ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เทพบุตรร้อยล้าน

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอน 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.19K
      5
      16 ก.ย. 54

    แต่งไม่ได้ จะแต่งเข้าไปได้ยังไงน่าเกลียด น้ำเสียงเฉียบขาดค้านดังลั่นจนแม้แต่คนที่คอยแอบฟังอยู่นอกห้องรับแขกก็ยังได้ยินชัดแจ้ง จนไม่ต้องอาศัย ความสามารถพิเศษ แต่อย่างใด

    คุณนายภารินี หรือคุณยายน้อยของทุกคนนั่งเป็นประธานสง่าอยู่ยังเก้าอี้หลุยส์ตัวโตขนาดยาวที่นั่งได้ถึงสามคน ในขณะที่ลูกหลานทุกคนนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนพื้น จะมีก็แต่ทิวากับราตรี บุตรสาวทั้งสองคนที่เลยวัยสาวมามากโขแล้วนั่นล่ะที่นั่งยังเก้าอี้เดี่ยวขนาบข้างทั้งซ้ายขวาทว่าก็ยังตกใจไม่ต่างจากทุกคนในห้อง

    คุณยายน้อยอายุเจ็ดสิบแปดแล้วทว่ายังแข็งแรงดีอยู่ จะลุกจะนั่งก็ยังไม่ถึงกับต้องให้ลูกหลานประคอง ถึงจะพอมีโรคภัยบ้างก็ตามวัย เลยยังคงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ทุกคนในบ้านกาลนทีเสมอมา

    ตรงหน้าคุณยายน้อยถัดจากโต๊ะกระจกใสเอาไว้รับแขกมีคนมานั่งเรียงหน้ากันสลอนถึงห้าคน ที่นั่งอยู่หน้าสุดเห็นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากนภาสิริ หลานสาวคนเล็กของบ้านที่ใครๆ ต่างก็เอาอกเอาใจมาตลอด ข้างกายเธอคือชายหนุ่มคนสำคัญที่คุณยายน้อยกำลังมองด้วยหางตาราวกับรังเกียจเป็นนักหนา ทั้งที่เคยให้หลานตนเองเป็นฝ่ายเชิญมาร่วมมื้อเย็นที่บ้านนี้อยู่บ่อยครั้ง

    หลังจากคู่หนุ่มสาวไปแล้วก็เป็นแถวของเพื่อนอีกสามชีวิตด้วยกันทั้งชายหญิงนั่งเรียงกันเป็นแถวโดยไม่ได้ตั้งใจ ทุกคนที่นั่งพื้นเอามือประสานกันไว้ที่หน้าตักตัวเกร็งไปตามๆ กันด้วยไม่คิดว่าคุณยายน้อยจะ ดุถึงเพียงนี้

    ผู้ใหญ่ของบ้านซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นคุณยายใจดี แสนน่ารักในเวลานี้ดวงหน้าเรียบเฉยค่อนไปทางบึ้งตึงเสียด้วยซ้ำ แม้กระทั่งใบหน้าหลานสาวตัวเองก็ยังใช้การปรายตามอง ไม่ได้ส่งยิ้มให้เหมือนทุกวัน แล้วใครจะไม่ตัวเกร็งกันบ้างเล่า

    ทำไมล่ะคะคุณแม่ คุณทิวา บุตรสาวคนโตของยายน้อยเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน เพราะเห็นว่าคงไม่มีใครกล้าเอาเรือไปขวางน้ำเชี่ยวได้เท่าเธออีกแล้ว คุณแม่เองก็ทราบว่ายัยสิรีคบหาดูใจกับตาพุทธมาพักใหญ่แล้ว นี่ตบแต่งกันไปก็ควรจะเป็นข่าวดีไม่ใช่เหรอคะ ตาพุทธเอง คุณแม่ก็เอ็นดูไม่น้อย

    ฉันก็ไม่เถียงหรอกว่าดี ว่าเหมาะสมกัน คุณยายน้อยยอมรับทั้งที่สีหน้ายังหงิกงออยู่

    พอสิ้นเสียงคุณยายน้อยทุกคนในห้องต่างก็ลอบยิ้มกันเป็นทิวแถว แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น...

