ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Shor Fic :: KrisYeol Couple

    ลำดับตอนที่ #2 : [SF] I Miss U

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.73K
      17
      4 มิ.ย. 55


    [SF]  I Miss U  

    Pairing :: Wu Yi Fan X Park Chanyeol

    Author ::  มิสเตอร์สไมล์ & คุณชายมาเฟีย

     




    เมื่อรัตติกาลมาเยือนยามค่ำคืน ความเงียบสงัดย่างกลายเข้าครอบคลุม แม้จะเป็นในสังคมเมืองหลวงก็หนีไม่พ้นความมืดมิด มีเพียงโคมไฟดวงใหญ่ที่เจิดจรัสและลอยเด่นอยู่บนฟ้ากว้าง อาจมีบางครั้งที่ถูกอำนาจของเมฆหมอกบดบังแต่โคมไฟดวงนั้นก็ยังทำหน้าที่ทอดแสงให้ความสว่างกับผู้คนในค่ำคืนที่มืดมิดต่อไป 


    เงาจันทร์ทอดผ่านระเบียงห้องที่ถูกเปิดทิ้งไว้อย่างจงใจ ลมเย็นอ่อน ๆ พัดเข้ามาทำให้ม่านลูกไม้ผืนบางพริ้วไหวกระทบแสงจันทร์ราวมีชีวิต


    ร่างโปร่งของใครคนหนึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนที่นอนขนาดคิงไซส์ ท่อนบนที่เปลือยเปล่าเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบนั้นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นทุกรูขุมขน  ใบหน้าได้รูปที่เคยนอนนิ่ง บัดนี้นิ่วหน้าและเริ่มสะบัดไปมาอย่างไร้สติ ร่างกายเริ่มดิ้นทุรนทุราย ผ้าปูที่นอนที่ถูกจำมุมอย่างเรียบร้อย กลับถูกขย้ำจนไม่เหลือชิ้นดี ท่าทางทุรนทุรายนั้นเริ่มสงบลง เหมือนเค้าสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง ใบหน้านิ่วค่อย ๆ ผ่อนคลายจนเกือบจะเป็นปกติ บัดนี้นิทราของเค้าคงดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความฝัน  ภายใต้แสงสว่างสีขาวนวล ภาพใครคนหนึ่งที่เค้าคิดถึงจนสุดหัวใจผุดขึ้นมาอีกครั้งเฉกเช่นทุกคืน 

    “สวัสดีครับ  ผมชื่อปาร์ค ชานยอลครับ ต่อไปนี้ผมจะมาอยู่บ้านข้าง ๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ” เสียงเล็ก ๆ เจื้อยแจ้วอยู่บริเวณข้างรั้ว ชายหนุ่มอายุ 17 ยกคิ้วหนา ก่อนเอ่ยถามเจ้าตัวเล็กตรงหน้าด้วยความแปลกใจ


    “มาจากไหนเนี่ยเรา” เจ้าตัวเล็กอมลมก่อนโค้งให้อีกครั้ง แล้วพูดประโยคเดิมทุกอย่างเหมือนที่เค้าพูดไปเมื่อสักครู่ 




    “สวัสดีครับ  ผมชื่อปาร์ค ชานยอลครับ ต่อไปนี้ผมจะมาอยู่บ้านข้าง ๆ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”


    ชายหนุ่มรุ่นพี่งงหนัก ถามกี่ครั้งก็ได้ยินแต่เสียงเล็กพูดประโยคเดิม ๆ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง ก่อนตัดสินใจ


    “ฉันชื่อคริส”


    “คริส ฮยอง” เจ้าตัวเล็กรีบทำความสนิทสนมตั้งแต่ชายหนุ่มรุ่นพี่ยังไม่ได้อนุญาต แต่ก็ต้องถูกปรามเพราะผู้เป็นป้าสอนให้เรียกคุณคริส เจ้าตัวเล็กเลยทำหน้าง้ำก่อนกัดฟันเรียกคุณคริส


    “คุณคริส” เสียงเล็กเอ่ย แต่กลับเผยรอยยิ้มที่น่าเอ็นดูหลังจากที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ใช้มือหนาลูบไปบนกลุ่มผมนุ่ม


