อุทยานปราสาทเมืองสิงห์
ที่มา : http://kanchanaburitip.blogspot.com
พื้นที่ทั้งหมดของอุทยานมี 641 ไร่ ในส่วนทางด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือจะมีผนังคันดินอยู่ ซึ่งในส่วนทางด้านทิศใต้จะไม่มีผนังคันดิน ติดริมแม่น้ำแควน้อย และมีภูเขาล้อมรอบ เหตุที่ต้องมีผนังคันดินเพราะส่วนทางด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศเหนือจะมีน้ำป่าไหลมาเข้าสู่ตัวเมืองปราสาทเมืองสิงห์เลยมีการสร้างคูน้ำคันดินขึ้นเพื่อลดแรงกระแทกของน้ำที่จะไหลมา คนจังหวัดกาญจนบุรีทราบกันว่าต้นกำเนิดแม่น้ำแควน้อยมีแม่น้ำรวมกัน 3 แม่น้ำ คือ แม่น้ำลันตี แม่น้ำชองกาเรีย แม่น้ำปิล็อก
โบราณสถานหมายเลข 1
ที่มา : http://kanchanaburitip.blogspot.com
เมื่อก่อนเปรียบเสมือนวัดเป็นศาสนสถานที่ทำพีกรรมทางศาสนาของคนสมัยก่อนเป็นพิธีกรรมทางศาสนาของศาสนาพุทธลัทธิมหายาน “ เนื่องจากบริเวณโบราณสถานแห่งนี้มีผู้ยืมชมเห็นว่าโบราณสถานแห่งนี้สร้างเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของพระมหากษัตริย์” แต่ไม่ใช้โบราณสถานแห่งนี้เป็นวัดที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา และในส่วนโบราณสถานแห่งนี้มีมาประมาณ 800 กว่าปีเศษมาแล้ว สร้างก่อนสุโขทัย 100กว่าปีมาแล้ว ได้รับศิลปะมาจากทางขอมมาสร้างปราสาทเมืองสิงห์ และได้สร้างในรัชสมันพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในช่วงศตวรรษที่ 18 19 พ.ศ. 1620 -1760 หินที่นำมาสร้าง จะเรียกว่า “หินศิลาแลง” ก้อนหินจะมีลักษณะเป็นก้อนกลม ๆ คล้ายเม็ดโฟม แหล่งหินที่นำมาสร้างโบราณสถานแห่งนี้สันนิษฐานว่านำมาจาก ทุ่งนาคราช ห่างจากปราสาทเมืองสิงห์ 10 กิโลเมตร ต.เขียวหญ้า จ.กาญจนบุรี การเคลื่อนย้ายโดยการลากมาตามแม่น้ำแควน้อยโดยมการต่อแพมาหรือใช้สัตว์ขนาดใหญ่ลากหินมา สังเกตจากหินจะมีรูอยู่ประมาณ 2 -3 รูต่อก้อน คือการใช้เหล็กสกัดเจาะและใช้คานไมลากมา ในส่วนโบราณสถานเคยเกิดการพังทลายมาแล้วทางกรมศิลปากร ได้มาทำให้โบราณสถานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2478 ได้ประกาศขึ้นทะเบียน เมื่อปี พ.ศ. 2517 ได้เงินงบประมาณมาบูรณะ วิธีการซ่อมแซมไม่ได้ใช้วิธีแบบอนัตทิโรสิคแต่ใช้การนำหินมาวางต่อกันเป็นชั้น ๆ ใช้วิธีในการซ่อมแซมบูรณะเป็นเวลา 13 ปี และเปิดให้เข้าชมเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2530 โดยสมเด็จพระเทพได้มาเป็นองค์ประทานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์ปราสาทเมืองสิงห์ และได้นับว่าเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ปราสาทเมืองสิงห์เปิดเป็นที่แรกแห่งประเทศไทย เมื่อสมัยก่อนคนที่จะเข้ามาในปราสาทเมืองสิงห์ได้ต้องเป็นผู้ที่มียศฐานบันดาศักดิ์เท่านั้นและการเข้าไปจะเดินมาทางลานที่เป็นรูปกากบาทและจะไปล้างเท้าชำระร่างกายที่แอ่งสี่เหลี่ยม ด้วยโบราณสถานแห่งนี้เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เลยจะต้องมีการชำระล้างร่างกายก่อนที่จะเข้าไปในตัวปราสาทเมืองสิงห์ และลักษณะบันไดจะเป็นบันไดที่มีลักษณะที่สูงชันที่เป็นแบบนี้เพราะการที่จะเข้าไปในตัวปราสาทจะต้องคลานเข้าไปเพื่อเป็นการเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่นี้ ทางหน้าบรรณทางเข้าจะไม่มีการแกะสลักลวดลายเพราะหินมีคุณสมบัติความแข็งจนไม่สามารถที่จะทำการแกะสลักลวดลายได้ คนในสมัยก่อนเลยใช้ปูนขาวมาทาทับไว้เพื่อให้ปราสาทมีความโดดเด่นสวยงามยิ่งขึ้น
องค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรจะมีอยู่ 5 องค์และอยู่ที่ ปราสาทเมืองสิงห์ 1 องค์ ราชบุรี 1 องค์ เพชรบุรี 1 องค์ และลพบุรี 2 องค์ ในเขตโบราณสถานจะไม่มีหลังคามุง แต่จะสร้างแนวระเบียงคดและจะมีการสร้างหลังคามุง บนยอดหลังคาจะเรียกว่า “บาลี”
รูปแกะสลักองค์พระโพธิสัตว์โดยการแกะที่ผนังหินศิลาแลงจะมีอยู่รูปเดียวในตัวปราสาทเมืองสิงห์นี้ โดยการเชื่อกันว่าน่าจะเป็นผู้ที่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นผู้แกะไว้โดยการทดลองแกะแล้วไม่เป็นผลสำเร็จเพราะหินศิลาแลงมีความแข็งมากจนไม่สามารถแกะได้ เลยใช้ปูนขาวมาทาทับแทนเพื่อให้ปราสาทโดดเด่นและสวยงาม
เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด “พระนางปารมิตาหรือพระนางปัญญาบารมี” จะมีแท่นรองรับน้ำมนต์อยู่ด้านล่างโดยคนสมัยนั้นจะนำน้ำหรือนมบริสุทธิ์มารดองค์พระนางปารมิตาและนำภาชนะมารองรับน้ำมนต์ด้านล่างเพื่อนำไปดื่มกินและทำการชำระล้างร่างกาย ส่วนแท่นด้านล่างจะเรียกว่า “แท่นเคารพบูชา” องค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร องค์พระนางปารมิตา และองค์พระพุทธรูปจะใช้หินทรายก้อนใหญ่เพียงก้อนเดียวเพื่อทำการแกะสลักองค์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และองค์พระนางปารมิตา
ในการที่พบว่าพระองค์พระพุทธรูปพระกรหรือส่วนต่าง ๆ จะขาดหายไป จะมีความเชื่อ 2 ประการ คือ 1. คนที่ไม่ชอบในศาสนาพุทธมาตัดเอาไปเพื่อไม่ให้มีการเผลแผ่ศาสนาในที่นี้ และ 2. เชื่อว่าหินศิลาแลงทางด้านบนตัวปราสาทล่วงลงมาทับจนทำให้พระกร และส่วนต่าง ๆ หักและพังทลายไป
หลุมฝังศพ
ขุดลึกลงไปและพบเครื่องใช้โบราณก่อน ขุดพบโครงกระดูก 4 โครง แต่นำจัดแสดง 2 โครง เพราะอีก 2 โครง ไม่มีความสมบูรณ์เลยได้ย้ายไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์สถานที่ บ้านเก่า ดอนตาเพชร ส่วนโครงกระดูก 2 โครง ที่นำมาจัดแสดงเป็นโครงกระดูกของผู้หญิงทั้งคู่ โดยโครงกระดูกที่หันศีรษะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นเพศหญิง อายุประมาณ 30-35 ปี และโครงที่หันศีรษะไปทางศีรษะไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเพศหญิง อายุประมาณ 20 -30 ปี ทั้งสองโครงถูกฝังรวมกับภาชนะสำริด ลูกปัดหินอาเกตและคาร์เนเลี่ยน และลูกปัดแก้ว ในการที่โครงกระดูกหันศีรษะไปคนละทิศกันเหตุเป็นเพราะในสมัยการไม่มีการนับถือศาสนาเลยทำการโยนเหรียญโยนไม้แทนเลยทำให้หันศีรษะไม่ไปทางเดียวกัน