    แต่ยังไม่ควรจะแต่งกันตอนนี้

    ทำไมล่ะคะคุณแม่ทิวาถามซ้ำอีกรอบ ตาพุทธเองก็หน้าที่การงานมั่นคงเป็นถึงระดับผู้จัดการธนาคาร คงไม่พาหลานเราไปอดอยากหรอกค่ะ

    ฉันไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น

    อ้าว แล้วทำไม...

    หล่อนฟังฉันก่อนได้ไหม แม่ทิวา คุณยายน้อยตัดบทเสียเอง ฉันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรดี ก็ชอบใจอยู่หรอกนะ ว่าที่หลานเขยคนนี้

    ว่าที่หลานเขยยิ้มกว้างรับคำชม แต่แล้วรอยยิ้มกลับต้องหุบลงฉับพลันเมื่อคุณยายน้อยยังคงประกาศเจตนารมณ์เดิม

    แต่ยังไงก็ยังแต่งกันไม่ได้

    แต่สิรีจะแต่งค่ะ คุณยายไม่มีเหตุผลเลย สิริชนาญาเป็นฝ่ายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเอาแต่ใจ ริมฝีปากก็เชิดขึ้นอย่างไม่พอใจเต็มเปี่ยม ทำไมคะ พี่พุทธไม่ดีตรงไหน ทำไมสิรีจะแต่งงานกับพี่พุทธไม่ได้ สิรีอายุยี่สิบหกแล้วนะคะ ใจคอคุณยายจะให้สิรีรอไปถึงไหน

    บ๊ะ ยัยสิรี ย่าก็บอกอยู่ว่าไม่ใช่จะไม่ให้แต่ง แค่ยังไม่ควรแต่งกันตอนนี้ยายน้อยทำเสียงขึ้นจมูก สะบัดหน้าใส่หลานสาวแถมให้อีก

    ทำไมล่ะคะ

    มันน่าเกลียด

    น่าเกลียดยังไง ก็ไหนว่าคุณยายไม่รังเกียจจะรับพี่พุทธมาเป็นหลานเขยบ้านนี้

    ใช่ ยายสิรี ภารินีพยักหน้าเบาๆ ไปด้วย ตาพุทธเองก็เหมาะสมดีทุกอย่าง แต่งกันไปก็เป็นคู่ที่สมกันอย่างกับกิ่งทองใบหยก

    แล้วคุณยายพูดเหมือนจะค้าน สิริชนาญาพูดต่อด้วยสีหน้างงๆ แล้วทำไมยังแต่งไม่ได้ล่ะคะ

    นี่หนูนาไปไหน นั่งกันหน้าสลอน แต่ขาดไปคน คุณยายน้อยเปลี่ยนพูดหน้าตาเฉย

    ถึงจะเรียกหนูนา แต่เจ้าของชื่ออายุเฉียดจะเลขสามเข้าไปทุกทีแล้ว คงเพราะเป็นหลานคนแรก คุณยายถึงไม่เคยคิดว่าโตแล้ว จะผ่านไปสักกี่ปีก็ยังเรียกหนูนาติดปากเหมือนเคย ผิดกับสิรี หลานสาวคนเล็กที่คุณยายเรียกแค่ชื่อสิรีเท่านั้น

    ทุกคนได้แต่มองกันไปมา สุดท้ายหลานสาวคนเล็กเลยต้องตอบอย่างเสียไม่ได้

    วันนี้พี่ชนาไปทำงานค่ะ มีงานด่วน เลยไม่ได้อยู่เป็นพยาน หล่อนว่าเสียงขุ่นหน่อยๆ ตกลงคุณยายจะบอกได้รึยังคะว่าทำไมสิรีถึงยังแต่งงานไม่ได้