    “ถึงจะต้องเรียกคุณคริสก็เถอะ แต่เจ้าตัวเล็ก เข้ามาหาฉันบ่อย ๆ นะ ฉันว่าฉันชักจะติดใจรอยยิ้มนายแล้วซิ” ร่างใหญ่หัวเราะร่วนก่อนยกเจ้าตัวเล็กจนลอย แล้วพาเดินอุ้มไปจนทั่วบ้าน เงาลาง ๆ ของภาพจากไปพร้อมกับแผ่นหลังของชายหนุ่มและเด็กน้อย แต่มันกลับปรากฏทุ่งดอกทานตะวันสีเหลืองทองอยู่เต็มสวนหน้าบ้านหลังเดิม 


    “คุณคริสฮะ ดอกทานตะวันที่หน้าบ้านนี่มันอะไรกันครับ” เสียงใสของเด็กหนุ่มอายุประมาณ 17 ปี ผิวพรรณสะอาดสะอ้านดังขึ้น ก่อนขายาวจะวิ่งลุยผ่านกอดอกทานตะวันสีเหลืองสด ดมดอกนั้นที จับดอกนี้ที หน้าเค้าอิ่มสุขและเบ่งบานพอกับดอกทานตะวันที่เค้ากำลังเชยชม


    “มันเหมือนนายเลย ชานยอล” เสียงทุ้มใหญ่ แต่อบอุ่นของชายหนุ่มที่ดูจากลักษณะน่าจะแก่กว่าราว ๆ 7 ปีเห็นจะได้ดังขึ้นก่อนเดินตามหนุ่มน้อยไปยังสวนดอกไม้ที่เค้าสั่งทำมันขึ้นมาพิเศษ


    “เหมือนผม” ปากเล็กเผยอขึ้น และทำสีหน้าครุ่นคิด


    “ก็เหมือนนายตรงที เวลาเจอแสงอาทิตย์ตอนเช้า หน้านายจะบานแล้วก็ใหญ่พอ ๆ กับดอกทานตะวันนี่แหล่ะ” ชายหนุ่มใช้สองมือหยิกแก้มนุ่มเบา ๆ 



    “หน้าผมบานขนาดนั้นเลยเหรอครับคุณคริส” ร่างเล็กกว่าเอ่ยถามก่อนจิปากเล็กน้อย ตามมาด้วยเสียงบ่นคนเดียว ชายหนุ่มได้แต่มองเรียวปากบางที่ขยับไปมา แล้วอมยิ้ม


    “ชานยอล  นายจะยอมเป็นคนรักของฉันได้รึเปล่า” คำถามที่ทำให้ร่างเล็กถึงกับตาโต  ชายหนุ่มกุมมือบางแนบไว้กับอก แล้วมองจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่ใส 



    “นายจะหาว่าฉันลามก บ้ากาม หรืออะไรก็ได้ แต่ถ้าวันนั้นนายไม่มาเสนอหน้ามาให้ฉันเห็น วันนี้ฉันก็คงไม่รักนายมากชนาดนี้” ร่างเล็กกว่าใบหน้าขึ้นสี ได้แต่ก้มหน้างุด ๆ ก่อนช้อนตามองคนตรงหน้า ริมฝีปากที่เคยเจื้อยแจ้วบัดนี้กลับหนักอึ้ง แล้วมีทีท่าว่าจะขยับขึ้นลงได้อย่างยากลำบาก  ชายหนุ่มหรี่ตามองคนตัวเล็กจนทำให้คนตัวเล็กต้องหลบสายตาอีกครั้งก่อนพูดอ้อมแอ้มในลำคอ 



    “คุณคริสห้ามว่าผมร้ายกาจนะครับ” คนตัวเล็กพูดตะกุกตะกัก



    “ผมคิดว่า คุณคริสหล่อแล้วก็เท่ห์มาก จนผมอยากอยู่ใกล้ ๆ มาตั้งแต่วันแรกที่ผมพบคุณที่รั้วริมสนามแล้วล่ะครับ” ใบหน้าสีชมพูดอ่อนบัดนี้ขึ้นสีแดงจัด จนคนตรงหน้าอดขำไม่ได้



