ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เรียกว่ารักได้ไหม...

    ลำดับตอนที่ #2 : บังเอิญ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19
      0
      29 มิ.ย. 55

    ที่ร้านขายดอกไม้เล็กในเมืองใหญ่ที่ตกแต่งหน้าร้านด้วยลวดลายน่ารักๆ ข้างในร้านนภัทรศิลายุ่งอยู่กับการจัดช่อดอกไม้ที่ลูกค้าโทรมาสั่งเมื่อวานนี้ นภัทรศิลาซึ่งรับปากพี่สาวว่าเธอจะมาช่วยจัดช่อดอกไม้ให้ แต่ด้วยเหตุการณ์หลายอย่างในวันนี้ทำให้เธอมาช้ากว่าที่นัดไว้จึงทำให้หล่อนต้องรีบจัดช่อดอกไม้โดยไม่สนใจใครเพื่อที่จะเสร็จตามที่ลูกค้านัดไว้

                    “นภัทรพี่มีเรื่องจะคุยด้วย” สายปิ่นที่พอเห็นหน้าน้องสาวก็พูดเรื่องที่เตรียมไว้ทันที

                    “เอาไว้ค่อยคุยกันที่บ้านนะคะ นภัทรต้องรีบจัดช่อดอกไม้ค่ะ” นภัทรศิลาที่ยุ่งอยู่กับการจัดช่อดอกไม้กล่าวปฏิเสธพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้อง

                    “งั้นพี่ไม่รบกวนล่ะ...พี่จะออกไปข้างนอก ฝากร้านด้วยนะ แล้วเจอกันที่บ้านนะจ้ะ” สายปิ่นพูดแค่นั้นแล้วก็เดินออกจากร้านไป

                    “ค่ะ...จะดูแลอย่างดี แล้วเจอกันตอนเย็นคร้า..." นภัทรศิลาพูดพลางยิ้มน้อยๆให้พี่สาว

                    “จร้า...เจอกันตอนเย็น” สายปิ่นพูดขณะที่เดินไปที่รถ

                    สายปิ่นเป็งนลูกพี่ลูกน้องกับนภัทรศิลา สายปิ่นเป็นคนที่คอยดูแลนภัทรสิลาตั้งแต่นภัทรศิลาอายุแค่สิบขวบ หลังจากที่พ่อแม่ของนภัทรศิลาตายจากไปด้วยอุบัตเหตุรถชนเมื่อ 12 ปีก่อน นภัทรศิลาก็ย้ายมาอยู่กับครอบครัวของสายปิ่น เพราะแม่ของนภัทรเป็นน้องสาวของพ่อสายปิ่นและปัทมา สายปิ่นมีน้องสาวชื่อปัทมาซึ่งทั้งสามสนิทสนมกันมากและรักกันมากเหมือนพี่น้องร่วมสายเลือด

                    หลังจากที่สายปิ่นออกไปแล้ว นภัทรศิลายังคงยุ่งอยู่กับดอกไม้ ดอกไม้ที่ลูกค้าสั่งไว้นั้นเป็นดอกกุหลาบขาวที่สั่งจัดช่อใหญ่ ร้านดอกไม้เล็กที่เต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นดอกกุหลาบที่มีทั้งสีแดง ขาว ชมพู ส้ม เหลือง ดอกกล้วยไม้ที่มีหลากหลายสายพันธุ์ ดอกทิวลิป และดอกไม้อื่นๆอีกมากมายที่ถูกจักอย่างเรียบร้อย

                    นภัทรศิลาทีจัดดอกไม้ไปพลางก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ นึกถึงตัวตนเหตุที่หาว่าหล่อนเป็นหัวขโมย ตอนนี้นายนั่นจะทำไรอยู่หนอ...หน้าอย่างนั่นก็คงไม่พ้นจีบสาวๆอยู่นั่นแหละ ผู้ชายอะไรหน้าตาก็ดีแต่ปากจัดเป็นบ้า แถมยังเข้าใจอะไรอยากซะมัดอย่างนี้มันต้องเจอสักหมัดสองหมัดจะได้เข้าใจอะไรง่ายขึ้น คิดวนเวียนอยู่อย่างนั้นก็อดแปลกใจตัวเองที่ไปคิดถึงคนที่ปากคอเราะร้ายทำไม หล่นจึงรีบสลัดความคิดนี้ทิ้งไป

                    นภัทรศิลาเหลือบมองนาฬิกาที่ติดอยู่ข้างผนัง ตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น หล่อนจึงบ่นออกมาเบาๆที่ลูกค้าเลยเวลานัดมาเกือบชั่วโมงนี่ก็หกโมงแล้วเมื่อไหร่จะมานี่...ท่องเอาไว้นภัทรลูกค้าคือพระเจ้า...เขาจะทำยังไงก็ได้...นภัทรศิลาบ่นอย่างเซ็งๆที่ต้องทนรอเป็นเวลานาน แต่ด้วยความที่ว่าลูกค้าคือพระเจ้า หล่อนจึงอดทนรอต่อไปเพื่อรอให้คนที่สั่งดอกไม้มารับดอกไม้

