คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : !![Re-print] เปิดจองฟิค ONE IPPON รอบรีปริ้นท์
เปิดจองฟิค ONE IPPON รอบรีปรินท์
อ่านรายละเอียด+กรอกแบบฟอร์มสั่งจอง
คลิกที่รูปข้างล่างเลยค่ะ
V
V
▶ รายละเอียดฟิค
ฟิค ONE IPPON (by Mirror*)
1 ชุดมี 2 เล่มจบ
(เล่มที่ 1 จำนวน 295 หน้า เล่มที่ 2 จำนวน 275 หน้า)
ขนาด : A5
เนื้อเรื่อง : 35 ตอน + บทส่งท้าย
ตอนพิเศษ : 6 ตอน ไม่เคยลงที่ไหนมาก่อน (มีตอนพิเศษอยู่ทั้ง 2 เล่ม)
ของแถม : ที่คั่น 2 ลาย + ของแถมสุดพิเศษเฉพาะชาว ONE IPPON เท่านั้น
▶ ราคา
500 บาท ต่อ 1 ชุด(ไม่แยกขายเป็นเล่มนะคะ)
หากส่งไปรษณีย์เพิ่มค่าจัดส่งอีก 70 บาท ต่อ 1 ชุด เช่น
สั่ง 1 ชุด = 500 + 70 = 570 บาท
สั่ง 2 ชุด = 1,000 + 140 = 1,140 บาท
สั่ง 3 ชุด = 1,500 + 210 = 1,710 บาท
*หมายเหตุ* ค่าส่งเพิ่มจากพิมพ์ครั้งที่ 1 เนื่องจากโรงพิมพ์ไม่นำเข้ากระดาษ 55 แกรมที่เคยใช้พิมพ์ครั้งแรกแล้วค่ะ ทำให้หนังสือมีขนาดหนาขึ้น และมีน้ำหนักมากขึ้นค่ะ
▶ สถานที่และวัน-เวลานัดรับด้วยตัวเอง
นัดรับที่งาน Gen Y Trade Area (#GYTradeA1) ในวันเสาร์ที่ 21 มีนาคม 2558 นี้เท่านั้นค่ะ
(โรงแรมเอเชีย ห้องประกายเพชร บูธ G3)
รายละเอียดงานสามารถติดตามได้ที่นี่ค่ะ ^_________^
Twitter : @GYTradeA
Facebook: https://www.facebook.com/GYTradeA
▶ ระยะเวลาการจอง
20 มกราคม - 20 กุมภาพันธ์ 2558
▶ วิธีการจอง
[1]กรอกรายละเอียดตามแบบฟอร์มให้ครบถ้วน >>> แบบฟอร์ม
[2]โอนเงินตามเลขบัญชีด้านบน
[3]ส่งเมลแจ้งโอนมาที่ mirrortogether@hotmail.com
หัวข้อ "แจ้งโอนรีปริ้นท์วอป."
โดยระบุ
ชื่อ-นามสกุล
วัน-เวลาที่โอน
จำนวนเงินที่โอน (แนะนำให้โอนเป็นเศษสตางค์มาด้วย และถ้ามีสลิปด้วยจะดีมากค่ะ)
[4]รอเมลตอบยืนยันกลับ(อาจจะภายใน 1-3 วันค่ะ)
[5]รอรับฟิคได้เลยค่ะ
*หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ Twitter: @MirrorJK หรือ email: mirrortogether@hotmail.com ค่ะ*
สวัสดีค่ะ ^____________^
เรากลับมาแล้ว ได้ยินเสียงหลายๆคนมาว่าพลาด #วอป รอบแรกไปอยากได้มาเก็บไว้ทำไงดี ตอนนี้เราเปิดให้สั่งจองวันอิปป้งรอบรีปริ้นท์แล้วนะ เย้ๆ แม้รอบนี้อาจจะผิดเพี้ยนไปจากรอบที่แล้วบ้างที่ราคาค่าจัดส่งอาจจะสูงขึ้นแต่อยากได้ทุกคนเข้าใจจริงๆนะคะ TTvTT ครั้งที่แล้วใช้กระดาษบางกว่าปกติทำให้เล่มไม่หนามาก น้ำหนักก็ไม่มาก แต่กระนั้นค่าส่งก็ยังเข้าเนื้อเราไปมากโข รอบนี้กระดาษจะหนากว่าเดิม แน่นอนว่าความหนาของเล่มและน้ำหนักของเล่มก็ต้องมากขึ้นด้วยค่ะ เพราะฉะนั้นขอโปรดเห็นใจเรา เพิ่มค่าส่งอีก 20 บาทนะคะ กราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
