ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Barbecue Fantasia

    ลำดับตอนที่ #19 : ตอนที่ 19 การทดสอบด่านสุดท้าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 507
      13
      17 เม.ย. 58

    ตอนที่ 19 การทดสอบด่านสุดท้าย

    ห้องรับรองผู้ผ่านการทดสอบรอบที่สามหรูหรากว่าสองรอบแรก โต๊ะเก้าอี้ถูกนำออกไปจากห้องและทำการจัดวางโซฟาหวายหลายตัว เครื่องดื่มและของกินเล่นที่หรูหรายิ่งกว่าเดิมถูกเตรียมเอาไว้ให้ผู้ผ่านเข้ารอบอย่างครบถ้วน

    ประดู่เดินไปยังโซฟาตัวที่มิรินนั่งอยู่ทำท่าจะเข้าไปนั่งร่วมโซฟาตัวเดียวกันแล้วเดินเลี้ยวออกมาเมื่อเห็นเธอขมวดคิ้วใส่เขา เขาแอบหัวเราะคิกคักในตอนที่นั่งลงบนโซฟาติดกับโซฟาที่มิรินนั่งอยู่ ไม้สักเหลือบมองดูหญิงสาววัยใกล้เคียงเพียงแวบเดียวแล้วนั่งลงคู่กับเพื่อนบนโซฟาตัวเดียวกัน

    พวกเขายังดื่มน้ำไม่ทันหมดแก้วคาเรก็เดินเข้ามาในห้อง มองซ้ายมองขวาแล้วตรงเข้ามานั่งร่วมโซฟาใหญ่กับสองหนุ่มจากประเทศไทย

    ประดู่สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคนแบกตู้ใส่ยาผู้นี้ผ่านการทดสอบมาได้อย่างไร

    “พี่ท่านต้องมีฝีมือยอดเยี่ยม ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจผ่านการทดสอบอย่างง่ายดายเช่นนี้” ประดู่งัดทักษะภาษายีอาลองมาใช้หมดกรุ

    คาเรหัวเราะแล้ววางตู้เก็บยาของตัวเองลงตรงหน้า

    “ข้าเป็นนักล่าอาหารที่ผ่านการทดสอบนี้มาแล้ว เพียงแต่สูญเสียใบอนุญาตไปจึงต้องมาทดสอบใหม่เท่านั้นเอง หมูป่าหนังหินไม่ถือว่าร้ายกาจแต่อย่างไร พวกท่านทั้งสองต่างหากทำให้ข้าต้องตกตะลึง เหล่าผู้พิการทางเวทมนตร์แม้จะมีจุดเด่นที่ความแข็งแกร่งของร่างกาย แต่ข้าไม่เคยเห็นคนที่แข็งแกร่งเท่าพวกท่านมาก่อน โดยเฉพาะอาวุธของท่านไม้สักที่สามารถแทงทะลุผ่านหัวกะโหลกอันหนาทึบของงัวเขาเดี่ยว ท่านไม่สามารถใช้เวทมนตร์แสดงว่าอาวุธของท่านต้องเป็นของชั้นเลิศที่หาไม่ได้ทั่วไป”

    คาเรยังคงพูดอย่างยืดยาวไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่ประดู่ก็ชอบฟังที่คาเรพูดเพราะมันทำให้เขาได้รู้จักคำศัพท์ใหม่ ๆ และได้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น

    “ท่านคาเรเคยผ่านการทดสอบนี้มาแล้วพอจะบอกได้หรือไม่ว่าการทดสอบรอบต่อไปมีลักษณะเช่นไร” ประดู่ถาม

    “การทดสอบรอบสุดท้ายไม่ว่าในเมืองใดก็จะมีรูปแบบอย่างเดียวกัน นั่นคือการให้ผู้เข้าทดสอบไปล่าวัตถุดิบในบริเวณใกล้เคียง จากนั้นนำวัตถุดิบมาส่งยังสนามทดสอบภายในเวลาที่กำหนด ส่วนใหญ่แล้วจะกำหนดเวลาห้าโมงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกเป็นหลัก”