                    ถ้าหล่อนรู้ว่าคนที่ปล่อยให้หล่อนต้องอดทนรอเพื่อมาเอาดอกไม้ที่สั่งไว้คือพี่สาวของธีรเทพ      ทรานนท์ ชายหนุ่มหน้าเข้ม ปากจัด คนๆเดียวกับผู้ชายที่หาว่าหล่อนเป็นขโมย ทั้งที่หล่อนเป็นคนช่วยพี่สาวของเขาแท้ๆ คำขอบคุณก็ไม่มีสักคำ

                    ธีรเทพเดินทางมาถึงร้านตามแผนที่ที่พี่สาวเขียนให้ก็เกือบหนึ่งทุ่ม วันนี้เขายุ่งๆอยู่กับงานที่เข้ามาทำ ทำให้ออกมาช้า และด้วยเส้นทางในเมืองใหญ่รถติดตลอดทางทำให้เวลาที่ช้าก็ยิ่งช้าไปอีกแม้ว่าเขาจะเร่งรีบแล้วก็ตาม เมื่อมาถึงธีรเทพก็รีบจอดรถตรงเข้าร้านทันที เมื่อเข้ามาข้างในร้านก็ไม่เห็นใครสักคนจึงเอ่ยถามขึ้นเพื่อให้คนที่อยู่ข้างในได้ยินเสียง

                    “มีใครอยู่ไหมครับ?ผมมารับดอกไม้ครับ...” เสียงทุ่มๆของใครบางคนทำให้นภัทรศิลาที่หลับไปสักครู่ต้องตื่นขึ้นมา เมื่อสายตาของคนทั้งสองสบตากัน ทั้งสองต่างอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกัน

                    “นี่!!!คุณ...”

                    “คุณยังไม่หายโกรธผมหรอ” ธีรเทพถามเมื่อเห็นสายตาโตๆของหล่อนเป็นประกายแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่เขากลับชอบเวลาเธอทำหน้าโกรธเพราะหล่อนแสดงออกมาโดยไม่ปิดบัง ท่าทางของหล่อนเหมือนเด็กที่โดนขัดใจ มันยิ่งทำให้เขาอารมณ์ดีผิดปกติ

                    ถามออกมาได้รู้ทั้งรู้ว่ายังไม่หายโกรธ ใครจะไปหายโกรธคนที่ว่าตัวเองเป็นหัวขโมยทั้งที่อธิบายยังไงก็ไม่ยอมฟัง บอกเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจคนอะไรไม่รู้ว่าจะเข้าใจอะไรยากหนักหนา...คิดอยู่อย่างนั้นแต่หล่อนกลับตอบออกไปว่า

                    “เปล่า...” นภัทรศิลาตอบเสียงอ่อยๆ เหมือนไม่เต็มใจ

                    คนอะไรใจก็บอกว่าไม่หายโกรธ แต่ปากกับบอกว่าเปล่า อย่างนี้เขาเรียกว่าปากไม่ตรงกับใจ(ปากแข็งด้วยนะเนี้ย*_*)

                    “ถ้าไม่โกรธทำไมทำหน้าอย่างกับ...” ธีรเทพพูดค้างไว้แค่นั้นทำให้นภัทรศิลาที่รอฟังไม่พอใจที่คนพูดจงใจหยุดพูดทั้งที่เขาก็รู้ว่าเธอรอฟังอยู่ หล่อนจึงพูดกระแทกแดกดันเขาไปว่า

                    “พูดให้ดีดีนะอย่างกับอะไร...ไม่งั้นเจอดีแน่”

                    “อย่างกับคนปวดท้องนะครับ...” ธีรเทพพูดให้ผู้หญิงตรงหน้าไม่โกรธเขาไปมากกว่านี้ และแอบบ่นเบาๆ ผู้หญิงอะไรดุซะมัดพูดนิดพูดหน่อยก็ไม่ได้

                    “จะมาเอาดอกไม้ใช่ไหมคะ งั้นก็เอาไปค่ะ” นภัทรศิลาพูดตัดบท และยื่นดอกไม้ที่พี่สาวของธีรเทพสั่งไว้มาให้ธีรเทพ ธีรเทพรับมาถือไว้แต่โดยดี แต่เขาก็ยังอยากจะแกล้งคนตรงหน้าที่ดูเธอจะโกรธเขาจริงๆนั่นแหละ โดยหาเรื่องมาพูดกับหล่อน ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงอยากเอาชนะหล่อนก็ไม่รู้ทั้งๆที่มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาจะต้องไปเอาชนะหล่อน ปกติเขาเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่ายๆ

    “คุณว่าโลกมันกลมไหม...ที่ทำให้ผมกับคุณมาเจอกันอีก เหมือนฟ้าลิขิตเลยคุณว่ารึเปล่า?”

    ฟ้าลิขิตบ้าบออะไรล่ะ เวรกรรมล่ะไม่ว่าที่ทำให้ฉันต้องมาเจอคนแบบคุณเนี้ย...หล่อนยังคงแย้งเขาในใจ

    “ไหนคุณว่าไม่โกรธผม ทำไมยังทำหน้าบึ้งล่ะ...”

