกครั้ง มันพุ่งขึ้นมา ทุกคนรู้สึกได้ ส่วนการันมีสีหน้าพออกพอใจ ก่อนที่จิตปีศาจจะพุ่งตรงมายังคนที่มีจิตเทวะ เซนริเอนตัวหลบ พร้อมกับต้องคลายเชือกออก แต่ดูเหมือนนักโทษมันจะใกล้ตายอยู่รอมร่อ (โดนเผาไปซะอย่างงั้นไม่ใช่รึ) ลำแสงปีศาจพุ่งตรงลงกระแทกการันให้เลือดไหลเยอะกว่าเดิมส่งผลให้ร่างนั้นสิ้นใจตายต่อหน้าต่อตา อีกทั้ง ลำแสงนั้นดึงบางอย่างออกมา

     

    วัตถุโปร่งใสราวกับหมอกสีดำขุ่น มันหายไปพร้อมกับลำแสง แต่ทว่าก่อนจะหายไป ลางสังหรณ์เตือนในใจของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ และแล้วสัญชาติญาณและจิตใต้สำนึกก็บังคับให้โจมตีที่ลำแสงด้วยพลังขนาดใหญ่

     

    ตูม!!!

     

    ลำแสงเทวะส่งผ่านลำแสงปีศาจไปไกลจนไม่รู้ระยะทาง และแล้ว ลำแสงก็หายไป อิชิดะหันมามองการัน พวกสิ่งมีชีวิตที่ขนาดพวกหัวหน้าองครักษ์บางหน่วยเอาไม่อยู่ แต่คนๆนี้จัดการปางตายโดยไม่ปลดปล่อยดาบฟันวิญญาณเลยแม้แต่น้อย นี่หรือ ฮายาเตะ เซนริ และที่โจมตีลำแสงได้เพราะเขาใช้เวลาอัดไปเพิ่มความเร็ว แม้นไม่รู้จัดประสงค์ แต่อาจจะมีเหตุผลบางอย่าง

     

                “ฝีมือพัฒนาใช้ได้ คมในฝักไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”เสียงหวานทรงอำนาจเอ่ยทัก ขณะหญิงสาวที่งดงามกว่าใครเดินมาใกล้ๆ เจ้าหญิงโทโอยะเหลือบมองศพน่าอนาถจิต และสยองตาอย่างไม่ใส่ใจกับมันมาก แล้วสำรวจแต่ละคนว่าบาดเจ็บอะไรมากหรือไม่... แต่ดูเหมือนจะมีแค่รอยถลอกนิดๆหน่อยๆ

     

                “จะว่าไปเธอเข้ามาได้ไงน่ะ”เร็นจิเอ่ยถามอย่างสงสัย ซึ่งยูกิก็ชูแผ่นยันต์ของการันให้ดู เธอถือมันได้สบายๆ ก่อนจะลงมือฉีกยันต์กระเจิงอย่างไม่คิดจะเสียดายของ

     

                “ยันต์มันคล้ายๆของราชวงศ์ฉัน เลยจับได้”เธออธิบายเสียงเรียบ ก่อนจะหันมาทางเพื่อนสนิทที่สุด

     

                “กลับกัน...”น้ำเสียงของหญิงสาวผู้สูงศักดิ์พูดขึ้น แต่สำหรับเซนริ กลับจับความอบอุ่นของเพื่อนสาวและความเป็นห่วงได้ในน้ำเสียงนั้น... ความจริงก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากนัก แต่ว่า แค่มึนเล็กน้อย และเขาไม่มีรอยขีดข่วนเลย

     

    แต่เขามันประเภทคมในฝัก แกล้งเหมือนจะไม่ค่อยเก่งมันกิจวัตรอยู่แล้ว มันคือวิธีฉลาดๆที่คนมีสติปัญญาดีควรจะทำด้วยเหตุผลบางประการ! แต่ทว่าอารมณ์ที่พอจะดีๆกับหญิงสาวได้หายไปเพราะคำพูดของคนๆนี้

     

                “แต่จัดการช้าเกินคาด แทนที่จะใช้จิตเทวะของตัวเองข่มมันแล้วฟันฉับๆเดียวก็จบเรื่อง ทำไมนายไม่คิดห๊า เอาเถอะ แต่อย่างน้อยที่นายไม่ใจอ่อนกับคนพวกนั้น ก็แสดงให้เห็นว่านายไม่ใช่เสือไบ”

     

    เซนริถลึงตาดุใส่อีกฝ่าย หนอย ยัยนี่ ยัยบ้า ยัยงี่เง่า เจ้าหญิงไร้ความเป็นสุภาพสตรี@#$%$#$(เซ็นเซอร์) ส่วนอิจิโกะ เร็นจิ และอิชิดะหัวเราะก๊ากอย่างไม่เกรงใจใคร เช่นเดียวกับเหล่าทหารที่รอดตายพากันสะกดกลั้นเสียงหัวเราะจนตัวสั่น

     

     

     

                “มาได้จังหวะพอดีเลย”คาอินหันมาทักเมื่อเห็นเจ้าชายรัชทายาทและเจ้าหญิงก้าวเข้ามาในห้องนั่งเล่นรวมขณะที่อากิโกะพาอิจิโกะ อิชิดะ และเร็นจิซึ่งถูกลูกหลงจากการต่อสู้ไปรักษาเพราะบาดแผลที่เกิดจากเผ่าพันธุ์แบบนั้น ดูไม่มีอะไร แต่กันไว้ดีกว่าแก้

     

    ในห้องนั้น มี เซโร่ คาอิน ฮิตซึกายะและเซนนะนั่งอยู่ในห้องด้วย แต่ละคนกำลังนั่งอยู่ที่หน้าฟิล์มเหมือนในโรงพยาบาลและมีคอมพิวเตอร์เปิดไว้อยู่ เซนริเลิกคิ้วน้อยๆ ขณะเดินมามุงด้วย ยูกิหันมามองคนที่ยืนข้างๆตั้งแต่หัวจรดเท้า

     

                “ไม่บาดเจ็บซะด้วย”หญิงสาวเอ่ยเบาๆ แล้วหันไปให้ความสนใจกับคอมพิวเตอร์อีกครั้ง คาอินนั่งลงพร้อมเปิดไฟล์ให้ดูพร้อมกับที่มีรูปเกี่ยวกับการตายของทหารรักษาการณ์ทั้งสิบสามนาย และเกี่ยวกับตัวเลือดที่ปรากฎ ชายหนุ่มเริ่มอธิบายได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจได้ง่ายๆ ดวงตากวาดไปทั่วหน้าจอมอนิเตอร์ที่ฉายภาพขนาดใหญ่กว่าปกติ และใช้จอพลาสม่าไม่เสียสายตา

