มิอาจแก้ไขได้? (1)
บาทหลวงไพบูลย์ อุดมเดช C.Ss.R.
ผมกำลังทำวิทยานิพนธ์เรื่องการฟอร์มมโนธรรมของคาทอลิกและของพี่น้องชาวพุทธในเมืองไทย
ผมต้องการข้อมูลที่ชัดเจนจากพระไตรปิฏก
จึงได้เข้าไปใช้บริการพระไตรปิฏกออนไลท์จากเวปไซด์ของพุทธศาสนาซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่ง
นอกจากจะแวะเข้าไปเยี่ยมเยียนเว็ปไซด์ต่างๆ ของพุทธศาสนาแล้ว ผมยังพบเว็ปไซด์ที่น่าสนใจคือ
http://e-mag.virtualave.net/ ที่นำเสนอเรื่องการเปรียบเทียบศาสนาต่างๆ
ผมคลิกอ่านการเปรียบเทียบระหว่างศาสนาโรมันคาทอลิกกับโปรแตสแตนท์
เมื่ออ่านจบแล้วก็รู้สึกว่าผมน่าจะเขียนอะไรชี้แจงบ้าง
เนื่องจากว่าข้อมูลที่นำมาเปรียบเทียบระหว่างศาสนาพี่น้องคู่นี้มีความไม่สมบูรณ์และความเข้าใจผิ
ดปะปนอยู่มาก อ่านแล้วรู้สึกเหมือนว่าฝ่ายคาทอลิกเป็นผู้ร้ายและฝ่ายโปรแตสแตนท์เป็นพระเอก
ผมเดาเอาว่าผู้จัดทำคงจะแปลเนื้อหามาจากแหล่งข้อมูลที่เขียนโดยพี่น้องโปรแตสแตนท์ที่ยังไม่เข้า
ใจ
คาทอลิกดีพอ เป็นต้นว่าในด้านข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และมุมมองจากความเป็นจริงของ
ความเป็นมนุษย์ผู้ อ่อนแอ
ที่จริงโดยส่วนตัวผมก็แปลกใจมานานแล้วว่าทำไมพี่น้องโปรแตสแตนท์เข้าใจเราคาทอลิกผิดๆ
และบ่อยครั้งยังฝังใจอยู่ในความผิดพลาดเก่าๆ ในอดีตที่บรรพชนของเราเคยทำ
แน่นอน เรายอมรับว่าคาทอลิกผิดพลาดได้เนื่องจากความอ่อนแอของความเป็นมนุษย์
และสภาพการณ์ของยุคสมัยนั้นๆ
แต่ความผิดพลาดนั้นเองที่ช่วยเป็นครูสอนเราให้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงและไม่ตกลงไปในความผิด
พลาดเก่าๆ
มาถึงจุดนี้ผมคิดว่า สาเหตุของความเข้าใจผิดนั้นจุดใหญ่ๆคือ
ต่างฝ่ายต่างยึดอัตตาของตนเองมากเกินไป
มองจุดบกพร่องของกันและกันและเล่าสืบต่อไปยังลูกหลาน
ราวกับว่ามนุษย์เรานั้นเมื่อผิดแล้วก็จะผิดร่ำไปไม่มีการเปลี่ยนแปลง
สาเหตุต่อมาคือความศรัทธาเกินเหตุ อันพาให้หลงทางไปจากความจริง
และสาเหตุอีกอย่างคือภาษาที่ใช้ ภาษานั้นมีการเปลี่ยนแปลงนัยยะของความหมาย
การเปลี่ยนแปลงความหมายของภาษาในแต่ละยุคสมัยล้วนก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้เสมอ
และเรามักจะใช้ภาษาเก่าๆของเราในการมองผู้อื่น
ความฝังใจในความบกพร่องของผู้อื่นนั้นก็เลยยิ่งฝังลึกในใจเราจนยากที่จะอภัยหรือลืมได้
บทความยาวบทนี้ ผมพยายามจะชี้แจงความเข้าใจผิดของพี่น้องโปรแตสแตนท์ในสิ่งที่คาทอลิกเชื่อ
สอนและปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้
ผมจะไม่วิจารณ์คำสอนของพี่น้องโปรแตสแตนท์เพราะจะผิดพลาดได้และไม่ใช่เป้าหมายของบ
ทความนี้ นอกนั้น ผมขอออกตัว ณ ที่นี้ว่าผมไม่ได้เขียนชี้แจงในฐานะผู้นำของศาสนาคาทอลิก
(แม้ผมจะเป็นพระสงฆ์) อย่างเป็นทางการ
ผมเพียงต้องการชี้จุดที่ผู้อ่านหรือนักศึกษาที่เรียนวิชาศาสนาเปรียบเทียบ
