ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #20 : บทที่ 18 : หุบยิ้มเสียที! (บทจบ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 437
      7
      23 มิ.ย. 57

     

     

                                                            


     

     




    รู้ไหม บางครั้งมันก็ไม่สำคัญว่าทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร




     

    แต่มันสำคัญตรงที่เราจะจบมันอย่างไรต่างหาก




              เหมือนที่นกไม่เคยสนว่ามันจะบินขึ้นฟ้าจากจุดไหน สิ่งดียวที่พวกนกต้องกังวลคือมันจะลงจอดตรงไหน และอย่างไร เพราะบางครั้งการลงจอดผิดที่ก็อาจนำมันไปสู่หายนะได้ เช่นการลงไปเกาะบนรั้วติดไฟฟ้าของพวกชาวสวนจากนั้นก็ไหม้เกรียมไม่เหลือซากเป็นต้น




              ในช่วงชีวิตของมนุษย์เรา น่าแปลกที่ทุกคนเอาแต่หมกมุ่นกับการกลัวว่าพวกเขาจะเริ่มต้นชีวิตยังไง แต่น้อยคนนักที่จะคิดไปถึงจุดจบของชีวิต คนเรามีชีวิตอยู่โดยตระหนักตลอดว่าเรา ‘เกิดมาแต่ก็เลือกที่จะลืมว่าจริงๆ แล้วพวกเราก็ ตายได้ เราถึงได้ใช้ชีวิตโง่ๆ โดยไม่สนผลที่จะตามมา ไม่สนว่าเรากำลังจะลงจอดบนรั้วไฟฟ้าหรือไม่




    ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้ชีวิตของผมต่างจากคนอื่นนัก




               ครั้งนึง ผมเองก็เคยเป็นนกที่คิดแต่จะบิน และไม่สนว่าจะลงตรงไหน ผมเคยใช้ชีวิตในฐานะไอ้ห่วย มีชีวิตอยู่กับความทุกข์ของตัวเองไปวันๆ และความตายคือสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกของผม ผมไม่เคยสนเลยว่าหากใช้ชีวิตเช่นนั้นไปเรื่อยๆ ชีวิตของผมจะไปจบที่ตรงไหน  




    แต่ดูผมตอนนี้สิ




              ทุกวินาทีของชีวิตผม มีภาพจินตนาการมากมายล้านแปดยัดเยียดอยู่ในหัว และภาพทั้งหมดนั้นคืออัลบั้มที่ชื่อว่า ‘ความเป็นไปได้ที่ว่านายแมต ฟิตซ์จะตายอย่างไร ทุกลมหายใจของผมต้องคอยระแวดระวังภัยอยู่ตลอดเวลา ผมคิดถึงเรื่องความตาย ผมคิดถึงเรื่องจุดจบของตัวเอง ผมถามตัวเองทุกๆ ครั้งที่รอดจากเหตุการณ์หนึ่งมาได้ ผมถามว่าอยากจะให้ชีวิตของผมจบอย่างไร และคำตอบของผมก็คือ ไม่ใช่แบบนี้ ไม่ใช่แบบตัวประกอบหนังสยองขวัญที่ตายก่อนตอนจบ แบบที่ไม่มีความหมาย




              มีบางช่วงที่ผมร้องขอกับสวรรค์ บอกพวกเขาว่า โอ้ พระเจ้า! ส่งโรคมะเร็งมาที ให้ผมเป็นมะเร็งตายเถอะ! อย่างน้อยผู้อ่านก็จะเห็นผมตายในฐานะตัวเอกชีวิตรันทดที่ต่อสู้กับโรคร้ายและตายลงในบทจบอย่างกล้าหาญ แล้วผู้คนก็จะลุกขึ้นปรบมือยกย่อง จากนั้นก็เอาชีวิตของผมไปทำเป็นหนังหรือสารคดีเศร้าเคล้าน้ำตา




              ลึกๆ แล้ว ผมรู้ว่าที่จริงผมแค่ไม่อยากให้ทุกอย่างสูญเปล่า ไม่อยากให้ความพยายามในการเอาชีวิตรอดอย่างแสนสาหัสในแต่ละครั้งต้องไร้ค่า ผมเอาชีวิตรอดมามากเกินกว่าจะต้องเห็นชีวิตของผมจบลงไปดื้อๆ มันไม่ยุติธรรม เพราะบางครั้งผมก็รู้ตัวว่าชีวิตจะไม่หยุดทำร้ายผมแค่นี้แน่ มันจะต้องนำพาความอำมหิตครั้งใหม่มาหา ผมจึงต้องการความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ ต้องการจุดจบที่จะบอกผมว่า ‘ท้ายที่สุดแล้วนายจะปลอดภัย และมีความสุข




     
     

    “เราจะลงที่ไหน?” ผมพึมพำ ปล่อยให้ความคิดหลุดลอดออกมาจากปาก




              “อะไรเหรอ แมต?” โซอี้ส่งเสียงมาจากข้างหลัง ผมลืมไปเลยว่าทุกคนยังยืนเบียดอยู่ในลิฟต์ชุ่มเลือดกับผม “จะลงที่ไหนได้ล่ะ ก็ต้องเป็นชั้นล่างสิ เราต้องรีบหนีแล้วนะแมต อีกนิดเดียวก็จะออกจากตึกนี่ได้แล้ว”




              “ไม่ ฉันว่าแมตมีเหตุผลนะ” ไซม่อนเอ่ย ผมไม่รู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร “ลองคิดดูดีๆ พวกรอยยิ้มจะต้องกระจายตัวอยู่ทั่วตึกเพื่อตามหาเราแน่ และฉันไม่คิดว่าพวกนั้นจะปล่อยให้ห้องโถงใหญ่ที่ชั้นหนึ่งว่างเปล่าเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การหลบหนีของเราหรอก อาจจะมีรอยยิ้มคอยดักพวกเราตั้งแต่ทางออกหน้าลิฟต์เลยก็ได้”




              “ใช่” ผมแกล้งทำเป็นพยักหน้าเห็นด้วยราวกับตัวเองเป็นคนต้นคิด แต่สิ่งที่ไซม่อนพูดกระตุกต่อมความกังวลของผมเข้าอย่างจัง ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อน ไม่ได้คิดเลยว่าเราจะลงจอดอย่างไร เขาพูดถูกทุกอย่าง ปัญหาใหญ่ของพวกเราในตอนนี้คือเราไม่รู้ว่าพวกรอยยิ้มจะอยู่ที่ไหนบ้าง เราอาจจะบังเอิญเจอพวกนั้นระหว่างทาง และเราอาจไม่มีโอกาสหนีออกจากตึกนี่เลยก็ได้ อาวุธของพวกเรามีเพียงขวานด้ามแดงอันเดียว และทุกคนก็อ่อนแรงเกินกว่าจะถืออาวุธหนักๆ




              “ให้ตายสิ! ทุกครั้งที่เรารอดจากอะไรมาสักอย่างนึง ทำไมจะต้องมีเรื่องบ้าๆ มาคอยขัดขวางไม่ให้เราไปต่อตลอดเลย ฉันล่ะเกลียดชีวิตตัวเองจริงๆ!” เมแกนโวย ขยี้ผมตัวเองเป็นการระบาย




              “ใช่ ยินดีต้อนรับสู้โลกของฉัน น้องใหม่” ผมหันไปกล่าวกับเมแกนด้วยสีหน้าเรียบๆ ในขณะที่เธอเอามือสางผมให้กลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิม




              เราทั้งห้ายังคงยืนค้างอยู่ในลิฟต์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด มันไม่ใช่สภาพที่เราเสน่หาเท่าไหร่ ไม่มีใครต้องการทนอยู่ในสภาพนี้นานนัก เราแค่ต้องหาจุดหมายต่อไป และต้องให้แน่ใจว่าจุดหมายนั่นไม่ใช่นรก เรามีปุ่มแผงชั้นของลิฟต์เป็นตัวเลือกมากมาย ตั้งแต่ชั้นที่หนึ่งยันชั้นที่ยี่สิบ มันเหมือนเล่นเกมทายว่าพวกรอยยิ้มจะอยู่ชั้นไหน หรือบางทีอาจจะอยู่ทุกชั้นเลยก็ได้ และการไปชั้นอื่นๆ ที่ไม่ใช่ชั้นหนึ่งก็ดูจะไม่ใช่ทางออกจากตึก ทุกคนจำต้องเค้นสมองคิดหาทางทั้งๆ ที่ไม่มีใครอยาก สิ่งเดียวที่เรารู้คือเราอยากออกไปจากที่นี่ หนีออกจากเมืองนี้ให้เร็วที่สุด   




    “เอาล่ะ ถ้าเราลงไปที่ชั้นสองดูล่ะ? ลงไปที่ชั้นนั้น แล้วค่อยหาทางลงไปชั้นหนึ่งอีกที” ผมเสนอ




    “ฉันว่ามันอันตรายพอๆ กับชั้นหนึ่งนั่นแหละ” เชย์บอก เธอเอามือบังจมูกเพื่อลดการสูดดมกลิ่นไม่พึงประสงค์




              “โถ่ รอยยิ้มมีแค่สี่สิบกว่าคน จะไปอยู่ที่ไหนมากมายกันเชียว” เมแกนบอก ท่าทางเหมือนจะเร่งให้ผมกดปุ่มเลือกชั้นสักปุ่มเสียที “อันที่จริง ก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นแล้วด้วย ตายสองตรงห้องที่พวกเราถูกขัง ตายอีกสี่ที่หน้าลิฟต์ อย่างน้อยรอยยิ้มก็อาจจะเหลือสัก เอ่อ…” เมแกนชูนิ้วบวกลบเลข “สามสิบสี่คนโดยประมาณ!




    “ใช่… นั่นทำให้ฉันเบาใจขึ้นเยอะ” และผมหมายความอย่างที่พูดจริงๆ




              “ชั้นสองก็ชั้นสอง” ไซม่อนตัดสินใจให้เสร็จสรรพ และไม่รู้ว่าทำไม ไม่ว่าหมอนี่พูดอะไร ทุกคนก็จะคล้อยตามไปเสียหมด แม้แต่ผมก็รู้สึกเหมือนมีเวทมนต์ในคำพูดที่ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าถ้าทำตามเขาแล้วเราจะปลอดภัย ผมเหลือบมองหน้าเขาแวบหนึ่ง เอานิ้วชี้จ่อที่เลขสอง รอดูสีหน้าว่าเขาแน่ใจหรือไม่




              “ถึงชั้นสอง แล้วค่อยหาทางลงจากหน้าต่างเอาก็ได้ น่าจะง่ายกว่าไปเจอพวกรอยยิ้มที่ชั้นหนึ่ง” เขาอธิบายเสริม ผมถอนหายใจ กดปุ่มกลมๆ ที่มีเลขสองติดอยู่ คิดในใจว่าหากเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่คนที่จะโดนวิญญาณของพวกสาวๆ มาหลอกหลอนเป็นคนแรก




              ลิฟต์เคลื่อนตัวทันที เกิดแรงสั่นไหวที่บอกให้รู้ว่ากล่องเหล็กชุ่มเลือดกำลังหย่อนตัวลงไปชั้นล่างเรื่อยๆ ผมไม่ค่อยชอบเสียงของลิฟต์เวลาเคลื่อนที่เท่าไหร่ มันส่งเสียงฮืมมม เหมือนกำลังคำราม ทำให้ผมรู้สึกใจคอไม่ดี และจะยิ่งไม่ชอบใหญ่ หากเราต้องอยู่ในลิฟต์ที่มีคนเยอะแยะแต่ทุกคนกลับเงียบ ไม่มีใครคุยกับใคร น่าขนลุกพิลึก