     

                “เท่าที่ฉันลองตรวจสอบเกี่ยวกับเลือดสีดำดูกับผู้อำนวยการโรงพยาบาลมันก็ได้มาเป็นสิ่งนี้ล่ะ”และแล้ว คาอินก็ใช้ภาพขยายออกมาให้เห็นส่วนประกอบของเลือดภายใน ซึ่งตกค้างมาจากร่างของนายทหาร คาอินพิมพ์อะไรบางอย่างเล็กน้อย และแล้ว มันก็เห็นส่วนประกอบ ซึ่งมีวัตถุส่วนประกอบต่างๆมากมาย “เท่าที่ดูมา เลือดนี้มีส่วนประกอบที่พิลึกสุดๆ ทั้งเม็ดเลือดแดง นั้น จู่ๆก็กลายเป็นสีน้ำตาลเข้มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเม็ดเลือดขาวมีมากถึง70% เม็ดเลือดแดงเหลือแค่30%ของจำนวนเม็ดเลือดทั้งหมด”

     

                “เดี๋ยวนะ เท่าที่ฉันจำได้ ถ้าเม็ดเลือดขาวมากเกินไป”ยังไม่ทันที่เซนนะจะพูดอะไรจบ คาอินก็พูดออกมาราวกับรู้ว่าเด็กสาวจะเอื้อนเอ่ยถามอะไรต่อไป

     

                “ใช่ จะทำให้เกิดโรคลูคีเมีย แต่ทว่านี่ไม่เป็นอะไรเพราะฉันตรวจสอบพลาสม่า ปรากฎว่าพลาสม่าที่จะทำให้เลือดเป็นสีแดง กลับเป็นสีดำ แถมยังมีไออสูรปะปนในพลาสม่าและตัวไมโทรคอนเดรียอีกด้วย ถ้าจะให้พูดอีกที พวกนี้ไม่ต้องการออกซิเจนเพื่อสร้างเม็ดเลือด แต่ไอพิษช่วยให้พวกนี้ดำรงตนอยู่ได้ ซึ่งฉันว่าพวกนี้คงกลายเป็นครึ่งมนุษย์กับสัตว์อสูรแล้วล่ะ”

     

                “หมายความว่ายังไง”ฮิตซึกายะขมวดคิ้ว

     

                “ฉันจำได้ว่า องค์ประกอบเลือดของสัตว์อสูรจะเป็นสีดำทั่วทุกส่วน และเม็ดเลือดขาวมี80% แต่เลือดของเจ้าการันก็คงจะเป็นกึ่งๆ”คาอินพูดจบก็จิบกาแฟเล็กน้อยราวกับจะพักหายใจ “ซึ่งหมอนี่เป็นเผ่าพันธุ์ประหลาด คาดว่าคงจะมีพวกมันสุมอยู่ที่ไหนซักแห่ง แต่พวกเราจับไม่ได้”

     

                “เผ่าพันธุ์ประหลาดแบบนี้ เซย์เรย์เทย์ไม่ค่อยได้ตรวจสอบเท่าไหร่ เดี๋ยวฉันจะลองยื่นคำร้องต่อหัวหน้าใหญ่ให้ท่านตรวจสอบดู”ฮิตซึกายะสรุปซึ่งทุกคนพยักหน้ารับแล้วให้ความสนใจกับเว็บอีกครั้ง ซึ่งคาอินเป็นคนบังคับเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วกดปุ่มนู่นนี่บางอย่างจนคนดูเริ่มเวียนหัว สุดท้าย เมื่อหัวหน้าองครักษ์คนนี้หยุดคลิก ทุกคนได้มามุงกันที่หน้าจออีกครั้ง

     

    คิ้วเรียวแต่ละคนขมวดมุ่นอย่างสงสัย เมื่อเปิดเว็บไซด์โรงเรียนเซนต์ราฟาเอล??

     

                “นายเปิดหน้านี้ทำไม”เซนนะถามอย่างสงสัย แต่ทว่าคาอินกลับไม่ได้พูดอะไร เขาเปิดเข้าไปในข้อมูลที่มีเกี่ยวกับวิชาของพวกม.ปลายปี3รุ่นของแผนกพิเศษโดยเฉพาะ ซึ่งเขาได้คลิกไปที่วิชาประวัติศาสตร์และเนื้อหาต่างๆของอาจารย์ที่สอน ซึ่งอาจารย์แต่ละวิชาได้มาลงข้อมูลเผื่อเด็กนักเรียนจะนำไปอ่านในการสอบเอ็นทรานซ์ซึ่งจะมีขึ้นในปีหน้าหลังจากพวกเขาจบการศึกษาแล้ว

     

    ข้อมูลถูกบรรจุอยู่นั้น คาอินกดเซฟข้อมูลต่างๆที่กระเด้งมาอย่างรวดเร็ว ด้วยคอมพิวเตอร์ที่ค่อนข้างจะเร็วทำให้ข้อมูลเปิดออกมา เป็นเนื้อหาล่าสุดเกี่ยวกับจตุรเทพทั้งสี่ที่พวกเขาพึ่งเรียน และ บุคคลปริศนาอีกหนึ่งคน

     

                “จะให้ดูอะไรล่ะ ก็พวกเราจดไปแล้วนี่”เซโร่ขมวดคิ้วอย่างสงสัย เมื่อเห็นสิ่งที่คาอินเปิดออกมา

     

    แต่อีกฝ่ายไม่สนใจกลับไล่ไปที่หน้าบุคคลปริศนาซึ่งหันหลังและมีแสงแดดบดบังร่างอันสง่างามนั้นอยู่แล้วหันมาตอบเพื่อนหนุ่มว่า

     

                “จำตอนอาจารย์พูดได้มั้ย ที่ว่าคนๆนี้เสียสละตัวเองเพื่อสงครามจตุรอสูรในครั้งก่อนน่ะ”

     

                “แล้วมันเกี่ยวอะไรของนายล่ะนั่น”

     

                “นายจะหมายความว่าสงครามจตุรอสูรกับมนุษย์ประหลาดมันเกี่ยวข้องกันสินะ”ยูกิสรุปหลังจากมองชั่วครู่ ซึ่งก็พอจะเข้าใจเหตุผลอยู่บ้าง “จตุรอสูรสงครามกับเผ่าพันธุ์เทพและยมทูตรวมถึงมนุษย์ และเหล่าภูตทั้งหลาย”