    “ฉันจะโกรธคุณได้ยังไงในเมื่อฉันถือคติที่ว่า...” นภัทรศิลาหยุดพูดเสียดื้อๆเหมือนจะแกล้งให้เขาหงุดหงิดบ้าง แต่เขากลับไม่มีท่าทีที่ว่าจะหงุดหงิดแม้แต่นิดเดียว

    นภัทรศิลามองหน้าเขาที่ดูยังไงเขาก็ยิ้มแต่รอยยิ้มของเขาดูยังไงมันก็เป็นยิ้มเยาะเย้ยหล่อน หล่อนจึงมองหน้าเขาด้วยสายตาที่ท้าทายเขายิ่งนัก และยังพูดต่อว่า

    “อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา”

    “คุณหาว่าผมบ้าหรอ...”ธีรเทพถามคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างหาเรื่องที่จริงเขาไม่มีอะไรมากมายนอกจากอยากกวนอารมณ์คนตรงหน้าที่อยากมายั่วโมโหเขาดีนัก เขารู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ยอมเขาง่ายๆ ไม่ยอมลดราวาศอกกับเขาง่ายๆ ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งนะจะจับมาทำโทษให้เข็ดเด็กอะไรดื้อซะมัด

    “ไม่รู้สิมีสมองก็คิดเอาเองแล้วกัน” นภัทรศิลายังคงพูดยั่วเขาและยิ้มที่มุมปากขำที่คนตัวโตทำหน้าโกรธ หล่อนไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองต้องมาต่อปากต่อคำกับเขาทั้งที่โกรธเขาอยู่แท้ๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงโกรธเมื่อเขาพูดจาว่าหล่อนทั้งที่บ้างอย่างมันก็คือความจริง เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ อยู่ๆหล่อนก็เรียกเก็บเงินจากเขาเมื่อนึกขึ้นได้ว่าดึกแล้วหล่อนต้องรีบกลับบ้าน

    “นี่คุณ...จ่ายเงินมาสักทีสิฉันจะได้กลับบ้านสักที”

    “แล้วมันเท่าไหร่หล่ะคุณ..คุณไม่บอกแล้วผมจะรู้ไหม” ธีรเทพถามเพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่สาวเขาสักดอกไม้ช่อละเท่าไหร่ เขาเพียงมารับเอาตามคำสั่งของพี่สาว เพรี่สาวเขาไม่ว่างมารับด้วยตัวเองเขาจึงอาสาออกมาเอาให้ ทำให้เขามาเจอกับหล่อนอีกครั้ง

    “สองพันบานถ้วนค่ะ” นภัทรศิลาพูดช้าเพื่อให้เขาได้ยินชัดเจน

    “ไม่แพงไปหน่อยเหรอคุณ” ธีรเทพพูดเมื่อมองดูดอกกุหลาบแดงในมือที่มันมีราคาแสนแพงแต่ก็ยอมจ่ายเงินโดยดี

    “ฉันว่าสำหรับคุณขนหน้าแข้งคงไม่ร่วงหรอก ไม่แพงหรอกค่ะ” นภัทรศิลาพูดพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม นภัทรศิลาหล่อนไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอีก พอหล่อนได้เงินก็เชิญให้เขาออกจากร้านไปในทันที

    “เชิญค่ะ...ขอบคุณนะคะที่มาอุดหนุน” พูดไม่พูดเปล่าเหล่อนยังชี้นิ้วไปทางประตูเพื่อบอกให้เขาออกไป

    “แล้วคุณจะกลับบ้านยังไง” ธีรเทพไม่ได้สนใจในสิ่งที่หล่อนพูดสักนิดเดียว แต่ที่เขาห่วงนั้นกับเป็นว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาจะกลับบ้านยังไงในเมื่อไม่มีรถจอดอยู่แถวนี้เลยนอกจากรถของเขาที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านขายดอกไม้

    “ถามทำไม” นภัทรศิลาไม่เข้าใจว่าเขาจะถามทำไมในเมื่อเขาก็ได้ดอกไม้ตามที่สั่งเขาก็น่าจะกลับไปได้แล้ว ไม่เห็นต้องมาถามหล่อนเลยว่าจะกลับยังมันไม่เห็นจะเกี่ยวกับเขาตรงไหน ที่หล่อนถามก็เพื่อเป็นการหยั่งเชิงว่าเขาคิดไม่ดีไม่ร้ายกับหล่อนรึเปล่า หล่อนจะได้ระวังตัว คนอย่างหล่อนไม่มีวันที่จะให้ใครมาทำร้ายง่ายหรอก

    “เปล่า...ผมแค่ไม่เห็นรถของคุณจอดอยู่” ธีรเทพพูดด้วยความเป็นห่วง

    หลังจากที่เงียบไปสักพักจึงพูดต่อว่า “กลับกับผมไหม?...เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้าน”

    “แล้วมันเรื่องอะไรที่ฉันจะต้องกลับบ้านกับคุณ ฉันมาเองได้ก็กลับเองได้เหมือนกัน” นภัทรศิลายังไม่ยอมลดลาวาศอกให้ธีรเทพ แม้ว่าเขาจะหวังดีก็ตาม เรื่องอะไรคนอย่างนภัทรศิลาจะยอมให้ใครก็ไม่รู้ที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าไปส่งและ ที่สำคัญคือคนที่หาว่าเธอเป็นขโมย และเป็นผู้ชายที่ปากจัดมากๆไปส่งที่บ้าน