ส่วนเรื่องวันนัดรับ เชื่อว่าคงมีทั้งคนที่ไปได้และไปไม่ได้ อาจจะด่าเราว่าทำไมไม่นัดรับนอกรอบวะเฮ้ย TTvTT เราต้องกราบขออภัยเรื่องนี้ด้วยเช่นกันนะคะ เนื่องจากในช่วงระยะต้นปีนี้แทบทุกอาทิตย์เราไม่ว่างจริงๆค่ะ ลำพังวันธรรมดาก็แทบไม่ค่อยมีเวลาทำอย่างอื่นแล้ว เขียนฟิคก็น้อยลง เพราะงานประจำหนักขึ้นมากๆ ฮือออออ *ปาดน้ำตา* แม้อาจจะถูกใจใครบ้างไม่ถูกใจใครบ้างก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ
และสุดท้าย เชื่อว่าคงมีคำถามตามมาว่า เหยยยย งั้นไปซื้อในงานเลยได้ป่ะ? ไม่ต้องจองล่วงหน้าไรงี้? ก็ตอบตรงนี้ว่าได้ค่ะ แต่ไม่รับประกันว่าของจะมี เพราะเราจะทำไปในจำนวนค่อนข้างจำกัดค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากไปลุ้นเอาก็จองเอาไว้ดีกว่าเนอะ รับรองว่าได้ชัวร์ ไม่มั่วนิ่ม
สุดท้ายจริงๆ ขอขอบคุณทุกคนที่ยังสนับสนุนวอป.และกระจกเสมอมานะคะ
กระจก
- ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม -
Special JONGDAE*MINSEOK
จงแดยังจำได้ดีว่าตัวเองต้องรวบรวมความกล้านานแค่ไหนกว่าจะตัดสินใจก้าวพ้นประตูห้องชมรมยูโดไปได้ มือที่สั่นอย่างไร้การควบคุมอยู่แล้วยิ่งออกอาการหนักเมื่อทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นหยุดส่งเสียงคุยจ้อกแจ้กแล้วหันกลับมามองเขาพร้อมกันเป็นตาเดียว
“เอ่อ...จะมาสมัครเข้าชมรมครับ” ตอบไปอย่างไม่เต็มเสียงนักเพราะความประหม่ากำลังเล่นงานเขาอย่างหนัก
เมื่อได้ยินคนแปลกหน้าที่เพิ่งผลักประตูห้องชมรมเข้ามากล่าวเช่นนั้น ชายหนุ่มที่ตัวสูงที่สุดในกลุ่มก็หันไปมองทางคนตัวเล็กอีกคนที่กำลังคลี่ยิ้มโชว์ลักยิ้มน่ามอง ทั้งสองพยักหน้าให้กันหนึ่งครั้งราวกับแทนคำพูด จากนั้นก็หันมาทางชายในชุดนักศึกษาปล่อยชายเสื้ออีกคนซึ่งนั่งถัดเข้าไปอีก
“ได้เพื่อนตั้งแต่วันแรกเลยนะมินซอก”
“โชคดีจัง เวลาซ้อมจะได้ไม่เหงา” เจ้าของแก้มกลมคนนั้นพูดขึ้นพร้อมวาดรอยยิ้ม
ร่างสูงสมส่วนแบบนักกีฬาเดินมาหาจงแด ริมฝีปากได้รูปฉายรอยยิ้มเป็นมิตร ยิ่งทำให้ใบหน้าหล่อเหลายิ่งมีเสน่ห์ชวนมองมากขึ้นไปอีก จากนั้นเสียงทุ้มก็กล่าวแนะนำตัวสั้น ๆ
“ฉันชื่ออู๋อี้ฟาน อยู่ปี 2 และเป็นรักษาการณ์ประธานชมรมอยู่ตอนนี้”
“ประธานชมรมคือพี่เฮนรี่ปี 3 แต่ตอนนี้เขาไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศอยู่น่ะ” คนตัวบางที่ยังอวดลักยิ้มเป็นคนพูดประโยคถัดมา ซึ่งคนที่เพิ่งแนะนำตัวว่าชื่ออู๋ฟานก็พยักเพยิดหน้าไปทางคนพูดด้วย
“คนนั้นชื่อจางอี้ชิง แล้วก็ที่ยืนถัดไปนั่นคือคิม จุนมยอน ส่วนที่นั่งอยู่บนเบาะนั่นชื่อคิม มินซอก อยู่ปี 2 เหมือนกับพวกฉัน” อู๋ฟานไล่แนะนำสมาชิกที่อยู่ในห้องนี้ทีละคนไม่ขาดตก “นายอยู่ปีอะไร?”