     

                “แต่ฉันลองเซิร์สๆดูแล้วมันก็เป็นแค่นิยายปรำปราธรรมดา”คาอินกล่าวสวนแต่ดูท่าทางนิ่ง มาดขี้เล่นและคนอารมณ์ดีไม่เหลือแล้ว ฮิตซึกายะและเซนนะสังเกตุได้ กลายเป็นหัวหน้าหน่วยท่าทางสุขุมกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะท่าทางที่แฝงไปด้วยความไม่ธรรมดา ราวกับพลังวิญญาณกดทับ

     

                “ในความเห็นฉัน มันน่าจะถูกปิดบังหรือว่าไงล่ะ”เซโร่หันไปถามความเห็น คนเป็นพี่ที่ยืนเงียบแล้วพูดช้าๆว่า

     

                “ไว้รอๆให้มันกระจ่างก่อนแล้วค่อยตัดสิน ส่วนตอนสู้กับเจ้าการัน เป้าหมายของหมอนั่น ดูจากคำพูดก็คงอยากฆ่าพวกเราซะเต็มประดา”

     

    ทุกคนหันขวับมามองทันที ยูกิหรี่ตามองคนพูดด้วยสายตาอ่านได้ยากยิ่ง

     

                “ถ้าอยากฆ่าพวกเรา ทำไมถึงไม่เลือกวันอื่นๆที่นายไม่ลาดตระเวน อย่างไรก็ตาม มันก็จะง่ายสำหรับพวกนั้น”

     

                “เธอจะสรุปว่ามันอยากฆ่าฉันคนเดียวงั้นสิ”น้ำเสียงเรียบเฉยแต่มันยั่วประสาทคนใจร้อนให้ระเบิดออกมาได้ ถ้าเป็นคนฟังคนอื่นอย่างอิจิโกะ เร็นจิ หรือ อิกคาคุคงแทบจะโมโห แต่ในที่นี้คือหญิงสาวที่ค่อนข้างจะมีความอดทนพอตัวอยู่ เธอผ่อนลมหายใจอย่างควบคุมสติ ความจริงถึงจะสนิทกับหมอนี่ แต่จริงๆแล้ว...

     

                “นายก็ควรจะรู้ตัวเองไว้ว่าตัวเองเป็นถึงรัชทายาทแห่งจักรวรรดิที่ขึ้นชื่อด้านจักรวรรดินักรบ ถ้าเป็นฉัน ก็คงจะกำจัด...”น้ำเสียงเธอขาดช่วงไปเล็กน้อย “นายที่เป็นตัวอันตราย”

     

    ทุกอย่างเงียบงันแต่ยูกิไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่ม จะว่าไปดูแล้วก็เหมือนจะมีลับลมคมในอยู่ แต่ประเด็นนี้ควรจะตัดทิ้ง ขณะที่เด็กสาวตาสีประกายเมเปิ้ลมองที่หน้าจอแล้วขมวดคิ้วกับข้อสันนิษฐาน ไม่มีใครพูดอะไรมากเกือบพักใหญ่จนกระทั่งเซนนะต้องเอ่ยปากขัดกับบรรยากาศเงียบงันและกดดัน

     

                “ตัวอันตราย ถ้าฉันเป็นผู้ร้าย ฉันจะกำจัดระดับผู้นำมากกว่านะ รัชทายาทกำจัดก่อนทำไมล่ะ”เซนนะมุ่นหัวคิ้ว ชนกัน โดยมีฮิตซึกายะพยักหน้าสนับสนุนอยู่

     

                “อันนี้ก็เห็นด้วยนะ เพราะระดับจักรพรรดิ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เละเทะแน่”

     

    ข้อสันนิษฐานถูกยก และถามต่อๆไปจนกระทั่งเจ้าหญิงโทโอยะถอนหายใจยาวเหยียด

     

                “ถ้ากำจัดรัชทายาทได้ มองตามมุมมองของพวกกบฎที่เคยเกิด สมมติว่าถ้ารัชทายาทคนสำคัญเป็นอะไรไป คนร้ายก็เข้าถึงตัวจักรพรรดิ เสร็จก็ลอบปลงพระชนม์ชีพ โดยปกติถ้าเกิดอะไรขึ้น รัชทายาทจะต้องเป็นผู้ดำเนินสำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ถ้านายสองคน”เธอชำเลืองมองเพื่อนหนุ่มฝาแฝดสองคน “ไม่มีชีวิตอยู่ บัลลังค์สามารถล่มได้ทันที และอาจทำให้เกิดการล่มสลาย เพราะรัชทายาทนั้นคือผู้ที่เหมาะสมกว่าใคร และประยูรญาติชิงตำแหน่งมีมากมาย แถมดีๆก็หาได้ยากมา ถ้าพวกนายจำโซโรตะได้น่ะนะ”

     

                “แม่นดีนี่”คาอินเอ่ยปากอย่างขบขันเล็กน้อย

     

                “พวกนายคิดว่าฉันเห็นกบฎมาซักกี่ครั้ง”

     

    เงียบ... ไร้คำตอบ ก่อนที่เซนนะจะนำประเด็นกลับอีกครั้ง

     

                “แต่พวกนั้นจะเอาบัลลังค์จักรวรรดิไปทำอะไร อีกอย่าง เท่าที่รู้มา ท่านจักรพรรดิชิมิสึไม่ธรรมดา แล้วอีกอย่าง ฉันจำไม่ผิด คุนะยูกิก็ไม่ได้จะยุ่งกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก เพราะนั่นมันเลือดผสม”

     

                “สัตว์อสูรกับพวกเราๆก็ไม่ได้ข้องแวะเท่าไหร่ด้วย ยกเว้นแต่เผ่าเทพที่อยู่ในป่าจตุรเทพเท่านั้นแหล่ะ”เซโร่เกาหัวแกรกๆ “ถ้าท่านพี่ไปเกี่ยวข้องด้วยมันชักจะงงแล้วนะ”

     

