ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    END [Fic exo] อู่...บยอน ChanBaek ft.exo

    ลำดับตอนที่ #63 : สวัสดีวันตรุษจีน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.61K
      348
      28 มี.ค. 66


    สวัสดีวันตรุษจีน

     

    โลกนี้ก็คงไม่มีซวยได้เท่าผมแล้วละครับ สาด ขับๆมอไซค์อยู่ดีๆ จู่ๆก็มีอะไรก็ไม่รู้วิ่งตัดหน้าอะ แล้วด้วยความที่ว่าเป็นคนจิตใจดีไง เลยหักหลบแม่งเลย แต่ความซวยมันก็ไม่หยุดยั้งแค่นั้นเว้ย เพราะนี้ขับมาเร็วไงเลยหน้าเหินลงสะพานแม่งเลย จบอย่างอนาทบัดซบยิ่งกว่าสิ่งใดคือ!

    กู! ว่าย! น้ำ! ไม่! เป็น!

    ลาก่อนสวัสดีโลก ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก!

    อะ ก่อนไปขอแนะนำตัวก่อนแล้วกันครับ

    ผมชื่อ เปียน ป๋ายเซี่ยน อายุ 30 เป็นแพทย์แผนจีนฝีมือฉกาจ คิวยาวราวกับกำแพงเมืองจีน! ทุกๆวันก็มีแต่งานๆ หาสามีไม่ได้สักที ทั้งๆที่ผมก็เป็นโอเมก้าเนื้อหอมแท้ๆ เฮ่อ เสียใจต้องดันมาตายอย่างเปลี่ยวใจขนาดนี้ อธิบายมาถึงตรงนี้ทุกคนคงจะสงสัยกันว่าทำไมผมถึงสามารถพูดออกมาได้อย่างภาคภูมิใจว่าตัวเองเป็นโอเมก้าน่ะเหรอครับ หึหึ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ

    เมื่อหลายสิบปีก่อนค่านิยมลำดับจ่าฝูงบ้าบอล้าสมัยนั้น ถูกพวกเราชาวนักศึกษาทั่วโลกซึ่งร่วมไปถึงผมด้วยประท้วง เพราะโอเมก้าเริ่มมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆทั้งๆที่เราไม่มีความผิดอะไรแท้ๆเพราะค่านิยมเวรๆนั้น ทำให้มีการร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่อย่างเร่งด้วยเพื่อให้มีความเสมอภาคกันมากขึ้น แต่เหล่าโอเมก้าอย่างเราจะต้องเรียนหนังสือแยกกับอีกสองเพศ จนอายุถึง 18 จึงจะสามารถเข้าเรียนในมหาลัยทั่วไปได้

    ผมบอกเลยนะครับตอนนี้สถานะเพศรองอย่าง โอเมก้าอย่างผมก็สามารถเรียนชนะอัลฟ่ามาแล้วบอกเลย ถึงแม้ว่าจะต้องท่องหนังสือแทบตาย ผิดกับพวกอัลฟ่าที่แม่งเปิดๆก็จำได้!

    แต่เรื่องพวกนี้ช่างแม่งเถอะ เพราะตอนนี้กูตายแล้วไงครับ แม่งก็ไม่เกี่ยวแล้วไงวะ ได้ข่าวว่าสวรรค์เขาไม่แบ่งแยกเพศกันนิ

    “เจ้าไม่ได้จะไปสวรรค์หรอกนะ”

    ผมที่กำลังเดินไปเรื่อยๆบนเมฆสีขาวอย่างไม่รู้จุดหมาย เพราะก็ไม่เคยตายเลยไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนเหมือนกัน ก็ได้ยินเสียงทุ่มแหบสำเนียงจีนแบบโบราณดังขึ้น พานทำให้ต้องขมวดคิ้วสงสัย ก่อนจะเหลียวหันไปรอบๆ พร้อมๆกับเมฆหมอกที่ค่อยๆจางลงเรื่อยๆ ทำให้ผมเห็นอะไรๆชัดขึ้น ก็เห็นเป็นคุณปู่คนหนึ่งนั่งอยู่บนหินสูงจนต้องเงยหน้ามอง สวมชุดจีนโบราณเต็มยศสีขาว สีเดียวกับผมและหนวด ในมือถือด้ายสีแดงกับม้วนไม้ไผ่ที่ลอยอยู่บนอากาศ หลังก็สะพายย่ามไว้

    “คุณปู่หมายความว่าไงอะครับ”ผมเดินเข้าไปหาท่านพร้อมกับส่งเสียงถามด้วยความสงสัย

    “เจ้าไม่สงสัยเลยรึ ว่าอยู่มาจนป่านนี้แล้วไม่ร่วมหอลงโลงหรือถูกใจชายใดสักคน ทั้งๆที่ผ่านมาก็มีชายมากมายเข้ามาให้เจ้าเลือก”

    ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคุณปู่ตรงหน้า เพราะมันคือเรื่องจริงครับ ไม่ว่าจะอัลฟ่าเบต้าโปรไฟล์ดีขนาดไหนก็ไม่สามารถทำให้ผมตกลงปลงใจได้เลยสักคน