    ประดู่ร้องอ้อ ถือว่าเป็นการทดสอบที่เห็นภาพชัดเจนดีทีเดียว

    “ท่านคาเรมีคำแนะนำให้แก่พวกเราที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการทดสอบมาก่อนหรือไม่”

    “เพื่อเป็นการเสนอไมตรีแก่ท่านทั้งสองข้าจะช่วยบอกเรื่องที่ต้องระวังให้ การทดสอบรอบสุดท้ายนี้มีจุดสำคัญคือผู้เข้าแข่งขันด้วยกันเอง บ่อยครั้งที่มีการต่อสู้แย่งชิงวัตถุดิบจากผู้เข้าทดสอบอื่น นอกจากความอันตรายของสถานที่ สัตว์อันดุร้าย พวกท่านยังต้องคอยระวังผู้เข้าทดสอบอื่นที่หวังจะแย่งชิงวัตถุดิบจากพวกท่านด้วย”

    ไม้สักฟังแล้วก็นึกถึงคุณชายของทอดปาปา เขาใช้ลิ้นลากผ่านปากแผลบริเวณด้านในของกระพุ้งแก้ม รสชาติของเลือดและแผลสดยังคงสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน

    เสียงฮือฮาดังมาจากเวทีทดสอบด้านนอก เป็นเสียงที่อื้ออึงมากจนคนในห้องต้องมองไปยังประตู ทั้งหมดเห็นคุณชายของทอดปาปาและทาสของเขาเดินเข้ามาในห้อง ชุดของคุณชายยังคงขาวสะอาดแต่ชุดของทาสหญิงมีเลือดติดมากับชายเสื้อ เลือดบางหยดยังติดอยู่กับใบหน้าอันเฉยชาไร้อารมณ์ของเธอ

    คุณชาปาปามองไม้สักกับประดู่แล้วแค่นเสียงดังเฮอะก่อนจะเดินไปนั่งที่โซฟาที่อยู่ห่างจากพวกเขามากที่สุด ทาสหญิงผู้นั้นแทนที่จะนั่งร่วมกับโซฟาของเขาเธอกลับคุกเข่าลงข้าง ๆ โซฟาสองมือประสานกันบนหน้าตัก ท่วงท่าสงบนิ่งเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง

    “หลังจากที่การทดสอบรอบนี้เสร็จสิ้นผู้ชมทั่วไปก็จะออกจากลานประลองเนื่องจากไม่มีอันใดให้ชมดู เหลือแต่เหล่าเจ้าของภัตตาคารที่รอติดต่อกับนักล่าอาหารชุดใหม่” คาเรอวดความรู้ต่อ

    “ทำไมเจ้าของภัตตาคารจึงต้องการนักล่าอาหารใหม่ จ้างนักล่าอาหารมีประสบการณ์จะไม่ดีกว่ารึ” ประดู่ยังคงถามต่อ

    “การว่าจ้างนักล่าอาหารประสบการณ์สูงมีดีคือฝีมือไว้วางใจได้ แต่ราคาค่าจ้างก็เพิ่มขึ้นตามประสบการณ์ของพวกเขา แต่นักล่าอาหารรุ่นใหม่ยังขาดประสบการณ์ ดังนั้นจึงไม่สามารถเรียกร้องราคาค่าจ้างได้เท่าใด สรุปคือค่าแรงถูกกว่า เป็นเรื่องของการลงทุนและกำไรล้วน ๆ ”

    “เป็นเช่นนี้หมดเลยรึ” ประดู่ยังสงสัย

    “ไม่เป็นเช่นนี้ทั้งหมด” คาเรส่ายหน้า “ยังมีคนที่ต้องการมองหาดาวรุ่งเพื่อทำงานร่วมกันในระยะยาว ถ้าสร้างความสัมพันธ์กันตั้งแต่ตอนที่ประสบการณ์ยังน้อยก็จะช่วยให้การติดต่องานยามประสบการณ์สูงแล้วเป็นไปอย่างราบรื่น ท่านยังไม่ทราบว่านักล่าอาหารที่ประสบการณ์สูงและไม่มีสังกัดครัวเป็นของตัวเองนั่นเล่นตัวหัวสูงเพียงไร”

