จังหวัดกาญจนบุรี
ที่มา : http://kanchanaburitip.blogspot.com
จังหวัดกาญจนบุรีตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทยมีพื้นที่กว้างขวางถึง 19,468 ตารางกิโลเมตร หรือ ประมาณ 12,178,750 ไร่ จังหวัดกาญจนบุรีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯไปตามถนนเพชรเกษมหรือถนนบรมราชชนนี ผ่านนครชัยศรี นครปฐม บ้านโป่ง ท่ามะกา ท่าม่วง ถึงจังหวัดกาญจนบุรี ระยะทาง 130 กิโลเมตร และทางรถไฟ 1333 กิโลเมตร
พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดกาญจนบุรีเป็นภูเขาโดยพื้นที่ทางเหนือและตะวันตกของจังหวัดเป็นเทือกเขาและค่อย ๆ ลาดลงมาทางทิศตะวันออกและด้านใต้เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำแม่กลองต่อเนื่องกับบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างในเขตจังหวัดสุพรรณบุรี นครปฐมและราชบุรี มีแม่น้ำสายสำคัญอยู่ 4 สาย คือ แม่น้ำแควน้อย ( ไทรโยค ) แม่น้ำแควใหญ่ (ศรีสวัสดิ์ ) แม่น้ำแม่กลอง ลำตะเพิน
ลักษณะภูมิอากาศของจังหวัดกาญจนบุรีคล้ายคลึงกับบริเวณภาคกลางของประเทศไทยกล่าวคือมีสภาพอากาศแบบทุ่งหญ้าเมืองร้อน ( Swannah climate ) มีช่วงชุ่มชื้นหรือช่วงที่เป็นฤดูฝน ประมาณ 4-6 เดือน ระยะเวลาอีกประมาณ 6 เดือน เป็นช่วงฝนแล้ง ฤดูกาลของจังหวัดกาญจนบุรี แบ่งออก เป็น 3 ฤดูกาล คือ ฤดูฝน ฤดูหนาว และฤดูร้อน ป่าไม้ในเขตจังหวัดกาญจนบุรี เป็นป่าไม้ประเภทป่าผลัดใบหรือ ป่าเบญจพรรณโดยมีไม้ที่สำคัญ เช่น ไม้แดง ไม้ตะเคียน ไม้มะค่า ไม้รัง ไม้ประดู่ ส่วนป่าดิบเขาหรือป่าดิบชื้นนั้นมีบริเวณที่เป็นภูเขาสูงกว่า 1,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลจัดเป็นป่าดงดิบเขาหรือชนิดป่าสนเขาเป็นป่าสนที่ขึ้นอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 7000 เมตรขึ้นไป ได้แก่ สนสองใบซึ่งแยกเป็นป่าสงวนแห่งชาติ 15 แห่ง อุทานแห่งชาติ 5 แห่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ 2 แห่ง สัตว์ป่าที่มีความสำคัญในป่าจังหวัดกาญจนบุรีได้แก่ ช้าง เสือ ค่าง ชะนี อีเห็น ไก่ฟ้า กระทิง หมี กวาง เก้ง นกเป็ดน้ำ เต่า 6 ขา กบเขา เป็นต้น
กาญจนบุรีเป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย มีแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด ได้แก่ ดีบุก วุลแฟรม ตะกั่ว ฟอสเฟต พลวง ฟลูอออไรต์ แบไรต์ เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นยังมีแน่รัตนชาติล้ำค่าหลายชนิด เช่น โดโลไมต์ หินปูน ดินขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลอยสีน้ำเงินหรือบลูเซฟไฟร์ หรือพลอยไพลินที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีไปทั่วโลก
ประชากรในจังหวัดกาญจนบุรีประกอบด้วยหลายกลุ่มเชื้อชาติ คือ นอกจากกลุ่มคนไทยซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของจังหวัดกาญจนบุรีตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่ทุกอำเภอแล้ว ยังมีประชากรกลุ่มอื่น ๆ อีกได้แก่ กลุ่มจีน กลุ่มเชื้อสายกระเหรี่ยง กลุ่มเชื้อสายมอญ กลุ่มเชื้อสายลาว จึงก่อให้เกิดความหลากหลายขนบธรรมเนียม ประเพณี และการละเล่นพื้นบ้าน
ประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดกาญจนบุรีประกอบอาชีพเกษตรกรรมพืชที่มีการเพาะปลูกมาก ได้แก่ อ้อย มันสำปะหลังและข้าว ส่วนการประกอบการอุตสาหกรรมก็มีหลายชนิด เช่น โรงงานน้ำตาลเหมืองแร่ชนิดต่างต่าง ๆ โรงงานผลิตเยื่อกระดาษ และโรงงานบรรจุอาหารกระป๋อง นอกจากนี้ยังมีการประกอบอาชีพในอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว โรงแรมและรีสอร์ทที่พัก
แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี
ที่มา : http://kanchanaburitip.blogspot.com
เนื่องจากอยู่ห่างจากกรุงเทพฯเพียง 130 กิโลเมตร มีเส้นทางคมนาคมสะดวก ทั้งทางรถยนต์และทางรถไฟ รวมทั้งเป็นที่ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวหลากหลาย ทั้งทางด้านธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลปะและวัฒนธรรม จังหวัดกาญจนบุรีจึงได้รับการพัฒนาและยกระดับให้เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของภาคตะวันตก เพราะมีความสมบูรณ์ทางธรรมชาติอยู่มากมายหลายรูปแบบ แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญของจังหวัดกาญจนบุรีมีทั้ง ความงดงามของป่าเขา น้ำตก ถ้ำ แม่น้ำลำคลอง ตลอดจนความงดงามของทัศนียภาพ จึงมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย อาทิเช่น น้ำตกเอราวัณ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น น้ำตกไทรโยค ( เขาพัง ) น้ำตกไทรโยคและอุทยานแห่งชาติไทรโยค น้ำตกผาตาด น้ำตกเกริงกระเวีย ถ้ำละว้า ถ้ำดาวดึงส์ ถ้ำพระธาตุ ถ้ำธารลอด อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ ถ้ำฤาษี ถ้ำลับแล ถ้ำเนรมิต บ่อน้ำพุร้อนหินดาด เขื่อนเขาแหลม และเขื่อนศรีนครินทร์
ในด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ความสมบูรณ์ของแหล่งอารยธรรมด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ปรากฏหลักฐานต่อเนื่องกันมาหลายยุดหลายสมัยตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นต้นมาจนถึงเหตุการณ์สำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่สำคัญ ได้แก่ ถ้ำตาด้วง ถ้ำผาแดง ถ้ำรูเขาเขียว ถ้ำเทวฤทธิ์ ถ้ำขุนแผน ถ้ำแพะเขาพัง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเก่า พงตึก อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ ด่านเจดีย์สามองค์ ทางรถไฟสายมรณะ สะพานข้ามแม่น้ำแคว สุสานกาญจนบุรี ( ดอกรัก ) สุสานเขาช่องไก่ และพิพิธภัณฑ์สงครามวัดไชยชุมพลชนะสงคราม ( วัดใต้ )
เมืองสิงห์
เมืองสิงห์ตั้งอยู่ในเขตตำบลสิงห์บุรี อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี สามารถเดินทางไปทางรถไฟ จากกรุงเทพมหานครประมาณ 175 กิโลเมตร หรือโดยทางรถไฟจากสถานีบางกอกน้อยกรุงเทพมหานคร
เมืองสิงห์อยู่บนที่ราบริมแม่น้ำแควน้อย บริเวณเมืองสิงห์ยังเป็นพื้นที่ที่เทือกเขาล้อมรอบ ทำให้พื้นที่ลาดเทลงมาทางลำน้ำแควน้อย ดังนั้นดินในบริเวณนี้จึงมีความอุดมสมบูรณ์มากเหมาะต่อการทำเกาตรกรรม
