ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #22 : CHAP 22

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.91K
      25
      19 พ.ค. 56

     

    CHAPTER 22

     

     

    อากาศยามเช้าตรู่ยังคงเต็มไปด้วยออกซิเจนบริสุทธิให้สูดเข้าปอดเหมือนเช่นทุกเช้า ต้นหญ้าเขียวขจีปูพื้นสนามบอลประดับละอองหยดน้ำค้าง เสียงนกร้องรับแสงแดดอุ่นๆ ยิ่งชวนให้อยากเก็บความสดชื่นนี้ไว้ตลอดวัน

     

    ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงหาวดังๆ ของใครบางคนมาขัดบรรยากาศเสียก่อน

     

    “ฮ๊าวววววววววววว~

     

    “ปาร์คชานยอล!! นี่จะหาวให้แมงวัน แมงเม่า แมงอีนูนเข้าไปออกลูกออกหลานในปากเลยไหม!? เสียบรรยากาศหมด” แพคฮยอนหันไปพูดเสียงดังใส่คนตัวสูงนี่ยืนวอร์มร่างกายอยู่ข้างๆ

     

    “ก็มันเช้าเกินไปอ่ะ นายก็รู้ว่าฉันเป็นพวกนอนดึก” ชานยอลบิดร่างอีกสองสามทีก่อนจะวิ่งเหยาะๆ อยู่กับที่เพื่อบอกว่าพร้อมแล้ว ร่างเล็กเบ้หน้ามองพลางนึกถึงข้อเท็จจริงตามที่ชานยอลบอกเป๊ะๆ

     

    คนตัวสูงเป็นพวกนกฮูก กลางค่ำกลางคืนไม่เคยจะนอน แพคฮยอนจำได้ว่าเคยโทรไปหาชานยอลตอนเที่ยงคืนกว่าเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้กับอีกฝ่าย ตอนแรกก็กังวลแทบแย่ว่าจะไปรบกวนเวลานอนของชานยอลเข้าหรือเปล่า แต่สุดท้ายปลายสายก็ส่งเสียงใสแจ๋วรับโทรศัพท์เฉย

     

    “แล้วตื่นมาด้วยทำไม? หอก็อยู่คนละฝั่ง นี่ตื่นมาได้ทุกวี่ทุกวันขนาดนี้ฉันก็แปลกใจนายอยู่เหมือนกัน” คนตัวบางกล่าวก่อนจะออกเสต็ปวิ่งเหยาะอยู่กับที่บ้าง ชานยอลฟังแล้วลอบยิ้มก่อนจะตอบกลับเสียงนิ่ง

     

    “ตื่นมาวิ่งเป็นเพื่อนนายไง เกิดวิ่งๆ อยู่แล้ววูบขึ้นมาอีกจะทำยังไง? ใครจะอยู่ข้างๆ?”

     

    เสียงทุ้มต่ำกับหน้าตาที่ดูจริงจังกว่าทุกทีเกือบจะสร้างโลกอุ่นๆ แสนละมุนยามเช้าให้แพคฮยอนใจเต้นได้แล้ว ถ้าไม่ติดว่าประโยคถัดมาพร้อมหน้าตากวนๆ ที่เจ้าตัวถนัดมันจะชวนให้เขายกมือฟาดหนักๆ ที่ร่างอีกฝ่ายก่อน

     

    “แต่จริงๆ ไม่อยากเป็นเพื่อนนะ ขอเป็นอย่างอื่นแทนได้ป่ะ?”

     

    “เป็นคนบ้าล่ะสิ! ไป! วิ่งได้ละ จงอินกับคยองซูวิ่งนำไปนู่นแล้ว” พูดพร้อมลงมือหนักๆ รับขวัญยามเช้าให้ชานยอลเรียบร้อย แล้วแพคฮยอนก็มองตามคู่ที่พูดถึงด้วย

     

    สองคนนั้นก็เหลือเกิน อุตส่าห์บอกแล้วนะว่าคนลดน้ำหนักคือเขา ให้เขาตื่นมาวิ่งตอนเช้าก็ถูกแล้ว ไม่เห็นต้องลำบากตื่นมาวิ่งพร้อมกันด้วย แต่พอบอกไปอย่างนั้นพ่อประธานคนเก่งก็หน้านิ่วแล้วยืนยันเสียงแข็งว่าไม่ได้ ด้วยเหตุผลเดียวกันกับชานยอลนั่นแหละ

     

    พอเขาบอกว่าชานยอลจะมาวิ่งด้วยจงอินก็ใจอ่อนจนเกือบจะยอมปล่อยไป แต่พอได้หันกลับมาเห็นคยองซูที่นั่งหอบฮักหลังรันโดริเสร็จวิญญาณเทพไคก็สิงร่าง จงอินกลับมายืนยันว่าจะไปวิ่งตอนเช้าด้วยอีกครั้งแถมครั้งนี้ยังลากเอาคยองซูที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวมาวิ่งด้วย บอกว่าจะได้ขยายเนื้อที่ปอดเอาไว้ใช้เวลาแข่ง

     

    การวิ่งรอบสนามบอลเรื่อยๆ ไม่จับเวลาไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากมายนัก เพราะอากาศก็ดี วิ่งไปก็สูดอากาศไปได้เรื่อยๆ  ติดตรงที่ว่าคนไม่เคยวิ่งอย่างคยองซูจะเหนื่อยเร็วกว่าคนอื่นเขา หลังจากที่จงอินสวมวิญญาณกัปตันวิ่งขนาบคยองซูเพื่อให้วิ่งเป็นจังหวะไปพร้อมๆกัน ผลที่ได้มาคือร่างเล็กที่หอบหายใจจนแทบยืนไม่ไหวแต่ก็ต้องฝืนเพราะถูกฝึกมาว่าห้ามนั่งทันทีหลังออกกำลังกายเสร็จ มันจะทำให้กล้ามเนื้อปรับตัวไม่ทัน