    “แล้วคุณจะกลับบ้านยังไง” ธีรเทพก็ยังคงห่วงว่านภัทรศิลาจะกลับบ้านยังไงแม้ว่าหล่อนจะไม่เห็นความหวังดีของเขาเลยก็ตาม

    “ฉันก็นั่งแท็กซี่กลับสิคุณ รึว่าคุณจะให้ฉันเดินกลับล่ะ” นภัทรศิลาพูดเสร็จก็ค้อนเล็กๆทีหนึ่งให้กับธีรเทพ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงมาซักถามหล่อนมากมายขนาดนี้ คนอะไรไม่เห็นจะเกี่ยวกับตัวเองถามอยู่ได้

    “แล้วคุณไม่กลัวรึไง” ธีรเทพก็ยังคงหวังว่าเธอจะเปลี่ยนใจไปกลับเขา

    “กลัวอะไร ฉันไม่เข้าใจ” นภัทรศิลาถามกลับเพราะไม่เข้าใจที่เขาว่าจริงๆ

    ธีรเทพมองหน้าหล่อนแล้วรู้สึกว่าคนที่พูดกับเขาจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาอีกรอบ ก็ตาโตสีน้ำตาลมันฟ้องว่าอยากจะฆ่าเขาให้ตายซะเดี๋ยวนี้ แต่ธีรเทพกลับไม่กลัวสายตานั้นสักนิดและยังพูดให้หล่อนกลัวอีก

    “ก็คนสมัยนี้ไว้ได้ที่ไหนล่ะคุณ คุณไม่หรือไงที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวโครมๆว่าผู้หญิงโดนฆ่าข่มขืน ยิ่งสาวๆสวยๆอย่างคุณน่ะนั่งแท็กซี่คนเดียวดึกๆดื่นๆนะคุณ...

    ธีรเทพพยายามเน้นเสียงให้ดูน่ากลัว และเหลือบมองหน้าหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าว่ามีท่าทีกลัวในสิ่งที่เขาพูดหรือเปล่า ในสุดที่ธีรเทพก็ได้เห็นแววตาที่แฝงแววกลัวในสิ่งที่เขาพูดแม้จะเป็นแค่แว๊บเดียวก็ตาม

    “บ้านะ...มันอาจไม่เป็นอย่างที่คุณคิดก็ได้” นภัทรศิลาพูดกลบเกลื่อนไม่ให้เขารู้ว่าเธอกลัวในสิ่งที่เขาพูด แต่ในใจของเธอกับนึกถึงข่าวต่างๆนานาเกี่ยวกับภัยอันตรายของผู้หญิงไม่ว่าจะโดนข่มขืนหรือโดนทำร้าย ยิ่งคิดนภัทรศิลาก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมามันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน นภัทรศิลาเข้มแข็งไว้อย่ากลัว อย่ากลัว เสียงห้ามที่ดังในของนภัทรศิลา

    “มันก็ไม่แน่น่ะคุณ เดี๋ยวนี้น่ะรู้หน้าไม่รู้ใจหรอกคุณ...”

    ธีรเทพรู้ว่าคนตาสีน้ำตาลดวงโตนั้นปากแข็งไม่มีวันที่เธอจะยอมรับง่ายๆว่าเธอกลัว

    “ถ้ารถแท็กซี่น่ากลัว ฉันว่าคุณนั่นแหละน่ากลัวคนขับรถแท็กซี่”

    นภัทรศิลาพูดแค่นั้นก็ปิดไฟเตรียมล็อคประตูร้านเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปเรียกแท็กซี่ ส่วนธีรทพก็ยังไม่ยอมแพ้ เขายังคงพูดให้หล่อนกลัวและยอมขึ้นรถไปกับเขาแต่มันก็ผิดคาด พอหล่อนเรียกรถแท็กซี่ได้ ทันทีที่รถมาจอดหล่อนก็เดินขึ้นรถแท็กซี่ไป ปล่อยให้ธีรเทพยืนพูดอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไร ธีรเทพไม่คิดว่าคนอย่างหล่อนอยู่ดีดีจะเดินหนีขึ้นรถไปเฉยๆโดยไม่สนใจในคำพูดของเขาสักนิด

    “ผู้หญิงอะไรดื้อ...เอาแต่ใจเหมือนเด็กๆทำไมไม่ฟังกันบ้าง คนเค้าอุตส่าห์เป็นห่วง...เป็นห่วงหรอทำไมต้องเป็นห่วงคนอย่างหล่อนด้วย ไม่เห็นต้องห่วงเลยผู้หญิงอวดเก่งคนนั้น”

    ธีรเทพพูดขัดแย้งความคิดของตัวเอง ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจเธอมากเป็นพิเศษ ทั้งโมโหและโกรธที่เธอไม่ยอมขึ้นรถไปกับเขา แต่ในใจเขารู้สึกเป็นห่วงหล่อนมากๆ ทั้งที่เขาได้เจอหล่อนเพียงแค่สองครั้งเอง เมื่อธีรเทพไม่รู้ว่าจะเป็นห่วงหล่อนไปทำไมเมื่อหล่อนเห็นความหวังดีของเขาสักนิดเขาจึงสตาร์ทรถแล้วก็ขับออกไป

