ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Barbecue Fantasia

    ลำดับตอนที่ #12 : ตอนที่ 12 ช่วยชีวิต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 541
      14
      20 มี.ค. 58

    .

    ตอนที่ 12 ช่วยชีวิต

    ประตูที่ถูกดึงห่วงจับจากภายนอกเปิดแง้มออกโดยไร้เสียง ฝีมือการสร้างบานพับของไม้สักอยู่ในระดับสูงจนแทบไม่มีความฝืดใด ๆ ผู้เปิดประตูยื่นปลายเท้าเข้ามาในห้องก่อน จากนั้นแท่งไม้แหลมจึงเคลื่อนที่ตามเข้ามาในระดับเอว ขนาดของมันใกล้เคียงกับกระบองที่ประดู่ใช้ ส่วนปลายของแท่งไม้มีลักษณะคล้ายเหล็กแหลมที่เรืองแสงสีน้ำเงินอ่อน ๆ ออกมาพอให้มองเห็นในความมืด

    ถึงตอนนี้ทั้งสองคนมั่นใจว่าผู้มาเยือนไม่ได้มาดี คนที่มาดีจะต้องไม่ย่องเข้าบ้านคนอื่นเงียบ ๆ โดยเฉพาะคนที่พกพาอาวุธเข้ามาด้วยเช่นนี้

    ร่ายกายเจ้าของอาวุธแหลมคมเคลื่อนผ่านพ้นประตูเข้ามาจนเห็นส่วนศีรษะที่มัดปิดไว้ด้วยผ้าคลุม ผ้าคลุมศีรษะสีดำเปิดช่องว่างบริเวณดวงตา ตาดำคู่นั้นเรืองแสงสีน้ำเงินเรื่อเช่นเดียวกับอาวุธ แสงสีน้ำเงินในความมืดกลอกมายังไม้สักซึ่งยืนรออยู่ที่อีกฟากหนึ่งของประตู

    ดวงตาของสองคนจากสองมิติประสานกัน รูม่านตาของผู้บุกรุกขยายออกเหมือนคนพยายามเพ่งมองสิ่งของที่มีขนาดเล็กจิ๋ว แสงในตาดำทวีความเข้มข้นเหมือนเหล็กได้รับความร้อน แต่เป็นเหล็กร้อนสีน้ำเงิน มีดของไม้สักปักเข้าที่หน้าอกตัดขั้วหัวใจเขาในวินาทีนั้นเอง

    เสียงร้องโหยหวนของชายผู้นั้นดังก้องไปทั่วป่ายามรุ่งเช้า นกที่เกาะพักอยู่ตามกิ่งไม้กระพือปีกโผขึ้นฟ้าด้วยความแตกตื่น ประดู่และไม้สักกระโดดพุ่งตัวออกจากหน้าต่างห้องตัวเองลงสู่พื้นดินข้างบ้าน ม้วนหน้าพุ่งตัวเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ใกล้ ๆ ตามที่นัดหมายกันไว้ด้วยภาษามือ

    ไม้สักมองลอดผ่านช่องว่างของใบไม้ออกมาเห็นจุดสีน้ำเงินสี่คู่กระจายกันอยู่ที่หน้าบ้าน เขามองเห็นรูปทรงของมนุษย์ราง ๆ ด้วยแสงจากเทพธิดาราตรีที่ยังไม่ลับขอบฟ้า ถ้าไม่ได้แสงจากกลุ่มดาวหญิงสาวหลับใหลช่วยเหลือไม้สักและประดู่คงไม่อาจใช้ภาษามือติดต่อสื่อสารกัน

    ไม้สักจ้องมองดูจุดสีน้ำเงินคู่ที่อยู่ใกล้ที่สุด สัดส่วนซึ่งเป็นระยะห่างของสองจุดบอกให้เขาทราบว่าเจ้าของดวงตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมายังเขา รด.หนุ่มพลิกตัวกลิ้งออกจากจุดที่นอนหมอบอยู่ตามสัญชาตญาณ เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากการกลิ้งของเขา เสียงวัตถุแหวกผ่านอากาศด้วยความเร็วสูงก็ดังขึ้น ตามด้วยเสียงของบางสิ่งที่แหลมคมปักลงพื้นในจุดที่ไม้สักนอนอยู่เมื่อสักครู่

    ก่อนที่จะคิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง ไม้สักมองลอดผ่านใต้ถุนบ้านไปยังประดู่ ทันได้ยินเสียงของแหลมปักเข้ากับต้นไม้ดังปึก เงาร่างของประดู่แนบอยู่กับต้นไม้ที่ด้านตรงกันข้าม ใช้ต้นไม้ใหญ่เป็นโล่ป้องกันอาวุธซัดเอาตัวรอดได้อย่างทันท่วงที ถึงแม้จะต่อสู้ไม่เก่ง แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดของประดู่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเท่าไรเลย

    “พวกนี้มองเห็นในความมืด ทำเป็นหนีแล้วใช้หอกรอโจมตีตามแผน” ไม้สักพลิกตัวไปหลบหลังต้นไม้ใกล้ ๆ แล้วตะโกนบอกเพื่อนด้วยความมั่นใจว่าคนเหล่านี้ไม่เข้าใจภาษาไทย เขาค่อนข้างมั่นใจว่าแสงสีน้ำเงินที่ดวงตาของผู้บุกรุกเปล่งออกมาเป็นสัญลักษณ์ของการใช้เวทมนตร์มองในความมืด