     

    “หายใจทางจมูกแล้วผ่อนออกทางปาก ยืนตัว แอ่นอกแล้วหายใจเข้าลึกๆ” คอยพูดคอยบอกอยู่ข้างๆ แม้เสียงจะดุไปบ้างแต่ดูเหมือนคยองซูจะคุ้นชินกับมันอย่างเต็มที่เสียแล้ว

     

    คนตัวบางแอ่นตัวยืดตรงสูดอากาศช้าๆ ควบคุมจังหวะการหายใจให้ได้เร็วที่สุด ใช้เวลาเพียงไม่นานระบบการรับออกซิเจนเข้าปอดก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง

     

    “ดี มาวิ่งอย่างนี้ให้ได้ทุกวันมันจะช่วยนายได้มากเวลาแข่ง พอชะลอความเหนื่อยได้แล้วร่างกายก็จะล้าน้อยลงด้วย แถมยังมีออกซิเจนพอไปเลี้ยงสมองให้คิดอ่านทันเกมส์อีกต่างหาก” จงอินยิ้มเมื่อคนในการดูแลทำได้เป็นที่น่าพอใจ

     

    คยองซูมาวิ่งพร้อมพวกเขาได้อาทิตย์กว่าแล้ว ถึงจะต้องตื่นเช้ามาออกกำลังก่อนไปเรียนแต่นับว่าผลที่ได้กลับมาก็คุ้มค่าอยู่ คยองซูควบคุมการหายใจตัวเองได้ดีขึ้นมาก ซ้ำยังเหนื่อยช้ากว่าแต่ก่อนเยอะ ระยะหลังจงอินเลยไม่ค่อยได้เห็นคยองซูหอบระรัวหลังเล่นรันโดริเสร็จเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

     

    หลังจากวิ่งรอบสนามบอลครบตามจำนวนรอบที่จงอินตั้งเกณฑ์ไว้ สมาชิกในทีมทุกคนก็เริ่มคูลดาวน์เพื่อคลายกล้ามเนื้อ เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์เลยทำให้พวกเขาได้ตื่นมาวิ่งสายกว่าปกติ แต่กระนั้นก็ยังขาดสมาชิกอีกคนหนึ่งไปทั้งที่ปกติแล้วต่อให้มาสายกว่าคนอื่นหน่อยเจ้าตัวก็ยังมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมวิ่งเต็มที่

     

    “เซฮุนไปไหนเนี่ยวันนี้? ได้บอกใครไว้หรือเปล่า?” กัปตันทีมถามขึ้นมาระหว่างกำลังนั่งเหยียดขาตึง

     

    “น้องโทรมาบอกว่าเช้านี้ขอหยุดแต่เดี๋ยวจะมาซ้อมด้วยรอบบ่าย”

     

    “ไปไหนของเขา?” จงอินขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามแพคฮยอนกลับ พี่รหัสของเซฮุนบิดร่างกายอีกสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนพร้อมตอบ

     

    “เห็นว่าเด็กที่ชื่อจื่อเทาคนนั้นจะพาไปกินข้าวกันตอนสายๆ น้องกลัวจะกลับไปอาบน้ำอาบท่าไม่ทันเลยขอหยุดซ้อมเช้าไปเลยดีกว่า”

     

    “เออ เอาเข้าไป เย็นพาไปกินชานมคน เช้าพาไปกินข้าวอีกคนแบบนี้ มีหวังเซฮุนมันได้เล่นรุ่น -81 แหงๆ” จงอินยิ้มแกนๆ พลางลุกขึ้นยืนบ้างเมื่อยืดกล้ามเนื้อเสร็จ ชานยอลกลั้วหัวเราะขณะที่แพคฮยอนเพียงแค่ส่ายหัวยิ้มๆ

     

    ลู่หานกับจื่อเทานี่ก็เหมือนรู้เวลากันอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะต่อให้ซื่อบื้อแค่ไหนใครๆ ก็ดูออกว่าสองคนนี้มีเป้าหมายเหมือนกัน ต่างคนต่างแวะเวียนมาหาเซฮุนไม่ได้ขาด แต่กลับไม่เคยรถไฟชนกันเลยสักครั้ง ประธานชมรมฟุตบอลมักจะมาตอนเย็นช่วงก่อนซ้อมบ้างหลังเลิกซ้อมบ้าง ส่วนจื่อเทาถ้าเป็นวันหยุดจะมาตอนสายๆ ไม่ก็บ่ายก่อนเวลาซ้อม แต่วันธรรมดาเด็กตัวสูงตาคล้ำคนนั้นไม่ค่อยได้มาให้เห็นหน้าเท่าไหร่

     

    เมื่อทุกคนต่างยืดกล้ามเนื้อกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พร้อมแยกย้ายกันกลับ ถ้าเป็นทุกทีจงอินจะกลับกันคยองซู ชานยอลไปกับแพคฮยอน ส่วนเซฮุนเป็นตัวแถมแล้วแต่ว่าจะกลับกับใคร แต่ถ้าวันไหนองครักษ์ส่วนตัวคนใดคนหนึ่งมาก็จะไม่ลำบากพวกเขาสักคนต้องอัดซ้อนสามไปส่ง

     

    ชานยอลเดินไปหยิบกระเป๋าใส่พวกผ้าเช็ดหน้ากับร้องเท้าผ้าใบมาสะพายไว้แล้ว คนตัวเล็กข้างๆ ก็โบกมือเป็นเชิงบอกว่าเจอกันตอนซ้อมรอบบ่ายก่อนจะหันหลังเดินแยกไป กัปตันทีมผิวเข้มจึงหันกลับมาทางคนตัวบางที่จะกลับพร้อมเขาบ้างแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าคยองซูกำลังตาลอยมองไปยังสนามบอลสีเขียวตรงหน้าเหมือนตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง

     

    “คยองซู...คยองซู” แม้จะเรียกซ้ำถึงสองครั้งแต่ก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากคนที่หัวคิ้วชนกันเล็กน้อยอยู่ตอนนี้ จงอินเลิกคิ้วก่อนจะตัดสินใจยื่นมือไปแตะไหล่เล็กเบาๆ

     

    “โดคยองซู”

     

    “ฮ...ฮะ? จะกลับแล้วเหรอ?” ร่างเล็กหันกลับมาถามเสียงหลง จงอินพยักหน้าแล้วคว้ากระเป๋าใบเล็กของคยองซูที่วางอยู่ขึ้นมาสะพายด้วย  ก่อนทั้งคู่จะเดินไปทางที่จงอินจอดรถไว้

     

    “เป็นอะไร? เหม่อเชียว นอนน้อยอีกหรือเปล่า?”

     

    “เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ”

     

    จงอินเลิกคิ้วมองคนข้างกายอีกครั้ง “แน่ใจนะว่าไม่ได้เกี่ยวกับร่างกาย ฉันฝึกนายหนักเกินไปหรือเปล่า?”

     

    “ไม่เลยๆ ตอนนี้ฉันรู้สึกแข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำ” คยองซูรีบยกมือตอบเป็นพัลวัน “ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกจงอิน ฉันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ”

     

    คยองซูตอบยิ้มๆ จนจงอินอ่อนใจจะซักไซ้ เดี๋ยวถ้าอยากบอกก็คงจะบอกเองแหละมั้ง มือหนาส่งของทั้งหมดไปให้คนตัวเล็กถือก่อนที่ตัวเองจะขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจแล้วเสียบกุญแจสตาร์ทรถ คยองซูขึ้นซ้อนท้ายแล้วโอบเอวคนข้างหน้าเอาไว้อย่างที่เคยทำ ครู่หนึ่งรถก็ออกสู่เส้นทางไปยังหอของคยองซู

     

    ความจริงเรื่องที่จื่อเทาจะมารับเซฮุนไปกินข้าวด้วยกันสายวันนี้คยองซูก็รู้อยู่แล้ว เพราะเด็กตัวสูงต่างสถาบันคนนั้นโทรมาหาคยองซูแล้วตอนเช้า ไม่ใช่เพื่อบอกว่าจะพาน้องเล็กของทีมไป แต่เพื่อบอกว่าหลังจากส่งเซฮุนกลับแล้วจะแวะมานั่งคุยกับคยองซูต่างหาก

     

    อันที่จริงเขาคิดว่ามันก็ดี เพราะเดิมทีคยองซูกับจื่อเทาก็รู้จักมักคุ้นกันอยู่แล้วเพียงแต่คนที่ทำให้เขาสองคนรู้จักกันได้ก็คืออู๋อี้ฟาน มันทำให้คยองซูอดกลัวไม่ได้ว่าประเด็นเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นจะออกมาจากปากจื่อเทาหรือไม่ แล้วมันจะทำให้เขากลับไปเจ็บปวดอีกหรือเปล่า แต่ท้ายที่สุด ด้วยความคิดถึงหลังจากไม่ได้พบเจอพูดคุยกับน้องชายคนนี้มานานคยองซูก็ตกลงกับจื่อเทาไปจนได้

     

     

     

    ตารางซ้อมในวันเสาร์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อแพคฮยอนต้องซ้อมหนักกว่าเดิมเพื่อลดน้ำหนัก ไอ้ครั้นจะให้วิ่งอย่างเดียวมันก็ดีแต่ถ้าได้เสริมเทคนิคการเล่นไปด้วยก็คงจะดียิ่งกว่า และไหนๆ ก็ต้องออกแรงแล้วก็มาเหนื่อยด้วยกันทั้งทีม เหนื่อยเป็นเพื่อนกันแถมยังเป็นผลดีกับทุกคนด้วย

     

    เช้าวันเสาร์ทุกคนจะพร้อมกันที่สนามบอลในมหาลัยใกล้โซนหอพักหรือที่เรียกกันว่าสนามหอ A  หลังจากวิ่งเสร็จแล้วก็แยกย้ายกัน จะกลับไปนอนเอาแรงที่หอหรือจะทำธุระอื่นๆ ก็ได้ก่อนจะกลับมาเจอกันอีกครั้งตอนบ่าย 3 โมง ซ้อมกันเบาๆ สัก 2-3 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันกลับหรือไม่ก็ไปหาอะไรกินด้วยกันก่อน

     

    ร่างเล็กพาตัวเองเดินขึ้นบันไดโรงยิมมาด้วยสีหน้าไม่ดีนัก สมองมีเรื่องราวที่ไม่อาจเข้าใจวนเวียนให้วุ่นไปหมด การอยู่ที่ห้องคนเดียวอาจยิ่งทำให้ฟุ้งซ่าน แต่จะให้โทรหาใครมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยกันก็ไม่กล้า โดยเฉพาะใครคนนั้นที่เป็นคนแรกในความคิด สุดท้ายคยองซูเลยเลือกจะมารอซ้อมในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าที่ห้องชมรมเลยดีกว่า

     

    แต่ใครจะไปนึกว่าคนที่เขาอุตส่าห์นึกเกรงใจไม่โทรหาจะมาปรากฏตัวอยู่ที่ห้องนี้ก่อนแล้ว

     