“ปี 1 ครับ”
“เยี่ยมเลย คิดไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าจะมีปี 1 กล้าเข้ามาเล่นด้วย เจ๋งสุด ๆ เลยจงแด” น้ำเสียงสดใสของอี้ชิงทำให้จงแดอุ่นใจขึ้นมาก จากที่ตอนแรกเกร็งแทบแย่ว่าสมาชิกในชมรมยูโดคนจะมีแต่พวกตัวโตเสียงดังชอบทำเสียงดุใส่
จงแดยืนหัวเราะแห้ง ๆ ด้วยนึกไม่ออกว่าควรจะทำอะไรต่อไป กลุ่มรุ่นพี่ปี 2 ก็หันกลับไปคุยเรื่องสมาชิกใหม่กันอย่างตื่นเต้น แต่ในตอนนั้นเองที่มินซอกลุกขึ้นแล้วเดินมาทางเขา รอยยิ้มน่ามองฉายชัดบนใบหน้าหล่อติดหวานนิด ๆ
“คิมจงแดใช่มั้ย? ไม่ต้องเรียกฉันว่าพี่หรอกนะ ให้เรียกมินซอกเฉย ๆ นี่แหละ”
“เอ่อ...แต่ว่า...” คนอายุน้อยกว่ากำลังจะทักท้วงแต่มินซอกกลับยกนิ้วชี้ขึ้นมาตรงหน้าแล้วส่ายไปมาเพื่อบอกให้เขาหยุดพูด ดวงตาคู่เล็กฉายแววซุกซนแบบเด็ก ๆ
“เราเข้ามาเล่นยูโดพร้อมกันนะ ที่นี่มีคติมาก่อนเป็นพี่ มาหลังเป็นน้อง มาพร้อมเป็นเพื่อน ใช่มั้ยวะอู๋ฟาน?” ท้ายประโยคเหลียวกลับไปถามรักษาการณ์ประธานชมรมที่ยืนกอดอกอยู่ข้างเบาะ
“เออ ตามนั้นแหละ” ใบหน้าหล่ออันตรายเพียงคลี่ยิ้มเล็กน้อยเหมือนเหนื่อยจะตอบคำถามเด็กซนที่อายุเท่ากัน
“เพราะฉะนั้นเข้าใจแล้วนะ? เราเป็นเพื่อนกัน เวลาซ้อมก็ซ้อมด้วยกัน ฉันไม่อยากให้นายมาเกร็งว่าฉันเป็นพี่ โอเคนะจงแดอ่า”
“ค...ครับ อ่า...โอเคมินซอก”
Special TAO*JOONMYUN
จุนมยอนยังจำได้ดีถึงวันที่พบหวังจื่อเทาครั้งแรกที่ห้องชมรม เด็กตัวสูง หุ่นนักกีฬา ใต้ตาคมเฉี่ยวคล้ำเหมือนแพนด้า พูดภาษาเกาหลีได้คล่องพอตัวแม้จะยังติดสำเนียงจีนอยู่บ้าง คนที่อู๋ฟานแนะนำว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย s ซึ่งอยู่ไม่ไกลกับมหาวิทยาลัยของเขานัก
เด็กตัวสูงที่เป็นนักกีฬาวูซูของมหาวิทยาลัยมักจะมาหาญาติผู้พี่อยู่บ่อยครั้ง บางทีก็ไปกินข้าวด้วยกันกับทีมเขา หรือถ้าซ้อมเลิกดึกหน่อยก็ยังเคยพาจุนมยอนไปส่งที่หอก่อนที่จะขี่รถกลับหอตัวเองบ้าง จึงไม่แปลกอะไรนักหากจุนมยอนจะสนิทกับเด็กรุ่นน้องคนนี้ไปด้วย
แม้ภายนอกจื่อเทาจะดูเป็นคนเงียบๆ แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่ยิ้มง่ายกว่าที่คิด เด็กตาแพนด้ามักจะเรียกชื่อของเขาด้วยสำเนียงเพี้ยนๆ ภาษาเกาหลีที่ไม่แข็งแรงของจื่อเทาก็เรียกเสียงหัวเราะจากจุนมยอนได้บ่อยครั้ง บางทีจื่อเทาก็มาให้เขาช่วยสอนภาษาเกาหลีให้ด้วย
จากความสนิทสนมที่สะสมไว้เรื่อยๆ ทำให้จุนมยอนไม่ทันสังเกตว่าความรู้สึกของตัวเองนั้นเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด กว่าจะเริ่มรู้ตัวว่ามันเอ่อท้นจนแทบล้นใจก็วันที่จื่อเทาได้กลับมาเจอโอเซฮุนอีกครั้งที่การแข่งเชื่อมความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่จุนมยอนรู้สึกเจ็บแปลบอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน เซฮุนยังน่ารักเหมือนเดิมเลยว่ะเฮีย”
“เออๆ กระดี๊กระด๊าออกนอกหน้าเชียวนะ ขอเบอร์เขามาแล้วล่ะสิ” อู๋ฟานขำเลืองมองเด็กตัวสูงที่นั่งยิ้มอารมณ์ดีกับโทรศัพท์ จื่อเทาหันมาเลิกคิ้วให้กวนๆ ก่อนจะให้ความสนใจกับโทรศัพท์ต่อ
