คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอน 1
“แต่งไม่ได้ จะแต่งเข้าไปได้ยังไงน่าเกลียด” น้ำเสียงเฉียบขาดค้านดังลั่นจนแม้แต่คนที่คอยแอบฟังอยู่นอกห้องรับแขกก็ยังได้ยินชัดแจ้ง จนไม่ต้องอาศัย ‘ความสามารถ’ พิเศษ แต่อย่างใด
คุณนายภารินี หรือคุณยายน้อยของทุกคนนั่งเป็นประธานสง่าอยู่ยังเก้าอี้หลุยส์ตัวโตขนาดยาวที่นั่งได้ถึงสามคน ในขณะที่ลูกหลานทุกคนนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้น จะมีก็แต่ทิวากับราตรี บุตรสาวทั้งสองคนที่เลยวัยสาวมามากโขแล้วนั่นล่ะที่นั่งยังเก้าอี้เดี่ยวขนาบข้างทั้งซ้ายขวาทว่าก็ยังตกใจไม่ต่างจากทุกคนในห้อง
คุณยายน้อยอายุเจ็ดสิบแปดแล้วทว่ายังแข็งแรงดีอยู่ จะลุกจะนั่งก็ยังไม่ถึงกับต้องให้ลูกหลานประคอง ถึงจะพอมีโรคภัยบ้างก็ตามวัย เลยยังคงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ทุกคนในบ้านกาลนทีเสมอมา
ตรงหน้าคุณยายน้อยถัดจากโต๊ะกระจกใสเอาไว้รับแขกมีคนมานั่งเรียงหน้ากันสลอนถึงห้าคน ที่นั่งอยู่หน้าสุดเห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนภาสิริ หลานสาวคนเล็กของบ้านที่ใครๆ ต่างก็เอาอกเอาใจมาตลอด ข้างกายเธอคือชายหนุ่มคนสำคัญที่คุณยายน้อยกำลังมองด้วยหางตาราวกับรังเกียจเป็นนักหนา ทั้งที่เคยให้หลานตนเองเป็นฝ่ายเชิญมาร่วมมื้อเย็นที่บ้านนี้อยู่บ่อยครั้ง
หลังจากคู่หนุ่มสาวไปแล้วก็เป็นแถวของเพื่อนอีกสามชีวิตด้วยกันทั้งชายหญิงนั่งเรียงกันเป็นแถวโดยไม่ได้ตั้งใจ ทุกคนที่นั่งพื้นเอามือประสานกันไว้ที่หน้าตักตัวเกร็งไปตามๆ กันด้วยไม่คิดว่าคุณยายน้อยจะ ‘ดุ’ ถึงเพียงนี้
ผู้ใหญ่ของบ้านซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นคุณยายใจดี แสนน่ารักในเวลานี้ดวงหน้าเรียบเฉยค่อนไปทางบึ้งตึงเสียด้วยซ้ำ แม้กระทั่งใบหน้าหลานสาวตัวเองก็ยังใช้การปรายตามอง ไม่ได้ส่งยิ้มให้เหมือนทุกวัน แล้วใครจะไม่ตัวเกร็งกันบ้างเล่า
“ทำไมล่ะคะคุณแม่” คุณทิวา บุตรสาวคนโตของยายน้อยเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน เพราะเห็นว่าคงไม่มีใครกล้าเอาเรือไปขวางน้ำเชี่ยวได้เท่าเธออีกแล้ว “คุณแม่เองก็ทราบว่ายัยสิรีคบหาดูใจกับตาพุทธมาพักใหญ่แล้ว นี่ตบแต่งกันไปก็ควรจะเป็นข่าวดีไม่ใช่เหรอคะ ตาพุทธเอง คุณแม่ก็เอ็นดูไม่น้อย”
“ฉันก็ไม่เถียงหรอกว่าดี ว่าเหมาะสมกัน” คุณยายน้อยยอมรับทั้งที่สีหน้ายังหงิกงออยู่
พอสิ้นเสียงคุณยายน้อยทุกคนในห้องต่างก็ลอบยิ้มกันเป็นทิวแถว แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น...
“แต่ยังไม่ควรจะแต่งกันตอนนี้”
“ทำไมล่ะคะคุณแม่” ทิวาถามซ้ำอีกรอบ “ตาพุทธเองก็หน้าที่การงานมั่นคงเป็นถึงระดับผู้จัดการธนาคาร คงไม่พาหลานเราไปอดอยากหรอกค่ะ”
“ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น”
“อ้าว แล้วทำไม...”