    สองเท้าหยุดลงตรงขอบเบาะ มือขาวค่อยๆ วางชุดยูโดที่ถือมาด้วยลงบนเบาะยูโดโดยพยายามไม่ให้เกิดเสียงรบกวนร่างหนาในชุดลำลองเสื้อยืดกางเกงยีนส์สบายๆ ที่กำลังหนุนมือตัวเองนอนหลับอยู่บนเบาะ เส้นผมสีเข้มพลิ้วตามแรงลมอ่อนๆ จากหน้าต่างที่เปิดไว้ ดวงตาที่เคยทอดมองมาหลากหลายอารมณ์ถูกเร้นอยู่ใต้เปลือกตา แผ่นอกกว้างกำยำขยับขึ้นลมเป็นจังหวะการหายใจ

     

    ริมฝีปากสีอ่อนเผลอยิ้มไม่รู้ตัว หัวใจก็นึกจะเต้นผิดจังหวะขึ้นมาเสียเฉยๆ ทำไมเขาถึงรู้สึกดีใจที่เห็นจงอินอยู่ตรงนี้ ราวกับความกังวลใจที่แบกมาตลอดทางมาที่นี่อันตรธานหายไปหมด

     

    ค่อยๆ ก้าวขึ้นไปบนเบาะ เดินเข้าไปใกล้แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ให้เกิดเสียงรบกวนน้อยที่สุด ดวงตากลมโตจับจ้องรูปหน้าคมสัน ริมฝีปากหนาได้รูปปิดสนิท ใบหน้ายามหลับของจงอินไม่ได้เหมือนเด็กไร้เดียงสาอย่างที่เขาว่าไว้ในละคร แต่เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ต่างจากยามตื่น จงอินที่ทั้งดุและใจดี ทั้งเย็นชาและอบอุ่นสุดหัวใจ จงอินที่ไม่เคยโกหกแม้กระทั่งยามหลับ

     

    คยองซูคงจะเผลอไผลมองเจ้าของผิวสีน้ำผึ้งตรงหน้านานกว่านี้ไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าไม่มีเสียงทุ้มเอ่ยขึ้นมากลางอากาศเสียก่อน

     

    “รู้ไหมว่าถูกจ้องนานๆ มันหลับต่อไม่ได้”

     

    คนที่ควรจะหลับสนิทขยับปากพูด ก่อนที่เปลือกตาคู่นั้นจะเปิดขึ้นแล้วหันมามองทางเขา คยองซูอ้าปากค้างเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมองขณะที่จงอินยกยิ้มแล้วอ้าปากหาว

     

    “ฉัน...ทำนายตื่นหรือเปล่า?” เสียงเล็กถามออกไปค่อยๆ หลังจากที่หายตกใจแล้ว

     

    “เปล่า จริงๆ ฉันก็ไม่ได้หลับสนิทหรอก แค่พักสายตาแต่ก็เกือบจะหลับจริงๆ แล้วเหมือนกัน” พูดจบก็หัวเราะแต่ยังไม่ลุกขึ้นมานั่งคุยกันดีๆ

     

    “แล้วทำไมรีบมาจังล่ะ?”

     

    “ก็แค่ขี้เกียจอยู่ห้องเฉยๆ แล้วนายล่ะ ทำไมวันนี้มาเร็ว?” จงอินตอบพร้อมกับถามอีกฝ่ายกลับไปด้วย คยองซูไม่พูดอะไรเพียงแค่พรูลมหายใจออกมาเสียงเบา

     

    “อืม พอดีจื่อเทาเพิ่งกลับน่ะ เลยออกมาพร้อมกับน้องเลยทีเดียว”

     

    “อ๋อ ที่ว่ากินข้าวกับเซฮุนเสร็จแล้วจะแวะมาหานายน่ะเหรอ?”

     

    คยองซูพยักหน้าแทนคำตอบแล้วเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอีกหน ตากลมทอดมองพื้นเบาะสีน้ำเงินเหลืองอย่างไร้จุดหมายราวกับกำลังคิดบางอย่างอยู่เงียบๆ คนเดียว จงอินเห็นแบบนั้นเลยไม่คิดจะพูดขัด ปล่อยให้คนตัวบางได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองไปอีกสักพัก

     

    “จงอิน...” จนที่สุดแล้วก็ยอมพูดออกมา และชื่อของคนตัวสูงเป็นสิ่งแรกที่ออกมาจากปากเรียวเล็กนั้น

     

    “ความจริงแล้วเรื่องพี่อู๋ฟาน เอ่อ...คริส คนที่ฉันเคยเล่าให้นายฟังน่ะ”

     

    “อืม แฟนเก่านาย” คยองซูแอบชำเลืองมองคนข้างๆ  รู้สึกไปเองหรือเปล่านะว่าจงอินพูดสะบัดเสียงนิดๆ ด้วย

     

    “คือจริงๆ แล้วฮวังจื่อเทาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับพี่อู๋ฟาน ฉันกับจื่อเทาก็เลยค่อนข้างสนิทกันเพราะเมื่อก่อนเจอกันบ่อย มีอะไรก็คุยกันตลอด”

     

    “แล้วมาบอกฉันทำไม? หรือกลัวฉันไม่พอใจที่เห็นนายสนิทกับเด็กนั่นมากเกินไป?”

     

    จงอินเลิกคิ้วถาม แต่กลับกระตุกหัวใจคนฟังได้อย่างน่าประหลาด คยองซูไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงมีอาการแบบนี้ แต่สิ่งที่จงอินพูดเหมือนจะย้อนกลับมาเข้าตัวเองยังไงพิกล จงอินกำลังจะถามว่ามันเหมือนที่เขาไม่พอใจเวลาจงอินสนิทกับแทมินมากไปหรือเปล่านะ

     

    คยองซูเหลือบมองใบหน้าหล่อที่ดูหยอกเย้าได้ที่ ริมฝีปากคมหยักกระตุกยิ้มกวน ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นอีก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกคนๆ นี้แกล้งอยู่ยังไงก็ไม่รู้

     

    “ฉ...ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่ที่เล่าให้ฟังนี่ก็เพราะต้องเท้าความก่อน”

     