    ไม่เอาน่าสิรี อย่าก้าวร้าวคุณยายสิ คุณทิวาท้วงเสียงเข้ม แม้จะต้องการคำตอบเช่นเดียวกับทุกคน คุณแม่คะ... นางยังไม่ทันพูดต่อคุณยายน้อยก็ตอบเสียเอง

    พอๆ ไม่ต้องเถียงกัน ฉันคร้านจะฟัง นางโบกมือว่อนไปด้วย ฉันจะพูดอีกครั้งก็แล้วกันนะ ฉันไม่ได้คิดจะคัดค้านอะไร พ่อพุทธกับสิรีก็สมกันดี ฉันยอมรับ แต่ยังไม่อยากให้แต่งกันตอนนี้

    แต่สิรีอายุยี่สิบหกแล้วนะคะคุณแม่ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ถึงวัยควรจะแต่งงานแต่งการกำลังเหมาะ

    ฉันก็ไม่ได้ว่าไม่เหมาะหรอกแม่ทิวา แต่มันออกจะน่าเกลียดไปหน่อย นางว่าพลางปรายตามองบุตรสาวคนโตด้วยหางตา ไม่คิดบ้างรึไงให้หลานคนเล็กแต่งงานอกเรือนไปก่อน แล้วคนโตปล่อยให้แห้งเหี่ยวขึ้นคานรึไงกัน น่าเกลียดที่สุด

    ว่าที่เจ้าสาวถึงกับหน้าเสีย ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเช่นเดียวกับทุกคนในห้อง แต่ไม่มีใครจะสะเทือนใจไปกว่าคุณทิวาอีกแล้ว

    ด้วยวัยเกินครึ่งร้อยทว่าทิวายังครองตัวเป็นสาวโสดมาตลอด แต่ก็ยังมีความสุขกายสบายใจดีทุกประการ ไม่เคยคิดว่าชีวิตขาดอะไร กระทั่งตอนนี้...

    คุณแม่ ทิวาต้องเสียงสูง ยกมือทาบอกไปด้วย

    ไม่ต้องมาทำเสียงเล็กเสียงน้อยเลยแม่ทิวา คุณยายน้อยพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ ฉันไม่ได้พูดประชดหล่อน แค่ไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกเท่านั้น

    นภาสิริมองหน้าคุณยายสลับกับป้าแล้วก็จนใจ สงสารทั้งป้า ทั้งตัวเองเลยตัดสินใจถามออกไปตรงๆ

    นี่ตกลงคุณยายไม่อยากให้สิรีแต่งงานเพราะกลัวถ้าสิรีแต่งงานก่อนพี่ชนาแล้วพี่ชนาอาจจะขึ้นคานเหมือนคุณป้าทิวาที่ยอมให้แม่ราตรีแต่งงานก่อนอย่างนั้นเหรอคะ

    ไม่ใช่ไม่อยาก คุณยายพูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย ฉันน่ะอยากเห็นลูกหลานเป็นฝั่งเป็นฝาใจจะขาด อยากจะอุ้มเหลนไวๆ แต่จะให้น้องแต่งก่อนพี่มันน่าเกลียด เข้าใจไหมสิรี

    ไม่เข้าใจค่ะคุณยาย นภาสิรีเถียงทันควัน คุณยายไม่มีเหตุผลเลย สิรีไม่เห็นว่าจะเกี่ยวกันตรงไหนสิรีจะแต่งหรือไม่แต่งก็ไม่เกี่ยวกับพี่ชนาเสียหน่อย เอะอะอะไรคุณยายก็ห่วงแต่พี่ชนา หนูนาอย่างโน้น หนูนาอย่างนี้ตลอดเลย สิรีถามจริงๆ เถอะค่ะ คุณยายเคยรักสิรีบ้างไหม

