ZaiMaii"
ดู Blog ทั้งหมด

มหาวิทยาลัยดอกไม้ริมทาง

เขียนโดย ZaiMaii"
 
เรื่อง Admission อย่าไป Think over

Think over มันไม่ใช่ คิดเกินตัวนะ
แต่.. "อย่าคิดมาก"

คิดมากไป ก็ไม่ได้ช่วยให้เรา แอดฯติดนะจ๊ะ

อย่าไปคิดมากกับมัน แอดมิชชั่นมันก็แค่ก้าวแรกของชีวิต



ก่อนอื่นพี่ขอแนะนำตัวก่อนเลยละกัน..
พี่ชื่อ พี่ไหม ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่

"มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน
หลักสูตรนานาชาติ"
จบการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์โยเซฟ บางนา


(ลองอ่านดูนะ
ประสบการณ์ของพี่ มุมมองของพี่ที่มีต่อ "แอดมิชชั่น"
แล้วน้องๆจะรู้ว่า ทำไมพี่ถึงเลือกเรียนที่นี่
มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งนี้  ทั้งๆที่พี่ก็ติด
มหาวิทยาลัยของรัฐเหมือนกัน ลองอ่านกันดูนะคะ)



อย่างที่บอก แอดมิชชั่นอย่าไปคิดมาก

แอดมิชชั่น จริงจังและตั้งใจกับมันได้ แต่อย่าไปคิดมาก อย่าไปเป็นกังวล
เพราะบางสิ่งบางอย่างอ่ะ ถ้าเราไปคิดมากกับมันจนเกินไป
มันอาจจะทำให้เราแก้ปัญหานั้นไม่ได้เลยก็ได้นะ เหมือนกับโจทย์ปัญหาแหละ
เวลาทำข้อสอบ เราก็ต้องนั่งแก้โจทย์ปัญหาที่ท่านๆทั้งหลาย
ประทานลงมาให้เราทำ (ชนิดอย่างที่เลี่ยงไม่ได้) และอย่างที่รู้ๆกัน
โจทย์ระดับมหาโหดแห่งความยากเลยล่ะ เซียนเท่านั้นที่จะทำได้
แต่มันก็คงจะไม่ยากเกินฝีมือตัวเจ๋งๆ ปรมาจารย์แอดมิชชั่นอย่างพวกเราใช่ไหมล่ะ?
บางครั้งบางที เราเคยคิดไหม? ว่าเราน่ะคิดมากไปกับโจทย์ข้อนั้นข้อนี้
ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนยุ่งยากเลย มันก็แค่โจทย์ง่ายๆ ของหมูๆ
ง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากนี่เอง แต่เราดันไปคิดมากซะนี่
แล้วเป็นอย่างไรล่ะ? คำตอบที่ได้ ก็เละไม่เป็นท่าไงล่ะ ..
เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดมากกับมัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่คิดอะไรเลยนะจ๊ะ น้องๆ
อันนั้นก็อันตรายเกินไป เสี่ยงมาก ไม่สิเรียกว่า ..
แทบจะไม่มีสิทธิ์แอดมิชชั่นติดกันเลยทีเดียว
เพราะเจ้าตัวยังไม่คิดที่จะทำอะไรเลย แล้วใครเขาจะคิดมาเลือกตัวคุณล่ะ?

คุณคิดว่าคุณมีศักยภาพพอ
ให้เขาเลือกคุณไหม?