    ระหว่างที่ทุกคนกำลังสรรหาคำอธิบาย แต่ในการประชุมจักรพรรดิสี่พระองค์กำลังดำเนินเรื่องเดียวกันพอดี ร่างสูงสง่าของจักรพรรดิสี่พระองค์ ข้าราชสำนักที่ไว้ใจได้ และหัวหน้าทหาร รวมถึงหัวหน้าตระกูลขุนนางบางรายก็อยู่กันครบ หลังจากที่ได้มีรายงานเกี่ยวกับการปะทะกับการัน และการต่อสู้ของมันพร้อมกับที่มาซาฮิโระดึงความทรงจำของทหารใกล้ตายมารายงาน (ความสามารถพิเศษของโคฮากุ) แทนคนสู้ที่บัดนี้ต้องกลับไปหารือกับคนอื่นๆก่อน

     

                “ถ้าพูดตามตรง หมอนี่เลือกวันที่เจ้าชายรัชทายาทเซนริลงลาดตระเวน ดูเหมือนการันจะเจาะจงให้เจ้าชายเดินเข้าหากับดักมันนะกระหม่อม”พ่อมดแห่งราชสำนักทูล คิ้วเรียวขาวและใบหน้าแก่ชราขมวดมุ่น

     

                “กับดักงั้นหรือ เท่าที่จำได้พระโอรสของเราก็ไม่ค่อยจะยุ่งเรื่องนี้นานแล้ว เราจำไม่ยักได้ว่าลูกของเราคนนี้ไปสร้างความแค้นให้กับใคร”จักรพรรดิสึบาสะถอนพระทัยอย่างกลุ้มจัด “ทำไมต้องเป็นเซนริด้วย เพราะถ้าจะลงมือก็ควรจะไปที่จตุรเทพมากกว่า เพราะนั่นระดับสูงทั้งนั้นเพอเฟ็คด้วย”

     

                “แต่ถ้าเป็นลูกชายเจ้าก็สมเหตุสมผลนะ”จักรพรรดิโคฮากุ โยชิมาสะอธิบายอย่างใจเย็น ซึ่งจักรพรรดิชิมิสึก็ตรัสต่อว่า

     

                “ลูกเจ้าข้าดูแล้ว เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา ถึงแม้ภายนอกเขาจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่เป็นนายแบบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าทุกคน”

    จักรพรรดิสึบาสะมีพระพักตร์ครุ่นคิด ตั้งแต่พระโอรสองค์นี้เกิดมา ทุกอย่างราวกับจะดึงเข้าหาเด็กน้อยคนนั้นตลอด เด็กที่ต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินในภายหน้า พระองค์แน่พระทัยเช่นนั้น หลายเสียงถึงจะไม่ได้สนับสนุนอะไรมากมาย เพราะฮายาเตะมันเมืองนักรบ และจะมุ่งมั่นต่อสู้เพื่ออำนาจ พระองค์เข้าพระทัยดี เพราะทรงประสบมาด้วยตัวพระองค์เอง แต่แค่ได้เห็นลูกชายคนโตคนนี้ เพียงเสี้ยววินาที ก็รู้ว่าเขาไม่เหมือนคนอื่นในราชวงศ์ แม้โครงหน้าจะเหมือนๆกับคนอื่น แต่สีตาคือเรื่องที่สะกิดใจพระองค์มากที่สุด จนกระทั่งวันที่9ธันวาคม พระโอรสองค์หนึ่งก็หายสาบสูญ อีกคนก็ไม่กลับบ้าน แต่ไปอยู่ที่บ้านอีกหลังในประเทศฝรั่งเศสแทน จนเจอเด็กสาวผู้นั้น เด็กสาวที่สวยแต่ทว่ากลับแฝงความนิ่งสงบและน่ากลัวอยู่เป็นนิจ

     

    จนกระทั่งได้กลับมาอยู่บ้าน และพระโอรสทั้งสองพระองค์ ก็โตเป็นหนุ่มรูปงาม โดยเฉพาะเซนริ ที่ดูยังไงก็หล่อเหลาเกินกว่าจะเป็นมนุษย์ และดวงตาที่ไม่มีใครเหมือน และพระองค์ไม่เคยพานพบจากที่ไหนมาก่อน...

     

                “งั้นถ้าเกิดเราลองไปป่าจตุรเทพอีกครั้งล่ะกระหม่อม”เบียคุยะเสนอด้วยสีหน้านิ่งสงบ เพราะยังไงถ้ามีอันตรายหรือภัยแห่งแผ่นดินก็สมควรจะใช้ตัวเลือกครั้งสุดท้าย และเป็นไพ่ตายสุดท้ายด้วย จตุรเทพ ที่เป็นเหมือนกำแพงป้องกันเหล่าจตุรอสูร ป้องกันครั้งสุดท้าย...

     

    บรรยากาศในห้องประชุมตึงเครียดขึ้นในทันที พวกเขาไม่เคยเลือกให้จตุรเทพยื่นมือลงช่วยเหลือ ดูจากการก่อตั้งแล้วก็คงยังไม่มีการยื่นมือ การที่ไม่มีการช่วยเหลือเป็นประสิทธิภาพ แต่นี่มันเกินความคาดหมายจนเกินไป เกินความคาดหมายจนอยากจะรับผิดชอบ ในส่วนที่ตนเองทำพลาด รับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองไม่สามารถแก้ไขได้ ความรับผิดชอบแห่งจักรพรรดิ

     

                “งั้นเดี๋ยวพวกเจ้าสองคนไปยื่นหมายกำหนดการณ์ที่จะขอพบจตุรเทพด้วย นำจดหมายนี่ไปยื่นให้แล้วพวกเขาจะเข้าใจเอง”จักรพรรดิสึบาสะพระราชทานพระราชหัตถเลขา พร้อมตาพระราชลัญจกรในมือ (เขียนถูกมั้ยเนี่ยเรา) เพราะพระองค์ทรงรับผิดชอบในเรื่องจตุรเทพและเผ่าเทพโดยเฉพาะ แต่ถ้าเป็นราชวงศ์คุนะยูกิที่มีเลือดสองสายก็จะยื่นได้เช่นกัน เบียคุยะและคาโฮโกะพยักหน้ารับก่อนจะโค้งให้พร้อมกับออกไปจากห้องเพื่อทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายทันที เมื่อประตูปิดลง การพูดคุยก็บังเกิดขึ้นต่อมา

     

                “ลูกสาวเจ้าสองคนนั้นหาอะไรเพิ่มได้หรือเปล่า”จักรพรรดิโยชิมาสะหันมาถามผู้นำสูงสุดของจักรพรรดิสี่พระองค์ จักรพรรดิชิมิสึ ซึ่งส่ายพระพักตร์ช้าๆ

     

                “เลนยะออกไปตรวจสอบนอกจักรวรรดิจะไม่อยู่ที่นี่ซักระยะ อาจจะเป็นเดือน ส่วนโทโอยะ ก็ทำงาน ดูเหมือนเด็กคนนี้จะรู้ในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องดีเสียแล้ว ถึงได้ปิดปากเงียบ ส่วนเซนริเองข้าสังเกตุลูกเจ้าได้ นี่ไม่ได้จะว่าอะไรนะ เหมือนเขา...”