น่าจะนำมาใคร่ครวญว่าความจริงอยู่ที่ใด
และที่สำคัญการเปรียบเทียบใดๆที่มีพื้นฐานอยู่บนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกับความเป็นจริง
นอกจากจะไม่มีคุณค่าทางวิชาการแล้วยังจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ความแตกแยก
การถือเขาถือเรา การเพิ่มพูนอัตตาของตนเอง
และอะไรอื่นอีกมากมายที่ห่างไกลจากคำสอนของพระอาจารย์เจ้าที่แท้จริง
ก่อนอื่นขอกล่าวถึงเหตุการณ์ตามลำดับเวลาและสภาพความเป็นไปของยุโรปในยุคศตวรรษที่
16 ก่อนที่จะมีการปฏิรูปคริสต์ศาสนา เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมๆของยุคนั้นว่าวุ่นวายเพียงใด
และคาทอลิกเองก็พยายามให้มีการปฏิรูปจากภายในแบบค่อยเป็นค่อยไปอยู่ก่อนแล้ว
ก่อนที่ท่านลูเทอร์จะจุดชนวนการเปลี่ยนแปลงขึ้นในเยอรมันนี
ศตวรรษที่ 16 ยุคฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมในยุโรป
1505 ท่านมาร์ติน ลูเทอร์ (1483-1546)เข้าบวชในอารามนักบวชคณะออกัสตินเนียน
1506 พระสันตะปาปายูลีอุสที่ 2 สั่งให้บรามานเต้ทำการปฏิสังขรณ์วิหารเซ็นต์ปีเตอร์ใหม่
1507 ท่านมาร์ติน ลูเทอร์บวชเป็นพระสงฆ์(บาทหลวง)
1510 ท่านอีรัสมุส(1466-1536) กับหนังสือ Institutio Christani Principis
1510 ท่านมาร์ติน ลูเทอร์ไปที่กรุงโรมในฐานะตัวแทนของคณะออกัสติเนียน
1512 ท่านลูเทอร์ ได้รับปริญญาเอกทางเทววิทยาพระคัมภีร์
1512 เริ่มต้นสังคายนา ลาเตรันครั้งที่ 5 เพื่อพยายามปฏิรูปพระศาสนจักรคาทอลิก
1515 เริ่มคณะนักบวช
ออราโตรีเพื่อการปฏิรูปพระศาสนจักรคาทอลิกโดยได้รับแรงบันดาลใจจากเซ็นต์
แคทเธอรีนแห่งเยนัว(มรณะ 1510)
1516 ท่านอีรัสมุส พิมพ์พระธรรมใหม่ภาษากรีก
1517 เซ็นต์อิกญาซีโอแห่งโลโยลาพยายามปฏิรูปคริสต์ศาสนาในด้านชีวิตฝ่ายจิต
1517 กำเนิดโปรแตสแตนท์โดยท่านมาร์ตินลูเทอร์ยื่นข้อเสนอ 95 ข้อให้มีการปฏิรูป
1517 สิ้นสุดสังคายนา ลาเตรันครั้งที่ 5
1518
สภาอ๊อกสเบิร์กและพระคาร์ดินัลคาเจตันเรียกท่านลูเทอร์ให้มาแก้ข้อกล่าวหาและถอนคำประกาศที่
ต่อต้านศาสนาคาทอลิก
1519 ท่านอูริค สวิงลี(1484-1531) เริ่มเทศน์ที่เมืองซูริคและเริ่มการปฏิรูปศาสนาที่เขตแดนสวิสฯ
1520 ท่านมาร์ตินลูเทอร์เผาเอกสาร exsurge Domine ของพระสันตะปาปาเลโอที่ 10
ต่อหน้าชาวเมืองวิตเตนเบิร์ก
1520 ตั้งคณะเป็นฟรังซิสกันกาปูชินเพื่อพยายามปฏิรูปพระศาสนจักรคาทอลิก
1521 คาทอลิกประกาศตัดลูเทอร์ออกจากพระศาสนจักร
1521 สภาไดเอ็ตแห่งเวิมประกาศขับลูเทอร์ออกจากพระศาสนจักร
เจ้าชายเฟดริกซ่อนท่านลูเทอร์ไว้ในปราสาทวัตเบิร์กเพื่อปกป้องท่านลูเทอร์จากศัตรู
ที่นี่เองที่ท่านลูเทอร์เริ่มแปลพระคัมภีร์ใหม่จากภาษากรีกเป็นภาษาเยอรมัน
1523 ท่านอูลิค สวิงลี ประกาศหลักการ 67