    “ก็เพราะในชาตินี้เนื้อคู่ของเจ้าไม่มียังไงละ”คุณปู่ตอบสบายๆแถมขำใส่หน้าผมอีกด้วย

    “ฮ่าๆๆๆ ท่านปู่ ท่านจะมาเล่นมุขนี้ไม่ได้นะครับ ถ้าผมไม่มีชาตินี้แล้วจะมีชาติหน้าเหรอครับ”

    “เปล่า เจ้ามีชาติหลังถอยไปประมาณเกือบสองพันปี!”ท่านตอบสบายๆเหมือนเล่านิทานก่อนนอนให้หลานน้อยฟัง

    ส่วนผมนี้เหวอรับประทานไปแล้วครับ

    “เฮ่อ มันเป็นความผิดของไอเจ้าเทพโชคชะตาเซ่อซ่านั้นแท้ๆ คราวซวยเลยเป็นของข้าซะได้”เจ้าตัวบ่นๆแล้วส่ายหัวไปมา

    “อ้าว เอาชีวิตวัยใสฝันเห็นผู้ชายดีๆคืนผมมาเลยนะปู่!”ผมโวยวาย พร้อมกับแบมือไปตรงหน้าท่าน

    “เจ้าเอาแต่เรียกข้าว่าปู่อยู่นั้นแหละข้าไม่ใช่ญาติเจ้าเสียหน่อย ข้าคือเฒ่าจันทรา ผู้ผูกด้ายแดงแห่งรัก”เจ้าตัวโวยวายใส่ผมพร้อมกับถลึงตาใส่ผม

    เฒ่าจันทราเหมือนเคยได้ยินชื่อที่ไหนนะ

    ผมนิ่งคิดนานมาก แต่ก็นึกไม่ออกอะครับ และเหมือนท่านจะเข้าใจความคิดผม เพราะท่านถอนหายใจออกมาแรงมากในความโง่ของผม ซึ่งผมทำได้แค่เพียงยิ้มแหย่ๆเกาหัวเท่านั้น

    “เจ้านี้มันเอาแต่ทำงานจริงๆ แต่ช่างเถอะวันนี้ข้ามีหน้าที่มาดึงดวงชะตาของเจ้ากับคู่ของเจ้าเท่านั้น”ท่านอธิบายให้ผมฟัง พร้อมกับเปิดม้วนคัมภีร์ที่ยาวจนลากพื้นไปไกลอีกหลายเมตร

    ผมมองเข้าม้วนคัมภีร์นั้น แล้วเดินเข้าไปใกล้ๆซึ่งมันเต็มไปด้วยชื้อมากมายเขียนเป็นภาษาจีนโบราณซึ่งบางคำผมก็อ่านไม่ออก เพราะเขาเลิกใช้กันไปแล้วด้วย

    “เจ้านี้มันสอดรู้จริงๆ”ท่านบ่น

    “แหม ใช่ว่าผมอ่านแล้วจะแย่งงานท่านทำเสียหน่อย ไม่รู้จักใครสักคน”ผมตอบท่านขำๆ

    “เฮ่อ เส้นทางรักเจ้ามีแต่เรื่องราวทั้งนั้นเลยนะ แถมวิญญาณที่เข้าไปในร่างเจ้ากลับโหยหารักที่ไม่ใช่ของตนซะข้าสงสารจริงๆ”ท่านส่ายหัวไปบ่นไป

    ซึ่งผมไม่รู้เรื่องไง ร่างผม เออออ มันก็น่าจะจมน้ำอยู่ในแม่น้ำนั้นแหละครับ ป่านนี้ครอบครัวผมคงร้องไห้เป็นเผาเต่าแล้วละ เสียใจไหมถาม ก็เสียใจแหละแต่ก็ทำไรไม่ได้แล้วอะ บุญมาเท่านี้

    แลกูปลงง่ายจริงๆ

    “ร่างที่เจ้าออกมานั้นจริงๆแล้วต้องเป็นของวิญญาณดวงนี้ ซึ่งชะตาของเจ้าหน้าที่ไม่ใช่หมอหรอกแต่เป็นเจ้าของแผ่นดินต่างหาก”

    “เกษตรกรเหรอครับ”

    โปก!

    “โอ้ย! สมองผมไหลออกหูแล้วมั้งเนีย”ผมโวยวายแล้วลูบหัวตัวเองตรงที่โดนไม้เท้าอันใหญ่ท่านเม่าจันทราโขกลงมาอย่างแรง

    “เจ้านี้มันตลกไม่รู้เวลาจริงๆ”

    “โถ ก็ยุคที่ผมจากมานอกจากเกษตรกรแล้วก็ไม่มีใครมีที่ทางเยอะเลยนะครับ”

    “ฮ่องเต้ยังไงเล่า”ท่านพูดสวนผมมา

    อะ ตัดมุขผมเฉยเลย แต่อันนี้มันก็ใช้นะครับแต่มันใช่ไม่ได้กับตอนนี้เปล่าอะครับ ทุกคนเข้าใจเนอะ ละไว้ในฐานที่เข้าใจตรงกันจบปิ๊ง!

