ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #18 : บทที่ 16 : เป็นผู้นำ ต้องยิ้มเก่ง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 465
      7
      9 ธ.ค. 56

     

     

                                                           

                                                          

                                                                                                               



    รู้หรือเปล่า? บางครั้งสมองของคุณก็เป็นนักเขียนนิยายสยองขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

     


              ผมคิดว่าคงจะมีคนไม่น้อยที่ไม่ค่อยถูกกับความมืด ผมเองก็เป็น ผมกลัวความมืด ย้อนไปสมัยซักเจ็ดขวบ ผมไม่เคยนอนหลับได้อย่างสบายใจเลย ผมทรมานกับโรคนอนไม่หลับและบ่อยครั้งที่มักจะตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในความมืดอย่างหวาดผวา ในตอนแรกแม่ผมคิดว่ามันเป็นปัญหาทั่วไปสำหรับเด็กที่เพิ่งจะแยกห้องนอนกับพ่อแม่

     
     

              อันที่จริงผมจำตัวเองตอนเจ็ดขวบไม่ได้หรอก แต่ไม่รู้ทำไม ถึงมีอยู่แค่ความทรงจำเดียวที่เด่นชัด ทุกๆ คืนผมจะตื่นขึ้นในห้องมืดๆ เงียบๆ และไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร แต่จู่ๆผมกลับมีความกลัวอันแปลกประหลาดกับผู้หญิงที่ชื่อ โพ ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แน่นอนผมไม่เคยพบเธอมาก่อน ไม่เคยมีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้เลยด้วยซ้ำ รู้แต่ว่าจู่ๆ ผมก็เริ่มเกิดความกลัวเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ขึ้น ราวกับความคิดนี้ผุดมาจากความว่างเปล่าจู่ๆ ผมก็กลัวผู้หญิงที่ชื่อ โพ’… พ่อบอกว่าผมคงสร้างเพื่อนในจินตนาการแบบที่เด็กๆ คนอื่นเขาทำกัน แต่ผมแน่ใจว่าผมไม่สร้างเพื่อนในจินตนาการให้ตัวเองผวาๆ เล่นๆ ทุกคืน  (เว้นแต่ผมจะเป็นพวกซาดิสม์แต่เด็กๆ)

     
     

              กระทั้งคืนหนึ่ง ที่ผมตื่นขึ้นมากลางดึกเวลาเดิม ความคิดใหม่ก็ปรากฎขึ้นมาจากที่ไหนสักแห่ง

     




    โพ อยู่ในตู้เสื้อผ้า

     


              ความคิดนี้ก้องอยู่ในหัว และเล่นซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่เก่าคร่ำครึ นั่นจึงทำให้ทุกคืนที่ผมตื่นขึ้น ผมจะต้องคลานไปหาแท่งอะไรสักอย่างยาวๆ  มาขัดที่ด้ามจับตู้เสื้อผ้าทุกครั้ง สำหรับแม่ มันเป็นการเล่นซนโง่ๆ ของเด็กๆ แต่สำหรับผม มันคือป้อมปราการที่ป้องกันผมไว้ทุกคืน บางอย่างบอกผมว่า อย่าให้ โพ ออกมา ผมสู้กับความมืดในแต่ละค่ำคืนอย่างทรมาน จนกระทั้งนานๆ เข้า เรื่องราวของผู้หญิงที่ชื่อ โพ ก็หายไปอย่างเลือนลาง ผมสามารถนอนหลับในห้องมืดได้อย่างสบายใจอีกครั้ง ผมแทบจะใช้ตู้เสื้อผ้านั่นเป็นที่เก็บสะสมม้วนหนังสยองขวัญด้วยซ้ำในเวลาต่อมา พอมาคิดอีกที จินตนาการพวกนั้นเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี

     
     

              อย่างที่ผมบอก   บางครั้งสมองของคุณก็เป็นนักเขียนนิยายสยองขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เหมือนที่บางครั้งคุณบอกว่าคุณกำลังกลัวความมืดเปล่าเลย ความมืดทำร้ายคุณไม่ได้ คุณไม่มีเหตุผลที่ต้องกลัวความมืด แต่คุณกลัว สิ่งที่อยู่ในความมืด ต่างหาก คุณกลัวว่าในความมืด จะมีตัวอะไรสักอย่างออกมาทำร้ายเรา สมองของเราจะจินตนาการภาพของสิ่งชั่วร้ายบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด เพียงเพื่อหลอกให้คุณตัวสั่นอยู่ในความมืดคนเดียว

     
     

              ดังนั้นจำไว้ หากคุณบอกว่าคุณกลัวความสูง ที่จริงแล้วคุณกำลังกลัวตอนที่สมองของคุณแตกกระจายเมื่อตกลงไป หากคุณบอกว่าคุณกลัวน้ำลึก คุณกำลังกลัวตอนที่คุณกำลังจมอยู่ในก้นบึ้งของน้ำที่ไม่อาจตะกายขึ้นมาได้ต่างหากและหากคุณบอกว่าคุณกลัวว่ามืดที่จริงแล้วคุณไม่ได้กลัวความมืด คุณกลัวสิ่งที่อยู่ในความมืด คุณกลัวจินตนาการของตัวเอง คุณกำลังกลัว โพ  

     


     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - -- - 


     

              “ยินดียินดียินดีต้อนรับทุกท่าน เข้าเป็นสักขีพยาน สู่พิธีกรรมอันมีเกียรติสูงส่งที่สุดในชีวิต” ครูใหญ่กล่าว กางแขนสองข้างออก ใบหน้าเหม่อมองขึ้นสู่เพดานมืดๆ แต่นัยน์ตากลับเหม่อมองบางอย่างที่ล้ำลึกกว่านั้น เขาสูดลมเข้าทางปากแล้วหายใจออกฟืดฟาดอย่างปรีดา “แด่ความสุขที่อบอวลและฉายแสงเจิดจ้า แด่รอยยิ้มที่ทอประดายดั่งพระอาทิตย์ ไอแห่งความร้อนจะแพร่กระจายไปทั่วทุกอณูจากสี่เหลือเพียงหนึ่ง ผู้ที่จะนำเราไปสู่สรวงสวรรค์ ปลดปล่อยเราออกจากความทุกข์ทั้งมวล!

     
     

               ผมที่กองอยู่ตรงแท่นพิธีกลางห้องค่อยๆ รู้สึกถึงความชาที่หายไป ร่างกายเริ่มขยับได้ทีละนิดจนเกือบปกติ แต่ในขณะเดียวกันความเจ็บปวดจากแผลต่างๆ ก็เริ่มประทุออกมาทีละน้อย ผมภาวนาให้ตัวเองคงสภาพแบบนี้ไว้ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ไม่ชาเกินไป และไม่เจ็บเกินไป ผมรู้ว่าอะไรบางอย่างกำลังจะเริ่มขึ้น สัญชาติญาณของการดูหนังสยองขวัญบอกว่านี้กำลังถึงจุดจบของเรื่อง แต่มันก็บอกเช่นกันว่านี่ไม่ใช่ตอนจบที่ดี แต่เป็นตอนจบประเภท พระเอกตาย ผู้ร้ายหนีไปได้ นางเอกติดคุก ทำนองนั้น

     
     

              ไม่นานเหล่าร้อยยิ้มก็สวมหน้ากากหนังกลับเหมือนเดิม ในห้องจึงเต็มไปด้วยฝูงปลาฉลามใส่หน้ากากที่จ้องมองเหยื่อบนเรือลำเล็กที่กำลังจะจม พวกมันกระจายตัวไปรอบๆ เวทีที่ถูกยกสูง ล้อมรอบเป็นวงกลม ยืนนิ่งและรอคอย เหมือนจะรอให้บรรยากาศเป็นใจ เหมือนกับพวกเขาเป็นผู้กำกับหนังสยองขวัญที่รู้ว่าฆาตกรจะต้องโผล่มาตอนไหน และฉากไหนที่ฆาตกรจะฆ่าพระเอกได้อย่างสะใจที่สุด เหล่ารอยยิ้มไม่ปล่อยให้ผมรอนาน พวกนั้นเริ่มส่งเสียง ฮืมมม ในลำคอ คล้ายเสียงคำรามอย่างสุภาพ หากเป็นเพียงเสียงเดียว คงเป็นเสียงฮัมเพลงที่ไร้อารมณ์ แต่เมื่อคนสี่สิบกว่าคนพร้อมใจกันส่งเสียง มันจึงแปรเปลี่ยนเป็นทำนองของกลองที่สั่นรัว ถี่ และเพิ่มจังหวะความเร็วมากขึ้นเรื่อย มากขึ้นจนร่างของผมสั่นเทาอย่างน่าขนลุก


              “พิธีคัดเลือกผู้นำตระกูลฟิตซ์ ได้เริ่มขึ้นแล้ว…!!!” ครูใหญ่ประกาศ จากนั้นทั้งห้องก็เงียบเสียงแบบรวดเร็วคล้ายฟ้าฝ่า ใครบางคนปิดเครื่องฉายภาพบนผนัง รวมทั้งคบเพลิงรอบห้องค่อยๆถูกดับลงทีละดวง จนกระทั้งแสงสว่างเดียวที่เจิดจ้าอยู่ในตอนนี้ คือแสงจากไฟเพียงดวงเดียวที่ห้อยอยู่เหนือเวที นั่นทำให้แท่นกลมๆ ที่ผมกองอยู่นี้ดูเด่นขึ้นทันตา ราวกับดวงอาทิตย์ที่เผอิญไปอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าตอนกลางคืน