    “โอเค” ประดู่ตอบกลับตามมาด้วยเสียงวิ่งผ่านพุ่มไม้ดังแผ่วเบา พวกเขาไม่ได้สวมรองเท้าเสียงวิ่งจึงไม่ดังนัก

    ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ปักหลักอยู่ริมลำธารไม้สักใช้เวลาว่างคิดหาทางรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดฝันอยู่ตลอด สิ่งหนึ่งที่เขากังวลก็คือการถูกปล้นในยามค่ำคืน ในยุคสมัยที่บ้านเรือนยังขาดแสงสว่างและบ้านแต่ละหลังอยู่ห่างกันนับร้อยเมตร การปล้นฆ่าชิงทรัพย์ในบ้านเป็นสิ่งที่เกิดบ่อยครั้ง แม้ในยุคปัจจุบันเหตุการณ์เช่นนี้จะลดน้อยลงไป แต่สภาพของพวกเขาในตอนนี้มีความเสียงสูงมาก ดังนั้นเขาและประดู่จึงช่วยกันคิดหาทางรับมือกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น การวางกิ่งไม้แห้ง การวางกับดัก การคิดแผนรอล่วงหน้า

    ไม้สักเดินกึ่งวิ่งลัดเลาะผ่านต้นไม้ที่เขาจดจำได้เป็นอย่างดีจนทิ้งห่างออกมาจากบ้านประมาณห้าสิบเมตร ระหว่างทางที่หลบหนีมาเขาก็ปลดสลักกับดักออกเป็นระยะ กับดักเหล่านี้ต้องติดตั้งสลักเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ชาวบ้านที่มาหาของป่าได้รับอันตราย จากนั้นปีนขึ้นต้นไม้และหยิบหอกไม้ที่ซ่อนไว้ขึ้นมาถือและนั่งรออย่างเงียบงัน

    เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอีกครั้งจากด้านที่ประดู่วิ่งหนีไป และนั่นไม่ใช่เสียงของประดู่ ใครก็ตามที่ติดตามประดู่ไปจะต้องโดนเล่นงานด้วยกับดักแน่แล้ว

    ไม้สักพยายามหายใจให้แผ่วเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาแปลกใจว่าทำไมคนที่โจมตีใส่เขาจึงไม่ตามเขามา จนกระทั่งได้ยินเสียงร้องห่างออกไปทางด้านขวามือ

    ไม้สักเข้าใจในทันทีว่านั่นเป็นความพยายามที่จะอ้อมมาตลบหลังของผู้บุกรุก เขาถูกไล่ตามแต่ไม่ได้ถูกไล่ตามอย่างบ้าคลั่งเหมือนหมาไล่ฟัด เป็นการจับกลุ่มไล่ตามอย่างเดียวกับเสือที่สะกดรอยแล้วรอจังหวะโจมตีที่เหมาะสม ไม้สักคิดว่าคนที่อ้อมไปด้านขวาจะต้องหล่นลงไปในหลุมดักที่เขาขุดเอาไว้ เป็นกับดักจับที่ไม่เน้นทำร้ายผู้ใด ต่างจากกับดักชนิดอื่นที่เป็นไม้เสี้ยมแหลมติดปลายคานดีดแรงสูงซึ่งสามารถฆ่าคนที่พลาดท่าได้ในทันที

    ไม้สักนั่งฟังเสียงคนด้านขวามือส่งเสียงร้องโวยวายจากก้อนหลุมพรางอยู่ครู่หนึ่ง เสียงวิ่งกลับไปยังบ้านจากทางด้านซ้ายมือก็ดังขึ้น ผู้บุกรุกกำลังถอยไปตั้งหลัก ไม้สักรูดตัวลงจากต้นไม้แล้วย่องย้อนกลับไปโดยพยายามสร้างเสียงให้น้อยที่สุด เขาได้ยินเสียงโต้เถียงดังมาจากหน้าบ้านแต่จับใจความไม่ได้ เสียงที่ได้ยินดังกะท่อนกะแท่นเหมือนแผ่นซีดีกระโดด

    ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ไม้สักมองจากหลังม่านพุ่มไม้เห็นคนสองคนช่วยกันยกไม้หามคนอีกคนหนึ่งขึ้นบ่าในแสงสลัว คนผู้นั้นถูกมัดมือเท้าเอาไว้กับไม้หามเหมือนหมูที่ถูกมัด

    ไม่มีจังหวะไหนจะเหมาะกว่านี้อีกแล้ว ไม้สักอาศัยช่วงเวลาที่ทั้งสองพยายามข้ามลำธารซัดหอกไม้เสี้ยมแหลมเข้าใส่คนในชุดดำที่หันหลังให้ ด้วยพละกำลังที่เขามีเพิ่มมากขึ้นหอกพุ่งไปโดยแรงแทงจากหลังทะลุอกเหยื่อผู้นั้นจนทรุดลงกับสายลำธาร

    คนที่แบกคานด้านหน้าหันกลับมาเพราะคานไม้อีกด้านตกลงพื้น ตาดำเรืองแสงสีน้ำเงินมองดูพวกเดียวกันนั่งคุกเข่าสองมือกุมปลายหอกที่แทงพ้นอกออกมา ผิวน้ำลำธารที่ตื้นเพียงเหนือแข้งรองรับสายเลือดที่ไหลรินเป็นเส้นสีแดง สีน้ำเงินในดวงตาของคนในชุดดำผู้นั้นหรี่มัวแล้วดับลง ร่างล้มไปกับลำธารสิ้นชีวิต คนที่ยังเหลือรอดจ้องมองดูไม้สักที่อีกฝั่งของลำธาร ไม่ทันได้เห็นประดู่ซึ่งกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ริมลำธาร ฟาดกระบองเหล็กเข้าใส่ศีรษะเขาจากด้านหลัง ขุดเอาหนังศีรษะ หัวกะโหลกและเนื้อมันสมองกระเด็นออกไปตามแรงฟาดมหาศาล จบชีวิตคนผู้นั้นตามไปติด ๆ

    ประดู่รีบดึงตัวคนที่โดนหามขึ้นมาเมื่อเห็นเขาพยายามดิ้นรนจากการจมน้ำตื้น แสงของดวงอาทิตย์ที่เริ่มเปลี่ยนสีท้องฟ้าทำให้ให้ทั้งสองเห็นว่าคนที่โดนหามเป็นชายชราผมหงอกจนเกือบหมดศีรษะ ปากถูกอุดไว้ด้วยผ้าและมัดซ้ำด้วยผ้าอีกหลายชั้น ดวงตาที่มีน้ำนองไม่ทราบว่าเกิดจากน้ำของแม่น้ำหรือเป็นน้ำตาแห่งความยินดีที่ได้รับการช่วยชีวิต

    ไม้สักจัดการตัดเชือกป่านที่ผูกมือและเท้าของชายชราผู้นั้นอกในระหว่างที่ประดู่ลากศพสองศพขึ้นจากน้ำ

    “ดู่ ฝากด้วยนะ ข้าจะไปดูคนที่ตกหลุมกับดักก่อน”

    เมื่อเห็นประดู่พยักหน้ารับคำไม้สักก็วิ่งไปยังหลุมกับดักทันที แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าแผ่นไม้ปิดปากหลุมถูกทำลายจากภายใน คนที่ตกลงไปในหลุมกับดักหนีไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้

    เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ไม้สักเดินกลับมาหาประดู่ที่กำลังก่อไฟให้ชายชราผิงในเช้าที่หนาวเหน็บ

    “โอ ท่านผู้มีพระคุณทั้งสอง ได้โปรดรับคำขอบคุณจากข้า ไฮโล ถ้าไม่ได้พวกท่านช่วยเหลือไว้เราผู้เฒ่าก็คงโดนโจรลักพาตัวพวกนี้ฆ่าตายแน่แล้ว ขอบพระคุณ ขอบพระคุณจริง ๆ ”

    ชายชราโค้งให้ประดู่และไม้สักสลับกันครั้งแล้วครั้งเล่า

    “โจร ทำไม หยุด แล้ว ปล้น พวกเรา” ไม้สักเรียบเรียงคำพูดของตัวเองด้วยคำง่าย ๆ ชายชราไฉโลฟังแล้วเข้าใจทันทีว่าเด็กหนุ่มสองคนนี้ไม่เชี่ยวชาญภาษายีอาลอง แต่ปลอกคอทาสของทั้งสองช่วยให้ฟังคำพูดของเขาเข้าใจ

    “ข้ามีบ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ในเมือง เป็นบ้านเก่าแก่โบราณที่อยู่ติดมุมถนน มีคนมากมายต้องการซื้อบ้านของข้าเพื่อนำไปสร้างเป็นภัตตาคารร้านค้า พวกท่านน่าจะทราบว่าเมืองท่องเที่ยวอย่างเช่นเมืองคีราวีสามารถทำเงินให้ภัตตาคารได้มากเพียงไร แม้จะไม่ทราบตัวการ แต่ข้ามันใจว่าคนที่อยู่เบื้องหลังโจรกลุ่มนี้จะต้องเป็นคนที่ต้องการยึดบ้านข้าไปเป็นของตัวเองไม่ผิดแน่” ชายชราตอบพลางถูมืออังกองไฟที่เริ่มลุกโชน

    “ทำไม ปล้น เรา” ไม้สักทบทวนคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบ

    “ข้าได้ยินพวกมันคุยกัน ความจริงพวกมันตั้งใจที่จะฆ่าข้าที่ริมลำธารแห่งนี้แล้วฝังดินเอาไว้ แต่ระหว่างที่หาจุดเหมาะ ๆ ก็มาพบเจอกับบ้านของพวกท่านเสียก่อนจึงตั้งใจที่จะฆ่าคนปิดปากเพื่อซ่อนร่องรอย ไม่คิดว่าตนเองจะต้องมาตายด้วยน้ำมือนักสู้ผู้ผดุงคุณธรรมเช่นพวกท่านทั้งสอง”