              ในความเงียบที่ผมแสนชัง มีเสียงลมหายใจที่ต่างระดับของคนหลายคนปนอยู่ แต่ละลมหายใจบ่งบอกถึงความกังวลและความกลัวที่แตกต่างกันออกไป บางครั้งการเดินทางสั้นๆ ก็อาจให้ความรู้สึกเหมือนว่ามันยาวนานหากเราใส่ความกลัวเข้าไปผสม ผมไม่รู้ว่าควรจะชวนใครคุยหรือไม่ในสถานการณ์แบบนี้ ผมแค่ไม่ชอบให้ทุกคนเงียบ แค่อยากแน่ใจว่าเราทุกคนยังมีชีวิตอยู่




              “เจนเซ่น… เอ้ย! ฉันหมายถึง ไซม่อน แล้วครอบครัวของนายล่ะ เขาไม่ห่วงนายเลยเหรอที่จู่ๆ ก็มาตกกระไดพลอยโจนกับพวกเรา” ผมเรียกชื่อของเขาผิดอีกครั้ง การเกือบโดนฆ่าครั้งสองครั้งก็อาจส่งผลให้สมองของเราทำงานได้ไม่ดีเท่าไหร่เหมือนกัน




              “นายเรียกชื่อฉันว่าอะไรนะ?” ไซม่อนถาม ผมหันควับไปหาเขาทันที น้ำเสียงเมื่อครู่ทำให้ผมแปลกใจ เหมือนกับว่าเขารู้อะไรบางอย่าง ผมจ้องเขาเงียบๆ และดูไซม่อนจะเป็นเดือดเป็นร้อนกับการเรียกชื่อผิดเมื่อครู่มากกว่าที่ควรเป็น ผมเอียงคอเล็กน้อย เริ่มไม่แน่ใจในสถานการณ์




    “นาย… เอ่อ ฉันเรียกนายว่าไซม่อน” ผมตอบ


    “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ นายเรียกชื่อฉันว่าอะไรนะ?” เขาถามซ้ำ


    “มันก็ไม่มีอะไรมากหรอก… ก็แค่นายหน้าเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จักน่ะ”


              “นายเรียกฉันว่าเจนเซ่น” ไซม่อนย้ำ ลึกลงไปในดวงตาของเขา ผมรู้สึกว่าเขาพยายามคาดคั้นอะไรบางอย่างจากผม ผมเคยเผลอเรียกชื่อเขาผิดหลายครั้งในตอนแรกที่เราเจอกัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินแบบเต็มๆ สองหู และเป็นครั้งแรกที่เขาดูจะมีปฎิกิริยาอะไรบางอย่างกับชื่อนั้น




    “นายรู้จักเจนเซ่นเหรอ?” ผมค่อยๆ ถาม รู้สึกว่าเสียงของตัวเองเบากว่าที่ควร




              ไซม่อนไม่ตอบ เขาทำให้ผมอึดอัดด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกอีกต่อไป มีอะไรบางอย่างอยู่เบื้องหลังสีหน้าแปลกๆ ของเขา บรรยากาศที่อบอวลในลิฟต์ทำให้แม้แต่สาวๆ ก็เริ่มเกิดความสงสัย พวกเธอมองผมสลับกับไซม่อน อาจกำลังตั้งคำถามว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างผมกับเขา และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมเริ่มจะอยากรู้แล้วเช่นกัน




              “นายรู้จักเจนเซ่นใช่ไหม?” ผมถามเขาอีกครั้ง ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ากำลังถามอะไร มันเป็นคำถามที่ดูไม่มีเหตุผล ไซม่อนจะรู้จักเจนเซ่นได้ยังไง? 


      

                     “ฉัน….” ไซม่อนค้างอยู่อย่างนั้น ยิ่งเพิ่มความรู้สึกคลางแคลงใจมากขึ้นไปอีก ผมเป็นฝ่ายส่งสายตาคาดคั้นใส่เขาบ้าง













    ตึง!







              ไม่ทันที่บทสนทนาจะถูกเติมให้สมบูรณ์ การขัดจังหวะอย่างหยาบคายก็แทรกเข้ามา ลิฟต์ตัวที่เรายืนอยู่เกิดหยุดกระทันหัน ไม่ใช่หยุดเพราะเราถึงชั้นจุดหมาย แต่หยุดเพราะลิฟต์ถูกสั่งให้หยุดกลางคัน ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ชั้นสิบแปดลงมา ยิ่งส่งผลให้เกิดการสั่นสะเทือนและเสียดสีที่รุนแรงเมื่อมันค้าง ทุกคนที่อยู่ในลิฟต์เกิดอาการสั่นโคลงเคลงและเกือบคุมสมดุลในการยืนไว้ไม่อยู่ ผมต้องเอามือไปพิงผนังในขณะที่สาวๆ เอามือจับกันและกัน หลอดไฟตรงเพดานลิฟต์ออกอาการติดๆ ดับๆ ผมเหลือบไปเห็นแสงสุดท้ายที่บอกว่าเรากำลังอยู่ประมาณชั้นสอง ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดลงอย่างถาวร




    “เกิดอะไรขึ้น?” ผมส่งเสียง ได้ยินคำพูดของตัวเองก้องไปมาอยู่ในกล่องเหล็กทึบๆ


    “โถ่! ไม่ใช่ตอนนี้สิ!!” เมแกนร้อง ผมรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวไปมาอย่างหงุดหงิดของเธอในความมืด


    “แบบนี้แย่แน่!” โซอี้คือคนสุดท้ายที่กลับมาลุกขึ้นยืนอย่างปกติได้


               “ไม่เอานะ! ไม่ใช่ในนี้!” เชย์เสียงสั่น เธอพยายามคว้าอะไรสักอย่างในความมืด พอมือจับแขนผมได้หญิงสาวก็บีบแน่น ผมคิดว่าเธอกลัวความมืด หรือที่แคบ หรือไม่ก็เป็นทั้งสองอย่าง แต่ผมไม่คิดตำหนิเธอเลย เพราะการติดอยู่ในลิฟต์มืดถือเป็นหนึ่งในฝันร้ายที่ผมไม่อยากเจอที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะในตอนที่เรารู้ว่าจะไม่มีใครเข้ามาช่วยเราได้เพราะข้างนอกมีแต่ฆาตกรโรคจิตเป็นโขยงรออยู่ ผมกลัวความคิดที่ว่าเราจะติดอยู่ในนี้ตลอดไป ขาดอากาศหายใจตายทีละคน




              “ลองพยายามเปิดประตูสิ!” เมแกนบอก เธอกำลังตื่นตระหนก ผมพยายามให้เวลาสายตาปรับตัวให้ชินกับความมืด สองมือคลำไปข้างหน้าเพื่อหาว่าตรงไหนคือร่องประตู ทันทีที่สัมผัสผนัง ความเย็นจากเหล็กก็แล่นเข้าผ่านนิ้วเหมือนไฟช็อต เหตุการณ์ยิ่งแย่ลงเมื่อผมเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองยืนอยู่ทิศไหน และตรงไหนเป็นประตูลิฟต์กันแน่ เสียงลมหายใจที่ถี่ขึ้นของแต่ละคนทำให้ผมยิ่งผวา เรากำลังแย่งอากาศหายใจกันเอง




              “ในนี้มันไม่มีอากาศเลย” แม้แต่น้ำเสียงของเชย์ก็ยังขาดๆ หายๆ เธอกำลังโรยแรง พยายามอย่างมากที่จะหายใจ ดูเธอจะอาการหนักกว่าใครๆ “ขอ… ขอฉันหายใจหน่อย ขอพื้นที่ว่าง”



              “แย่แน่ เชย์มีอาการกลัวการขาดออกซิเจนเป็นพิเศษน่ะ” โซอี้ว่า ผมเห็นเงาลางๆ ของเธอพยายามโอบหลังช่วยให้เชย์ทรงตัว เมแกนขยับมือลูบหลังเธอ ทั้งสองพยายามจัดการอาการหอบของเพื่อนให้เร็วที่สุด “โอเค เชย์ ใจเย็นๆ นะ เธอต้องควบคุมการหายใจของตัวเอง หายใจช้าๆ ควบคุม… หายใจตามฉันนะ หายใจเข้า หายใจออกนั่นแหละ ดีมาก”



    “พาฉัน… ออกไป พาออกไปที” เชย์พึมพำ




              ผมคลำทุกซอกทุกมุมของลิฟต์ ย้ายจากผนังด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง ผมเกลียดที่แคบและความมืด ยิ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับเชย์ในตอนนี้ยิ่งทำให้ผมแทบคลั่ง ผมลากมือไปเรื่อยๆ จนสัมผัสเข้ากับมือแข็งๆ ของใครอีกคนหนึ่ง ไซม่อน เขากำลังเกร็งมือสองข้างเพื่อแยกประตูให้เปิดออก ผมรีบจิกเล็กลงไปตรงร่องกลางประตูแล้วช่วยเขาอีกแรง ขณะที่เราพยายามหาทางออก เสียงหัวเราะแหลมปริศนาก็ดังก้องมาจากลำโพงเหนือแผงปุ่มลิฟต์




              “รู้ไหม? เมื่อก่อน เขาเรียกลิฟต์ว่า ‘ตู้ชักลอกคนน่ะ ฟังดูน่ากลัวดีนะ ว่ามั้ย?” เนธานเอ่ยผ่านไมโครโฟนจากที่ไหนสักแห่ง เสียงของเขาสดใสฟังดูเหมือนกำลังอ่านตำราหนังสือความรู้ทั่วไปในห้องสมุดให้ผมฟัง




    ผมอยากจะมองหน้าไซม่อนหากทำได้ในความมืด ผมแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง




              “ฮ่าๆ นี่ล้อเล่นกันใช่ไหม” เสียงต่อมาเป็นเสียงของครูใหญ่ เขาหัวเราะเสียงดังฟังชัดได้อย่างน่าเกลียด “นี่พวกแกคิดจริงๆ เหรอว่าการหลบหนี ‘พวกเรา โดยการใช้ลิฟต์ในตึกที่พวกเราเป็นคนควบคุมทุกอย่างจะเป็นความคิดที่ดีน่ะ!




              ผมไม่ควรแปลกใจเลย เป็นฝีมือของพวกเนธาน พวกนั้นคุมตึกนี้ไว้ตั้งแต่แรก บางทีก็อาจจะคอยดูเราอยู่ตลอดผ่านทางกล้องวงจรปิด พวกนั้นอาจจะหัวเราะอยู่ที่ไหนสักแห่งขณะมองดูเรากระเสือกกระสนหาทางเอาตัวเองเข้ามาติดกับในตู้ขังมนุษย์สุดวิเศษตู้นี้




    “ไอ้บ้าเอ้ย! ไปตายซะ!” เมแกนตะคอกกลับโดยไม่รู้เช่นกันว่าพวกนั้นจะได้ยินเราไหม




              “เอาล่ะ แมต” เนธานเอ่ยชื่อผม “ขอบคุณนายมากๆ ที่ช่วยกำจัดคริสเตียนไปให้พ้นทาง หึ! ไอ้หมอนั่นดีแต่ใช้กำลัง สมองไม่ค่อยมี ยังริอาจจะคิดว่าตัวเองจะได้เป็นผู้นำตระกูล แมต เพื่อนรัก ฉันไม่เหมือนกับอเล็กซ์หรือคริสเตียนหรอกนะ ฉันไม่คิดดูถูกนายเลย ฉันรู้มาตลอดว่าจริงๆ แล้วนายทั้งฉลาด มีไหวพริบ และใจกล้าเอาเรื่องทีเดียว ฉันรู้อยู่แล้วว่าสุดท้ายจะต้องเหลือเราสองคน รู้อยู่แล้วว่านายคือคู่แข่งคนสำคัญที่สุด”




              ผมไม่อาจจะทำใจรู้สึกเป็นเกียรติต่อคำชมของฆาตกรโรคจิตได้ ผมเพียงแต่เพิ่มแรงที่แขน พยายามเปิดประตูลิฟต์ ในขณะที่เขายังพล่ามอะไรบางอย่างอยู่




              “โอ้ แมต!นายไม่จำเป็นต้องพยายามเปิดประตูนั่นหรอก เพราะอีกด้านหนึ่งของประตู พวกญาติๆ ของฉันที่มีอาวุธครบมือก็กำลังพยายามหาทางเปิดเข้าไปเหมือนกัน นายรออยู่ตรงนั้นแหละ! ยืนนิ่งๆ เดี๋ยวฉันจะไปหา ฉันสัญญาว่ามันจะไม่เจ็บปวดสำหรับเพื่อนนาย! หรือถ้านายอยากตายเร็วๆ ขนาดนั้นฉันก็ไม่ขัดศรัทธาหรอกนะ!