    “เจ้าเด็กแก่แดด”  ชายหนุ่มหัวเราะร่วนก่อนดึงคนรักเข้ามากอดแล้วจับศรีษะกลมซุกลงกับอกกว้าง แต่คนตัวเล็กกว่ากลับดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขน เม้มปากแน่นก่อนทุบเบา ๆ ที่ต้นแขนหนา แล้วบ่นอุบอิบ



    “คุณคริสอ่ะ  ยังจะมาว่าผมแก่แดดอีก ผมเขินนะ” 



    แผลงฤทธิ์ใส่ได้ไม่นานคนตัวเล็กก็ใช้วงแขนเรียวตอบรับอ้อมกอดของคนตรงหน้า รอยยิ้มที่เผยออกมาบนอกอุ่นนั้นอิ่มสุขและละมุนละไมจนเกินบรรยาย แล้วภาพตรงหน้ากลับค่อย ๆ จางหายไปพร้อมกับบรรยากาศที่แปลเปลี่ยนเป็นห้องนั่งเล่นในบ้านหลังเดิม ภายในถูกตกแต่งสไตล์โมเดิร์น แต่กลับแฝงความอบอุ่นอยู่ทุกอณู




    “คุณคริสครับ ตื่นได้แล้วครับเป็นถึงประธานบริษัทไปทำงานสายอายลูกน้องนะครับ” เสียงชายหนุ่มอายุราวๆ 20 ปีดังขึ้น พร้อมกับวางถาดกาแฟและอาหารเช้าลงบนโต๊ะ 

    “ใครบอกฉันตื่นสายกันชานยอล” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหลัง ไม่ทันได้ตั้งตัวร่างบางก็ถูกโอบรัดด้วยวงแขนแกร่งก่อนใช้ริมฝีปากหนาฉกลงบนแก้มนุ่ม   “Good Morning  Darling”



    “คุณคริสก็ แกล้งผมแต่เช้าเลยนะครับ” ร่างบางตีไปที่ต้นแขนแกร่งเบา ๆ ก่อนหันหน้ากลับมาหาคนรักเพื่อดูแลความเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า มือนิ่มยกขึ้นจัดการกับเน็คไทสีดำเข้มให้เข้าที่ ก่อนใช้นิ้วเรียวเกลี่ยปอยผมด้านหน้า แล้วดึงมุมเสื้อตรงบ่าทั้งสองข้างให้เสมอกัน



    “หล่อแล้วนะครับ แต่ห้ามหล่อกว่านี้ เพราะถ้าคุณคริสหล่อกว่านี้ผมจะกลายเป็นคนขี้หึงเอาซะเปล่า ๆ” ชายหนุ่มอายุมากกว่าหัวเราะร่วนก่อนจูงร่างบางมานั่งที่โต๊ะอาหาร



    “ฉันรึเปล่าที่ต้องหึงนายชานยอล  พอเริ่มเป็นหนุ่มก็เริ่มเนื้อหอม ใคร ๆ ก็พูดถึง” เสียงคนอายุมากกว่าพูดก่อนยกกาแฟขึ้นจิบช้า ๆ 



    “ผมเริ่มเป็นหนุ่ม แต่คุณคริสเป็นหนุ่มแล้ว แถมทั้งหล่อ แล้วก็ทั้งเก่ง มันน่าหึงมั้ยล่ะครับ ผมเห็นนะคราวก่อนที่คุณไปคุยงาน  ประธานบริษัทหุ้นส่วนถึงกับพาลูกสาวมาแนะนำ” ร่างเล็กหรี่ตามอง ก่อนอมลมจนแก้มป่อง 



    “โตแล้วยังจะงอนเป็นเด็ก ๆ ไปได้” มือหนาวางแก้วกาแฟลงก่อนใช้ปลายนิ้วชี้จิ้มลงไปบริเวณข้างแก้ม  ก่อนโอบไหล่บางไวในอ้อมกอด เค้าเอียงหัวตนเองเข้าไปหาคนข้าง ๆ จนกระหม่อมติดกัน