    ไม้สักไม่กล้ารับคำนักสู้ สิ่งที่เขาทำก็เพื่อป้องกันตัวเองล้วน ๆ เขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่าชายชราผู้นี้ถูกนำพามาด้วย แต่จะเรียกว่าให้ความช่วยเหลือก็คงไม่ผิดเท่าไรนัก สิ่งหนึ่งที่เขาทราบเพิ่มขึ้นมาก็คือตัวตนที่แท้จริงของคนกลุ่มนี้ พวกมันไม่ได้ต้องการมาปล้นพวกเขาโดยเฉพาะ พวกเขาเพียงแค่อยู่ผิดที่ผิดเวลาและต้องโดนฆ่าปิดปากเท่านั้นเอง

    “แกไม่เป็นไรนะ” ไม้สักถามประดู่โดยปล่อยให้ชายชรารับความอบอุ่นจากกองไฟเงียบ ๆ

    “อะไร … อะไรไม่เป็นไร” ประดู่ขมวดคิ้วถามกลับ

    ไม้สักบุ้ยปากไปยังศพสองศพที่ริมลำธาร ประดู่หันไปมองศพแล้วถอนหายใจ

    “ก็ไม่เท่าฆ่าคนครั้งแรก พอคิดว่าคนพวกนี้ตั้งใจจะฆ่าพวกเราแล้วความรู้สึกผิดมันก็ลดลงมาก เรียกว่าป้องกันตัวก็คงได้ จริง ๆ จะปล่อยให้พวกมันหนีไปก็ได้นะ แต่แกเปิดแล้วข้าก็เลยตาม ถือว่าฆ่าคนเลวช่วยคนดีก็คงไม่เป็นไรมั้ง … ถ้าปู่คนนี้เป็นคนดีล่ะก็นะ” ประดู่ส่งเสียง หึ ในลำคอ

    “แกไปปลดกับดักแล้วลากคนที่ตายเพราะกับดักมารวมกันที่นี่ด้วย ข้าจะจัดการกับศพบนบ้านเอง” ไม้สักมองดูหยดเลือดที่ไหลผ่านพื้นบ้านลงมายังใต้ถุนรวมเป็นแอ่งเลือด ประดู่รับคำแล้วลุกขึ้นไปจัดการตามที่ไม้สักบอก

    ชายชราไฮโลขอตัวกลับเข้าเมืองเพื่อแจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจ้าหน้าที่ทราบเมื่อตะวันขึ้นจนเห็นสิ่งต่าง ๆ ชัดเจน เขากลับมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่จำนวนนับสิบและชาวบ้านขามุงเกือบห้าสิบคน ไฮโลพูดคุยกับไม้สักและประดู่จนทราบว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านสร้างเองกันเพียงสองคน เขาชักชวนให้ทั้งสองไปอยู่กับตนในเมือง โดยจะจ่ายค่าแรงให้เพื่อแลกกับความคุ้มครองจากพวกเขาจนกว่าลูกชายของไฮโลจะกลับมา

    เด็กหนุ่มทั้งสองเห็นว่านี่เป็นโอกาสดีในการหาข้อมูลต่าง ๆ ให้มากขึ้นจึงตอบตกลงและติดตามไฮโลเข้าไปในเมือง ประดู่เสียดายบ้านที่เพิ่งสร้างขึ้นมาอาศัยอยู่ได้เพียงเดือนเดียวแต่ไม้สักไม่คิดมาก ในโลกของการเอาตัวรอด การทิ้งที่พักเก่าเพื่อแลกกับที่พักใหม่ที่ดีกว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก

    บ้านของไฮโลเป็นบ้านที่อยู่หัวมุมถนนพอดี แม้จะไม่ใช่กลางเมืองแต่ก็เป็นจุดที่นักเดินทางและนักท่องเที่ยวจะต้องเดินผ่าน เป็นทางแยกย่อยจากถนนหลักกลางเมืองเพียงช่วงเดียว บ้านของไฮโลเป็นบ้านสองชั้นสร้างจากไม้เงางามทั้งหลัง ตัวบ้านมีความกว้างว่าบ้านเดี่ยวในหมู่บ้านจัดสรรขนาดกลางทั่วไปเล็กน้อย ชั้นล่างมีสี่ห้องใหญ่ ชั้นบนมีหกห้องเล็ก ด้านหลังมีครัวสำหรับปรุงอาหาร

    “พวกท่านไม่มีพลังเวทมนตร์! ” ไฮโลอุทานเมื่อประดู่พยายามอธิบายสถานการณ์ของพวกตนให้เขาทราบ

    “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านก็ลำบากแล้ว ผู้ที่ไม่สามารถรับพลังงานเวทมนตร์จากธรรมชาติจะต้องรับประทานอาหารชนิดพิเศษ เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นจากวัตถุดิบที่เติบโตโดยไม่ต้องการพลังเวทมนตร์ รอสักครู่” ไฮโลขึ้นไปยังชั้นสองแล้วกลับมาพร้อมสมุดบันทึกหลายเล่ม

    “บุตรชายข้าเป็นนักค้นคว้าตำนานอาหาร ข้าเคยได้ยินลูกชายพูดถึงอาหารชนิดนี้อยู่ แต่ข้าจำไม่ได้ว่าอยู่ในสมุดเล่มใด พวกท่านลองอ่านดู พวกท่านพอจะอ่านหนังสือได้หรือไม่”