ข้อเพื่อปฏิรูปคริสตศาสนาที่สวิตเซอร์แลนด์และต่อต้านธรรมเนียมคาทอลิกหลายประการว่าไม่
มีพื้นฐานบนพระคัมภีร์
1524 เซ็นต์กาเยตัน
พยายามปฏิรูปศาสนาคาทอลิกทั่วยุโรปโดยการตั้งคณะทีอาไตน์ที่สมาชิกปฏิญาณถือ
ความยากจนเพื่อชำระปัญหาความหละหลวมของนักบวชในยุคนั้น
1524 ท่านลูเทอร์เข้าไปเกี่ยวข้องกับกบฏชาวนาในเยอรมันนี ชาวนาถูกฆ่าตายมากมาย
1524 ท่านสวิงลีสั่งยกเลิกและทำลายหนังสือพิธีมิสซา ออร์แกนในโบสถ์ พิธีขับร้องในโบสถ์
เครื่องหมายกางเขน รูปปั้นนักบุญ ฯลฯ ที่เมืองซูริค สวิตเซอร์แลนด์
1525 ท่านลูเทอร์แต่งงานกับแคทเธอรีน ฟอน โบรา อดีตนักพรตหญิง
1526 ท่านลูเทอร์กับพิธีมิสซาภาษาเยอรมัน
1527 ฝรั่งเศสยึดวัดนักบุญมัทธิวและกวาดล้างกลุ่มโปรแตสแตนท์ครั้งใหญ่
1530 เดนมาร์กรับหลักการปฏิรูปและคำสอนของท่านลูเทอร์
1532 ท่านยอห์น คัลวิน(1509-1564)ประกาศปฏิรูปศาสนาในฝรั่งเศสหลังจากนั้นหนีไปเมืองเจนีวา
1532 เซ็นต์โทมัส มอร์ ลาออกจากราชการในสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8
และสองปีต่อมาถึงจำคุกเนื่องจากปฏิเสธที่จะเซ็นชื่อเห็นด้วยกับการหย่าร้าง
ของพระเจ้าเฮนรีกับพระนางแคทเธอรีนและไม่เห็นด้วยกับการปฏิเสธอำนาจการสอน
ความเชื่อและจริยธรรมของพระสันตะปาปา
1534 พระเจ้าเฮนรีที่ 8
ประกาศตัดขาดจากอำนาจของพระสันตะปาปาที่โรมด้วยสาเหตุทางการเมืองและเหตุผล
ที่พระองค์ต้องการหย่ากับพระนางแคทเธอรีนและแต่งงานใหม่กับพระนางแอนโบลีน
1534
เซ็นต์อิกญาซีโอโลโยลาและเพื่อนตั้งคณะเยสุอิตที่มองมาร์ตรฝรั่งเศสเพื่อการปฏิรูปพระศาสนจักร
1534 ท่านลูเทอร์แปลพระคัมภีร์เป็นภาษาเยอรมันสำเร็จและตีพิมพ์เผยแพร่
1536 ท่านยอห์น น็อคส์ รับพิธีบวชเป็นสงฆ์ ต่อมาได้ทำการปฏิรูปศาสนาที่เขตสก๊อตแลนด์
1538 ท่านคัลวินถูกขับออกจากเมืองเจนีวา เขาได้ย้ายไปปักหลักอยู่ที่เมืองสตราสบูร์ก
1540 สำนักวาติกันรับรองคณะเยสุอิตอย่างเป็นทางการ วันที่ 27 กันยายน
1545 เริ่มสังคายนาเมืองเทรนต์ครั้งที่ 1 เพื่อตอบโต้คำกล่าวหาและอิทธิพลของฝ่ายโปรแตสแตนท์
1545 ท่านยอห์น น็อคส์เผยแพร่อิทธิพลและคำสอนของเขากำเนิดนิกายเพรสไบทีเรียน
1546 มรณกรรมของท่านมาร์ตินลูเทอร์ที่เมืองไอซ์สเลเบ็น วันที่ 18 กุมภาพันธ์
1551 เริ่มสังคายนาเทรนต์ครั้งที่ 2
1556 มรณกรรมของเซ็นต์อิกญาซีโอโลโยลาผู้ตั้งคณะเยสุอิต
1559 ท่านยอห์นน็อค
เดินทางกลับสก๊อตแลนด์และเริ่มวางรากฐานคำสอนสายเพรสไบทีเรียนในเขตสก๊อตแลนด์
สองสามปีต่อมาเกิดพิพาทครั้งใหญ่ระหว่างคาทอลิกและโปรแตสแตนท์ในสก็อตแลนด์
1560 เริ่มกระบวนการพูริตันในอังกฤษ
1562 เริ่มสงครามศาสนาระหว่างคาทอลิกและโปรแตสแตนท์ในฝรั่งเศส
1563 สิ้นสุดการประชุมสังคายนาแห่งเมืองเทรนต์ครั้งที่ 3 เพื่อการปฏิรูปพระศาสนจักร
ผมได้ให้ภาพรวมๆของยุโรปข้างต้น
ซึ่งคงพอจะทำให้ผู้อ่านนึกภาพออกว่ายุโรปในยุคนั้นวุ่นวายเพียงใด
เสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปทั้งทางสังคม ศาสนาและการเมืองเป็นสิ่งที่มีทั่วไปในยุคนั้น
ศาสนาคาทอลิกมิได้นิ่งนอนใจ เพียงแต่เห็นว่าการปฏิรูปนั้นต้องมีความรอบคอบ
ปฏิรูปแล้วไม่ได้มีอะไรดีขึ้น มีแต่ความวุ่นวาย ความเสียหาย
การปฏิรูปก็ไม่ผิดอะไรกับการก่อหวอดเพื่อผลประโยชน์ของอัตตา
ฝ่ายคาทอลิกได้พยายามมีการปฏิรูปโดยเริ่มจากเรื่องของจิตใจและเรื่องชีวิตฝ่ายจิตก่อน
ดังจะเห็นได้จากความพยายามตั้งคณะนักบวชต่างๆขึ้นมาทั้งชายและหญิงเพื่อให้เป็นแบบอย่างใน
ชีวิตศีลธรรมและชีวิตทางความศรัทธา
การพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เคยทำกันมาจนเคยชินแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อาจต้องแลกด้วยชีวิต
เป็นต้นเมื่อต้องเผชิญกับการท้าทายอำนาจทางการเมืองทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ผู้ที่ต้องการเข้าใจประวัติศาสตร์ในยุคศตวรรษที่ 16
ที่แท้จริงนั้นจำต้องมองยุโรปในทุกด้านไม่ใช่จากด้านศาสนาและความศรัทธาอย่าง
เดียว ศาสนาคาทอลิกในยุคนั้นไม่ใช่ศาสนาโดดแต่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองและ
สังคม ผลประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม
พระสันตะปาปาเป็นทั้งผู้นำศาสนาและผู้นำอาณาจักรโรมันอันกว้างใหญ่ไพศาล
การปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงอะไรจึงไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆแม้พระองค์อยาก
จะทำก็ตาม การที่ท่านลูเทอร์ทำการปฏิรูปในหลายๆแง่มุมก็เป็นสิ่งที่เตือนใจให้ผู้นำทาง
ศาสนาคาทอลิกเห็นแสงสว่างเช่นกัน
สังคายนาเมืองเทรนต์คือเครื่องหมายของการปฏิรูปในศาสนาคาทอลิกที่เห็นได้ ชัดเจน
มีการตั้งระเบียบวินัย ชำระพระคัมภีร์ ตั้งสถาบันอบรมพระสงฆ์นักบวช ธรรมทูตขึ้นมา
และค่อยๆจัดการกับพระสงฆ์นักบวชที่ไม่อยู่กับร่องกับรอยให้ออกไปจากระบบ
จัดระเบียบบริหารพระศาสนจักรใหม่
พยายามลดบทบาทและอิทธิพลของการเมืองรัฐต่างๆที่เข้ามาแทรกแซงการบริหารพระ
ศาสนจักรออกไปเพื่อว่าพระสันตะปาปาจะได้มีสิทธิ์และอำนาจเต็มที่ในการบริหาร
พระศาสนจักรอย่างที่ควรจะเป็น
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องการเคารพพระธาตุนักบุญ
เรามาดูกันดีกว่าว่าคริสตชนยุคเริ่มแรก และโดยเฉพาะผู้รวบรวมสาระบบพระคัมภีร์
มองเรื่องนี้อย่างไร
ค.ศ. 384 นักบุญ เยโรม รวบรวมคัมภีร์ทั้งหมดที่ยอมรับกัน แปลเป็นภาษาละตินอย่างเป็นทางการ
และเรียกส่วนที่เป็นสาระบบรอง ว่า อธิกธรรม(Aprocypha)
และพระคัมภีร์ไบเบิ้ลในการแปลครั้งนี้เป็นฉบับมาตรฐานของพระศาสนจักรคาทอลิคจนปัจจุบันและ
ใช้แปลเป็นภาษาต่างๆอย่างแพร่หลายในสมัยนั้น
นักบุญเยโรม ปิตาจารย์ของพระศาสนจักร