     

              “ขอให้ตัวแทนที่ถูกเลือกจากแต่ละตระกูล ก้าวออกมายืนประจำตำแหน่งบนแท่นพิธี” ครูใหญ่กล่าว ผายมือเข้ามาทางผม จากนั้นก็เริ่มมีคนแหวกฝูงกลุ่มชนต่างแต่ละทิศทางเพื่อออกมายังเวทีทรงกลมข้างหน้า เหล่าผู้ถูกเลือกที่เหลืออีกสามคนต่างยิ้มแย้มอย่างมีเลศนัย พวกเขาไม่ใช่ใคร เหล่าญาติแสนดีประจำโรงเรียนของผมนั่นเอง เนธานก้าวขึ้นด้วยท่าทางเหมือนมีแผนบางอย่างในใจ คริสเตียนกระทืบเท้าขณะข้าวขึ้นบันไดอย่างฮึกเหิม ส่วนอเล็กซ์แทบจะเหมือนเทวดาที่ลอยขึ้นมายืนบนเวทีอย่างสง่างาม ในขณะที่ผมซึ่งกองไม่เป็นท่าเหมือนขยะดูจะแตกต่างจากพวก

     
     

              ทั้งสามคนยืนประจันหน้าเข้าหากันจากแต่ละทิศ รวมผมเข้าไปก็ยืนครบเป็นสี่ทิศพอดี เนธานยืนอยู่ตรงข้ามกับผม มองมาด้วยสายตาเหมือนหยั่งรู้ ส่วนคริสเตียนอยู่เยื้องไปทางด้านซ้าย ทำท่าฮึ่มๆ ใส่อเล็กซ์ที่ยืนเยื้องไปทางขวา ณ  แท่นเวทีทรงกลมที่กว้างพอๆ กับเวทีมวย บรรยากาศแปลกประหลาดได้ก่อตัวขึ้นในหมู่พวกเราสี่คน บรยากาศที่ไม่เป็นมิตร อาจจะพูดว่าเป็นบรรยากาศแห่งความอาฆาตเลยก็ได้ ด้วยความรู้สึกบางอย่าง ผมคิดว่าตัวเองต้องลุกขึ้นยืนเช่นกัน ผมไม่รู้ว่าไอ้การเลือกผู้นำนี่มันเป็นยังไงกันแน่ พวกเขาจะเลือกอย่างไร หรือเขาจะทำอะไรกับผม…  แล้วถ้าไม่ถูกเลือกล่ะ? ตายเหรอก็คงตายแน่ๆ แต่ก่อนตายล่ะ ดูยังไงเหล่ารอยยิ้มก็ไม่น่าจะใช่พวกที่ฆ่าคนอย่างปราณี พวกเขาจะทรมานผมไหม?

     
     

    “เยี่ยม!...” ครูใหญ่ว่า “ตัวแทนทุกคนประจำที่เรียบร้อยแล้ว!”  


     

    “ดูนายจะเตรียมพร้อมมากเลยนี่ อเล็กซ์” เนธานถามหยั่งเชิง อเล็กซ์ยิ้มปลอมๆ ตอบแล้วพูดกลับไป


              “นายเองก็คงจะเตรียมพร้อมมากเลยล่ะสิ กับไอ้พวก
    หนังสือประวัติศาสตร์ฝาเปิดน้ำอัดลม น่าจะช่วยให้นายเตรียมพร้อม ที่-จะ-แพ้ ได้มากเลยล่ะมั้ง รู้มั้ย ฉันได้ยินมาว่าพวกที่อ่านหนังสือมากๆ น่ะ บางครั้งสมองก็เลอะเลือนจนแยกไม่ออกระหว่างตัวเองกับแมลงวัน เพียงเพราะแมลงวันมีรสนิยมชอบของสกปรกๆ เหมือนกัน”



              “ช่าย..” คริสเตียนแทรก แต่บางครั้งแมลงวันก็ชอบตอมหน้าคนเหมือนกันน่ะ โดยเฉพาะพวกที่ชอบเอาไอ้เครื่องสำอางมาโปะหน้าซะจนผิวหน้าเน่า”

     

              “หา อารายนะ?….” อเล็กซ์ลากเสียงยาว เอามือป้องหูเหมือนไม่ได้ยินเป็นการล้อเลียน “เหมือนฉันได้ยินเสียงก้อนโปรตีนเละๆ กำลังบ่นงึมงำจากที่ไหนสักแห่งนี่แหละ หึๆ


              ผมยืนฟังพวกเขากัดกันพร้อมรอยยิ้มจอมปลอมที่เป็นสัญลักษณ์ เหมือนจะเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมรู้สึกขอบคุณกับการที่ไม่อยู่ในสายตาใครเลย ก็ดูสิพวกเขาสร้างความกดดันมากซะจนผมมองเห็นหมอกสีดำทะมึนลางๆ เลยด้วยซ้ำ อย่างกับว่าเพียงแค่การจ้องตาดำของอีกฝ่ายจะทำให้กระดูกภายในร่างกายสั่นสะท้านแล้วแหลกเป็นเสี่ยงๆอย่างง่ายดาย บางครั้งการถูกมองข้ามก็เป็นเรื่องดี หากคนที่มองข้ามคุณคือฆาตกรโรคจิตล่ะก็นะ  แต่ความสุขของผมไม่เคยอยู่นาน ไม่เลย หลังจากกัดกันเองพักใหญ่ ทั้งสามคนก็หันขวับมาทางผมพร้อมเพรียงกัน ทั้งสามคนยิ้มเมื่อรู้ว่ามีเหยื่อคนใหม่ให้รุมแทะ แล้วมหกรรมการเยาะเย้ยครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น เหมือนกับว่าผมรู้สึกทรมานจากสายตาเหล่านั้น เป็นสายตาดูถูกที่ผมคุ้นชิน บวกกับสายตาอำมหิตที่ผมเองก็คุ้นเคย เพียงแต่ยังไม่เคยถูกทั้งสองอย่างนี้พร้อมๆ กัน จากคนถึงสามคน

     
     

    “อ้าว ไง แมต!” คริสเตียนทักเสมือนว่าเขาเพิ่งจะสังเกตเห็นผม “ไม่ต้องห่วงหรอก เพื่อน! เดี๋ยวนายก็สบายแล้วล่ะ”


              “ช่าย! แต่รู้มั้ย ตระกูลของฉันสอนเสมอว่า เราควรลำบากก่อนแล้วสบายทีหลัง ดังนั้นฉันว่าเราอยากจะเล่นสนุกกับนายซะหน่อย ก่อนที่นายจะไปสบายน่ะ” เนธานจ้องมองผมราวกับว่าเขากำลังมองมดตัวเล็กๆ หากแต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองเล็กยิ่งกว่าฝุ่นผงเสียอีก

     
     

              “อย่าอย่าเพิ่งแน่ใจไป!” ผมพยายามสวนกลับไปแบบโง่ๆ อย่างน้อยผมก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างเดียว

     


              “โฮ่!! ได้ยินหรือเปล่า” อเล็กซ์ทำท่าแปลกใจ “นี่ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม? หมอนั่นว่า อย่าเพิ่งแน่ใจไป ด้วยแหละ ฮ่าๆ” เขาขำพลางมองผมหัวจรดเท้า “นายไม่ละอายใจบ้างหรือไง แมต? ที่เกิดมาแบบว่า เกิดมาเป็น นาย น่ะ! เป็นฉัน ถ้ามีบางอย่างที่คล้ายนายแม้แต่เสี้ยวเดียวฉันคงฆ่าตัวตายไปนานแล้ว!!”  ผมรู้สึกเหมือนถูกบางอย่างแหลมๆ ปักลึกกลางลำตัว นอกจากจะเจ็บ มันยังกระตุ้นความรู้สึกโกรธเล็กๆ ท่ามกลางความกลัว  

     
     

              แล้วจู่ๆ เสียงข่มเชิงจากแต่ละฝ่ายก็หยุดลงเมื่อทุกคนรู้ตัวว่าครูใหญ่ที่ยืนอยู่นั้นไม่สบอารมณ์เลยแม้แต่นิด หากจะพูดให้ถูกคือครูใหญ่กำลังยิ้มอยู่ แต่เป็นยิ้มประเภทที่รู้ว่าเขาไม่ได้ยิ้มจริงๆ ยิ้มที่กำลังคุกคาม หรือบางทีครูใหญ่อาจจะเป็นมนุษย์ต่างดาวที่มีพลังจิตสามารถสื่อสารทุกอารมณ์ได้ผ่านเพียงรอยยิ้มเดียว  

     
     

              เมื่อแน่ใจแล้วว่าจะไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ผู้นำตระกูลฟิตซ์ก็ดำเนินพิธีประหลาดนี้ต่อไป “จงจำและระลึกไว้เสมอว่าทุกการกระทำ และการตัดสินใจของพวกเธอต่อจากนี้ จะนำมาซึ่งผล ลัพท์อันสำคัญยิ่ง” ครูใหญ่กล่าวเสียงสูงๆ ต่ำๆ “เลือกให้ดี แล้วท่านเทพแห่งรอยยิ้มจะอยู่ข้างเธอ”


     

    “พวกคุณจะทำอะไร?” ผมถามแม้รู้ว่าไม่มีใครสนใจจะตอบ


     

              ชายสี่คนเดินแหวกออกมาจากกลุ่ม บนมือทั้งสองข้างแบกอะไรบางอย่าง มันคือกล่องไม้เก่าๆ ทรงสี่เหลี่ยมขนาดต่างกันไป ต่างคนต่างถือหนึ่งกล่อง พวกเขาเดินขึ้นมาบนเวทีอย่างกระตือรือร้น ราวกับรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับหน้าที่ให้ถือกล่องไม้พวกนั้น