จากความสมบูรณ์ของพื้นที่ทำให้เมืองสิงห์มีพัฒนาการทางวัฒนธรรมมาเป็นเวลานานดังปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีมากมายหลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่พบในบริเวณเมืองสิงห์นั้นได้จากการขุดค้นบริเวณริมแม่น้ำแควน้อยนอกกำแพงเมืองสิงห์ด้านทิศใต้เป็นหลุมฝังศพมนุษย์และเครื่องมือเครื่องใช้ฝังอยู่ร่วมกับศพคล้ายคลึงกับที่พบที่บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งกำหนดอายุอยู่ในตอนปลายยุคโลหะสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มีอายุประมาณ 2,000 ปี มาแล้วในสมัยต่อมาเป็นช่วงเวลาที่มีการสร้างเมือง คือ เมืองสิงห์ ปรากฏหลักฐานเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ตัวเมืองรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดพื้นที่ประมาณ 1 กิโลเมตร มีคูเมือง คันดินและกำแพงเมือง ศิลาแลงล้อมรอบ ที่กลางเมืองมีโบราณสถาน ทรงปราสาทสร้างขึ้นตามลักษณะศิลปะขอมแบบบายน
นอกจากตัวเมืองโบราณ และโบราณสถานแล้ว ทรงปราสาทสร้างขึ้นตามลักษณะศิลปะขอมแบบบายน ซึ่งจากลักษณะทางศิลปะกรรรมสามารถกำหนดอายุได้ว่าเมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์ น่าจะสร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 18 หรือตรงกับรัชสมัย พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ของประเทศกัมพูชา ตามที่ปรากฏศิลาจารึกหลักหนึ่ง ที่ปราสาทพระขรรค์ซึ่งจัดทำขึ้นโดยเจ้าชายวีรกุมารพระราชโอรสองค์หนึ่ง ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีข้อความสรรเสริญความกล้าหาญ และการบุญกุศลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และมีตอนหนึ่งซึ่งกล่าวถึงชื่อเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะได้ระบุชื่อเมือง 6 เมืองซึ่งสันนาฐานว่าเป็นเมืองในภาคกลางของประเทศไทย ได้แก่ ลโวทยะปุระ สุวรรณปุระ ศัมพูกะปัฏฏนะ ชัยราชบุรี ศรีชัยสิงหบุรี และศรีชัยวัชรบุรีซึ่งเข้าใจกันว่าเมืองศรีวิชัยสิงหบุรี ก็คือเมืองสิงห์ที่สร้างปราสาทเมืองสิงห์ ในจังหวัดกาญจนบุรี
นอกจากแนวความคิดที่เชื่อว่า ปราสาทเมืองสิงห์สร้างขึ้นในศิลปกรรมในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ตามเหตุผลดังกล่าวแล้วยังมีแนวคิดอีกแนวหนึ่งซึ่งว่าเมืองสิงห์ และปราสาทเมืองสิงห์น่าจะเป็นการก่อสร้างที่เลียนแบบขอมสมัยหลังรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และไม่น่าจะเกี่ยวข้องอันใดกับชื่อเมืองศรีวิชัยหปุระ ในจารึก เนื่องจากเห็นว่าลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ขาดความสมดุล และความลงตัวและเกิดความคาดเคลื่อนในการวางตำแหลางอาคารตลอดจนจารึกที่ฐานหินทรายรองรับประติมากรรมเป็นตัวอักษรและภาษาขอมสมัยหลังเมืองพระนคร หรือหลังจากรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 รวมทั้งชื่อเมืองสิงห์ไม่ปรากฏในหลักฐานประวัติศาสตร์ใดก่อนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ( รัชกาลที่ 1 ) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จึงทำให้เกิดข้อคิดเห็นว่าเมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์น่าจะเป็นการก่อสร้างที่เลียนแบบปราสาทขอมสมัยรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และไม่น่าจะเกี่ยวข้องอันใดกับชี่อเมืองศรีชัยสิงหบุรีในศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์