    “อะไรนะ!!ผมรีบชักมือออกจากประตูแล้วตะโกนเสียงดัง “ไซม่อน หยุด! อย่าเปิดประตู!





              แต่ผมพูดช้าเกินไป ประตูลิฟต์เคลื่อนตัวออก มันแยกออกจากกันเป็นช่องเล็กๆ สักหนึ่งมิลลิเมตร แล้วแสงจากภายนอกก็สาดเข้ามาผ่านช่องนั้น แม้จะเป็นช่องที่เล็กสุดๆ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมเห็นความเคลื่อนไหวของคนจากข้างนอก ผมแทบกรีดร้อง รอยยิ้มเป็นสิบคนอัดกันอยู่จนเต็มทางเดิน ทุกคนถืออาวุธจ้องมาที่ลิฟต์เป็นตาเดียว หน้าสุดของขบวนมีรอยยิ้มสองคนพยายามแยกประตูออกให้ได้มากที่สุด




              “ไม่! ทำไงดี!!?” โซอี้ร้อง ส่วนเชย์ที่อยู่ในอ้อมกอดเธอกำลังจะสลบ พวกเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่สุดขีด “เราจะรออยู่ในนี้ไม่ได้ จะปล่อยให้พวกมันเข้ามาไม่ได้!!



     

              “ต้องมีทางหนีสิ!” ผมรีบเค้นสมอง ถอยห่างจากประตู สาวๆ เริ่มส่งเสียงสะอื้น และผมเกิดอาการปวดหัวจี๊ดจะระเบิดให้ได้ มองไปตรงไหนก็เห็นแต่ผนังเหล็กแคบๆ เราคือหนูที่ติดอยู่ในกล่อง จะหาทางออกไปไหนได้อีก? ผมเคยดูหนังสยองขวัญที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับลิฟต์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะลิฟต์ผีสิง ลิฟต์ปิศาจ ฆาตกรในลิฟต์ แต่ผมจำได้ว่าไม่มีเรื่องไหนเลยที่จะจบสวยเดี๋ยวก่อนสิ จำได้ว่าในฉากนั้นพวกตัวละครออกจากลิฟต์ด้วยวิธีนึกออกแล้ว!!




    “ฝ้าเพดานลิฟต์ไงล่ะ! มันมีช่องนิรภัยอยู่” ผมะโกนเสียงดัง “ทุกคนรีบคลำหาช่องสี่เหลี่ยมๆ ตรงเพดานเร็วเข้า!! มันมีทางออกอยู่! เดี๋ยวนี้เลย!” ผมรีบเขย่งเท้า ยืดมือสองข้างขึ้นสูง ไซม่อนกับเมแกนพร้อมใจกันช่วยผมอีกแรง เราขยับเคลื่อนตัวไปมาเพื่อหาตำแหน่งที่น่าจะใช่ โซอี้พยายามโบกมือพัดลมให้เชย์ที่กำลังอยู่ในขั้นกึ่งหมดสติ เราอยู่ในนาทีที่วิกฤติที่สุด



    “เจอแล้ว!!” เมแกนร้อง



    “ดันเลยเมแกน!! ดันขึ้นให้สุดแรงเลย!




              แล้วก็เกิดเสียงเหมือนแผ่นเหล็กอะไรสักอย่างหลุดออก เมแกนทำสำเร็จ แผ่นฝ้าเพดานหล่นลงมา ผมรีบหดหัวหลบเล็กน้อย เพดานลิฟต์เผยช่องนิรภัยสี่เหลี่ยม มันใหญ่พอที่จะให้คนปีนขึ้นไปได้ เราไม่รอช้า ผมบอกให้เมแกนปีนขึ้นไปก่อน ผมก้มลงประสานมือเป็นฐานให้เธอเหยียบ เมแกนปีนขึ้นไปสำเร็จเป็นคนแรก จากนั้นไซม่อนบอกให้โซอี้ขึ้นเป็นคนต่อไป ผมรับฝากร่างของเชย์ที่กำลังหายใจรวยรินพร้อมกับขวานด้ามแดงที่เธอถือ เมแกนยื่นมือลงมาอีกครั้งเพื่อดึงร่างของเชย์ตามไป คราวนี้เราต้องใช้คนสี่คนช่วยผลักให้เธอลอดผ่านช่องนิรภัย ไซม่อนยืนกรานว่าเขาจะขึ้นไปเป็นคนสุดท้าย ผมจึงปีนขึ้นไปสมทบกับคนอื่นๆ จากนั้นไซม่อนก็ขึ้นมาเป็นคนสุดท้ายได้สำเร็จ




              ผมหอบหายใจหนัก เรานั่งอยู่เหนือตัวลิฟต์ ผมมองไปรอบตัวแล้วพบว่าตัวเองกำลังอยู่ในปล่องลิฟต์ที่ทั้งมืดและลึก หากเงยหน้าขึ้นไปก็จะเห็นเพดานตึกอยู่สุดสายตา ปล่องลิฟต์เป็นโพรงขนาดใหญ่ที่บรรจุลิฟต์ไว้สองตัว และมันก็สูงมากจนน่าใจหาย แต่ละชั้นของปล่องเป็นเพียงเพดานว่างๆ ที่มีประตูลิฟต์ชั้นนอกตั้งอยู่ ไม่มีพื้นที่ให้ยืนหรือเดินไปไหนทั้งสิ้น ทางเดียวที่เราจะออกไปจากที่นี่ได้คือการงัดประตูลิฟต์ชั้นนอกออก




              “โอเค ลิฟต์ตัวนี้หยุดอยู่ที่ชั้นสอง ดังนั้นประตูที่อยู่ตรงหน้าเราตอนนี้คือประตูของชั้นสาม เราต้องรีบเปิดมันออกก่อนที่พวกรอยยิ้มข้างล่างจะรู้ว่าเราอยู่ข้างบนนี่” ผมบอก เจนเซ่นไม่รอช้า พยายามทรงตัวบนลิฟต์ที่โคลงเคลงไปมาอย่างน่าหวาดเสียว ตรงไปที่บานประตูลิฟต์ชั้นสาม เขาออกแรงสุดชีวิต ผมเข้าไปช่วยด้วย เรายืนอยู่คนละด้าน พยายามแยกประตูออก เชย์เริ่มจะมีสติอีกครั้งเมื่อมีอากาศหายใจ สุดท้ายแล้วเมแกนละโซอี้ก็เข้ามาช่วยอีกแรงรวมพลังเป็นสี่คน ขุดเอาแรงที่เหลืออยู่มาใช้ ประตูค่อยๆ แยกออก ทีละนิด ทีละนิด ผมกลั้นหายใจแล้วออกแรงดึงให้มากขึ้นอีก จนกระทั่งประตูแยกออกเป็นช่องเล็กๆ ผมก็หมดแรงแล้วหงายหลังลงไปนั่ง




              “โอเค น่าจะพอแล้ว” ไซม่อนและคนอื่นๆ ผละมือของตนออกจากประตูเช่นกัน เรามองช่องประตูที่เปิดออกไม่ถึงครึ่ง มันยังเล็กไป แต่ก็พอที่จะให้คนตัวผอมๆ ออกไปได้ก่อน



    “เมแกน เธอน่าจะผอมสุด ลองออกไปดู” ผมบอก



    “ไม่! ฉันไม่ผ่านแน่ๆ ดูสิ มันแคบเกินไป เราต้องเปิดออกอีกสักหน่อย”



              “เราไม่มีทั้งแรงและเวลาแล้วนะ พวกข้างล่างกำลังจะรู้แล้วว่าเราไม่อยู่ในลิฟต์ ถ้าพวกนั้นขึ้นมาดักเราที่ชั้นสามก่อนละก็ ทุกอย่างจะจบทันที” ผมพยายามอ้อนวอนให้เธอรีบ เมแกนกลืนน้ำลายก่อนจะหันไปมองช่องที่ดูแคบจนน่าอึดอัด เธอค่อยๆ สอดตัวเองเข้าไปในช่อง มันดูทุลักทุเล ผมพยายามเอาใจช่วยสุดชีวิต จนกระทั่งเมแกนออกไปได้ในที่สุด เธอมองตัวเองที่กำลังยืนอยู่บนโถงทางเดินชั้นสามแล้วทำท่าจะร้องออกมาด้วยความดีใจ ผมรีบเอานิ้วชี้แตะปากส่งสัญญาณให้เธอเงียบ




              คนต่อไปคือโซอี้ โชคดีที่เธอผอมกว่าเมแกนหน่อยนึง และชุดของเธอก็ไม่ได้หนาเท่า โซอี้ใช้เวลาลอดผ่านช่องแคบไม่นานก็หลุดออกตามไปสมทบกับเมแกน  แต่ที่น่าหนักใจที่สุดคือเชย์ แม้เธอจะเริ่มมีสติแล้วแต่หญิงสาวยังคงอยู่ในอาการหวาดผวา ผมปลอบพลางจูงมือเธอไปที่ประตู อธิบายให้ฟังว่าขอแค่เธอลอดผ่านประตูไปแล้ว ผมสัญญาว่าจะอุ้มเธอไปตลอดทาง เชย์พยักหน้า ริมฝีปากเธอเป็นสีเทาซีด ผมช่วยดันร่างของเธอในขณะที่เชย์ออกแรงผลักตัวเองให้หลุดออกจากประตู ทว่า… ในขณะที่ร่างออกหญิงสาวโผล่พ้นไปครึ่งตัว สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ลิฟต์เกิดเคลื่อนที่กระทันหัน! มันเคลื่อนไปข้างบน



              “กรี๊ดดดดด!!เชย์กรีดร้องเสียงดัง ร่างของเธอเคลื่อนตามไป โชคดีที่ลิฟต์หยุดลงอีกครั้ง มันหยุดอยู่กึ่งกลางระหว่างชั้นสองและชั้นสาม ตอนนี้ช่องประตูมีพื้นที่เหลือเพียงครึ่งชั้น ผมไม่แน่ใจว่ามันจะหยุดแบบนี้อีกนานไหม แต่เชย์จะต้องรีบขยับออกไปโดยด่วน




    “ช่วยด้วย!” หญิงสาวร้องด้วยความผวา “ฉันติด! ฉันไปต่อไม่ได้ ไปต่อไม่ได้!




              “ฟังนะ เชย์ เธอต้องรีบออกไป เดี๋ยวนี้เลย” ผมพยายามกล่อมเธอ เชย์ลดเสียงสะอื้นของตัวเองลง ส่ายหน้าไปมาเหมือนกับจะบอกว่ายอมแพ้ แต่มือสองข้างกลับพยายามดันให้ตัวเองหลุดออกไปสุดแรงเกิด โซอี้กับเมแกนจับแขนของเธอคนละข้างแล้วช่วยดึงจนเชย์ลอดออกไปได้อีกคนในที่สุด ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างน้อยๆ สาวๆ ก็ออกไปได้แล้ว




              แต่ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของปัญหา ยังเหลือเราสองคน ผมและไซม่อน ผมมองช่องแคบที่ตอนนี้หมิ่นเหม่อยู่ระหว่างสองชั้น มันดูน่าหวาดเสียว ลิฟต์จะเคลื่อนตัวไปอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ที่สำคัญคือเราคงเหลือเวลาไม่มากแล้ว เสียงกรีดร้องของเชย์เมื่อครู่ดังเกินไป พวกนั้นต้องได้ยินแน่ อาจกำลังวิ่งขึ้นบันไดตรงมาหาพวกเราด้วยซ้ำ




    “แมต” ไซม่อนสะกิดหลัง “นายรออะไร รีบไปสิ!