     
     

              “อา....” เนธานครางอย่างหื่นกระหาย คริสเตียนหายใจฟืดฟาดอย่างมีความสุข และอเล็กซ์จ้องมองกล่องทั้งสี่ด้วยตาลุกวาว พฤติกรรมของพวกเขาแปลกไป พวกเขากำลังมีความสุขเป็นความสุขจากการที่จะได้ทำอะไรสักอย่างที่พวกเขาใฝ่หามานาน แต่นั่นกลับทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนในทรวงอกแปลกๆ และแน่นอน ความกลัวของผมพุ่งขึ้นมาถึงขีดสุดเมื่อญาติทั้งสามบนเวทีดีใจมากจนกระทั้งแทบจะหลุดหัวเราะ


     

              ผมมองคนทั้งสีที่ถือกล่องไม้เรียงกัน บัดนี้พวกเขายืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของเวทีทรงกลมพอดี ผมมองกล่องนั่น แล้วจู่ๆ ก็เหมือนรู้ว่าอะไรสักอย่างที่อำมหิตกำลังซ่อนอยู่ในกลองทั้งสี่ และผมจะต้องเกี่ยวข้องกับมันแน่ๆ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ร่างกายสั่งให้ผมถอยหลังแล้วตกลงไปจากเวทีซะ ถอยออกจากกล่องนั่นให้ไกล พิธีจะได้ไม่สำเร็จ แต่นั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดเสียเท่าไหร่ มีคนจำนวนมากรอฉีกกระชากผมทั้งเป็นที่ข้างล่างเวที

     
     

              เหล่าสาวกจับจ้องดูพวกเราไม่ยอมกระพริบตา พวกเขาเงียบเพราะบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น ผมยืนมองสถานการณ์ที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายด้วยตัวที่สั่นเทา ไอเย็นกำลังจับตัวภายในร่างกายผม และมันทรมานผมด้วยความหนาวที่กัดกินทุกๆ การเคลื่อนไหวของร่างกาย ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังรอ รอคำพูดสุดท้ายที่จะจบทุกอย่าง จากปากของครูใหญ่ ผมหันไปหาเขา และครูใหญ่ก็พึงพอใจราวกับรอให้ผมจ้องหน้าเขาในวาระสุดท้าย

     
     

    แล้วครูใหญ่ก็พูดออกมาสั้นๆ ว่า










     

    “เลือกอาวุธ” 










     

    ผมเหมือนสำลักอากาศ เหมือนมีคนมากดหน้าอกจนลมออกไปหมดปอด “อาวุธ? เลือกไปทำไม?” ผมรีบถาม


     

    “คงไม่ได้เอามาซักผ้าแน่ๆ” อเล็กซ์พูดติดตลก และเขาขำคำพูดของตัวเองเสียงดังพอๆ กับคนอื่นบนเวที


     

              ผมหันกลับมามองกล่องทั้งสี่ขนาดอีกครั้ง แต่ละกล่องใหญ่ไม่เท่ากัน กล่องแรกใหญ่มากจนบังใบหน้าของผู้ถือไปครึ่งหน้า กล่องที่สองใหญ่พอๆ กับลังเบียร์ กล่องที่สามใหญ่ขนาดหนังสือสารานุกรมเล่มหนา แต่กล่องสุดท้ายกลับเล็กมาก ขนาดเท่ากับกล่องใส่ดินสอของเด็กประถม  

     
     

    “กฎการเลือกผู้นำก็มีอยู่ง่ายๆ   ฆ่ากันซะ…… อย่างมีความสุข  ”  ครูใหญ่เฉลยในที่สุด


     

    ผมกัดลิ้นตัวเอง และบอกไม่ได้ว่าทำไม แต่ผมกัดมันแรงมากตัวเองสะดุ้ง ผมรู้สึกเจ็บ พร้อมๆ กับรสชาติแปลกใหม่ที่กระจายไปทั่วลิ้น มันเป็นสีแดงฉาน ไม่แน่ใจว่ามันเยอะขนาดไหน แต่แน่ใจว่าเพียงไม่อีกกี่อึดใจ รสชาตินั้นจะไหลออกมาจากทั่วร่างกายของผม และไม่ได้ไหลออกมาแค่ทางลิ้น


              ใช่แล้ว ผมได้ยินไม่ผิด พวกเขาต้องการให้เราสี่คนเข่นฆ่ากันเอง บนเวทีแคบๆนี่ ต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากเห็นอวัยวะของพวกเราแหลกกระจายไปทั่ว แล้วพวกเขาก็จะเก็บกลับบ้านไปเป็นที่ระลึกคนละชิ้นสองชิ้น มันไม่น่าจะเดายากอะไรเลย พวกรอยยิ้มฆ่าคนมาเป็นร้อยปี จับคนมาฆ่าทุกๆ ปี พวกเขาฆ่าแม้กระทั้งเด็กผู้หญิง แล้วจะมีวิธีเลือกผู้นำแบบไหนที่จะเหมาะสมไปกว่า การฆ่า อีกล่ะ

     
     

              “เลือกอาวุธสิ เลือกเลย เสียงเชียร์ของใครคนหนึ่งจากข้างล่างดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ แต่มันกลับทำให้ผมเศร้าเมื่อผมหันไปเห็นเด็กชายตัวเล็กๆ เพียงคนเดียวยืนอยู่ไกลออกไป เขาอายุแค่สิบขวบ เขาหน้าตาคล้ายผม และเขาอาจเป็นน้องผมได้เลยหากเรามีแม่เดียวกัน แต่ตอนนี้เด็กชายคนนั้นกลับกำลังเขย่งขา ชะเง้อคอดูพวกเราชำแหละกันเอง นี่พวกเขาสอนอะไรให้เด็กคนนี่บ้าง

     


              แต่ดูเหมือนสิ่งที่เด็กคนนั้นทำจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกนัก เมื่อจู่ๆ คุณป้าร่างใหญ่ท่าทางหน้ากลัวคนนึงซึ่งยินอยู่แถวหน้าหันกลับไป เธอส่งสีหน้าบางอย่างใส่เด็กคนนั้น และมันทำให้เขากลัว กลัวจนแทบจะยืนตัวงอ เด็กชายก้มหน้าลงคล้ายจะร้องไห้ ทว่ามันกลับยังไม่พอสำหรับหญิงสูงวัย เธอแหวกฝูงคนดูไปยังด้านหลัง เพื่อไปหาเด็กน้อยผู้ซึ่งเริ่มสั่นไปทั้งตัว  หญิงร่างยักษ์ยืนอยู่ตรงหน้าเขา ตัวอันหนาและใหญ่ของเธอบังเขาเสียมิด ผมไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น รู้แต่มันเร็วมาก ผมพยายามมองว่าป้าคนนั้นกำลังจะทำอะไร แต่เมื่อเสียงที่ตามมาเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น คือเสียงกรีดร้องที่ดังเกินปกติของเด็กชาย ผมก็ใจหายวาบ ต่อจากนั้น คุณป้าก็เดินกลับมา ผมมองไม่เห็นเด็กคนนั้นอีก แต่สิ่งที่เห็นก็คือหญิงร่างใหญ่ที่กลับมาถึงแถวหน้าสุด บนมือของเธอถือไม้หน้าสามติดตะปู และผมสังเกตุเห็นสีแดงสดที่เพิ่งเลอะไม้นั่นใหม่ๆ! เธอทำอะไรกับเด็กคนนั้น!

     
     

             ผมหายใจรัว อันที่จริงอาจเรียกว่าเป็นอาการหอบหืด รู้แต่ผมสูดลมเข้าออกเร็วมากเสียจนรู้สึกวิงเวียนอยู่ในหัว เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหัว ครูใหญ่เองก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เขายิ้มพร้อมพยักหน้าเบาๆ ให้กับสาวร่างใหญ่คนนั้นเป็นเชิงเห็นชอบ และกล่าวสั้นๆ แต่เย้ยหยันว่า “พิธีศักดิ์สิทธ์จะต้องไม่ถูกขัดจังหวะ”

     
     

              ผมมองครูใหญ่สลับกับคนอื่นๆ ในห้อง แต่ไม่มีใครสะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่พวกเขารอคือสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เพราะเมื่อคนทั้งสี่ที่ถือกล่องวางกล่องไม้นั่นลงบนพื้นตรงกลาง แล้วทยอยเดินลงจากเวที ผมก็รู้ได้ทันที ไม่จำเป็นที่จะต้องมีใครอธิบาย ทันทีที่ครูใหญ่ให้สัญญาณ เราทั้งสี่กระโจนเข้าไปแย้งอาวุธจากกล่อง จากนั้นก็จัดการคนที่เหลือซะ

     
     

              ความกลัวค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสิ้นหวัง เมื่อผมนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ผมอาจถูกฆ่าตายอย่างอนาจ ภายในไม่กี่นาที หรืออาจไม่ต้องใช้เวลามากขนาดนั้นก็ได้ เพียงเสี้ยววินาทีที่พวกเขาหยิบอาวุธได้ การต่อสู้ของฆาตกรมืออาชีพสามคน กับเหยื่อผู้ซึ่งไม่รู้อะไรเลย แค่นี่ก็รู้ผลอยู่แล้ว

     
     

