ช่วงนี้ปัญหาบ้านเมืองของพวกเรานี่มันเยอะแยะไปหมดเลยนะเนี่ย ว่ามั้ยพี่น้องชาวเด็กดีทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นงานประเพณีกีฬาสีประจำประเทศไทย ที่ทำท่าว่าใกล้จะจบแล้วแต่มันก็ยังไม่จบซักทีไม่รู้แม่งจะมีปัญหาอะไรกันอีกมากมายกูก็ไม่เข้าใจคนไทยสมัยนี้จริง ๆ ให้ตายดิวะ ปากแม่งก็บอกว่ายอมรับถนนสมอง (โร้ดแม๊พ) ของผ.อ.โรงเรียนจริง ๆ แต่แม่งก็ยังจะแข่งกีฬากันต่อโดยมีเงื่อนไขโน่นนี่นั่นอะไรก็ว่ากันไปเรื่อย วัน ๆ กูเจอแต่เรื่องพวกนี้จนเอียนไปหมดแล้วเนี่ยแสดพอได้แล้วม้างพี่น้องเอ้ย กูปวดหัวและปวดหูไปหมดแล้วกับข่าวสารพวกนี้เนี่ยแสด
เอาล่ะผมเองก็ได้ระบายเอาความอึดอัดอันน้อยนิดออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่หมดหรอกนะพี่น้องปัญหาอื่น ๆ ของผมมันยังมีอีกเยอะครับ แต่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกรำคาญที่สุดและ มาเข้าเรื่องเล่าของผมวันนี้กันดีกว่าเพื่อเป็นการชดเชยกับการที่ผมหายหน้าไปนานจากการเขียน Blog ให้ทุกคนได้อ่านได้ฟังกัน ช่วงนี้ก็อาจจะมีเรื่องใหม่ ๆ มาให้ผมเขียนได้ถี่นิดนึงอ่ะนะครับ สำหรับเรื่องเล่าของผมวันนี้หลังจากที่กระผมนั้นได้ทำการจิกกัดชาวบ้านเค้ามาหลายเรื่องแล้ว คราวนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวผมและครอบครัว พร้อมกับญาติพี่น้องในตระกูลได้ประสบพบเจอมาเองเลยครับพี่น้องเอ้ย เรื่องนี้จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาดมากมายหรอกครับ เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องแปลก ๆ ที่ผมและครอบครัวไม่เคยจะได้เห็นหรืออาจจะไม่เคยเลยสำหรับผมนั่นเอง แต่ผมคิดว่าพ่อแม่หรือลุง ป้า น้า อา ที่อยู่มาก่อน ๆ ที่ผมเกิดคงจะเคยเห็นมาแล้วมั่งแหละไม่มากก็น้อย และผมก็คิดว่าพี่น้องชาวเด็กดีก็อาจจะเคยเจอมาแล้วก็เป็นได้เพียงแต่ผมยังหลังเขาอยู่เลยไม่ค่อยได้เจอเท่านั้นเอง ไปฟังกันเลยละกันครับพี่น้อง
เรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนนี้ที่ผ่านมานี้เองครับ เรื่องมันมีอยู่ว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งวันผมกำลังนั่งอยู่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ทำส้นตีนอะไรมากมาย อย่างมากก็แค่นั่งดูทีวีไปเรื่อยตามประสาคนโสดไร้คู่เที่ยวในวันหยุดพักผ่อนอันแสนสบายเท่านั้นแหละครับ ถ้าไม่นับที่ว่ามีกีฬาสีอยู่ใกล้ ๆ บ้านกูอ่ะนะครับ ซึ่งวันนั้นพ่อกับน้องของผมได้เตรียมตัวจะไปบ้านใหม่หรือบ้านที่แม่ผมเพิ่งมีเงินพอซื้อใหม่นั่นแหละครับ หลังจากพักอยู่แฟลตตำรวจมาเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้วตั้งแต่ผมเกิด สาเหตุที่จะไปก็เพราะว่าญาติทางฝั่งแม่ผม เค้ากำลังจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่ในวันอาทิตย์ที่ 2 นั่นเองครับ อีกทั้งป้าผมแกก็มีงานเลี้ยงฉลองให้กับงานแต่งของลูกชายคนโตของป้าแก หรือลูกพี่ลูกน้องของผมนั่นแหละครับ ที่พี่แกได้มีครอบครัวไว้สืบสกุลแล้วในที่สุดหลังจากที่น้องสาวของพี่เค้าได้แต่งงานมีครอบครัวไปก่อนคนพี่จนมีลูกชายที่วิ่งได้แล้ว และผมก็ได้เป็นคุณน้าและคุณอาให้กับครอบครับของป้าผมคนนี้ไปอีกครอบครัวนึงแล้วในที่สุด หลังจากที่ได้เป็นน้าและอาให้กับครอบครัวของลูกพี่ลูกน้องคนอื่น ๆ ไปก่อนแล้วถึงสามครอบครัวด้วยกัน ก็แม่ผมดันเป็นลูกคนที่สี่ของตระกูลนี้นี่หว่าทำไงได้ล่ะ เป็นไงล่ะญาติผมเยอะมั้ยล่ะพี่น้องแต่อาจจะดูน้อยก็ได้ในสายตาของบางคน ก็อย่างว่าแหละครับตระกูลไหนใครมันขยันกว่ากันก็จะได้ลูกหลานเยอะแยะกันเป็นธรรมดาอ่ะนะครับเหอ ๆ ๆ ยังไงซะในวันนั้นตอนแรกผมก็ไม่ได้กะจะไปหรอกครับ เพราะผมเข้าใจว่าแม่ผมจะไปงานขึ้นบ้านใหม่ญาติอย่างเดียว ไม่รู้ว่าแกจะแวะงานกินเลี้ยงฉลองงานแต่งลูกชายของป้าก่อนที่จะไปงานนั้นทีหลัง พอผมมารู้อย่างนี้ทีหลังคราวเรื่องอะไรกูจะปล่อยให้ของฟรีหลุดลอยล่ะแสด งานที่แล้วตอนฉลองพี่คนนี้รับยศเป็นผู้หมวดกูยังไม่ได้ไปกินเลยร้านนี้อ่ะเสือกติดสอบที่ราม ฯ ไงพี่น้องเลยอดแดกไปตอนนั้น พอมาถึงตอนนี้กูต้องไม่พลาดซ้ำสองเฟ้ยงานนี้กูต้องไปสวาปามแม่งให้เรียบเลยสาด
เมื่อนั้นไอ่เซงคนเฮงซวย'~ ดั่งคนถูกหวยรวยสำเร็จ~
พอได้ยินว่ากินฟรีไอ่แม่เยดดด งานนี้ป้าเสร็จผมแน่แหม...คนมีตังค์
จึงจัดเตรียมเสี้ยมฝึกยุทธพร้อมชุดเดินทาง'~ ออกไปนอนค้างบ้านใหม่กันหมด~
ข้าวปลาไม่กินให้ท้องมันโอ๊ด พรุ่งนี้จะจัดโหดใช้ร่างกายเป็นโหมด...พระเจ้าลงฑัณต์...