“หล่อนฟังฉันก่อนได้ไหม แม่ทิวา” คุณยายน้อยตัดบทเสียเอง “ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรดี ก็ชอบใจอยู่หรอกนะ ว่าที่หลานเขยคนนี้”
‘ว่าที่หลานเขย’ ยิ้มกว้างรับคำชม แต่แล้วรอยยิ้มกลับต้องหุบลงฉับพลันเมื่อคุณยายน้อยยังคงประกาศเจตนารมณ์เดิม
“แต่ยังไงก็ยังแต่งกันไม่ได้”
“แต่สิรีจะแต่งค่ะ คุณยายไม่มีเหตุผลเลย” สิริชนาญาเป็นฝ่ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ ริมฝีปากก็เชิดขึ้นอย่างไม่พอใจเต็มเปี่ยม “ทำไมคะ พี่พุทธไม่ดีตรงไหน ทำไมสิรีจะแต่งงานกับพี่พุทธไม่ได้ สิรีอายุยี่สิบหกแล้วนะคะ ใจคอคุณยายจะให้สิรีรอไปถึงไหน”
“บ๊ะ ยัยสิรี ย่าก็บอกอยู่ว่าไม่ใช่จะไม่ให้แต่ง แค่ยังไม่ควรแต่งกันตอนนี้” ยายน้อยทำเสียงขึ้นจมูก สะบัดหน้าใส่หลานสาวแถมให้อีก
“ทำไมล่ะคะ”
“มันน่าเกลียด”
“น่าเกลียดยังไง ก็ไหนว่าคุณยายไม่รังเกียจจะรับพี่พุทธมาเป็นหลานเขยบ้านนี้”
“ใช่ ยายสิรี” ภารินีพยักหน้าเบาๆ ไปด้วย “ตาพุทธเองก็เหมาะสมดีทุกอย่าง แต่งกันไปก็เป็นคู่ที่สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก”
“แล้วคุณยายพูดเหมือนจะค้าน” สิริชนาญาพูดต่อด้วยสีหน้างงๆ “แล้วทำไมยังแต่งไม่ได้ล่ะคะ”
“นี่หนูนาไปไหน นั่งกันหน้าสลอน แต่ขาดไปคน” คุณยายน้อยเปลี่ยนพูดหน้าตาเฉย
ถึงจะเรียกหนูนา แต่เจ้าของชื่ออายุเฉียดจะเลขสามเข้าไปทุกทีแล้ว คงเพราะเป็นหลานคนแรก คุณยายถึงไม่เคยคิดว่าโตแล้ว จะผ่านไปสักกี่ปีก็ยังเรียกหนูนาติดปากเหมือนเคย ผิดกับสิรี หลานสาวคนเล็กที่คุณยายเรียกแค่ชื่อสิรีเท่านั้น
ทุกคนได้แต่มองกันไปมา สุดท้ายหลานสาวคนเล็กเลยต้องตอบอย่างเสียไม่ได้
“วันนี้พี่ชนาไปทำงานค่ะ มีงานด่วน เลยไม่ได้อยู่เป็นพยาน” หล่อนว่าเสียงขุ่นหน่อยๆ “ตกลงคุณยายจะบอกได้รึยังคะว่าทำไมสิรีถึงยังแต่งงานไม่ได้”
“ไม่เอาน่าสิรี อย่าก้าวร้าวคุณยายสิ” คุณทิวาท้วงเสียงเข้ม แม้จะต้องการคำตอบเช่นเดียวกับทุกคน “คุณแม่คะ...” นางยังไม่ทันพูดต่อคุณยายน้อยก็ตอบเสียเอง
“พอๆ ไม่ต้องเถียงกัน ฉันคร้านจะฟัง” นางโบกมือว่อนไปด้วย “ฉันจะพูดอีกครั้งก็แล้วกันนะ ฉันไม่ได้คิดจะคัดค้านอะไร พ่อพุทธกับสิรีก็สมกันดี ฉันยอมรับ แต่ยังไม่อยากให้แต่งกันตอนนี้”
“แต่สิรีอายุยี่สิบหกแล้วนะคะคุณแม่ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ถึงวัยควรจะแต่งงานแต่งการกำลังเหมาะ”
“ฉันก็ไม่ได้ว่าไม่เหมาะหรอกแม่ทิวา แต่มันออกจะน่าเกลียดไปหน่อย” นางว่าพลางปรายตามองบุตรสาวคนโตด้วยหางตา “ไม่คิดบ้างรึไงให้หลานคนเล็กแต่งงานอกเรือนไปก่อน แล้วคนโตปล่อยให้แห้งเหี่ยวขึ้นคานรึไงกัน น่าเกลียดที่สุด”
ว่าที่เจ้าสาวถึงกับหน้าเสีย ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเช่นเดียวกับทุกคนในห้อง แต่ไม่มีใครจะสะเทือนใจไปกว่าคุณทิวาอีกแล้ว
ด้วยวัยเกินครึ่งร้อยทว่าทิวายังครองตัวเป็นสาวโสดมาตลอด แต่ก็ยังมีความสุขกายสบายใจดีทุกประการ ไม่เคยคิดว่าชีวิตขาดอะไร กระทั่งตอนนี้...