    “จัดงานทุกปีเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะมีนักล่าอาหารมากมายจนล้นตลาดรึ”

    คาเรฟังประดู่แล้วหัวเราะ

    “แสดงว่าท่านไม่ทราบจริง ๆ ว่านักล่าอาหารนั้นความจริงเป็นเช่นไร ผู้ที่ผ่านการทดสอบเป็นนักล่าอาหารแต่ละปีมีไม่น้อย อย่างน้อยปีละหนึ่งร้อยถึงสองร้อยคน แต่นักล่าอาหารที่เสียชีวิตในแต่ละปีก็มีไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยคนเช่นกัน มีแต่นักล่าที่รู้จักเอาตัวรอดและนักล่าที่มีฝีมืออันแท้จริงเท่านั้นจึงจะอยู่รอดในโลกนี้ได้”

    “อันตรายถึงเพียงนั้นเชียว” ประดู่ตาโต

    “พวกท่านมาสมัครเป็นนักล่าอาหารแต่ไม่ทราบเรื่องเหล่านี้เลยรึ” คาเรตาโต เขาเบะปากพยักหน้าช้า ๆ เมื่อประดู่ยิ้มให้ “พวกท่านทั้งสองถ้าไม่โง่เขลาก็คงบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าจะโง่เขลาหรือบ้าคลั่งก็ล้วนแต่เป็นชนชั้นที่เราโปรดปราน คนธรรมดาทั่วไปจึงน่าเบื่อไร้รสชาติ ไฉนเลยจะเทียบได้กับยอดคนอย่างท่านทั้งสอง”

    ประดู่หลุดหัวเราะออกมาด้วยเข้าใจถึงความหมายแอบแฝงในคำว่า “ยอดคน” ที่คาเรพูดถึง

    “พวกเราไปด้วยกันดีมั้ย” ประดู่ถามคาเร

    “ท่านหมายถึงการทดสอบรอบสุดท้ายนี่รึ”

    “ใช่แล้ว บอกตามตรงว่าพวกเรามีความรู้เกี่ยวกับการล่าอาหารไม่มี พวกเรามีแรงกำลังแต่ข้อจำกัดของการเป็นทาสทำให้พวกเราหาซื้อหนังสือเพื่อศึกษาอย่างยากลำบาก ถ้ามีท่านพี่คาเรผู้เป็นเลิศฃ่วยเหลือพวกเราจะซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง” ประดู่ใช้นิ้วสะกิดที่ปลอกคอ

    “ปลอกคอของท่านมีตราสัญลักษณ์ที่แปลกตายิ่ง ตกลง ข้าจะเดินทางไปพร้อมกับพวกท่าน ถือว่าอยู่กับพวกท่านแล้วสนุกสนาน เวลาเดินทางคงไม่น่าเบื่อ แต่การใช้แรงงานคงต้องพึ่งพากล้ามเนื้อของพวกท่านแล้ว”

    ประดู่ถกแขนเสื้อขึ้นแล้วเบ่งกล้ามให้คาเรดู

    ถึงตอนนั้นอิตาลีโนก็เดินเข้ามาในห้องเพราะการทดสอบรอบที่สามเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว

    “ทุกท่านฟังทางนี้ การทดสอบในปีนี้ถือว่าไม่เลวนัก แม้การทดสอบรอบแรกจะน่าผิดหวัง แต่กลับมีผู้เข้ารอบสุดท้ายสิบกว่าคน เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมแล้วข้าก็จะคืนกลับสู่สภาพเดิม พูดคุยอย่างกระชับและชัดเจน การทดสอบรอบสุดท้ายมีหัวข้ออยู่ที่การนำวัตถุดิบแท้จริงมาส่งให้ข้าซึ่งเป็นผู้ตัดสิน จะไม่ใช่การเตรียมการแสดงบนเวทีอย่างเช่นสามรอบที่ผ่านมา วัตถุดิบเป้าหมายคือมะเขือเขี้ยวงูที่ขึ้นอยู่บนหน้าผางูหอนทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองคีราวี พวกท่านมีผ้าผูกแขนเป็นสัญลักษณ์ประจำตัว สามารถผ่านเข้าพื้นที่ผางูหอนได้โดยไม่ถูกทหารขัดขวาง แต่ขอให้ทราบเอาไว้ว่าจะไม่มีผู้ใดรับผิดชอบการบาดเจ็บล้มตายของพวกท่าน เวลาที่กำหนดคือห้าโมงเย็น ผู้ที่มาไม่ทันห้าโมงเย็นจะถือว่าไม่ผ่านการทดสอบ ทุกท่านสามารถออกเดินทางได้ทันที”

    ผู้เข้าทดสอบสิบกว่าคนออกไปจากห้องในทันที เหลือแต่เพียงพวกของไม้สักที่ยังรออยู่ในห้องและมิรินที่ยังไม่ได้ขยับตัว

    “ท่านพี่คาเรช่วยให้คำแนะนำกับพวกเราทั้งสองได้หรือไม่” ประดู่เริ่มคุ้นเคยกับการพูดคุยด้วยภาษายีอาลองมากกว่าเดิม

    “อืม … อันว่ามะเขือเขี้ยวงูนี้มีลักษณะเด่นขึ้นขนาดที่เล็กเท่านิ้วก้อย รูปทรงคล้ายเขี้ยวงู ตัวมะเขือเองไม่มีปัญหาอะไรแต่สถานที่กลับเต็มไปด้วยอันตราย ผางูหอนเป็นชื่อที่บอกเอาไว้อย่างชัดเจนคือเต็มไปด้วยงูหอน งูพิษอันร้ายกาจ พิษของมันเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ระบบเวทมนตร์ในร่างกายล้มเหลว เนื้อหนังแตกปริตามเส้นเลือด ผู้ที่ถูกพิษแต่เพียงผิวภายนอกยังเอาตัวรอดได้ด้วยการตัดเนื้อส่วนนั้นทิ้ง แต่ผู้ที่ถูกฉกกัดฉีดพิษเข้าสู่ภายในร่างกายโดยตรงจะต้องตกตายถ้าไม่สามารถระงับพิษได้ทันการ”

    ประดู่กะพริบตาปริบ ๆ

    “ถ้าเช่นนั้นคนที่ไม่มีพลังเวทมนตร์ในร่างกายอย่างเช่นพวกเราสองคนคงไม่ได้รับผลกระทบใด”

    คาเรเบิกตาดูเด็กหนุ่มในชุดรด.ทั้งสอง ใช่แล้ว สองคนนี้ไม่มีพลังเวทมนตร์ ดังนั้นพิษงูหอนจะไม่ส่งผลกระทบใด ๆ ต่อร่างกายของทั้งคู่

    “โอ ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อสองร้อยปีก่อนจึงมีนักล่าอาหารซึ่งไร้พลังเวทมนตร์ แท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้เอง ในขณะที่นักล่าอาหารทั่วไปต้องกังวลกับอันตรายจากพิษที่มีผลกับพลังเวทมนตร์ในร่างกาย พวกท่านกลับไม่จำเป็นต้องเกรงกลัว กลายเป็นคุณสมบัติพิเศษที่น่าทึ่ง”

    “ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะช้าอยู่ไย รีบไปเก็บมะเขือกันเถอะ” ประดู่ลุกขึ้นยืนและเดินนำหน้าคงทั้งสองออกจากห้อง ก่อนไปเขายังแอบโบกมือให้มิรินและขยิบตาให้เธอด้วย มิรินขมวดคิ้วให้เขาด้วยความขัดใจแต่ประดู่ไม่นำพา