จากประสบการณ์ของพี่ พี่แนะนำได้เลยว่า น้องๆจะเป็นคนที่ไม่คิดอะไรไม่ได้นะจ๊ะ

พี่จะเล่าให้ฟัง..
ตอนที่พี่ไปสอบ GAT ครั้งแรกในชีวิตพี่ พี่จำได้เลยว่า แค่ใช้เวลาทำความเข้าใจ
กับการอธิบายวิธีการทำข้อสอบ พี่ใช้เวลาไปเกินครึ่งชั่วโมง เรียกได้ว่า
เหมือนโลกจะแตก ความคิดที่อยู่ในหัวพี่ตอนนั้นคือ ข้อสอบบ้าอะไรเนี่ย?
แล้วชั้นจะทำยังไงกับมัน ชั้นจะเอ็นท์ติดมั้ยเนี่ย?
ระหว่างนั้นพี่หันไปมองผู้หญิงคนที่อยู่ข้างซ้ายพี่ ภาพที่พี่เห็นผู้หญิงคนนั้น
นั่งเกาหัวยิกๆ สภาพภาพทรงผมนี่เห็นแล้วต้องไม่ใช่นักเรียนม.6แน่ๆ
เกาซะยิกขนาดนั้น เหาขึ้นป่าววะ เพื่อน แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หันมามองพี่
แล้วถามพี่เบาๆว่า ทำได้เปล่า? พี่ก็งงๆแบบว่าคุยกับชั้นเหรอ? อือ ทำไม่ได้เหมือนกัน
แล้วก็หันกลับไปนั่งเกาหัวเช่นเดิม หลังจากที่รู้ว่าพี่ช่วยเหลืออะไรเจ๊แกไม่ได้
(ก็ชั้นไม่ได้ชื่อ อุทุมพรหนิยะ จะได้ช่วยแกได้)
แต่สุดท้ายก็บรรลุวิธีการทำจนได้ และก็ทำจนเสร็จ ตามด้วยภาษาอังกฤษ
พี่ก็ทำไปเรื่อยๆ จนเสร็จไม่มีอะไร แต่มันจะมีก็ไอ้ตรงผู้ชายข้างซ้ายพี่นี่แหละ
พี่สังเกตเห็นมันหลับตั้งแต่อาจารย์เขาให้เริ่มทำจนหมดเวลา มันหลับยาวเลย
เหมือนจ่ายตังค่าสอบมานอน โห..พี่คิดในใจ แล้วมันจะมีมหาวิทยาลัยเรียนไหมเนี่ย?
อาจารย์ก็เดินมาถามตอนเกือบๆหมดเวลานะว่าทำไมอีตานั่นไม่ทำ มันตอบหน้าตาเฉย
"ผมทำไม่ได้ครับ ช่างเถอะจารย์ ผมไม่คิดอะไรมาก"
พี่ได้ยินถึงกับอึ้ง นี่หรือคนไม่คิดอะไร????


จบเรื่องคนไม่คิดอะไรไปแล้ว พี่ว่ามาเข้าสู่เรื่องของพี่บ้างดีกว่า
ถ้าหากจะถามถึงเหตุผลของพี่ ว่าทำไมพี่ถึงเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน
บางคนอาจจะให้คำตอบแทนพี่ไปว่า ก็ไม่ติดมหาวิทยาลัยของรัฐอ่ะดิ
ไม่มีที่ไปใช่ป่ะล่ะ? พี่ว่ามันเป็นคำตอบที่แรงนะ แต่พี่ก็อยากถามพวกเขานะ
ว่าคุณเคยมาถามชั้นบ้างไหม? ว่าทำไม? ชั้นสอบติดอะไรบ้าง?
และเหตุผลจริงๆของชั้นคืออะไร?
เหตุผลของพี่เข้าใจไม่ยากเลย แต่ก่อนอื่นพี่ก็จะบอกเหมือนกันว่า ไม่ใช่นะ
ไม่ใช่อย่างที่คนอื่นคิดเลย ว่าพี่ไม่ติดมหาวิทยาลัยของรัฐ
พี่สอบรับตรงติดทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนรวม 4 สถาบัน 5 คณะ

1.มหาวิทยาลัยบูรพา คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาจีน
2.มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาลัยนานาชาติเพื่อการศึกษาอย่างยั่งยืน
สาขาวิชาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
3.มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาลัยนานาชาติ
สาขาวิชา International Business Communication
4.มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาภาษาจีน
(ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคณะภาษาและวัฒนธรรมจีน)
5.มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ คณะศิลปศาสตร์
สาขาวิชาภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน หลักสูตรนานาชาติ

ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการให้คำตอบกับทุกคนที่มาถามพี่ได้เลยว่า พี่เลือกเรียน
ที่มหาวิทยาลัยเอกชน ไม่ใช่เป็นเพราะพี่เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐไม่ได้
แต่ที่พี่เลือกมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เพราะพี่ต้องการเรียนด้านภาษาจีน
และมหาวิทยาลัยนี้ก็มีชื่อเสียงทางด้านภาษาจีนเป็นอย่างมาก อย่างที่ทุกคนรู้กัน
แต่บางคนอาจจะตั้งคำถามกับพี่อีกว่า ทำไมพี่ติดมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
สาขาภาษาจีนแล้ว ถึงไม่เอา ทั้งๆที่ก็จะได้เรียนภาษาจีนอย่างที่ต้องการแล้ว
พี่หันมามองหลักสูตรอินเตอร์ เพราะทางบ้านของพี่และญาติๆ อยากให้พี่ขอทุน
ไปเรียนต่อที่ประเทศจีน ซึ่งพี่ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างที่ทุกคนหวังเอาไว้หรือเปล่า?
พี่จึงตัดสินใจ เข้าสอบสัมภาษณ์ใหม่ในหลักสูตรอินเตอร์ ภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน
และผลก็ออกมาผ่านเช่นกัน พี่คิดว่าการเลือกจะเรียนที่ไหนอย่างไร?
ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจของน้องๆทุกคนก็จริง
แต่สิ่งสำคัญเลย อยู่ที่ตัวของน้องๆเอง ว่าน้องๆเลือกที่จะเรียนทางด้านไหน
และมหาวิทยาลัยไหนที่เหมาะสมกับน้องๆ พี่อยากให้น้องๆมองในแบบนี้
มากกว่าที่จะมองว่า เราเหมาะสมกับมหาวิทยาลัยไหน?