“คุณแม่” ทิวาต้องเสียงสูง ยกมือทาบอกไปด้วย
“ไม่ต้องมาทำเสียงเล็กเสียงน้อยเลยแม่ทิวา” คุณยายน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ “ฉันไม่ได้พูดประชดหล่อน แค่ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกเท่านั้น”
นภาสิริมองหน้าคุณยายสลับกับป้าแล้วก็จนใจ สงสารทั้งป้า ทั้งตัวเองเลยตัดสินใจถามออกไปตรงๆ
“นี่ตกลงคุณยายไม่อยากให้สิรีแต่งงานเพราะกลัวถ้าสิรีแต่งงานก่อนพี่ชนาแล้วพี่ชนาอาจจะขึ้นคานเหมือนคุณป้าทิวาที่ยอมให้แม่ราตรีแต่งงานก่อนอย่างนั้นเหรอคะ”
“ไม่ใช่ไม่อยาก” คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย “ฉันน่ะอยากเห็นลูกหลานเป็นฝั่งเป็นฝาใจจะขาด อยากจะอุ้มเหลนไวๆ แต่จะให้น้องแต่งก่อนพี่มันน่าเกลียด เข้าใจไหมสิรี”
“ไม่เข้าใจค่ะคุณยาย” นภาสิรีเถียงทันควัน “คุณยายไม่มีเหตุผลเลย สิรีไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกันตรงไหนสิรีจะแต่งหรือไม่แต่งก็ไม่เกี่ยวกับพี่ชนาเสียหน่อย เอะอะอะไรคุณยายก็ห่วงแต่พี่ชนา หนูนาอย่างโน้น หนูนาอย่างนี้ตลอดเลย สิรีถามจริงๆ เถอะค่ะ คุณยายเคยรักสิรีบ้างไหม”
สิ้นเสียงถามคุณราตรีก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องเอ่ยขึ้นเสียเอง
“หยุดเดี๋ยวนี้นะสิรี พูดจาน่าเกลียด ทำไมถึงก้าวร้าวคุณยายอย่างนี้แม่ไม่ชอบเลย”
นภาสิริกะพริบตาถี่ๆ มองหน้าแม่สลับกับยายแล้วดวงตาคล้ายจะแดงก่ำขึ้นมากะทันหัน แต่ริมฝีปากบางยังรั้นไม่เลิก
“สิรีพูดความจริงนี่ วันนี้แทนที่จะเป็นวันดีของสิรี แล้วแม่ดูสิ คุณยายไม่ยอมให้สิรีแต่งงานกับพี่พุทธเพราะเหตุผลเท่านี้น่ะหรอ”
ชายหนุ่มเจ้าของชื่อเอื้อมมือมาจับมือนภาสิริไว้บีบเบาๆ โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย หล่อนก็หันไปยิ้มบางๆ ให้เขาก่อนจะพูดต่อ
“สิรีไม่ยอมนะคะ ยังไงสิรีก็จะแต่งงานกับพี่พุทธ แต่งให้เร็วที่สุดด้วย”
“ไม่เอาน่าสิรีทำไมถึงพูดจาแบบนี้” คุณราตรีว่าเสียงอ่อน
“สิรีพูดความจริงนี่คะ ถ้าคุณแม่ คุณยาย เห็นควรจะรับพี่พุทธเป็นเขยบ้านนี้ สิรีก็จะแต่งเลยค่ะไม่รอใครหรืออะไรทั้งนั้น”
คุณยายที่นั่งเงียบฟังได้เพียงครู่เดียวก็ชักอดรนทนไม่ได้ หันมามองหลานสาวคนเล็กด้วยหางตา
“ก็เอาสิแม่สิรี อยากแต่งนักก็แต่งไป ถ้าไม่เห็นหัวกันก็ทำเลย”
พูดจบคุณยายน้อยก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินหนีไปทันที ไม่รับฟังคำคันค้านใดๆ อีกแล้ว
“สิรีพูดจริงๆ นะคะคุณยาย ถ้าคุณยายมีเหตุผลเท่านี้ สิรีก็ไม่รอหรอกค่ะ พี่ชนาอายุจะสามสิบอยู่แล้วเคยมีแฟนซะที่ไหน ถ้าขืนให้รอพี่ชนาแต่งงานก่อนมีหวังชาตินี้สิรีคงได้ขึ้นคานตามพี่ชนาไปแน่นอน”