    ไม้สักและประดู่เมื่อมีข้าวกินร่างกายก็สะสมแป้งเอาไว้ในรูปของไขมัน พวกเขาสามารถออกแรงวิ่งอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพึ่งพาอาหารเสริมพลังงานสูงอีก

    “พวกท่านที่ไม่มีพลังเวทมนตร์แต่กลับวิ่งได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ช่างเหลือเชื่อจริง ๆ ” คาเรที่แบกตู้ใหญ่วิ่งคู่กันมาด้วยความเร็วยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงเอ่ยปากด้วยความทึ่ง

    ประดู่ฝืนยิ้มแล้วตอบกลับด้วยความพิศวงไม่ต่างกัน

    “ข้ากลับประหลาดใจที่ท่านสามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็วทั้งที่แบกตู้ไม้ใบใหญ่มากกว่า”

    “นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด ผู้ที่ฝึกฝนการใช้พลังเวทมนตร์สำหรับการเดินทางย่อมทำเช่นนี้ได้ ผู้ที่มีร่างกายพิเศษหรือได้รับพรสวรรค์จากเทพโภชนายังทำได้ดียิ่งกว่า ข้ากลับไม่เคยเห็นคนพิการทางเวทมนตร์ที่สามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็วเช่นพวกท่านมาก่อน เลี้ยวซ้ายที่ต้นไม้ใหญ่ตรงนั้น”

    แม้จะออกแรงวิ่งกันอย่างต่อเนื่องแต่ทั้งสามคนก็ยังพูดคุยกันได้อย่างไม่ติดขัด แต่ไม้สักไม่ได้พูดเท่าไร มีเพียงประดู่และคาเรที่พูดคุยกัน ตัวเขานั้นเพ่งสมาธิไปยังการเคลื่อนที่ของพลังงานในร่างกาย เขารู้สึกได้ถึงพลังงานจากเซลล์ไขมันที่เปลี่ยนสภาพเข้าสู่กระแสเลือดเคลื่อนไปสู่กล้ามเนื้อส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวิ่ง ความรู้สึกที่ได้รับคล้ายกับการรับรู้ถึงน้ำที่ซึมผ่านฟองน้ำ แม้จะไม่ชัดเจนแต่ก็รู้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น

    “เข้าเขตผางูหอนแล้ว พวกเราลดความเร็วและเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น” คาเรชะลอฝีเท้าเมื่อเดินทางมาถึงเขตผางูหอนครึ่งชั่วโมงหลังออกเดินทาง ประดู่และไม้สักชะลอฝีเท้าพร้อมกับมองดูพื้นที่โดยรอบ ผางูหอนมีลักษณะเป็นเหวลึกซึ่งมีร่องแยกเจาะลงไปในพื้นดิน จุดที่พวกเขามาถึงไม่ใช่จุดเริ่มของเหวแต่สามารถมองเห็นหน้าผาฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน

    บนหน้าผาจุดที่พวกเขายืนอยู่มีต้นไม้ใหญ่เล็กขึ้นประปราย แต่ละต้นห่างกันประมาณสิบเมตร ที่โดดเด่นก็คือไม้พุ่มหนาทึบจนมองไม่เห็นพื้นดิน เป็นสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการอาศัยของงูพิษให้หลบซ่อนตัว

    ประดู่ชะโงกมองผ่านเหวลงไปเห็นว่าหน้าผาด้านล่างมีการโค้งเว้าคดงอเหมือนงูเลื้อยไม่มีผิด มองจากด้านบนไม่สามารถเห็นได้เลยว่าก้นเหวเห็นเช่นไร เขาคิดว่าที่มาของชื่อผางูหอนน่าจะหมายถึงความคดเคี้ยวของเหวนี้มากกว่าเป็นที่อาศัยของงู

    “มะเขือเขี้ยวงูจะขึ้นอยู่ที่ริมหน้าผายื่นไปกลางอากาศ ขอเพียงเดินไปตามหน้าผาก็จะพบเจอมะเขือได้ไม่ยาก แต่พึงระวังงูในพุ่มไม้เอาไว้” คาเรอธิบายเพิ่ม