     

                “ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้สินะ”จักรพรรดิผู้เป็นพระบิดาของคนกล่าวถึงตรัสอย่างกลัดกลุ้ม แล้วเอนพระวรกายพิงพระเก้าอี้ในห้องทรงพระอักษรอย่างเหนื่อยอ่อนและตรากตรำเต็มที “หลังจากอายุครบ18ปี ก็เป็นแบบนี้ ปกติเซนริเป็นเด็กควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีมาก ใจเย็น และค่อนข้างไม่ค่อยคิดมาก แต่หลังจากประชุมลับออกมาเสร็จ เขาก็มีอาการที่เจ้าว่า เบียคุยะก็เคยมาบอกข้าแล้วว่าอยู่ดีๆลูกคนนี้ก็ทรุดลงไป แล้วเรื่องที่พวกสัตว์อสูรรู้สึกกลัวเด็กคนนี้ก็เช่นกัน ข้าไม่เข้าใจเท่าไหร่แล้วโทโอยะพูดอะไรบ้างมั้ย”

     

                “ข้าเองไม่แน่ใจ แต่คาดว่าน่าจะรู้แล้ว ไว้ข้าจะลองถามๆดูละกัน”

    ++++++++++++

     

    ที่ผ่านมาพวกอิจิโกะก็พึ่งจะรู้ว่า พวกแผนกพิเศษมีเสื้อทั้งหมดสามตัวด้วยกัน ต่างจากพวกนักเรียนอย่างพวกเขาที่มีแค่สองคือ หน้าร้อนและหน้าหนาว ส่วนเสื้อกั๊กจะใส่ยังไงก็แล้วแต่ (แต่อย่าใส่ผิดฤดูละกัน) แต่แผนกพิเศษจะมีเสื้อหน้าร้อน เสื้อหน้าหนาว และเสื้อแบบลำลอง

     

    ที่พวกเขามาครั้งแรกก็คือเสื้อแบบลำลอง ตามที่ได้รู้ๆมา การเรียนยังไม่ค่อยจะมีเด็กครบนัก แถมพวกเด็กนักเรียนที่เป็นระดับเชื้อพระวงศ์จะต้องไปเป็นตัวแทนงานหรือปฏิบัติภารกิจต่างสถานที่และบางที่ก็ไกล การเรียนเลยไม่เคร่งเครียด แต่จะเน้นหนักๆเมื่อกลับมากันครบแล้ว

     

    เสื้อลำลองเป็นแค่เสื้อเชิ้ตสีดำกับแจ๊กเก็ตบางๆสีขาวเท่านั้น และกางเกงสีขาว เสื้อหน้าหนาวนั้น จะเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำผ้าเนื้อดีเยี่ยม เนคไทสีแดงสำหรับชายและโบว์สีแดงสำหรับหญิง ใส่แจ๊กเก็ตบางๆแบบกั๊กชั้นหนึ่งและสูทสีขาวทับอีก พร้อมกับติดเข็มอยู่แถบปกเสื้อ กางเกงสีขาวสูทห้าส่วน นักเรียนหญิงจะเป็นกระโปรงผสมกางเกง (เก็ตป่ะ) จีบสีขาวยาวเลยเข่า ถุงเท้ายาวสีดำ รองเท้าของชายจะเป็นรองเท้าสีดำมีซิปรูดแนวดิ่งด้านข้าง ส่วนนักเรียนหญิงเป็นรองเท้าบู๊ทสีดำเช่นกัน

     

    พวกเขาสังเกตุได้ว่า อย่างพวกคาอินที่ไหล่ซ้ายจะมีผ้าบ้างก็สีน้ำเงินดำ(ชาย) หรือแดงดำ(หญิง) แต่เซนริ เซโร่และยูกิเป็นสีทองและสีดำ หรือสีเงินและสีดำแถมมีทองคำขาวกลัดไว้กับเสื้ออีกด้วย

     

    เซนนะอธิบายไว้ว่า ผ้าสีทองและดำเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าชาย ส่วนเงินและสีดำเป็นของเจ้าหญิง และถ้ามีทองคำขาวก็บ่งบอกตำแหน่งหัวใจแห่งจักรวรรดิ...

     

    เสื้อหน้าร้อนก็แค่เป็นแขนเชิ้ตธรรมดาเท่านั้น และผ้าจะบางกว่า

     

                “การัน ไออสูร”ยูกินั่งพิงโซฟาแล้วขมวดคิ้วหลังจากที่อิจิโกะอธิบายให้ฟัง หญิงสาวเริ่มใช้ความคิดอย่างหนักกับการที่จะต้องเอาอะไรต่อมิอะไรต่างๆมารวมกัน เธอถอนหายใจเบาๆ

     

                “ถ้าเทียบกับผลเลือดของคาอินมันก็ได้อยู่หรอกนะ แต่ไออสูรนี่ไม่ได้มาจากตัวของการันเองใช่มั้ย”เจ้าหญิงเอ่ยถาม ซึ่งอิจิโกะพยักหน้ารับอย่างเคร่งเครียด ตอนนี้พวกเขาต้องเข้าเผชิญหน้ากับงานของราชสำนักแล้ว อะไรๆก็ดูเหมือนจะยากไปซะหมด แถมรู้สึกได้ว่า ปัญหาการต่อสู้ของพวกเขากับไอเซ็นไม่ใช่เรื่องเล็กถ้าเทียบกับเรื่องนี้ที่ใหญ่กว่า

     

    เพราะศัตรูนั้น ไม่ใช่มนุษย์และฮอลโลว์หรือไอเซ็น แต่เป็นเรื่องที่อาจจะบอกไม่ได้หรือว่าอะไรก็ตาม

     

                “แต่ความจริงถ้าจะให้รู้อีกเยอะก็คงต้องถาม”แล้วเด็กหนุ่มอายุน้อยกว่าก็พยักเพยิดไปทางเจ้าชายรัชทายาทซึ่งนอนอยู่บนตักของเจ้าหญิงซึ่งเป็นคู่สนทนาด้วยในเวลานี้ ดูเหมือนจะหลับสนิท ซึ่งยูกิก็ไม่ได้จะว่าอะไรเขาเท่าไหร่นัก