     

    ที่บ้านของนภัทรศิลาทุกคนกำลังนั่งรอนภัทรศิลาอย่างใจจดใจจ่อ ก็นภัทรศิลาไม่เคยออกไปไหนมาไหนคนเดียวแล้วกับดึกๆดื่นอย่างนี้ทุกคนจึงกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับนภัทรศิลาแต่ก็ทำได้เพียงแค่นั่งรอ สักพักก็มีรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านเมื่อทุกคนเห็นคนที่รออย่างใจจดใจจ่อก็โล่งอกไปตามๆกันที่นภัทรศิลากลับบ้านอย่างปลอดภัย

    นภัทรศิลาเดินเข้ามาข้างในตัวบ้าน ดูท่าทางของหล่อนบ่งบอกว่าอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

    “กลับมาแล้วเหรอลูก...ภัทร” ปทุมพรซึ่งเป็นป้าของนภัทรศิลาและเป็นแม่ของสายปิ่นและปัทมาเอยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่แฝงความห่วงใย ซึ่งทำให้คนฟังที่ตอนแรกอารมณ์ไม่ค่อยดีเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีขึ้นมา

    “ค่ะ...สวัสดีค่ะคุณลุงคุณป้า” นภัทรตอบและกล่าวทักทายลุงกับป้าของหล่อน

    “แล้วหนูภัทรทานข้าวมารึยังจ้ะ...”ปทุมพรเอยถามหลานสาวอีกครั้ง

    “ยังค่ะ...หิวมากๆเลยค่ะ” นภัทรศิลาพูดพลางเดินไปหาสมภพที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหาร และเอยถามเบาๆกับคุณลุงของหล่อน

    “คุณป้าทำเองหมดเลยหรือคะ”

    “ใช่จ้ะ...ก็ป้าหลานเขาชอบทำกับข้าวนี่จ้ะ” สมภพกล่าวตอบหลานสาว

    “เดี๋ยวภัทรช่วยค่ะคุณป้า” นภัทรศิลาพูดเมื่อเห็นว่าป้าของหล่อนเดินถือโถข้าวออกมาจากห้องครัว แล้วหล่อนก็รับโถข้าวไปถือไว้และตักใสจานให้ทุกคนตักเสร็จหล่อนก็กลับมานั่งที่เดิม

    ทุกคนนั่งทานข้าวกันอย่างเอร็ดอร่อยมีการสนทนากันอย่างสนุกสนานระหว่างที่นั่งทานข้าว

    “พี่ภัทรคะ...วันนี้ไปเที่ยวมาสนุกไหม” ปัทมาถามเมื่อทุกคนลงมือทานข้าวไปสักครู่

    “ก็สนุกดีนะ...” นภัทรศิลาหล่อนอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงให้สมกับที่หล่อนบอกว่าสนุกดี แต่ที่จริงในใจนั้นกลับบอกว่าสนุกดีถ้าไม่มีเรื่องวุ่นเสียก่อนนะ

    “แล้วปัทล่ะไปเรียนมาเป็นไงมั้ง”

    “ก็ดีนะคะ...ตอนนี้ก็ใกล้จะฝึกงานแล้วค่ะ พี่ภัทรว่าอย่างปัทน่าจะไปฝึกที่ไหนดีคะ เอาแบบว่ามันเข้ากับปัทได้นะค่ะ”

    “พี่ว่านะปัท...ถ้าปัทชอบงานแบบไหนก็เลือกแบบนั้นเลยดีกว่าเพราะถ้าหากงานที่เราเลือกเป็นงานที่เราชอบบ้างไม่ชอบบ้างเราก็จะทำมันได้ไม่ดีเท่ากับงานที่เรารัก แล้วอีกอย่างนะพี่ว่าปัทน่าจะเลือกที่ปัทฝึกงานเสร็จแล้วเขาสามารถรับเราทำงานต่อได้น่าจะดีนะ” นภัทรศิลาพูดออกมาเป็นชุดจนคนที่ฟังอยู่เกือบฟังไม่ทัน แต่หล่อนก็ยังไม่หยุดพูดแค่นั้นยังวกเข้ามาหาตัวเองได้อีก

    “จะได้ไม่ตกงานเหมือนพี่”

    “ใครว่าพี่ภัทรตกงานคะ เพียงแต่พี่ภัทรยังหางานที่เหมาะสมกับตัวเองไม่ได้ต่างหาก” ปัทมาพูดน้ำเสียงที่สดใสแต่คนฟังกับรู้สึกว่ามันก็เหมือนกันกับการตกงานนั่นแหละหล่อนเขาใจมันดี

    “แล้วหนูภัทรจะทำงานอะไรละลูก” ปทุมพรถามหลานสาวด้วยความเป็นห่วง และเอ็นดูหลานสาวคนนี้เหลือเกินมันทำให้นภัทรศิลารับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงเป็นใยที่คนในบ้านหลังนี้มีต่อหล่อน