    “เราเผาพุ่มไม้พวกนี้ทิ้งเลยได้มั้ย จะได้ไม่ต้องเสียงโดนงูกัด” ประดู่คิดหาทาง

    “ไม่ได้ ถ้าทำเช่นนั้นมะเขือจะไม่เกิดที่นี่อีก ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงมีโทษประหารชีวิต พวกท่านจงระวังเรื่องนี้ให้ดี อย่าได้แม้แต่จะพูดขึ้นมา” คาเรแสดงสีหน้าตื่นตระหนก

    “ข้าจะเหลาไม้ตีพุ่มไม้ไล่งูให้เอง แกเดินเลียบหน้าผามองดูมะเขือเอาไว้ก็แล้วกัน” ไม้สักที่เงียบมาเป็นเวลานานพูดขึ้นในที่สุด ประดู่พยักหน้ารับแล้วช่วยเพื่อนหาไม้ที่เหมาะสม

    ขบวนล่ามะเขือออกเดินทางเมื่อไม้สักได้พลองยาวสองเมตร เขาไล่ตีไปตามพุ่มไม้ด้านซ้ายมือโดยมีประดู่และคาเรเดินเลียบหน้าผาด้านขวา ถ้ามีงูหลบซ่อนอยู่ใต้พุ่มไม้พวกมันสมควรตกใจกลัวจนเลื้อยหนีไป

    ในระหว่างที่เดินเลียบหน้าผาไปนั้นพวกเขาเห็นผู้เข้ารับการทดสอบคนอื่นที่อีกฟากของหน้าผาห่างไปเกือบสามสิบเมตร เขาไม่ตอบสนองต่อการโบกมือของประดู่เพียงแต่เดินไปตามริมผาอย่างระมัดระวัง

    ทั้งสามเดินเลียบปากเหวเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงก็ได้ยินเสียงหอนดังมาจากอีกฟากของเหว เป็นเสียงหอนโหยหวนเยือกเย็นอย่างที่ได้ยินในยามค่ำคืน เสียงหอนนั้นดังต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเป็นจุด ๆ ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนกระทั่งข้ามฝั่งเหวมายังฟากที่ไม้สักและพวกยืนอยู่

    คนทั้งสามสะดุ้งเฮือกเมื่อเสียงหอนดังขึ้นในจุดที่ห่างจากตัวพวกเขาไปเพียงเมตรเดียว ไม้สักพยายามเพ่งมองดูในพุ่มไม้แต่ไม่เห็นร่องรอยของงูหอนแม้แต่น้อย คาเรดูจะมีอาการตื่นกลัวมากกว่าอีกสองคน เขาขยับถอยไปจนแทบร่วงหล่นลงเหว

    ไม้สักเดินนำหน้าทุกคนไปโดยพยายามไม่ตีไม้เข้าไปยังจุดที่งูหอนขึ้นมา เขาต้องการตีพุ่มไม้ที่ว่างให้งูได้ยินและหนีไปไม่ใช่ตีใส่จุดที่งูอยู่โดยตรง นั่นจะเป็นการกระตุ้นให้งูหันมาโจมตีเขามากกว่า

    เดินกันอย่างระมัดระวังเช่นนี้จนกระทั่งประดู่ร้องขึ้นเมื่อเขาเห็นต้นมะเขือเขี้ยวงูที่ริมหน้าผา มะเขือต้นนั้นมีความสูงเพียงเข่าและยื่นกิ่งก้านเกือบทั้งหมดออกไปยังที่โล่งกลางอากาศ ลูกมะเขือสีขาวลักษณะคล้ายพริกเกาะกลุ่มกันเป็นช่อ ผิวของมันเรียบเป็นเงาจนแทบจะสะท้อนแสงแดดยามบ่าย แต่การเก็บดูจะทำได้ลำบากไม่น้อยเพราะมะเขือเหล่านั้นยื่นพ้นหน้าผาออกไปเกือบเมตร