    “อ๋อ เหรอ งั้นก็เล่าต่อนะ” คนตัวสูงกลั้วหัวเราะเบาๆ แล้ววางศีรษะลงบนมือที่รองหนุนของตัวเองเหมือนเดิมหลังจากที่ยกตัวขึ้นมาทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ใส่เขาเมื่อกี้ ร่างบางพรูลมหายใจยาวก่อนจะเล่าต่อ

     

    “ก็ตั้งแต่เลิกกับพี่อู๋ฟานก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ทำให้พาลห่างจื่อเทามาด้วย พอครั้งนี้ได้มานั่งคุยกันมันเลยทำให้ฉันนึกถึงวันเก่าๆ ซึ่งจริงๆ แล้วฉันไม่ได้อยากจะนึกถึงมันเลย”

     

    คยองซูอาจจะไม่รู้ตัว ว่าระหว่างที่ตัวเองกำลังเล่าไปด้วยสีหน้าอธิบายยากนั้นไป คนที่แสร้งว่าไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไรนักกำลังหันมามองด้วยสายตาแบบไหน จงอินเองก็สับสนไม่แพ้กัน ตัวตนในอดีตที่เคยพ่ายแพ้ เขาไม่ต้องการนึกถึงอะไรก็ตามที่จะทำให้เห็นภาพตัวเองวันที่อ่อนแอที่สุดอีก

     

    ร่างเล็กเงียบไปชั่วอึดใจ ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรงขณะที่ดวงตากลมเหม่อมองเบาะตรงหน้า บทสนทนาระหว่างตนกับจื่อเทาเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าแล่นเข้ามาในสมอง เป็นเพียงไม่กี่ประโยคแต่กลับตรึงแน่นทั้งที่ทั้งเขาและจื่อเทาก็ไม่ต้องการให้จดจำทั้งนั้น

     

    “เรื่องเฮีย ผมจะไม่พูดนะ แค่ตอนนี้พี่มีความสุขดี เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่จำเป็นหรอก”

     

    เรื่องบางเรื่องของจื่อเทาคืออะไร รอยยิ้มอุ่นๆ กับดวงตาที่ไม่ได้โกหกในทุกความรู้สึกของคำที่พูดไปยิ่งทำให้เขาเคลือบแคลงสงสัย แต่ถ้าลองเด็กตัวสูงพูดมาแบบนี้แล้วคงไม่พ้นเกี่ยวกับอู๋ฟานและอี้ชิงแน่ๆ ไหนจะคำพูดค้างคาเมื่อวันที่ไปแข่งนั่นอีก

     

    คยองซูถอนหายใจออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเจ้าเด็กตาคล้ำที่เป็นพวกชอบเก็บคำพูดคำจา เม้มริมฝีปากแน่นอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังรวบรวมความมั่นใจแล้วจึงพูดออกไปโดยที่ดวงตายังคงมองไร้จุดหมายเหมือนเดิม

     

    “ตอนเลิกกัน พี่อู๋ฟานให้เหตุผลว่าอยากจะทุ่มเทให้ยูโดเต็มที่ แต่หลังจากนั้นไม่นานฉันก็รู้ว่าพี่อู๋ฟานคบกับคนใหม่ เป็นนักยูโดอยู่ทีมเดียวกัน” เว้นระยะเพื่อหายใจเข้าให้สุดปอดก่อนจะหันกลับมาทางคนที่นอนอยู่

     

    “จางอี้ชิงไงล่ะ”

     

    จงอินผุดลุกจากมือที่หนุนนอนเล็กน้อยแล้วมองคยองซู รอยยิ้มอ่อนบนริมฝีปากบางทำให้รู้สึกราวกับว่าหัวใจมีรอยรั่ว ดวงตากลมคู่นั้นพยายามซ่อนความเศร้าอันเป็นร่องรอยจากอดีตเอาไว้ เพียงไม่นานก็หลบตาแล้วกลับไปมองอากาศว่างเปล่าตรงหน้าอีก

     

    “ตลกใช่ไหมล่ะ? เลิกกับฉันเพราะบอกจะทุ่มให้กีฬา แต่สุดท้ายก็ไปคบคนใหม่ ความรู้สึกของฉันตอนนั้นมันปนเปกันไปหมด ทั้งเสียใจ ทั้งโมโห ทั้งผิดหวัง ฉันทั้งโทษพี่อู๋ฟานที่หักหลังกันและโทษตัวเองที่อ่อนแอ ไม่ว่ายังไงคนเราก็คงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เหมาะสม และคู่ควรกับตัวเอง ใช่ไหมล่ะ?”

     

    รอยยิ้มเยาะนั้นมีแต่ความเสียใจ จงอินรู้สึกราวกับหัวใจใกล้หมดลมลงไปทุกที มันเริ่มฟีบแบนลงไปทีละนิดด้วยคำพูดตัดพ้อมากมายและอาการที่บอกชัดว่ายังเสียใจกับเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้น คยองซูจะรู้ไหม ยิ่งพาตัวเองย้อนกลับไปในอดีตมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น

     

    จะไม่มีทางเลยใช่ไหมที่เขาจะพาคยองซูกลับมาเริ่มต้นใหม่พร้อมกัน

     

    “นายยังเสียใจอยู่ใช่ไหม? ยังเศร้าอยู่ใช่หรือเปล่า?” คำถามถูกกล่าวออกมาทั้งที่สมองยังไม่ได้กลั่นกรองเลยด้วยซ้ำ ไม่ทันได้คิดกลัวคำตอบหลังจากนั้น

     