    ตั้งแต่ที่นภัทรศิลาเข้ามาอยู่ในครอบครัวของสมภพ คนในครอบครัวทุกคนรักและเอ็นดูนภัทรศิลาเหมือนหล่อนเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเขาไม่เคยคิดที่จะรังเกลียดหล่อนเลย หล่อนเองก็มีความสุขที่ได้มาอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่นเช่นนี้ไม่เคยคิดที่จะน้อยใจโชคชะตาที่มาพากคนที่หล่อนรักไปจากหล่อนชัวนิรันทร์ หล่อนรักลุงกับป้าเหมือนกับท่านทั้งสองเป็นพ่อแม่ของหล่อนจริงๆ และรักสายปิ่นและปัทมาเหมือนเป็นพี่น้องคลานตามกันมา ทุกทุกวันหล่อนจะกราบรูปพ่อแม่ของหล่อนก่อนนอนเสมอ และหล่อนก็จะพกรูปภาพของพ่อกับแม่ของหล่อนใส่กระเป๋าสตางค์ติดตัวหล่อนเตลอดที่ผ่านมา หล่อนคิดอยู่เสมอว่าท่านทั้งสองยังคงคอยดูหล่อนอยู่บนสวรรค์และยังคงอยู่เคียงข้างหล่อนตลอดเวลายามที่หล่อนสุขและทุกข์

    “หนูก็ยังไม่รู้เลยคะป้า...คงอยู่กับคุณลุงคุณป้าไปก่อนล่ะค่ะ” นภัทรศิลาเงยหน้ามาพูดสักพักก็ก้มลงทานอาหารต่อ

    “ป้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะจ้ะ” ประทุมพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกกว่านภัทรศิลาเข้าใจผิด

    “ล้อเล่นค่ะป้า...ภัทรก็ทำงานที่ร้านพี่ปิ่น ช่วยพี่ปิ่นขายดอกไม้ไปเรื่อยๆจนกว่าจะหางานทำได้ละค่ะ หรือไม่ก็จะไปทำงานกับเพื่อนที่ต่างจังหวัดมั้งคะ”

    ด้วยคำพูดที่ดูจริงจังของนภัทรศิลาและใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของนภัทรศิลาทำให้ผู้เป็นป้ายิ้มออกมาได้

    เมื่ออาหารเมื่อค่ำนี้สิ้นสุดทุกคนต่างแยกย้ายกันขึ้นห้องของตัวเอง นภัทรศิลาและปัทมาเข้าห้องครัวไปล้างจานเสร็จก็แยกย้ายขึ้นห้องของตัวเองเหมือนกัน

    “นภัทร...พี่มีเรื่องที่จะคุยด้วย เดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วไปคุยกันในห้องพี่นะ” สายปิ่นพูดเมื่อนภัทรศิลาเดินออกมาจากห้องครัว

    “ค่ะ...เดี๋ยวภัทรขอตัวอาบน้ำให้ชื่นใจก่อนนะแล้วภัทรจะตามไป”

    “งั้น...ก็ไปอาบน้ำเถอะจ้ะ พี่ไม่กวนล่ะ...” สายปิ่นพูเสร็จก็หันไปดูรายการทีวีต่อ ส่วนนภัทรศิลาก็เดินขึ้นไปข้างบน

     

    ห้องนอนสีครีมที่ถูกตกแต่งเรียบๆเก๋ๆ ตรงมุมหน้าต่างมีโต๊ะเขียนหนังสือสีขาววางอยู่ข้างบนโต๊ะมีโน๊คบุ๊ควางอยู่ เตียงนอนสีเขียวมีตุ๊กตาหมีตัวโตวางอยู่อีกสองตัว เตียงนอนถูกคลุมด้วยผ้าคลุมเตียงลายตุ๊กตาลายหมีที่ถูกคลึงไว้อย่างเรียบร้อย พร้อมด้วยหมอนใบใหญ่สีฟ้าอีกสองใบ บนหัวเตียงมีรูปถ่ายว่างอยู่หลายใบ แต่มีอยู่รูปหนึ่งที่มีความหมายกับหล่อนมากมันเป็นรูปถ่ายตอนเด็กๆที่หล่อนได้ถ่ายรูปกับครอบครัว รูปใบนั้นมีผู้ชายหนึ่งคนกับผู้หญิงหนึ่งคน และเด็กน้อยที่น่ารักอีกหนึ่งคนดูเป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก รูปใบนี้หล่อนดูทุกครั้งที่คิดถึงพ่อกับแม่ หล่อนจะมองรูปใบนี้ก่อนนอนทุกคืนมันเป็นสิ่งที่สามารถสร้างกำลังใจให้หล่อนจนทุกวันนี้  อีกมุมหนึ่งของห้องนอนก็มีตู้สองตู้อยู่ติดกันตู้ขนาดใหญ่เป็นตู้เสื้อผ้า ตู้อีกใบหนึ่งเป็นตู้หนังสือ ตู้หนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายแนวที่บกบอกว่าเจ้าของเป็นคนชอบอ่านหนังสือและเก็บสะสมหนังสือ ข้างๆตู้เสื้อผ้ามีโต๊ะเครื่องแป้งที่มีเครื่องสำอางค์หลากหลากชนิดถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ ห้องนอนทุกห้องจะมีห้องน้ำในตัวห้องของนภัทรศิลาก็เช่นเดียวกัน