เรื่องราวของเมืองสิงห์ยังปรากฏเป็นตำนานจากคำบอกเล่าของชาวพื้นเมืองที่เกี่ยวกับเมืองสิงห์ และปราสาทเมืองสิงห์จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอาจเป็นความพยายามอธิบายเมืองโบราณแห่งนี้โดยยกเป็นตำแหน่งเรื่องเล่าเกี่ยวกับท้าวอู่ทอง ซึ่งหนีภัยจากท้าวเวชสุวรรณโณไปเที่ยวสร้างเมืองหลบซ่อนตามที่ต่าง ๆ แถบนั้นโดยชื่อเมืองจะอธิบายโบราณสถานแห่งนั้นตามแนวคิดของตนกับสิ่งที่พบเห็น ตามโบราณสถานนั้น ๆ เช่น ชื่อเมืองกลอนโด่ ก็เพราะสภาพโบราณสถานเหลือเพียงซากซึ่งผู้เล่าเห็นว่าเป็นกลอนประตูทิ้งอยู่ เมืองครุฑและเมืองสิงห์ก็น่าจะเป็นประสบการณ์ของผู้เล่าที่พบรูปครุฑ และรูปสิงห์ถูกทิ้งร้างอยู่ที่โบราณสถานแห่งนั้น
ลักษณะของเมืองสิงห์เป็นเมืองมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสตั้งอยู่บนที่ราบริมฝั่งแม่น้ำแควน้อย มีเนื้อที่ประมาณ 641 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวากำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง ขนาดกว้างประมาณ 880 เมตร ส่วนแนวด้านทิศแนวด้านทิศเหนือ ใต้ ยาวจนจรดแม่น้ำ 1,400 เมตร ตัว กำแพงสูง 7 เมตร มีประตูทางเข้า ออก ทั้ง 4 ด้าน กำแพงด้านในถมดินลาด ด้านทิศตะวันออก ทิศเหนือ และกำแพงเมืองคดโค้งไปตามลำน้ำแควน้อยโดยใช้ลำแม่น้ำเป็นคูเมืองจึงมีผลทำให้ลักษณะของกำแพงเมืองด้านนี้มีรูปร่างเป็นไปตามแนวแม่น้ำด้วยตัวเมืองมีสระน้ำ 6 สระ และสิ่งก่อสร้างเนื่องจากในศาสนาอีก 4 แห่ง
ปราสาทเมืองสิงห์
ภายในบริเวณกำแพงเมืองสิงห์ มีสิงก่อสร้างโบราณเนื่องในทางศาสนาอยู่ 4 ตำแหน่ง ประกอบด้วย
โบราณสถานหมายเลข 1 คือ ปราสาทหลังใหญ่ตรงกับประตูเมืองสิงห์ด้านทิศ
ตะวันออก
โบราณสถานหมายเลข 2 คือ ปราสาทหลังที่อยู่ทางทิศติดกำแพงแก้วของปราสาท
ของปราสาทหลังใหญ่
โบราณสถานหมายเลข 3 คือ อาคารขนาดเล็กที่ก่อกำแพงด้วยอิฐและศิลาแลง อยู่
นอกกำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทหลังใหญ่ห่างออกไป 150 เมตร
โบราณสถานหมายเลข 4 คือ ฐานโบราณสถานที่มีลักษณะเป็นห้อง ๆ อยู่ห่างจาก
กำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทหลังใหญ่ไปประมาณ 286.50 เมตร
โบราณสถานหมายเลข 1
ที่มา : http://www.trekkingthai.com
เป็นกลุ่มอาคารส่วนใหญ่ยึดแนวแกนทิศตะวันออก ตะวันตกเป็นหลักโดยเมื่อผ่านประตูเมืองด้านทิศตะวันออกเข้าไป 227 เมตร ถึงจะถึงชานศิลาแลงรูปกากบาทตัวชานทำเป็นฐานเขียงลดชั้นขึ้นมาเป็นเส้นลวดและฐานบัวคว่ำมีหน้ากระดานเป็นลูกฟักส่วนบนทำเป็นกระดานเรียบ ปลายด้านทิศตะวันตกต่อกับประตูทางเข้าซุ้มกำแพงแก้ว ปลายด้านทิศตะวันออก เหนือและใต้ทำเป็นบันไดทางขึ้น ที่ขอบชานโดยรอบสกัดเป็นร่องตื้น ๆ กว้างประมาณ 1 ฟุต ยาวขนานไปกับขอบชานคล้ายว่าจะทำเป็นระเบียงขอบชานหรือเมื่อเปรียบเทียบกับโบราณสถานขอมที่อื่น ๆ แล้วก็คือราวสะพานนาคแต่ที่ไม่ปรากฏราวสะพานนาคหรือระเบียงอาจเป็นเพราะสร้างไม่เสร็จ หรือชำรุดสูญหายไปหมดแล้ว
ถัดจากสะพานนาคเป็นกำแพงแก้ว ซึ่งเป็นกำแพงล้อมรอบรอบปราสาทขนาดกว้างประมาณ 81.20 เมตร ความยาวโดยรอบ 97.60 เมตร กำแพงส่วนใหญ่พังเกือบหมดแล้วแต่ยังคงเหลือแนวกำแพงที่สมบูรณ์อยู่เป็นบางตอนที่ตรงกลางของกำแพงด้านตะวันออกและตะวันตกเป็นช่องประตุทางเข้าด้านหน้าและด้านหลัง