    ไม้สักคิดว่าจะทำตะกร้อสอยมะเขือแบบง่าย ๆ จึงนั่งลงและเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบถุงออกมาผูกติดกับไม้ยาวสำหรับรองรับมะเขือ ระหว่างที่เขาค้นกระเป๋าประดู่ก็ชะโงกมองอยู่ข้าง ๆ

    ตอนนั้นเองที่ทั้งสามได้ยินเสียงฝีเท้า

    คุณชายของทอดปาปาไม่ทราบปรากฏตัวขึ้นจากที่ใดยันหลังประดู่จนเสียหลักถลำลอยพ้นหน้าผาไป ไม้สักมองเห็นเพื่อนลอยพ้นหน้าผาหัวใจกระตุกวูบ ฮอร์โมนในตัวพุ่งทะลุเพดานกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานดุจเครื่องยนต์แรงม้าสูง มือหนึ่งยึดกระเป๋า ขาพุ่งไปหาเพื่อน ใช้อีกมือที่ว่างคว้าคอเสื้อประดู่แล้วกระชากกลับมาสุดแรง

    ผลก็คือตัวเขาเองที่เสียหลักพุ่งไปข้างหน้าแทนที่ประดู่

    ประดู่ผู้ถูกดึงถอยกลับมามองร่างเพื่อนร่วงลงเหวไปตะโกนก้อง

    “ไอ้สัก!”

    เขายังไม่ขาดสติถึงขนาดที่จะกระโดดตามเพื่อนลงไป ประดู่ชะโงกหน้าลงไปมองแต่ไม่เห็นเพื่อนเนื่องจากส่วนปากเหวที่ยื่นล้ำออกไป แต่เขาเห็นสิ่งของในกระเป๋าของไม้สักที่โดนเหวี่ยงจนร่วงกระจาย กระเป๋ายังร่วงไม่ถึงส่วนเหวที่ยื่นออกมาจากเหวฝั่งตรงข้ามเสียงของหนักกระแทกหินก็ดังขึ้น จากนั้นจึงเป็นเสียงกระเป๋าและเครื่องใช้ของไม้สักกระทบหิน

    ประดู่นิ่งอึ้งไม่สามารถเอ่ยปาก

    “หึ ชนชั้นสวะ อยู่ไปก็รกโลก แค่ได้ทราบว่าต้องหายใจร่วมกับพวกเจ้าก็ขยะแขยงเกินทน” คุณชายของทอดเบะปากพูดใส่หลังประดู่

    ชายหนุ่มผู้ซึ่งเสียเพื่อนรักไปหันหลังกลับมาจ้องมองดูฆาตกรด้วยแววตาดั่งไฟนรก มือเขาดึงกระบองเหล็กออกมาแล้ว เขาพุ่งเข้าใส่คุณชายปาปาโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น

    “มึงตาย!” ประดู่ร้องเป็นภาษาไทย แต่ก่อนที่กระบองของเขาจะฟาดถึงตัวปาปาทาสหญิงของปาปาก็ถลันตัวเข้ามาแทรก เธอใช้ตะหลิวผัดในมือซ้ายขวางรับกระบองของประดู่ได้อย่างเหมาะเจาะ

    ตะหลิวไม้ซึ่งเสริมด้วยพลังเวทมนตร์หักเป็นสองท่อนเนื่องจากไม่อาจทนทานรับแรงฟาดบรรจุพลังอันโกรธเกรี้ยวของประดู่ แต่ทาสหญิงคนนั้นยังคงไม่แสดงสีหน้า เธอเบี่ยงตัวหลบกระบองที่ฟาดลงมาโดยไม่สงวนแรง ใช้ตะหลิวอีกด้ามในมือขวาฟาดใส่ปลายคางของประดู่อย่างรวดเร็ว