คุณยายหยุดเดินทันที หันมามองหลานสาวด้วยคาดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดออกมาตรงๆ ถึงเพียงนี้
นภาสิริเห็นทีได้โอกาสรีบลุกขึ้นเดินไปหา ก่อนจะค้อมตัวลงกอดเอวคุณยายไว้อย่างออดอ้อน
“นะคะคุณยาย อนุญาตให้สิรีแต่งงานกับพี่พุทธนะคะ พี่พุทธจะได้ไปบอกผู้ใหญ่ให้มาทาบทามสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราว คุณยายก็ทราบ สิรีรักคุณยายที่สุด อยากให้คุณยายเป็นประธานในงานแต่งของสิรีคนเดียว”
ถ้อยคำอ่อนหวานของหลานสาวถึงกับทำให้คุณภารินีต้องถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
“สิรีจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ต้องหลังจากที่หนูนาแต่งแล้วเท่านั้น ยายถึงจะสบายใจนอนตายตาหลับ”
“คุณยาย” นภาสิริร้องเสียงสูง สองมือหลุดจากเอวของคุณยายโดยพลันราวกับไร้เรี่ยวขึ้นมากะทันหัน “คุณยายใจร้าย ไม่เห็นใจสิรีเลย ไม่รู้ล่ะ ยังไงสิรีก็จะแต่งพรุ่งนี้สิรีจะให้ญาติผู้ใหญ่ของพี่พุทธมาที่นี่จะได้คุยกันให้รู้เรื่อง”
คุณยายรับฟังแผนการของหลานสาวด้วยสีหน้าสงบนิ้งอย่างใจเย็น นางเพียงแค่ปรายตามองหลานสาวเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงกร้าว ประกาศให้ได้ยินกันถ้วนทั่ว
“อยากจะแต่งก็แต่งไป แต่ฉันไม่ขอรับรู้อะไรด้วย อยากเชิญใครมาก็ตามใจเธอ แต่ฉันขอบอกไว้เลยนะ ตราบใดที่หนูนายังไม่แต่งงาน ก็อย่าหวังว่าฉันจะยอมให้สิรีแต่งก่อน”
“คุณแม่คะ มีเหตุผลหน่อยได้ไหม” คุณราตรีเริ่มทนไม่ไหวต้องพูดแทรกขึ้น แต่คุณยายไม่สนใจ
“ทุกคนฟังไว้เลยนะ แล้วไม่ต้องมาพูดให้ฉันรำคาญอีกเป็นหนที่สอง” นางว่าเสียงดังลั่น แม้แต่บ่าวไพร่ในบ้านก็ต้องหันมามองเป็นตาเดียว “ฉันไม่อนุญาตให้มีการจัดการแต่งงานหรืออะไรทั้งนั้นในบ้านหลังนี้ ใครอยากแต่งงานแล้วคิดจะทำลับหลังฉันขอให้ลืมได้เลย ถ้าใครขัดคำสั่งฉัน ฉันไม่เลี้ยงไว้แน่ จะไล่ออกให้หมดไม่เว้นไม่ว่าลูกไม่ว่าหลาน”
“คุณยาย” นภาสิรีร้องเสียงหลง แม้แต่คุณทิวาและราตรีก็ยังอดตกใจไม่ได้
“ถ้าคิดว่าโตแล้วคิดเองได้แล้วอยากทำอะไรก็เชิญ แต่ห้ามมาทำในบ้านของฉัน”
“คุณยายไม่มีเหตุผล”
“ฉันบอกเหตุผลของฉันไปแล้ว ส่วนหล่อนจะรับได้รึไม่ได้นั่นมันเรื่องของหล่อนนะสิรี” นางว่าเสียงเฉียบขาด
“ดีล่ะ ถ้างั้นสิรีจะหนีตามพี่พุทธไปเลย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
“ก็เอาสิ” นางว่าพร้อมกับแสยะยิ้มไปด้วย “อยากไปไหนก็ไป ดีเหมือนกัน ฉันจะได้แบ่งมรดกได้ง่ายขึ้น ยกทุกอย่างให้หนูนาไปเลย ไม่ต้องมานั่งคิดว่าจะยกอะไรให้ใครดี กลัวอีกคนจะน้อยใจ บ้านหลังนี้ก็จะได้ไม่ต้องตัดแบ่งด้วย ดีเหลือเกิน”
