ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #19 : บทที่ 17 : ยิ้มแล้วหนี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 430
      5
      20 มิ.ย. 57

     

     

                                                           

                                                



      บางครั้งเราก็ไม่สามารถตัดสินทุกอย่างได้จากสิ่งที่เราเห็น



              เพราะบางครั้งสิ่งที่เราเห็นไม่ได้บอกความจริงกับเราเสมอไป ผมว่าพวกคุณเข้าใจถึงจุดนั้นดี ใช่ไหมล่ะ? เหมือนบ่อยครั้งที่หนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หรือสาวเจ้าเสน่ห์ มักจะถูกเปิดเผยว่าเป็นตัวจริงของฆาตกรในหนังสยองขวัญ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าภายนอกที่น่าดึงดูด หรือการปรากฎกายที่น่าประทับใจ จะซ่อนอะไรไว้อยู่ภายใน



    บางครั้งสิ่งที่คุณเห็น กับสิ่งที่มันเป็นก็ย้อนแย้งกันเอง



    เหมือนกับผมในตอนนี้



              ผมกำลังวิ่งหนี วิ่งด้วยความเร็วที่มากกว่าแชมป์วิ่งกีฬาสีในโรงเรียนเคยทำไว้เสียด้วยซ้ำ และเมื่อเราพูดถึงการหนี เราทุกคนรู้ดีว่ามันหมายถึงการไปให้พ้นจากบางสิ่ง การไม่ยอมรับบางอย่าง บางคนถือคติว่าการหนีเป็นการแสดงถึงความอ่อนแอ เป็นการแสดงว่าเราไม่แข็งแกร่งพอที่จะสู้กับสิ่งๆ นั้น การหนีจึงไม่ใช่สิ่งที่พวกพระเอกในนิยายมักจะนิยมทำกันในบทจบ



    แต่ผมก็ยังหนี



              แต่รู้อะไรไหม ถูกต้องแล้ว ใช่ ผมหนี ผมต้องการหลีกหนีจากบางสิ่งที่เลวร้าย บางสิ่งที่เรารับไม่ได้ แต่ทำไม การหนีของผมถึงจะต้องหมายความว่าผมอ่อนแอด้วยล่ะ?



    ไม่ใช่เลย



              ผมไม่ได้หนี เพราะผมอ่อนแอ ผมหนี เพราะผมต้องตั้งหลัก ผมหนีเพื่อที่ผมจะได้มีพลังมากพอที่จะเอาตัวรอด เพื่อที่จะได้กลับมาอีกครั้ง เพื่อที่จะลุกขึ้นยืนได้อย่างสมบูรณ์



    การหนีของผม คือการสู้ต่างหากล่ะ!









              ผมรู้สึกเหมือนเท้าทั้งสองข้างไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไป เหมือนกับว่าผมไปหยิบยืมเท้าจากนักกีฬาโอลิมปิกเหรียญทอง แบบที่เวลาวิ่ง เราจะไม่มีทางเห็นว่าขาของเขาเป็นยังไง มันจะเคลื่อนไหวฟึบฟับตลอดจนกว่าจะรู้ตัวอีกที เขาก็เข้าเส้นชัยไปแล้ว  ผมรู้สึกแบบนั้นเลยล่ะ ในตอนที่กำลังมุ่งตรงออกจากห้องทำพิธีสู่ทางเดินโถงอันแสนแปลกประหลาด




              ผมจำมันได้ลางๆ ตอนที่ถูกลากเข้ามาที่นี่ สภาพการตกแต่งที่หรูหราเหมือนพระราชวัง ทั้งๆ ที่เป็นทางเดินแค่ชั้นเดียว ความสวยงามของเครื่องใช้ตกแต่งต่างๆ ดูไม่เข้ากับสิ่งที่พวกรอยยิ้มทำ พวกเขาบูชาความรุนแรง ความทรมาน แต่หลงเชื่อว่ามันคือความสุขและความถูกต้องอะไรทำนองนั้น แบบที่ผู้นำตระกูลในแต่ละยุคสมัยปลูกฝังส่งต่อมา




              ผมรู้สึกแปลกๆ ที่เท้าทั้งสองข้างต้องวิ่งผ่านพรมสีแดงหรูนุ่มๆ ที่ปูยาวตลอดทางเดิน พร้อมๆ กับมองดูหน้าผู้นำตระกูลแต่ละยุคสมัยผ่านรูปที่ติดฝาผนัง พอผ่านรูปพวกนั้นไปได้ ก็จะเริ่มมีประตูจำนวนหนึ่งที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ความถี่ของแต่ละประตูที่พบเห็นบอกผมว่าห้องเหล่านั้นเป็นห้องที่มีขนาดกว้างและใหญ่พอสมควร ดังเช่นห้องแรกที่ผมผ่านไปคือห้องที่ผมฟื้นขึ้นมาในตอนแรกแล้วโดนเย็บแผลสด




              ผมหันไปมองหลังเพื่อดูว่ามีใครตามผมมาบ้างหรือเปล่า แต่ดูเหมือนพวกนั้นจะยังไม่ตระหนักว่าผมหนีออกมาได้แล้ว ถึงจะอย่างนั้น การมัวแต่ยืนเด่นหราอยู่กลางทางเดินเปล่าๆ นี่ เป็นเรื่องไม่ดีแน่ พวกเขาจะเห็นตัวผมทันทีที่ใครสักคนเดินออกมา ผมจำเป็นต้องหาทางออกไปจากชั้นนี้ หรือไม่ อย่างน้อยก็หาที่ซ่อน ผมเห็นทางตันอยู่อีกไม่ไกล ทางเดินโถงนี่ไม่ได้ยาวอย่างที่คิด มีประตูห้องเพียงห้าหกประตูที่เหลืออยู่ที่ระหว่างผมกับกำแพงสุดปลายทางเดิน




              “ฆ่ามัน!เสียงฉีกกระชากที่ฟังดูคล้ายกับการกรีดร้องอย่างเกรี้ยวกราดดังก้องออกมาจากห้องทำพิธี! “มันหนีออกไปแล้วแน่!





    แย่แล้ว!






              ผมใจเสีย หอบหายใจไม่หยุด มองซ้ายขวาอย่างลังเล  รู้ว่าต้องหายตัวไปจากจุดนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่พวกนั้นจะเข้ามาขย้ำผมทั้งเป็นด้วยอาวุธครบมือ อย่างดีที่สุดคือผมจะตายทันทีด้วยแผลแรก อย่างร้ายที่สุด พวกนั้นอาจจะเก็บผมไว้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผมกลัว มันแย่เกินกว่ามนุษย์คนใดจะรับไหว การถูกทรมานโดยพวกรอยยิ้มถือเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมจะจัดไว้ในลิสต์ วิธีที่ผมอยากตาย




              “ฉันจองส่วนหัว! ฉันจะเอาหนังหน้าของมันมาทำหน้ากากรอยยิ้มอันใหม่!” เสียงหนึ่งตะโกนอย่างหื่นกระหาย ตามด้วยเสียงหัวเราะปนคำรามที่กระตุ้นให้พวกนั้นฮึกเหิม แล้วจู่ๆ มือข้างหนึ่งก็โผล่ออกมาจากประตูห้องทำพิธี มือนั้นผลักให้ประตูเปิดออกกว้างๆ เพื่อที่คนจำนวนมากจะได้กรูกันออกมา ผมรีบเคลื่อนไหวไปรอบๆ เหมือนมีไฟลนอยู่ใต้เท้า พยายามบิดลูกบิดประตูบานที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด เปิดประตูออก แล้วปิดประตูอย่างเงียบเชียบ จังหวะเดียวกับที่ร่างของใครบางคนที่ถือดาบซามูไรก้าวออกมาจากห้องทำพิธีเป็นคนแรก




              ผมอยู่ในห้องมืดที่มีกลิ่นคาวประหลาด เป็นกลิ่นที่ใกล้เคียงกับกลิ่นคาวเนื้อหมูในร้านขายเนื้อซึ่งผมแน่ใจว่าไมใช่ ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากดังตึงตังอยู่ข้างนอก และไม่ช้าพวกเขาจะเจอผม แต่ในสภาพที่ผมไม่อาจมองเห็นอะไรได้ ผมไม่รู้เลยว่าในห้องนี้มีสิ่งของหรืออะไรที่พอจะเป็นที่ซ่อนให้ผมได้บ้าง  ผมพยายามคลำหาสวิทซ์ไฟตามผนัง แต่เมื่อมือสัมผัสพื้นผิวกำแพงห้อง ผมกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่เหนียวๆ เขรอะๆ หยุบหยับ และชื้นๆ ติดหนึบทั่วผนัง พร้อมกับส่งกลิ่นที่เกินจะบรรยาย ผมไม่อาจทนคลำมันต่อไปได้หากไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังต้องหาทางทำให้ตัวเองมองเห็นสภาพห้อง





    จริงสิ ผมมีไฟแช็คนี่นา เกือบลืมไปเลย!