    คนที่นั่งเหม่อยังไม่ยอมให้คำตอบ เงียบไปหลายวินาทีจนได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวพัดชุดยูโดขาวสะอาดที่แขวนไว้นอกหน้าต่าง แต่ละวินาทีนี้ช่างเชื่องช้าเหลือเกิน นานเกินไปจนทำให้จงอินเริ่มไม่อยากฟัง ถ้าความสุขที่สู้อุตส่าห์ใช้เวลาสร้างอย่างเรียบเรื่อยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจะต้องพังลงเพราะความจริงจากปากคยองซู จงอินก็คงอยากเป็นคนหูหนวกตาบอดแล้วหลอกตัวเองต่อไปคงจะดีกว่า

     

    “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เสียใจ” ที่สุดคยองซูก็พูดออกมา จงอินแทบจะหลับตาแล้วปิดประสาทการรับรู้รับฟังทั้งหมด

     

    “แต่ฉันเองก็แปลกใจ ที่ทำไมตอนนี้ฉันกลับไม่เศร้า ไม่ฟูมฟาย ความเสียใจที่เคยมากจนรบกวนทุกวินาทีในชีวิตก็ค่อยๆ หายไปจนตอนนี้ฉันแทบไม่รู้จักกับมันแล้ว”

     

    จงอินลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง หัวใจกลับมาเต้นจนเสียงดัง พร้อมกับที่คยองซูหันกลับมามองเขา รอยยิ้มน่ารักนั้นคือสิ่งที่เขาชอบมากที่สุดและตอนนี้คยองซูกำลังส่งมันมาให้เขา

     

    “เหมือนยูโดเลยจงอิน ฉันเคยคิดว่าฉันทำไม่ได้ เคยคิดว่าตัวเองไม่มีทางลืมเขาได้ แต่วันนี้กลับทำมันได้ยังไงก็ไม่รู้ ฉันสามารถแข่งยูโดได้เหมือนกับที่ฉันสามารถลืมความเศร้าพวกนั้นไปได้” พลั่งพรูความในใจออกมาพร้อมรอยยิ้มที่ยืนยันทุกคำพูดนั้น

     

    “พอมองย้อนกลับไปเห็นตัวเองที่เคยกลัวและจมอยู่กับกองน้ำตาแล้วก็คิดว่ามันน่าตลกดี ตอนนี้ฉันมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่มากๆ ฉันรู้แล้วว่าตัวเองสามารถเดินต่อได้ และฉันคงไม่มีทางล้มถ้าคนที่ทำให้ฉันเข้มแข็งยังอยู่ข้างๆ กันตลอดแบบนี้”

     

    “โดคยองซู...”

     

    “ฉันจะไม่ล้มอีกแล้วใช่ไหมจงอิน?”

     

     

    ...จงอินรู้ว่ามันอันตรายเกินไปหากสบตา แต่ทว่าเขาไม่อาจห้ามปรามตัวเองได้เลย

     

    ไม่มีคำพูดอื่นใดต่อจากนั้น มีเพียงตาสองคู่ที่สบประสานกันเงียบๆ ท่ามกลางเสียงลมต้นฤดูพัดหวีดหวิว ตั้งแต่วันนั้นที่เขาเสียน้ำตามากมายอยู่หน้าบ้านคยองซู จงอินคิดเสมอว่าคนๆ นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ทำให้เขาดีใจและเสียใจได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที และครั้งนี้คยองซูก็ยิ่งตอกย้ำความคิดนั้นให้ชัดเจนขึ้นไปอีก

     

    รอยยิ้มนั้นไม่ได้บังคับให้เขาตอบ แต่เป็นรอยยิ้มที่บอกถึงความเชื่อมั่น คยองซูไม่ได้ต้องการคำตอบตั้งแต่แรก หากแต่นี่คือการบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าต่อจากนี้ไปไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคนที่เชื่อใจที่สุดคงจะเป็นใครอื่นไปไม่ได้อีก

     

    อาจนานเกินไปที่ทิ้งให้ความเงียบเป็นสื่อกลางระหว่างบทสนทนาผ่านสายตาไร้เสียง ที่สุดแล้วคยองซูก็เป็นฝ่ายหันหน้าหลบกลับมาหาวหวอด ทำให้คนที่นอนอยู่กรอกตากลับมามองเพดานห้องไปด้วย เมื่อกี้เขาคิดว่าเวลาหยุดเดินไปแล้วเสียอีก

     

    “ง่วงเหรอ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามไปตามสถานการณ์หลังโลกกลับมาหมุนอีกครั้ง คยองซูพยักหน้า

     

    “อืม ก็นิดหน่อยน่ะ วันนี้ตื่นมาวิ่งเสร็จก็ยังไม่ได้พักงีบบ้างเลย”

     

    “งั้นก็หลับสักเดี๋ยวก็ได้ ยังมีเวลาพอก่อนจะถึงเวลาซ้อม เดี๋ยวฉันปลุกเอง”

     

    คยองซูหันมาพยักหน้าก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเบาะยูโดตรงพื้นที่ว่างข้างจงอิน ร่างเล็กนอนตะแคงข้างหันหลังให้ร่างหนา รอยยิ้มที่ไม่อาจห้ามเอาไว้ได้ยังคงผุดพรายบนริมฝีปากเล็ก เพียงไม่นานความเงียบก็เข้าครอบคลุมทั่วทั้งห้องชมรมอีกครั้ง

     

    ความอ่อนเพลียสะสมตั้งแต่เมื่อเช้าเกือบส่งให้คยองซูหลุดเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว แต่เพราะสัมผัสบางอย่างทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมาก่อน

     

    ท่อนแขนแกร่งถูกสอดเข้ามาใต้ศีรษะ ก่อนจะดึงรั้งร่างบอบบางให้เข้าไปหา ไหล่หนารองรับหัวทุยได้อย่างพอเหมาะ แผ่นหลังบางแทบชิดอกแกร่งหากแม้ยังพอมีช่องว่างเล็กๆ ระหว่างกันไว้เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจของคนข้างหลัง แอบลืมตาขึ้นแม้จะรู้ว่าไม่มีทางได้เห็นสีหน้าของคนที่เอาแขนตัวเองมารองต่างหมอนให้เขาตอนนี้ก็ตาม