ผู้จัดสาระบบพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่คริสตชนทุกนิกายใช้กันอยู่ทุกวันนี้
กล่าวได้ว่าคัมภีร์เล่มไหนจริงไม่จริงท่านเป็นคนคัด และจัดเป็นไบเบิ้ลที่ใช้กันมาจนปัจจุบัน
ท่านได้ตอบคำถามเรื่องการให้ความเคารพนักบุญ และพระธาตุนักบุญไว้ด้วย
(ถ้าคำตอบท่านไม่น่าเชื่อถือ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่คริสตชนทุกนิกายใช้คงไม่น่าเชื่อถือเหมือนกัน)
"เราไม่ได้นมัสการพระธาตุ หรือนมัสการนักบุญ
แต่เราให้เกียรติพวกท่านในการนมัสการพระองค์ผู้ซึ่งเหล่านักบุญได้ยึดเป็นแบบอย่าง
เราให้เกียรติผู้รับใช้พระเจ้า เพื่อสะท้อนความเคารพนั้นไปยังองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง"
ท่านยังกล่าวอีกว่า
"การให้เกียรติพวกท่าน(นักบุญ) ไม่ใช่การนมัสการรูปเคารพ
เพราะไม่เคยมีคริสตชนคนไหนเห็นนักบุญเป็นพระเจ้า ในทางกลับกัน เราขอให้ท่านเหล่านั้น
วิงวอนพระเจ้าเพื่อเรา เพราะว่า หากเมื่อเหล่านักบุญอัครสาวก และบรรดามรณสักขี
ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ท่านยังสามารถอธิษฐานภาวนาเพื่อมนุษย์คนอื่นได้
ภายหลังจากที่ท่านชนะโลกนี้แล้วพวกท่านจะมีพลังอธิษฐานมากกว่าสักเพียงไร
พวกท่านเหล่านั้นจะมีพลังอธิษฐานน้อยลงหรือในเมื่อขณะนี้พวกท่านกำลังอยู่กับพระเยซูคริสตเจ้า?
"
ดังนั้นหากการขอให้บรรดานักบุญและแม่พระช่วยวิงวอน นั้น ผิด
และต้องทำให้คาทอลิคตกนรกเพราะการนี้ ตามที่คริสตจักรสายสุดโต่งบางแห่งสอน
จงบอกให้สมาชิกคริสตจักรนั้นเลิกอ่านพระคัมภีร์และเลิกอ้างพระคัมภีร์ไบเบิ้ลซะ
เพราะคนจัดสาระบบพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่อยู่ในมือพวกเขา
ที่พวกเขาอ่านและอ้างมาด่าคาทอลิคเสมอนั้น ตอนนี้คงอยู่ในนรก
เพราะท่านเห็นดีเห็นงามและยังสอนให้เราเสนอวิงวอนผ่านนักบุญ และให้ความเคารพนักบุญด้วย
และการอ่านหนังสือที่คนฝ่ายนรกเลือกให้คงจะพาท่านตกนรกตามเขากันหมด ไม่กลัวเหรอ
ส่วนเราที่เป็นคาทอลิคนั้นนั้น เชื่อว่าท่านอยู่ในสวรรค์
และคงกำลังอธิษฐานให้คนที่อ่านไบเบิ้ลเล่มที่ท่านจัดสาระบบโดยองค์พระจิตเจ้าดลใจนี้
ได้เข้าใจและตีความไบเบิ้ลอย่างถูกต้องกันทุกคน
จะได้เลิกยกไบเบิ้ลที่ท่านอุตส่าห์คัดและรวบรวมมาทะเลาะกันเองซะที
เอกสารประกอบการเขียน
Collins, Michael. The Story of Christianity. London: A Dorling Kindersley Book, 1996.
Depuis, Jacques, ed. The Christian Faith. New York: Alba.House, 1996.
Haffner, Paul. The Sacramental Mystery. Trowbridge,Wiltshire: Cromwell Press, 1999.
McBrien, Richard. Ed. Encyclopedia of Catholicism. San Francisco: HarperSanfransisco,
1995
McBrien, Richard. Catholicism. London: Geoferey Chapman, 1994.
http://www.issara.com/article/prot1.html
ความคิดเห็น