เตร๊ง...เตรง...เตร่ง...เตร๊ง...เตรง...เตร่ง...เตร๊ง...เตร่ง...เตรง...เตรง...เตร๊ง...เตรง...เตรง...เตรง...เตรง
มาซะลิเกเลยกุแต่ผมคิดอย่างนี้จริง ๆ นะเออ ขอแนะนำให้อ่านท่อนนี้เป็นกลอนแบบลิเกนะขอรับจะเป็นพระคุณมาก
พอถึงวันรุ่งขึ้นหรือวันที่ 2 พ.ค.53 ครอบครัวผมก็เริ่มออกเดินทางทันทีครับ โดยเริ่มจากจุดหมายแรกนั่นก็คือ สุพรรณบ้านแม่ผมนั่นเองโดยการที่จะไปรอเจ้าภาพของงานเลี้ยงที่นั่น ซึ่งจะมาพร้อมกับญาติทางฝ่ายเจ้าสาว ที่ได้กลายมาเป็นสะใภ้ของตระกูลนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง จนในที่สุดเจ้าภาพของงานเลี้ยงนี้ทั้งสองฝ่ายก็มากันจนหมด พวกเราก็พากันออกเดินทางไปยังร้านอาหารที่เป็นเป้าหมายของพวกเรา นั่นก็คือร้านอาหารริมคลองเฮ้าส์ซึ่งเป็นร้านอาหารขึ้นชื่อร้านหนึ่งของสุพรรณนั่นเองครับซึ่งตั้งอยู่แถว ๆ อำเภอเก้าห้องที่วิ่งเลยไปอีกหน่อยชื่ออำเภออะไรไม่รู้เหมือนกันเพราะกูจำไม่ได้ครับพี่น้อง มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะดูเหมือนว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดาของงานกินเลี้ยงรับขวัญคู่บ่าวสาวเท่านั้นใช่มั้ยครับ ซึ่งมันก็จริงครับเพราะมันเป็นงานกินเลี้ยงรับขวัญคู่บ่าวสาวอย่างที่คิดกันนั่นแหละ แต่ที่มันแปลกก็คือร้านอาหารแห่งนี้มันมีห้องส่วนตัวกับห้องรวมครับซึ่งตอนแรกลุงกับป้าของผมที่เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารมื้อนี้ แกกะจะสั่งจองห้องส่วนตัวครับแต่แกดันโทรมาจองช้าไปหรือยังไงผมก็ไม่รู้อ่ะนะ เลยอดได้ห้องส่วนตัวไปจนในที่สุดก็เลยต้องยอมใช้บริการห้องอาหารรวมกันไป ซึ่งก็สร้างความผิดหวังให้กับท่านสองคนนี้เป็นอันมาก เพราะอะไรนะเหรอครับคือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ
พอดีว่าลุงกับป้าสองคนนี้แกเป็นผู้ที่ศรัทธาพระสงฆ์ของวัดดอนไข่เต่าจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านที่ยายผมมีที่ดินอยู่พอดีเป็นอย่างมากครับ ประกอบกับการที่ลูกชายคนโตของแกแต่งงานกับสะใภ้คนนี้ไวมากถึงมากที่สุดเพราะทั้งคู่เพิ่งรู้จักกันได้เพียง 1 ปีเท่านั้นเองก็แต่งงานกันแล้ว ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าสาเหตุเพราะอะไร เพราะผมไม่ใช่คนในครอบครัวเค้าเป็นเพียงแค่ญาติร่วมตระกูลเดียวกันเท่านั้นแหละ อาจจะเป็นเพราะว่าแกกลัวว่าคู่นี้จะอยู่กันไม่ยืดล่ะมั้งครับ พอหลังจากงานแต่งของทั้งคู่ที่ผ่านมาเมื่อปลายเดือนเมษายน แกก็พาคู่บ่าวสาวคู่นี้แหละไปหาพระถึงสามวัดด้วยกันรวมวัดดอนไข่เต่าที่พามาล่าสุดนี้ด้วย เพื่อให้พระในแต่ละวัดทำการให้พรและปลุกเสกให้ทั้งคู่อยู่กันไปนาน ๆ เวลามีปัญหาก็ให้ค่อย ๆ พูดกันด้วยเหตุผลนั่นแหละมั้งครับ ซึ่งผมไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับพระวัดไหนขลังไม่ขลังเลยนะ ผมว่ามันอยู่ที่การใช้ชีวิตคู่มากกว่า ที่ต้องอยู่ร่วมกันด้วยเหตุด้วยผลและความไว้ใจเชื่อใจกันไม่ได้เกี่ยวกับของวิเศษ หรือพระสงฆ์วัดไหนศักดิ์สิทธิ์ไม่ศักดิ์สิทธิ์เลยนะเนี่ย แต่ของแบบนี้มันก็แล้วแต่ความเชื่ออ่ะนะครับ ลุงกับป้าแกเชื่ออย่างนั้นผมก็จะไปขัดศรัทธาอะไรเค้าไม่ได้หรอกเพราะเราไม่ใช่พวกเชื่อเรื่องนี้ไปซะหมด อะไรที่น่าเชื่อถือผมก็ถึงจะเชื่ออ่ะนะแต่ก็ใช่ว่าผมจะไปลบหลู่ซะหน่อย มันก็แค่มุมมองของคนรุ่นใหม่ที่อยู่กับเทคโนโลยีมากกว่าศรัทธาในใจคนเท่านั้นแหละ
และด้วยเรื่องทั้งหมดนี้นี่เองครับความแปลกเรื่องแรกของวันที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนมันก็เริ่มขึ้น ( ที่มึงพูดมายืดยาวนี่มึงเพิ่งขึ้นเรื่องที่เป็นหัวข้อของวันเหรอวะเนี่ยเฮ้ย ) นั่นก็คือเรื่องของพระสงฆ์นี่แหละครับที่ลุงกับป้าซึ่งเป็นพ่อของเจ้าบ่าว แกให้ลุงของผมอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเขยของลูกคนที่สองตระกูลผมเป็นคนไปเชิญพระสงฆ์จากวัดดอนไข่เต่านี่แหละครับเป็นจำนวน 9 รูป มาร่วมฉันเพลที่ร้านอาหารเดียวกันนี้ โดยที่หวังจะให้รับขวัญคู่บ่าวสาวแบบที่เคยทำมาก่อนตอนแต่งงานวันแรกนั่นแหละครับ แกก็เลยอยากให้มีการทำพิธีในห้องอาหารที่เป็นส่วนตัวนั่นเองครับ นี่แหละครับคือเหตุผลที่ทั้งคู่อยากให้จองห้องส่วนตัวมากกว่าห้องรวมยังไงครับพี่น้อง แต่ดันผิดหวังเพราะมาจองช้าไปก็เลยเจอคนชิงตัดหน้าแย่งไปก่อน สุดท้ายก็นั่งประกอบพิธีกันในห้องอาหารรวมนั่นแหละครับ ซึ่งไอ้กูก็เพิ่งจะเคยเจอเนี่ยแหละครับ ที่ให้พระสงฆ์ 9 รูปมาทำพิธีในห้องอาหารรวมโดยไม่แคร์สื่อซะขนาดนั้น แถมได้ฉันอาหารโครตดีด้วยนะพี่น้องมึงเอ้ยเห็นพวกท่านมากัน 9 รูปอย่างนั้นก็เหอะ พอถึงคราวสั่งอาหารเท่านั้นแหละมาเป็นช่วง ๆ เลยให้ตายดิจอร์จ โต๊ะของเจ้าภาพที่ผมนั่งอยู่ยังไม่มีอาหารมาวางซักอย่างแต่โต๊ะของหลวงพ่อท่านมากันเต็มที่เลยมึง แล้วแต่ละรูปนี่ก็ไม่ใช่หนุ่ม ๆ นะครับอายุของแต่ละรูปนี่ก็ปาเข้าไปหลายพรรษาอยู่นะเออ ถ้าจะให้พูดกันภาษาของฆราวาสก็คือแก่ ๆ จนแทบไม่มีฟันเหลือเอาไว้บดอาหารกันแล้วนั่นแหละ ก็ 60-70 กันแล้วอ่ะอย่างต่ำแต่ละรูปอ่ะ