              ผมรีบล้วงกระเป๋าจนจับของบางอย่างที่แข็งๆ ได้ ผมหยิบมันขึ้นมา พยายามหาว่าส่วนไหนคือหัวและหาง จากนั้นก็รีบใช้นิ้วโป้งจุดประกายไฟ น่าแปลกใจที่แม้เพียงเปลวไฟเล็กๆ จากหัวไฟแช็คก็สามารถส่องให้ทั่วทั้งห้องสว่างได้ ไฟสีส้มย้อมทั้งห้องให้กลายเป็นสีเดียวกัน ผมรีบมองไปรอบๆ และในวินาทีนั้น ผมก็แทบจะตกใจจนผงะหงายหลัง





              พระเจ้า!! นี่มันนรกขุมไหนกันแน่! คุณจะต้องโชคดีมากที่สามารถรับรู้สิ่งพวกนี้ผ่านการเล่าของผม ในขณะที่ผมต้องทนเห็นทุกอย่างด้วยสองตาของตัวเอง ก็ไอ้ก้อนแหยะๆ ที่น่าสงสัยเมื่อครู่นี้ จริงๆแล้วคือซากก้อนเนื้อเล็กๆ ที่สาดกระจายไปทั่วผนังพร้อมกับรอยเลือดจำนวนมาก ราวกับว่าร่างใครบางคนระเบิดออกจากภายในจนอวัยวะของเขาติดอยู่ทั่ว แต่มันไม่ใช่! ก้อนเนื้อพวกนี้มีทั้งแข็งเขรอะและทั้งดูสดใหม่ มันเป็นของที่สะสมผ่านกาลเวลามาเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามีเหยื่อกี่รายที่ถูกชำแหละในห้องนี้ ผมต้องเอามือปิดปากเพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองอ้วกออกมา







    “แมต!




              เสียงอู้อี้ลอยมาจากที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ ใกล้มากจนเหมือนเสียงนั้นเข้ามากระซิบอยู่หลังหู ผมเกือบจะร้องเสียงดังด้วยความตกใจถ้าไม่ใช่เพราะมือยังคงปิดค้างอยู่ที่ปาก เมื่อรีบหันหลังกลับไปก็พบกับสิ่งที่ผมไม่อาจเชื่อสายตาตัวเองยิ่งกว่าสภาพห้อง




    “เมแกน!!ผมอุทาน และมันดังเกินไป




              ผมรีบยื่นไฟแช็คไปใกล้ๆ ต้นตอของเสียง แล้วแสงสว่างก็เผยให้เห็นสิ่งที่ผมไม่ได้สังเกตในทีแรก ทุกๆ คนอยู่ในห้องนี้! ทั้งเมแกน ทั้งเชย์ โซอี้ รวมทั้งไซม่อน! สภาพของแต่ละคนดูไม่จืด พวกเขาอยู่ตรงมุมห้อง ต่างคนต่างถูกกักขังอยู่ในกรงจับสัตว์เล็กๆ กรงพวกนั้นมันเล็กเกินกว่าจะใส่มนุษย์เข้าไปเสียอีก ดังนั้นแต่ละคนจึงถูกดัดแขนขาท่าทางให้อยู่ในสภาพที่เหมือนก้อนกลมๆ เพื่อให้พอที่จะยัดทั้งตัวเข้าไปได้ ไม่ต้องถามผมเลยว่าพวกเขาขยับตัวได้หรือไม่ กรงทั้งสี่ถูกเรียงตั้งกันเป็นชั้นๆ อย่างน่าอนาจ เมแกนอยู่ชั้นบนสุด ตามด้วยโซอี้ เชย์ และไซม่อนอยู่ล่างสุด




              “แมต! ช่วยด้วย!! เมแกนส่งเสียงแหบแห้งร้องขอความช่วยเหลือ เสียงของเธอยิ่งดึงดูดความสนใจจากใครก็ตามที่อยู่ภายนอก ผมรีบเขานิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้เธอเงียบ แต่ไม่ทันเสียแล้ว





     “ฮ่า! ได้ยินแล้ว!! มันซ่อนอยู่ในห้อง มันเป็นของฉัน!! เสียงนั้นตวาดดังอย่างยินดี










    ไม่! ผมต้องซ่อน!






    โครม!!





              ประตูห้องทั้งบานสั่นสะเทือน ใครบางคนกำลังจะพังเข้ามา แต่ประตูไม่ได้ล็อก พวกนั้นไม่สนแม้แต่จะแค่บิดลูกบิดแล้วเดินเข้ามาดีๆ พวกเขาบ้าคลั่งเกินกว่าจะทำอย่างนั้น พวกรอยยิ้มแค่อยากทำลาย ต้องการเห็นทุกอย่างตรงหน้าแหลกเละเป็นซาก ผมรีบเป่าลมเพื่อให้เปลวไฟดับ เคลื่อนไหวไปในความมืดตามความทรงจำ แนบกายซ่อนอยู่หลังกรงพวกนั้น ให้ร่างของทุกคนที่ถูกอัดอยู่ในซี่เหล็กสี่เหลี่ยมบังผมพร้อมพยายามบังคับไม่ให้ตัวเองสั่นเกินไป พวกเมแกนรู้งานดี พวกเขารู้ว่าต้องเงียบ




              “ฉันได้ยินก่อน! ฉันจองมันแล้ว!” ชายคนหนึ่งพูดในขณะที่เข้ากระแทกประตูครั้งสุดท้าย จากนั้นแผ่นไม้ทั้งแผ่นก็หลุดออกจากตัวยึด ประตูทั้งบานกระเด็นหล่นลงพื้นด้วยแรงที่น่าใจหาย เกิดเสียงดังโครมครามและเอะอะ ผมรู้ได้ทันทีว่ายังมีคนจำนวนมากรออยู่ตรงทางเดินนอกห้อง อาจจะมีเป็นสิบ หรือยี่สิบ หรืออาจจะเป็นทั้งหมด พวกนั้นรุมอัดกันอยู่หน้าห้องเพียงเพื่อหาคนตัวเล็กๆ อย่างผมเพียงคนเดียว





    “อย่าทำอะไรเราเลย!” โซอี้ครวญเบาๆ



    “ปล่อยพวกหนูไปเถอะ!” เชย์ร้องขอ



    “พวกแกตายแน่!”  ไซม่อนข่มขู่



    “เอากระเป๋าฉันคืนมา!” เมแกนข่มขู่ยิ่งกว่า




              ทุกๆ คนรู้งาน พยายามส่งเสียงกลบเกลื่อนเพื่อปกปิดเรื่องที่ผมกำลังซ่อนอยู่ข้างหลังกรง แต่ละคนส่งเสียงอู้อี้ พวกรอยยิ้มที่เพิ่งเข้ามายืนนิ่งสำรวจสภาพห้องพร้อมทั้งปรายตามองเหยื่อที่ถูกกักขังอย่างไม่แยแส พวกนั้นหายใจฟืดฟาดแทบจะทนไม่ไหวแล้วที่จะได้ลองลิ้มชิมเนื้อของผม ผมยิ่งกลั้นหายใจเพราะกลัวเหลือเกินว่าพวกเขาจะรับรู้ถึงลมหายใจที่สูดเข้าออกเร็วผิดปกติ บ่งบอกถึงใครบางคนที่กำลังกลัว ใครบางคนที่กำลังซ่อนอยู่




              “ไหนแกว่าได้ยินเสียงไง?! นี่มันเสียงของพวกสัตว์เลี้ยงต่างหาก ไอ้โง่!” กลุ่มคนข้างหลังกำลังก่นด่าแล้วเริ่มโวยวาย “แกทำพวกเราเสียเวลา!




              “ก็ได้ยินเสียงจริงๆ นี่! ไม่นึกว่าจะเป็นเสียงของพวก….อ้ากกก!” ชายคนนั้นไม่ทันกล่าวจบประโยค เขาขัดจังหวะคำพูดของตัวเองด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนยาวๆ พร้อมกับเสียงทุบตีด้วยของหนักดังตุบตับ เสียงเสียบมีดดังฉึก เสียงชำแหละของสว่านดังวี๊ แล้วก้อนเนื้อชิ้นใหม่ก็กระเด็นไปติดอยู่กับก้อนเนื้อรุ่นพี่ตรงผนังห้อง ผมบอกได้เลยว่าใครก็ตามที่ได้ยินเสียงผมเมื่อครู่เป็นคนแรก ถือว่าหมอนั่นซวยสุดๆ




              เราทั้งห้าคนต่างสะเทือนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น พวกนั้นฆ่ากันเองโดยไม่จำเป็นต้องคิดอะไรเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับว่าการฆ่าเป็นสิ่งปกติธรรมดาในชีวิตประจำของพวกเขาพอๆ กับการแปรงฟันตอนเช้า




              “มันจะต้องพยายามหนีไปชั้นอื่น มันต้องใช้ลิฟต์แน่ๆ! ตามมันไป” ใครบางคนพูด เขามองเหล่าเหยื่อผู้ถูกกักขังด้วยหางตาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกรอยยิ้มจะตะโกนโหวกเหวก คำรามก้องไปทั่วทางเดิน แล้วย้ายขบวนออกจากบริเวณหน้าห้อง