    “ฉันมีแต่นายเท่านั้นแหล่ะ ฉันเคยสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอชานยอล ฉันจะมีแค่นายคนเดียว” ร่างบางยิ้มกริ่มก่อนบรรจงประทับริมฝีปากนุ่มลงบนแก้มคนรักอย่างทะนุถนอม แต่แล้วความสุขนั้นก็วูบหายไปกับควันสีขาวที่ลอยฟุ้งอยู่ทั่วบริเวณ สายตาจับจ้องภาพตรงหน้าอีกครั้ง  เมื่อหมอกและควันเริ่มจาง ภาพตรงหน้าที่เห็นคือโบสถ์ทรงยุโรปที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งโล่ง ชายหนุ่มสองคนในชุดสูทยืนคุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ 



    “วันนี้เป็นวันที่น่าประทับใจมากเลยนะครับคุณคริส” เสียงหนุ่มน้อยที่เคยอยู่ในภาพฝันบัดนี้โตเป็นหนุ่มใหญ่ เสื้อสูทสีดำที่เข้ารูปโชว์ร่างระหง และเรียวขายาวอย่างเด่นชัด แว่นสายตากรอบบางถูกขยับเล็กน้อย เค้าเดินไปนั่งพิงฝากระโปรงรถสปอร์ทคันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกลกันนัก



    “ทำไมล่ะ หรือว่าอยากเป็นเจ้าสาวกับเค้าบ้าง ชานยอล” เสียงหนุ่มใหญ่ วัย 30 ดังขึ้น แล้วเดินตามร่างเล็กกว่าไปยืนอยู่ข้าง ๆ 



    “ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันครับ ผมกับคุณคริสไม่ใช่คุณฮันคยองกับคุณลี่อินสักหน่อย” ชายหนุ่มอายุมากกว่าได้แต่ยกยิ้มก่อนจับศรีษะกลมโยกเบา ๆ 



    “ดูก็รู้ว่าคิด โกหกใครเป็นด้วยเหรอเรา นายนึกอะไรตานายมันก็ฟ้องทุกอย่างที่นายนึกอยู่นั่นแหล่ะชานยอล”  คนตรงหน้าได้แต่ใช้นิ้วเรียวขยับแว่นแก้เก้อ แล้วเสหน้าหนีไปทางอื่น



    “ใครคิดกันเล่า คุณคริสนั่นแหล่ะ ทำเป็นรู้ทุกเรื่องตลอดเลย” ร่างเล็กทำท่าอมลมอีกแล้ว ร่างหนาได้แต่ยืนมองเค้านึกถึงวันแรกที่เด็กคนนี้มาเป็นเพื่อนบ้าน จนถึงวันที่เป็นมากกว่าเพื่อนบ้าน เข้านอกออกในบ้านเค้าได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร เค้าอาจจะเป็นตาแก่ที่หลงรักเด็ก  แต่เค้ากล้าสาบานว่าเค้าไม่เคยเลยสักครั้งที่จะคิดนอกใจหรือทอดทิ้งคนที่อยู่ตรงหน้านี้ หนุ่มใหญ่ที่ดูภูมิฐานเอนตัวพิงฝากระโปรงรถใกล้ ๆ กับคนรัก



    “นายรู้ไหม สำหรับใครหลาย ๆ คน การแต่งงานคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต แต่สำหรับฉันการที่ได้อยู่กับนายต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต” ชายหนุ่มรุ่นน้องมองใบหน้าด้านข้างแล้วเอนศรีษะไปพิงอยู่ที่ท่อนแขนแกร่ง



    “ขอบคุณครับคุณคริส ผมแค่คิดว่าการแต่งงานคือการบ่งบอกให้คนอื่นรู้ว่าเราเป็นของกันและกัน แต่ผมลืมคิดไปว่าอะไรจะสำคัญไปกว่าการที่เรารู้ ว่าเราเป็นของกันและกัน” ชายหนุ่มหันหน้ามองคนรัก เค้าวางปลายคางลงที่กลางศรีษะก่อนกดจูบลงไปบนกลุ่มผมนุ่มอย่างอ่อนโยน 