    “เจ้านี้มันช่างมีคำถามเยอะคำถามแยะจริงเชียว”ท่านทำหน้ายุ่งใส่ผม

    “มันก็ต้องมีบ้างแหละครับ เดี๋ยวผมก็ลืมไหมอะ เดี๋ยวก็ต้องไปกินน้ำแกงยายเมิ่ง”ผมพูด

    “ใครว่า”ท่านเงยหน้าจากคัมภีร์ไผ่ขึ้นมาจ้องหน้าผม

    “อ้าว ก็ผมตายแล้วก็ต้องไปเกิดก่อนไหมละครับ”

    “เฮ่อ เจ้านี้มันสมองน้อยจริงๆ ข้าไม่เข้าใจเลยว่าคนเยี่ยงเจ้ารักษาคนมาเยอะแบบนั้นได้ยังไง”

    “อ้าว ไหงโดนอีกแล้วเนีย”

    “ข้าเพิ่งจะพูดไปแท้ๆว่าเจ้าต้องกลับไปภพภูมิตัวเอง เฮ่อ เบื่ออธิบายแล้ว ยังไงก็สู้เขาละป๋ายเซี่ยน”

    สิ้นคำพูดของท่านเฒ่าจันทรา เหมือนมีแรงดูดมหาสารฉุดรั้งให้ผมทิ้งดิ่งลงข้างล่าง ราวกับว่าเมื้อกี้ไม่ได้เหยียบอยู่บนพื้น แต่เป็นก้อนเมฆที่เกิดจากการจับตัวของมวนน้ำเท่านั้น แต่สิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ราวกับประตูสวรรค์ตรงหน้ามันกลับตอกย้ำผมว่า

    กูไม่ได้ฝันเว้ย! ก่อนทุกอย่างจะดับวูบลงไปพร้อมกับสติของผม

    “จำเอาไว้จงใช้สมองเยอะๆ เนื้อคู่เจ้าชื่อชานเลี่ย ฮองเต้ราชวงศ์เผียว ปีศาจแห่งสงคราม”

    บ้าบอที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!

     

     

    ……………………..

     

     

    “ไปจับมันมาออกมา ข้าอยากจะรู้นักถ้าข้าสั่งลงโทษมันฮองเฮาไร้อำนาจเยี่ยงนี้จะทำอะไรข้าได้”

    “เพคะพระสนม”

    เสียงเอะอะข้างนอกเรียกให้ผมที่หลับสนิทต้องค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่เห็นคือความสกปรก ทรุดโทรมของหลังคาบ้าน

    “เชี่ย!

    กูนี้กระเด้งตัวขึ้นมานั่งด้วยความตกใจครับ ยิ่งพอมองไปรอบๆได้เห็นถึงความเก่าจนแทบจะล้มลงมาทับก็ได้แต่งงกับตัวเองว่ากูเข้ามานอนในนี้ได้ไง พอจะยกมือขึ้นเกาหัวก็ต้องตกใจกับเส้นผมของตัวเองที่แม่งโคตรจะยาว ไหนจะชุดที่ใส่ก็โคตรจะจี้นจีนโบราณ แต่โคตรจะเก่าอะ เพราะแม่งปุปะเต็มไปหมด

    “ฮองเฮา!

    ด้วยความที่ข้างนอกโคตรจะวุ่นวาย พร้อมกับความทรงจำมากมายก่อนหน้านี้ที่ทะลักเข้ามา ให้ซึ้งเข้าใจถึงความทรมานของร่างนี้ ซึ่งจริงๆแล้วถ้าตามที่ท่านเฒ่าจันทราบอกมันต้องเป็นผม ก็เต็มสมองไปหมดจนผมปวดหัวไปหมด จนต้องอันเชิญตัวเองออกมา

    ผมเปิดม่านเก่าๆที่กั้นระหว่างที่นอนผมกับข้างนอกออก ก็เห็นความวุ่นวายกับคนข้างกายของร่างนี้ เอ่อออ ชื่อๆๆๆ อ๋อ ชื่อฉิงจู กำลังโดนลากโดยทหารหน้าตาหน้ากลัว ซึ่งทุกอย่างหยุดลงพร้อมกับเจ้าตัวสะบัดหลุดจากการฉุดรั้งรีบวิ่งเข้ามากอดเท้าผม

    “ฮื่อๆๆๆ ฮองเฮาฟื้นแล้วฉิงจูเป็นห่วงฮองเฮามากเลยนะพะยะค่ะ”เจ้าตัวฟูมฟายร้องไห้ใหญ่เลยครับ

    แล้วกูควรทำไงวะครับ แล้วปกติคนสมัยก่อนเข้าทำกันแบบนั้นวะเนีย

    ผมฟุ้งซ่านกับตัวเองแป๊บเดียว ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วรวบมือร่างเล็กตรงหน้าให้ลุกขึ้นยืน