              แต่เราก็ยังรอ รอจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีใครโผล่ออกมาอีก ผมทนนั่งคุดคู้สูดกลิ่นเน่าอยู่หลังกรงได้สักพักก็เริ่มทนไม่ไหว พวกเมแกนกระซิบบอกให้ผมช่วยพวกเธอเสียที แสงที่ส่องมาจากข้างนอกทำให้ผมไม่จำเป็นต้องใช้ไฟแช็คอีกต่อไป แต่เราจะมัวโอ้เอ้อยู่ตรงนี้อีกนานไม่ได้เพราะทางเข้าห้องนี้เปิดโล่งไว้เนื่องจากบานประตูหลุดออก ขอแค่มีใครสักคนผ่านมาพวกเราก็ถือว่าจบ




               “แมต! ให้ตายสิ ปล่อยฉันออกไปสักที! มันปวดระบมไปหมดทั้งตัวเลย!” โซอี้ร้อง ผมรีบเดินเข้าไปตรวจดูสภาพกรง พยายามหาวิธีที่จะเปิดประตูกรงออก แต่ดูเหมือนว่ากรงพวกนี้ถูกล็อกไว้




              “นายต้องใช้กุญแจ มันอยู่ตรงผนังด้านโน้น!” ไซม่อนบอก เขาส่งสายตาไปยังอีกฝากของผนัง ผมหันตามไป พบกับตะขอเล็กที่ติดผนัง มีพวงกุญแจขึ้นสนิมรูปร่างดูโบราณๆ แขวนอยู่สี่ถึงห้าดอก ผมรีบไปคว้ากุญแจนั่นมา ในขณะเดียวกันก็ยังได้ยินเสียงของใครบางคนเคลื่อนไหวอยู่ตรงทางเดินข้างนอกอยู่ตลอด ผมได้แต่ภาวนาให้ไม่มีใครเจอ ผมวนประโยคนี้ซ้ำๆ ในหัวพร้อมกับใจที่เต้นไปมาจนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ




              “โอ๊ย พวกมันดัดแขนฉัน รู้สึกเหมือนกระดูกจะทิ่มเนื้อออกมาเลย ฉันว่าฉันอาจจะแขนหักไปแล้ว” เมแกนบ่นในขณะที่ผมพยายามสอดกุญแจเข้ารู มือผมสั่นทั้งเพราะความกลัวและเพราะความเร่งรีบ ผมพยายามเปิดประตูกรงให้ไซม่อนก่อนเพราะเขาอยู่ล่างสุด




              “ฉันพยายามอยู่” ผมปาดเหงื่อ หันไปมองข้างหลังอย่างหวาดระแวง แล้วในที่สุดกุญแจก็ลงล็อก! ผมไขมันดังกริ๊ก! แล้วประตูกรงเล็กๆ ก็แง้มออก








     “ฉันเจอตัวแกแล้ว!!!


     



              เสียงหนึ่งตวาด! มันมาจากข้างหลัง! ชายผู้สวมหน้ากากรอยยิ้มตัวสูงชะลูด บนมือถือขวานด้ามยาวแบบที่นักดับเพลิงใช้  เสร็จกัน! ผมเสร็จมันแล้ว ผมลนลานจนทำอะไรไม่ถูก รอยยิ้มคนนั้นไม่รอช้าเลย เขาก้าวเข้ามาแล้วกระชากตัวผมออกจากตัวกรง ลากมากลางห้อง พวกเมแกนส่งเสียงร้องปนก่นด่า




    “แมต! ปล่อยเขานะ ไอ้บ้า!” เชย์ร้อง เธอพยายามใช้มือเล็กๆ ที่พอจะเคลื่อนไหวได้ดันประตูกรงออก แต่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้




              “เอ้า ยิ้มซิ!!!” ชายคนนั้นกำลังปลิ้มปีติ บอกได้เลยจากสีหน้าวิปริตของเขา แขนทั้งสองข้างกำด้ามขวานแน่น เตรียมจะฝังคมขวานลงบนคอ เขาหวดมัน ผมรู้สึกถึงแรงเหวี่ยงของลมกำลังจะมาบรรจบที่คอหอย แต่เพียงเสี้ยววินาทีก่อนที่หัวผมจะหลุดจากบ่า ไซม่อนกระเสือกกระสนเอาตัวเองออกจากกรง เขากระโจนเข้าใส่รอยยิ้มจนทั้งคู่ล้มลง ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยง ผมรีบลุกขึ้นพยายามเข้าไปช่วย สามสาวส่งเสียเชียร์เล็กๆ แล้วการต่อสู้ก็จบลงด้วยกำปั้นที่ไซม่อนฝากไว้บนหน้าของมัน





              “ฉันว่าหนังสยองขวัญเรื่องนี้ คงมีนายเป็นตัวเอกแน่ๆ” ผมตบหลังเขา แสดงความยินดีที่เขาปลอดภัย และขอบใจที่ช่วยชีวิตผมเมื่อครู่ ไซม่อนพยักหน้าให้ราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร เขาปัดฝุ่นตามเนื้อตัวแล้วจากนั้นเราทั้งคู่ก็รีบเข้าไปช่วยทุกคนออกมา



              ทุกชั้นตอนเป็นไปอย่างทุลักทุเล สาวๆ แต่ละคนต้องทนพยายามเอาตัวออกจากกรงโดยที่แขนและขายังพันกันมั่วอยู่ ดูท่าแต่ละคนจะเจ็บตัวมากพอดู แต่โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บถึงขั้นรุนแรง อันที่จริง ตัวผมมากกว่าที่น่าเป็นห่วง ฤทธิ์ยาชากำลังจะหมดในเร็วๆ นี้ และผมกำลังจะต้องทนแบกรับความเจ็บปวดแบบเต็มจำนวน




    “ขอบคุณสวรรค์” เชย์คราง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอกำลังยืดแขนยืดขาหลังจากหลุดพ้นออกมา




              “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” เมแกนกล่าวทันทีหลังจากขาทั้งสองข้างยืนหยัดได้ด้วยตนเอง “ตอนที่ฉันพยายามออกไปดูลาดเลาที่หน้าลิฟต์ จู่ๆ พวกนั้นก็โผล่มา ทั้งครูใหญ่ ตำรวจอ้วนนั่น พวกนั้นกรูกันเข้ามาตีหัวฉันจนสลบ แล้วพอตื่นมาอีกที ก็มีพวกที่ใส่หน้ากากรอยยิ้มพยายามยัดฉันเข้าไปในกรงบ้าๆ นั่น!




              “ฉันก็เหมือนกัน” เชย์หันไปพยักหน้าให้เมแกน “ตอนนั้นฉันกับไซม่อนกำลังพยายามดันประตูไม่ให้พวกคนบ้าบุกเข้ามา แล้วจู่ๆ ตำรวจคนนั้นก็เข้ามาในตึก ตอนแรกพวกเรานึกว่าเขาจะมาช่วย แต่กลายเป็นว่าคริสเตียนกับอเล็กซ์โผล่มาจากไหนไม่รู้ ทำร้ายพวกเราจนสลบ”




    “แล้วเธอล่ะ โซอี้” ผมหันไปถาม




              “ฉันเหรอ? ตอนนั้นฉันกำลังพยายามแก้อาการค้างของคอมพิวเตอร์ แล้วจู่ๆ เนธานก็โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ เขาซ่อนอยู่ในห้องตลอด ฉันว่าอาจจะเป็นในห้องน้ำ หมอนั่นสวมชุดคลุมดำๆ มือถือหน้ากากรอยยิ้ม ฉันรู้ทันทีเลยว่าอะไรเป็นอะไร แต่ยังไม่ทันโวยวาย หมอนั่นก็เข้ามาทำให้ฉันหมดสติไปก่อน”




              “มันเรื่องอะไรกันแน่ พวกนั้นเป็นใคร? นายรู้เรื่องทั้งหมดใช่ไหม?” ไซม่อนหันมา ส่งสายตาคาดคั้น ทุกๆ คนก็แสดงท่าทางว่ารู้สึกแบบเดียวกับไซม่อน ทั้งหมดต้องการคำตอบจากผม ดูเหมือนพวกเขาจะสัมผัสได้ว่าผมรู้เรื่องนี้มากกว่าใครๆ ผมถอนหายใจ แอบชะเง้อไปมองด้านนอกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น ผมรวบรวมความคิดอยู่พักนึง ก่อนจะเริ่มเปิดปากเล่า




               “ฉันจะเล่าให้ฟังสั้นๆ นะ พวกรอยยิ้มแท้จริงแล้วคือทุกคนในตระกูลฟิตซ์ พวกเขานับถือลัทธิบูชาเทพเจ้ารอยยิ้มบ้าบอคอแตกอะไรก็ไม่รู้ พวกนั้นจับเด็กไปบูชายัญทุกปี โดยมีตึกแห่งนี้เป็นศูนย์บัญชาการใหญ่ เอ็มมิลี่ เพื่อนของพวกเธอเคยอาศัยอยู่ที่นี่ แล้วดันรู้เรื่องพวกนี้เข้า เลยพยายามจะเปิดโปง พวกรอยยิ้มเลยต้องฆ่าทุกคนที่รู้เรื่องทั้งหมดนั่น ส่วนพวกเราดันไปยุ่งไม่เข้าเรื่อง ก็เลยมาจบอยู่ตรงนี้




              สิ้นเสียงของผม ความเงียบก็ตามมา ทุกคนนิ่ง ค้างอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครพูดหรือแสดงสีหน้าเพื่อบ่งบอกอะไร พวกเขาเพียงแค่มองหน้าผมเฉยๆ เหมือนในหัวของพวกเขากำลังประมวลสิ่งที่ผมพูด เราเงียบต่อไปสักพักจนกระทั้งโซอี้เริ่มถาม




    “ลัทธิบูชาอะไรนะ?