ผ่านกำแพงเข้าไปจะเป็นลานศิลาแลงสี่เหลี่ยมกว้าง 23.6. เมตร และยาว 25.60 เมตร เป็นลานทางเดินประกอบด้วยแนวทางเดิน 3 แนว ซึ่งเชื่อมต่อกันและตัดกันเป็นรูปกากบาท แนวทางเดินดังกล่าวยกสูงจากระดับพื้นเล็กน้อย จึงทำให้เกดเป็นแอ่งตื้น ๆ รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสคั่นอยู่ระหว่างแนวทางเดิน เป็นจำนวน 4 แอ่ง ขนาดกว้าง 1.60 เมตร ยาว 2.00 เมตร ลึก 15 เซนติเมตร รอบ ๆ แอ่งมีหลุมสี่เหลี่ยมประมาณ 34 35 หลุม เรียงกันเป็นระยะสันนิษฐานว่าคงจะเป็นหลุมเสารองรับหลังคาคลุมทางเดินกากบาทลานทางเดินนี้เชื่อมระหว่างบันไดทางเดินโคปุระด้านทิศตะวันออกกับประตูกำแพงแก้ว
ถัดจากลานหน้าปราสาทมีบันไดขึ้นสู่ปราสาท ซึ่งมีลักษณะเป็นปราสาทหลังเดียวหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ล้อมรอบด้วยระเบียงคดขนาดด้านตะวันออกและตะวันตก ยาวประมาณ 36.40 เมตร ส่วนด้านทิศเหนือและทิศใต้ยาว 42.50 เมตร และตรงกลางของระเบียงคดแต่ละด้านมีซุ้มประตูหรือโคปุระซึ่งลักษณะระเบียงคดโคปุระด้านหน้าเหลือส่วนยอดด้านหน้าเพียงด้านเดียว โคปุระด้านเหนือและทิศใต้พังทลายจนเหลือแต่ฐาน โคปุระที่สมบูรณ์ที่สุดคือโคปุระด้านหลังหรือด้านทิศตะวันตก ลักษณะของปุระมีองค์เรือนธาตุเป็นฐานบัวคว่ำ ตั้งอยู่ฐานเขียง มีเส้นลวดสามเส้นรัดโดยรอบ ส่วนบนของโคปุระทำเป็นชั้นรัดเกล้าซ้อนกัน 3 ชั้น ต่อจากชั้นรัดเกล้าทำเป็นลักษณะโค้งมนคล้ายบัวคว่ำแล้วต่อยอดสุดด้วยอัมลกะหรือหมวกแขก ลักษณะเป็นแฉก ๆ คล้ายกลีบดอกไม้
จากโคปุระด้านทิศตะวันออกจะเป็นทางผ่านเข้าสู่มุขด้านหน้าของประสาทปรานซึ่งเป็นลานปูด้วยศิลาแลงเชื่อมต่อระหว่างปราสาทประธานซึ่งเป็นลานปูด้วยศิลาแลงเชื่อมต่อระหว่างปราสาทประธานกับโคปุระ ( ซุ้มประตู ) ด้านทิศตะวันออกที่มุมตะวันออกเฉียงใต้ของลานนี้ เป็นอาคารรูสี่เหลี่ยมผืนผ้าหรือ ที่เรียกว่า บรรณาลัย ขนาดกว้าง 2.50 เมตร ยาว 5.50 เมตร ฐานเป็นฐานบัวคว่ำมีช่องประคูทางเข้าด้านทิศตะวันตกเพียงด้านเดียว ผนังด้านทิศตะวันออกทำเป็นประตูหลอกที่ผนังด้านทิศเหนือและใต้ ทำเป็นช่องแสงเล็ก ๆ ด้านละ 4 ช่อง ส่วนบนของอาคารพังทลายไปหมด
กึ่งกลางของกลุ่มอาคารนี้เป็นปราสาทประธาน ลักษณะเป็นปราสาทองค์เดียว ตั้งอยู่บนฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้ 20 ขนาด กว้าง 13.20 เมตร มีมุขยื่นออกไปรับกับมุขด้านในของโคปุระทั้ง 4 ทิศ มุขด้านทิศตะวันออกมีขนาดยาวกว่าด้านอื่น ๆ ตัวปราสาทตั้งอยู่บนฐานบัทม์หรือบัวคว่ำและบัวหงายซ้อนกันอยู่ 3 ชั้น เรือนธาตุเป็นฐานคว่ำ บริเวณส่วนบนขององค์ปราสาทพังทลายหมดมีบันไดทางเข้าที่มุขด้านทิศตะวันออก ด้านทิศเหนือและใต้
จากภายในองค์ปราสาทด้านทิศเหนือมีรางน้ำมนต์รองรับน้ำสรงรูปเคารพหรือน้ำมนต์ให้ไหลออกด้านนอก และมีแอ่งรับน้ำปรากฏอยู่ที่บริเวณฐานด้านนอกของมุขทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของปราสาทปราน นอกจากนี้ที่ผนังด้านนอกของมุขทางด้านตะวันตกยังมีร่องรอยการถากศิลาแลงอาจทำเป็นหน้าต่างหลอก และที่ด้านหน้าองค์ปราสาทมีฐานประติมากรรม 2 ชิ้นทำด้วยหินทรายตั้งอยู่ด้านหลังของปราสาทประธานเป็นโคปุระและระเบียงคดด้านทิศตะวันตกกำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกและชานด้านหน้าโดยมีปลายด้านหนึ่งเชื่อมกับซุ้มประตูกำแพงแก้วเช่นเดียวกัน
โบราณสถานหมายเลข 2
ที่มา : http://www.trekkingthai.com