หลังจากวันนั้น จื่อเทาก็ค่อยๆ หายไปจากชีวิตของเขา ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าเด็กตัวสูงเฝ้าไปหาใครที่ไหนทุกวัน แม้จะนึกโกรธตัวเองที่หันไปมองประตูห้องชมรมบ่อยครั้งจนเสียสมาธิซ้อมแต่จุนมยอนก็พยายามบอกตัวเองว่าอย่าคาดหวังไปมากกว่านี้ ระหว่างเขากับจื่อเทายังไม่มีสถานะเลยด้วยซ้ำ เป็นแค่คนรู้จักในฐานะเพื่อนร่วมทีมของลูกพี่ลูกน้อง พอคิดได้เช่นนั้นรอยยิ้มกล้ำกลืนก็วาดบนริมฝีปากบาง
หากวันไหนที่จื่อเทาแวะมาก็มักจะพารอยยิ้มอารมณ์ดีกับเรื่องราวของโอเซฮุนมาเล่าให้อู๋ฟานฟังด้วย บ่อยครั้งทีเดียวเจ้าเด็กจีนกวักมือเรียกจุนมยอนให้มานั่งฟังด้วยกัน บ้างก็เรื่องสุข บ้างก็เรื่องทุกข์ แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกครั้งที่ต้องนั่งฟังคนตรงหน้าพูดถึงใครคนอื่น จุนมยอนก็ทำเพียงยิ้มบางแล้วรับฟังเรื่องราวเหล่านั้นด้วยหัวใจที่ปวดแปลบ
ทว่าระยะหลังจื่อเทาพาใบหน้าที่ไม่สู้ดีนักมาบ่อยขึ้น พอถามก็กลับไม่พูดอะไร เพียงแค่ส่งยิ้มเศร้ามาให้แล้วบอกว่าตอนนี้ตนเองยังไหว ถึงจะเป็นห่วงมากแค่ไหน แต่กับคนที่ยังเป็นได้แค่คนรู้จักก็คงทำได้แค่มองอยู่ห่างๆ ตรงนี้
กระทั่งวันหนึ่งที่จื่อเทาเข้ามาที่ห้องชมรมตอนที่ทุกคนกลับไปหมดแล้ว เหลือแค่จุนมยอนที่รับหน้าที่ถือกุญแจรอปิดห้อง ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าแสนเศร้าเขาก็แทบพุ่งเข้าไปหาร่างโซเซที่พาตัวเองมายืนข้างเบาะ ไม่มีกลิ่นเหล้าติดตัวมา แสดงว่าอาการราวกับคนตุ๊กตาไร้ชีวิตที่เห็นนี้มาจากคนที่ยังสติดีครบถ้วน
“เป็นอะไรหรือเปล่าเทา?” คนเป็นพี่ถามด้วยความเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายกลับเงียบ “อู๋ฟานกลับไปแล้วล่ะ เพิ่งจะออกไปกับอี้ชิงเอง”
“ผมไม่ได้มาหาเฮีย” เสียงทุ้มตอบเบาๆ ก่อนที่ดวงตาเลื่อนลอยคู่นั้นจะสบตาเขา “ผมตั้งใจมาหาพี่”
“มาหาฉันเหรอ? นายมีอะไรไม่สบายใจเหรอเทา? เป็นอะไรหรือเปล่า?” จุนมยอนถามเสียงลนลาน“วันก่อนที่ฝนตกนายไม่ได้ขี่รถตากฝนกลับหอใช่มั้ย? มหาลัย k กับหอนายก็ไม่ใกล้กันเลยนะ” มือขาวเที่ยวแตะไปตามหน้าผากบ้าง ข้างแก้มบ้างด้วยความเป็นห่วง
“ตัวไม่ร้อนใช่มั้ย...อ่ะ เทา?” เสียงขาดห้วงในท้ายประโยคเมื่อจู่ๆ แขนยาวก็คว้าตัวคนเป็นพี่เข้าไปกอดแน่น ซบใบหน้าลงกับลาดไหล่เล็กแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า
“เขาเลือกแล้วล่ะ เซฮุนเลือกมาตั้งแต่ต้นแล้ว ผมอกหักแล้วจุนมยอน”
Special WUFAN*YIXING
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวยาวข้างเบาะพร้อมกับปลดสายดำของตัวเอง เสียงถอนหายใจแผ่วๆ กลืนหายไปกับเสียงทุ่มบนเบาะ แขนยาวยกขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าหล่อเหลาลวกๆ ก่อนจะพิงหลังมองการซ้อมของเพื่อนร่วมทีมบนเบาะต่อไป
เขาคิดว่าบางทีอาจจะถึงเวลาเสียที อู๋ฟานรู้ดีว่าสิ่งที่เขาตัดสินใจคงทำให้คยองซูต้องเสียใจมากทั้งที่เจ้าตัวก็ไม่ได้ทำผิดอะไร อู๋ฟานรู้ว่าเขาคงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากๆ แต่ในเมื่อเขาเลือกที่จะทุ่มเทให้ยูโดแล้วก็คงไม่มีทางเลือก ก็ได้แต่หวังเพียงว่าตลอดระยะเวลาที่คบกันมา โด คยองซูจะเข้าใจนักยูโดที่แสนงี่เง่าอย่างเขาว่าเพราะเหตุใดจึงเลือกตัดสินใจเช่นนี้
ขณะปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความคิดอันสับสน พลันดวงตาคู่คมก็สะดุดเข้ากับบางอย่างบนเบาะซ้อม ร่างผอมในชุดยูโดสายดำซึ่งช่วยทำให้ดูตัวใหญ่ขึ้นมาอีกนิดกำลังฝึกเข้าท่าถนัดของตัวเองอยู่ การเคลื่อนไหวซ้ำๆ แต่แข็งแรงคงจะข่มขวัญใครต่อใครได้มากหากได้เห็น แต่อู๋ฟานกลับมองบางอย่างที่คนทั่วไปอาจมองไม่ออก
อู๋ฟานลุกขึ้นแล้วมัดสาย ก้าวเท้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆ คนที่กำลังตั้งใจเข้าท่าทุ่มอย่างแข็งขัน เมื่อรู้สึกว่ามีคนมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ อี้ชิงก็หยุดการเคลื่อนไหวแล้วหันมองผู้มาใหม่ด้วยความแปลกใจ
“เข้าท่าต่อสิ” เสียงทุ้มที่ได้ยินไม่บ่อยนักเอ่ยขึ้น แม้จะยังงงๆ แต่ร่างผอมก็เข้าท่าต่อ แต่พอถึงจังหวะที่ต้องถอยตัวออกมาตั้งหลักเพื่อจะเข้าครั้งถัดไปมือใหญ่กลับหยุดเขาไว้เสียก่อน
“จริงๆ ด้วย”
“ห...หา?” ร้องเสียงสูงเจือเสียงหอบหายใจ อู๋ฟานกระตุกแขนเสื้อยูโดของอีกฝ่ายเพื่อให้ปล่อยมือจากแขนเสื้อคนเป็นหุ่นแล้วเลื่อนลงมาให้มือขาวจับตรงปลายแขนเสื้อแทน
“เข้าท่าโซเดฯ แต่จับซะเกือบถึงศอกแบบนั้นเวลาเข้าท่าไม่เจ็บไหล่หรือไง?” มองหน้าเหมือนต้องการจะเอาคำตอบ อี้ชิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบเสียงเบา
“ก็...เจ็บบ้างถ้าเข้าเยอะๆ”
“แปลก ฉันว่าท่านี้น่าจะเป็นท่าถนัดของนายนะ เพราะเวลาแข่งก็เห็นนายใช้ออกจะบ่อย แล้วทำไมถึงไม่รู้ล่ะว่าจับปลายแขนจะเกิดช่องว่างระหว่างหุ่นกับคนทุ่มทำให้เข้าได้เร็วกว่า แถมไม่ต้องงัดขึ้นมาเยอะๆ ให้ไหล่เสียด้วย”
ภาษาจีนประโยคยาวที่พูดออกมาสร้างความประหลาดใจให้อี้ชิงไม่น้อย อู๋ฟานรู้ว่าเขาเป็นคนจีนนั้นไม่แปลก แต่ที่สามารถบอกได้ว่าเขาถนัดท่าอะไร ซ้ำยังรู้ว่าตอนแข่งเขาเล่นอย่างไรทั้งๆ ที่เราไม่ได้อยู่รุ่นเดียวกันนั่นต่างหาก อี้ชิงนึกว่าท่านคริสแห่งวงการยูโดจะเป็นคนที่เย็นชาและไม่สนใจโลกมากกว่านี้เสียอีก
“ก็รู้ แต่จับปลายแขนฉันรู้สึกไม่ชัวร์น่ะ ถ้าโดนกระชากแรงๆ ก็หลุดได้ง่ายๆ เหมือนกันนะ” ร่างเล็กเอ่ยภาษาจีนบอกเหตุผลกลับไป คนฟังส่งเสียงอือออพลางครุ่นคิดอยู่สักพัก
“อีกอย่างถ้าจับลึกๆ แบบนี้คู่ต่อสู้ก็ไม่รู้ด้วยว่าคิดจะเข้าโซเดฯ อาจจะหลอกเข้าอิปป้อนก็ได้ ตรงกันข้ามอาจจะหลอกเข้าอิปป้อนแต่จริงๆ สวนโซเดกลับไปก็ได้ ฉันว่ามันก็โอเคนะถ้าต้องแลกกับแรงงัดที่เพิ่มขึ้น”
“อ่า...นั่นสินะ บางครั้งก็เคยเห็นนายหลอกแบบนี้เหมือนกัน” อู๋ฟานพยักหน้าเหมือนกำลังทบทวนอยู่กับตัวเองจนไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มหวานอวดลักยิ้มของคนตรงหน้า
“แต่ก็ขอบใจนายมากนะที่มาแนะนำ นายถนัดท่าดีดใช่มั้ยล่ะ? ส่วนใหญ่คนเล่นท่าดีดก็มักจะจับปลายแขนเสื้อกันทั้งนั้น เอาไว้ฉันจะจับปลายแขนเสื้อแล้วใช้ท่าดีดเป็นท่าหลอกบ้างดีกว่า”
ในตอนที่จบบทสนทนาที่ยาวที่สุดของเราด้วยรอยยิ้ม อู๋ฟานสาบานเลยว่าตนเองไม่ทันได้คิดว่าประโยคนั้นของอี้ชิงได้บอกเขามาแล้วว่าคนที่ได้ฉายาแม่พระแห่งวงการก็คอยสังเกตเวลาที่เขาแข่งไม่ต่างกัน...
Special LUHAN*SEHUN
ความรู้สึกยามที่ร่างกระแทกเบาะนั้นมันช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ไม่ใช่ร่างกายที่กระทบพื้นเนื้อแข็ง แต่เป็นใจที่พบกับความพ่ายแพ้เป็นครั้งแรก ราวกับถูกเหวี่ยงสู่ก้นเหวลึก ความมั่นใจทั้งหมดที่มีไร้ค่าในชั่ววินาที
...แพ้แล้ว...