    “เทพเจ้าแห่งรอยยิ้ม” ผมตอบ



    “แล้วที่นายว่าตระกูลฟิตซ์ทุกคนนี่ หมายถึง” เชย์ถามแบบไม่จบประโยค



    “ใช่ทุกคนที่มีนามสกุลฟิตซ์ รวมถึงคนที่โตมาในตระกูลฟิตซ์ด้วย พวกเขาถูกปลูกฝังมาให้ฆ่าคน”



    “แล้วนายล่ะ?” ไซม่อนถาม



    “ฉันเหรอ? เอ่อเผอิญ ฉันเป็นญาติห่างๆ น่ะ”



    “อืมมีเหตุผล นายเหมาะที่จะโดนไล่ฆ่ามากกว่าออกไปฆ่าคน” เมแกนเสริม



    “ขอบใจ” ผมประชด



              “แล้วเอ็มมิลี่ล่ะ พวกนั้นทำอะไรกับเอ็มมิลี่? เธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” เมแกนถามต่อ คำถามนี้กระตุ้นให้คนอื่นอยากรู้ตามไปด้วย เพราะคำถามนี้เป็นคำถามที่ทำให้พวกเราทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ตั้งแต่แรก



    “ไม่” ผมตอบเสียงเบา “ฉันคิดว่าน่าจะไม่”




              จากนั้นทุกคนก็เข้าสู่ภาวะเงียบอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นความเงียบที่แฝงไปด้วยความหดหู่ สุดท้ายแล้วทุกอย่างที่พวกเธอพยายามหาคำตอบมาตลอดก็ไร้ผล เมื่อพวกเธอคงไม่มีโอกาสได้ช่วยเพื่อนอย่างที่หวัง ผมมองหน้าไซม่อน ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากให้เราเสียเวลาอยู่ตรงนี้นานนัก ไซม่อนเดินไปยืนชิดกับช่องประตู แอบโผล่หัวออกไปดูคนข้างนอก จากนั้นก็หันกลับมาส่งสัญญาณเพื่อบอกว่าทางยังสะดวก




    “เราต้องรีบหนีไป” ผมพยายามพูดกับสามสาวที่ดูจะไร้เรี่ยวแรง “ต้องหนีไปเดี๋ยวนี้เลย”




    “ไปไหน? ไปยังไง?” เชย์ถามเสียงอ่อย “เราอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้เลย?”




    “เราอยู่ที่ชั้นสิบแปดของอพาร์ทเม้นของฉันเอง” ผมว่า



              “ฉันได้ยินเมื่อกี้ ที่มันบอกว่านายจะต้องหนีไปที่ลิฟต์แน่ๆ แสดงว่าชั้นนี้ก็มีลิฟต์ใช่ไหม? มันอยู่ตรงไหนล่ะ?” ไซม่อนหันกลับมาถาม พยายามระแวดระวังภัยให้พวกเรา



              “เอ่อ ฉันไม่ก็แน่ใจ ถ้าที่นี่เป็นชั้นที่สิบแปดจริงๆ ลิฟต์ก็น่าจะอยู่ตรงปลายสุดของทางเดิน แต่ตอนที่ฉันวิ่งออกมาจากห้องทำพิธีเมื่อกี้ ฉันกลับไม่เห็นอะไรเลยนอกจากประตูห้องพวกนี้” ผมเดินไปสมทบกับไซม่อน พยายามชะโงกหัวดูทางเดิน แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมพูด หากมองไปสุดปลายทางเดินทั้งสองด้านก็จะพบกับผนังแบนๆ  ทุกอย่างมันดูแปลกไปหมด




    “นี่” ไซม่อนกระซิบ “ทางเดินนี่มันกว้างกว่าชั้นอื่นๆ หรือเปล่า?”





    “ใช่ ฉันก็คิดแบบนั้น” ผมตอบ





              “เฮ้ ไม่แน่นะ บางทีตำแหน่งของทางเดินชั้นนี้อาจจะไม่เหมือนกับชั้นอื่นๆ ก็ได้” โซอี้ทัก เธอโผล่หัวออกไปดูข้างนอกอีกคน “ซึ่งนั่นก็อาจหมายความว่า ตำแหน่งของลิฟต์คงจะคลาดเคลื่อน อาจจะอยู่ในห้องใดสักห้องหนึ่ง”





              “ใช่ห้องที่อยู่ตรงสุดทางเดินห้องนั้นหรือเปล่า” เมแกนชี้ แล้วผมก็เห็นจุดหมายของเรา ผมคิดว่าต้องใช่แน่ๆ บางทีตำแหน่งของลิฟต์อาจจะอยู่ในห้องนั้น ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นห้องอะไร แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เสี่ยงพอสมควรหากเราจะเดินดุ่มๆ เข้าไป จะต้องมีคนเฝ้าอยู่ตรงนั้นแน่ๆ ถ้าหากพวกเขาคิดว่าผมหนีไปโดยใช้ลิฟต์จริงๆ




    “ฉันว่าเราไม่รอดแน่” เชย์ส่ายหน้า เธอดูหมดหวัง “พวกมันคงมีตั้งสิบกว่าคน พวกเรามีแค่ห้าคน”




              “อันที่จริงพวกนั้นมีอย่างต่ำสักสี่สิบได้” ผมแก้ แต่หยุดปากตัวเองไม่ทัน สิ่งที่ผมเพิ่งพูดทำให้ทุกคนแทบจะทรุด พวกเขาควรจะได้รับคำปลอบใจสิ ไม่ใช่ซ้ำเติม...




              เมแกนเหมือนจะยอมแพ้เธอเดินกลับเข้าไปในมุมมืด โซอี้เดินวนไปมาคิดอะไรไม่ออก เชย์ทำท่าจะพิงผนังเหมือนหมดแรง แต่สิ่งที่ติดอยู่ทำให้เธอเลือกที่จะนั่งลงกับพื้นแทน ส่วนไซม่อนยืนครุ่นคิดอะไรบางอย่างท่าทางเคร่งเครียด





              “ฟังนะ! ฉันรู้ว่าเรามีกันแค่ห้าคน ฉันรู้ว่าพวกมันมีมากขนาดไหน ใช่ ถ้าพูดกับเป็นเปอร์เซ็นต์หรือตัวเลข เราคงมีโอกาสน้อย” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ดึงดูดความสนใจทุกคนในแทบจะทันที “แต่รู้อะไรไหม? ฉันเคยอยู่ตรงนั้นมาแล้ว ฉันเคยถูกล้อมรอบด้วยพวกรอยยิ้มสี่สิบกว่าคนในห้องทำพิธีนั่น พวกนั้นมีอาวุธครบมือ ส่วนฉันมีแผลอยู่เต็มตัว แทบจะขยับไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ฉันก็สู้ และยังรอดมาได้ โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย”




              “สภาพแบบนาย ใช้คำว่า ไม่เป็นอะไร คงไม่ได้หรอก” ไซม่อนท้วง เขาให้ให้เห็นแผลที่เกิดจากการถูกแทงตรงหน้าท้อง รวมทั้งแผลต่างๆ ที่ได้จากการต่อสู้บนแท่นพิธี สภาพของผมดูไม่จืด ตอนแรกผมกะว่าจะไม่คิดถึงมัน แต่พอมองเห็นก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที ผมพยายามกลั้นความรู้สึกนั้นไว้ อดทนกับมันอีกสักนิด




              “ฉันรู้ แต่ฉันก็ช่วยพวกนายไว้ได้ไม่ใช่หรือไง?” ผมว่า “เรายอมแพ้ตอนนี้ไม่ได้ ที่เราต้องการก็แค่ทีมเวิร์ค เราต้องร่วมมือกัน ทำงานกันเป็นทีม แล้วฉันสัญญาว่าเราจะออกไปจากที่นี่ได้แน่” ผมพยายามพูดอะไรที่ดูเท่ แบบที่พวกพระเอกในหนังสยองขวัญชอบพูดกัน อย่างน้อยผมก็หมายความตามที่พูดจริงๆ ผมแค่คิดว่ามันถึงเวลาที่เราต้องสู้กลับบ้างแล้ว แค่นั้นเอง




              ทุกคนมองกันและกัน ต่างคนต่างกังวลถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่อย่างน้อยพวกเราทุกคนรู้ว่าหากไม่ยอมเสี่ยงก็คงจะติดอยู่ตรงนี้ไปตลอด ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะหาเราเจอ เว้นเสียแต่ว่าเราจะออกไปให้พวกนั้นเจอเสียก่อน ดูจะไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก แต่ก็เป็นทางเลือกที่อย่างน้อยมีคำว่า รอดชีวิต อยู่ในความเป็นไปได้




              “โอเค” เมแกนพยักหน้ากับตัวเอง “นายนำ เราตาม บอกมาว่าเราจะต้องทำยังไง? จะฝ่าฆาตกรโรคจิตอาวุธครบมือกว่าสี่สิบคนออกไปจากตึกยี่สิบชั้นยังไง?”