เป็นกลุ่มอาคารเช่นเดียวกับโบราณสถานหมายเลข 1 ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบนอกกำแพงแก้วใกล้มุมกำแพงแก้วใกล้มุมกำแพงด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของโบราณสถานหมายเลข 1 กลุ่มอาคารทั้งหมดตั้งอยู่บนฐานเดียวกันเป็นฐานเขียงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซ้อนกัน 2 ชั้น ฐานชั้นล่างกว้าง 33.90 เมตร ยาว 54.20 เมตร สูง 0.80 เมตร ตรงกลางใช้ดินลูกรังหรือศิลาแลงเม็ดเล็ก ๆ อัดแน่น ก่อสร้างศิลาแลงแล้วประดับด้วยลายปูนปั้น
ถัดไปเป็นฐานชั้นบนกว้าง 23.70 เมตร ยาว 44.80 เมตร มีทางขึ้นอยู่ทางด้านทิศตะวันออกบนฐานชั้นนี้เป็นลานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 6.50 เมตร ยาว 10 เมตร
ถัดจากลานไปเป็นระเบียงคดและโคปุระด้านหน้าหรือด้านทิศตะวันออกมีทางขึ้น 4 ทิศ ถัดจากโคปุระด้านหน้าออกไป 7 เมตร เป็นกลุ่มอาคาร 6 หลังตั้งรวมกันเป็นกลุ่มห่างจากโคปุระด้านหน้าค่อนข้างมากประกอบด้วยปราสาทประธานอยู่ตรงกลาง ด้านข้างโคปุระ ด้านทิศเหนือและด้านทิศใต้ ด้านหลังเป็นโคปุระด้านทิศตะวันตก ซุ้มทิศมุมตะวันตกแยงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ ตั้งเรียงอยู่บนฐานเดียวกันมีระเบียงคดและทางเดินเชื่อมต่อกัน
จากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข 2 นี้ได้พบแท่นฐานประติมากรรมหินทรายเป็นจำนวนมากตั้งอยู่ในโคปุระและตามแนวระเบียงคด และที่ซุ้มทิศนอกจากนี้ยังพบประติมากรรมหินทรายรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระพุทธรูป นาคปรก นางปรัชญาปารมิตา พระพิมพ์ดินเผาจำนวนมาก
ลักษณะตัวอาคารของโบราณสถานหมายเลข 2 มีลักษณะไม่สมดุลกันไม่ว่าจะเป็นฐานของโคปุระด้านทิศตะวันออกซึ่งแต่ละด้านย่อมุมไม่เหมือนกันหรือฐานของแนวระเบียงด้านทิศใต้ไม่อยู่ในลักษณะของเส้นตรงเหมือนฐานของแนวระเบียงคดด้านทิศเหนือ หรือที่โคปุระด้านทิศเหนือที่มีทางขึ้นด้านข้างแต่กลับไม่พบโคปุระด้านทิศใต้สิ่งเหล่านี้อาจจะแสดงให้เห็นว่าโบราณสถานหมายเลข 2 นี้อาจจะยังสร้างไม่เสร็จหรือมีการสร้างเพิ่มเติมจนทำให้มีอาคารลักษณะดังกล่าว
โบราณสถานหมายเลข 3
ตั้งอยู่นอกกำแพงแก้วด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของโบราณสถานหมายเลข 1 ห่างออกไป 150 เมตร อาคารหลังนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบโล่งลักษณะเป็นแนวฐานของโบราณสถานขนาดเล็กภายในเป็นห้องก่อด้วยอิฐและศิลาแลง ถัดขึ้นมาเป็นฐานปัทม์ 1 ชั้น ชั้นบนก่อด้วยอิฐซึ่งลักษณะการก่อสร้างเช่นนี้อาจจะเป็นการก่อสร้างทับซ้อนกันได้ที่มุมด้านนอกอาคารทุกมุมมีแผ่นหินปักไว้คล้ายกับจะเป็นเสมาและจากการขุดแต่งโบราณสถานหมายเลข 3 นี้ ได้พบพระพิมพ์โลหะที่เป็นพระพิมพ์เนื้อชินตะกั่วจำนวนมาก อาคาราหลังนี้มีผู้เสนอแนวคิดว่าน่าจะสร้างมาก่ออการสร้างประสาท
โบราณสถานหมายเลข 4
อยู่ห่างจากกำแพงด้านทิศตะวันตกของโบราณสถานหมายเลข 1 ไปประมาณ 236.50 เมตร เป็นฐานอาคารคล้ายห้องแถว 4 ห้อง ก่อด้วยศิลาแลงเป็นพื้นชั้นเดียวรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียงกันแต่ละห้องกว้าง 3.90 เมตร ยาว 6.65 เมตร ระยะเรียงห่างกัน 0.50 เมตร พื้นบางส่วนปูด้วยศิลาแลงได้พบกรวดแม่น้ำและทรายอัดแน่นลักษณะดังกล่าว สันนิษฐานว่าเป็นฐานรากของอาคารทางด้านทิศเหนือของอาคารพบแท่นฐานประติมากรรมหินทรายตั้งอยู่