แต่ก่อนที่จะเริ่มทำพิธีนั้นมันก็จะมีขั้นตอนของชาวพุทธนึกออกใช่มั้ยครับ นั่นก็คือต้องให้พระสงฆ์ฉันอาหารเสร็จก่อน จากนั้นเหล่าพุทธศาสนิกชนค่อยกินที่เหลือต่อ แต่สำหรับร้านอาหารแห่งนี้ไม่ใช่ครับชาวพุทธที่เป็นเจ้าภาพงานรับขวัญนั้นกินมันพร้อมกับพระสงฆ์กันเลยทีเดียวนั่นแหละ ถ้ามัวแต่รอกูก็อดดิแสดก็หลวงพ่อท่านแต่ละรูปไม่หยุดมือเลยนี่หว่า ท่านเล่นฉันเป็นระยะ ๆ ซะขนาดนั้นมัวแต่ให้พวกกูรอเรอะ กูไม่ได้กินข้าวเช้ามานะโว้ยพี่น้องอย่างที่บอกว่ากูกะจะมากินที่นี่เต็มที่นั่นแหละ จะให้มารอพระท่านฉันเสร็จกูได้นั่งท้องร้องกระเพาะพังแน่สิมึง ในที่สุดโต๊ะของพวกผมก็เริ่มสั่งอาหารครับกินกันไปจนเสร็จนั่นแหละ ขอบอกว่าปลาม้าสามรสแล้วก็ส้มตำปลาทับทิมอร่อยโครตพ่ออ่ะพี่น้อง แต่ที่ทำให้กูขยาดไปอีกนานนั่นก็คือกุ้งหุ้มเกราะครับพี่น้องจะไม่ให้มันเป็นกุ้งหุ้มเกราะได้ยังไงล่ะ ก็กูกัดไปครึ่งชิ้นแล้วตัวกุ้งแม่งเพิ่งจะโผล่ออกมาที่เหลือเป็นแป้งหมดเลยสาด ก็ขอเตือนทุกท่านที่ชอบรับประทานกุ้งชุบแป้งทอดตามร้านอาหารกันเอาไว้ ณ ที่นี้เลยนะครับว่า ไม่ว่าท่านจะไปกินร้านอาหารทะเลหรือร้านอาหารอะไรก็ตามที่มีเมนูที่ชื่อว่ากุ้งชุบแป้งทอดหรือกุ้งหุ้มเกราะอย่างที่ผมพูดมานี้ อย่าสั่งครับเพราะแม่งแพงไม่พอแต่จะทำให้พวกคุณมึงทั้งหลายอิ้มแป้งจนอ้วนอีกด้วยนะเออ ถ้าท่านโชคดีเจอแจ๊กพ๊อตหน่อยตอนกัดไป อาจจะเจอส่วนที่เป็นหัวกุ้งที่ถูกเด็ดออกไปจนเหลือแต่ขากับเปลือกแข็ง ๆ ของมันอีกด้วยล่ะก็ ให้จำคำพูดผมเอาไว้เลยนะครับว่า "นั่นแหละสิ่งที่เรียกว่านรกในร้านอาหาร" เพราะมันเป็นอะไรที่ขมคาวและเลี่ยนชวนอ้วกมากเลยพี่น้องผมกัดโดนไปคำนึง แทบจะคายของที่กินลงไปออกมาหมดเลยแม่มึง แต่ด้วยความเสียดายที่กินมาตั้งนานไงก็เลยกล้ำกลืนฝืนกระเดือกมันลงคอไปด้วยความทรมานอย่างยิ่งยวด ไอ้ห่าแม่งข้างในก็จะออกมาแต่ข้างนอกก็พยายามจะดันเข้าไปให้ได้ เคยมีความรู้สึกแบบนี้บ้างมั้ยล่ะพี่น้องทุกท่านเป็นอะไรที่พะอืดพะอมสุด ๆ เลยจอร์จ