    “อย่าร้องไห้สิฉิงจู ผม เอ้ย! ข้าไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ใยต้องฟูมฟายขนาดนี้”ผมพูดกับเจ้าตัวยิ้มๆ

    “อึกๆๆ แต่ว่า ฮองเฮาโดนวางยาพิษนะพะยะคะ”

    กูว่าละมุขนี้จริงๆ ส่วนตำหนักเก่าๆนี้คงจะเป็นตำหนักเย็นละมั้งเนีย ดีนะชอบอ่านนิยายเวลาว่างอะ

    “โดนอะไรกัน เจ้าก็เห็นว่าข้ายังสบายดี เพราะฉะนั้นเลิกร้องไห้เสีย แล้วบอกข้าทีว่าตำหนักเย็นของข้ากำลังรับรองแขกจากที่ใดอยู่”

    ผมพูดกับฉิงจูเสร็จแล้วหันไปมองตรงหน้า ซึ่งมีหญิงสาวในชุดหรูหราหัวปักเต็มไปด้วยปิ่นและ เอ่อ ทรงผมเยอะสิ่งที่ไม่รู้ว่าประโคมใส่อะไรลงไปมั้ง คงจะหนักพิลึกละครับ กูถึงว่าเวลาผลักกันตกน้ำพวกสนมถึงจมน้ำตายกันง่ายๆ ก็ถมใส่กันขนาดนี้ แต่หน้าตาสวยดีถึงจะแต่งหน้าโทนขาวกว่าคอจวนไปทางซีดก็ตามที รอบๆก็เต็มไปด้วยนางกำนัน ทหารมากมาย

    “พะยะค่ะ ตรงหน้าของฮองเฮาคือพระสนมเหวยกุ่ยเฟยพะยะค่ะ”ฉินจูก้มหน้าบอกผม

    ผมมองไปยังคนตรงหน้านิ่งๆ ซึ่งเจ้าตัวก็เชิดหน้าใส่ผมซะด้วย เฮ่อ กลายมาเป็นฮองเฮาตกอับข้อหาวางยาลูกฮ่องเต้จากสนมสุดที่รักแบบนี้ก็ไม่ไหวนะเนีย

    “ระหว่างข้าที่เป็นฮองเฮาในนามแต่ก็ได้ชื่อว่าฮองเฮากับสนมอย่างเจ้า ใครควรจะทำความเคารพใส่กันก่อน เดี๋ยวข้าราชจะเอาไปพูดได้ว่าที่จวนไม่ใครสั่งสอนเสียละเหวยกุ้ยเฟย”

    อะไร กูพูดอะไรผิดครับ ก็กูเป็นฮองเฮาไหมละ

    ตอนนี้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบครับ เพราะทุกสายตาจ้องมาทางผมอย่างตกใจเหมือนเห็นผี โทษทีนะรู้ว่าก่อนหน้านี้เป็นคนไม่ค่อยมีปาก แต่ถ้าเป็นป๋ายเซียน 2019แล้วไซ อย่าคิดว่ากูจะยอมนะเว้ย! กูยังไม่โดนถอดยศเพราะฉะนั้นกูยังใหญ่อยู่เว้ย

    “ว่ายังไงละเหวยกุ้ยเฟย หรือเจ้าอยากจะคำนับเราแบบเต็มพิธีการดี”ผมกอดอกมองคนตรงหน้านิ่งๆ

    “เพค่ะ!”เจ้าตัวกัดฟันพูดใส่ผม ก่อนจะเริ่มวาดแขนคุกเข่าก้มหัวจรดพื้น

    “อย่าเพิ่ง เอาหน้าผากเจ้าจรดพื้นไว้แบบนี้อีกหนึ่งชั่วยามแล้วกันแล้วค่อยเอาขึ้น”

    หึ เสียหน้าดีไหมละ ตอบสิครับ!

    “ไม่ได้นะเพคะ”นางกำนันนางแย้ง

    “ทำไมละ ข้าสั่งไม่ได้เหรอหรือแม้กระทั้งนางกำนันตัวเล็กๆอย่างเจ้าข้าก็ไม่มีสิทธิสั่งเลยอย่างงั้นเหรอ”ผมถามนิ่งๆ พร้อมกับจ้องนางกำนันคนที่กล้าขัดคำพูดผม

    ผมเข้าใจถึงความน้อยใจในวาสนาของป๋านเซียนอีกคนดี เศร้าเสียใจทรมานขนาดไหนที่ต้องอยู่อย่างไร้ตัวตนพร้อมมลทินติดตัวที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนทำ

    “โปรดเมตตาด้วยเพคะ คืนนี้พระสนมถูกเลือกป้ายเกรงว่า...”เจ้าตัวยังพูดไม่ทันจบ แต่ผมยกมือขึ้นก่อน