              “เราต้องสู้กลับ” ผมพูดเสียงดังฟังชัด จากนั้นเราก็เริ่มต้นเตรียมพร้อมสำหรับการหนี เริ่มจากปรับเครื่องแต่งกายให้เข้ากับสถานการณ์  พวกเราพับแขนและชายเสื้อให้เข้าที่ เพื่อที่จะได้สะดวกเวลาวิ่ง สาวๆ ถอดทั้งสร้อยและแหวน พวกของที่ไม่จำเป็นทุกอย่างออก เมแกนบ่นอุบเรื่องที่เธอต้องถอดส้นเข็มราคาแสนแพงยี่ห้อดังที่มีเพียงไม่กี่คู่ในโลกของเธอ ผมพยายามเกลี้ยกล่อม ท้ายที่สุดเธอยืนกรานว่าอย่างน้อยจะยอมถือมันตลอดทาง




              “ฉันเสียกระเป๋าไปแล้ว จะไม่ยอมเสียส้นเข็มคู่นี้อีก” เมแกนว่า กอดรองเท้าคู่นั้นไว้ข้างตัว ผมได้เพียงแต่เกาหัว “เชื่อฉัน ของมีระดับแบบนี้ มีประโยชน์เสมอแหละ”




              จากนั้นพวกเราก็พยายามเสาะหาของที่พอจะใช้ป้องกันตัวได้ เรามีขวานด้ามยาวอันหนึ่งที่ได้จากชายคนที่ไซม่อนซัดจนสลบไปเมื่อครู่ และมีดพกเล่มนึงจากซากของชายคนที่โดนเหล่ารอยยิ้มรุมปลิดชีพตอนที่ผมซ่อนอยู่หลังกรง ไซมอนกับเชย์ยอมที่จะสละอาวุธให้คนอื่นถือเนื่องจากพอจะมีวิชาป้องกันตัวอยู่บ้าง โซอี้ได้ถือขวาน เมแกนถือมีดในขณะที่มืออีกข้างหนีบรองเท้าคู่แสนรักของเธอแน่น ส่วนผมไร้อาวุธ แต่ยืนอยู่หลังสุดของกลุ่ม เนื่องจากสภาพแย่เต็มทน อีกทั้งผมยังเป็นคนที่รู้โครงสร้างของตึกนี้มากกว่าใครในกลุ่ม




              เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ต่างพยักหน้าให้กัน ผมกลืนน้ำลายเล็กน้อย อาการใจสั่นกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เวลาของการหลบซ่อนอีกต่อไป เราจะต้องเผชิญหน้า และเมื่อไซม่อนให้สัญญาณว่าทางสะดวก พวกเราทั้งห้าจึงก้าวออกจากห้อง ออกมาตรงทางเดิน สภาพของมันในตอนนี้ดูวุ่นวาย ของหรูที่เคยใช้ตกแต่งล้มระแนระนาด เรียงรายเกะกะอยู่บนพื้นพรม บ่งบอกถึงความบ้าคลั่งของพวกรอยยิ้ม




              ผมอยากให้คุณลองนึกจินตนาการถึงภาพของเด็กวัยรุ่นห้าคน ยืนจังก้าเรียงหน้ากระดานอยู่ตรงทางเดิน ต่างคนต่างชูอาวุธพร้อมสู้ ส่งสายตาเอาเรื่อง สภาพเหมือนกับนักรบที่พร้อมทำสงคราม เราทุกคนกลั้นความกลัวเอาไว้ จากนั้นก็เดินเร็วๆ อย่างระมัดระวังไปตามทางเดิน ต่างคนต่างสอดส่องไปยังห้องข้างๆ เพื่อดูว่ายังมีคนอื่นหรือไม่ พวกเราเกาะกลุ่มกันแน่น พยายามส่งเสียงให้น้อยที่สุด




               “เดาจากความรู้สึกของฉัน ลิฟต์น่าจะอยู่เยื้องไปทางซ้ายหน่อยๆ จะต้องเป็นห้องปลายสุดทางเดินด้านซ้ายนั่นแน่ๆ” ผมชี้ไปยังห้องที่ว่า ประตูห้องนั้นเป็นไม้ที่ดูธรรมดาเหมือนห้องอื่นๆ แต่ผมแน่ใจว่ามันต้องมีสักทางที่เราจะออกไปจากชั้นนี้ พวกเราก้าวเท้าเร็วๆ พยายามจะไม่สะดุดเข้ากับของที่กระจัดกระจายอยู่ตามทางเดิน จนกระทั้งใกล้ไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย ดูเหมือนพวกรอยยิ้มจะลงไปชั้นอื่นจนหมด




              เมื่อทั้งหมดหยุดอยู่หน้าประตู เรามองหน้ากันเพื่อเกี่ยงให้อีกฝ่ายเป็นคนหมุนลูกบิด ท้ายที่สุดผมก็ยอมเอื้อมมือไปสัมผัสมันด้วยตนเอง ผมรู้สึกได้ทันทีถึงความเย็นที่แล่นเข้าปะทะผิวหนัง ไซม่อนกับคนที่เหลือยืนเอาตัวแนบผนังอยู่ข้างประตู คอยระวังเผื่อในกรณีที่จะมีอะไรพุ่งออกมา ผมเอาหูแนบกับประตูเพื่อฟังเสียงข้างในห้อง เช็คดูว่ามีใครอยู่ข้างในหรือไม่ และมันเงียบ ผมกลืนน้ำลายอึกนึงเพื่อทำใจ จากนั้นก็หมุนลูกบิดจนสุดอย่างเบาๆ จากนั้นก็ค่อยๆ แง้มประตูออก  




              ภาพที่ปรากฎตรงหน้าคือห้องที่เล็กเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นห้อง ใหญ่กว่าความกว้างของประตูเพียงหน่อยเดียว ผนังทาสีครีมเรียบๆ ไม่มีอะไรตกแต่ง เหมือนไม่ได้มีไว้เพื่อให้ใครมาใช้ประโยชน์ อันที่จริงแทบจะเรียกได้เลยว่าเป็นห้องเปล่าๆ สิ่งเดียวที่ปรากฎอยู่ในห้องนี้คือประตู เป็นประตูแผ่นเหล็ก ทาสีแดงสดตัดกับสีห้องได้อย่างหน้าขนลุก มันคือประตูลิฟต์!




              “มีลิฟต์อยู่จริงๆ ด้วย!” ผมโพล่ง พุ่งตัวเข้าไปในห้อง รีบกวักมือพวกที่เหลือให้เข้ามา เราทั้งหมดมองลิฟต์อย่างยินดีสุดขีดประหนึ่งเพิ่งเจอแผ่นหนังสยองขวัญเรื่องใหม่ที่ยังไม่เคยดูมาก่อนในชีวิต (เออ อันที่จริงอาจเป็นแค่ผมคนเดียว) ผมรีบมองหาแป้นกด จากนั้นก็พบแผงปุ่มลิฟต์เล็กๆ ข้างๆ ประตู จากนั้นปัญหาใหญ่ก็รีบเข้ามาทักทายพวกเราโดยไม่รีรอ ก็ไอ้แผงปุ่มลิฟต์พวกนั้นกลับเต็มไปด้วยปุ่มคำสั่งที่หน้าตาไม่คุ้น และส่วนใหญ่จะมีลักษณะกลมๆ วาดเป็นรูปหน้าการ์ตูนรอยยิ้มหลากสี ผมจ่อนิ้วค้างอยู่ตรงนั้นไม่แน่ใจว่าควรกดปุ่มไหนดี




    “นี่มันอะไรเนี่ย? ไอ้ปุ่มรอยยิ้มพวกนี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่?” เชย์สงสัย




    “มีแต่พวกรอยยิ้มเท่านั้นแหละที่รู้” โซอี้ตอบ พยายามเข้าไปดูที่แต่ละปุ่มใกล้ๆ อย่างสนใจใคร่รู้




    “ต้องมีรอยยิ้มสักปุ่มที่เป็นตัวสั่งให้ลิฟต์มาหา ที่เหลืออาจเป็นกับดัก” ไซม่อนไม่พูดเปล่า คว้ามือผมให้ออกห่างจากแผงปุ่มพวกนั้นชั่วคราว




    “ฉันชอบปุ่มรอยยิ้มสีชมพู ดูน่ารักดี ลองกดอันนั้นมั้ย?” เมแกนเสนอ




    “แต่ฉันว่าสีเหลืองจะดีกว่านะ มันเป็นสีนำโชคของฉัน” เชย์ว่า “ฉันอ่านมาจากในนิตยสารสัปดาห์ล่าสุด”




             “เฮ้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ ที่สีนำโชคของเธอสามารถช่วยชีวิตคนอื่นๆ ได้” โซอี้ท้วง “ฉันชอบสีเขียว เหมือนสีของธรรมชาติ ต้นไม้ ใบหญ้า สีแบบนี้ไม่น่าจะพาเธอไปตายได้หรอก”