    “ได้ น้อย” ไม้สักตอบ

    “ถ้าเช่นนั้นขอให้รอสักหนึ่งวัน พรุ่งนี้ข้าจะจัดการหาอุปกรณ์มาช่วยเหลือพวกท่านเอง” ไฮโลพูดด้วยรอยยิ้มและสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี

    “รบกวนท่านแล้ว พวกเราเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง” ประดู่ยิงประโยคคำพูดที่ศึกษามาจากตลาดออกจากปาก ทำเอาไฮโลต้องประหลาดใจ แต่เขาก็ทำได้เพียงเท่านั้นเพราะการฝึกฝนของเขาคือการจำเป็นประโยคและความหมาย ไม่สามารถดัดแปลงปรับปรุงแยกเป็นส่วน ๆ ได้เหมือนที่ไม้สักทำ

    “อย่าได้เกรงใจ ถ้าไม่ได้ท่านทั้งสองช่วยไว้เกรงว่าตัวข้าคงกลายเป็นแหล่งพลังเวทมนตร์ให้กับต้นไม้ในป่าไปแล้ว เชิญพวกท่านพักผ่อนกันตามสบาย ข้าขอตัวไปจัดการงานเอกสารที่ศาลากลางเมืองก่อน”

    เด็กหนุ่มทั้งสองระบายลมหายใจยาวเมื่อไฮโลออกจากห้องไป ไม้สักพลิกดูสมุดบันทึกหนึ่งเล่มจากสมุดหลายเล่ม

    “สัก ดูนี่ ใช่ข้าวรึเปล่าวะ” ประดู่เรียกไม้สักดูสมุดบันทึกที่เขียนไว้ด้วยตัวหนังสือเล็กจิ๋ว หน้าด้านซ้ายมือของสมุดบันทึกมีภาพวาดของเมล็ดพืชคล้ายเมล็ดข้าว นอกจากภาพใหญ่ที่วาดภาพข้าวทั้งกอและรวงเข้าเอาไว้ยังมีภาพย่อยขนาดเล็กลงมาด้านล่าง เป็นภาพของเมล็ดข้าวที่กะเทาะเปลือกออกแล้ว ภาพของรากที่แทงลงไปในดินเพียงตื้น ๆ นอกจากนั้นยังมีแผนที่วาดประกอบเอาไว้ด้วย

    “ดูเหมือนข้าวนะ แต่ข้าอ่านตัวหนังสือพวกนี้ไม่ออกเลย นอกจากคำเชื่อมระหว่างประโยคที่พอจะรู้จักแล้วคำอื่น ๆ เป็นคำยากทั้งหมด คำนี้น่าจะแปลว่าเกสรดอกไม้ นี่แปลราก นี่แปลว่าใบ นี่แปลว่าเมล็ด คำนี้แปลว่าเวทมนตร์ แต่ข้าจับใจความไม่ได้” ไม้สักตอบตามตรง

    “ไม่ได้เลยเหรอ แค่ไปเรียนเดือนกว่า ๆ เลยนะ”

    “แกเรียนแค่อนุบาลแล้วจะไปรู้ศัพท์ระดับมัธยมมั้ยล่ะ นั่นเป็นโรงเรียนเอื้ออาทรที่มีไว้รับดูแลลูกของคนที่ต้องไปทำงานด้วย ไม่ใช่โรงเรียนเต็มรูปแบบ ว่าแต่แกเถอะ ทำอะไรให้กินหน่อยได้มั้ย ข้าหิวแล้ว” ไม้สักนั่งลงบนเก้าอี้พลิกหน้ากระดาษในสมุดบันทึก เขาข้ามส่วนที่เป็นตัวหนังสือไปและให้ความสำคัญกับภาพวาดเป็นหลัก

    ระหว่างที่ไม้สักดูสมุดบันทึกประดู่ก็เดินเข้าครัวหลังบ้านเพื่อทำอาหาร ไฮโลอนุญาตให้เขาทำอาหารกินตามใจชอบ วัตถุดิบในตู้เย็นก็สามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด

    ในช่วงเวลาที่ประดู่ทำงานอยู่ในตลาดนั้นเขาคอยสังเกตดูสิ่งต่าง ๆ รอบตัวอยู่ตลอดเวลา ในฐานะลูกชายคนโตของร้านขายอาหารตามสั่งแล้วสิ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นพิเศษก็คือเครื่องครัวชนิดต่าง ๆ เตาพลังเวทมนตร์ในครัวนี้ก็เช่นเดียวกัน

    ร้านอาหารที่ตั้งอยู่ในตลาดนอกเมืองจะมีเตาสองชนิด หนึ่งคือเตาที่ใช้ยางไม้ชนิดพิเศษซึ่งมีพลังเวทมนตร์สะสมอยู่ภายใน เขาเปรียบเทียบมันเหมือนเตาแก๊ส เพียงแต่ใช้น้ำมันยางไม้แทนที่จะเป็นแก๊สเท่านั้นเอง ผิวหน้าของเตาเป็นหินแผ่นกลมขัดเรียบจนเงา ให้ความรู้สึกเหมือนเตาพลังแม่เหล็กไฟฟ้ามาก เตาชนิดนี้จะมีจุดเด่นคือทุกคนสามารถใช้งานได้และเปิดทิ้งเอาไว้ได้เนื่องจากใช้พลังเวทมนตร์จากยางไม้เป็นหลัก ต่างจากเตาอีกชนิดหนึ่งซึ่งใช้พลังเวทมนตร์จากผู้ปรุงอาหาร