    “เอาตัวออกไปโบยสัก 50 ไม้ละกัน ส่วนเหวยกุ้ยเฟยอีกหนึ่งชั่วยามก็จากไปได้ โดนเลือกป้ายใยจะไม่มีแรงทำการอันใด เพราะสนมวังหลังต่างแย่งความชอบและเศษความรักกันอยู่ร่ำไปอยู่แล้วนิ คล้ายว่าจะสบโอกาสออดอ้อนได้เสียด้วยซ้ำไป จริงหรือไม่ละหรือเจ้าจะไม่ฟ้องฮ่องเต้ว่าข้าสั่งลงโทษเจ้า”ผมพูดเบาๆ แต่คงจะได้ยินกันหมด เพราะพวกทหารพากันยืนแข็งค้างเลยครับ คงไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดออกมาแบบนี้

    “ฮองเฮา”ฉิงจูเรียกผมเสียงสั่นเลยครับ

    “เจ้ากลัวอันใด ข้ามันคนเคยเกือบจะได้นั่งเรือร่องแม่น้ำคนตายมาแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ข้าสะเทือนใจหรอก”ผมพูดอย่างไม่ยี่ระใดๆ ค่อยๆก้าวมาหยุดที่ชายชุดเต็มยศของเหวยกุ้ยเฟย

    มุมปากผมยกขึ้นทันทีอย่างร้ายกาจ ก่อนที่รองเท้าเก่าๆของผมจะเหยียบลงไปบนชุดสวยของคนที่ก้มหัวอยู่กับพื้น ท่ามกลางความตกตะลึงของนาวกำนันขันทีแล้วก็พวกทหาร

    “เหม่ยกุ้ยเฟยเอ่ย เจ้าหาเรื่องคนใกล้ตายอย่างข้าหาได้อะไรไม่ เพราะข้าสิ้นไร้อาวรณ์โลกนี้แล้ว จากนี้ข้าจะทำอะไรพวกเจ้าทุกคนอย่าหวังที่จะคาดเดาได้ หึหึ ฮ่าๆๆๆๆ สะใจข้านัก”ผมหัวเราะอย่างผยองราวกับฟ่ายปิงๆในบูเซ็คเทียนก่อนจะใช้ชุดสวยนี้เช็ดพื้นรองเท้าแล้วเดินออกมาจากตำหนักเย็น

     

     

    ...............................

     

     

    “ไม่สมกับเป็นเจ้าเท่าไหร่นะซื่อชุนเจ้าดูรีบร้อน”

    จงเหรินที่ยืนอยู่หน้าม่านมุขของโต๊ะทำงานทรงอักษรขนาดใหญ่หรูหรา แต่กลับเต็มไปด้วยฎีกาเอ่ยถามสหายตนอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจถึงความรีบร้อน

    “เจ้าต้องไม่เชื่อเรื่องที่ข้าจะเล่าให้ฟังอย่างแน่นอนจงเหริน แล้วฮ่องเต้ไปไหนละ”พูดกับสหายตนเสร็จก็ถามหาสหายร่วมเรียนอีกคน

    “เจ้าถามหาข้าทำไม”

    เสียงเข้มทรงอำนาจมาพร้อมกับร่างสูงในชุดทรงสีทองปักลายมังกรเหยียบเมฆา ใบหน้าหล่อเหลานิ่งเฉยราวกับรูปสลักจากมือเทพ ตาคมปรายมองสหายสนิททั้งสองนิ่งๆ คิ้วดาบพาดเฉียงเล็กน้อยบนหน้าผากกว้าง กลุ่มผมสีเข้มถูกเกล้ารัดอย่างดีครอบด้วยพระมาลาหยกลายมังกรสมพระเกียรติ

    “เจ้าทั้งสองคนต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าข้าไปเห้นอะไรมา”ซื่อชุนพูด

    “อย่ามัวอมไว้ จะเล่าก็เล่าออกมา งานยังมีอีกมาก”จงเหรินที่เห็นว่าสหายตนที่ดูท่าจะเล่ายาก จึงส่งเสียงเร่ง

    “ฮองเฮาป๋ายเซียนสั่งลงโทษเหวยกุ้ยเฟ่ย สนมคนโปรดอย่างไรเล่า”

    “ข้าไม่เชื่อ”แทบจะทันทีที่ซื่อชุนพูดจบ จงเหรินก็ค้านเสียงแข็ง

    ฮองเฮาป๋ายเซียนที่แทบไม่มีปากมีเสียง ซ้ำยังโดนขังลืมที่ตำหนักเย็นแทบไม่ออกมาสักก้าวจะขวัญกล้าขนาดนั้นเชียว เขาไม่มีทางเชื่อเจ้าสหายขี้โม้แน่นอน ผิดกับอีกคนที่ขมวดคิ้ว หวนคิดถึงคนที่ได้ชื่อว่าเป็นฮองเฮาแต่แสนจะหัวอ่อนคนนั้น ฮ่องเต้หนุ่มก็อดค้านในใจไม่ได้เหมือนกัน เห็นแก่ที่ชาติกำเนิดสูงส่งเขาจึงยังเก็บเอาไว้ ด้วยไม่มีคุณสมบัติที่จะยืนเคียงเขาได้ จึงต้องเก็บตัวเอาไว้ที่ตำหนักเย็น ครั่นจะฆ่าทิ้งก็ยังเห็นแก่หน้าฮ่องเต้ชราที่มีศักดิ์เป็นปู่อยู่