    สิ้นเสียงถามคุณราตรีก็เป็นฝ่ายทนไม่ไหวต้องเอ่ยขึ้นเสียเอง

    หยุดเดี๋ยวนี้นะสิรี พูดจาน่าเกลียด ทำไมถึงก้าวร้าวคุณยายอย่างนี้แม่ไม่ชอบเลย

    นภาสิริกะพริบตาถี่ๆ มองหน้าแม่สลับกับยายแล้วดวงตาคล้ายจะแดงก่ำขึ้นมากะทันหัน แต่ริมฝีปากบางยังรั้นไม่เลิก

    สิรีพูดความจริงนี่ วันนี้แทนที่จะเป็นวันดีของสิรี แล้วแม่ดูสิ คุณยายไม่ยอมให้สิรีแต่งงานกับพี่พุทธเพราะเหตุผลเท่านี้น่ะหรอ

    ชายหนุ่มเจ้าของชื่อเอื้อมมือมาจับมือนภาสิริไว้บีบเบาๆ โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย หล่อนก็หันไปยิ้มบางๆ ให้เขาก่อนจะพูดต่อ

    สิรีไม่ยอมนะคะ ยังไงสิรีก็จะแต่งงานกับพี่พุทธ แต่งให้เร็วที่สุดด้วย

    ไม่เอาน่าสิรีทำไมถึงพูดจาแบบนี้ คุณราตรีว่าเสียงอ่อน

    สิรีพูดความจริงนี่คะ ถ้าคุณแม่ คุณยาย เห็นควรจะรับพี่พุทธเป็นเขยบ้านนี้ สิรีก็จะแต่งเลยค่ะไม่รอใครหรืออะไรทั้งนั้น

    คุณยายที่นั่งเงียบฟังได้เพียงครู่เดียวก็ชักอดรนทนไม่ได้ หันมามองหลานสาวคนเล็กด้วยหางตา

    ก็เอาสิแม่สิรี อยากแต่งนักก็แต่งไป ถ้าไม่เห็นหัวกันก็ทำเลย

    พูดจบคุณยายน้อยก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินหนีไปทันที ไม่รับฟังคำคันค้านใดๆ อีกแล้ว

    สิรีพูดจริงๆ นะคะคุณยาย ถ้าคุณยายมีเหตุผลเท่านี้ สิรีก็ไม่รอหรอกค่ะ พี่ชนาอายุจะสามสิบอยู่แล้วเคยมีแฟนซะที่ไหน ถ้าขืนให้รอพี่ชนาแต่งงานก่อนมีหวังชาตินี้สิรีคงได้ขึ้นคานตามพี่ชนาไปแน่นอน

    คุณยายหยุดเดินทันที หันมามองหลานสาวด้วยคาดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดออกมาตรงๆ ถึงเพียงนี้

    นภาสิริเห็นทีได้โอกาสรีบลุกขึ้นเดินไปหา ก่อนจะค้อมตัวลงกอดเอวคุณยายไว้อย่างออดอ้อน

    นะคะคุณยาย อนุญาตให้สิรีแต่งงานกับพี่พุทธนะคะ พี่พุทธจะได้ไปบอกผู้ใหญ่ให้มาทาบทามสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราว คุณยายก็ทราบ สิรีรักคุณยายที่สุด อยากให้คุณยายเป็นประธานในงานแต่งของสิรีคนเดียว

    ถ้อยคำอ่อนหวานของหลานสาวถึงกับทำให้คุณภารินีต้องถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

    สิรีจะแต่งงานเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ต้องหลังจากที่หนูนาแต่งแล้วเท่านั้น ยายถึงจะสบายใจนอนตายตาหลับ