จบคำคุณภารินีก็เดินหนีไปเลย ไม่สนใจเสียงร้องด้วยความตกใจจนแทบสิ้นสติของหลานสาวคนเล็ก ไม่ชายตาแลแม้กระทั่งใบหน้าซีดเผือดของบุตรสาวคนโตที่นางรักนักหนา
นภาสิรินั่งมองตามคุณยายน้อยไปจนลับตา สีหน้ายังตกใจไม่น้อยกับเหตุผลของผู้ใหญ่ ทว่ายังยืนกรานในความคิดของตนอย่างหนักแน่น ไม่สนใจแม้กระทั่งมือของพุทธที่ดึงชายเสื้อเธอไว้อย่างห้ามปราม
“สิรีไม่ยอมนะคะคุณแม่ ทำไมคุณยายถึงทำแบบนี้” หล่อนว่าเสียงรวดร้าว ตาแดงจนน้ำตาแทบร่วงก่อนจะหันไปมองใครอีกคน “ป้าขา ช่วยสิรีด้วยนะคะ”
ทิวาถอนหายใจดังเฮือกกับคำขอของหลานสาวคนโปรด ตัวหล่อนเองก็ร้อนใจเป็นนักหนาที่ได้รู้ซึ้งถึงทัศนคติของแม่ตัวเอง
อยู่ด้วยกันมาชั่วชีวิต หล่อนก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าทำให้แม่ผิดหวังไม่น้อยที่ไม่ได้แต่งงานออกเรือนอย่างที่ผู้หญิงทุกคนควรจะทำ แต่แม่ก็ไม่เคยตำหนิอะไรออกมาให้เจ็บช้ำ หล่อนจึงไม่เคยคิดแม้สักน้อยนิดว่าทั้งหมดจะประดังเข้ามาในวันนี้
ตอนแรกหล่อนคิดว่าจะเป็นข่าวดี อีกไม่นานบ้านเราคงได้จัดงานมงคลหลังจากที่ไม่เคยจัดงานใดๆ มาหลายสิบปี นับตั้งแต่น้องเขยจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งบ้านก็เหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกอึมครืม ถึงจะไม่มีใครเอ่ยออกมาชัดๆ แต่บางครั้งก็ยังอดคิดไม่ได้ สุดท้ายบ้านหลังใหญ่โตเนื้อที่เกือบหนึ่งไร่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง กลับกลายเป็นแค่บ้านของสาวโสด
แม่ม่ายสองคนแม่ลูก กับสาวโสดอีกสามคน ทั้งลูกทั้งหลาน คงเป็นสถานการณ์ที่คุณยายน้อยยากจะยอมรับนัก ถึงได้มาประกาศลั่นเอาตอนนี้
ที่ผ่านมาหลังจากผู้เป็นทั้งพ่อและสามีเสียชีวิตลง ภารินีก็ครองตัวเป็นโสด ดูแลบุตรสาวสองคนอย่างสุดกำลังความสามารถ จนราตรีออกเรือนก็ยังใจดีอนุญาตให้ลูกเขยเป็นฝ่ายย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน มีอะไรก็ช่วยกันดูแลกันไป น่าเสียดายที่ลูกเขยก็อายุสั้นด่วนจากไปเสียก่อน แต่ถึงกระนั้นคุณภารินีก็ยังเป็นเสมือนเสาหลักของบ้านเสมอมา
ทุกคนในบ้านให้ความเคารถคุณยายน้อยสูงสุด เพราะท่านเป็นคนมีเหตุผลและดูแลทุกคนด้วยดีตลอดมา ไม่คิดว่าวันนี้ ‘เหตุผลบางประการ’ ของท่านจะถึงกับคนทั้งบ้านซวนเซไปตามกันหมด
ทิวาส่งยิ้มขื่นให้หลานสาว รีบตอบออกไปอย่างมดามั่นหมดใจ
“ไม่ต้องกลัวนะสิรี ป้าจะจัดการเอง”
นภาสิริรีบเข้าไปจับมือป้าอย่างใจชื้น แม้แต่พุทธก็เดินเข้ามาไหว้ทิวาจนตัวงอ
“เอาล่ะ วันนี้ทุกคนกลับไปก่อนเถอะนะ คุณยายน้อยคงอารมณ์ไม่ดี ไว้ยังไงป้าจะพูดกับคุณยายให้เอง”
หนุ่มสาวสี่ห้าคนค่อยยิ้มออกถ้วนทั่วมีทิวากับราตรีเท่านั้นที่รู้สถานการณ์ดี
ใครบ้างจะเปลี่ยนใจคุณภารินีได้...
ไม่มีเลย...
ความคิดเห็น