แพ้...แพ้...แพ้
โสตประสาทของเซฮุนรับรู้เพียงคำๆ เดียววนเวียนอยู่อย่างเดิมไม่ว่าจะตอนเคารพหลังผลตัดสิน ตอนที่อี้ชิงเดินเข้ามากอดและพูดปลอบสั้นๆ ตอนที่ลงไปนั่งข้างเบาะเพื่อรอชานยอลขึ้นแข่งต่อ หรือกระทั่งตอนที่ก้าวเท้าลงมาจากเบาะแล้ว
มันเจ็บจนไม่มีน้ำตา แต่ลึกๆ ภายในใจนั้นเซฮุนรู้ดีว่ามันไม่ต่างอะไรจากเขื่อนที่รองรับน้ำไว้เต็มที่ กำลังค่อยๆ เกิดรอยร้าวทีละนิด ความรู้สึกสับสนมากเกินกว่าร่างกายจะประมวลเองได้ว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร แม้แต่ตอนที่เกลือแร่ขวดหนึ่งยื่นมาตรงหน้า เซฮุนก็ยังนิ่งจนน่าตกใจ
“เซฮุนน่า...นายโอเคมั้ย?” จื่อเทาเอ่ยถามเขา ใช้เวลาอีกครู่ใหญ่ทีเดียวกว่าที่เซฮุนจะหันกลับไปตอบ และคำตอบนั้นมีแต่คำว่าแพ้ ตอกย้ำตัวเองจนน้ำตาเริ่มเอ่อท้นที่ขอบตา
เด็กหนุ่มตัวสูงพูดปลอบเพื่อนตัวเล็กที่เอาแต่โทษตัวเอง ความผิดหวังครั้งแรกทำให้เซฮุนเอาแต่ซ้ำแผลของตัวเอง จื่อเทาดึงร่างอีกฝ่ายให้จมไปในอ้อมกอดด้วยทนไม่ไหวหากต้องเห็นคนที่เคยเข้มแข็งตลอดมาเสียน้ำตาด้วยความเจ็บปวด กัปตันทีมมหาวิทยาลัย k ลอบส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกให้จื่อเทาพาเซฮุนกลับไปที่ทีมก่อน
จื่อเทาเอาแต่ลูบหัวปลอบโยนคนที่กล้ำกลืนก้อนสะอื้นเอาไว้ เซฮุนแทบไม่เงยหน้าขึ้นมาคุยกับเขาเลย ใบหน้าหวานเอาแต่ซุกกับอกกว้าง สัมผัสเปียกชื้นบนเสื้อบอกได้เป็นอย่างดีว่าคนที่กำลังกอดอยู่นี้ร้องไห้หนักมากแค่ไหน
“อย่าโทษตัวเองเลยนะ นายทำดีที่สุดแล้ว แพ้ครั้งนี้ครั้งหน้าก็ยังมีนะ” แม้จะเป็นประโยคเดิมที่พูดแล้วไม่รู้กี่หน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่สามารถหาคำปลอบที่ดีกว่านี้ได้แล้วจริงๆ จื่อเทาไม่อยากให้เซฮุนต้องบอบช้ำไปมากกว่านี้ เขาจึงคอยระวังทุกคำพูดไม่ให้กระทบความรู้สึกของคนตัวเล็ก
หัวทุยส่ายไปมาเบาๆ กับอกกว้าง เสียงสะอื้นแผ่วแว่วมาให้ได้ยินอีกหน มือหนาลูบแผ่วเบาบนแผ่นหลังบอบบางก่อนจะระบายลมหายใจออกมา
“อย่าร้องไห้เลยนะเซฮุน” เอ่ยถ้อยคำนี้ออกไปด้วยหัวใจที่เจ็บช้ำไม่ต่างกัน เขาก็เป็นนักกีฬาย่อมรู้ดีว่าแพ้ครั้งแรกมันทรมานมากแค่ไหน อาจจะต่างก็ตรงที่จื่อเทาเริ่มจากศูนย์แล้วค่อยๆ เก็บประสบการณ์ไปเรื่อยๆ แรกๆ ก็แพ้แต่ก็เริ่มพัฒนาตัวเอง แต่เซฮุนนั้นมีพรสวรรค์มากเกินไป เพื่อนของเขาเริ่มจากชนะอย่างสวยงามจึงไม่แปลกหากจะเสียใจขนาดนี้
เด็กหนุ่มหน้าคมอยากจะอยู่เป็นเพื่อนปลอบคนที่กำลังผิดหวังนานกว่านี้ แต่จำต้องปล่อยคนตัวเล็กไปเพราะดูเหมือนลูกพี่ลูกน้องของเขากำลังเรียกหาอยู่ แม้เซฮุนจะบอกให้เขากลับไปหาอู๋ฟานเพราะตัวเองดีขึ้นแล้วแต่จื่อเทาก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ริมฝีปากสีสดจึงระบายยิ้มออกมาเล็กน้อยเพื่อบอกว่าตนเองดีขึ้นแล้วจริงๆ
ลับหลังร่างสูงเดินจากไปแล้ว ใบหน้าเศร้าหมองก็ซบลงกับผ้าเย็น ปิดกั้นตัวเองจากสิ่งอื่นรอบตัวแล้วดำดิ่งอยู่ในโลกแห่งความเสียใจ เขาไม่อยากรับรู้อะไรสักอย่าง ไม่อยากได้ยินเสียงจ้อกแจ้กระหว่างเตรียมพิธีรับเหรียญ ไม่อยากเห็นรอยยิ้มของคนที่ประสบความสำเร็จ ไม่อยากรู้ว่าตัวเองอ่อนแอมากแค่ไหน
เซฮุนปิดกั้นทุกอย่างจนลืมกระทั่งว่าใครคนหนึ่งได้หายไปจากตรงนี้
ไม่รู้นานเท่าไหร่ที่เอาแต่ซ่อนใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงบนผ้าผืนเดิม รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงขวดแก้วกระทบกันดังใกล้ๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เซฮุนก็ไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมองอยู่แล้ว หากแต่คนที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้ากลับเรียกชื่อเขาขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาผิดปกติ
“โอเซฮุน”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาและพบว่าเป็นใคร น้ำตาที่หยุดไหลไปก็พาลมาคลอเอ่อกันที่หน่วยตาอีกครั้ง ริมฝีปากบางสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อได้สบตากับคนที่ยืนหน้าเรียบเฉยจนน่าตกใจ
“พี่ลู่หาน เซฮุน...แพ้...” เสียงสั่นเครือเอ่ยออกไป “เซฮุนแพ้...แพ้แล้ว”
“โอเซฮุน...”