    นภัทรศิลาเข้ามาในห้องนอนหล่อนก็โยนกระเป๋าคู่กายไปที่เตียงนอนแล้วก็กระโดดขึ้นไปนอนบนเตียงรู้สึกเมื่อยล้าไปทั้งเนื้อทั้งตัวรู้สึกปวดไปตามข้อมือ แต่พอนึกขึ้นได้ ว่าพี่สาวของหล่อนจะมาหาหล่อนก็ตรงไปตู้เสื้อผ้าหยิบผ้าเช็ดตัวและชุดที่จะใส่ออกมา แล้วหล่อนก็ตรงดิ่งไปที่ห้องน้ำสักพักก็มีเสียงน้ำไหลออกมาจากฝักบัว...ครู่ใหญคนที่เข้าไปในห้องน้ำก็ออกมาด้วยชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสีขาว หลังจากการอาบน้ำมันทำให้หล่อนรู้สึกสบายตัวขึ้นมาก น้ำเย็นที่มากระทบผิวกายมันทำให้รู้สึกสดชื่นกลิ่นหอมอ่อนของสบู่มันทำให้เธออยากอาบน้ำนานๆให้ความเหนื่อยมันหายไปหลังอาบน้ำ...

     

    ในห้องของสายปิ่นของแต่ละอย่างถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยสมกับที่หล่อนเป็นคนเรียบร้อยเป็นแม่ศรีเรือนเหมือนที่นภัทรศิลาและปัทมาพูดอยู่ทุกวี่ทุกวันว่าเมื่อไหร่พี่สาวของพวกหล่อนจะตกลงปลงใจเป็นแฟนใครสักที และลงหลักปักฐานกับใครสักคน ไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ชายคนไหนที่พี่สาวของพวกหล่อนจะเลือกที่เห็นกันอยู่ทุกวันก็จะมีเพียงพี่พัสกรกับพี่อนุกูล ไม่ว่าจะเป็นใครพวกหล่อนก็ไม่คิดที่จะรังเกลียดแต่ยังไงมันก็ต้องผ่านสายตาของสองสาวว่าผู้ชายเหล่านนั้นจะรักพี่สาวของพวกหล่อนจริงไหม แต่เมื่อพี่สาวของพวกหล่อนตัดสินใจเลือกแล้วพวกหล่อนก็จะไม่ขัดขวาง... แต่สายปิ่นก็ยังไม่มีวี่แววที่จะตกลงปลงใจกับใครสักที เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานทุกวัน เก็บเงินอยู่อย่างเดียว หากในใจลึกๆของหล่อนก็แอบมองๆไว้เพียงแต่ยังไม่มั่นใจเท่านั้นเอง และไม่เคยที่จะแสดงออกให้ใครเห็นเท่านั้นเอง

     

    “พี่ปิ่นคะ ภัทรเองค่ะ...” กับคนที่สนิทและคนในครอบครัวของหล่อนหล่อนจะแทนตัวเองว่า “ภัทร” เสมอ

    “เข้ามาเลยจร้าประตูไม่ได้ล็อค” สายปิ่นขึ้นมานั่งคอยนภัทรศิลาสักพักหลังจากทานข้าวและดูโทรทัศน์เสร็จ

    “ค่ะ...” เสียงขานรับพลางเดินมานั่งบนเตียงข้างๆพี่สาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นลูกของลุงกับป้า นภัทรศิลาเตรียมจะเล่าเรื่องที่ไปเจอมาวันนี้ให้พี่สาวฟัง หากแต่หล่อนยังไม่ทันจะได้เล่าเรื่องราวที่ตัวเองได้เจอมาสายปิ่นก็พูดขึ้นก่อน

    “ตอนนี้ภัทรได้งานทำรึยังจ๊ะ” สายปิ่นพยายามที่จะพูดโดยไม่ทำให้คนฟังรู้สึกเสียใจหรือน้อยใจ

    “ยังค่ะ...พี่ปิ่นถามทำไมหรือคะ” น้ำเสียงที่ออกแววกังวลกับคำถามทำให้คนฟังรับรู้ได้

    “คือว่า...มีคนเขาให้พี่หาพนักงานผู้หญิงที่ไว้ใจได้ สามารถทำงานได้สองอย่างควบคู่กันไป คือเป็นเลขาให้กับน้องชายของเขาคอยดูแลน้องชายเขาไปด้วย และอีกอย่างก็คือทำบัญชีได้ พี่ก็เลยจะช่วยหาให้” พอได้ทีสายปิ่นก็ไม่รอช้าที่จะพูดให้นภัทรศิลาเข้าใจในคำถามที่ได้ถามออกไป และพูดตามที่เพื่อนของหล่อนได้บอกไว้ ยังไม่ทันที่นภัทรศิลาจะได้ถามอะไรสายปิ่นก็ถามต่อทันที

    “แล้วภัทร...คิดยังไงกับงานที่พี่บอก?” พูดเสร็จคนถามก็เอาแต่จ้องหน้าคนฟังเหมือนมีคำตอบอยู่บนใบหน้านั้น