    เตาชนิดหลังนี้จะมีความละเอียดอ่อนมากกว่าแต่ก็ควบคุมการทำงานได้มากกว่าเช่นกัน รูปแบบการใช้งานก็มีหลากหลาย ตั้งแต่ชนิดที่ตั้งอยู่กับที่สำหรับปรุงอาหารประเภทหม้อตุ๋นและชนิดที่ติดตั้งเข้าไปในอุปกรณ์ทำอาหารโดยตรง เครื่องมือทำปลาสี่ฤดูของซีลอนก็จัดอยู่ในจำพวกนี้ ประดู่เทียบการทำงานของการให้ความร้อนชนิดนี้กับขดลวดร้อนและแบตเตอรี่ คนปรุงอาหารจะต้องสัมผัสกับจุดรับพลังเวทมนตร์อยู่ตลอดเพื่อส่งพลังเวทมนตร์เข้าไปในอุปกรณ์ จากนั้นอุปกรณ์จะเปลี่ยนพลังเวทมนตร์เป็นความร้อนตามที่ผู้ปรุงอาหารต้องการ คนเป็นแบตเตอรี่ให้พลังงาน อุปกรณ์เป็นขดลวดให้ความร้อน

    ประดู่เปิดดูตู้เย็นในครัวว่ามีวัตถุดิบอะไรให้ใช้ได้บ้าง ตู้เย็นนี้ก็เป็นอุปกรณ์เวทมนตร์ชนิดหนึ่งเช่นกัน ด้านนอกของตู้เย็นเป็นไม้ฉนวนเก็บกักความเย็น ด้านในเป็นหินสีขาว อุปกรณ์ทำความเย็นอยู่ด้านหลังตู้ ให้ความเย็นในแต่ละชั้นอย่างเหมาะสม

    ประดู่สำรวจดูเห็นเนื้องัวชิ้นใหญ่หลายชิ้นใต้ช่องแช่แข็งจึงร้องตะโกนถามไม้สักที่ห้องโถง

    “ไอ้สัก กินเสต็กมั้ย”

    “มีเครื่องเหรอ”

    “มีแค่กระเทียมเกลือพริกไทย ไม่มีเนย กินมั้ย”

    “กิน”

    ประดู่หยิบเนื้อชิ้นใหญ่กว่าฝ่ามือออกมาสองชิ้น เขาใส่เนื้อสองชิ้นนั้นเข้าไปในอุปกรณ์คืนสภาพวัตถุดิบเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นจากกล่องหินสกัดตั้งไม่ห่างจากเตาให้ความร้อน ลักษณะภายนอกของเครื่องคืนสภาพวัตถุดิบนั้นไม่ต่างไปจากเตาไมโครเวฟ คือเป็นกล่องสีเหลี่ยมแบบมีฝาและแป้นควบคุมด้านหน้า เพียงแต่ไม่มีกระจกให้มองดูภายใน

    ประดู่เรียกอุปกรณ์ชิ้นนี้ว่าเตาไมโครเวฟเวทมนตร์ ตัวอุปกรณ์เองไม่มีความสามารถในการปรุงอาหารให้สุก แต่มีความสามารถในการขจัดความเย็นออกจากวัตถุดิบ วัตถุดิบที่ผ่านการคืนสภาพแล้วจะถูกนำไปปรุงอาหารต่อไป นี่เป็นสิ่งที่เขาเรียนรู้มาจากการเฝ้าดูการทำงานของร้านขายอาหารติดกับตลาดเป็นเวลานานนับเดือน

    ระหว่างที่รอให้เนื้อพร้อมสำหรับปรุงอาหารประดู่ก็หยิบเอาเครื่องปรุงรสออกจากกระเป๋า เกลือ พริกไทยเม็ด กระเทียบกลีบสามกลีบจากในถุงที่เหลือไม่ถึงสามสิบกลีบ

    เตาให้ความร้อนถูกเปิดใช้งานโดยการบิดเปิดวาล์วจากถังบรรจุยางไม้บนผนังห้องครัว ยางสีดำเข้มเหมือนน้ำมันไหล่ผ่านท่อใสเข้าไปยังด้านหลังของเตาให้ความร้อนเวทมนตร์ ประดู่วางกระทะหินที่หยิบมาจากชั้นวางเครื่องครัวลงบนเตา เร่งความร้อนจนถึงระดับเกือบร้อนที่สุด ทำการอุ่นกระทะจนร้อนจัดจากนั้นรินน้ำมันพืชลงไป รอจนควันน้ำมันพืชเริ่มโชยแล้วใช้ไม้คีบคีบเอาเนื้องัวทั้งสองชิ้นที่คืนสภาพเรียบร้อยแล้วมาวาง

    เนื้อทั้งสองผ่านการคลุกพริกไทยทุบและโรยเกลือก่อนลงกระทะแค่อึดใจเดียว กระทะที่ร้อนจัดจะทำให้ผิวนอกของเสต็กสุกโดยเร็ว จุดประสงค์หลักเพื่อสีที่สวยงามมากกว่าการกักเก็บน้ำเนื้ออย่างที่หลายคนเข้าใจ ควันและกลิ่นหอมของเนื้อผสมกลิ่นไหม้โชยออกมาจากจากกระทะ