              “มีอะไรจะพูดไหม?” ครูใหญ่ถามเป็นครั้งสุดท้าย เขามองมาที่ผม ผมรู้ว่าเขาหมายถึงผมโดยตรง เพราะคนอื่นเตรียมพร้อมที่จะชนะ ส่วนผมเตรียมพร้อมที่จะตาย
               แต่ผมกลับส่ายหน้า เพราะคนที่จะตายแล้วไม่ควรพูดอะไรมาก ให้มันจบแบบเร็วๆ คงดีที่สุด แบบนี้แหละง่ายที่สุดแล้ว ผมหันกลับมามองตรง พยายามยืดตัวให้ตรง เตรียมพร้อมสำหรับชะตากรรมของตน 

     
     

              แล้วผมก็จ้องมองที่กล่องนั่น กล่องที่ใหญ่ที่สุด อาจจะใหญ่พอสำหรับใส่อาวุธดีๆ บางส่วนในใจของผมเริ่มคิดว่า ไม่แน่นะถ้าเรามีโอกาส ถ้าเราหยิบอาวุธอันนั้นทัน เราอาจจะรอด ผมรู้ว่ามีอะไรบางอย่างในกล่องที่ใหญ่ที่สุด ที่จะพลิกสถานการณ์ได้ ขอเพียงแค่จังหวะ ความเร็ว และแรงทั้งหมดที่มี ก็แค่พุ่งเข้าไปหามัน ง่ายแค่นี้เอง

     

              ผมสร้างความหวังให้ตัวเองได้ไม่นาน ก็ตระหนักว่าไม่ได้มีผมแค่คนเดียวที่เล็งเจ้ากล่องใบใหญ่สุด  เกือบจะทุกคนโดยเฉพาะเนธานที่กำลังใช้สายตาคำนวณและคาดคะเนถึงพฤติกรรมของแต่ละฝ่ายในการเข้าถึงกล่องใบใหญ่สุด ผมสูดหายใจเข้าลึก ไม่ทันได้เตรียมตัวหรือเตรียมใจใดๆ เพียงแค่ปล่อยลมเฮือกสุดท้ายเข้าไปอยู่ในปอด เสียงของครูใหญ่ ผู้นำประจำตระกูลฟิตซ์ ก็ดังกึกก้องอยุ่รอบตัวผม





    “ขอให้ตายโดยมีรอยยิ้มบนใบหน้า  เริ่มได้!!

     

     

              เหมือนกับได้ยินเสียงปืนสัญญาณในการวิ่งแข่ง ผมและอีกสามคนรีบออกตัว อันที่จริงเราแทบจะกระโดดเพื่อให้ตัวเองไปถึงตรงกลางเวที ผมกระโจนเข้าไปด้วยแรงทั้งหมดที่มีแต่ผมพลาด!! ผมสะดุดขาตัวเอง และเพียงเวลาไม่กี่วินาทีที่ผมพยายามลุกขึ้นใหม่ก็เปลี่ยนสถานการณ์ให้เลวร้ายลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ คริสเตียนผู้ซึ่งแรงเยอะสุดไปถึงกลางเวทีก่อน เขาเอื้อมมือไปจับฝากล่องใหญ่หมายจะเปิดออก แต่อเล็กซ์พุ่งตัวล้มเข้าใส่คริสเตียนเพื่อขัดขวาง ที่เลวร้ายที่สุดคือเนธานแม้จะไม่ได้เร็วที่สุด แต่เขากลับเลือกที่จะเปิดกล่องอันที่เกือบเล็กที่สุด อันที่ไม่มีใครคิดจะแย่ง กล่องอันที่มีขนาดเท่าสารานุกรม เนธานหยิบอาวุธออกมา และมันคือมีดเล่มยาว เขายิ้มกว้างราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าข้างในจะต้องเป็นมีดแน่


     

              “ฮ่า!! ดูซิว่าใครโง่” เนธานตะโกนอย่างมีชัย เขาตวัดมีดใส่อเล็กซ์และคริสเตียน ทั้งสองหลบพร้อมกัน นั่นจึงทำให้ทั้งคู่ผละออกจากกล่องใหญ่ เป็นโอกาสให้เข้าถึงตัวกล่องแล้วสัมผัสมัน ผมไม่รอช้าเปิดฝากล่องใหญ่ด้วยใจระทึก แต่เนธานไม่ยอมให้ทำแบบนั้น เขาเข้าจู่โจมโดยที่ผมทันตั้งตัว มีดเล่มนั้นกรีดเป็นรอยบนแขนขวา แม้จะไม่ลึกถึงกระดูก แต่ความเจ็บก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผมถอยออกโดยอัตโนมัติ แล้วใช้มือกุมแขนที่เป็นแผลสดอีกข้างไว้ เมื่อเลือดหยดแรกของผมไหลออกมาแล้วหยดลงพื้นเวทีเพียงหยดนึง เหล่าผู้ชมซึ่งสวมหน้ากากรอยยิ้มก็ครางอย่างปลื้มปีติ

     
     

               “โถ่เว้ย!!” คริสเตียนพุ่งหมัดเข้าใส่อเล็กซ์แล้วใช้จังหวะนั้นพุ่งเข้าหากล่องที่ใหญ่รองลงมา เนื่องจากเนธานยืนขวางกล่องใหญ่เอาไว้ อย่างไรก็ตามคริสเตียนยินดีมากเมื่อเขาหยิบได้ค้อนปอนด์หัวใหญ่ที่ทำจากเหล็กหนัก คล้ายกับคริสเตียนเกิดมาเพื่ออาวุธชิ้นนี้ มีเพียงพละกำลังของเขาเท่านั้นที่มากพอจะตวัดค้อนอันนั้นได้ไวพอๆ กับที่เนธานโฉบมีดไปมา ชายหนุ่มยิ้มและฟาดค้อนเข้าใส่เนธานเป็นอันดับแรก เนธานเกือบโดนค้อนเข้าอย่างจัง ผมมองเห็นเพียงปลายค้อนที่เฉี่ยวใบหน้าเขาไปเท่านั้น ทว่าเพียงพละกำลังจากปลายค้อนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้จมูกของเนธานเบี้ยวไปตามแรง เนธานล้มลงไปกับพื้นแต่ไม่ยอมแพ้ในทันที เขาไม่สนเลือดที่ไหลออกจากทางจมูกไม่ยอมหยุด เนธานยังคงใช้ความไวของตัวเองเอามีดเข้าสู้กับค้อน

     

              เมื่อสองคนกำลังสู้กันอยู่ จึงเหลืออีกสองคน และกล่องอีกสองกล่อง ผมกับอเล็กซ์ประสานตากันโดยมิได้นัดหมาย เราออกตัวพร้อมกัน ต่างคนต่างไม่ยอมแพ้ เพียงแต่ผมออกตัวพร้อมกับกำปั้นมือซ้าย แล้วซัดเข้าเต็มๆ ที่หน้าอกของอเล็กซ์ เขาชะงัก และผมได้ปรียบ เพียงไม่กี่วินาที ผมก้มลงไปเปิดฝาออกจนสุดแล้วก้มเข้าไปหยิบสิ่งที่อยู่ข้างในกล่องที่ใหญ่ที่สุด ส่วนอเล็กซ์ที่รู้ตัวว่าสายไปแล้วจึงต้องหยิบกล่องเล็กที่สุดมาเปิดอย่างเสียไม่ได้

     




     

              ทว่าไม่เคยมีอะไรแน่นอน



              แม้ใจของผมจะหวาดกลัวและวิตกกังวลเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบเท่าได้กับความรู้สึกเมื่อพบว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องที่ใหญ่ที่สุด กลับเป็นเพียงไฟแช็คอันเล็กราคาถูกที่ตั้งอยู่ก้นกล่อง มันเป็นกลลวง เป็นกลลวงที่เย้ยหยันผมได้อย่างน่าสมเพศ และเมื่อผมหันไปยังอเล็กซ์เพื่อดูสิ่งที่เขาหยิบได้ สิ่งแรกที่ผมเห็นกลับไม่ใช่อเล็กซ์











     

    แต่เป็นปืนพกสีดำทมิฬที่จ่ออยู่ที่หน้าผากของผมอย่างแนบชิด









     

              อเล็กซ์หยิบสิ่งที่ทุกคนอยากได้ จากกล่องที่ไม่มีใครอยากได้ที่สุด มันคือปืน! เพราะเกมนี้คือการหลอกลวงพวกเราด้วยรอยยิ้ม การได้เห็นพวกเราเป็นตัวโง่ถูกหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าคือจุดประสงค์ของพวกมัน เนธานและคริสเตียนหยุดสู้กันทันที พวกเขายืนอึ้งเมื่อเห็นอาวุธบนมือของอเล็กซ์ ท้ายที่สุด คนที่พลิกเกมนี้ได้กลับเป็นอเล็กซ์


              “เฮ้ไม่ว่ากันนะพวก” อเล็กซ์อย่างราบเรียบกล่าวด้วยสำเนียงล้อเลียน เขาทำท่าเหมือนตัวเอกภาพยนต์ผู้มีชัยในที่สุด “อย่าขยับเชียว”

     

              ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้น เป็นสัญญาณว่ายอมแล้ว แม้มือข้างนึงจะยังถืออาวุธที่ได้มา ซึ่งก็คือไฟแช็ค แต่นั่นไม่สำคัญ ต่อให้ผมถือเลื่อยหรือมีดพร้าก็คงจะทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป อเล็กซ์เริงร่าเมื่อเขากลายเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากที่สุด ถึงตอนนี้ทั้งครูใหญ่และคนดูต่างพร้อมใจที่จะเห็นศพแรก ส่วนผมกลับมือสั่นเมื่อรู้ตัวว่าอาจจะเป็นศพแรกเสียเอง