    “ก็ดีนะคะ...แต่ภัทรยังอยากอยู่ช่วยงานพี่ปิ่นที่ร้าน จัดดอกไม้ตามที่ลูกค้าสั่งภัทรก็มีความสุขดี แล้วพี่ปิ่นคิดยังไงล่ะคะ” เมื่อหล่อนไม่รู้ว่าจะพูดยังไงก็เลยถามพีสาวกับไปบ้าง

    “พี่ว่ามันก็ดีนะ ไหนๆน้องพี่ก็จบบัญชีมาก็น่าจะลองดูสักตั้ง ไหวๆไม่ไหวก็ลองทำไปก่อน”

    “แต่ภัทรว่า...ภัทรคงไม่เหมาะหรอกคะ บัญชีก็ทำได้นะคะแต่ว่าให้ไปเป็นเลขาด้วย...ภัทรไม่ค่อยถนัดเลยคะ กลัวว่าจะทำงานให้เขาไม่ดีจะเสียชื่อพี่ปิ่นนะคะ”

    “เรื่องแค่นี้เองนึกว่ามีปัญหาอะไร พี่ว่า...ภัทรน่ะสามารถเรียนรู้งานได้อยู่แล้วสบายมาก เพราะคนที่จะจ้างเรานะก็เพื่อนของพี่เองเขาจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศสักพัก คนเรานะสามารถฝึกฝนกันได้ ภัทรของพี่ก็เหมือนกัน ฝึกไม่นานก็เป็นจ้ะ แล้วน้องชายเขาพี่ก็เคยเจอ นิสัยดีน่ารักและก็เป็นกันเองด้วยนะ” สายปิ่นคอยเชียร์และให้กำลังใจน้องสาว และยังแอบหวังลึกๆว่าน้องสาวคนนี้จะไปทำงานกับเพื่อนของหล่อน

    นภัทรศิลาเงียบอยู่นานหลังจากที่สายปิ่นได้พูดจบ หล่อนก็พูดออกมาว่า

    “ตกลงภัทรจะลองไปทำงานกับเพื่อนของพี่ดูสักครั้งค่ะ ถ้ามันไม่เวิร์คยังไง ภัทรก็จะไปทำงานกับเพื่อนที่ต่างจังหวัดค่ะ พี่ปิ่นว่าดีไหมคะ?”

    “พี่ว่าก็ดีจ้ะจะได้หาประสบการณ์ไปด้วย ยังไงซะพี่ก็เป็นกำลังให้เราอยู่แล้ว” สายปิ่นเห็นดีเห็นงามด้วยตั้งแต่แรกแล้วที่น้องสาวคนนี้จะไปทำงานให้เพื่อนของหล่อน แค่นี้หล่อนก็ดีใจมากแล้ว

    “ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ปิ่น รักพี่ปิ่นที่สุดในโลกเลย” นภัทรศิลาพูดจบก็โผกอดสายปิ่นทันที สายปิ่นก็สวมกอดน้องสาวตอบ จะมีใครรู้ไหมว่าสายใยระหว่างพี่น้องคู่นี้เหนียวแน่นแค่ไหน แม้ว่าทั้งคู่อาจไม่ใช่พี่น้องที่คลานตามกันมา แต่ก็ยังมีสายใยที่ผูกพันกันอย่างเหนียวแน่น

    สักพักทั้งสองก็คลายอ้อมกอดออกจากกัน หลังจากนั้นนภัทรศิลาก็บอกลาพี่สาวแล้วก็ออกจากห้องนอนของพี่สาว หลังจากนั้นก็กลับห้องของตัวเอง ระหว่างทางนภัทรศิลาก็เดินไปคิดอะไรไปเรื่อยๆ

    อีกไม่นานแล้วสินะ เราคงจะต้องออกจากบ้านหลังนี้ไป ไม่รู้ว่าชีวิตวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรบ้าง พ่อคะแม่คะช่วยเป็นกำลังใจให้ภัทรด้วยนะคะ ภัทรไม่รู้ว่าภัทรจะทำงานกับเขาได้นานแค่ไหนแล้วคนที่จะมาเป็นเจ้านายของภัทรเขาจะเป็นคนยังไงภัทรก็ยังไม่รู้เลย แต่ก็ยังดีที่พี่ปิ่นรู้จักกับเขา ภัทรคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนดีนะคะคุณพ่อคุณแม่ อย่างน้อยๆเขาก็เป็นคนที่พี่ปิ่นไว้ใจ และที่สำคัญพี่ปิ่นก็เป็นคนคะยั้นคะยอให้ภัทรไปทำงานกับเขาด้วย ไหนๆก็ไหนๆแล้วภัทรจะลองไปทำสักตั้ง เรียนจบมาแล้วก็ต้องไปทำงานมนุษย์ทุกคนก็เป็นแบบนั้น บางคนเรียนจบมาก็ยังหางานทำไม่ได้เดินเตะฝุ่นกันถมเถไป ยังดีที่เราไม่ต้องเดินหางานทำเอง...ต่อไปเราก็ต้องไปทำงานแล้วล่ะ ยังไงก็ต้องสู้...สู้ๆนภัทรศิลา...เธอต้องทำได้...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×