            “ได้โปรด สีนั้นเชยสะบัด! ถ้าเฉดสีต้องมาเป็นตัวกำหนดชีวิตฉันละก็ ฉันจะไม่เอาสีที่ไม่เข้ากับชุดของฉันมาเสี่ยงเด็ดขาด” เมแกนส่ายหน้าแล้วเบ้ปาก “ช่วงหน้าฝนแบบนี้ต้องเป็นสีฟ้าหม่น หรือไม่ก็สีครามเท่านั้นแหละ ถึงจะดูดีที่สุด”



    “เฮ้ ฉันชอบสีดำ” ผมออกความเห็นบ้าง “ดูลึกลับดี น่าค้นหา เหมือนหนังสยองขวัญ”




              “สิ่งเดียวที่นายจะค้นหาได้จากสีดำคือความตาย โถ่ แมต! สีดำน่ะมันสีงานศพนะ เป็นสีที่แย่ที่สุดที่เธอจะเลือกเลย” เมแกนบอก จากนั้นเราทั้งสี่เริ่มเข้าสู้การถกเถียงเล็กๆ เรื่องที่ว่าจะกดปุ่มรูปรอยยิ้มสีอะไรดีที่จะเป็นการเรียกลิฟต์มาหาแทนที่จะพากลุ่มฆาตกรนับสิบมารุมยำพวกเรา ในสถานการณ์แบบนี้ ผมเสนอให้กดๆ ไปสักปุ่มเหอะ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมเสี่ยง ต่างคนต่างยืนกรานว่ากดปุ่มสีของตัวเองดีที่สุด เราเริ่มจากการเป่ายิ้งฉุบ จากนั้น ท้ายที่สุด เราก็เสนอจะให้ไซม่อนผู้ที่ยืนเงียบอยู่นานเป็นคนตัดสิน

     



              “สีอะไรดี ไซม่อน? นายเลือกเลย” ผมหันไปบอก ไซม่อนไม่ได้ให้ความสนใจผมเท่าไหร่แม้จะยืนอยู่ติดกัน เขากลับมองตรงไปที่ลิฟต์ข้างหน้าแล้วแสดงสีหน้าที่แปลกประหลาด เพียงแค่เห็นผมก็รู้สึกได้ว่าอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของเขา บางทีผมก็คิดๆ อยู่ว่าไอ้นิสัยที่เดี๋ยวที่บ้าดีเดือด เดี๋ยวก็นิ่งและสุขุมของเขามันทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากกว่าที่ควร




    “ไซม่อน ได้ยินหรือเปล่า? นายต้องเป็นคนตัดสินแล้วนะ ว่าจะกดปุ่มสีอะไรดี ก่อนที่พวกนั้นจะมาเจอเรา” เมแกนเร่ง










    “สีแดง” ไซม่อนกล่าวสั้นๆ ห้วนๆ







    “อะไรนะ? จะให้กดปุ่มสีแดงเหรอ?” ผมทวนคำให้เขา








              “ไม่ใช่! ไซม่อนเพิ่มระดับเสียงดังกว่าเดิมจนดูจริงจังมากไป ผมมองตามสายตาของเขาเพื่อดูว่าอะไรที่ทำให้เขาแสดงออกแบบนี้อย่างกระทันหัน แล้วใบหน้าผมก็หยุดจดจ้องอะไรบางอย่างอยู่ที่พื้นหน้าประตูลิฟต์ ผมเข้าใจในทันทีเมื่อไซม่อนพูดซ้ำอีกครั้งว่า “สีแดง”




              เราทั้งห้ากำลังมอง สีแดง ที่ไซม่อนพยายามจะสื่อ ในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่าเส้นขนทั้งร่างกายกำลังลุกซู่ขึ้นมาด้วยความสะพรึง เราไม่เคยตระหนักมาก่อนเลยว่าประตูลิฟต์นี้ไม่ใช่สีแดงมาตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่เคลือบมันไว้ต่างหากที่ย้อมที่ให้เหล็กสีเทากลายเป็นสีแดงแสบตา มันคือเลือดต่างหาก! เลือดที่ยังไม่แห่งดี บ่งบอกถึงชีวิตของใครบางคนที่ถูกฉีกกระชากไปจากนั้นจึงค่อยๆ ถูกรีดเลือดออกมาทาทั่วทั้งประตูลิฟต์ให้ดูเหมือนเป็นงานศิลปะ ผมทดลองเอานิ้วที่กำลังสั่นของตัวเองไปเตะ จากนั้นเลือดที่ส่งกลิ่นคาวใหม่ๆ ก็ติดนิ้วมาจริงๆ




              แล้วสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าก็ค่อยๆ แฝงตัวเข้ามาในสถานการณ์ ไม่มีใครสังเกตมันจนกระทั่งเรามองต่ำลง จู่ๆ กองเลือดจำนวนหนึ่งก็หลั่งไหลเป็นทางออกมาจากร่องประตูลิฟต์ ไหลออกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นกองน้ำขังที่กำลังขยายตัวบนพื้น เราทั้งห้าถอยออกจากประตูลิฟต์อัตโนมัติ ถอยไปจนหลังติดผนัง มีบางอย่างอยู่หลังประตูลิฟต์ เลือดที่พลั่งพรูออกมาโดยไม่รู้สาเหตุกำลังบอกผมว่าตัวลิฟต์เพิ่งจะเคลื่อนมาถึงชั้นนี้ด้วยฝีมือของใครบางคน







     และไม่ว่ามันคนนั้นเป็นใคร มันกำลังจะออกมาจากลิฟต์!




     

              แล้วประตูเหล็กสองข้างเลื่อนออก เผยให้เห็นผู้โดยสารจากตรงกลาง ภาพค่อยๆ ชัดขึ้น ปรากฎการมาถึงของสองสัตว์ร้ายผู้หิวโหยกับสองซากศพอันน่าสะเทือนใจ




              อเล็กซ์นอนหงายกองอยู่บนพื้นลิฟต์ แขนขากางออกไร้ทิศทาง ทั่วทั้งร่างชุ่มไปด้วยสีแดง ผมแทบจะจำไม่ได้ว่านั่นคืออเล็กซ์ เพราะศีรษะของเขาแหลกละเอียด มีรอยยุบบุ๋มลงไปตรงกระโหลกอย่างเห็นได้ชัด อีกร่างหนึ่งนอนคว่ำอยู่ข้างๆ แต่สภาพร้ายแรงกว่าเยอะ หัวของเขาไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นหัว สภาพที่แบบนั้นแทบมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าเป็นใคร ถ้าไม่ใช่เพราะชุดสูทที่ร่างนั้นสวมใส่ประจำ ผมคงไม่รู้เลยว่านี่คืออัลเฟร็ด เมอร์คิวรี่ อดีตผู้ดูแลตึกแห่งนี้ เลือดของทั้งคู่นี่เองที่ไหลเจิ่งนองออกมานอกลิฟต์




              แต่ที่ต้องกังวลในตอนนี้คือชายอีกสองคนที่กำลังยืนอยู่ ทั้งคู่เป็นชายร่างใหญ่ แค่สองคนก็เกือบจะบดบังพื้นที่ทั้งหมดในลิฟต์ พวกเขายืนตรงยืดตัวสูงในท่าเดียวกัน หน้าตาคล้ายกัน บนมือถืออาวุธแบบเดียวกันคือค้อนปอนด์หัวใหญ่ที่มีสีแดงของเลือดเปื้อนปนอยู่กับเศษชิ้นเนื้อ อย่างเดียวที่ทำให้ทั้งสองต่างกันคืออายุ คนหนึ่งคือวัยรุ่นรูปร่างกำยำล่ำสัน เขาคือคริสเตียน ส่วนอีกคนคือชายสูงอายุตัวอ้วนที่ถอดชุดคลุมของรอยยิ้มออกแต่ยังคงสวมเครื่องแบบตำรวจ เขาคือตำรวจหมีพูห์




              “โอ้ เทพเจ้าแห่งรอยยิ้ม!!คริสเตียนอุทานเสียงดัง ทันทีที่เขารับรู้ถึงการมีอยู่ของผม รูม่านตาทั้งสองข้างของเขาก็ขยายออกกว้าง คล้ายผู้ล่าที่กำลังใจเต้นเมื่อเจอเหยื่อตัวโปรด ทั้งคริสเตียนและตำรวจหมีพูห์ระเบิดหัวเราะพ่นลมหายใจออกทางจมูกราวกับว่าเพิ่งถูกรางวัลที่หนึ่ง “ท่านเข้าข้างฉัน! ท่านเข้าข้างฉันจริงๆ! ดูสิ ท่านส่งไอ้แมลงสาบมาให้ถึงที่เลย!




              “มันเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว หลานรัก! สาขาของเรานี่แหละ ที่เป็นผู้ถูกเลือกของตระกูลที่แท้จริง!” ตำรวจหมีพูห์พร่ำเพ้อ เอาค้อนบนมือหมุนด้ามไปมาจนเลือดกระเซ็นเล็กน้อย ท่าทางเหมือนกำลังสนุก เขาเตะร่างของอเล็กซ์มาขวางประตูไว้ ทำให้ประตูลิฟต์นั้นเปิดอยู่ตลอด “เสร็จไปหนึ่งสาขา ต่อไปก็จะเป็นแก จากนั้นเราก็จะไปจัดการไอ้พวกรู้มากนั่นกัน!