    คุณยาย นภาสิริร้องเสียงสูง สองมือหลุดจากเอวของคุณยายโดยพลันราวกับไร้เรี่ยวขึ้นมากะทันหัน คุณยายใจร้าย ไม่เห็นใจสิรีเลย ไม่รู้ล่ะ ยังไงสิรีก็จะแต่งพรุ่งนี้สิรีจะให้ญาติผู้ใหญ่ของพี่พุทธมาที่นี่จะได้คุยกันให้รู้เรื่อง

    คุณยายรับฟังแผนการของหลานสาวด้วยสีหน้าสงบนิ้งอย่างใจเย็น นางเพียงแค่ปรายตามองหลานสาวเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงกร้าว ประกาศให้ได้ยินกันถ้วนทั่ว

    อยากจะแต่งก็แต่งไป แต่ฉันไม่ขอรับรู้อะไรด้วย อยากเชิญใครมาก็ตามใจเธอ แต่ฉันขอบอกไว้เลยนะ ตราบใดที่หนูนายังไม่แต่งงาน ก็อย่าหวังว่าฉันจะยอมให้สิรีแต่งก่อน

    คุณแม่คะ มีเหตุผลหน่อยได้ไหม คุณราตรีเริ่มทนไม่ไหวต้องพูดแทรกขึ้น แต่คุณยายไม่สนใจ

    ทุกคนฟังไว้เลยนะ แล้วไม่ต้องมาพูดให้ฉันรำคาญอีกเป็นหนที่สองนางว่าเสียงดังลั่น แม้แต่บ่าวไพร่ในบ้านก็ต้องหันมามองเป็นตาเดียว ฉันไม่อนุญาตให้มีการจัดการแต่งงานหรืออะไรทั้งนั้นในบ้านหลังนี้ ใครอยากแต่งงานแล้วคิดจะทำลับหลังฉันขอให้ลืมได้เลย ถ้าใครขัดคำสั่งฉัน ฉันไม่เลี้ยงไว้แน่ จะไล่ออกให้หมดไม่เว้นไม่ว่าลูกไม่ว่าหลาน

    คุณยาย นภาสิรีร้องเสียงหลง แม้แต่คุณทิวาและราตรีก็ยังอดตกใจไม่ได้

    ถ้าคิดว่าโตแล้วคิดเองได้แล้วอยากทำอะไรก็เชิญ แต่ห้ามมาทำในบ้านของฉัน

    คุณยายไม่มีเหตุผล

    ฉันบอกเหตุผลของฉันไปแล้ว ส่วนหล่อนจะรับได้รึไม่ได้นั่นมันเรื่องของหล่อนนะสิรี นางว่าเสียงเฉียบขาด

    ดีล่ะ ถ้างั้นสิรีจะหนีตามพี่พุทธไปเลย จะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว

    ก็เอาสิ นางว่าพร้อมกับแสยะยิ้มไปด้วย อยากไปไหนก็ไป ดีเหมือนกัน ฉันจะได้แบ่งมรดกได้ง่ายขึ้น ยกทุกอย่างให้หนูนาไปเลย ไม่ต้องมานั่งคิดว่าจะยกอะไรให้ใครดี กลัวอีกคนจะน้อยใจ บ้านหลังนี้ก็จะได้ไม่ต้องตัดแบ่งด้วย ดีเหลือเกิน

    จบคำคุณภารินีก็เดินหนีไปเลย ไม่สนใจเสียงร้องด้วยความตกใจจนแทบสิ้นสติของหลานสาวคนเล็ก ไม่ชายตาแลแม้กระทั่งใบหน้าซีดเผือดของบุตรสาวคนโตที่นางรักนักหนา

    นภาสิรินั่งมองตามคุณยายน้อยไปจนลับตา สีหน้ายังตกใจไม่น้อยกับเหตุผลของผู้ใหญ่ ทว่ายังยืนกรานในความคิดของตนอย่างหนักแน่น ไม่สนใจแม้กระทั่งมือของพุทธที่ดึงชายเสื้อเธอไว้อย่างห้ามปราม