    ประดู่ที่ใช้แรงฟาดสุดชีวิตไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหลีก เมื่อคางของเขาโดนตะหลิวกระทบศีรษะก็เหวี่ยงหมุน แรงเฉื่อยฉุดสมองกระแทกกับกะโหลกจนเขาหมดสติในเสี้ยววินาทีต่อมา

    “ฆ่ามัน” ปาปาสั่งการ

    “อย่าแม้แต่จะคิด” คาเรยกมือขวางทั้งสองเอาไว้ ในมือข้างหนึ่งมีลูกน้อยหน่าเปลือกขรุขระกำไว้แน่น

    ทาสหญิงหยุดนิ่งไม่ขยับตัว

    “อ้อ น้อยหน่าล่าสังหาร เจ้ากลับมีผลไม้หายากติดตัว ถ้าเจ้าใช้ผลไม้นั้นในระยะประชิดเจ้าเองก็ต้องตายไปด้วย” ปาปายิ้มเยาะ

    “ก็ลองดู” คาเรยิ้มมุมปาก เป็นรอยยิ้มวิปริตเหมือนดังว่าเขารอโอกาสที่จะทำเช่นนี้มาเป็นเวลานาน

    คุณชายของทอดแค่นเสียงในลำคอ

    “เฮอะ ข้าจึงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเจ้า กะเพรา กลับ”

    คาเรมองดูทั้งสองวิ่งหายลับคลองสายตาไปแล้วจึงตรวจสอบจับชีพจรของประดู่ เขาถอนหายใจโล่งอกเมื่อพบว่าประดู่ยังมีชีวิต เขาไม่เคยเห็นคนที่รอดชีวิตจากการฟาดด้วยตะหลิวของกะเพรามาก่อน ร่างกายของเด็กหนุ่มผู้นี้ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน

    คาเรชะโงกดูร่องรอยของไม้สักที่ริบหน้าผา ไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากส่วนของหน้าผาที่เว้าเข้าไป เขามั่นใจว่าไม้สักไม่มีชีวิตรอด ไม่เคยมีใครรอดจากการหล่นลงไปในเหวผางูหอนมาก่อน เหวที่ลึกเกินร้อยเมตรนี้กลืนกินชีวิตผู้คนมาแล้วมากมาย ถึงกับไม่มีใครทราบว่าก้นเหวมีมารปิศาจอันใด ความลึกหนึ่งร้อยเมตรก็เป็นเพียงการวัดด้วยเชือกถ่วงและลูกตุ้มเท่านั้น

    นักล่าสมุนไพรมองดูประดู่แล้วมองดูมะเขือเขี้ยวงู เขางอนิ้วดีดพลังเวทมนตร์ตัดมะเขือออกจากขั้วหลายลูกพร้อมกัน จากนั้นงอมือใช้พลังเวทมนตร์ดึงมะเขือทั้งหมดเข้าหาตัว นักล่าสมุนไพรเช่นเขาย่อมมีความสามารถในการเก็บเกี่ยววัตถุดิบ ที่เขาไม่เสนอตัวลงมือก็เนื่องจากต้องการดูว่าสองหนุ่มที่ไม่มีพลังเวทมนตร์จะจัดการกับปัญหานี้เช่นไร ในขณะที่จดจ่อมองดูการกระทำของไม้สักกลับทำให้เขาไม่เห็นการลอบโจมตีของคุณชายของทอด

    ข่าวลือที่ว่าคุณชายของทอดปาปาเกลียดชังทาสยิ่งกว่าสิ่งใดเป็นอันว่าได้รับการยืนยันแล้ว ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้มีทาสกี่คนที่สิ้นชีพใต้เงื้อมือเขา

    คาเรมองดูประดู่ที่เริ่มขยับตัว คิดหาทางว่าจะช่วยปลอบใจคนที่เพิ่งเสียเพื่อนรักไปอย่างไรดี

    .

    คุยกับท่านผู้อ่าน

    ตายไหมหนอ ตายรึเปล่านะ :D

    ชาลี

    17 เมษายน 2558

    Barbecue Fantasia Facebook Page

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×