เพราะแค่คุณได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเด็กมหาวิทยาลัยนั้นๆ
แต่ถ้าคุณเรียนไม่ได้ คุณเรียนไม่ไหว
ไม่จบขึ้นมา
มันก็เท่ากับว่าคุณไม่ใช่เด็กมหาวิทยาลัยนั้นเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเลือกในทางของเรา เลือกในทางของตัวเองดีที่สุด
อย่าให้ใครมาชักจูงเรา เพราะอนาคตของเรา เรากำหนดด้วยมือเราเอง


สำหรับน้องที่มีความสามารถพิเศษ พี่ก็มีอะไรจะแนะนำเหมือนกันนะคะ
แต่สำหรับพี่ พี่อาจจะแนะนำได้แค่เพียงทางด้านกีฬาเท่านั้น
พี่เองก็เป็นนักกีฬาเทควันโดของโรงเรียนและเป็นครูผู้ช่วยสอนอยู่ในหลายๆยิม
ซึ่งมันทำให้พี่มีประสบการณ์และความสามารถอยู่บ้าง แต่พอจะดูแตกต่าง
มีโอกาสทางเลือกมากกว่าเด็กคนอื่นๆอยู่นิดหน่อย อย่างเช่นกีฬาเทควันโดของพี่
พี่เลือกสมัครโควต้านักกีฬาของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เพราะมหาวิทยาลัยนี้
มีชื่อเสียงทางด้านกีฬาเทควันโดเป็นอย่างมาก(คนในวงการจะรู้ดี)
พี่รู้ดีว่าการที่จะมีโอกาสติดในโควต้านักกีฬาของที่นี่ มันมีโอกาสเป็นไปได้น้อย
เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นนักกีฬาทีมชาติ และในแต่ละคณะก็จะรับจำนวนนักกีฬา
เข้าไปศึกษาน้อยมากๆ อย่างเช่นคณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาจีน
อับดับ1 ที่พี่เลือกไป รับนักกีฬาจากทุกประเภทเพียง 1 คน
คณะมนุษยศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ อับดับ2 ที่พี่เลือก รับนักกีฬา
ทุกประเภท 3 คน แต่ว่านักกีฬา 1 คนสามารถเลือกได้ 6สาขาวิชา
ตัวพี่เอง พี่เลือกไปเพียงแค่ 2 สาขาวิชาที่บอกไป เพราะว่าพี่คิดว่า ถ้าพี่ได้ในสาขาวิชา
ที่พี่ไม่ได้อยากจะเรียน พี่จะได้มาทำไม? ตัดโอกาสคนอื่นที่เขามีความสามารถ
เพราะนี่มันเป็นโควต้านักกีฬา เว้นที่ที่เราไม่ต้องการ ไว้ให้สำหรับนักกีฬา
ที่เขาต้องการพัฒนาฝีมือและเรียนในสาขาวิชาที่เขาต้องการ
เอาไว้บ้างก็น่าจะดี ถึงแม้ว่าผลการสอบโควต้านักกีฬาของพี่ พี่จะไม่ผ่านเพราะพี่เลือก
คณะวิชาน้อยและเสี่ยงเกินไปก็ตาม แต่พี่คิดว่านั่นก็เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่ง
เหมือนกับพี่ได้ไป meeting กับรุ่นพี่ในวงการเทควันโดและได้รู้จักคนในวงการมากขึ้น


มีคนถามพี่ว่า เรียนเอกชนแล้วเป็นอย่างไรบ้าง?
มีความสุขดีไหม?
พี่ตอบได้เต็มปากเลยว่า มีความสุขดี
ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยมากกับการเป็นประธานสาขาวิชาภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน ปี53
และเข้าไปช่วยสอนและฝึกซ้อมเทควันโดให้กับทางชมรมเทควันโดของมหาวิทยาลัย
แต่พี่ก็มีความสุข เหนื่อยอย่างสุขใจ ได้เรียนอะไรที่ชอบ ได้ทำอะไรในสิ่งที่รัก
พี่ว่ามันเหมือนกับ สำนวนที่ว่า
"คับที่อยู่ได้ คำใจอยู่ยาก"