    สิรีไม่ยอมนะคะคุณแม่ ทำไมคุณยายถึงทำแบบนี้ หล่อนว่าเสียงรวดร้าว ตาแดงจนน้ำตาแทบร่วงก่อนจะหันไปมองใครอีกคน ป้าขา ช่วยสิรีด้วยนะคะ

    ทิวาถอนหายใจดังเฮือกกับคำขอของหลานสาวคนโปรด ตัวหล่อนเองก็ร้อนใจเป็นนักหนาที่ได้รู้ซึ้งถึงทัศนคติของแม่ตัวเอง

    อยู่ด้วยกันมาชั่วชีวิต หล่อนก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าทำให้แม่ผิดหวังไม่น้อยที่ไม่ได้แต่งงานออกเรือนอย่างที่ผู้หญิงทุกคนควรจะทำ แต่แม่ก็ไม่เคยตำหนิอะไรออกมาให้เจ็บช้ำ หล่อนจึงไม่เคยคิดแม้สักน้อยนิดว่าทั้งหมดจะประดังเข้ามาในวันนี้

    ตอนแรกหล่อนคิดว่าจะเป็นข่าวดี อีกไม่นานบ้านเราคงได้จัดงานมงคลหลังจากที่ไม่เคยจัดงานใดๆ มาหลายสิบปี นับตั้งแต่น้องเขยจากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ทั้งบ้านก็เหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกอึมครืม ถึงจะไม่มีใครเอ่ยออกมาชัดๆ แต่บางครั้งก็ยังอดคิดไม่ได้ สุดท้ายบ้านหลังใหญ่โตเนื้อที่เกือบหนึ่งไร่ตั้งอยู่ในเมืองหลวง กลับกลายเป็นแค่บ้านของสาวโสด

    แม่ม่ายสองคนแม่ลูก กับสาวโสดอีกสามคน ทั้งลูกทั้งหลาน คงเป็นสถานการณ์ที่คุณยายน้อยยากจะยอมรับนัก ถึงได้มาประกาศลั่นเอาตอนนี้

    ที่ผ่านมาหลังจากผู้เป็นทั้งพ่อและสามีเสียชีวิตลง ภารินีก็ครองตัวเป็นโสด ดูแลบุตรสาวสองคนอย่างสุดกำลังความสามารถ จนราตรีออกเรือนก็ยังใจดีอนุญาตให้ลูกเขยเป็นฝ่ายย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน มีอะไรก็ช่วยกันดูแลกันไป น่าเสียดายที่ลูกเขยก็อายุสั้นด่วนจากไปเสียก่อน แต่ถึงกระนั้นคุณภารินีก็ยังเป็นเสมือนเสาหลักของบ้านเสมอมา

    ทุกคนในบ้านให้ความเคารถคุณยายน้อยสูงสุด เพราะท่านเป็นคนมีเหตุผลและดูแลทุกคนด้วยดีตลอดมา ไม่คิดว่าวันนี้ เหตุผลบางประการของท่านจะถึงกับคนทั้งบ้านซวนเซไปตามกันหมด

    ทิวาส่งยิ้มขื่นให้หลานสาว รีบตอบออกไปอย่างมดามั่นหมดใจ

    ไม่ต้องกลัวนะสิรี ป้าจะจัดการเอง

    นภาสิริรีบเข้าไปจับมือป้าอย่างใจชื้น แม้แต่พุทธก็เดินเข้ามาไหว้ทิวาจนตัวงอ

    เอาล่ะ วันนี้ทุกคนกลับไปก่อนเถอะนะ คุณยายน้อยคงอารมณ์ไม่ดี ไว้ยังไงป้าจะพูดกับคุณยายให้เอง

    หนุ่มสาวสี่ห้าคนค่อยยิ้มออกถ้วนทั่วมีทิวากับราตรีเท่านั้นที่รู้สถานการณ์ดี

    ใครบ้างจะเปลี่ยนใจคุณภารินีได้...

    ไม่มีเลย...

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×