    “ก็ไม่เชิงซะทีเดียว” เจ้าของรอยจูบพูดเสียงต่ำอยู่ในลำคอ  หนุ่มน้อยถึงกับต้องเงยหน้ามองแล้วพบว่าตรงหน้าของตนบัดนี้มีช่อบูร์เก้สีชมพูอ่อนยื่นอยู่ตรงหน้า



    “ลี่อินเดินเอามายัดใส่มือฉัน ตั้งแต่ตอนมางาน เค้าบอกว่าช่อนี้เตรียมไว้ให้ฉันโดยเฉพาะ” มือนึงยื่นช่อดอกไม้แต่อีกมือนึงกลับใช้ปลายนิ้วเกาไปมาอยู่บริเวณหางคิ้วแก้เขิน



    “คุณคริส” ชายหนุ่มรุ่นน้องหยิบช่อบูร์เก้ขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วบรรจงใช้ปลายจมูกโด่งสัมผัสความหอมราวกับผีเสื้อกำลังดอมดมเกสรดอกไม้



    “ยังไม่หมด” เสียงหนุ่มใหญ่ทักขึ้นอีกครั้ง บัดนี้ดวงตาทั้งสองข้างของชายหนุ่มรุ่นน้องมองอะไรก็พร่าเบลอไปหมด เพราะน้ำใส ๆ ที่กำลังเริ่มเอ่อออกมาทีละน้อย



    “คุณคริส” เสียงสั่นเครือในลำคอดังขึ้นเมื่อเค้ามองเห็น แหวนทองคำขาวสองวงในกล่องกำมะหยี่เค้าหยิบแหวนวงแรกขึ้นมาด้วยความระมัดระวังแล้วบรรจงสวมมันลงไปบนนิ้วนางข้างซ้ายของคนตรงหน้า แล้วใช้ปลายจมูกกดลงบนมือนุ่ม



    “ฉันอาจไม่สามารถมอบพิธีแต่งงานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้นายได้ แต่เชื่อเถอะว่าแหวนวงนี้มันจะไม่มีวันหลุดจากนิ้วของฉันเป็นอันขาด สวมมันให้ฉันสิ ชานยอล”



    ปลายนิ้วเรียวสั่นไหว แต่ก็พยายามสวมแหวนทองคำขาววงนั้นลงบนนิ้วนางของใครอีกคน เค้าซุกตัวเข้าหาอกแกร่ง



    “ผมไม่ต้องการงานแต่งงาน ผมไม่ต้องการพิธีการ แค่ที่คุณคริสทำให้ผมตอนนี้ผมก็ขอบคุณมากแล้วครับ” เสียงสะอึกสะอื้นทำให้เอาหนุ่มใหญ่น้ำตาซึมตามคนในอ้อมกอด



    “จำไว้นะปาร์ค ชานยอล ฉันจะดูแลนาย และรักนายให้มากกว่าที่ฉันรักชีวิตของฉัน แค่นายอยู่อย่างมีความสุข เท่านั้นฉันก็พอใจแล้ว”



    วงแขนแกร่งกอดกระชับร่างบางในอก ก่อนกดจูบลงบนหน้าผากมนอีกครั้งเพื่อเป็นการยืนยันในคำสัญญาที่เค้าให้ไว้ แต่ภาพดังกล่าวกลับวูบหายไปเหลือเพียงรอยเลือด และคนในอ้อมกอดที่ไร้ซึ่งลมหายใจ แต่มือนั้นยังคงกอบกุมมือใครอีกคนอยู่แน่นจนแทบแกะไม่ออก   น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม และเสียงร้องโวยวายเหมือคนเสียสติ ดังขึ้นต่อเนื่องเป็นระยะ 



    “ไม่ จะทิ้งกันไปแบบนี้ไม่ได้นะ ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้ บอกให้ตื่น ตื่นสิ”




    ก๊อก ก๊อก ก๊อก



    “คุณชานยอล   คุณชานยอล  คุณชานยอลครับ” เสี่ยวลู่ ลูกน้องคนสนิทเคาะประตูเรียกจากด้านนอก 