     

    มือหนาอีกข้างค่อยๆ เกลี่ยปอยผมที่ตกทับหน้าใสให้เบามือ ก่อนตัวเองจะวางมือข้างเดิมรองใต้ศีรษะตัวเองเพื่อนอนต่อเงียบๆ ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้

     

    ความเงียบทักทายกับเสียงลมพัดผ่านชุดยูโดนอกหน้าต่าง ต่างกระซิบเตือนกันไม่ให้ไปรบกวนช่วงเวลาละมุนหวานของนักยูโดสองคนในห้อง

     

     

     

    การซ้อมภาคบ่ายเป็นไปอย่างคึกคัก แพคฮยอนดูมีเรี่ยวแรงขึ้นแม้จะอยู่ในชุดบอดี้สูททับด้วยชุดยูโดอีกที เม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้าสวยของเจ้าตัวเป็นสัญญาณที่ดีบอกว่าวันนี้น้ำหนักแพคฮยอนคงจะลงไปได้อีกมากพอสมควร

     

    เกลือแร่หลายขวดบนโต๊ะข้างเบาะได้รับการสนับสนุนจากปาร์คชานยอลที่ซื้อไว้สต๊อกเผื่อคนลดน้ำหนักและจากเสี่ยวลู่หานที่อุตส่าห์กระทำการทุจริตแบกเกลือแร่จากทีมฟุตบอลของตัวเองแบ่งมาไว้ที่นี่ โดยพี่ชายหน้าหวานบอกกับจงอินพร้อมยิ้มกวนๆ ว่ามหาลัย m มีงบให้นักฟุตบอลเยอะจนเหลือเกลื่อน เอามาแบ่งที่นี่บ้างก็ไม่ได้เดือดร้อน

     

    “จริงๆ แล้วจะเอาใจเซฮุนมากกว่ามั้ง” จงอินทำหน้าเอือมก่อนจะโดนหมัดหนักๆ เกินขนาดมือชกลงที่ไหล่

     

    “พูดมากจริงแกนี่! จะเอามาฝากใครก็ได้ประโยชน์กันทั้งชมรมไม่ใช่รึไง?”

     

    “คร้าบๆ ผมขอโทษครับพี่ลู่ผู้แสนดี เอ้า! มาขอบคุณผู้มีอุปการคุณกันสิ” ประโยคหลังหันกลับไปกวักมือเรียกสมาชิกชมรมคนอื่นๆ ที่เพิ่งซ้อมเสร็จด้วย ทั้งหมดรีบปรี่เข้ามาหาพี่ชายต่างสถาบันข้างเบาะแล้วกล่าวสรรเสริญขอบคุณรับมุกประธานชมรมได้อย่างพร้อมเพรียง

     

    “พอเลยเด็กพวกนี้ ติดนิสัยกวนประสาทตามไอ้น้องดำกันหมดหรือไง อ่ะ! นี่ ของฝากจากจงฮยอนมัน” พูดพร้อมส่งซองน้ำตาลจ่าหน้าถึงชมรมยูโดมหาวิทยาลัย k ไปให้จงอินด้วย

     

    “อะไรเหรอฮะพี่ลู่หาน?” เซฮุนถามเสียงใสขณะที่จงอินกำลังแกะสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา

     

    “น่าจะกำหนดการแข่งเชื่อมความสัมพันธ์ 6 มหาลัย”

     

    “กำหนดการ? นี่เข้าใจว่าพี่จงฮยอนจะไม่จัดแข่งแล้วซะอีก ใกล้แข่งกีฬามหาลัยขนาดนี้แล้วน่ะนะ” ชานยอลพูดขึ้นพร้อมกับที่จงอินดึงเอกสารภายในซองออกมาอ่าน ทุกคนต่างชะโงกหน้ามุงสิ่งที่อยู่ในมือกัปตันทีม

     

    นับจากวันที่แข่งครั้งนั้นก็ผ่านมานานพอควร ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ฤดูกาลของกีฬามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นแม็ทซ์ใหญ่ก็ยิ่งใกล้เข้ามามากเท่านั้น แม็ทซ์เล็กๆ อย่างกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์จึงแทบถูกลืมเมื่อหลายๆ ทีมเริ่มจะซ้อมหนักขึ้นเพื่อเตรียมตัวแข่งขันในแม็ทซ์ใหญ่อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ดังนั้นการที่กำหนดการแข่งกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ยังถูกส่งมาอยู่จึงสร้างความแปลกใจให้กับพวกเขาได้ไม่น้อย

     

    “โห...แถมยังจัดใกล้ๆ กับกีฬามหาลัยเลยด้วย ห่างกันไม่กี่อาทิตย์เองนี่นา” แพคฮยอนพึมพำขึ้นเมื่อเห็นวันที่ในเอกสาร

     

    “ตอนแรกเห็นจงฮยอนมันว่าก็ไม่อยากจัดเหมือนกัน กลัวจะไปทำตารางซ้อมทีมอื่นๆ รวนกันหมด แต่พอปรึกษาหลายๆ ฝ่ายก็ยังต้องจัดเพราะมันเป็นธรรมเนียมที่ต้องมีทุกปี เห็นว่าแนบจดหมายขออภัยมาท้ายเอกสารด้วยนี่”

     

    จงอินพลิกดูเอกสารหน้าสุดท้ายแล้วก็พบจดหมายที่ว่านั่นจริงๆ เป็นฉบับที่แยกออกมาไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของเอกสารแจ้งอย่างเป็นทางการ เนื้อความจากประธานชมรมยูโดมหาวิทยาลัย m เขียนขอโทษเพื่อนร่วมวงการทั้ง 5 สถาบันที่อาจทำให้ลำบาก แต่ก็อยากให้ทุกคนเข้าใจการตัดสินใจของตนครั้งนี้ พร้อมลงชื่อคิมจงฮยอนท้ายจดหมาย