              ผมยืนนิ่ง และมองลอดไปเห็นสามสาวที่กำลังรอพวกเราอยู่ข้างนอก เราไม่ทัน… ไม่ทันแน่ๆ หากเรารอเวลาให้ผมออกไปก่อน พวกรอยยิ้มก็คงจะมาถึงพอดี ถ้าเป็นแบบนั้นจริงทั้งสามสาวและผมก็คงไม่มีทางสู้ โดยเฉพาะเชย์ที่ไม่มีกำลังจะยืนด้วยตนเองเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าเป็นไซม่อนละก็ถ้าไซม่อนออกไปก่อน อย่างน้อยก็มีสิ่งที่รับประกันได้ว่าเมื่อพวกรอยยิ้มมาถึง เขาจะสามารถปกป้องคนอื่นๆ ได้ ยิ่งลิฟต์อยู่ในสถานะที่ไม่เสถียร ผมจะไม่ยอมเสี่ยงให้ไซม่อนลงมาเป็นคนสุดท้ายเด็ดขาด




    “นายออกไปก่อน” ผมบอกเขา ไซม่อนย่นคิ้ว



    “ไม่ นายนั่นแหละลงไป” เขากระชากแขนผม แทบจะอุ้มให้ผมออกไปก่อนด้วยซ้ำ แต่ผมขัดขืน



    “แมต! ฉันได้ยินเสียงใครไม่รู้กำลังขึ้นมา! เมแกนตะโกนมาจากด้านนอก



              “ไซม่อน พวกรอยยิ้มกำลังขึ้นมา นายต้องออกไปก่อน ถ้านายยังอยากจะเล่นบทพระเอกอยู่ละก็ นายจะต้องรีบไปช่วยพวกนั้น ถ้ารอให้ฉันออกไปก่อน เราไม่มีเวลาแน่ นายคนเดียวที่มีแรงพอจะสู้กับพวกนั้นได้ ไป! ไปเดี๋ยวนี้เลย” ผมไม่พูดเปล่าพยายามชวยให้เขาเอาขาลอดผ่านช่อง ไซม่อนเงียบ และเขาดูจะไม่สบายใจ แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ผมภาวนาให้เขารีบลอดผ่านไปได้โดยเร็ว แม้ไซม่อนจะตัวใหญ่ แต่ด้วยแรงแขน เขาสามารถผลักตัวเองลอดไปได้ไม่ยาก ไซม่อนหย่อนขาลงถึงพื้น จากนั้นตัวของเขาก็ตามลงมา จนกระทั้งเหลือแต่ส่วนหัวที่ยังอยู่ในปล่องลิฟต์ เขามองมาทางผม




    “สัญญาว่านายจะต้องรีบตามออกมา เข้าใจไหม?”



    “อืม…” ผมพยักหน้า




















    ครืดดด!!





              “ไม่!!ผมร้อง ลิฟต์กระตุกเล็กน้อยหนึ่งทีจนผมเซไปด้านข้าง จากนั้นมันก็เคลื่อนตัวขึ้น แต่มันจะขึ้นไปตอนนี้ไม่ได้! ก็หัวของไซม่อนยังติดอยู่เลย!! ผมต้องช่วยให้เขาออกไป




              “ไซม่อน!!เสียงสาวๆ จากข้างนอกร้องเรียกพร้อมๆ กับรีบกรูกันเข้ามาช่วย ไซม่อนออกแรกดึงตัวเองมากกว่าเดิม แต่ร่างของเขาก็ต้องลอยขึ้นตามตัวลิฟต์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชายหนุ่มเงียบเหมือนพูดไม่ออก แต่ตัวเขายังคงดิ้นอยู่ ลิฟต์เพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่ไม่มีช่องว่างเหลือ หัวของเขาติดโดยสมบูรณ์ ผมกรีดร้องไม่เป็นภาษา สองมือแยกประตูลิฟต์ออกเพื่อสร้างช่องว่างให้เขาสามารถออกไปได้ หัวใจสูบฉีดเลือดแรงจนผมเจ็บหน้าอก แต่ผมไม่สน




              “ช่วยด้วย!!ผมตะโกน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังบอกใคร โซอี้กับเมแกนพยายามจับขาของไซม่อนไว้ เอาตัวเป็นฐานให้เขาเหยียบเพื่อที่เขาจะพอจะหายใจได้บ้าง  ตอนนี้ผมมองเห็นเพียงแค่ศีรษะของเขาที่ยังติดอยู่ด้านใน บอกไม่ถูกว่าเขาเจ็บปวดขนาดไหน  แต่ผมกำลังพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขา




    “กรี้ดดดดดด!เชย์กรีดเสียงราวกับเจออะไรบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวกว่า “รอยยิ้ม!! พวกมันมาแล้ว!!




              “อะไรนะ! ไม่!ผมได้ยินเสียงเมแกนร้องโวยวาย ตามด้วยเสียงของโซอี้ มีบางอย่างเกิดขึ้นข้างนอก เสียงเหมือนคนต่อสู้และขัดขืน ผมรู้สึกได้ทันทีว่าไซม่อนไม่ได้มีฐานรองให้ยืนอีกต่อไป เขากำลังจะหายใจไม่ออก ลิฟต์มันไม่ยอมหยุด




              “ปล่อยฉันนะ! เมแกนหวีดเสียง ทุกอย่างถูกทำให้กระจ่างขึ้นในทันที พวกรอยยิ้มมาแล้ว! มันมาถึงแล้ว! มันกำลังจะทำร้ายทุกคนที่อยู่ข้างนอกนั่น!! ต้องไม่ใช่ตอนนี้สิ ไม่ใช่แบบนี้ ผมจะต้องช่วยไซม่อนก่อน!




              ไซม่อนเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาพูดไม่ออก ผมจิกเล็บลงบนเหล็กเพื่อเพิ่มแรง แต่มันยังไม่พอ เล็บนิ้วชี้ข้างนึงของผมฉีก มันทั้งเจ็บทั้งแสบ ผมเลือกที่จะปฎิเสธความจริงที่ว่าผมไม่มีแรงมากถึงขนาดนั้น แรงดึงของลิฟต์มีมหาศาลเกินกว่าแรงแขนของเด็กคนเดียวจะดึงออก ผมมาถึงขีดสุด ไม่อาจจะช่วยเขาได้อีกต่อไป ในที่สุดลิฟต์ก็เคลื่อนขึ้นไปทั้งๆ แบบนั้น ผมหลับตาลง ได้ยินเสียงหลายเสียงปะปนในอากาศพร้อมๆ กัน เสียงเคลื่อนที่ของลิฟต์ เสียงกรีดร้องของสาวๆ ที่อยู่ข้างล่างและเสียงโหยหวนของผมเอง






    “ไม่!!!







                    ทุกอย่างผิดไปหมด มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ผมอยากจะให้ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ฝัน เป็นแค่ภาพหลอน มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง




              มือของผมยังสัมผัสอยู่กับศีรษะของไซม่อน ผมไม่กล้าลืมตาดู ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ผมทำได้เพียงสะอื้นด้วยความเสียใจ ลิฟต์ยังคงเคลื่อนขึ้นไปอย่างช้าๆ เหมือนมันจะต้องการทรมานผม ทุกอย่างเหมือนจงใจให้กลายเป็นแบบนี้ เราทุกคนควรจะออกไปจากปล่องลิฟต์ได้อย่างปลอดภัย พวกเมแกนไม่ควรจะถูกรอยยิ้มจับตัวได้ข้างล่าง ผมไม่ควรยังติดอยู่ในนี้ และไซม่อนก็ไม่ควร… เป็นแบบนี้




              ผมทรุดตัวลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่มีแรงจูงใจที่จะทำอะไรอีกต่อไป ความหวังทุกอย่างดับสูญหมดแล้ว ทุกคนพบจุดจบของตัวเองหมด มันไม่ใช่ตอนจบอย่างมีความสุข เป็นแค่ขนมหวานที่ล่อให้เราต่อสู้จนเกือบจะถึงฉากสุดท้าย แล้วก็ทำให้เราตายเสียดื้อๆ บางทีผมเองก็อาจจะแค่ต้องนั่งรอ รอให้ลิฟต์ตัวนี้เคลื่อนไปถึงชั้นบนสุด แล้วผมก็จะถูกบดเข้ากับเพดานของปล่องลิฟต์ แล้วก็ตายตามคนอื่นๆ ไป




    “ฉันขอโทษ” ผมกระซิบกับตัวเอง












    “แมต…













    “ขอโทษจริงๆ ไซม่อน”












    “แมต…












    “ฉันยังได้ยินเสียงนายอยู่เลย”














    “แมต!!






              ผมลืมตา รู้ตัวว่าเสียงเรียกนั่นไม่ใช่แค่ผมหูฝาด มีคนเรียกชื่อผมจริงๆ และมันเป็นเสียงของไซม่อน มันดังใกล้มากๆ จนผมนึกว่าเขาอยู่ข้างๆ ผม เหมือนเสียงของเขาดังมาจากมือของผม…




              “แมต!!หัวของไซม่อนพูดใช่! เขาพูดจริงๆ เขาเหลือแต่หัว แต่เขาพูดได้! ปากของเขายังขยับ และตาทั้งสองดวงยังคงจ้องมาที่ผม ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่า อาจจะเป็นแค่ภาพหลอนจริงๆ หรือไม่ผมก็คงบ้าไป ผมจึงหยุด มองหัวของเขา แล้วรอดูสักพัก จนกระทั่งหัวนั่นเรียกชื่อของผมอีกทีว่า “แมต นายต้องใจเย็นๆ”




    “เหวอออ!!ผมตกใจ แทบจะโยนหัวนั่นทิ้ง แต่มือก็เกร็งเกินกว่าจะคลายออกจากผมของเขา




    “ก็บอกว่าให้ใจเย็นๆ ยังไงเล่า!!




              “หยุดก่อน” ผมเบือนหน้าไปทางอื่น ผมต้องขอเวลาหายใจหายคอสักพัก ต้องการเวลาทำใจสักเดี๋ยว ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สมองพยายามหาคำอธิบายที่ดีที่สุด คำอธิบายอะไรก็ได้ที่ไม่ได้บอกว่าผมบ้า เพราะผมแน่ใจว่าไซม่อนยังคงพูดอยู่กับผมจริงๆ และผมแน่ใจเขาหัวขาดไปแล้ว ตัวเขา… ผมหมายถึงส่วนร่างกายของเขายังนอนค้างอยู่ที่ชั้นสาม และศีรษะยังคงอยู่บนมือผมนี่! แต่เขาพูดได้




    “เอาล่ะ” ผมกลั้นหายใจ หันกลับมาเผชิญหน้าอีกครั้ง “นี่มันคือเรื่องบ้าอะไร?”




    “นายจำฉันไม่ได้จริงเหรอ?” หัวของไซม่อนถาม




              “นายหมายความว่ายัง… เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่านาย แต่ว่าไม่ก็นายฉันเห็น คือ” ผมรัวคำพูดจนลืมไปแล้วว่าจะออกเสียงอย่างไร แต่คำตอบนั้นลอยเด่นชัดอยู่ในหัวผมเพียงคำตอบเดียว ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้ นี่คือคำตอบของปริศนาสุดท้ายที่ผมสงสัย สรุปแล้ว ตลอดมา ตัวจริงของไซม่อนก็คือ




    “นายคือ… เจนเซ่น!!