ในที่สุดการรับประทานอาหารกลางวันของพวกผมก็จบลงที่เวลาบ่ายโมงนิด ๆ ของวันที่ 2 จากนั้นพิธีรับขวัญสุดพิสดารก็เริ่มขึ้นในห้องอาหารรวมแห่งนี้ ขอให้ทุกคนนึกภาพตามไปด้วยจะดีมากเลยนะครับ ภายในห้องนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีประตูเปิดเข้าออกแบบไม่อัตโนมัติทั้งหมดสามด้าน ๆ ละสองบาน โต๊ะที่พวกผมนั่งจะอยู่ติดผนังฝั่งที่ไม่มีประตูแต่เป็นกระดานแบบพับได้ปิดเอาไว้แทน ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นผนังอีกฝั่งหนนึ่งของห้องอาหารส่วนตัวที่เจ้าภาพมาจองช้าไปนั่นเอง ฝั่งซ้ายจากที่ผมนั่งเป็นประตูไม้บานเดียวสำหรับออกไปห้องน้ำด้านหลังได้ ส่วนฝั่งขวาเป็นประตูกระจกสองบานแบบติดฟิล์มทึบมองจากด้านนอกเข้ามาไม่เห็นแต่ข้างในเห็นชัดเจน ข้างหน้าของผมมีประตูไว้สำหรับให้พนักงานเอาอาหารมาเสิร์ฟ จากประตูพนักงานเข้ามาจะมีโต๊ะอาหารของสามครอบครัวอยู่ก่อน เรียงเป็นสามแถวตลอดหน้าประตูแต่ถัดลงมาจากนั้นเป็นโต๊ะอาหารรวมอีกสองครอบครัว โดยมีครอบครัวใหญ่อยู่กลุ่มหนึ่งทางซ้ายมือของผมกับอีกทางขวามือเป็นอีกครอบครัวหนึ่ง ถัดจากโต๊ะนั้นขึ้นมาอีกนิดนึงเป็นโต๊ะของพระสงฆ์ที่เจ้าภาพฝั่งผมนิมนต์มากำลังสวดมนต์ให้พรโดยมีลูกพี่ลูกน้องผมที่เป็นเจ้าบ่าวกับพี่สะใภ้ของผม ซึ่งกำลังนั่งคุกเข่าพนมมืออยู่ทางซ้ายของโต๊ะพระสงฆ์ที่เป็นที่นั่งของเจ้าอาวาสวัดนี้ หลังจากนั้นหลวงพ่อผู้เป็นเจ้าอาวาสก็ได้รับเงินจากป้าผมที่เป็นเจ้าภาพเป็นค่าทำบุญ ไอ้กูก็นึกในใจว่าอะไรมันจะช่างน่าอิจฉาซะขนาดน้าน หลวงพ่อท่านที่ได้ถูกนิมนต์มาฉันอาหารก็ได้ฉันฟรีแถมยังได้เงินค่าทำบุญจากผู้เป็นเจ้าภาพอีก กูไปบวชแล้วกูจะได้แบบนี้มั่งมั้ยเนี่ยอะไรมันจะดีปานน้านฟะ ดีนะที่เงินที่ได้มาตอนเป็นพระสงฆ์นั้นกฎหมายได้กำหนดเอาไว้ว่า ให้ตกเป็นของวัดถ้าหากว่ามีการสึกออกไปเป็นฆราวาสเหมือนเดิมโดยจะเอาเงินก้อนนี้ไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่พระ แต่ในใจกูก็คิดว่าถ้าเป็นพระแล้วได้อะไรมาฟรี ๆ แบบนี้กูจะสึกไปลำบากอีกเพื่ออะไรวะถ้ากูได้อยู่มานานขนาดนี้แล้วโดยที่ไม่ต้องเสียอะไรเลยเนี่ย เป็นใครก็ไม่สึกหรอกอยู่จนมรณภาพในวัดไปเลยยังจะดีซะกว่า
หลังจากนั้นเหล่าหลวงพ่อทั้ง 9 รูปก็ขึ้นรถตู้ที่ลุงผมที่เป็นเขยของตระกูลผมได้ขับมาส่งนั้นกลับวัดไป ด้วยอาการที่ชาวบ้านชอบพูดกันว่าอิ่มจังตังค์อยู่ครบแถมได้ตังค์เพิ่มมาอีกเพียบเลยนะเฮ้ย ๆ ๆ พอหลวงพ่อกลับวัดไปหมดแล้ว ครอบครัวผมก็ยังไม่หมดภารกิจนะครับหลังจากงานกินเลี้ยงที่นี่แล้ว พวกเราต้องไปงานขึ้นบ้านใหม่อีกงานนึงในตอนเย็นอย่างที่ผมได้บอกมาในตอนเริ่มเรื่องนี้ไปแล้วว่ามีสองโปรแกรม