     
     

              “ไหนดูซิ” อเล็กซ์ ถอดปืนออกมาดูจำนวนกระสุนแล้วใส่กลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาชำนาญมากเพราะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที พวกเขาคงได้รับการฝึกมาอย่างดี ”.ให้ตายสิมีกระสุนสามนัดพอดีเลย” อเล็กซ์ยิ้มอย่างพอใจ เขายืนขึ้นและยืดหลังตรง ทั้งเนธานและคริสเตียนกำลังมองมาด้วยความรู้สึกโกรธแค้น พวกเขาคงรู้ตัวแล้วว่าอาจไม่รอดแน่ๆ การเลือกผู้นำครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวกับว่าใครฉลาดที่สุด แข็งแรงที่สุด หรือช่ำชองที่สุด แต่มันคือการเลือกผมนึกย้อนถึงตอนที่ครูใหญ่กล่าวว่า “จงเลือกให้ดี” เขาหมายถึงแบบนี้นี่เอง

     
     

              “เทพเจ้าแห่งรอยยิ้มอยู่ข้างฉัน” อเล็กซ์ถอยห่างออกมา ปืนนั่นค่อยๆ ออกห่างจากหัวผม ผมถอนหายใจเล็กน้อย ส่วนอเล็กซ์หยุดอยู่ตรงกลางเวทีแล้วสลับเล็งปืนไปมาระหว่างเราสามคน “ท่านเทพบันดาลโชคเข้าข้างฉัน! ฉันคือผู้ชนะ! ฉันคือผู้นำคนต่อไป!!” เขาประกาศกร้าวเสียงกระหึ่ม แม้แต่ไฟห้อยเพดานที่มีอย่เพียงดวงเดียวของห้องก็ยังแกว่งไกวไปมาแม้ไม่มีลม “จะเริ่มจากใครก่อนดีล่ะ!

     
     

              “แกไม่มีทางชนะแน่ อเล็กซ์ ฉันต่างหาก ที่ท่านเมนิคอรัสเลือกน่ะ!” คริสเตียนกระชากเสียง อเล็กซ์จึงเล็งปืนไปหาเขา คริสเตียนยังยืนนิ่งตั้งท่าถือค้อนไม่หวาดหวั่น “แกไม่มีทางเป็นผู้นำที่ดีได้ แกน่ะมันไร้น้ำยา แถมยังไร้สมอง!

     
     

              “อ๋อหรือจะเริ่มจากแกก่อนดีล่ะ คริสเตียน ปากดีนักนะ!” อเล็กซ์เดินเข้าไปไกล้คริสเตียนมากขึ้น แล้วจ่อปืนตรงหน้าผากแบบเดียวที่ทำกับผม คริสเตียนเหงื่อไหล ส่วนเนธานยังคงเหมือนคิดอะไรอยู่ตลอดเวลาเพื่อจะหาวิธีพลิกสถานการณ์ แต่ลำพังแค่มีดเล่มนั้นคงทำอะไรปืนไม่ได้ อเล็กซ์มองใบหน้าแล้วอ่านความคิดของเขาออก จึงหันไปจ่อปืนใส่เนธานบ้าง

     
     

              “อย่างแกน่ะ ยอมแพ้ซะดีกว่ามั้ง?” อเล็กซ์ยื่นหน้าเข้าไปไกล้แล้วข่มขู่เนธานด้วยเสียงอันน่าสะพรึง “จะลองเป็นศพแรกดูไหมล่ะ?”

     
     

              ความตึงเครียดบีบอัดแน่นจนผมทนไม่ไหว พลาดเพียงนิดเดียวก็มีสิทธ์ถูกกระสุนปืนเจาะกระโหลกระเบิดสมองได้ ถึงตอนนี้คงคิดได้อย่างเดียวว่าจะเป็นศพแรก หรือศพสุดท้ายดี? แต่มันมีความแตกต่างด้วยหรือ? ในเมื่อต้องตายเหมือนกันนี่นา จะช้าหรือเร็วก็ต้องตายอยู่ดี พอคิดดูดีๆ แล้วตายตอนนี้ก็คงไม่ได้แย่อะไรมากนัก เพราะหากผมรอดล่ะจะเป็นยังไงต่อไป พวกเขาจะบังคับให้ผมเป็นผู้นำกลุ่มฆาตกรโรคจิต ซึ่งผมทำไม่ได้ ฉะนั้นมันก็อาจจะจบด้วยการโดนเหล่ารอยยิ้มรุมทรมานแบบที่เด็กสาวในอดีตทั้งหลายเคยโดน มันไม่มีทางออกเลยสำหรับเรื่องนี้มีเพียงทางตัน ตายเร็วๆ  และไปสบาย กับอยู่รอด เพื่อไปพบกับความทรมานในรูปแบบต่อไป เป็นคุณจะเลือกทางไหนล่ะ ประตูทุกบานในชีวิตปิดใส่ผมหมดแล้ว ผมไปไหนไม่ได้แล้วจริงๆ

     
     

              “งั้นฉันเลือกเลยก็แล้วกัน” อเล็กซ์ถอยกลับมายืนตรงกลางห้องในที่สุด จากนั้นเขาก็เล็งปืนไปมาระหว่างเราสามคนอีกครั้ง ราวกับเขาอดทนไม่ไหวแล้วที่จะได้ฆ่าใครก็ตามเป็นคนแรก เสียงของเขาดังก้องในห้องทึบ มันคือเสียงสั้นๆ ที่เปล่งออกมา ผมจับใจความได้ว่า

     

     

    “หนึ่ง” อเล็กซ์ชี้ปืนใส่คริสเตียน



     

    “สอง” แล้วหันกลับมาเล็งที่ผม




     

    “สาม” เนธานคือคนถัดไป




     

              “ปลาฉลามขึ้นบก” เขานับ เขากำลังนับพวกเราไปมา ใช่เขาเลือกพวกเราด้วยวิธีนี้ “ สี่ ห้า หก จิ้งจกยัดไส้” อเล็กซ์กล่าวต่อไป พร้อมปืนที่ส่ายไปมา เนธาน คริสเตียน แล้วก็ผม เนธาน คริสเตียน ผม แล้วก็เนธาน คริสเตียน วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผมภาวนาอย่าให้ปืนกระบอกนั้นหยุดที่ตัวเองเลย ผมยังไม่พร้อมที่จะตายทว่า ทันทีที่ประโยคนั้นจบ ใครคนนึงจะต้องตายแน่ๆ ใครล่ะ?

     


     

    “แมลง ตัว นี้ จั๊ก กะ จี้ หัว ใจ” ผมจ้องปืนกระบอกนั้นไม่วางตา ขอให้ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ผม!

     


     

    “ฉัน….   เจ็บใจ อเล็กซ์จงใจลากเสียงช้าและยาวเพื่อทรมานพวกเรา ปืนนั้นหยุดที่เนธานเมื่อจบคำว่าใจ ผมจึงนับต่อไปในใจด้วยต่อเอง ถ้าเนธานจบด้วยคำว่าใจ งั้นคำสุดท้ายก็จะต้องจบลงที่

     


     

    เพราะ  

     

     

     

    ไอ้….

     

     

    หมา

     

     

    ตัว

     


     

    แล้วผมก็รู้ได้โดยทันที มันชัดเจนมากจนไม่ต้องคิดอะไรต่อ ประโยคสุดท้ายจะจบที่ใครไปไม่ได้นอกจาก







     

    “นี้!!!!อเล็กซ์หยุดกระบอกปืน และมัน มันหยุดอยู่ที่ผม  

     

     

              “ยินดีด้วย!” อเล็กซ์ว่า สายตาเขาจ้องมองผมที่กำลังหน้าซีดเผือด สภาพของผมตอนนี้ไม่อาจบรรยายได้ เพราะผมเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่ากำลังทำหน้าแบบไหน คนที่กำลังจะตายเค้าทำท่าทางแบบไหนกันล่ะ? ก็ผมไม่เคยตายนี่นา? แล้วคนที่กำลังจะตายจะทำแบบผมทุกคนหรือเปล่า?


              “เอาล่ะแมต” เขาค่อยๆ ปลดเซฟปืนดังกริ๊กเล็กๆ แต่เพียงแค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนในห้องได้ยิน ผมกัดฟันแน่น เกร็งหลังคอและลืมที่จะหายใจ สายตามองเข้าไปในรูมืดจากปากกระบอกปืนที่กำลังชี้ตรงเข้ามา นิ้วของอเล็กซ์ทำท่าจะงอไกปืนเตรียมพร้อม เขาถามผมว่า

    “อยากสั่งเสียอะไรก่อนตายไหม?”