     

              แล้วคำอธิบายก็ปรากฎขึ้นในหัวผมทันที การคัดเลือกผู้นำยังไม่ถือว่าจบ เราทั้งสี่คนยังต้องฆ่ากันจนกว่าจะเหลือเพียงหนึ่ง อเล็กซ์กับอัลเฟร็ดตายไปแล้ว และดูเหมือนคราวนี้พวกเขาจะเปลี่ยนกฎให้สามารถมีตัวช่วยได้ด้วย แล้วตัวช่วยที่น่าเกรงขามที่สุดจะเป็นใครไปได้ล่ะ นอกจากตำรวจหมีพูห์ร่างยักษ์






               “อย่าเข้ามานะ!โซอี้ชูขวานขู่ มือของเธอสั่น และผมสังเกตเห็นว่าเธอจับขวานผิดวิธี แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังคงพยายามขุดเอาความกล้าออกมา แต่ความกล้าของเธอจะพอหรือเปล่า ถ้าต้องเจอกับค้อนปอนด์อันนั้น? ส่วนเมแกนกำมีดเหยียดไปข้างหน้าสุดมือ แขนอีกข้างหนีบรองเท้าสุดหวงไว้แน่นดูไม่ค่อยมีพลังเท่าไหร่  เชย์รู้ดีว่าสองมือเปล่าของเธอคงอาจทำอะไรได้ ในขณะที่ไซม่อนรีบคว้าตัวผม พยายามดึงให้ผมออกห่างจากระยะทางออกลิฟต์ ผมเซไปตามแรงดึง ได้ครู่เดียว ตัวผมก็หลุดมือไซม่อนไป เขาล้มลง ทำให้คนอื่นๆ ต้องกระถดถอยตาม จังหวะทุกอย่างผิดพลาดไปหมด จึงเหลือแต่ผมเพียงคนเดียวที่ยืนประจันหน้ากับคริสเตียน




              ผมรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังกระทุ้งหน้าอกออกมา ในตอนที่ผมค้นพบว่าตำแหน่งของคริสเตียนไม่ได้อยู่ในลิฟต์อีกต่อไป! เขาวิ่งเข้ามา ผมเผลอร้อง เท้ารีบขยับโดยไม่ทันตั้งตัว ขาผมพันกัน แล้วผมก็ล้มลงไปอีกคน แต่ค้อนปอนด์อันนั้นคงถูกใจหัวกระโหลกผมเข้าให้แล้ว มันถูกหวดให้พุ่งเข้ามา และคริสเตียนก็เกือบแม่น แค่เกือบ หัวค้อนเฉียดโดนเส้นผมเพียงนิดเดียว มันกระแทกไปโดนผนังเข้าอย่างจัง เกิดเสียงระเบิดกัมปนาทข้างหูผม




              ค้อนอันนั้นทรงพลังมากจนน่าหวาดหวั่น ผมมองผลที่เกิดขึ้นกับผนังสีครีม และมันเกิดรอยร้าว! หัวค้อนแทบจะฝังตัวเข้าไปในเนื้อปูนเลยด้วยซ้ำ! ผมรีบยันตัวลุกขึ้น สายตาเหลือบไปมองร่างของอเล็กซ์และอัลเฟร็ด ในตอนนั้นทุกอย่างแจ่มแจ้มในความคิดทันที ผมจินตนาการออกเลยว่าอะไรที่ทำให้หัวของทั้งคู่ไม่เหลือสภาพแบบนั้น ผมได้ยินพวกสาวๆ กรีดร้อง เป็นเพราะว่าตำรวจหมีพูห์ตัดสินใจเข้าไปจัดการกับคนที่เหลือ เพื่อให้ผมตกเป็นของคริสเตียนเพียงคนเดียว




             เมแกนฟาดมีดมั่วๆ ไปมาในอากาศ พยายามกันไม่ให้ตำรวจเข้าใกล้พวกเธอมากที่สุด ชายร่างยักษ์แสยะยิ้มแล้วเอาค้อนหวดใส่มีดโดยตรงเพื่อเป็นการแสดงพลัง มีดเล่มนั้นหลุดออกไปจากมือเมแกนทันที เมื่อตกถึงพื้นก็เห็นได้ว่ามันงอ ผมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเพียงแค่นั้น เพราะผมต้องใช้เวลาที่เหลือหลบหลีกหนีจากค้อนของคริสเตียน เขาบ้าคลั่งและไร้เทียมทาน ผมรู้สึกกลัวอย่างฉับพลันเพราะค้อนนั่นกำลังจะส่งผมไปสู่ความตาย พื้นที่รอบๆ ผมเต็มไปด้วยรอยแตกที่เกิดจากการกระแทก




              “ฉันให้โอกาสแกเอาหัวมาโดนค้อนของฉันดีๆ หรือไม่งั้นฉันจะเอาค้อนนี่ไปฝังอยู่ในกระโหลกของแก!!” คริสเตียนพยายามสรรหาคำพูดข่มขวัญที่เขาคิดว่าฟังดูฉลาด แม้ว่ามันจะไม่ได้ฟังดูเข้าท่าเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีค้อนอยู่บนมือ และค้อนอันนั้นไม่จำเป็นต้องใช้คำขู่ขวัญอะไรเพื่อให้มันฆ่าคนได้ มันเพียงแค่ต้องการผู้ถือที่มีพลังมากพอจะสามารถบดก้อนหินได้ด้วยมือเปล่าก็เท่านั้น




              “หลานของฉันจะต้องได้เป็นผู้นำ!!” ชายร่างยักษ์คำรามแบบหมีป่า ในพื้นที่แคบๆ แบบนี้ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้มากนัก ความสำเร็จล่าสุดของเราคือโซอี้ฟาดขวานมั่วๆ ไปโดนเอวของตำรวจหมีพูห์และเขาชะงักไปชั่วขณะ เชย์กับไซม่อนพร้อมใจกันใช้จังหวะนั้นเพื่อกระโจนเอาตัวเข้าไปคลุกวงใน ไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสใช้ค้อนได้เป็นครั้งที่สอง แต่ด้วยพลังอันเหลือเฟือเขาปัดไซม่อนกระเด็น ในขณะที่เชย์แย่งค้อนออกมาได้สำเร็จ เธอจงใจคว้างมันไปไกลๆ




              ตำรวจหมีพูห์หายใจฟืดฟาด ลมออกหูด้วยความโกรธแค้น เขาตั้งท่าแบบสิงโตกำลังจะตระครุบเหยื่อ แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่องการต่อสู้ด้วยสองมือเปล่าแล้ว เชย์คือผู้ได้เปรียบ เธอกำหมัด ยืดแขนทั้งสองข้างออกมาตั้งการ์ด หญิงสาวยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เธอแสดงความมั่นใจในแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน สายตาทั้งสองของเชย์เหมือนจะบอกผมว่าเธอกำลังรู้สึกเหมือนอยู่ในสังเวียนแข่งขัน เธอหลบการจู่โจมที่ไร้รูปแบบของตำรวจหมีพูห์อย่างง่ายดาย จากนั้นเชย์ก็โจมตีกลับด้วยศิลปะการต่อสู้ของเธอ หญิงสาวยืดขาสูง ฟาดเข้าที่ใบหน้าของเขาเต็มๆ เพียงเท่านั้นชายร่างยักษ์ก็ล้มลง ไม่รู้ผมตาฝาดหรือเปล่า แต่ผมแอบเห็นฟันสองสามซี่กระเด็นออกมาจากปากของเขาด้วย ชายแก่หงายตึงนอนลงกับพื้นเลือดกบปาก จากนั้นไม่ต้องพูดอะไร สามสาวก็พร้อมใจกับเข้าไปรุมกระทืบแสดงพลังของเหล่านางพญา




              “ลุงแลรีย์!!คริสเตียนร้องดัง เขากัดฟันตัวเอง บดขยี้เสียดสีจนเกิดเสียง จากนั้นชายหนุ่มก็ระเบิดอารมณ์ ร้องตะโกนเสียงดัง รวมเอาแรงแค้นทั้งหมดมาลงที่ผม เขาทุ่มค้อนด้วยความแรงกว่าเดิม และหวดเร็วกว่าเดิม ผมไม่สามารถหยุดอยู่กับที่ได้เลย หลายๆ ครั้งที่ค้อนอันนั้นเฉียดตัวผมมากๆ จนแทบจะเห็นโลกหน้าอยู่รอมร่อ ในที่สุดคริสเตียนก็ตัดสินใจหยุดมือของตัวเองกระทันหัน ผมไม่ได้คาดการณ์มาก่อน คริสเตียนใช้มืออีกข้างคว้าตัวผมในขณะที่ผมเผลอ จากนั้นก็กดผมลงกับผม หัวผมกระแทกพื้นแข็งๆ อย่างจัง พอเหลือบตามองก็เห็นคริสเตียนที่กำลังนั่งคร่อมตัวผม ชูค้อนขึ้นเหนือหัว เตรียมตัวจะปล่อยมันลงมาตามแนวแรงโน้มถ่วง ผมกรีดร้องเสียงดังสุดชีวิตเพราะกำลังจะได้ไปทักทายกับคนอื่นๆ ในนรกเร็วๆ นี้