แต่ความแปลกมันก็ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะครับ มันมีมาอีกในงานขึ้นบ้านใหม่ที่กำลังจะไปกันต่อนี่แหละครับ เรียกได้ว่าวันนี้ทั้งวันบ้านผมเดินสายชนิดที่เรียกได้ว่ามาราธอนกันเลยทีเดียว ก็เล่นเดินทางจากจุดเริ่มต้นคือบางรักไปยังบางบัวทองแล้วนอนึค้างที่บ้านใหม่ในซอยวัดลาดปลาดุก ก่อนจะออกเดินทางไปยังสุพรรณเพื่อไปเจอเรื่องไม่ธรรมดาเรื่องแรกที่ร้านอาหาร และหลังจากนั้นก็บึ่งรถไปต่อจากสุพรรณบุรีมุ่งกลับเข้าบ้านใหม่อีกครั้งเพื่อเดินทางต่อไปยังดอนเมือง เพื่อไปช่วยเค้าเก็บงานขึ้นบ้านใหม่พอดีเพราะระหว่างทางม่างเสือกเจอฝนตกแถวกระทรวงยุติธรรม ถ.วิภาวดียาวไปจนถึงดอนเมืองอีกต่างหาก ก่อนที่จะเข้าซอยวิภาวดี 41 ที่ไม่มีแม้แต่เม็ดฝน ซึ่งกูก็สงสัยอีกแล้วว่านี่มึงจะแกล้งกูใช่มั้ยเนี่ยเล่นตกซะช่วงนึงจนน้ำท่วมจนท่อน้ำแม่งระบายกันแทบไม่ทัน พอข้ามสะพานตรงศาลปกครองขึ้นมาไปต่ออีกหน่อย แม่งฟ้าใสไร้เมฆหมอกแถมมีแดดออกสว่างกระจ่างตากูเหมือนกับว่าที่แห่งนี้ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นกันอย่างนั้นเลยทีเดียว
พอไปถึงงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ของญาติแม่ผมมันก็เป็นไปตามคาดครับ เพราะงานเลิกไปได้ซักพักแล้วเหตุเพราะว่าจากงานเลี้ยงแรกของป้าผมมาที่นี่ก็กินเวลาไปนานพอสมควรแล้ว งานเลี้ยงที่ไหนเค้าจะอยู่รอมึงล่ะสาด แต่ก็เหมือนกับว่าเรื่องแปลกของผมมันยังไม่หมด พอผมมาถึงปั๊บเรื่องแปลกเรื่องสุดท้ายที่กูเจอนั่นก็คือ มันมีไอ้แว่นดูดหรี่ขี้โม้คนหนึ่งครับที่เนียน ๆ มาแกล้งเมาแล้วก็คุยซุยกับญาติ ๆ ผมไปเรื่อยว่าม่างตอนหนุ่ม ๆ มันมีวีรกรรมส้นตีนอะไรมั่ง ซึ่งผมกับน้องผมก็นั่งเนียน ๆ ฟังมันไปโดยที่ไม่รู้จุดประสงค์ของมันว่าที่แม่งทำแบบนั้นน่ะ มึงมีปัญหาทางครอบครัวหรือว่ามึงอยากประกาศศักดาให้โลกรู้ว่ากูมีดีกันแน่วะครับ ขอสรุปให้ฟังเลยละกันว่าจากประวัติที่ผมได้ยินไอ้บ้านี่มันพูดมาเหมือนกับว่ามันตั้งใจจะให้พวกกูได้ยินที่มันพูดนั้น มันมีรากเหง้ามาจากวีรกรรมและดีกรีการศึกษาอะไรมั่ง ก็สรุปได้ว่าไอ้แว่นเบ้คนนี้ตอนหนุ่ม ๆ มันไม่ได้ใส่แว่นและไม่ได้ดูดหรี่ครับ ส่วนการศึกษามันนั่นหรือมันเคยเรียนรด.มา 5 ปีครับ แล้วก็รับราชการทหารอากาศมาก่อนแต่ไม่ได้เป็นนายร้อยทั้ง ๆ ที่แม่งจบรด.