     

     

     
     

               “ฉันต้องการคำอธิบาย” ผมโพล่งออกมาในทันที รู้สึกขนลุกพิกลที่ต้องคุยกับหัวคน หรือจะเป็นหัวของอะไรก็แล้วแต่ ผมไม่อาจทำใจคุ้นชินกับสิ่งที่เพิ่งจะค้นพบได้ รอดตายมาเป็นสิบครั้งแต่ชีวิตเฮงซวยก็ยังคอยส่งเรื่องบ้าๆ มาเซอร์ไพรซ์ผมให้ตกใจได้เสมอสิน่า




    “ไม่ใช่ตอนนี้” เขาบอก




                  “ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ! นายต้องรีบพูดออกมาตอนนี้เลย พูดอะไรก็ได้ที่จะไม่ทำให้ฉันโยนนายลงไปกลิ้งอยู่ในก้นปล่องลิฟต์นี่”




    “แมต นายต้องหาทางออกไปจากตรงนี้ก่อน” เขาย้ำเตือน




              ผมรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยที่มีหัวบนมือคอยสั่งว่าต้องทำอะไร แต่ในตอนนี้คำถามบางอย่างก็เริ่มจะได้รับคำตอบโดยการวิเคราะห์ของผมเองบ้างแล้ว แต่ผมก็ไม่ฉลาดพอที่ไปตรัสรู้ได้ว่าหมอนี้มาอยู่ตรงนี้กับผมได้อย่างไร ครั้งล่าสุดที่ผมเจอเขา ผมชกหมอนั่นเข้าเต็มๆ และทำให้เขาเสียโฉมไปนิดหน่อย ผมจำได้ว่าเฮนรี่เล่าเรื่องที่รัฐบาลเก็บเขาไปแล้ว เอาไปทำวิจัยต่อ แล้วทำไมเขาถึงเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ มาวิ่งวุ่นหนีฆาตกรกับผมได้ทั้งวัน




                   “ฉันสัญญาว่าจะอธิบาย แต่ถ้านายไม่รีบหาทางออก นายจะกลายเป็นปลาหมึกตากแห้งที่อัดกับเพดานปล่องลิฟต์นะ”



    “เดี๋ยวนี้เขาสอนให้หุ่นยนต์อย่างนายพูดอุปมาได้ด้วยเหรอ?”


    “รีบเข้าเถอะน่า!”  


              “ได้! ตอบฉันมาแค่คำถามเดียวก่อน นายคือเจนเซ่นใช่ไหม? ตอบมาสั้นๆ หรือพยักหน้าก็ได้ ถ้าหัวของนายยังทำได้อยู่” ผมจ้องเขม็งกดดันใส่เขา และผมคิดว่าเขาสมควรจะโดนฟาดกบาลสักทีสองที เขาทำผมรู้สึกเสียสูญเพราะนึกว่าเสียเพื่อนไป ผมต้องการอย่างน้อยสักคำตอบหนึ่งที่จะมาบรรเทาอาการสับสนนี้ได้


    “ใช่” เขาตอบสั้นๆ เสียงเรียบๆ อย่างที่ขอ


    “โอเค” ผมพยักหน้า “แล้วฉันจะออกไปจากตรงนี้ยังไงล่ะ?”


    “แบบเดียวกับเมื่อกี้ งัดประตูออกไป”


              “ฉันไม่มีแรงแล้ว… ต่อให้มี แค่ฉันคงเดียวก็คงเปิดประตูไม่ได้หรอก” ผมเงยหน้ามอง กะประมาณความสูง เพดานลิฟต์เข้ามาใกล้เรื่อยๆ อันที่จริงแล้วมันใกล้มากๆ ผมน่าจะอยู่ที่ชั้นสิบห้าหรือสิบหกได้ ลิฟต์ยังคงเคลื่อนต่อ ไม่มีทางที่ผมจะทำอะไรได้หากยังเป็นแบบนี้ เหลือเพียงทางเดียวคือต้องกลับเข้าไปในลิฟต์ ผมตัดสินใจจะหย่อนตัวลง ตอนแรกแค่ห้อยขาลงก่อน แต่เสียงที่ดังมาจากลำโพงลิฟต์ก็ส่งเสียงยียวนใส่




              “แมต! นี่ฉันเอง เนธาน ฉันรู้ว่านายยังอยู่บนนั้น ใช่ไหมเอ่ย? คนอื่นๆ บอกว่ายังไม่ได้ตัวนายมาเลย มีแต่พวกสาวๆ งี่เง่าพวกนั้น อ้อ เสียใจกับเพื่อนอีกคนของนายด้วย ไม่ว่าเขาจะชื่ออะไรก็ตาม ฉันเองก็จำหน้าเขาไม่ได้ด้วยสิ บางทีถ้านายเอาซากหัวที่ติดไปกับนายมาให้ฉันดู ฉันอาจจะนึกออกขึ้นมาก็ได้ ฮ่าๆๆ” เนธานทำให้ผมรู้สึกโกรธจนไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปใกล้แม้แต่ลำโพงที่ถ่ายทอดเสียงเขาออกมา ผมยกขาขึ้นมาบนตัวลิฟต์ดังเดิม




              “อย่างที่บอก นายรออยู่ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวฉันจะพานายกลับไปที่ชั้นสิบแปดอีกรอบ พรรคพวกของเราทุกคนไปรวมกันที่นั่นแล้ว ฉันกับคุณลุงก็จะตามไปสมทบด้วย หวังว่านายคงจะให้การต้อนรับพวกเราอย่างดีนะ” สิ้นเสียงทุกอย่างก็เงียบไปสักระยะ จากนั้นตัวลิฟต์ก็หยุดอยู่ตรงชั้นที่สิบแปดตามที่เขาว่า ผมมองหน้า(หรือหัว) ของเจนเซ่นแล้วรู้ทันทีเลยว่าผมจะไม่มีวันได้หยุดพักจนกว่าผลจะออกมาชัดเจน ถ้าไม่ตายอย่างอนาจ ก็ต้องรอดออกไปจากเมืองนี้ให้ได้




             “เปิดประตู เดี๋ยวนี้เลย!” เจนเซ่นตะโกนใส่ แต่ถึงเขาไม่ทำ ผมก็ไม่ใจเย็นพอที่จะนั่งรอให้พวกรอยยิ้มมาหา ผมมีทางออกอยู่แค่ทางเดียวก็คือการงัดประตูชั้นที่สิบเก้า ผมวางหัวเขาลง กระโจนเข้าไปเอามือเปล่าเปิดประตูสุดแรงเกิด ผลที่ตามมาคือเล็บมืออีกข้างที่ฉีกออก ผมร้องโอดโอยแล้วปล่อยมือ นิ้วผมสั่นเกินกว่าจะทำอะไรทั้งสิ้น




              “ไม่ได้… ไม่มีทาง ฉันเปิดไม่ได้” ผมพูดกับตัวเอง อยากจะขอเวลาพักอีกสักรอบ แต่เมื่อได้ยินเสียงเอะอะขึ้นมาจากนอกประตูลิฟต์ชั้นสิบแปด ผมก็จำทนต้องหาทางกระตุ้นตัวเองให้พยายามต่อไป ผมเสาะหาอะไรก็ได้รอบตัวที่พอจะช่วยเปลี่ยนสถานการณ์ ผมมีขวาน แล้วผมก็นึกออกทันที ผมหยิบมันขึ้นมา หันเอาปลายด้านแหลมสอดเข้าไปตรงร่องประตู จากนั้นก็ออกแรงแบบคานงัด กล้ามเนื้อผมเกร็งเครียด กัดฟันดังกรอด  สติกำลังจะขาดผึง แล้วประตูก็เริ่มแยกจากกัน ผมกลั้นใจเพิ่มแรงอีกนิด จนกระทั่งประตูแยกออก อย่างน้อยก็พอจะให้คนตัวเล็กอย่างผมตะเกียกตะกายออกไปได้ แต่มันต้องใช้เวลา




              ผมนึกขออย่าให้มีอะไรแบบเมื่อกี้เกิดขึ้นอีก ขอให้ผมออกไปได้อย่างปลอดภัย ผมรู้สึกว่าร่างของตัวเองถูกบีดอัดด้วยบานเหล็กสองอัน มันทำให้หายใจไม่ออก ผมติดอยู่ตรงนั้นสักพักก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองหลุดพรวดออกไปกองกับพื้น มือข้างนึงของผมหยิบหัวเจนเซ่นติดมาด้วย ผมรีบสูดหายใจทันที รู้สึกโล่งเหมือนเพิ่งออกมาจากนรก




    แต่นรกไม่ได้มีขุมเดียว




               “เฮ้ แมต! อยู่ตรงนั้นจริงด้วย” เนธานส่งเสียง ผมรีบเงยหน้า สายตามองไล่ไปตามทางเดิน สุดขอบทางเดินอีกฟากคือบันไดหนีไฟ ที่ซึ่งรอยยิ้มกำลังยกขบวนกันเข้ามาโดยมีเนธานกับครูใหญ่นำขบวน พวกเขาไม่ได้มีแค่สิบ อาจจะเป็นสามสิบเลยด้วยซ้ำ! พวกนั้นทุกคนรวมตัวกันมาเพื่อเอาชีวิตผมเพียงคนเดียว! เขารู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องออกมาทางนี้แน่และตอนนี้ผมก็ถึงทางตันของจริง ไม่มีทางให้หนีได้อีกแล้ว กลับไปทางลิฟต์ไม่ได้ ลงบันได้ก็ไม่ได้เหมือนกัน




              “ก้าวเข้ามา แมต ฟิตซ์ สู้กับฉันด้วยอาวุธที่ได้จากกล่อง” เนธานตะโกนมาจากอีกฟาก มือของเขายังคงกำมีดเล่มเดียวกับที่เขาถือในห้องพิธี ผมนึกย้อนไปแล้วคิดว่าคริสเตียนก็ไม่เคยปล่อยค้อนของตนเช่นกัน ทุกอย่างมันเป็นเรื่องของพิธีคัดเลือกผู้นำมาตั้งแต่แรก พวกเขาแค่อยากให้พิธีสมบูรณ์ แค่อยากหาผู้สืบทอดความวิปริตนี่ให้คงอยู่ และถ้าเขาอยากสู้ ผมก็จะจัดให้




              “นายจะทำอะไร?” เจนเซ่นถาม ผมไม่ตอบ ผมก้าวออกไป วิ่งไปข้างหน้า ตรงไปตามทางเดิน สายตามองตรงที่เนธานกับครูใหญ่ เนธานออกตัววิ่งมาหาเช่นกัน เราทั้งคู่เพิ่มความเร็วเหมือนรถสองคันที่กำลังจะชนกันในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า จนกระทั่งผมกับเนธานอยู่ห่างกันไม่เท่าไหร่ผมก็เลี้ยวตัว เขาไม่ทันคิด ผมเลี้ยวเข้าไปเปิดประตูห้องที่อยู่ข้างๆ มันเป็นห้องของผมเอง ผมพุ่งตัวเข้าไป จากนั้นก็ล็อกประตู ลงกลอนทุกชั้นด้วยความไว ไม่สนเสียงก่นด่าของเนธานที่พยายามจะพังประตูเข้ามา




    “แก! ไอ้ขี้ขลาด ออกมาสู้กันเดี๋ยวนี้นะ! เนธานกระชากเสียง




    “นายคิดจะทำอะไรกันแน่” เจนเซ่นถาม ผมปล่อยหัวของเขาลง



              “ไม่ ฉันจะไม่ตอบคำถามอะไรนายอีก จนกว่านายจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฉันฟัง” ผมว่าพลางหยิบสิ่งของต่างๆมากองสุมที่หน้าประตูเพื่อกั้นไม่ให้พวกนั้นพังเข้ามา ผมเลยจุดที่จะสนเรื่องความเหนื่อยของตัวเองแล้ว สมองเข้าสู่โหมดเอาชีวิตรอดโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ผมจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้อย่างปลอดภัย