     

    ดวงตาสีไพลินทรงอำนาจและสีน้ำตาลดูอ่อนเยาว์ติดจะกร้านของตัวแทนยมทูตมองเซนริที่หลับสนิท เสียงลมหายใจสม่ำเสมอนั้นคงจะหลับลึกทีเดียว เขาคงจะเหนื่อยกับงานมาเยอะ เพราะเซโร่เองก็เข้านอนไปแล้วเนื่องจากอันดับสองงานจะเน้นไปประสานกับคาอินมากกว่า ในส่วนตัวของทุกคนก็เห็นด้วยเพราะยังไงก็คุยได้เรื่อยๆ แถมออกจะ... พูดมากอีกต่างหาก

     

                “ถ้าเขาจะพักผ่อน ก็คงต้องให้พักไปซะก่อน” และแล้วอิจิโกะก็นึกอะไรออกหลังจากหญิงสาวพูดจบ ประเด็นที่ค้างคาใจตั้งนานแล้ว

     

                “จะว่าไปมีเรื่องอยากรู้มานานแล้วล่ะ” ดวงตาคู่สวยอันมามอง

     

                “ว่า???

     

                “ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ อะไรก็ตาม อย่างเมื่อบ่ายนี้น่ะนะ ทำไมเซนริไม่ค่อยปลดปล่อยดาบฟันวิญญาณ หรือจะใช้SOTเลย เขาแค่ใช้ดาบธรรมดากับจิตเทวะและคุเรไนคาตานะเท่านั้น ปกติSOTใช้ในการต่อสู้ไม่ใช่หรอ”

     

                “ดาบฟันวิญญาณโดยเฉพาะของเซนริที่ได้รับฉายาว่าเป็นเจ้าแห่งศาสตราวุธทั้งมวล พลังวิญญาณของดาบเมื่อปลดปล่อยจะมากกว่าปกติ มากกว่าขั้นบันไคเป็นสิบๆเท่า แต่มันสิ้นเปลืองพลังวิญญาณโดยใช่เหตุกับการที่เสียค่าเหนื่อยมากๆกับแค่ศัตรูที่ไม่ค่อยจะมีค่าและกำจัดง่ายๆในสายตาของพวกฉัน ในกรณีของเซนริก็เลยไม่ค่อยจะใช้ออกมาเท่าไหร่ แต่ในกรณีของนายนั้น สภาพของเซนริที่เป็นเวลาตอนนั้น ยังไม่ถูกเรียกให้ตื่นขึ้นมาได้เต็มที่ พลังวิญญาณจึงค่อนข้างจะน้อย นายคงไม่สังเกตุอะไร”

     

                “เหมือนตอนที่เธอไม่มีความทรงจำใช่มั้ย”

     

    ยูกิพยักหน้า

     

                “ในกรณีของผู้ถือSOTในสายUnknown (ไม่สามารถเข้าพวกกับสายอื่นๆได้) อย่างพวกฉัน ถ้าจะใช้มันให้เต็มที่จะต้องมีความทรงจำและจิตใจที่พร้อมที่สุด ความทรงจำต้องจำให้ได้หมด จิตใจต้องนิ่งไม่หวั่นไหว เพราะมันมีอำนาจมหาศาล และช่วงนี้เซนริไม่รู้เป็นอะไร ไว้ฉันจะลองถามเขาอีกที แต่คาดว่าสภาพนี้ยังใช้SOTไม่ได้ถ้าไม่ถามเจ้าตัวว่าเป็นอะไร เพราะถ้าใช้ในระหว่างนั้น อาจเกิดหลุมมิติที่ควบคุมไม่ได้เกิดขึ้นมาด้วยล่ะ”

     

                “ฉะนั้นเลยหลีกเลี่ยงด้วย อืมๆ เข้าใจล่ะ ว่าแต่เรื่องของการันล่ะจะเอาไง”อิจิโกะเข้าประเด็นอีกครั้ง ทำให้บรรยากาศเริ่มทะมึนเคร่งเครียดขึ้น

     

                “เขาตายแล้ว แต่ไม่มีดวงวิญญาณเหลืออยู่ มันแปลกเกินไป ฉันว่าอีกไม่นานพวกคนแบบเดียวกับการันอาจจะมาอีกก็เป็นได้ อาจจะร้ายกว่า”และแล้วเธอก็ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย “ระหว่างนี้ต้องอดทนอย่างเต็มที่ล่ะนะ ระหว่างนี้อาจจะมีเวลาพักผ่อนก็ได้ล่ะนะ”

     

    แต่ทว่าคำอวยพรองยูกิดันไม่สมพรเนื่องจากในคาบวิชาประวัติศาสตร์นั้น มันมีกิจกรรมที่เด็กนักเรียนทุกคนทุกโรงเรียนที่สังกัดและได้รับอนุญาตบางคนมาทำ และกิจกรรมนั้นคือการทัศนศึกษา... ซึ่งทั้งๆที่พวกเขาควรจะได้เวลาพักผ่อนมากกว่านี้ เสียแต่อาจารย์ได้กล่าวว่า มันเหมือนกับการไปเที่ยวกลายๆ

     

    คำพูดที่ทำให้แต่ละคนต้องขมวดคิ้ว

     

    ไปเที่ยวกลายๆ แสดงว่ามันคงจะเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งหรือว่ากระไร

     

    แต่สิ่งที่ทำให้ชวนคิดก็คือ

     

    ที่ทัศนศึกษาเป็น....