             “ปล่อยแมตนะ! เมแกนตะโกนห้าม เธอตัดสินใจปารองเท้าสุดรักของเธอเข้าใส่ ข้างแรกปาพลาดเลยตัวคริสเตียนไป อีกข้างโดนเข้าที่หลังของเขาอย่างจัง เรียกความสนใจคริสเตียนได้ในทันที เขาหันไป แล้วหัวเราะเยาะเย้ยใส่เมแกน เพราะเขารู้ว่าเขาไม่หยุดมือของตน ค้อนนั่นทุ่มลงมา ร่างกายผมสะดุ้งเฉียบพลัน ผมหลับรีบตาปี๋ วินาทีนั้นรีบคว้าอะไรก็ได้ที่อยู่รอบตัว มือผมจับอะไรบางอย่างที่แข็งๆ ได้ ผมไม่รีรอ ฟาดมันเข้าใส่หัวของคริสเตียนตรงๆ





    ฉึก






              แล้วผมก็กลั้นหายใจ รอให้ค้อนนั้นพุ่งโดนกระโหลกตัวเอง แต่สักพักก็รู้ว่ารอนานเกินไป อะไรบางอย่างทำให้คริสเตียนหยุดมือ ค้อนปอนด์อันนั้นร่วงลงจากมือของเขา โดนหน้าอกของผมพอดีแต่ไม่แรงมากนัก อย่างน้อยกระดูกก็ไม่หัก ผมปรับสายตาของตัวเองให้ชัดๆ ก่อนที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มือของผมยังคงกำของสิ่งนั้นไว้แน่น ของที่ผมใช้ฟาดใส่หัวคริสเตียนเมื่อครู่ ของนั่นยังคงคาอยู่บนหัวของเขาและมันติดแน่นเสียจนดึงไม่ออก มันคือรองเท้าส้นเข็มยี่ห้อดังของเมแกน ส่วนที่เป็นส้นแหลมคือสาเหตุที่ทำให้คริสเตียนเงียบลง เพราะมันฝังอยู่ในหัวของเขา เลือดเขาไหล คริสเตียนล้มทับตัวผมในทันทีและแน่นิ่งไม่ขยับไปไหนอีกเลย สามสาวยืนตะลึงงันกับสิ่งที่ได้เห็น ไซม่อนรีบเขามาช่วยลากตัวคริสเตียนออกไปให้พ้นจากผม





              ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพราะเกือบจะโดนทับจนหายใจไม่ออก จากนั้นก็หอบไม่หยุดอย่างบ้าคลั่ง ผมคลานไปเอาตัวพิงเข้ากับผนัง เราทั้งห้ารวมตัวกันนั่งพักหายใจหายคอโดยไม่สนสภาพรอบข้าง ร่างกายผมยังคงสั่นไม่หายเพราะความตื่นเต้น เมแกน โซอี้ และเชย์โอบกอดกันและกันเป็นการปลอบใจชั่วขณะ จนกระทั่งเวลาผ่านไป อาจจะสักห้าหรือสิบนาทีได้ เรานั่งอยู่อย่างนั้นนานมากจนเกือบหลงจะคิดว่าเรารอดแล้ว ทั้งๆ ที่เรายังไม่ทันออกไปจากชั้นสิบแปดเลยด้วยซ้ำ พวกเราลุกขึ้น เดินไปหน้าลิฟต์ ร่างของอเล็กซ์ยังคงขวางประตูอยู่เช่นเดิม มันเปิดรอพวกเรา ไซม่อนใจกล้า ลากเอาศพที่อยู่ในลิฟต์ออกไปกองรวมกับพวกคริสเตียน จากนั้นเราทั้งหมดก็เข้าไปอยู่ในลิฟต์




              “เฮ้ เมแกน” ผมพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะใช้นิ้วกดปุ่มปิดประตูลิฟต์ แผ่นเหล็กทั้งสองเลื่อนเข้าหากัน จากนั้นเราก็ติดอยู่ในลิฟต์ที่พื้นชุ่มไปด้วยเลือดโดยสมบูรณ์ “ฉันเชื่อเธอแล้วล่ะ รองเท้าแบรนด์เนมนั่นมีประโยชน์จริงๆ เธอน่าจะซื้อเก็บมาไว้อีกสักร้อยคู่นะ”





    “มันเป็นรุ่นลิมิเต็ด อิดิชั่น มีแค่ห้าคู่ในโลกเท่านั้นย่ะ!” เมแกนตอบห้วนๆ         

                                                                                                               



     


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    โปรด ติด ตาม ตอน จบ!!




    โอ๊ยยยยยย /// นี่ไรท์ดองนิยายไปครึ่งปีเลยเหรอเนี่ยยยยยยยยย ขอทำร้ายตัวเองแปป 



    คือแบบ ห่างหายไปนานมาก จนนึกว่านิยายเรื่องนี้จะไม่มีวันจบแล้ว แต่ก็ฮึกกลับมาจากหลุมอีกครั้งจนได้ และขอบอกว่าครั้งนี้ฮึดมาก นอกจากจะแต่งบทนี้เสร็จแล้ว ยังฮึดรีไรท์ภาคแรกจนเนื้อหาเพิ่มมาเกือบร้อยหน้า เอาไปส่งให้สำนักพิมพ์อีกรอบ เผื่อจะได้มีโอกาสแจ้งเกิดกับเขาบ้าง 



    คือแบบ คือแบบ คือแบบ (ทำไมต้องคือแบบวะ?) คือแบบ ขอสารภาพล่วงหน้าเลยว่า สาเหตุที่หายไปครึ่งปีนี่ไม่ใช่อะไรหรอกนะ มีสองสาเหตุ



    1.ยุ่งกับการเป็นเฟรชชี่มหาลัย (ตอนนี้ไม่เฟรชละ)



    2. เฟลจากการโดนปฎิเสธต้นฉบับภาคแรก (สาเหตุหลัก) นี่มันคือเฟลมากถึงมากจริงๆ เลยนะ ถึงขั้นหยุดแต่งนิยาย แล้วก็หยุดอ่านนิยายมาตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ ตั้งปฎิญาณตนเอาไว้ว่า ถ้ายังไม่เห็นนิยายของตัวเองอยู่บนชั้นหนังสือในร้าน จะไม่มีวันซื้อนิยายเล่มใหม่มาอ่านอีก (เป็นเอามากของแท้) 



    รู้สึกเหมือนเราเป็นคนที่ล้มลง แล้วตอนนี้เราลุกขึ้นมาตั้งหลักได้แล้ว พร้อมสู้ต่อของจริง และก็แอบรู้สึกขอบคุณเล็กๆ ที่ครั้งแรกไม่ได้ผ่านตีพิมพ์ ไม่งั้นเราคงไม่ได้เอางานเขียนตัวเองไปพัฒนาซะจนเรารู้สึกพอใจแล้วก็ภูมิใจในความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นของมันขนาดนี้







    บ่นมาพอแล้วครับ  มาถึงข่าวคราวของนิยายเรื่องนี้บ้าง



    ไรท์ขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตอนหน้าจะเป็นบทจบของภาค 2 นี้ครับ ไอเดียลอยเต็มหัวไรท์จนจะระเบิดออกมาเป็นโกโก้ครั้นท์แล้ว 



    หลังบทจบ จะแอบมีบทส่งท้ายเล็กๆ ตามประเภณี จากนั้น ไรท์ก็จะเปิดให้พูดคุยติชมนิยายเรื่องนี้กัน รวมถึงอาจจะมีการวางแผนถึงนิยายเรื่องต่อไป (ดู๊ดู มันดองไปเป็นชาติ ยังมีหน้ามาพูดเรื่องนิยายใหม่) (ก็แบบเค้าขอโทษ เค้ากลับมาฮึดแล้วนะตัวเอง) 



    ตอนนี้ยังคิดอยู่ว่าจะแต่งเรื่องใหม่ แนวผี ซอมบี้ เอเลี่ยน สืบสวน หรือยำแม่งให้หมดเลย
    หรือจะแต่งภาคต่อของซีรีย์ แมต ฟิตซ์ กับฆาตกรรมโหด มันส์ ฮา ต่อดี (ไอเดียบรรเจิดเต็มหัวมาก สำหรับภาคใหม่ มันจะต้องเป็นมหาการ์พ วะ ฮะ ฮ่า)




    หรือจะแหวกแนวไปแต่ง แฟนตาซี เเอ็คชั่น ดีวะ? เพราะรู้สึกหลังๆ จะมาเอาดีด้านนี้ซะมาก




    ยังไงก็ตาม อย่าลืมคอมเมนต์ แอนด์ แชร์ แสดงความคิดเห็น + ตามจิก ด่า ทวง ได้ตามสบายจ้า ไรท์ถ่างตาอ่านอยู่ตลอด แล้วว่างๆ ก็จะมาตอบเม้นต์ให้ด้วยจ้า 






    จุ๊บๆ XOXO

     
     










     
    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×