     

              ผมอยากจะพูด ผมแน่ใจว่าจริงๆ แล้วยังมีอีกหลายอย่างที่ผมอยากจะบอก มีหลายอย่างที่ผมอยากทำ และต้องทำ เพียงแต่ในวินาทีสุดท้าย ผมกลับนึกอะไรไม่ออกสักอย่าง

     
     

              “ไม่เหรอ?” อเล็กซ์เลิกคิ้ว “งั้นก็” เขาก้าวเข้ามาใกล้โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว ผมถอยหลังตามสัญชาติญาณจนถึงสุดขอบเวที เกือบจะตกลงไปแล้วถ้าไม่รู้ตัวเสียก่อน อเล็กซ์ใช้มือที่ยังว่างอีกข้างคว้าคอผมอย่างง่ายดาย เขาจับมันไว้แน่นจนเหมือนจะบีบให้หายใจไม่ออก ผมขยับไม่ได้แม้แต่หัวของตัวเอง จากนั้นอเล็กซ์ก็ค่อยๆ ยื่นปืนกระบอกนั้นเข้ามา จ่อมันไว้ที่ปลายคาง ในแนวระนาบที่กระสุนจะทะลุไปถึงศีรษะ ผมพยายามจะดิ้น แต่สู้แรงไม่ได้ ความรู้สึกเมื่อปลายปืนจ่อกับผิวหนังทำให้ผมรู้ว่าปืนกระบอกนั้นเย็นมาก เย็นเหมือนน้ำแข็ง

     
     

              “งั้นฉันจะกล่าวปิดท้ายให้แกเอง” อเล็กซ์ค่อยๆ ใช้แรงกดผมให้นอนลงไปกับพื้น โดยที่ปืนนั้นไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เขาจ้องเขม็งเหมือนอยากเห็นแววตาสุดท้ายของเหยื่อก่อนตาย “ทันทีที่ฉันลั่นไก กระสุนจะวิ่งออกมา มันเร็วมากเชียวล่ะ!... มันจะเจาะเข้าไปที่คางของแก ชอนไชลิ้นของแก ทำให้จมูกแกเป็นโพรง ต่อด้วยทะลุเข้าไปที่ระหว่างดวงตา ใช่!... มันจะต้องเจ็บมากแน่ๆ แล้วรู้มั้ย สุดท้ายมันจะเข้าไปในสมองแก แล้วระเบิดกะโหลกแกเป็นเสี่ยงๆ!  แต่ให้ตายสิ! ที่เจ๋งที่สุดก็คือ มันจะเกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนความเจ็บปวดทุกอย่างที่ฉันกล่าวมาจะรวมกันเป็นความเจ็บเดียว ฉันจินจนาการไม่ออกเลยว่ามันเป็นยังไง!!

     
     

              ผมร้องครางอยู่ในลำคอด้วยความเสียวไส้ ไม่รู้เพราะเขาแสดงเก่งหรือนี่เป็นธาตุแท้ที่อเล็กซ์เก็บซ่อนมานานกันแน่ แต่เขาทำสำเร็จ เขาขู่ให้ผมกลัวถึงขีดสุดได้ในช่วงเวลาสุดท้าย

     
     

              “จากนั้น หลังจากฉันฆ่าแกเสร็จ” อเล็กซ์สาธยายความอำมหิตต่อ “ฉันก็จะฆ่าไอ้สองคนนั้น จากนั้นก็จะมีเสียงโห่ร้อง! เสียงปรบมือ! และการเฉลิมฉลอง พวกเขาจะรุมเข้ามากอดฉัน คำนับให้ฉัน และยอมรับฉันในฐานะผู้นำตระกูลฟิตซ์! แต่ที่สนุกที่สุดก็คือ สิ่งที่ฉันจะทำเป็นอย่างแรกฉันจะลงไป จัดการเพื่อนผู้น่าสงสารของแกข้างล่างนั่น ฮิๆ ฉันจะไม่ฆ่าพวกมันก่อน ฉันจะเก็บพวกมันไว้ ทรมานเป็นปี ให้พวกมันหิวโหยความตาย! ให้พวกมันเจ็บปวดที่สุด! โอ๊ย! ฉันล่ะแทบรอไม่ไหว อ้อ! แต่นั้นก็ในกรณีที่คุณลุงของฉันยังไม่ได้ฆ่าพวกมันไปก่อนแล้วหรอกนะ”

     
     

              สิ้นคำพูดของอเล็กซ์ ผมก็หยุดนิ่ง จากที่มีแต่ความว่างเปล่า ในหัวก็ผุดภาพที่ผมไกล้จะลืมไปแล้ว เมแกน โซอี้ เชย์ แล้วก็ไซม่อน พวกเขายังอยู่ พวกเขายังถูกจับตัวไว้และถ้าผมตายตอนนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา สิ่งที่รอยยิ้มพวกนี้จะทำมันคงไม่อาจใช้คำพูดของมนุษย์มาอธิบายได้ พวกนั้นไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่ พวกมันจะทำเหมือนกับที่เคยทำกับเด็กสาวที่ถูกจับตัวไป ทำแบบที่คริสเต็นเคยเล่า ทรมานให้กรีดร้อง แล้วหัวเราะอย่างมีความสุขทั้งหมดนั่นกำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขา

     



     

    ผมยอมไม่ได้

     



     

              ผมปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้ ไม่ใช่กับพวกเขา!  ไม่ใช่เพราะคนพวกนี้! ไม่ใช่แบบนี้! สิ่งที่พวกรอยยิ้มกับไอ้ลัทธินี่เป็นอยู่ ก็ไม่ได้ต่างอะไรเลยกับพวกคนบ้าที่อยู่ข้างนอกนั่น พวกเขาก็แค่ผลผลิตของการปลูกฝังแบบผิดๆมารุ่นต่อรุ่น และผมก็ไม่ใช่คนจากตระกูลห่วยอย่างที่พวกเขาว่า สิ่งที่คุณยายทำคือสิ่งที่กล้าหาญ เธอกล้าที่จะหนีออกไปจากที่นี่ เพื่อไม่ให้ความผิดพลาดถูกส่งต่อมา เพื่อให้ลูกหลานของเธออยู่อย่างมีความสุข

     

     

    เพื่อให้ผมได้มีชีวิตอยู่



     

              “ใช่!... แบบนั้นล่ะ ใบหน้าแบบนั้นแหละที่ฉันต้องการจะเห็นจากแก” อเล็กซ์พึงพอใจมากจนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่

     
     

    “แบบไหน” ผมเค้นเสียงถาม พร้อมกับความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มจุดประกายอยู่ในใจ

     
     

    “แบบไอ้ขี้แพ้ไง!!” อเล็กซ์หัวเราะดังลั่น

     
     

              “แบบนี้น่ะเหรอ?” ผมไม่เบือนหน้าหนีเขาอีกต่อไป ผมจ้องเขากลับ จ้องเขม็งและไม่กระพริบตา จ้องเขาแบบนั้น พร้อมทั้งความรู้สึกที่เริ่มคุกรุ่น ผมปล่อยมือทั้งสองข้างจากแขนของเขา ปล่อยให้เขาบีบคอผมแบบนั้น นอนนิ่งไม่ขยับ ราวกับกำลังเล่นเกมจ้องตา

     
     

              อเล็กซ์ผงะและรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กำลังเปลี่ยนแปลง นั่นยิ่งทำให้เขาชอบ เขายิ้มกว้างราวกับเพิ่งได้เห็นปลาที่กำลังดิ้นอยู่นอกบ่อ ไม่ใช่เพราะปลาตัวนั้นกำลังจะตาย แต่เพราะมันดิ้นเพื่อเอาชีวิตรอดโดยไม่ยอมแพ้

     

              “สมบูรณ์แบบ! เขากล่าว กดปากกระบอกปืนให้แน่นเข้าไปอีก “แบบนั่นแหละ แมต ถูกต้องที่สุด ก่อนที่นายจะตาย นายไม่ควรจะกลัวเพราะความตายน่ะสนุก! ก่อนตายนายก็ควรจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าสิ ถูกมั้ย?” เขางอนิ้วเข้าหาไกปืน ผมรู้สึกได้จากคางของตัวเอง เขากำลังจะยิง เขาจะเหนี่ยวไกแล้ว

     

    “ยิ้มสิแมต ยิ้มกว้างๆ” เขาพูดส่งท้าย พร้อมกับเบิกตากว้าง

     

              ผมเตรียมพร้อมแล้ว ผมพร้อมแล้วที่จะยอมรับชะตากรรมของตัวเอง ไม่ว่าผมจะตายหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ ผมยังคงจำประโยคนั้นได้ ประโยคที่ดังอยู่ในหัวผมทุกคนครั้งที่เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดจบ  บางครั้ง การยอมรับว่าตัวเองแพ้ ก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ แต่นั่นหมายความว่าเราสู้จนถึงที่สุดแล้ว สู้จนหมดกำลังที่มี สู้จนเราจะไม่มีวันเสียใจในภายหลังครั้งที่แล้วผมจำไม่ได้ว่าใครพูด เพราะมันเป็นเพียงความทรงจำลางๆ มันอาจจะเป็นคำพูดจากตัวละครเท่ๆ จากหนังสยองขวัญก็ได้ แต่ไม่ใช่มันคือคำพูดสุดท้ายของผู้หญิงคนหนึ่งผู้หญิงที่ยอมหนีออกมาจากความโหดร้าย เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ผู้หญิงที่ท้ายที่สุดแม้จะโดนคนอื่นหาว่าบ้า แต่เธอกลับเป็นฮีโร่ที่ช่วยชีวิตผมไว้ ผู้หญิงที่ไม่ยอมแพ้ และส่งต่อความไม่ยอมแพ้นั้นให้ผม ผู้หญิงคนนั้นคือคุณยายของผมเอง

     









     

    “ปัง!