     

                “ปราสาทของประมุขแห่งมวลเทพงั้นหรือครับ/ค่ะ”เด็กนักเรียนแต่ละคนถามขึ้นเมื่ออาจารย์บอกเสร็จ

     

                “ถูกต้อง แล้วให้ทำรายงานสรุปตามหัวข้อดังต่อไปนี้”แล้วอาจารย์หันไปทางกระดานพร้อมกับมีตัวอักษรปรากฎบนกระดานช้าๆ

     

    สถาปัตยกรรมภายในนั้น

    เอกลักษณ์ของมัน

     

    แค่สองหัวข้อ แต่เด็กนักเรียนให้ไปที่นั้นเขาจะให้อย่างนั้นหรือ แต่ดูเหมือนคุณครูท่านจะอ่านใจเด็กได้

     

                “ครูขออนุญาตเรียบร้อยแล้ว แต่เขาให้เข้าได้ทีละไม่เกินครึ่งห้อง ดังนั้น ก็แบ่งกลุ่มออกเป็นสองฟากคือ ฟากด้านหน้า ไปวันพรุ่งนี้(วันพฤหัส) ส่วนกลุ่มด้านหลัง วันศุกร์นะ ให้แต่งตัวเรียบร้อยๆหน่อยละกัน แล้วอย่าใส่รองเท้าส้นสูงหรือรองเท้าแตะไปล่ะ ให้ใส่แค่ผ้าใบเท่านั้น เพราะเราจะต้องทะลุผ่านป่าไป”

     

                “ครับ/ค่ะ”

     

    และแล้วเด็กนักเรียนชายคนหนึ่งในราชวงศ์ฟุจิวาระก็ยกมือขึ้น

     

                “คะแนนเท่าไหร่ครับ”

     

                100คะแนน”

     

    เกิดเสียงฮือฮาเมื่อได้รู้ว่ารายงานที่ทำนั้น ตั้งร้อยคะแนน ส่วนเร็นจิก็หันมาคุยกับอิจิโกะเบาๆว่า

     

                “คะแนนโคตรเยอะเลย”

     

    เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นทำให้อาจารย์ต้องปรบมือให้เด็กนักเรียนทุกคนเงียบอีกครั้ง แล้วกวาดสายตามองแต่ละคน พวกนี้โตขึ้นมากเลย... จะจบม.ปลายแล้ว และจะก้าวไปในชีวิตของรั้วมหาวิทยาลัย ดังนั้น จึงจะลองให้ทำรายงานคะแนนเยอะๆแบบมหาวิทยาลัยเสียบ้าง

     

    ก็คงจะเรียกได้ว่า หาข้อมูลแล้วเรียนรู้ด้วยตนเองก็ว่าได้

     

                “ครูจะไปส่งพวกเธอทุกคนแค่หน้าป่าจตุรเทพเท่านั้นนะ ส่วนแผนที่ครูจะแจกให้แต่ละคนในวันที่ไปเลย แล้วก็อย่าส่งเสียงดัง อย่าคิดจะเล่นตลกละกัน เพราะพวกสัตว์เทพนั้น เข้มงวดเรื่องนี้มาก จะพูดอะไรก็คิดก่อนเพราะถ้าไม่ระวังปาก อาจจะโดนดีก็ได้”

     

                “ที่ว่าอาจจะโดนดีนี่”คิระหันมาทางหัวหน้าองครักษ์ฝั่งเซย์เรย์เทย์ที่นั่งอยู่ด้านหลัง

     

                “เขตนั้นเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไปลบหลู่อะไรมีหวัง”แล้วคาอินก็ยกมือขึ้นทำท่าปาดคอให้ดู เล่นเอาฮินาโมริและรันงิคุเริ่มเสียวสันหลังวาบ... ขณะแต่ละคนเริ่มคิดในใจว่า ทำไมต้องทำรายงานโดยการจะไปสถานที่อันตรายสุดกู่นั่นด้วย แต่ทว่าอาจารย์คนนี้ทำให้แต่ละคนเริ่มสงสัยว่า ท่านอ่านใจเด็กนักเรียนออกหรือแค่เด็กนักเรียนมีท่าทางที่ดูออกง่ายกันแน่ เพราะคำพูดของคนเป็นอาจารย์

     

                “แล้วครูคิดยังไงกับการที่ให้ทำรายงานเรื่องนี้น่ะหรอ”อาจารย์เว้นวรรคแล้วเปรยๆถึงนักเรียนทุกคน “ก็เพราะคาบที่แล้วเห็นสนใจเรื่องนี้กัน เลยให้ทำเรื่องนี้กรณีพิเศษ ไม่เหมือนเด็กภาคธรรมดายังไงล่ะ”

     

                “เด็กนักเรียนภาคธรรมดาทำอะไรหรอครับ”เด็กนักเรียนบางคนยกมือขึ้นถาม

     

                “เกี่ยวกับป่าจตุรอสูร โดยให้อธิบายความเป็นมาคร่าวๆ แต่ไม่ต้องไปสถานที่จริง เพราะดูท่าทางคนที่เคยไปคงจะไม่อยากไปยุ่งกับมันอีกแล้วใช่มั้ยล่ะ”แค่น้ำเสียงที่ดูเหมือนจะกล่าวขึ้นลอยๆ แต่คนที่ถูกหางเลขนั้น รู้เลยว่าหมายถึงใคร

     

    เริ่มจากอิจิโกะ ลูเคีย กลืนน้ำลายเอื๊อก เซนนะ คาโฮโกะ ฮินาโมริ รันงิคุ ฮิตซึกายะ คิระมีสีหน้าเบ้ จนไปถึงเซนริ เซโร่ ยูกิ คาอิน คิเอ็นจิ คานาเมะ อิจิโจ เลนยะ และซานาดะ มีสีหน้าราวกับเจอวิกฤตนรกมาหมาดๆ

     

    ก็เรื่องหลอนๆติดตาก็คือ กองทัพสัตว์อสูรที่แทบจะคร่าชีวิตพวกเขาไป หากไม่มีโชคช่วยก็คงเป็นศพอนาถกลางป่าเสียแล้ว แถมก็คงจะไม่มีซากให้เหลือดูต่างหน้า เพราะสัตว์อสูรกินไปหมด

     

    ส่วนเจ้าหญิงโทโอยะนั้นหันมาทางคนที่นั่งข้างๆ... เซนริ ท่าทางแปลกๆมาช่วงนี้ ดังนั้น เธอก็น่าจะถาม ถามว่าเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า ดวงตาคู่สวยหลุบต่ำ ในใจเริ่มครุ่นคิด แล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะลองถามๆดู น้ำเสียงแผ่วเบาจนแทบเป็นกระซิบแต่เซนริได้ยินไม่ยากนัก เพราะความเคยชิน คิ้วคมเข้มขมวดมุ่นเมื่อได้ยินคำถาม

     

                “ช่วงพักกลางวัน ฉันอยากจะคุยด้วย”

     

    ขณะที่พูดจบ อะไรบางอย่างก็ส่งเสียงร้องเตือนอยู่ ระหว่างที่กำลังเรียน อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในเวลานี้

     

    ยูกิถอนหายใจเฮือกอย่างไม่สบอารมณ์

     