    ได้ข่าวว่าโดนวางยาพิษ กลับรอดมาได้ดวงแข็งใช่ได้จริงๆ

    “เจ้าไม่เชื่อใช่ไหม เดี๋ยวข้าจะให้กงกงจางไปถามกับพวกนางกำนันคนสนิทของตำหนักนั้นก็ได้ คร้านจะชะเงื้อคอรอฟ้องเต็มทีแล้วมั้ง”ซื่อชุนพูดก่อนจะเดินออกจากห้องทรงอักษรไป

    “เจ้ามองหน้าข้าเหมือนมีคำถาม”ชานเลี่ยสะบัดชายชุดก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ทองเพื่อเตรียมอ่านฎีกาส่งเสียงถามสหายตนเบาๆ

    “เจ้าเชื่อสิ่งที่ซื่อชุนพูดไหม”

    “ข้ารู้พร้อมเจ้า จะให้ข้าพิสูจน์อะไร”

    ตาคู่คมกวาดสายตาอ่านเนื้อความในฎีกา พร้อมกับมือแกร่งสะบัดพู่กันจนกลายเป็นอักษรสวยงามแข็งแกร่ง ก่อนที่มืออีกข้างจะหยิบหยิกที่แกะสลักลายมังกรสวยงามวางลงยังแท่นหมึกแล้วกดลงบนฎีกา

    “ถ้าฮองเฮาเปลี่ยนไปจริงๆเจ้าจะว่ายังไง”ส่งสายตาสงสัยไปยังร่างสูงของสหายที่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านฎีกานิ่งๆ

    “มันอยู่ที่ฮองเฮาไม่ใช่ข้า”

    ที่นี้คือจักรวรรดิลี่หงเฉียง หนึ่งในแผ่นดินที่ใหญ่ที่สุดติดกับจักรวรรดิใหญ่อีกสองจักรวรรดิ ภูมิภาคเป็นป่าเขาสลับกับที่ราบ รุ่งเรื่องด้วยเงินทองและทรัพยากรด้วยพระปรีชาสามารถของฮ่องเต้ราชวงเผียวที่ปกครองมาอย่างช้านาน การสืบสันติวงนั้นนอกจากหญิงสาวมากหน้าหลายตาพร้อมด้วยชาติกำเนิดและมารยาทไซร้ ยังมีชายงามร่างบางที่สามารถตั้งครรภ์ได้ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งบุคคลเหล่านี้จักรวรรดิเรียกว่า ฮัวซิ่วเฟิน(โอเมก้า) สวยราวกับปีศาจจำแลงกายมา และทุกๆเดือนจะส่งกลิ่นหอมราวกับล่อลวงให้หลงใหล แต่มีการกำเนิดน้อยเหลือแสนจึงเป็นที่รักมาก มีทั้งสตรีและบุรุษ ประชาชนทั่วไปจักรวรรดิจะเรียกว่าหนิงผิง(เบต้า) ไม่โดนเด่นไม่เก่งกาจอันใดมากมายนัก ส่วนพวกสุดท้ายคือไท่เวย(อัลฟ่า)จะเกิดกับคนชั้นสูง ข้าราชบริพาร บัณฑิตต่างๆ ในชนชั้นครอบครัวหนิงผิงถ้าเกิดสักคนนั้นนับว่ากอบกูตระกูลยิ่งนัก นอกจากการแบ่งชายหญิงแล้วไซร้ ยังไม่สำคัณเท่าการแบ่งสามเหล่านี้

    เหตุการณ์สะเทือนขวัญที่พระสนมคนโปรดโดนฮองเฮาไร้อำนาจสั่งลงโทษ ถูกเล่าลือไปทั่ววังหลังสร้างความอับอายให้แก่ตำหนักเหวยกุ้ยเฟยไม่น้อย พอได้เห็นกงกงจาง กงกงคนสนิทข้างกายฮ่องเต้ก็รีบเล่าเรื่องทันทีอย่างไม่รีรอหมายใจว่าฮองเฮาไร้อำนาจนั้นจะต้องโดนโทษประทานแพรขาวแน่นอน

     

     

    .................................

     

     

    ยามจื่อ(23.00 - 24.59 น.)

    ฮ่องเต้หนุ่มในชุดทรงเต็มยศหลังจากเสร็จสิ้นกิจทั้งหมด แทนที่จะก้าวขึ้นเกี้ยวแปดคนหามกลับตำหนัก แต่กลับเลือกที่จะเดินมาหยุดที่อุทยานหลวง มองตรงไปจะเห็นเก๋งแดงใต้ต้นหลิวริมสระบัวที่ตอนเช้ามักจะมีเหล่าสนมมานั่งจิบชาคุยกัน แต่ตอนนี้กลับมีร่างบางในชุดสีขาว ผมสีเข้มปล่อยสะยายอย่างไม่ระวังตัว ซึ่งฮ่องเต้หนุ่มจำได้ดีว่าร่างบางตรงหน้าเป็นใคร

