ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *:: KRISHAN WINTER PROJECT ::*

    ลำดับตอนที่ #3 : Once Again (by duli)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 884
      3
      24 ม.ค. 58

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เราพบกันในวันหนึ่งของฤดูหนาว

     

     

     

    จะว่าไป.. คริสต์มาสอีฟอันหนาวเหน็บเมื่อปีที่แล้ว

     

    นั่นเป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน

     

     

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

     

    ดูกวางตัวนั้นสิฮะแม่"

     

    เด็กชายในชุดเสื้อโค้ทตัวหนาชี้ชวนให้มารดาดูเจ้าตุ๊กตากวางที่ถูกแขวนประดับอยู่บนกิ่งต้นสนอย่างตื่นตาตื่นใจพลางวิ่งรอบวนไปมาอย่างกะตือรือร้น ทั้งลูกบอลกลมใส กล่องของขวัญจิ๋ว และของประดับอื่นๆแขวนอวดความสวยงามส่องแสงสะท้อนแวววับละลานตา

     

    ต้นคริสมาสต์ขนาดยักษ์ตั้งอยู่ตรงกลางลานในส่วนที่คล้ายกับพาร์คขนาดใหญ่ บรรยากาศยามค่ำคืนเต็มไปด้วยบทสนทนาของผู้คนที่เคล้าคลอด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ไฟสีนวลส่องแสงสว่างไสวให้ความรู้สึกอบอุ่นตัดกับความหนาวเย็นของอากาศในเดือนสุดท้ายของปี

     

     

    โอ๊ย!”

     

    คงเพราะมัวแต่ตื่นเต้นจนไม่ทันระวัง หรืออาจเป็นเพราะบริเวณนั้นเต็มไปด้วยบรรดาผู้คนมากหน้าหลายตาที่พากันเดินชมอยู่รอบๆ เด็กชายจึงสะดุดเอาอะไรบางอย่างเข้าจนหกล้ม

     

     

    โอ๊ย! ระวังหน่อยสิเจ้าเด็กบ้า!”

     

     

     

    ตายแล้ว! เป็นอะไรมั้ยลูก"

     

    ไม่เป็นไรฮะ"

     

    เด็กชายเอ่ยตอบมารดาซึ่งรุดเข้ามาหาด้วยสีหน้าสดใสก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นบนหลังกางเกงสองสามทีแล้วเริ่มต้นวิ่งแกมกระโดดอย่างเริงร่าอีกครั้งโดยมีหญิงสาวผู้เป็นแม่เดินตามไปติดๆ ไม่มีใครสนใจหนุ่มน้อยอีกคนที่กำลังนั่งหน้าบูดบึ้งรวมอยู่กับกองกล่องของขวัญนับสิบที่ใช้วางประดับอยู่ใต้ต้นสน

     

     

    อันที่จริงลู่หานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครสนใจเขา

     

    ไม่ใช่สิ ไม่ใช่แค่ไม่สนใจ เพราะจริงๆแล้ว

     

     

    ... หนุ่มน้อยถอนใจด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์

     

     

    ไม่มีใครมองเห็นเขาเลยต่างหาก

     

     

     

    เจ้าเด็กคนเมื่อกี้คงจะไม่รู้ล่ะมังว่าตัวเองแทบจะโถมร่างลงมาทับเขา ต่อให้เดินมาเหยียบหน้าเขาเจ้าเด็กนั่นก็คงจะไม่รู้ เด็กหนุ่มร่างเล็กยกขาสองข้างขึ้นนั่งกอดเข่ามองผู้คนที่แวะเวียนผ่านไปมา ทั้งชายหนุ่มหญิงสาว เด็กๆและคนแก่ ทุกคนต่างแหงนคอมองต้นคริสมาสต์สีส่องแสงแวววาวด้วยแววตาเป็นประกายสดใส แต่เด็กหนุ่มที่นั่งแช่อยู่ตรงนี้มาหลายชั่วโมงกลับไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปด้วย

     

     

    เจ้าของร่างเล็กหายใจเข้าและออกทว่าปราศจากควันสีขาวลอยฟุ้งอย่างที่ควรจะเป็น

     

     