    หญิงสาวเหม่อมองไปที่หน้าต่าง ไปยังจุดๆหนึ่ง... ที่ตั้งของป่าจตุรอสูรที่ๆทำให้เธอรู้สึกไม่ดีมาตั้งนานแล้ว

    ++++++++++++++

    พักกลางวัน ร่างสูงโปร่งของบุคคลที่เป็นถึงมกุฎราชกุมารเดินตามหญิงสาวที่มีตำแหน่งสูงไม่แพ้กันไปเรื่อยๆ ด้วยความสงสัยที่บังเกิดขึ้นในใจ แต่ก็ไม่คิดอะไรเพิ่มเติม เพราะว่า คงจะรู้เอง ยูกิเดินนำมาเรื่อยๆ จนถึงตึกเรียนว่างๆที่ไม่มีคนผ่านไปผ่านมาเพราะเคยมีคนปล่อยข่าวว่า จะมีพวกอสูรแปลกๆโผล่มากิน เด็กนักเรียนเลยไม่ค่อยอยากจะเข้าใกล้เท่าไหร่ ทำให้บรรยากาศบริเวณนี้เหมาะกับการคุยเรื่องสำคัญๆมากนัก และหลีกเลี่ยงจากพวกนักข่าวที่คิดจะมาถามอะไรให้มันมากความเกี่ยวกับคดี ซึ่งพวกเขาก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ ไม่สามารถจะเอาความลับในราชวงศ์มาเผยแพร่ในที่สาธารณชน

     

                “นายน่ะ ไม่สบายรึเปล่าน่ะ”

     

    คำถามที่ทำให้เซนริขมวดคิ้วมากกว่าเดิม

     

                “จะถามทำไม”

     

    หญิงสาวหันมาประจันหน้า ใบหน้าสะสวยปรากฎริ้วแห่งความหงุดหงิดเล็กน้อย

     

                “เพราะถ้านายตอบมา ฉันก็จะได้ลองหาๆดู แต่ดูท่าว่าไม่ยอมบอกซะงั้นสินะ”

     

    ชายหนุ่มเบือนหน้าไปทางอื่น ใช้ภาพหลอนนั้นยังติดตาเขาอยู่สม่ำเสมอ แต่แทว่ายังไม่ทันจะเริ่มบทสนทนาอะไรต่อ ก็มีเสียงโหวกเหวกขึ้นเสียก่อนและได้ยินเสียงประกาศข่าวทางลำโพงที่ตั้งอยู่บริเวณทุกพื้นที่ในโรงเรียน เซนริและยูกิเงยหน้าขึ้นมองเสียงแล้วฟังอย่างตั้งใจ พร้อมกับมีเสียงของนักข่าวบรรยาย

     

                “เกิดการฆาตรกรรมเหล่าทหารที่ถูกปลดประจำการและยังอยู่ในคุกของพระราชวังหลวง รวมถึงมีการฆาตรกรรมนักโทษที่ต้องโทษร้ายแรง แต่ทว่า ทางพระราชวังหลวงของสภากลางไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม สภาพศพนั้น มีรอยเลือดสีดำลากไว้รอบๆตัวนักโทษเป็นรูปดวงตา แล้วมีอักขระประหลาดเขียนรอบๆตัวเขา แถมสภาพศพนั้น ผิวหนังขาวซีดราวกับไม่มีวิญญาณหลงเหลืออยู่เลยแถมอีกแสนกว่า ได้หายไปจากคุก โดยที่ทิ้งเสื้อผ้านักโทษไว้”

     

                “จากฆาตรกรรมทหารรักษาการณ์ สัตว์เทพและภูตศักดิ์สิทธิ์ มาเป็นพวกนี้แทน”ยูกิขมวดมุ่นอย่างใช้ความคิด ตอนนี้บรรยากาศโรงเรียนเงียบเป็นป่าช้า เพราะกำลังฟังข่าวด้วยสีหน้าตกตะลึง หญิงสาวหันไปทางชายหนุ่ม “ไปดูทีวีก่อนดีกว่าละกัน เพราะจะได้เห็นภาพ”

     

    เซนริพยักหน้าก่อนทั้งคู่จะรีบวิ่งไปที่โรงอาการซึ่งมีทีเท่าจอภาพยนต์ฉายอยู่ให้นักเรียนได้ดูกันอย่างทั่วถึง คาอินโบกมือเรียก ทั้งคู่จึงไปนั่งสายตาทุกคนกำลังจดจ้องอยู่ที่หน้าจอขนาดยักษ์ ซึ่งมีหัวหน้าคุกประจำการ เดส เซสันกำลังให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าหวาดวิตก

     

                “ทางเราไม่อาจทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งๆที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปในคุกของสภาได้ เพราะเป็นคุกที่ไม่สามารถมีใครแหกมาได้ก่อนในประวัติศาสตร์ อีกอย่าง ทางเราให้นักโบราณคดีมาตรวจสอบแล้วซึ่งประเด็นสงสัยน่าจะเป็นตัวอักขระ ซึ่งทางหน่วยแพทย์กำลังชันสูตรศพอยู่ครับ ทางเราต้องขออภัยจริงๆที่หละหลวม เราจะหาตัวผู้กระทำมาให้โดยเร็วที่สุด และจะตามหานักโทษเหล่านั้นให้ได้”แล้วภาพก็ตัดไป แต่ละคนหันมาสนทนา บ้างก็ทำสีหน้าตกใจ บ้างก็งุนงง แตกต่างกันไป

     

                “คุกของสภากลางแหกยากแสนยาก แต่ไหงทำไมมันหายไปได้ตั้งแสน”ฮิตซึกายะมีสีหน้าสงสัย เป็นที่รู้กันว่าคุกของสภากลาง จะรวบรวมนักโทษที่เหี้ยมโหดจนต้องได้รับการดูแลจากสภาที่เข้มงวด แต่ครั้งนี้กลับมีคนหายไป จนไม่สามารถรู้ตัวได้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้ง ยังเสียชีวิตโดยมีเรื่องประหลาดๆอีก

     

    คุกของสภากลางเป็นคุกที่มียามกวดขันอยู่หน้าคุกที่กักขัง ซึ่งมีเวทลงป้องกันการหลบหนีและสัญญาณสะกดวิญญาณอีก แต่ในที่นี้กลับไร้ร่องรอย

     

    เวลานี้ ในหัวของทุกคนคิดได้อย่างเดียว

     

    สถานการณ์ในจักรวรรดิตอนนี้ ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว เพราะอีกไม่นาน พายุลูกใหญ่กำลังจะก่อตัวขึ้น...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×