    ความไม่พอใจตีขึ้นมาจนแน่นอกไปหมด ในใจมีแต่คำถามว่าคนตรงหน้ากล้าดียังไงถึงมาสะยายผมในสถานที่เยี่ยงนี้ แล้วมีใครมาเห็นหรือไม่นอกจากตน

    เท้าแกร่งถูกหุ้มด้วยรองเท้าปักไหมนุ่มชั้นเลิศ ก้าวอย่างรวดเร็วตรงไปยังร่างบางที่ยืนเหม่อมองจันทราในสระบัวเงียบๆคนเดียวด้วยความเร็วและเงียบที่สุด เพราะฮ่องเต้หนุ่มไม่ต้องการจะให้อีกคนรู้ตัว

    “เฮ่อ วันนี้มันเหนื่อยจริงๆ การแกล้งเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองมันเหนื่อยขนาดนี้เลยเหรอวะ แล้วทำไมพวกนางเอกที่ทะลุมิติมาไม่เห็นบ่นเลยวะ”

    วันนี้มันเหนื่อยจริงๆครับ พอก้าวออกมาจากตำหนักเย็น ก็หิวไงเลยเดินไปยังห้องครัวตามทางที่ฉิงจูบอก ก็ต้องไปสู้กับพวกแม่ครัวอีก กว่าจะได้กินข้าวกูนี้แทบลมจับเลยครับ แล้วผมยาวๆนี้ก็กะจะตัดแล้วด้วย คว้ากรรไกอย่างดีเตรียมแงบแล้ว ฉิงจูมาเห็นก็ถลาเข้ามากอดขาร้องไห้ พูดๆแบบกูฟังไม่รู้เรื่องเลยครับ รู้อย่างเดียวว่าห้ามตัดเด็ดขาด สุดท้ายเถียงกันอยู่นานเพราะผมไม่อยากมัดผม แต่ฉิงจูไม่ยอมสุดท้ายเลยต้องยอมให้มัด แล้วมาแกะออกเองนี้แหละ

    “ใครให้เจ้าออกมายังตำหนักเย็นกัน”

    กูนี้สะดุ้งเลยครับ รีบหันไปตามเสียงพูดทันที

    ผมสบตากับคนมาใหม่เล่นเอาขนลุกเลยครับ หนาวยิ่งกว่าลมตอนกลางคืนซะอีก ตาคมกริบราวกับมีดมองผมหัวจรดเท้า ถึงไม่มีไฟฟ้าแต่ความสว่างของดวงจันทร์ทำให้ผมมองเห็นคนตรงหน้าได้อย่างชัดเจน เครื่องหน้าหล่อเหลาคมชัด โดยเฉพาะคิ้วดาบนั้นรับกับตาคมสุดๆ ผมสีเข้มถูกครอบด้วยมาลาม่านมุขเก้าเส้น!

    เดี๋ยวนะใส่มาลามุข ทั้งวังก็มีคนเดียวเปล่าวะ ไหนจะถ้ายืนเต๊ะจุ้ยเอามือไขว้หลังแบบนั้นอีก

    “ฮ่องเต้”กูนี้สำลักออกมาเบาๆเลยครับ

    “ข้าถามใยเจ้าไม่ตอบ”เสียงเข้มหนักกว่าเดิมอีก

    ผมนี้กลืนน้ำลายเลยครับ

    ชานเลี่ยจับจ้องร่างบางตรงหน้านิ่งๆ นานมากแล้วที่ไม่ได้มองคนตรงหน้าอย่างเต็มตาตั้งแต่วันที่เจ้าพิธีอภิเษกสมรสด้วยกัน คนตรงหน้าแทบไม่เปลี่ยนไปเลย อาจจะผอมลงบ้างเพราะอาหารการกินที่ตำหนักเย็นคงไม่ได้ดีเท่าไหร่หนัก ผิวขาวซีดลงเล็กน้อย แต่ดวงหน้ากลมนั้นยังคงหวานซึ้งเต็มไปด้วยความสดใส หรืออาจจะมากกว่าเดิม โดยเฉพาะดวงตากลมที่เคยโศกเศร้ากลับเปลี่ยนเป็นถือดีดื้อรั้นจนเขาแปลกใจ

    “ข้าเห็นว่าดึกแล้วเลยออกมาเดินเล่น อีกอย่างตรงนี้มันก็ไม่ได้ไกลจากตำหนักเย็นสักเท่าไหร่ ข้าไม่คิดว่าจะมีคนมากในยามนี้เสียด้วยซ้ำ”

    ชานเลี่ยเลิกคิ้วแปลกใจกับท่าทีของคนตรงหน้า เท่าที่เขาจำได้ถึงแม้จะนับครั้งในการเจอกันได้ แต่เขายังจำได้ถึงความสั่นกลัวของคนตรงหน้าที่มีต่อเขาได้เป็นอย่างดี แต่ดูตอนนี้สิกลับดูดื้อรั้นราวกับกระต่ายป่านัก

    “เจ้ามีสิทธิต่อคำกับข้าได้รึ คุกเข่า!