โบราณวัตถุที่ใช้ประกอบสถาปัตยกรรม
จากการขุดแต่งโบราณสถานได้พบส่วนประกอบสถาปัตยกรรมเป็นจำนวนมากมีทั้งเป็นปูนปั้นดินเผา หินและศิลาแลง
ที่มา : http://www.touronthai.com
ลายปูนปั้น มีลายปูนปั้นรูปปั้นรูปบุคคล ผู้ชาย ผู้หญิง เทวดาและยักษ์บางครั้งพบสวมเครื่องประดับศีรษะ หรือกระบังหน้า แต่ส่วนใหญ่ไม่ปรากฏเครื่องประดับศีรษะหรือกระบังหน้านอกจากนี้ยังมีปูนปั้นรูปสัตว์ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ที่เกี่ยวเนื่องในศาสนาหรือคติ ความเชื่อต่าง ๆ เช่น ช้าง ลิง และนาค ลายพันธุ์พฤกษาซึ่งใช้ประดับอยู่ตามชั้นต่าง ๆ ตลอดไปจนถึงส่วนบนที่มีลักษณะเป็นยอดปราสาท
เครื่องปั้นดินเผาประกอบสถาปัตยกรรม ส่วนใหญ่เป็นกระเบื้องมุงหลังคาที่เรียกว่า กระเบื้องกาบู กระเบื้องตัวผู้มีลักษณะเป็นทรงกระบอกผ่าซีกคล้ายกาบกล้วย ปลายด้านหนึ่งบานออกเล็กน้อยภายในมีขาเกาะยื่นออกมาจากด้านในเล็กน้อยเวลามุงหลังคาปูคว่ำลง กระเบื้องตัวเมียมีลักษณะเป็นกระเบื้องโค้งค่อนข้างแบนกว่ากระเบื้องตัวผู้ส่วนขาเกาะยื่นออกมาเล็กน้อยตรงส่วนกลางด้านนอกของกระเบื้องเวลามุงปูให้หงายขึ้นและกระเบื้องเชิงชายที่ใช้ปิดที่ปลายกระเบื้องตัวผู้มีลักษณะเช่นเดียวกับกระเบื้องตัวผู้โดยมีปลายด้านหนึ่งปิดทำเป็นรูปสามเหลี่ยม ปลายแหลมคล้ายกลีบดอกไม้หรือกลีบกระจังนอกจากกระเบื้องมุงหลังคาแล้วยังพบบราลีดินเผาใช้ประดับสันหลังคาลักษณะเป็นทรงคล้ายดอกบัวตูมส่วนล่างผายออกเป็นฐานส่วนปลายเว้าเข้ารับกับส่วนหลังคา องค์ประกอบสถาปัตยกรรมที่ปราสาทเมืองสิงห์ส่วนใหญ่สร้างด้วยศิลาแลง และปูนปั้น ส่วนหินทราย ใช้เฉพาะส่วนสำคัญของโบราณสถาน เช่น ส่วนยอดปรางค์ แผ่นศิลาฤกษ์และรางน้ำมนต์อาจเนื่องจากในบริเวณนี้หาแหล่งหินทรายได้ยากซึ่งก็เป็นเหตุผลหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมดเพราะพบว่าแม้แต่ในที่มีหินทรายสมัยนี้ก็ใช้ศิลาแลง
จากหลักฐานทางโบราณคดีที่พบจากการขุดแต่งโบราณสถานปราสาทเมืองสิงห์ทั้ง 4 แห่ง พบโบราณวัตถุที่เป็นประติมากรรมในศาสนาพุทธนิกายมหายานมากมาย ส่วนใหญ่เป็นรูปพระพุทธรูปนาคปรก
ที่มา : http://travel.kapook.com
รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และรูปนางปรัชญาปารมิตาหรือนางปัญญาบารมี ซึ่งทั้ง 3 องค์นี้ถือว่าเป็นประติมากรรมสูงสุดของพุทธศาสนานิกายมหายาน หรือที่เรียกกันว่า รัตนตรัยมหายานพระพุทธรูปนาคปรกส่วนใหญ่มีสภาพชำรุด เหลือเพียงส่วนฐานบ้างลักษณะท้องถิ่นเข้ามาปะปนแต่ก็ถือได้ว่าเป็นศิลปขอมแบบบายนในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ลักษณะของพระพุทธรูปสมัยนี้มีพระพักตร์อมยิ้มแสดงความเมตตากรุณาพระเนตรปิดสนิท
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่พบที่ปราสาทเมืองสิงห์ พบเป็นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 4 กร รวมทั้งสิ้น 14 องค์ โดยพบที่โบราณสถานหมายเลข 1 จำนวน 6 องค์ โบราณสถานหมายเลข 2 จำนวน 6 องค์ และบริเวณนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตก จำนวน 1 องค์ มีลักษณะเป็นศิลปะขอมแบบบายนคือพระพักตร์ค่อนข้างสี่เหลี่ยมพระเนตรปิสนิท พระโอษฐ์อมยิ้ม พระเกตุมาลาเป็นรูปทรงกระบอกปลายตัดพระเกศาสลักเป็นรูปจันทร์เสี้ยวเล็ก ๆ เรียงซ้อนกันขึ้นไปเป็นแนวตรงมีพระธยานิพุทธอมิตาภะ ( ปางสมาธิ ) อยู่หน้ามวยพระเกศาหรือพระเกตุมาลา นุ่งผ้าโจงกระเบนสั้น มีชายผ้าเป็นริ้วรูปหางปลาคาดเข็มขัดที่มีหัวเข็มขัดที่มัหัวเข็มขัดทั้งด้านหน้าและด้านหลังขอบล่างของผ้านุ่งมีลวดลายประดับเป็นแนว
นอกจากรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรดังกล่าวมาแล้วข้างต้นยังมีพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีลักษณะเป็นรูปบุรุษประทับยืนมีเศียรเดียว 8 กร พระพักตร์รูปสี่เหลี่ยมพระเนตรปิด พระขนงหนามีพระเนตรที่สามกลางพระนาฏ พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์อมยิ้ม พระเกตุมาลาเป็นรูปทรงกระบอกปลาย ตัดด้านหน้าสลักเป็นรูปพระธยานิพุทธอมิตาภะ พระเกศา พระเกตุมาลา พระพาหา พระวรกายท่อนบนด้านหน้าและพระวรกายด้านหลังครึ่งหนึ่งสลักเป็นรูปบุคคลนั่งขัดสม่ธิขนาดเล็ก ประดับอยู่เต็มกลางพระอุระและรอบบั้นพระองค์มีรูปบุคคลขนาดเล็กนั่งขัดสมาธิอยู่รอบข้อพระบาทและโคนนิ้วพระบาททั้งสิบด้วย
นอกจากนี้ยังมีประติมากรรมรูปนางปรัชญาปารมิตาหรือนางปัญญาบารมีเทพีในศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งมีที่มาจากคัมภีร์สำคัญของพระพุทธศาสนา คือคัมภีร์ปรัชญาปารมิตา รูปนางปรัชญาปารมิตาที่พบที่ปราสาทเมืองสิงห์มี 4 องค์ แต่สมบูรณ์เพียง 2 องค์ เป็นแบบหนึ่งเศียร 2 กร มีพระธยานิพุทธนิพุทธอมิตาภะอยู่หน้าพระเกตุมาลา องค์ที่มีพระหัตถ์สมบูรณ์นั้น พระหัตถ์ขวาถือดอกบัว พระหัตถ์ซ้ายถือคัมภีร์ ปรัชญาปารมิตาสูตร(ต่างจากที่พบที่กัมพูชาที่ถือดอกบัวที่พระหัตถ์ซ้าย ส่วนพระหัตถ์ขวาถือคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาหรือคัมภีร์ปัญญาบารมี) จากลักษณะพระพักตร์ คือมีพระเนตรปิด พระโอษฐ์อมยิ้ม และผ้านุ่งทิ้งชายลงมาตรงๆ เป็นผ้าลายมีชายรูปสามเหลี่ยมห้อยอยู่ข้างหน้านั้นแสดงให้เห็นถึงลักษณะของศิลปขอมแบบบายน คือแสดงอาการยิ้มบนใบหน้าประติมากรรมในพระพุทธศาสนาพระเนตรจะปิด ผ้านุ่งสตรีไม่มีจีบแต่นุ่งผ้าลายดอกชายผ้าข้างหน้าจะพับย้อนเป็นรูปปลายแหลมหรือสามเหลี่ยมมีเข็มขัดสลักลายดอกไม้คาด
รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และนางปรัชญาปารมิตาเหล่านี้ อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ได้จำลองแบบและจัดแสดงไว้ในอาคารจัดการแสดงโบราณวัตถุของอุทยานฯเพื่อให้ประชาชนไดศึกษารูปแบบและลักษณะจำนวน 9 องค์ รวมทั้งรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เปล่งรัศมีด้วย
นอกจากประติมากรรมในพระพุทธศาสนาขนาดใหญ่ดังกล่าวมาแล้ว ยังพบประติมากรรมขนาดเล็กได้แก่พระพิมพ์ดินเผา 3 องค์ พบที่บริเวณนอกกำแพงเมืองด้านทิศตะวันตก
โบราณวัตถุที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้
ที่มา : http://www.moohin.com
พบที่เป็นเครื่องปั้นดินเผาที่เป็นภาชนะดินเผาประเภทเนื้อดินได้แก่ ตะคัน ผอบ หม้อ และภาชนะดินเผาประเภทเคลือบทั้งแบบ สุโขทัย แบบเขมร เครื่องถ้วยเวียดนาม และเครื่องถ้วยจีน โบราณวัตถุประเภทอื่นๆ ที่พบ ได้แก่ แท่นหินบด พร้อมทั้งสากบด ขวานหินขัด ลูกปัดหินอะเกต ลูกปัดหินคาร์นีเลียน ลูกปัดแก้ว ส่วนที่เป็นโลหะที่พบได้แก่
ความคิดเห็น