              “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจนเซ่น แล้วไซม่อนเป็นใคร?” ผมถามในขณะที่แอบมองผ่านรูตาแมว ใบหน้าของรอยยิ้มนับสิบยืนสลอนอัดกันอยู่หน้าห้องผม โดยมีครูใหญ่กับเนธานพยายามเอาไหล่กระแทกพังเข้ามา



    “ไซม่อนตัวจริงตายไปตั้งแต่ปีที่แล้ว…” เขายอมอธิบายในที่สุด



    “ตัวจริงเหรอ? แสดงว่าไซม่อนก็เคยมีตัวตนเป็นคนจริงๆ มาก่อนใช่ไหม?” ผมหันกลับไปให้เขาสนใจเขาอย่างเต็มที่



              “ใช่… เรื่องของเรื่องก็คือ ไซม่อนตัวจริงป่วยเป็นมะเร็งที่รักษาไม่หายมานานแล้ว พ่อแม่ของเขาเป็นเศรษฐี และพวกเขาก็รับไม่ได้ที่จะต้องรู้ว่าสักวัน ลูกของพวกเขาจะต้องจากไป พวกเขารู้ว่าสักวันลูกชายคนเดียวของตัวเองจะต้องตายด้วยโรค พวกเขาพยายามหาทุกวิถีทางที่จะรักษาลูกของตน ทำทุกอย่างเพื่อช่วยยื้อชีวิตลูกของตน พวกเขาทำแบบนี้มาตั้งแต่ไซม่อนตัวจริงยังเด็ก”




    “แล้วไงต่อ… แล้วนายมาสวมรอยเป็นเขาได้ยังไง? ทำไมหน้านายถึงได้เหมือนเขา?”



    “ห้าปีก่อน… ตอนที่พวกเขาเกือบหมดหวัง พวกนั้นได้ข่าวเรื่องของการวิจัยลับๆ ของสถาบันแห่งหนึ่ง”



    “ดีอีอา” ผมเสริม “ใช่ไหม?”



              เจนเซ่นเหมือนอยากจะพยักหน้าให้ “ครูใหญ่โรงเรียนฮอลโลเวลล์กล่อมหูพวกเขาเรื่องจักรกลเสมือนมนุษย์ เธอบอกพวกเขาว่าสามารถสร้างหุ่นยนต์ที่เป็นตัวแทนลูกชายของพวกเขาได้หากไซม่อนจากไป ขอเพียงแค่ทั้งคู่ยอมบริจาคเงินทุนจำนวนมหาศาลเพื่อช่วยให้โครงการพัฒนาหุ่นยนต์สำเร็จ ทั้งคู่ยอมตอบตกลงในแทบจะทันที พวกเขาคิดว่าเมื่อเวลามาถึง เมื่อไซม่อนตายไป ฉันจะสามารถทดแทนลูกของพวกเขาได้ แล้วพวกเขาก็จะใช้ชีวิตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”




              “ถ้างั้น ไซม่อนก็เป็นต้นแบบของนายน่ะสิ” ผมอึ้ง เรื่องราวทั้งหมดเหมือนจะซับซ้อนแต่ก็มีเหตุผลที่ไม่น่าเชื่อในตัวของมันเอง คำอธิบายทุกอย่างเกือบทำให้ผมลืมเรื่องพวกรอยยิ้มที่อยู่นอกประตูไปชั่วขณะ ผมพูดอะไรไม่ออก




              “หลังจากที่ศูนย์วิจัยของสถาบันถูกเปิดโปง พวกรัฐบาลพยายามเก็บหุ่นยนต์ทุกตัว แต่พ่อแม่ของไซม่อนก็ใช้เส้นสาย ทุ่มเงินจำนวนมากเกือบหมดตัว เพียงเพื่อซื้อฉันกลับมา พยายามพูดให้ฉันเชื่อว่าฉันคือลูกชายของพวกเขา เล่าประวัติทุกอย่างของไซม่อนให้ฟัง คนที่เขารู้จัก เพื่อนๆ ที่โรงเรียน อาหารที่เขาชอบกิน เสื้อที่เขาชอบใส่ ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่ไซม่อน แต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ชีวิตเป็นเขา”




              “ให้ตายสิ… ฉัน” ผมพยายามสรรหาคำมาอธิบายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้ “แล้วนายมาอยู่ที่นี่กับฉันได้ยังไง?”




              “วันนี้เป็นวันแรกที่พวกเขายอมให้ฉันออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านในฐานะไซม่อน เขาอยากให้ฉันมาเปิดตัวที่งานศพเมื่อเช้านั่น เพื่อที่ทุกคนจะได้คิดว่าไซม่อนยังไม่ตาย แล้ว… ฉันก็เจอนาย แต่นายทำเหมือนจำฉันไม่ได้ นายคิดว่าฉันเป็นไซม่อนเหมือนที่คนอื่นๆ คิด สถานการณ์ในตอนนั้นก็ไม่เหมาะที่จะพูดอะไรด้วย ฉันก็เลยเงียบๆ ไว้ก่อน”



    “งั้นที่นายจ้องฉันเมื่อเช้านั่น แสดงว่านายอยากให้ฉันจำนายได้งั้นหรือไง?”



              เจนเซ่นไม่ตอบ ผมไม่ว่าอะไรเพราะถือว่าเขาตอบมามากพอแล้ว ประตูที่ถูกกั้นไว้ยังคงส่งเสียงโครมคราม ผมไม่มั่นใจว่าตัวเองจะปลอดภัยอยู่ในนี้ได้อีกนานเท่าไหร่ หากพวกนั้นบุกเข้ามาได้สำเร็จ ซึ่งพวกเขาจะทำสำเร็จแน่ๆ ผมจะไม่มีที่ให้หนีอีก พวกเขาต้อนผมจนถึงปราการด่านสุดท้าย ที่ซึ่งชีวิตของผมขึ้นอยู่กับมัน




    “นายจะทำยังไงต่อ” เจนเซ่นถาม




              “ฉันไม่รู้” ผมพูดความจริง ย่อตัวนั่งลงกับพื้นข้างๆ หัวของเขา รู้สึกตายลงจากข้างใน คงจะดีไม่น้อยถ้าผมท้องอิ่ม ผมไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง ผมใช้แรงจนเกินขีดความเป็นมนุษย์ แค่นี้ก็น่ายกย่องมากมายขนาดไหนแล้ว ผมรู้ว่าทุกคนคงจะเข้าใจ ถ้าหากผมตายตอนนี้คุณคงไม่ถือว่าผมตายแบบไร้ค่าใช่ไหม? คุณรู้ใช่ไหมว่าผมทำทุกอย่างแล้วจริงๆ ให้ตายสิ! การมีชีวิตอยู่นี่มันยากเหลือเกิน





    “นายหิวมั้ย?” ผมถามเจนเซ่น “แน่ล่ะ นายไม่หิวหรอก”




              ผมลุกขึ้น เดินผ่านสิ่งของที่ระเกะระกะไปทั่วพื้นห้อง ผมรู้สึกเห็นใจเฮนรี่ลึกๆ ที่บ้านของเขาพังไปสองครั้ง และผมก็แอบเป็นต้นเหตุทั้งสองรอบ ผมเสียดายโซฟาหรูๆ อันนั้นกับชุดดูหนังโฮมเธียร์เตอร์ ผมเดินเข้าไปในห้องครัว เจนเซ่นดูจะสับสน พยายามตะโกนถามว่าผมคิดจะทำอะไร แต่ผมเปล่า ไม่ได้คิดจะทำอะไรอีกต่อไปแล้ว ผมแค่… ยอมแพ้ ผมแค่หิว




              ผมเปิดตู้เย็น ยังมีของกินหลายอย่างเหลืออยู่ บางอย่างก็เสียไปแล้ว ผมเลือกหยิบแอปเปิ้ลมากัดคำนึง ยืนพิงผนัง จากนั้นก็เปิดตู้ข้างๆ หยิบขนมปังมายัดเข้าปากสองสามแผ่น และมันรู้สึกดีมาก มากจนถึงขนาดผมเลือกที่จะไม่สนใจในตอนที่พวกเนธานพังประตูได้เกือบสำเร็จ ประตูแง้มออก เหลือเพียงสิ่งของที่ผมเอาไปกองไว้กั้นอยู่  




     “แกตายแน่!! เนธานส่งเสียงลอดเข้ามาในห้อง



    “เออ… เอาเหอะ” ผมพึมพำ




              ผมพบว่ามันง่ายเหลือเกินที่จะปล่อยวางทุกอย่าง มันรู้สึกดีมากๆ ในตอนที่ผมไม่จำเป็นต้องมานั่งห่วงเรื่องชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องห่วงว่าจะจบยังไง มันคงไม่ได้แย่เท่าไหร่นักที่จะจบชีวิตลงตอนนี้ ผมหมายถึง… ทุกอย่างมันมากเกินไป ผมไม่รู้ว่าผมจะโทษใครได้ มันมีใครให้ผมโทษเป็นตัวเป็นตนได้หรือเปล่า? ผมอยากรู้ว่าใครเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ ผมอยากจะตะโกนใส่เขาว่ามันเป็นหนังที่ห่วยบรม และตอนจบของมันก็ห่วยยิ่งกว่า



    “แมต…” เสียงเจนเซ่นตะโกนมาจากห้องนั่งเล่น



    “อะไรเหรอ?” ผมขานรับ



    “เวลาของฉันเหลือไม่มากแล้ว แต่… นายรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงตามนายมาตั้งแต่ตอนในโบสถ์นั่น?” เขาถาม



    “ไม่รู้สิ หรือเพราะนายอยากจะอัดฉันอีกสักรอบมั้ง”




              “ไม่… เพราะฉันอยากช่วยนาย” เขาว่า “พอเกิดเรื่องขึ้นที่โบสถ์ ฉันรู้ทันทีเลยว่านายต้องเอาตัวเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องอันตรายอีกแล้วแน่ๆ และฉันคิดว่าฉันควรจะอยู่ที่นั่นกับนาย ฉันรู้ว่าฉันเป็นแค่หุ่นยนต์ และคำพูดของฉันก็เป็นแค่โปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้น แต่อย่างน้อยฉันก็ยังมีความคิด พอที่จะเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์อย่างนายเรียกว่า ความรู้สึกผิด




    ผมวางของกินบนมือลง ปัดเศษขนมปังตามตัวออก แล้วจากนั้นก็กอดอก ตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด




              “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันแกล้งนายมาตลอด ฉันใช้กำลัง และเกือบจะฆ่านายด้วยซ้ำ สำหรับฉันแล้ว โปรแกรมในหัวบอกว่ามันไม่ใช่เรื่องดี ฉันก็เลยแค่อยาก… ชดใช้ในสิ่งที่ฉันเคยทำกับนาย ชดเชยที่เคยทำให้ชีวิตของนายตกอยู่ในความทุกข์ ฉันคิดว่าฉันเข้าใจความรู้สึกที่ว่าการไม่มีเพื่อนมันเป็นยังไง และมันยากที่จะรู้ว่านายจะสามารถยืนอยู่ตรงจุดไหนได้บ้างบนโลกใบนี้ มันยากที่จะต้องสู้กับทุกอย่างเพียงคนเดียวฉันก็เลยคิดว่าฉันจะต้องอยู่ตรงนั้นกับนาย เพื่อช่วยนาย”



    “ฉะนั้น อย่าเพิ่งยอมแพ้นะ” เจนเซ่นพูดช้าลง และเสียงของเขาก็เบาลง “นายจะต้องรอด เช้าใจไหม”