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ไม่ได้ใหญ่โตหรือดูดีมีชื่อเสียงอะไรมากมาย
หรือมีคนอยากมาเรียนที่นี่มากมายอย่างจุฬา หรือ ธรรมศาสตร์ ก็ตาม
แต่ที่นี่พี่ก็กล้าพูดได้เลยว่า สร้างบัณฑิตสร้างคนให้เป็นคนดีได้เหมือนกัน

ประโยคๆนึงของคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
ในการประชุมนักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน ครั้งแรก
พี่จำได้ขึ้นใจเลย อาจารย์บอกกับนักศึกษาว่า อย่าเห็นมหาวิทยาลัยของเรา
เป็นเพียงดอกไม้ริมทาง ที่มาสรรหาสิ่งดีดีมาศึกษาหาความรู้ที่ดีดีแล้วก็
นำความรู้ดีดีที่เราให้ แล้วไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยอื่นๆ ทำเหมือนกับ
มหาวิทยาลัยของเราไม่มีค่า แต่สำหรับความคิดของพี่นะ
ถ้าคนๆนั้นไม่เห็นค่าของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาก็คงจะไม่เลือกที่จะเข้ามาศึกษา
ตั้งแต่แรก เขาคงจะเห็นค่าเห็นอะไรดีดีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ จึงเข้ามา
เก็บเกี่ยวสิ่งดีดีออกไป แต่ก็อย่างที่อาจารย์ท่านว่า
เขาเห็นเราเป็นดอกไม้ริมทาง เข้ามาเอาสิ่งดีดีสิ่งที่สวยๆงามๆ แล้วก็หายไป

เพราะฉะนั้น..จำไว้นะคะ
มหาวิทยาลัยเอกชน ไม่ใช่ ดอกไม้ริมทาง
แต่มหาวิทยาลัยเอกชน ก็เป็นอีกทางเลือกที่
สร้างบัณฑิตสร้างคนให้เป็นคนดีได้เหมือนกัน


อ้อ..ลืมเล่าไปเรื่องแอดมิชชั่นกลาง เรื่องนี้คงขาดไม่ได้สินะ
ชิวๆมากเลยกับการแอดมิชชั่นกลางสำหรับพี่ เลือกๆมันไปเลย
จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ เกษตร มศว. 4อันดับเลือกอย่างสนุกสนานมาก
เพราะว่าเราก็ไม่ซีเรียสแล้วไงคะ เพราะว่าเราตัดสินใจ
ที่จะเข้ามหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติแล้วหนิ
แอดมิชชั่นก็สบายเลย เลือกกันไป ติดก็ติด ไม่ติดก็ไม่ติด ไม่คิดมาก
(น้องๆจะเป็นคนไม่คิดอะไรได้ก็ต่อเมื่อ มีที่เรียนแล้วเท่านั้นล่ะค่ะ)


น้องๆคะพี่เป็นกำลังใจให้ พี่เอาใจช่วยอยู่นะจ๊ะ สู้ๆ
ขอให้ได้เรียนในมหาวิทยาลัยที่น้องๆต้องการกันทุกคนนะคะ



ความคิดเห็น

hyde-i
hyde-i 30 ก.ย. 53 / 05:41

มีใครอยากปรึกษาอะไร ติดต่อพี่ได้นะจ๊ะ
hyde-i@msn.com
หรือ www.facebook.com/maii.zuas

แล้วไว้คุยกันนะจ๊ะ!

tonkrub
tonkrub 30 ก.ย. 53 / 10:12

ว้าว!!! มีประโยชน์กับน้องๆ แอดฯปีนี้มากเลยครับ รวมทั้งข้อคิดดีๆ จากประสบการณ์ตรง เชื่อว่าน้องๆหลายคน ยังติดตามว่าคณะนี้เรียนอะไร และทำอะไรได้บ้าง มาเล่าอีกบ่อยๆนะครับ จะคอยติดตามคร๊าบ

boazter
boazter 2 ต.ค. 53 / 21:44
ขอบคุณประสบการณ์ดีดีครับพี่
ลดความกังวลไปได้บ้าง TT สู้ตายยยย !
ความคิดเห็นที่ 4
พี่สาวใจดีมาก ขอบคุณนะครับสำหรับข้อมูลดีๆ และข้อคิดดีๆหลายอย่างค้าบ
นกน้อยพลัดถิ่น
อยากเรียนเอกอังกฤษ-จีน แต่ภาษาอังกฤษก็ไม่ได้เรื่อง ภาษาจีนเรียนตอน ม.ปลาย ลืมหมดแล้ว อย่างนี้จะไหวมั้ยเนี่ย ถ้าเจอสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ-จีน คงตายแน่ๆ เลย พี่ว่าหนูจะเรียนได้มั้ยคะ ขอบคุณสำหรับข้อมูล อ่านแล้วรู้สึกอยากเป็นพี่เลยค่ะ