หากแต่คนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้ากลับทำเพียงเรียกชื่อเขาซ้ำอีกครั้ง ดวงตาคมกล้าที่ทอดมองมาอย่างเฉยชาหากแต่พยายามซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้เบื้องหลังกำลังสั่งให้เขาหยุดพูดแล้วตั้งใจฟัง ลู่หานลอบถอนหายใจเสียงเบาขณะที่หยดน้ำตาของคนเป็นน้องกำลังเอ่อท้น
“พี่ไม่ชอบคนขี้แพ้”
คำพูดนั้นดั่งน้ำเย็นจัดสาดซัดเข้าเต็มใบหน้า ชาทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า น้ำตาหลั่งรินไหลผ่านข้างแก้มไร้ความรู้สึก ดวงตาแสนพร่าเลือนบดบังใบหน้าเฉยชาของคนพูด
“ถ้ายังทำตัวเป็นคนขี้แพ้อย่างนี้อยู่ก็แพ้ต่อไปเรื่อยๆ นั่นแหละ แล้วนายจะไม่มีวันสัมผัสชัยชนะอีกเลย” วางถุงเกลือแร่ที่อีกฝ่ายชอบไว้ข้างๆ เพราะรู้ดีว่าคนที่ปล่อยน้ำตาให้ไหลอย่างหนักคงไม่เหลือเรี่ยวแรงจะทำอะไรได้อีกแล้ว
ลู่หานมองคนอายุน้อยกว่าแล้วถอนหายใจออกมาอีกหนึ่งครั้ง ไม่มีคำพูดใดๆ ต่อจากนั้นนอกจากหันหลังแล้วเดินจากไป ทิ้งคนที่กำลังบอบช้ำไว้กับกองน้ำตาโดยที่ไม่กลับมาหาอีกเลย แม้แต่ตอนที่ขึ้นรถกลับมหาวิทยาลัยลู่หานก็ไม่มาส่ง มีเพียงข้อความสั้นๆ ที่ส่งถึงจงอินให้ช่วยดูแลน้องเล็กของทีมให้ด้วย
Special CHANYEOL*BAEKHYUN
“พี่แพคฮยอนกลั้วปากหน่อยฮะ” เซฮุนยื่นขวดน้ำให้หลังจากช่วยเช็ดเหงื่อที่ขาเสร็จแล้ว แพคฮยอนไม่ได้รับขวดมาแต่เป็นชานยอลที่รับมาให้แทน
“กลั้วนะ อย่ากลืน ไม่อย่างนั้นที่วิ่งมาทั้งหมดจะสูญเปล่า” พูดก่อนจะค่อยๆ จรดปากขวดบนริมฝีปากแห้ง แพคฮยอนค่อยๆ รับน้ำเปล่าเข้าปากช้าๆ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กลืนความสดชื่นลงไปด้วยความกระหาย หลังจากกลั้วทั่วปากพอให้รู้สึกดีขึ้นไม่นานก็บ้วนทิ้ง
มือใหญ่ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำที่ยังเปื้อนอยู่บนริมฝีปากออกให้เบาๆ ปัดลูบเส้นผมที่เปียกเหงื่อลงมาปิดหน้าผากมนออกไม่ให้เกะกะ แล้วค่อยรูดซิปเสื้อวอร์มให้จนถึงคอเหมือนเดิม
“โอเคขึ้นมั้ย?” เสียงทุ้มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แพคฮยอนพยักหน้าเบาๆ “งั้นวิ่งอีกครึ่งชั่วโมงแล้วมาเช็ดเหงื่อออกใหม่ ถ้าไม่ไหวอย่าฝืนเด็ดขาดนะพยอนแพค มันอันตราย”
แพคฮยอนพยักหน้าแล้วค่อยๆ ดันตัวเองออกจากอกกว้างของคนด้านหลัง เซฮุนส่งผ้าขนหนูผืนใหม่ที่แห้งกว่าผืนเดิมมาให้ แพคฮยอนสวมหมวกและสูดหายใจลึกอีกครั้ง ก่อนจะยกขาอันหนักอึ้งออกวิ่งท่ามกลางแดดร้อนอีกหน
เมื่อคนตัวเล็กในชุดหนาทับกันหลายชั้นออกวิ่งต่อ ดวงตาฉายแววกังวลก็ทอดมองตามแผ่นหลังบอบบางนั้นไปด้วย ชานยอลไม่ละสายตาจากแพคฮยอนเลยสักวินาทีเดียว เพราะเขากลัวว่าหากละสายตา เมื่อหันไปอีกครั้งแพคฮยอนอาจล้มลงไปกองกับพื้นแล้วก็ได้