    ร่างโปร่งที่ลืมตาโพรงขึ้นมา ต้องปิดตาลงอีกครั้งเมื่อพบกับแสงสว่างยามเช้าโดยที่เค้ายังไม่ทันได้ตั้งตัว แผงอกยังคงกระเพื่อมไม่หยุดเฉกเช่นกับหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ และลมหายใจที่เจ้าตัวยังไม่สามารถบังคับได้ 



    “คุณชานยอลครับ  ผมขอเข้าไปนะครับ”  เสี่ยวลู่ถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้าไป พบร่างโปร่งนั่งหลับตาอยู่บนเตียงนอน บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อชุ่ม ผ้าปูที่นอนหลุดลุ่ยอย่างไร้ระเบียบ เสี่ยวลู่ใช้มือบางวางลงบนไหล่ของคนบนที่นอน


    “คุณชานยอลครับ อาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวเราจะแวะไปหาคุณคริสไม่ทันก่อนเข้าไปคุยงานกับหุ้นส่วนในบริษัทนะครับ” เสียงใสเอ่ย ชานยอลมองเสี่ยวลูก ก่อนใช้หลังมือปาดเหงื่อบนใบหน้า รวมถึงน้ำตาที่ไหลออกมาในทุกค่ำคืนอย่างลวก ๆ
     

    “ผมจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ แล้วจะรออยู่ด้านนอกนะครับ” ชานยอลพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในห้องแต่งตัว  ไม่นานนักรถยนต์คันหรูก็พุ่งทะยานออกจากโรงแรมระดับห้าดาว ก่อนมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ แทบชานเมือง ใช้เวลาไม่ถึง  30 นาทีรถยนต์คันเดิมก็มาหยุดอยู่หน้าสถานที่อันเงียบสงบ สถานที่สุดท้ายของทุกชีวิต ไม่ว่าชีวิตนั้นจะเป็นผู้ถูกเลือก หรือเจ้าตัวเป็นผู้เลือกเองก็ตาม 



    ตลอดทางเดินที่ยาวเหยียดสองข้างทางมีไม้กางเขนรูปทรงแปลกตาตั้งตระหง่านอยู่อย่างเป็นระเบียบ ไม่มีเสียงรถ ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีเสียงอึกทึกใดๆ มีเพียงเสียงของลมและเสียงใบไม้ที่สดประสานกันอย่างลงตัว ตอนนี้ในหัวของชานยอลมีเพียงภาพในฝัน และภาพของอุบัติเหตุคราวนั้นวิ่งวนอยู่เต็มไปหมด ภาพเด็กน้อยที่วิ่งตัดหน้ารถยังคงติดตา คริสเหยียบเบรกเสียงล้อรถบดกับพื้นถนนดังสนั่นหวั่นไหว แต่เมื่อเห็นว่ามีรถสวนมาอีกทาง เค้าจึงหักออกด้านข้างที่เป็นไหล่ถนน แล้วพุ่งเข้าชนต้นไม้ใหญ่โดยให้ฝั่งของคนขับกระแทกกับต้นไม้อย่างเต็มแรง เนื้อตัวชานยอลมีแค่แผลถลอก และรอยฟกช้ำเล็กน้อยเท่านั้น



    เมื่อสุดปลายทางเดินเค้ามองเห็นภาพใครบางคน ใบหน้านิ่งนั้นคือสิ่งที่เค้าโหยหามาตลอด ชานยอลวางช่อเบญจมาศสีขาวลงบนแท่นหิน ก่อนใช้มือนุ่มที่ซีดเผือดวางลงบนรูปภาพของคนรัก “Wu Yi Fan”



    “คุณคริสครับ วันนี้เป็นวันครบรองสองปี  สองปีแล้วนะที่คุณปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว” เสียงชานยอลสั่น



    “คุณรู้มั้ย ไม่ว่าจะเป็นตอนหลับ หรือตอนตื่น ในหัวผมจะมีแต่ภาพของคุณวนเวียนอยู่เสมอ ในวันที่ผมต้องการกำลังใจไม่เคยมีใครให้มันได้นอกจากคุณ  เวลาที่ผมเหงาไม่เคยมีใครทำให้ผมหายได้นอกจากคุณ และในวันที่ผมหนาวไม่เคยมีใครเลยที่ทำให้ผมอบอุ่นได้อย่างที่คุณเคยทำ …   ผมรู้สึกเจ็บจังเลยครับคุณคริส ทั้งเจ็บ ทั้งเหนื่อย และอ่อนล้า ผมจะมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตามที่รับปากคุณได้ยังไง ในเมื่อตนนี้ผมไม่มีคุณอยู่กับผมแล้ว”