     

     


     

                มันไม่ใช่เสียงปืน แต่เป็นเสียงตะโกนของผมเอง ผมตะโกนคำนั้นออกมาโดยที่ไม่รู้สาเหตุ อาจเพราะมันเป็นสัญลักณ์ของการเริ่มต้น เหมือนที่กรรมการยิงปืนเพื่อบอกให้นักกีฬาเริ่มวิ่ง หรือมันอาจเป็นสัญญาณของการจุดประกาย จุดประกายไฟสู้ในตัวผม และผมหมายความตามที่พูด ไฟกำลังจุดประกายผมกำลังจุดไฟ ผมจุดไฟจริงๆ




     

    ผมจุดไฟด้วยไฟแช็คที่กำอยู่ในมือ





     

              ผมจุดมันโดยที่อเล็กซ์ไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ตัวหรอก เพราะเขามัวแต่จดจ่ออยู่กับปืนของตัวเอง ผมค่อยๆ จุดประกายไฟ จนกระทั้งเพลิงสีส้มปรากฎขึ้น มันอาจเป็นเพียงแค่ไฟเล็กๆ จากหัวไฟแช็ค แต่เมื่อผมจ่อมันเข้าที่แขนเสื้อของเขา ไฟนั่นก็ค่อยๆ เติบโตขึ้น มันกล้าแกร่งขึ้น แลพร้อมที่จะเผาไหม้ทุกสิ่ง มันทวีความร้อนในเสี้ยววินาที แน่ล่ะ มันร้อนมากจนอเล็กซ์รู้สึกได้ แขนที่โดนความร้อนกระตุกไปตามสัญชาติญาณอเล็กซ์กระตุกมือข้างที่เขาถือปืนขึ้นด้วยความตกใจ ปืนกระนั้นถูกยกออก เหมือนกับแขนอีกข้างที่ผละออกจากคอผม



     

    ปัง!


     

              อเล็กซ์เผลอเหนี้ยวไกปืนด้วยความตกใจ กระสุนพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เกิดประกายไฟจากปากกระบอกเพียงชั่ววูบ มันสว่างวาบไปทั้งห้องมืดๆ เสียงชายคนหนึ่งที่กำลังบืนมองพวกเราบนเวทีล้มลงไป เขาโดนลูกหลงจากกระสุนนัดนั้น ทว่าเหล่ารอยยิ้มคนอื่นๆ กลับไม่สนใจ ไม่มีใครใยดีแม้แต่คนที่ยืนข้างๆ เขา พวกเขาต้องการเพียงแค่รับชมสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

     
     

              “ไอ้บ้าเอ้ย!... ร้อน!” อเล็กซ์หมอบราบลงไปกับพื้นแล้วเอาแขนเสื้อข้างที่กำลังไหม้แนบลงไป เขาดิ้นไม่หยุด ดิ้นโดยที่ไม่รู้ตัวว่าเขาปล่อยปืนอันนั้นหลุดมือ ปืนสีดำทมิฬไถลไปตามพื้นเวที ไปยังทิศทางที่ห่างจากพวกเราทั้งสี่คนพอๆ กัน มันไถลไปเรื่อยจนสุด แล้วหยุดอยู่ตรงขอบเวทีพอดิบพอดี ครึ่งนึงของมันโผล่ออกจากขอบหมิ่นเหม่ที่จะตกแหล่มิตกแหล่

     
     

              ไม่จำเป็นที่จะต้องมีใครกล่าวอะไร คริสเตียนและเนธานที่ยืนรออยู่นานแล้วก็ออกตัว ผมไม่แม้กระทั้งที่จะลุกยืนขึ้น ผมตะเกียกตะกายบนพื้นไถลตัวเองไปหาปืนทั้งอย่างนั้น คริสเตียนกระโดดเข้ามาล้มทับผมไว้ เขาพยายามใช้พละกำลังจับให้ตัวผมอยู่นิ่งๆ แต่ผมดิ้นสุดแรงเกิดไม่ยอมแพ้ ล้มลุกคุกคลานจะไปให้ถึงปืนกระบอกนั้นให้ได้ เนธานใช่จังหวะหนีก้าวข้ามตัวพวกเราไป คริสเตียนจึงปล่อยผมแล้วรั้งขาเนธานไว้ข้างนึง ทำให้เขาเสียการทรงตัวแล้วลมลงไปอีกคน

     
     

              “ฉันไม่ยอมให้แกได้ปืนไปแน่!” เนธานกระชากเสียง สภาพของคนสามคืนที่นอนคว้ำอยู่บนพื้น กอดรัดฟัดเหวี่ยงยื้อแย่งเพื่อที่จะไปให้ถึงปืนกระบอกเล็กเพียงกระบอกเดียว ผมว่ามันคงดูไม่จืด แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อผมเหลือบตาขึ้นไป ผมก็มองเห็นสิ่งที่พวกเรากำลังแย่ง มันอยู่ห่างจากมือผมเพียงไม่ถึงคืบ อีกนิดเดียวนั้น! อีกแค่นิดเดียว!

     

              “ย้ากกก!!” ผมร้องสุดเสียงเพื่อปล่อยกำลังเฮือกสุดท้าย ปัดตัวเองให้หลุดจากการพันธนาการ แล้วในวินาทีนั้น เหมือนวินาทีที่ชายคนหนึ่งวิ่งเข้าสู้เส้นชัยได้ วินาทีที่หน้าอกของเขาแตะกับแถบเชือกกั้น และมันขาดออก เหมือนวินาทีที่ปืนร่วงหล่นลงจากเวที แต่ผมเอื้อมเข้าไปคว้ามันไว้ได้ทันเวลา!

     


     

    ปัง!

     

     

              “ได้แล้ว!!” ผมร้องอย่างดีใจจนเสียงประสานกับเสียงของปืนที่ดังลั่น เป็นเพราะผมเผลอจับตรงไกปืนพอดีตอนที่เอื้อมถึง คราวนี้กระสุนถูกยิงเข้าสู่พื้นแข็งๆ ผมรู้สึกถึงความหนักของมันผมไม่เคยจับปืนมาก่อน แม้จะเคยเห็นมันมามากในหนังสยองขวัญ ผมไม่นึกว่าปืนของจริงจะหนักขนาดนี้ มันไม่ได้ง่ายเลยที่จะถือปืนแล้วเล็งไปที่ใครสักคนหนึ่งแบบที่ผมกำลังทำ

     
     

    “ถอยไป!” ผมบอกในทันทีที่หันกลับมาแล้วชี้ปืนใส่อีกสองคนที่จำตัวผมไว้ “ถอยไปเดี๋ยวนี้เลย!

     
     

              เนธานกับคริสเตียนส่งเสียงไม่เป็นภาษาด้วยความโกรธ แต่ก็ยอมปล่อยผมแต่ถอยออกไปแต่โดยดี ผมเอียงปืนไปทางอเล็กซ์ที่เพิ่งดับไฟได้ เป็นเชิงบอกให้ทั้งสองคนไปยืนรวมอยู่กับเขา สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว ตอนนี้ผมเป็นผู้ถือปืน ผมได้โอกาสของตัวเองแล้ว!

     
     

              “เหลือเชื่อเลยจริงๆ” เนธานว่า เขากางมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นเชิงยอม แต่เขาไม่แสงท่าทางหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย “เก่งเหมือนกันนี่ แมต”

     


              ผมยังคงหอบหายใจด้วยความเหนื่อย พยายามบังคับมือที่ถืออปืนไม่ให้สั่น ผมได้ปืนมาแล้วแล้วยังไงต่อล่ะ? ผมจะทำอะไรต่อดี ผมจะใช้มันหรือเปล่า ผมจะต้อง ยิง ใครด้วยหรือเปล่า ถ้าผมถือมันต่อไปแบบนี้ล่ะ? พวกเขาก็จะรู้ว่าผมไม่กล้ายิงแน่ๆ จากนั้นก็จะเข้ามาแย่งปืนจากผมได้อย่างง่ายดาย หรือผมจะยิงจริงๆแต่ที่สำคัญ ปัญหาที่สำคัญมากๆ เลยก็คือ

     
     

              “กระสุนของนายเหลือนัดเดียวแล้วนะแมต” เนธานยิ้ม เขารู้เขามองผมออกและรู้ว่าผมไม่ใช่คนที่มีชัยเหนือกว่าใครเลย ผมไม่ใช่นักฆ่า ไม่ได้ถูกฝึกมา เพิ่งจะเคยจับปืนเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ ผมไม่กล้าฆ่าใครแน่ๆ

     

              “นายจะทำยังไงล่ะแมต?” เนธานถามต่อ ถึงตอนนั้น ทั้งคริสเตียนและอเล็กซ์ก็เข้าใจสถานการณ์แล้วยิ้มออก “นายจะยิงจะเลือกยิงใครดีล่ะ? ฉัน?  คริสเตียน?  อเล็กซ์? ใครดีล่ะ?”

     
     

              ผมนิ่งเงียบ ผมไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้น กระสุนทั้งหมดเคยมีสามนัด นัดแรกอเล็กซ์เผลอยิงผู้ชายคนนึงล้ม ส่วนอีกนัดผมก็บังเอิญยิงไปโดนพื้น แล้วตอนนี้มันก็เหลือนัดเดียว นัดสุดท้าย และทันทีที่ผมเลือกเหนี่ยวไกใส่คนใดคนหนึ่งไป ปืนนี่ก็จะไร้ความหมาย ผมจะใช้มันป้องกันตัวไม่ได้อีก

     
     

              “เลือกซะสิแมต แต่ฉันจะบอกให้เอาบุญนะ! ว่าเมื่อนายยิงใครสักคนไป พวกเราอีกสองคนที่เหลือก็จะพร้อมใจกันเข้าไปขยี้นายทันทีเลยล่ะ! “ เนธานขู่พร้อมส่งสายตาที่บอกว่าตัวเองเหนือกว่าให้ “เสียใจด้วย แต่นายไม่มีทางออกแน่ นายจะยิงใครล่ะ? อย่าบอกนะว่าจะยิงพวกคุณลุงที่อยู่นอกสนาม นายทำแบบนั้นก็โดนพวกเราทุกคนรุมยำอยู่ดี ไม่ว่านายจะเลือกทางไหนจุดจบของนายก็คือตาย!