    ประดู่หย่อนกระเทียมทุบสองกลีบลงกระทะ เอื้อมมือไปเปิดการทำงานของเครื่องดูดอากาศเพื่อดูดเอาควันออกไปนอกบ้าน เขานับหนึ่งถึงสิบแล้วพลิกก้อนเนื้อทั้งสองด้วยไม้คีบ มองดูขอบเนื้อเห็นส่วนที่สุกและและส่วนที่ยังไม่สุกแสดงสีต่างกันอย่างชัดเจน

    ประดู่ใช้วิธีการพลิกเนื้อทุก ๆ สิบห้าวินาทีซึ่งเขาเห็นว่าจะให้สีของผิวนอกเสมอสวยงามกว่า เขาเคยโต้เถียงกับคนที่ยึดมั่นในการ “พลิกครั้งเดียว” จนแทบจะต่อยกันมาแล้ว สุดท้ายเขาคิดว่าทำตามที่ตัวเองชอบน่าจะดีที่สุด เมื่อกะว่าเนื้อสุกไปได้ครึ่งทางก่อนถึงใจกลางก้อนเนื้อแล้วแล้วจึงตักน้ำมันที่เจียวกับกระเทียมจนหอมราดลงบนเนื้อเสต็กอย่างต่อเนื่อง รออึดใจหนึ่งแล้วพลิกเสต็กทั้งสองชิ้นตั้งขึ้นโดยให้ขอบของเนื้อส่วนที่เป็นมันแนบไปกับก้นกระทะ ใช้ความร้อนจากกระทะละลายส่วนไขมันสีขาวขุ่นเป็นสีโปร่งใสทั้งหมดแล้วตักลงจาน รอให้เสต็กเข้าที่ครู่หนึ่งแล้วตักชิ้นกระเทียมเจียวกรอบวางบนชิ้นเสต็ก

    “มาแล้วมาแล้ว เสต็กร้อน ๆ ไม่มีเนยไม่มีสมุนไพร มีแต่เกลือกระเทียมพริกไทย แต่รับรองว่าสุดยอดแน่” ประดู่วางเสต็กลงแล้วหยิบมีดหั่นเสต็กขึ้นมาให้ไม้สักดู

    “แกดูนี่ มีดหั่นอาหารบนจาน แบบเดียวกับที่ล่อซิกใช้หั่นปลา แกจำได้มั้ย” ประดู่ยื่นมีดเล่มหนึ่งให้ไม้สัก

    “จำได้ มีดเวทมนตร์ที่พวกเราใช้งานไม่ได้ใช่มั้ย”

    “ใช่” ประดู่ใช้มือลูบไปกับส่วนคมของมีดที่ไร้คมใด ๆ แต่มีร่องบากตลอดแนวคมมีด ส่วนคมมีดนั้นสร้างขึ้นจากไม้คนละชนิดกันกับส่วนใบมีด

    “โลกนี้เป็นโลกที่คนเกือบทุกคนมีพลังเวทมนตร์ พวกข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เลยสร้างขึ้นมาโดยอิงกับการใช้เวทมนตร์เป็นหลัก อย่างประตูบ้านหรือหน้าต่างก็มีกลอนเวทมนตร์เป็นตัวล็อค มีดเวทมนตร์นี่ก็จะซ่อนคมเอาไว้จนกว่าจะใส่พลังเวทมนตร์เข้าไปถึงจะมีคม พวกเทคโนโลยีเกี่ยวกับงานโลหะในโลกนี้เลยล้าหลังมาก” ไม้สักออกความเห็นที่ได้จากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมในช่วงหนึ่งเดือนกว่า ๆ ที่ผ่านมา

    “หมายความว่าพวกเราก็เป็นเหมือนคนพิการในโลกนี้สินะ รีบกินเถอะ เย็นแล้วจะไม่อร่อย” ประดู่ใช้มีดทำครัวของตัวเองตัดชิ้นเนื้อเป็นชิ้นหนาเพื่อรับรสชาติของเนื้อให้เต็มที่

    ผิวนอกของเสต็กที่ได้รับการดาดจนแข็งมีสีแดงเข้มต่างจากเสต็กเนื้อวัวในโลกของพวกเขา ประดู่ลากมีดผ่านผิวนอกเพื่อรับความรู้สึกขรุขระจากการรับความร้อนก่อนจะออกแรงกดใบมีดผ่านเข้าไปยังเนื้อใน ทันทีที่คมมีดตัดผ่านผิวนอกแรงต้านก็หมดไป กลายเป็นความรู้สึกของการใช้มีดอันคมกริบเฉือนผ่านเนื้อนิ่ม

    ผิวตัดของเนื้อเสต็กชุ่มฉ่ำสะท้อนแสงไฟเป็นประกายแต่ไม่ไหลเยิ้ม ด้านในสุดของเนื้อมีสีแดงของความสดบางเพียงครึ่งเซนติเมตรแล้วลดความเข้มข้นลงตามความสุกของเนื้อที่เพิ่มขึ้น เป็นเนื้อเสต็กแบบนอกสุกกลางดิบอย่างที่ประดู่ชอบที่สุด