              ผมเงียบ ไม่คิดมาก่อนว่าในชีวิตนี้จะมีใครพูดคำนั้นกับผม ชีวิตของผมคงจะง่ายขึ้นกว่านี้มาก ถ้าผมได้ยินประโยคนั้นในตอนที่ผมยังเด็ก ยังเป็นไอ้ห่วย คำพูดของเขาสื่อความหมายได้ครบถ้วนและมีพลัง มันบอกผมได้ว่าเขามีจิตวิญญาณ และมันช่วยจุดประกายบางอย่างในใจผมด้วยวิธีที่ไม่อาจเข้าใจได้





    “เจนเซ่น” ผมเอ่ย “ขอบใจ”  



    “ไม่เป็นไร” เขาตอบกลับ




    ผมผละตัวเองออกจากห้องครัว รู้สึกอิ่มท้อง ผมตรงไปยังห้องนั่งเล่น ตรงไปหาเขา




              “อีกนิดเดียวเท่านั้น!! ฮ่าๆ” เนธานหัวเราะฉลองชัยชนะ เขาสอดแขนตัวเองเข้ามาทางประตูได้สำเร็จแล้ว อีกนิดเดียวอย่างที่เขาพูดจริงๆ พวกรอยยิ้มข้างนอกส่งเสียงหัวเราะโหวกเหวกดังสะเทือนไปทั่วทั้งชั้น เนธานพยายามเอามือคว้าสิ่งกีดขวางออกจากประตู ผมรู้ว่าผมต้องรีบ




    “นายจะทำอะไร” เจนเซ่นถามเมื่อผมไปถึง




               “ก็จะสู้ไง” ผมบอก คว้าเอาหัวของเขาขึ้นมา ตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง ผมมีความคิดดีๆ อยู่สองสามอย่างแล่นเข้ามาในหัวแม้จะไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่ความล้มเหลวในตอนนี้ไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ผมจัดแจงดึงผ้าปูเตียงออก ดึงปลอกหมอน ดึงผ้าห่ม แล้วเอามันมากองรวมกัน ผมเคยเห็นเขาทำแบบนั้นกันในหนัง ผมรีบเอาผ้าแต่ละผืนมาบิดหมุนเป็นเกลียวยาวๆ มันใช้เวลา แต่ผมก็เร่งมือให้เร็วที่สุดมากเท่าที่จะทำได้ ผมเอาเกลียวผ้าพวกนั้นมัดต่อเข้าด้วยกัน ผมจะใช้มันเป็นเชือก




              “นาย… อย่าบอก นะว่า นายคิดจะ ปีนลงไป” เสียงของเจนเซ่นลากช้าลงกว่าเดิมอีก ใบหน้าเขาขยับน้อยลง “มัน สูง”




              “ฉันรู้” ผมลากเอาเกลียวผ้าทั้งหลายไปที่ระเบียง เป็นครั้งแรกในหลายชั่วโมงที่ผมได้เห็นสภาพภายนอกตึกอีกครั้ง ท้องฟ้ายามค่ำคืนช่างสวยงาม ผมสูดอากาศภายนอกเข้าเต็มปอด พยักหน้ากับตัวเอง โยนผ้าออกไปที่ระเบียง แล้วมัดปลายด้านหนึ่งไว้กับราวเหล็กอย่างแน่นหนา ผมกระตุกมันสองสามทีเพื่อเช็คความปลอดภัย จากนั้นก็ชะโงกหน้ามองลงไปข้างล่าง เชือกยาวไปถึงแค่ระเบียงชั้นสิบหกเท่านั้น ความสูงทำให้ผมอยากจะเปลี่ยนใจ รู้สึกคลื่นไส้ แต่ผมผ่านจุดที่ไม่อาจหวนคืนมาแล้ว




    “นายอย่าเพิ่งหลับนะ” ผมบอกเจนเซ่น แต่ดูเหมือนเขาจะตอบโต้น้อยลงทุกที




    “แมต... ในหัวฉัน ความทรงจำ” เจนเซ่นพยายามพูดอะไรบางอย่าง “กดที่ท้ายทอย”




              ผมไม่แน่ใจว่าเขาต้องการให้ผมทำอะไร แต่ผมก็ทำตามที่เขาสั่ง ผมยกหัวเขาขึ้นมา ใช้นิ้วกดลงตรงหลังหัว ตำแหน่งที่น่าจะเป็นท้ายทอย ผมรู้สึกได้ทันทีว่ามีปุ่มอะไรบางอย่างอยู่ใต้ผิวหนัง และทันทีที่ผมกด ท้ายทอยเขาก็เปิดออกเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเล็ก สามารถมองผ่านเข้าไปเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในหัวของเขาได้ ผมเห็นกลไกและสายไฟฟ้าหลายอย่างที่ดูซับซ้อน แล้วจู่ๆ ก็มีแผ่นพลาสติกสี่เหลี่ยมเล็กๆ ลักษณะเหมือนเมมโมรี่การ์ดที่ใช้ในเครื่องอัดวิดีโอโผล่ออกมา




    ผมเข้าใจในทันที




              “มันคือความทรงจำของนายใช่ไหม” ผมถาม แต่เจนเซ่นไม่ตอบ เขาไม่ขยับอีกต่อไป และคงจะไม่พูดอะไรอีก ผมมองหน้าของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ดึงการ์ดนั่นออกมา เก็บใส่กระเป๋ากางเกง แล้วกล่าวลา




    “ขอบใจ เจนเซ่น” ผมยิ้มเรียบๆ ด้วยความรู้สึกของซาบซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจ




               ไม่มีอะไรหยุดผมได้อีกต่อไป ผมวางหัวของเขาลงบนเตียงอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปดูสถานการณ์ที่ห้องนั่งเล่น ประตูถูกเผยออกมากกว่าเมื่อครู่ และคราวนี้เนธานสอดหัวเข้ามาได้แล้ว ผมกะเวลาได้เลยว่าเขาคงจะเข้ามาถึงตัวผมได้ภายในอีกไม่ถึงนาที ผมต้องรีบ จะต้องจัดการขั้นเด็ดขาด




    “ฆ่ามัน! ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!เสียงเชียร์จากภายนอกส่งแรงใจเข้ามาเยาะเย้ยผมถึงข้างใน




              “แมต! ฉันจะหั่นคอนาย อยากรู้ไหม ว่ามันรู้สึกยังไงที่ต้องโดนตัดหัวเป็นๆ น่ะ ถามเพื่อนแกดูหลังตายก็แล้วกัน!” เนธานเขย่าประตู เขาแค่นหัวเราะทั้งๆ ที่สีหน้ากำลังแสดงความเดือดดาลเกรี้ยวโกรธเต็มที่




              ผมกลั้นหายใจ รวบรวมสมาธิในหัว ลำดับความคิดภายในเสี้ยววินาที เมื่อผมก้าวขาแล้วผมจะไม่หยุด จนกว่าผมจะรอดออกจากตึกแห่งนี้ได้ จะไม่มีโอกาสครั้งที่สอง ผมเคยบรรยายมาตลอดว่าผมรู้สึกหวาดกลัวแค่ไหนเมื่อรู้ว่าหัวใจตัวเองกำลังเต้นแรง แต่คราวนี้กลับต่างกัน ผมอยากรู้สึกถึงจังหวะของหัวใจตัวเอง ผมต้องการให้มันเต้นแรงและเร็วขึ้น ผมเงียบเพื่อฟังเสียงการสูบฉีดของเลือดที่พุ่งพล่านอยู่ในกาย ผมแค่ต้องการให้ตัวเองแน่ใจว่าผมยังมีชีวิตอยู่




              ผมออกตัว! วิ่งเข้าไปในห้องครัว ตรงไปยังเตาแก๊ส ผมเปิดมันค้างไว้ เปิดทุกอันเลย แก๊สที่รั่วออกมาส่งกลิ่นเหม็นหืนจนผมต้องอุดจมูก มันแพร่กระจายไปในอากาศอย่างรวดเร็ว แฝงตัวไปทั่วทุกอณู ผมวิ่งกลับมาที่ห้องนั่งเล่น เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูถูกกระแทกเป็นครั้งสุดท้าย อุปสรรคที่ผมกองไว้หน้าประตูถล่มลงมา ไม่มีอะไรกั้นประตูอีกต่อไป เสียงหัวเราะอย่างมีชัยอื้ออึงไปทั่วเพื่อฉลองความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ เนธานโผล่หน้าเข้ามาในห้อง เขายิ้ม!





              “ฮ่า! แกเสร็จฉัน” เขาฉีกยิ้มกว้างอีก กว้างจนเห็นเหงือก รอยยิ้มคนอื่นๆ ทะลักเข้ามาในห้อง พวกเขาไม่รู้เลยว่าคราวนี้ ใครกันแน่ที่กลายเป็นหนูติดกับ ผมพุ่งตัวหันหลังกลับ กระโดดข้ามโซฟาราวกับตัวเองไม่มีน้ำหนัก มุ่งเข้าไปในห้องนอน มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า เท้าวิ่งผ่านเตียง ตามองระเบียง เนธานกับครูใหญ่วิ่งตามมา หัวเราะอย่างสะใจ




              ผมหยุดตัวเองอยู่ตรงราวระเบียง มือข้างหนึ่งกำเกลียวผ้าให้มั่น พ่นลมหายใจเข้าออก หันกลับไปมองเนธานที่เข้ามาถึงในห้อง เขาหยุดตามผมเพราะคิดว่าผมจนมุมแล้ว ผมมองสีหน้าอำมหิตที่พวกเขาแสนจะภูมิใจนักหนา รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าที่ทรมานคนบริสุทธิ์คนแล้วคนเล่า ไม่ช้าเหล่ารอยยิ้มก็กรูเข้ามายืนเต็มห้องเพราะไม่อยากพลาดชมเหตุการณ์ครั้งสำคัญ




              เนธานชูมีดขู่ ส่วนผมก็ชูสิ่งที่กำอยู่บนมือเช่นกัน มันคือไฟแช็ค อาวุธสองอันสุดท้ายในพิธีคัดเลือกผู้นำประจันหน้ากัน วินาทีตัดสินได้มาถึง ตอนนั้นขาข้างนึงของผมก้าวข้ามระเบียงสู่ความว่างเปล่าเรียบร้อยแล้ว ผมเห็นรอยยิ้มสุดท้ายของพวกเขาค่อยๆ หุบลง ผมรู้ว่าเป็นเพราะอะไร พวกเขาได้กลิ่นแก๊ส!




    “ทำไมล่ะ?” ผมถาม “ยิ้มไม่ออกแล้วเหรอ?”




    “อย่านะ!!เนธานตะโกน




              ผมจุดประกายไฟแช็คด้วยนิ้วโป้ง เบือนหน้าหนี หลับตา จากนั้นก็กลั้นหายใจ เขวี้ยงไฟแช็คสุดแรงมือเข้าไปข้างในห้อง จากนั้นก็ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่สนอะไรอีก กระโดดผ่านระเบียง ทิ้งตัวใส่ความว่างเปล่า ร่างผมหล่นฮวบ อากาศถูดรีดออกจากปอด

















    ตู้ม!!!