    เสียงสะอื้นดังขึ้น  ภาพในวันนั้นวนกลับมาอีกครั้ง ช่อบูร์เก้ที่กระจัดกระจาย สูทสีดำแต่กลับมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามันชื้นแฉะไปด้วยน้ำข้น เหนียว สีแดงสด มือหนาของคริสยังคงกุมมือของชานยอลไว้ไม่ปล่อย  แล้วพร่ำพูดแค่ว่า 



    “นายไม่เป็นไรใช่มั้ยชานยอล นายไม่เป็นไรใช่มั้ย  รับปากกับฉันนะ นายต้องอยู่ต่อไป ไม่ว่าอนาคตข้างหน้าจะเหนื่อย หรือทุกข์แค่ไหน จงอยู่ต่อไปอย่างมีความสุข  อยู่แบบมีความสุขให้ได้เพื่อฉันนะ”



      ชานยอลปล่อยโฮออกมาเมื่อนึกถึงภาพของคนรัก เค้าไม่อยู่แม้กระทั่งจะฟังคำตอบ จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของคริส เค้าก็คงยังทำเพื่อชานยอลอย่างเช่นที่เค้าเคยทำมาตลอด  



    ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ 2 ปีแล้วที่คริสจากไป ชานยอลต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลพักใหญ่ไม่ใช่เพราะบาดแผลทางกาย แต่เพราะบาดแผลทางใจที่ทำให้ชานยอลไปรับรู้อะไรเลยนานกว่าสี่เดือน แต่เมื่อทุกอย่างคือปัจจุบัน และอนาคต เค้าจึงต้องลุกมาอีกครั้งทั้ง ๆ ที่ทุกลมหายใจเข้า - ออกนั้นจะแสนเจ็บปวดแค่ไหนก็ตาม



    “ผมรู้ว่าคุณทำตามสัญญา คุณจะรักและดูแลผมให้มากกว่าที่คุณรักตัวคุณ  ถ้าในวันนั้นผมเป็นคนจับพวงมาลัยรถผมก็คงเลือกทำอย่างที่คุณทำ  คุณไม่ต้องห่วงนะครับคุณคริส ผมจะต้องอยู่ให้ได้”



    มือเรียวสัมผัสโลหะทองคำขาวบนนิ้วนาง  บัดนี้แหวนสองวงรวมกันอยู่บนนิ้วของคน ๆ เดียวตัวแทนของคนรักที่จากไป กับอนาคตที่แม้จะต้องอยู่เพียงลำพัง กับความฝันอันแสนทรมานที่วนกลับมาหาเค้าซ้ำไปซ้ำมาทุกคืน แต่เค้าเชื่อว่าสักวันนึงเค้าจะต้องอยู่กับมันได้



    “ผมรักคุณนะครับ คุณคริส” ชานยอลกดจูบลงไปบนรูปที่ถูกผนึกอยู่บนป้ายหินอ่อนสีขาว พื้นหินที่เย็นเฉียบสัมผัสถูกริมฝีปากบาง น้ำอุ่น ๆ ไหลรดรูปคนรักอีกครั้ง



    “เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ และรอผมนะ วันนึงผมจะไปหาคุณ เมื่อวันนั้นมาถึงผมจะได้อยู่กับคุณ และเราจะไม่มีวันพรากจากกันอีก ผมสัญญา”