     

    มือหนารวบเอกสารทั้งหมดก่อนจะส่งไปให้ชานยอลที่แบมือขออ่านต่ออยู่ก่อนแล้ว เพื่อนตัวสูงเปิดอ่านเนื้อความทั้งหมดอีกครั้งแล้วส่งให้จงอินเก็บใส่ซองตามเดิม

     

    “ฝากบอกพี่จงฮยอนด้วยนะว่าไม่ต้องขอโทษหรอก ยิ่งได้ลงสนามแข่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มประสบการณ์ ดีซะอีกคยองซูกับเซฮุนจะได้ลองสนามเพิ่มก่อนจะไปเจอสนามใหญ่จริงๆ ขอบคุณพี่ด้วยนะพี่ลู่” จงอินคลี่ยิ้มบางให้พี่ชายตัวเล็ก

     

    “เออ ไม่เป็นไรหรอก ก็ช่วยๆ กันไป แกก็เริ่มจัดตารางซ้อมให้ดีๆ แล้วกัน โดยเฉพาะแพคฮยอน เห็นว่าลดน้ำหนักเยอะอยู่นี่ แข่งติดๆ กันแบบนี้ระวังทั้งเรื่องร่างกายและเรื่องน้ำหนักด้วยล่ะ”

     

    “มาเป็นผู้จัดการให้ทีมผมเลยมั้ยพี่?”

     

    “ยังจะกวนใช่ป่ะ?” ลู่หานกำหมดแล้วทำหน้าดุใส่จงอิน เด็กตัวสูงหัวเราะแล้วยกมือยอมแพ้พลางส่ายหัว

     

    “ล้อเล่นน่า ขอบคุณมากนะพี่ลู่ พี่ยังเป็นพี่ชายที่แสนดีของผมไม่เปลี่ยนเลยนะเนี่ย” หรี่ตามองลู่หานไปด้วย “ไหนๆ ก็เลิกซ้อมแล้วไปกินข้าวกันเถอะ เอารถมาใช่ป่ะ? งั้นพาน้องเซฮุนไปซื้อชานมก่อนเลย เดี๋ยวพวกผมไปรอกันก่อนที่ร้าน”

     

    “แหมใจดีจังนะวันนี้” หนุ่มชาวจีนยักคิ้วให้น้องชายก่อนจะส่งยิ้มหวานไปถึงคนตัวบางที่ยืนอยู่ข้างๆ คยองซูด้วย หลังจากนั้นไม่กี่นาทีพวกเราทั้งหมดก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่หน้าโรงยิม

     

    อีกไม่นานสนามแข่งขันอันท้าทายจกลับมาอีกครั้ง ช่วงเวลาแห่งการล้างตาก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นเช่นกัน คนที่เคยแพ้ต้องพยายามเพื่อกลับไปคว้าชัยชนะ ส่วนคนที่ชนะอยู่แล้วยิ่งยากกว่าที่จะคงชัยชนะให้ดำรงไว้ ชุดยูโดชื้นเหงื่อที่ถือติดมือทุกคนมาด้วยเตือนให้รู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องฝึกซ้อมอย่างหนักกันอีกแล้ว

     

    มือหนารับชุดยูโดจากคยองซูไปพร้อมรอยยิ้มก่อนที่คนตัวเล็กจะซ้อนท้าย มือบางโอบกอดรอบร่างคนข้างหน้าแน่นจนจงอินแอบชำเลืองมองรอยยิ้มเล็กบนใบหน้าหวานด้วยความสงสัย เครื่องยนต์ถูกสตาร์ทก่อนจะเคลื่อนไปตามเส้นทางเบื้องหน้า

     

    ...แต่ต่อให้ต้องเหนื่อยอีกแค่ไหน จะแพ้อีกสักกี่ครั้งเขาก็ไม่กลัวหรอก ไม่กลัวอีกแล้ว...




     

    TBC.
     




    Mirror* talk: มาแล้วววว TTvTT มาแบบมึนๆ งงๆ ฮืออออออ นี่รู้สึกเหมือนยิ่งเขียนยิ่งดิ่งอ่ะ แต่เราสัญญากับทุกคนแล้วว่าจะพาเรื่องไปจนจบเพราะงั้นเราจะสู้นะคะ ฮอลลลล ต้องขอบคุณทุกกำลังใจในตอนที่แล้วมากๆ ขอบคุณที่ยังรอกันอยู่ ถึงจะช้าไปหน่อยก็ยังรอกัน ขอบคุณมากๆ นะคะ

    ตอนนี้ก็ไม่มีอะไร เรียบเรื่อยจนรู้สึกแบบ เฮ้ย เรื่องไม่เดินไหมยังไง 555* แต่เดี๋ยวการแข่งขันอันเข้มข้นจะกลับมาอีกครั้งเร็วๆ นี้ค่ะ และตอนนี้มาพร้อมปริศนาของจื่อเทาที่เราเชื่อว่าหลายๆ คนคงจะพอเดาได้อยู่แล้ว 5555* ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเราก็ได้รู้พร้อมกับว่ามันคืออะไร พร้อมกับเตรียมตัวรับมือเรื่องราวต่อจากนี้ได้เลย เลย เลย เลย...

    วันนี้ทอล์คแค่นี้ก่อนเนอะ ใครมีอะไร อยากจะกรีดร้อง หรืออยากจะทวงฟิคสามารถไปได้ที่ทวิตเตอร์เราได้เลยนะคะ ยินดีรับฟังทุกคำติชมและการทวง 555*

    ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษรค่ะ

     

    ปล.มีของแถมมาให้ตามสัญญานะ J

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×