     
     

    ผมยืนนิ่ง พยายามคิดหาทางออก ผมกำลังเจอทางตัน มันมืดแปดด้านไปหมด ผมมาได้แค่นี้จริงๆ งั้นเหรอ?


              “หรือนายจะเอาแบบนี้ดีล่ะแมต” เนธานใช้โทนเสียงเย้ยหยัน “ฉันเสนอให้นายใช้กระสุนนัดสุดท้ายนั่น ยิงเข้าที่หัวตัวเอง จบชีวิตของนายซะ ดีกว่าให้พวกเราเป็นคนทรมานนาย ง่ายๆ แบบนั้น ดีไหมล่ะ?”

     
     

              ผมคิดหนัก จ้องมองปืนที่อยู่บนมือตัวเอง และมันกำลังสั่นมือผมสั่นงั้นเหรอ? หรือว่าผมกำลังสั่นไปทั้งตัวกันแน่ สมองพยายามประมวลผลหาทางออก ถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญละก็ มันคงจะเป็นตอนที่ตัวเอกพบกับจุดที่ตึงเครียดที่สุดของหนัง ผมเคยเห็นตอนจบหลายเป็น ทั้งแบบที่โลกสวย ตัวเอกมักนึกอะไรดีๆ ออกเสมอ และหนีรอดไป กับอีกแบบ ที่ตัวเอกโง่บัดซบ เลือกวิธีที่มักจะทำให้เรื่องทั้งหมดแย่ลง แต่ทว่าในหนังกลับไม่เคยเสนอแบบที่เหมือนจริงที่สุด มันคือแบบที่ผมกำลังเผอิญ แบบที่ตัวเอกไม่สามารถคิดอะไรออกด้วยซ้ำ เพราะในชีวิตจริงไม่ได้มีหนทางให้เราได้เลือกมากเหมือนในหนัง

     

     

    กระสุนหนึ่งนัด และคนสี่คน ผมจะเลือกยิงใครดี?

     

     

    “เลือกมาสิแมต มันง่ายจะตาย” คริสเตียนกดดัน เขาทำมือเหมือนกำลังใช้ปืนจ่อหัวตัวเองแล้วเหนี่ยวไก

     
     

    “เลือกให้ดีๆ นะ เพราะถ้าแกได้เจอดีแน่ ถ้ายิงพวกเราคนใดคนหนึ่งน่ะ“ อเล็กซ์บอก มือข้างนึงลูบแขนที่โดนไฟลวก

     
     

    “เลือกได้หรือยังล่ะ? “ เนธานถามเป็นคำสุดท้าย “นายจะยิงใคร?”

     

     

    “ฉันฉันจะยิง” ผมพึมพำกับตัวเอง

     

     

    “ยิงใครเหรอ?” เนถามเงี่ยหูฟัง

     






     

    “รอยยิ้ม” ผมกล่าวสั้นๆ

     


     

    “รอยยิ้ม?” เนธานทวนคำ

     

     

              ผมหลับตาลง ในตอนนั้นเองที่ผมตัดสินใจอะไรบางอย่าง ผมเหนี่ยวไก! และผมรู้ว่าการเหนี่ยวไกครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง ด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว มันจะเปลี่ยนแปลงทั้งผม และรอยยิ้ม กระสุนนัดนี้จะจัดการรอยยิ้มให้สิ้นซาก

     

              ผมสูดหายใจลึก แล้วชูปืนขึ้นเหนือหัว ผมเงยหน้ามองขึ้นไปและมองเห็นไฟเพียงดวงเดียวที่ห้อยอยู่เหนือเวที ไฟเพียงดวงเดียวในห้อง ไฟดวงเดียวที่ทำให้ทุกคนมองเห็น เพียงดวงเดียวที่จะดับรอยยิ้มลงผมไม่คิดอะไรอีก แล้วผมก็เหนี่ยวไก!

     

     

     

    “ปัง!

     

     
     

              เสียงดังกึกก้องกังวาลแผ่ขยายไปทั่วห้องและสะท้อนกลับมา มันดังมาก แรงระเบิดกระสุนทำให้ผมไม่ได้ยินอะไรไปชั่วขณะ ทุกอย่างดับวูบลง แสงสว่างหายไป สาบสูญไปโดยฉับพลัน มีเพียงความมืดเท่านั้นที่โอบคลุมห้องนี้ มีเพียงสีดำเท่านั้นที่เราจะมองเห็น มีเพียงความมืดเท่านั้นที่จะมองเห็นพวกเรา เพราะไม่มีใครสามารถมองเห็นรอยยิ้มของใครได้อีก

     
     

              เสียงเริ่มลอดผ่านเข้าหูผมในที่สุด มันชัดขึ้นและชัดขึ้น ผมรู้ได้ในทันทีว่าความโกลาหลเกิดขึ้นในห้องใหญ่ เสียงของผู้คนมากมายโวยวายไม่ได้ศัพย์ พวกเขากำลังตื่นตระหนก ต่างคนต่างวิ่งวุ่นไปมา ผมรู้เพราะผมได้ยินฝีเท้าดังทั่วห้อง ทั้งเนธาน อเล็กซ์ และคริสเตียนตะโกนด่าทอกันไปมา พวกเขาอาจกำลังสู้กันเองในความมืด

     
     

    “ใจเย็นๆ ทุกคน อยู่นิ่งๆ!!” เสียงของอัลเฟร็ดผู้ดูแลตึกพยายามควบคุมสถานการณ์

     
     

    “จับเด็ก! จับเด็กนั่นซะ!!” ใครบางคนตะโกนแข่ง

     
     

    “ฉันได้ตัวมันแล้ว ฉันแทงมันเข้าที่ท้องด้วย!!” อีกคนบอก

     
     

    “หยุดนะ!! ฉันไม่ใช่อ้าก!

     
     

    “อย่าเหยียบเท้าฉันสิ ไอ้บ้าเอ้ย!!

     
     

    “ขวางทางจริงเว้ย!!

     
     

    “เด็กนั่นยังอยู่บนเวทีแน่! อย่าให้มันหนีไปได้!!!

     
     

              ผมผลักตัวเองลงจากเวทีทันใด แม้จะมองไม่เห็น แต่ผมยังคงพยายามหาทางออก เหล่ารอยยิ้มพยายามลูบคลำกันเอง ผมได้ยินเสียงเหมือนพวกเขากำลังใช้อาวุธทำร้ายกัน ไม่ว่าใครก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตัวผมไปหมด ผมจำเป็นต้องออกจากกลุ่มของคนพวกนี้ให้เร็วที่สุด โดยการก้มลงและคลานไปกับพื้นเพื่อเลี้ยงการฟาดฟันนองเลือดที่กำลังดำเนินขึ้นในความมืด เสียงร้องโอดโอยระคนไปกันเสียงหัวเราะ หรือความจริงแล้วพวกเขาแค่หาโอกาสที่จะปลดปล่อยความบ้าคลั่งของตนมานานแล้ว

     
     

              “เราต้องหาทางทำให้ห้องนี้สว่าง!” เสียงของแลรีย์หรือตำรวจหมีพูห์ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ผมจำตำแหน่งของเขาก่อนไฟดับได้ นั่นจึงช่วยให้ผมรู้ทิศทางได้มากขึ้น แต่การฝ่ากลุ่มฆาตกรในความมืดไม่ใช่เรื่องง่าย ผมโดนเท้าของใครต่อใครเตะเข้าอย่างจัง แต่จำเป็นต้องอุดปากของตัวเองไว้เพื่อไม่ให้มีเสียงลอด   

     
     

              “เปิดประตูสิ!! เปิดประตูออก” ให้แสงสว่างจากข้างนอกส่องเข้ามา!!” ครูใหญ่ใช้เสียงอันทรงพลังประกาศก้อง ทำให้ทุกเสียงในห้องแทบจะหยุดลงไปในบัดดล ทุกการต่อสู้และการกระทำหยุดชะงักราวกับมีพลังอะไรบางอย่างเหนือธรรมชาติ ในไม่ช้าประตูห้องก็ถูกเปิดขึ้นแทบจะทันทีที่ครูใหญ่สั่ง และแสงสว่างก็สาดส่องเข้ามาตามรอยแง้ม

     

             ทุกอย่างสว่างขึ้นทันตา แสงจากข้างนอกนั้นเผยให้เห็นสภาพนองเลือดข้างใน บ้างกำลังนอนดิ้นร้องโอดโอย บ้างถืออาวุธที่ปักคาร่างอีกคน บ้างยืนเฉย และบ้างก็กำลังมองหาผม พวกเขากำลังค้นหาผมจากแสงนั่น

     


     

    แต่ผมรู้ว่าพวกเขาจะไม่มีวันหาผมเจอ

     


     

    เพราะคนที่เปิดประตูให้พวกเขาตะกี้คือผมเองน่ะสิ!

     


     

    และทันที่ผมออกมาจากห้องนั้นได้ ผมก็วิ่งไปตามทางเดินสุดชีวิต วิ่งพร้อมกับคำว่าอิสระ วิ่งด้วยไฟที่ถูกจุดประกายอยู่ภายใน




     

    และนับตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ถึงเวลาสู้กลับของผมบ้างล่ะ!!


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    ติดตามตอนต่อไป!!







     
    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×