และการที่นำข้าวของเครื่องใช้มาฝังไปด้วย คือ คนสมัยก่อนเชื่อกันว่าการที่ฝังข้าวของเครื่องใช้ไปด้วยเพื่อในชาติหน้าเกิดมาจะมีของใช้ โดยสันนิษฐานว่าโครงกระดูกนี้น่าจะเป็นนักเดินทางค้าขายเร่เดินทางมาและเกิดการเจ็บป่วยคนในสมัยก่อนนั้นเลยทำการฝังไว้ที่บริเวณนี้ และจากการสังเกตไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นคนชาติใด เพราะไม่ได้ทำการพิสูจน์โครงกระดูกด้วยทางอุทยานไม่มีงบประมาณพอที่จะทำการพิสูจน์แต่ของเครื่องใช้ในหลุมฝังศพนี้จะมีลวดลายทางอินเดีย และการการที่นักท่องเที่ยวได้มาท่องเที่ยว “ได้สอบถามว่าบริเวณนี้เป็นสุสานหรือเปล่า โดยสถานที่นี้ไม่เป็นเพราะถ้าเป็นจะต้องมีโครงกระดูกไม่น้อยกว่า 10 โครงขึ้นไป ได้ทำการเปิดหน้าดินบริเวณหลุดฝังศพนี้ประมาณ 2 เมตรจากหน้าดิน โครงกระดูกนี้กับโบราณสถานไม่มีความเกี่ยวข้องกันเพราะเป็นคนละช่วงสมัย และเป็นบริเวณชุมชนก่อนสมัยประวัติศาสตร์ ใช้เวลา 1 ปีในการขุดหลุมฝังศพ
อาคารจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุ
ที่มา : http://www.touronthai.com
เป็นอาคารจัดแสดงโยภายในจะข้าวของเครื่องใช้ของคนบริเวณรอบปราสาทเมืองสิงห์ เป็นสำรวจรอบข้างของบริเวณปราสาทแล้วไปเจอเลยมาทำการจัดแสดง พระพุทธรูปจำลองต่าง ๆ ของปราสาทเมืองสิงห์ และจะมีภาพถ่ายทางอากาศที่นำมาจัดแสดงด้วย โดยข้าวของเครื่องใช้จะเป็นพวก ขวาน และเครื่องมีทำมาหากิน เครื่องจัดกำยาน พระพุทธรูปจะมีองค์พระโพทธิสัตว์อวโลกิเตศวร พระนางปารมิตา และพระพุทธรูปที่เป็นศิลปะที่รับอิทธิพลมาจากทางขอมหรือเขมร ภาพถ่ายจะเป็นภาพถ่ายทางดาวเทียมของอุทยานปราสาทเมืองสิงห์
ผลสรุป คือ กลุ่มของข้าพเจ้าเล็งเห็นว่า บริเวณปราสาทเมืองสิงห์จะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ นอกจากพระสงฆ์ ชี และพราหมณ์เท่านั้นที่อยู่อาศัยในบริเวณปราสาทเมืองสิงห์ แต่บริเวณรอบนอกปราสาทเมืองสิงห์จะมีผู้คนอาศัยอยู่ซึ่งสันนิษฐานว่านาจะเป็นคนที่ได้มาสร้างปราสาทเมืองสิงห์นี้ที่เป็นคนอยู่อาศัยในรอบนอกปราสาท เพราะการที่สร้างปราสาทได้นั้นต้องใช้ผู้คนจำนวนมากในการสร้าง เพราะการที่คนเรานั้นจะไปนำหินก้อนใหญ่ ๆ มาสร้างเป็นตัวปราสาทต้องใช้ผู้คนจำนวนมากในการขนย้าย และยังต้องมีสัตว์ขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นเครื่องทุนแรงในการทำงาน กลุ่มของข้าพเจ้าเลยสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นชุมชนขนาดใหญ่มาก ที่มีการอยู่อาศัยบริเวณรอบนอกปราสาท และจากการสอบถามท่านวิทยากรในเรื่องว่าไม่มีการค้นพบโครงกระดูกรอบนอกบางหรือ ท่านได้ตอบว่าทางอุทยานมีความอยากที่จะค้นหาเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ไม่มีงบประมาณในการค้นหาเลยทำให้ไม่รู้ว่ามีโครงกระดูกอยู่รอบนอกหรือเปล่า แต่จากการได้ค้นพบข้าวของเครื่องในบริเวณรอบนอกเลยสันนิษฐานว่าน่าจะมีโครงกระดูกของคนในยุคสมัยก่อนอยู่บ้าง
ความคิดเห็น