    “แกจะทำให้เป็นแบบสุก ๆ เลยไม่ได้เหรอวะ ข้าไม่ค่อยชอบแบบที่มันยังดิบตรงกลางเท่าไหร่” ไม้สักบ่นเมื่อเห็นเนื้อส่วนกลางยังมีสีแดงสด

    “มิเดียมแรร์ เนื้อดี ๆ นี่คนญี่ปุ่นกินกันแบบซาชิมิเลยนะ … ใช้เครื่องครัวที่ไม่รู้จักครั้งแรกทำมาได้ขนาดนี้ก็หรูแล้ว คราวหลังจะทำแบบสุก ๆ ให้ก็แล้วกัน” ประดู่คิดในใจว่าบางครั้งไม้สักก็เรื่องมากเกี่ยวกับของกินมากกว่าคนทั่วไป

    ประดู่ใช้ส้อมจิ้มชิ้นเนื้อส่งเข้าปากแล้วเคี้ยว ทันทีที่ฟันกัดผ่านผิวเนื้อแสนนุ่มรสชาติสุดเข้มข้นของเนื้อก็พุ่งแผ่กระจายไปทั่วทั้งกระพุ้งแก้มตามคลื่นของน้ำเนื้อ มันเป็นรสชาติของเนื้อที่เข้มข้นยิ่งกว่าเนื้อที่เขาเคยกินในร้านเท่าตัว เหมือนกับว่าเนื้อชิ้นนี้เป็นเนื้อที่รวมรสชาติของเนื้อสองก้อนเข้าด้วยกัน

    ความหวานลื่นลิ้นของไขมันงัวประสานรสชาติหนักหน่วงของเนื้อและรสเผ็ดเป็นประกายของเมล็ดพริกไทยทุบเข้าด้วยกัน เมื่อเคี้ยวโดนพริกไทยก็จะรู้สึกเผ็ดจี๊ด แต่ความจี๊ดก็จะโดนรสเข้มของเนื้อและไขมันกลบทับ สลับกันเป็นวงจรครั้งแล้วครั้งเล่า เม็ดเกลือเองก็ช่วยขับให้รสของเนื้อเข้มข้นขึ้นอีก เข้มข้นมากเกินไปจนทำให้ทั้งสองรู้สึกเหมือนกำลังดื่มน้ำซุปเนื้อตุ๋นที่เคี่ยวจนเนื้อละลายเปื่อยกลายเป็นน้ำ

    “ไม่ไหวว่ะ เนื้อนี่รสชาติเข้มข้นเกินไป อร่อยน่ะอร่อยอยู่หรอก แต่ถ้าจะเอามาทำเสต็กแบบนี้คงต้องเปลี่ยนวิธีการปรุงหน่อย” ประดู่พูดแล้วส่งชิ้นกระเทียมเจียวเข้าปากเคี้ยว

    “อืม” ไม้สักตอบ แต่ด้วยความหิวทั้งสองก็กินเนื้อเสต็กชิ้นใหญ่ของตัวเองจนหมดแล้วนั่งเงียบเพราะรู้สึกเหมือนกินวัวลงไปทั้งตัว

    “อยากกินข้าว” ประดู่พึมพำ

    “ข้าก็อยากกิน” ไม้สักตอบ เขาพลิกสมุดบันทึกกลับไปยังหน้าที่วาดภาพพืชที่เหมือนต้นข้าวเอาไว้ พยายามระลึกถึงรสชาติของข้าวสวยที่ไม่ได้สัมผัสมานานร่วมเดือน

    .

    โปรดติดตามตอนต่อไป

    .

    คุยกับท่านผู้อ่าน

    ผมเคยทำเสต็กด้วยตัวเองอยู่ 5 ครั้ง สองครั้งล้มเหลวเพราะไม่มีกระทะดี ๆ ที่เก็บความร้อนได้ ครั้งที่สามเผลอใส่เกลือมากเกินไป เค็มจนต้องเฉือนส่วนผิวออกกินแต่ส่วนใน ครั้งที่สี่ลองทำแบบมิเดียมแรร์แต่ไม่ถูกใจเลย ผมไม่ชอบรสสัมผัสของเนื้อที่ยังดิบอยู่ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้ใช้เนื้อที่มีคุณภาพดีพอ ครั้งที่ห้าทำออกมาดีที่สุด ใช้วิธีการพลิกบ่อย ๆ อย่างที่เขียนไว้ในนิยายตอนนี้เลย มีส่วนแรร์เหลือเพียงบาง ๆ จนแทบมองไม่เห็น อร่อยมาก

    หลังจากครั้งที่ห้าผมก็ไม่มีโอกาสได้ทำเสต็กกินอีกเพราะไม่มีเงินซื้อเนื้อดี ๆ และเพื่อนที่มีกระทะกับครัวให้ยืมใช้ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ผมตั้งใจว่ากลับไปอยู่บ้านนอกแล้วจะทำกินอีกหลาย ๆ ครั้ง แต่เอาจริง ๆ แล้วผมชอบหมูน้ำตกแบบน้ำจิ้มอร่อย ๆ มากกว่านะ

    ชาลี

    20 มีนาคม 2558

    .

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×