    นิ้วเรียวไร้ไปตามรูปของคนรักอีกครั้ง ชานยอลลุกขึ้นและใช้หลังมือปาดน้ำตาบนใบหน้าอย่างลวก ๆ 
    “แล้วพรุ่งนี้พบกันนะครับ คุณคริส ผมคิดถึงคุณนะ” เค้ายิ้มบาง ๆ ก่อนหันหลังเดินกลับไปยังเส้นทางที่เค้าเพิ่งผ่านมา มีคนเคยบอกว่า การคิดถึงวันที่มีความสุข ยิ่งทำให้ลืมความทุกข์ยากขึ้น แต่สำหรับชานยอลต่อให้ทุกข์จนอยากจะหยุดหายใจ เค้าก็พร้อมจะเดินก้าวต่อไปข้างหน้า และหวังว่าเค้าจะปรับตัวเข้าหาเพื่อนที่ชื่อว่าความเหงาได้ในสักวัน ไม่ใช่เพราะทำใจได้ แต่เค้าหวังเพียงแค่ว่าสักวัน จะได้พบกับคน ๆ นั้นที่รอเค้าอยู่  พบ เพื่อที่จะได้ไม่พรากจากกันไปไหน และอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันไปตลอดกาล …




    ~*~ THE   END ~*~






    Short Fic เรื่องนี้ไรท์เตอร์ต้องขออภัยท่านผู้อ่านเมนยอลลี่ (รวมทั้งตัวไรท์เตอร์เองด้วย T^T) ที่แต่งเรื่องนี้ออกมาคงไม่ต้องบอกว่าได้แรงบันดาลใจมากจากไหน แค่ประโยคเดียวในหนัง กลับทำให้ไรท์เตอร์เพ้อเจ้อออกมาเป็น Shrt Fic เรื่องนี้ได้ “ยิ่งนึกถึงความสุขมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งลืมความทุกข์ได้ยากเท่านั้น” เจอประโยคนี้เข้าไปไรท์เตอร์เจ็บจี๊ดเลยค่ะ 



    ตัดสินใจอยู่นานว่าจะให้ใครเจ็บ แต่จากการอ่านฟิกมาตลอดชั่วอายุไข ทุกคนมักไม่อยากให้เคะของเราเสียใจใช่ม๊า ^^’ ไรท์เตอร์ก็เลยสงสารบรรดาเมะในแคตตาล๊อก เวลาทำไม่ดีโดนด่าสามบ้านแปดบ้าน เวลาจะแต่งให้ทรมานเมะมักโดนทำร้ายก่อนตลอด ๆ ไรท์เตอร์ก็เลย แฮะ แฮะ รังแกเมนตัวเองอย่างที่ได้อ่านกันไป กระชากจากสองเรื่องแรกมากเลยใช่ป่ะคะ  แอบคิดในใจ ถ้าเอาพอร์ตตั้งแต่ต้น จนถึงตอนจบมาทำฟิกยาวจะดีไหม (แต่จะไปรอดมั้ยเนี่ย แค่ฟิกสั้นก็หืดขึ้นคอและ 55+) พักนี้ไอเดียพุ่งพร่านค่ะ เวลาเอื้ออำนวยเนื่องจากเป็นวันหยุดยาว เลยมีเวลาลงติด ๆ กัน แต่ถ้างานเข้าเมื่อไหร่อาจจะหายหัวไปบ้าง 55+ แต่เค้าจะยังไม่ทิ้งยอลลี่ไปไหนเด็ดขาด  รับรอง ^^ แล้วก็กำลังแอบแต่งฟิกยาวไว้อีกเรื่องแต่ช่วงนี้ของลงฟิกสั้นไปพราง ๆ ก่อน  เอาไว้ถ้าดูวี่แววฟิกยาวจะไปรอด แล้วจะเอามาทยอยลงให้อ่านกันนะคะ 




    PS >> ส่วน ภาคต่อของ goodnight kiss ที่รีเควสมา มีแน่นอนค่ะ แต่ขอรวบรวมสมาธิอีกสักหน่อย แล้วจะมาปล่อยให้น้ำตาลในเลือดแม่ยกขึ้นกันอีกรอบ หุหุ แล้วก็ขอบคุณทุกคอมเม้นเลยนะคะ ตามอ่านทุกคอมเม้นท์เลย หลาย ๆ ครั้งที่พิมพ์ผิดบ้าง  ก็ได้ในคอมเม้นท์นี่แหล่ะค่ะช่วยเตือนสติให้รู้ตัว ขอบคุณมากคร้าบบบบบบบบ >3<


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×