มา 5 ปีมันก็มียศเป็นถึงว่าที่ร้อยตรี แต่ทำไมมันถึงมียศแค่นายสิบทหารอากาศฟะ และไอ้นี่มันมีนิสัยกวนตีนครับนั่นก็คือ ตอนมันเป็นทหารอยู่นั้นมันเคยท้าต่อยกับนายทหารอากาศมาก่อนซะด้วยม่างเก๋าจริง ๆ เพราะไอ้สิ่งนี้ล่ะมั้งครับที่ทำให้แม่งไม่ได้เป็นนายร้อยแบบคนอื่น ๆ เค้าน่ะ เท่านั้นยังไม่พอครับนอกจากเป็นทหารแล้วแม่งยังเคยเรียนวิศวะอีกต่างหาก โอ้โหมีสองปริญญาเลยนะมึง แต่ก่อนที่จะมาเรียนระดับอุดมศึกษาของมันนั้นมันเคยเรียนอยู่ธัญญะมาก่อนสองปีครับ แล้วก็เคยเรียนช่างกลปทุมวันอีกด้วยมึงโอ้โหแม่งโครตขยันเลยว่ะเหี้ยอะไรวะเนี่ย มาถึงตรงนี้กูก็พูดมาให้น้องกูได้ยินว่า ตกลงว่าไอ้เหี้ยนี่มันเรียนกี่ที่วะเนี่ยประสบการณ์ม่างโชกโชนซะเหลือเกิน เท่านั้นยังไม่พอแม่งยังมาเล่าประวัติของอุเทนกับปทุมวันให้ฟังอีกต่างหาก นั่นแน่แม่งมีสวมวิญญาณนักวิชาการด้วยมึงทำเป็นเล่นไปมันบอกว่า แต่ก่อนสองสถาบันนี้มันเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน แต่ที่มันทะเลาะกันเพราะว่าอุเทนแม่งไปขโมยดอกบัวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเทคโนปทุมวันไปแล้วแม่งไม่ยอมรับตอนโดนจับได้ ซึ่งกูก็ไม่รู้ว่าไอ้เรื่องขโมยดอกบัวมันมาเกี่ยวเหี้ยอะไรกับเรื่องบาดหมางของสองสถาบันนี้ในปัจจุบันซึ่งกูเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันในจุดนั้น
และนี่ก็คือประวัติคร่าว ๆ ของไอ้แว่นเบ้ขี้ซุยคนนี้ที่ผมพอจำได้ในวันนั้นอ่ะนะครับ ซึ่งผมเองตอนนี้ก็ยังนึกสงสัยอยู่เหมือนกันนะว่าในโลกเรานี่แม่งก็ยังมีเรื่องแปลก ๆ แบบนี้อยู่ด้วยเหรอวะเนี่ย ท่าทางกูคงจะยังกร้านโลกมาไม่พอสินะ ผมก็เลยอยากจะถามว่าทุกท่านที่อ่านแล้วคิดว่าไอ้นี้มันเป็นคนยังไงเอ่ย ทำไมมันถึงได้มีดีกรีการศึกษาเยอะแยะไปหมด แต่แม่งไม่เจริญในหน้าที่การงานของมันซักทีวะ ถึงได้มานั่งซุยวีรกรรมของมันให้ชาวบ้านฟังกันให้วุ่นวาย แล้วก็พิธีรับขวัญในห้องอาหารรวมแบบนี้ก็มีด้วยเหรอทำไมกูถึงไม่เคยเห็นอะไรที่ประหลาดขนาดนี้มาก่อนฟะ ก็เอามาให้อ่านกันขำ ๆ นะครับอาจจะมีหลายคนที่เคยเห็นบุคคลแบบนี้อยู่บ้างยังไงซะก็ถ้าไม่ถูกใจเรื่องนี้ก็ยังมีเรื่องอื่น ๆ ให้อ่านกันอีกนะครับผม เดี๋ยวเรื่องหน้าก็จะมาต่อแต่ขอเวลาอีกนิดนึงเพื่อให้ผมได้เช็คเรทติ้งของเรื่องใหม่ ๆ ก่อนละกันเน้อพี่น้อง
เอรักทุกคนนะครับอ่ะกิ้วกร้าวจุ๊ฟมั๊วะ
ปล.อยากบอกว่าเรื่องนี้ยาวเว่อร์อ่ะสาด
วันธรรมดาที่ไม่ธรรมดาสำหรับกูเลยนะเนี่ย
เขียนโดย
KerberoS
แจ้ง Blog ไม่เหมาะสม
9 พ.ค. 53
405
1
ความคิดเห็น