              เกิดเสียงระเบิดครั้งใหญ่ แต่ผมกลับไม่ได้ยิน หูผมอื้อไปหมด ทั่วทั้งอาคารเกิดแรงสั่นสะเทือน ส่งผลให้ซากไม้และผนังปูนกระเด็นกระดอนกลายเป็นสะเก็ดโปรยปรายลงมารอบตัว ลูกไฟก้อนใหญ่พุ่งออกมาจากห้องนอนผ่านออกไปนอกระเบียง ผมรูดตัวลงมาตามเกลียวผ้า มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด อันที่จริง มันเป็นความคิดที่โง่เง่าที่สุด มือผมไม่สามารถยึดตัวเองให้อยู่นิ่งได้ ผ้ารูดผ่านมือไปเรื่อยๆ ผมร่วงลงไปแบบไร้การควบคุม




              ที่แย่ที่สุดคือไฟที่ลามมาถึงระเบียงๆ ค่อยๆ กัดกินเกลียวผ้าที่ผมมัดไว้ มันกำลังคลายออก! ผมกำลังจะหล่นลงไป ผ้าค่อยๆ กระตุกลงมาสองสามทีเพื่อบอกว่ามันไม่สามารถรับน้ำหนักผมได้แล้ว ไม่ช้าทั้งเกลียวผ้าและผมก็ลอยเคว้งอยู่ในอากาศ เป็นเสี้ยววินาทีเดียวที่ผมรู้สึกว่าตัวเองลอยได้ จนกระทั่งแรงโน้มถ่วงเริ่มถามหา ผมร่วงลงไป




              อีกครั้งที่ผมไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของตัวเอง แขนสองข้างรีบคว้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันคือราวเหล็กของระเบียงชั้นไหนก็ไม่รู้ ทันทีที่ผมจับมัน น้ำหนักตัวก็ถ่วงแขนอย่างแรง ผมรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อฉีกขาด ควันกลิ่นฉุนลอยโขมงเข้าปอดจนผมสำลัก เท้าสองข้างตะเกียกตะกายพาตัวเองปีนข้ามกลับเข้าไปในตึก ผมพลิกตัวนอนตะแคงอยู่ตรงระเบียง ปล่อยตัวปล่อยใจชื่มชมกับหายนะครั้งยิ่งใหญ่ที่ตัวเองก่อ




              มีซากสิ่งของติดไฟหล่นมาจากชั้นบนเป็นลูกหลง ผมมองอะไรไม่ค่อยถนัดนักเพราะควันดำตลบอบอวลไปทั่ว กลิ่นเหม็นไหม้ทำเอาแสบจมูก แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกแย่เท่าไหร่นัก ผมรู้สึกผ่อนคลาย รู้สึกว่าพื้นแข็งๆ ที่ตัวเองนอนอยู่ช่างนุ่มนวลเหมือนเตียงนอน ไม่มีอะไรที่น่าโล่งใจไปมากกว่านี้




    “รอดแล้ว” ผมพูดกับตัวเอง




              ผมนอนอยู่อย่างนั้นสักพักจนกล้ามเนื้อคลายตัว ผมคิดว่าร่างกายของตัวเองเริ่มฟื้นสภาพ ผมจึงลุกขึ้น เอาศอกยันพื้นแล้วยืนตรง ผมกะว่าจะวิ่งตรงออกไปจากตึกแต่ตระหนักว่าคงจะไม่ง่ายอย่างที่คิด ผมรู้สึกมึนไปหมด เกิดอาการวิงเวียงจนถึงขั้นเห็นดาวเวียนอยู่รอบหัว ผมเซไปมา ล้มแล้วลุกแล้วก็ล้มอีก กว่าจะออกไปจากห้องนั้นได้ก็กินเวลาราวๆ ห้านาที




              ผมอยู่ที่ชั้นสิบหก ผมรู้เพราะผมมองป้ายซึ่งแขวนอยู่หน้าประตูห้องที่ผมเพิ่งออกมา ผมลากเท้าไปตามทางเดิน รู้สึกหนังตาหย่อน สมองกำลังบังคับให้ผมหลับ แต่จิตใต้สำนึกยังคงต้องการให้ผมสู้ต่อไป ผมต้องออกไปจากตึกแห่งนี้ ผมใช้บันไดหนีไฟเพื่อลงไปข้างล่างรวดเดียว แต่กว่าจะก้าวเท้าลงแต่ละขั้นได้ต้องใช้เวลา ผมกระเสือกกระสนอยู่ตรงนั้นนานพอสมควร ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ผมผลักประตูหนีไฟออกเมื่อถึงชั้นหนึ่ง จากนั้นก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่ห้องล็อบบี้ใหญ่ของอพาร์ทเม้นต์ และประตูทางออกตึกก็อยู่ตรงหน้า




              แปลกมากที่ไม่มีใครอยู่เลย ผมเดาว่าพวกรอยยิ้มทุกคนคงจบชีวิตที่ชั้นสิบเก้าหมดแล้ว แต่ถ้าอย่างนั้น พวกสาวๆ ล่ะ อยู่ไหน?




              ผมเดินข้ามสิ่งของไป จากนั้นยืดมือออกสองข้าง ตรงไปยังประตูไม้ใหญ่ สัมผัสถึงอิสระภาพแบบเต็มอัตรา เบิกตามองกว้างเพื่อซึมซับบรรยากาศของโลกภายนอกที่ตัวเองใฝ่ฝันหามานาน



    “กรี๊ดดดดด!!




              อย่างไรก็ตาม เสียงกรีดร้องไม่ใช่สิ่งที่ผมคาดหวังจะให้เป็นเสียงแรกที่ได้ยินเมื่อออกมาถึง ผมมองไปรอบตัว และผมรู้ว่าผมยังอยู่ในนรก เพียงในเวลาไม่กี่ชั่วโมง เมืองทั้งเมืองแปรเปลี่ยนเป็นสนามรบ มีศพคนเกลื่อนหน้าตึกเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นศพของสมาชิกลัทธิรอยยิ้ม พวกเขาถูกฆ่าด้วยอาวุธที่หลากหลาย บนถนนมีซากสิ่งของเกลื่อนกลาด บางส่วนเป็นผลมาจากการระเบิดเมื่อครู่ แต่ที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยคือกลุ่มคนที่กำลังเดินเพ่นพ่าน บ้างก็กำลังช่วยกันกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับรอยยิ้มคนที่ยังเหลือ บ้างก็กำลังจ้วงแทงอาวุธใส่คนที่ตายไปแล้ว พวกเขาสวมผ้าสีฟ้าโปร่งๆ แบบที่คนไข้สวมกัน




              “แมต!!” ช่วยด้วย!” เมแกนหวีดร้อง มีคนบ้าคนหนึ่งกำลังพยายามจะทำร้ายเธอ โซอี้และเชย์ก็อยู่ในสภาพเดียวกัน ผมสังเกตเห็นไอนสไตน์ (หรือที่บางคนเรียกว่าหมอฟิตซ์) นอนตายอยู่ข้างๆ พวกเธอ ผมเดาว่าพวกรอยยิ้มคงถูกจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวโดยคนบ้าจำนวนมาก เสียงระเบิดเมื่อครู่คงเป็นตัวเรียกพวกเขามา แต่เป็นโชคร้ายของสาวๆ ที่ถึงแม้จะรอดจากฆาตกรโรคจิต ก็ยังต้องเจอกับกลุ่มคนไข้ที่โรคจิตกว่า



              “พ่อครับ! มาเล่นด้วยกันเร็วๆ!ชายแก่คนหนึ่งเรียกผม แต่กระโดดโลดเต้นราวกับเป็นเด็ก เขาเข้ามากระชากแขนผมอย่างแรงแล้วเหวี่ยงไปรอบๆ เป็นวงกลมราวกับจะเต้นรำ ข่าวร้ายคือผมไม่มีแรงจะต่อกรกับพวกเขาแล้ว ผมไม่อาจทรงตัวให้ยืนอยู่ได้ ผมล้มลง และนั่นยิ่งทำให้ชายแก่คนนั้นโมโห




    “ถ้าพ่อไม่เล่นด้วย ผมจะโกรธแล้วนะ!!ชายแก่ตะคอก มือถือไม้หน้าสามเปื้อนเลือด




              “ปล่อยฉันนะ! เชย์สะบัดแขนให้หลุดจากพันธนาการ ดูเหมือนเธอจะกลับมามีเรี่ยวแรงและสติอีกครั้ง แต่พวกมันมีจำนวนมากเกินไป คนบ้าต่างพากันกรูเข้าไปหาเธอเป็นพิเศษเพราะรู้ว่าเธอเป็นตัวอันตราย




    ผมไม่เหลือสติ ผมนอนลง หน้าแนบกับพื้นถนน อยากจะฝืนร่างกายแต่ทำไม่ได้ ผมต้องหลับแล้ว…  




              แล่วจู่ๆ ก็มีแสงสว่างจ้าส่องเข้ามา มันคือสิ่งสุดท้ายที่ผมเห็นก่อนจะหลับตา ผมได้ยินเพียงแต่เสียง เหมือนเป็นเสียงรถ ถ้าอย่างนั้นแสงเมื่อกี้คงเป็นแสงไฟหน้ารถ เสียงต่อมาคือเสียงกระสุนปืนถูกยิงขึ้นหนึ่งนัด แล้วผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่แตกกระกระเจิงไปคนละทิศละทางด้วยความตื่นตระหนก เสียงของพวกคนบ้าก่นด่า และเสียงร้องวี๊ดว๊ายของสาวๆ แต่เสียงที่ดูจะชัดเจนที่สุดในตอนนี้ คงเป็นเสียงนุ่มคุ้นๆ ของใครคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาดูอาการผมอย่างเป็นห่วง




    “เธอเป็นอะไรไหม?” เฮนรี่ถาม



    “ช่วยด้วยค่ะ! เขาสลบไป” โซอี้ร้องบอก



              “พวกเธอรีบเข้าไปในรถ เราต้องรีบออกจากเมืองเดี๋ยวนี้เลย!” เฮนรี่สอดมือเข้ามาใต้ตัว จากนั้นผมก็รู้สึกว่าตัวเองถูกยกขึ้นจนตัวลอย เขาค่อยๆ อุ้มผมไปที่ไหนสักแห่ง จากนั้นผมก็ลงจอดลงบนเบาะนุ่มๆ หลังรถ ตามมาด้วยเสียงปิดประตู เสียงเครื่องยนต์ทำงาน แล้วก็เสียงเคลื่อนที่ของรถ



              ผมเคลื่อนเปลือกตาออกนิดนึงเป็นครั้งสุดท้าย มองเห็นภาพผ่านทางหน้าต่างรถ ทำได้เพียงเฝ้ามองตึกราบ้านช่องค่อยๆ หายไป จากนั้นก็มองเห็นศูนย์อพยพชั่วคราวปรากฎขึ้นรอบตัว มีเสียงแอะอะ มีทหาร และมีพยาบาล




    ผมล้วงกระเป๋ากางเกง ควานหาสิ่งที่อยู่ในนั้น จากนั้นก็กำเมมโมรี่การ์ดไว้แน่น ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองหลับสนิท                            

                                                                                                               



     


    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -



    โปรดติดตามบทส่งท้าย


    ป.ล. คำเตือน เลี่ยงเขียนคอมเมนต์ในแนวสปอยเรื่องเจนเซ่น หากจะกล่าวถึง ให้แทนชื่อเขาว่าไซม่อนไปก่อน เข้าใจตรงกันนะ อิๆ



     
    คืออยากจะบอกว่าเป็นตอนที่ปั่นยาวมากๆ นั่งถ่างตาปั่นติดต่อมาหลายคืนละ อ่านกันให้ตาเเฉะเลยเลยนะทุกท่าน


    สำหรับตอนหน้าจะเป็นบทสรุปเหตุการณ์ทั้งหมด รวมทั้งจะมีข่าวคราวของนิยายเรื่องใหม่ที่ขาพเจ้าวางแผนไว้ อย่าลืมติดตามกันน๊าาา น่าจะลงวันพรุ่งนี้เเหละ

    ขอบคุณสำหรับทุกคนเม้นต์ที่ให้การต้อนรับการกลับมาของไรท์เป็นอย่างดี ส่งผลให้ไรท์มีกำลังใจมากมายเลยจริงๆ ขอบคุณมากๆจ้า 
     
     










     
    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×