    กูนี้สะดุ้งเลยครับ แต่ก็ต้องยอมทำตามไหมละ นั้นฮ่องเต้เลยนะเว้ยแม่ง!

    ร่างบางฟึดฟัดแต่ก็ยอมวาดแขนสองข้างตั้งฉากตามที่ฉิงจูสอนเกือบครึ่งวัน คงเข่าลงแล้วยืดตัวขึ้นหลังตรง ส่วนคนสั่งอย่างฮ่องเต้ชานเลี่ยก็ยกมุมปากขึ้นนิดเดียว ก้าวเดินช้าๆขึ้นมานั่งยังเก๋งแดง มองท่าทางไม่พอใจน้อยๆนั้นอย่างรื่นรม

    ฮองเอาของข้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

    “ใครให้ใจสยายผมต่อหน้าธารกำนัน”

    ผมนี้หันซ้ายหันขวาเลยครับ ไหนธาร ไหนกำนัน ไม่มีเว้ย

    “ข้าไม่ชอบมัด ใจข้าอยากตัดมันทิ้งซะ”

    “ไม่ได้! เจ้าไม่รู้ธรรมเนียบรึ ผมของเจ้ามีไว้ปักปิ่นประทานจากข้า”ร่างสูงพูดออกมาเสียงดังอย่างไม่พอใจ

    หัวใจแกร่งเจ็บแปลบอย่างไม่ทราบสาเหตุเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าจะตัดผมทิ้ง เหมือนลืมว่าถ้าตัดผมทิ้งสำหรับคนมีคู่แล้วถือว่าเป็นการสะบัดวาสนาทุกภพชาติ

    “เหมือนฮ่องเต้จะทรงลืมไปแล้วว่า ข้าเป็นฮองเฮาเพียงแต่ในนามเท่านั้น ไม่มีอำนาจแม้จะสั่งในคนครัวเตรียมอาหารดีๆสักมื้อ นอกจากผักต้มกับเศษน้ำข้าว”คนคุกเข่าพูดประชดประชันอย่างลืมไปว่าคนตรงหน้าสามารถสั่งตัดหัวตนได้ในพริบตาเดียว

    ฮ่องเต้ชานเลี่ยมองฮองเฮาแสนขี้กลัวของตนอย่างพิจารณา ได้ข่าวว่าหยุดหายใจไปช่วงหนึ่งเพราะโดนวางยาพิษ แต่พอตื่นขึ้นมากลับกลายเป็นคนละคน สู้คนมากขึ้น คำพูดคำจาเลี้ยวลดคดเคี้ยวแต่กลับสร้างรอยแผลให้กับคนฟังได้ไม่น้อย

    “กงกงจาง ถ่ายทอดคำสั่งข้าลงไป ต่อจากนี้ฮองเฮาได้รับการอภัยโทษจากข้า สามารถกลับตำหนักคุนหนิงนับแต่บัดนี้ พอใจเจ้ารึยัง”ฮ่องเต้หนุ่มหันมาถามฮองเฮาไร้อำนาจที่คุกเข่าอยู่ต่อหน้าตน ซึ่งตอนนี้ใบหน้าสวยเหวอสุด

    กงกงจางเก็บสีหน้าตกใจไว้ได้อย่างดี สมกับรับใช้ฮ่องเต้หนุ่มมาตั้งแต่ครั้งทรงพระเยาว์วัย ประสานมือขึ้นเหนือหัวเพื่อทำความเคารพก่อนจะรีบไปทำตามสั่งของฮ่องเต้หนุ่มโดยไวที่สุด

    “ขอบพระทัยฮ่องเต้พะยะค่ะ”ร่างลางเปล่งเสียงเบาๆ

    ทำไมแม่งง่ายแบบนี้วะ

    ฮ่องเต้ชานเลี่ยจับอาการฮองเฮาตนอย่างละเอียด ก่อนจะเผยยิ้มออกมา เมื่อเห็นอาการงงๆงวยๆ บ่นพึมพำราวกับกระซิบก็ให้นึกสนุกขึ้นมา

    ไม่รู้อะไรดลให้เจ้ากลับมาเหมือนเดิม แต่ข้าชอบที่เจ้าเป็นแบบนี้มากกว่าก้มหัวให้ใคร เป็นถึงฮองเฮาแห่งข้าปีศาจของสนามรบจะต้องแกร่งกล้า เมื่อไม่มีข้าออกว่าราชกาล เจ้าจะต้องอยู่หลังม่านทำแทนข้าได้!

     

     


    ไรท์เปิดเป็นเรื่องยาวแล้วนะคะ เจอกันได้ที่

    ลำนำรักข้ามกาลเวลา จ้า ^^

     

     




    มาแล้วจ้าาาาาา

    สุขสันวันตรุษจีนจ้าาาา มาในธีมจีน

    เบาๆสบายๆ ไม่มีสาระเหมือนเดิม หวังว่านักอ่านที่น่ารักจะชอบกันะคะ

    เม้น เม้าท์ มอยกันได้เหมือนเดิมจ้า

    เจอกันใหม่ตอนหน้า

    บะบาย ^^

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×