เมื่อสักครู่เขาพาแพคฮยอนไปลองเทสน้ำหนัก ปรากฏว่ายังเหลือเกินอีกประมาณครึ่งกิโล ปกติถ้าเหลือสักเท่านี้คงไม่น่าห่วง นั่งๆ รอให้ปวดห้องน้ำหรือไม่ก็เคี้ยวหมากฝรั่งบ้วนน้ำลายไปเรื่อยๆ ก็พอได้อยู่ แต่เพราะแพคฮยอนรู้ตัวดีว่าร่างกายแทบไม่เหลือน้ำให้ขับออกมาอีกแล้ว แม้แต่น้ำแค่ขีดเดียวก็ยังยาก
นี่มันเกินลิมิตที่ควรจะเป็นแล้วด้วยซ้ำไป ชานยอลพอเดาได้ว่าอีกไม่นานแพคฮยอนจะอยู่ในสภาพไหน แต่ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่ายังไหวก็คงป่วยการที่เขาจะเข้าไปห้าม ก็ได้แต่ยืนมองและคอยช่วยอยู่ตรงนี้เท่าที่จะทำได้
“พี่ชานยอลฮะ เดี๋ยวเซฮุนไปซื้อน้ำแข็งใส่กระติกแช่ผ้าเย็นเพิ่มก่อนนะฮะ จะเอาอะไรเพิ่มมั้ย?” เสียงคนเป็นน้องถามขึ้นเมื่อน้ำแข็งในกระติกละลายไปเกือบหมดด้วยอากาศที่ร้อนจัด
“เตรียมพวกน้ำหวานหรือของหวานๆ เอาไว้รอตอนแพคฮยอนชั่งน้ำหนักเสร็จแล้วกัน ขาดน้ำกับน้ำตาลมากขนาดนี้ให้กินพวกแป้งเลยคงไม่ไหว” ชานยอลตอบทั้งที่ยังไม่ยอมละสายตาจากคนที่วิ่งไปถึงครึ่งของสนามแล้ว เซฮุนพยักหน้าแล้วหิ้วกระติกใบเล็กออกไป โดยฝากวางของอื่นๆ ไว้กับชานยอล
เดิมทีเขาตั้งใจจะปล่อยให้แพคฮยอนวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนครบครึ่งชั่วโมงอย่างที่บอกไว้ แต่ยิ่งวิ่งเข้ามาใกล้เท่าไหร่เขาก็ยิ่งเห็นใบหน้าซีดเผือดนั้นชัดเจนขึ้น อาการดูน่าเป็นห่วงเกินกว่าที่เขาจะปล่อยให้วิ่งต่อไป
รอจนอีกคนพาร่างกระท่อนกระแท่นมาอยู่ตรงหน้า ชานยอลก็ออกไปยืนขวางแล้วรั้งร่างที่พร้อมจะล้มกองกลับเข้ามาในร่ม เสียงหอบหายใจรุนแรงจนน่ากลัว ดวงตาเรียวรีดูอ่อนล้า ผิวกายที่ควรร้อนกลับเย็นราวกับไม่มีเลือดไหลเวียน
มือหนาลูบหน้าลูบตาคนเหงื่อท่วมแล้วลองถูแขนเสื้ออีกฝ่าย สัมผัสระหว่างชุดตะกั่วกับผิวหนังควรจะลื่นเพราะเหงื่อแต่ตอนนี้ชานยอลรู้ได้ในทันทีว่าร่างกายแพคฮยอนนั้นแห้งสนิท เหงื่อไม่ออกแต่มีอาการแบบนี้อันตรายเกินไป
แพคฮยอนหันมองคนที่เข้ามาประคองเหมือนอยากถามว่าทำไมถึงมาหยุดตนไว้ ใบหน้าหล่อที่มักจะเล่นหูเล่นตาใส่เสมอบัดนี้กลับดูเคร่งเครียด แขนยาวโอบประคองหลังของเขาไว้ ขณะที่แขนอีกข้างของแพคฮยอนเองก็ถูกอีกฝ่ายดึงให้คล้องคอเจ้าตัวไว้แทน
“ทำ...อะไร?” เสียงแหบแห้งพยายามเอ่ยถาม
“ขืนปล่อยให้วิ่งเองนายได้เป็นลมแน่ๆ” ตอบก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาวิ่งไปในจังหวะช้าๆ แต่สม่ำเสมอออกสู่แสงแดดร้อนระอุ
“ฉันจะวิ่งกับนายเอง เหนื่อยก็เหนื่อยด้วยกันเนี่ยแหละ”
ความคิดเห็น