    ลู่หานไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคือที่ไหน ลืมตาขึ้นมาอีกทีเขาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนลานพื้นหินอ่อน แสงอาทิตย์ถักทอลงมากระทบกับผืนน้ำใสแจ๋วเป็นประกายสีทองระยิบระยับ ข้างๆที่เขายืนเป็นลำคลองใสสะอาด ไหลรินเรื่อยอยู่ใต้สะพานเตี้ยซึ่งประดับด้วยดอกไม้ในฤดูหนาวที่พากันอวดชูช่อบานสะพรั่ง

     

    ลู่หานจำได้ว่าเขาวนเวียนอยู่แถวนี้มาตั้งแต่เช้า เขาพยายามจะสื่อสารกับคนอื่นในตอนแรก เขาเจอลุงคนหนึ่งนั่งสูบซิการ์อยู่บนม้านั่งสีเขียว ทว่าเขาพูดแทบเป็นแทบตาย แต่ลุงหนวดเคราขาวคนนั้นกลับไม่สนใจจะฟังหรือแม้แต่จะเหลียวแลมองจนเขาเองเริ่มที่จะโมโหและหมดความอดทน ไม่ใช่แค่คุณลุง เพราะหลังจากนั้นลู่หานก็ได้พบกับกลุ่มเด็กน้อยที่พากันมาวิ่งเล่นสนุกสนาน คู่รักที่เดินเล่นควงแขนกันตรงริมบ่อน้ำ ไปจนถึงหญิงเจ้าของร้านชำที่กำลังแบกลังแอปเปิ้ลเข้าประตูร้าน แต่หลังจากทั้งหงุดหงิดและเสียอารมณ์นับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายเขาก็ตระหนักได้ว่าผู้คนเหล่านั้น.. ไม่มีใครเลยสักคนที่มองเห็นหรือรับรู้การมีตัวตนอยู่ของเขา

     

    ลู่หานยอมแพ้และได้แต่เดินไปเรื่อยเปื่อยอย่างไร้จุดหมาย จนลงเอยด้วยการมานั่งรากงอกฆ่าเวลาอยู่ใต้ต้นสนยักษ์ตั้งแต่ตอนที่มันยังไม่ได้เปิดไฟสว่าง ทว่าพอจะเอนพิงหัวลำต้นเขากลับหงายวืดทะลุไปข้างหลังราวกับร่างกายเป็นเพียงธาตุอากาศ เขาเลยได้แต่นั่งเฉยๆและทอดสายตามองไปอย่างไร้จุดหมาย

     

    ถามว่าเขาตกใจไหมกับสภาพของตัวเองตอนนี้? ... ลู่หานเองก็ตอบไม่ถูก หรือจะให้บอกอีกอย่างก็คือเขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงซะมากกว่า เขาไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าตัวเองโผล่มาที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถพูดคุยกับคนอื่นได้ ไม่รู้ว่านี่กี่โมง ไม่รู้ว่า ... เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นใคร หรือถ้าจะถามให้ถูก เขาเป็นอะไร?

     

    ตอนที่นั่งอยู่ลู่หานพยายามนึกเรื่องราวของตัวเอง นึกว่าเขาเป็นใคร มีพ่อแม่พี่น้องกี่คน เกิดหรือเติบโตขึ้นมาที่ไหน แล้วเพราะอะไรถึงได้กลายมาเป็นแบบนี้ ... แต่จนแล้วจนรอดคำตอบที่ได้ก็มีเพียงความว่างเปล่า เพียงสิ่งเดียวที่ปรากฏชัดเจนอยู่ในห้วงความคิด

     

     

    ลู่หาน ....

     

     

    เขาคิดเอาเองว่านั่นคงจะเป็นชื่อของเขา

     

    มีเพียงเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำ

     

     

     

    ไฟคริสต์มาสเริ่มติดและส่องสว่างในยามพระอาทิตย์ค่อยๆลาลับ ท้องฟ้าสีครามแปรเปลี่ยนเป็นกำมะหยี่ยามรัตติกาล เทศกาลอันเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังที่ช่วยให้ทุกชีวิตรื่นเริงและอบอุ่นหัวใจ

     

    ลู่หานกอดเข่าแล้วถอนหายใจออกมารอบที่พัน มองเห็นคนอื่นๆที่พากันเดินเคียงคู่หรือจูงมือกันมาด้วยท่าทางมีความสุข ทั้งแม่ลูก ชายหญิง คุณตาคุณยาย เด็กน้อยไร้เดียงสาที่กำลังร่าเริงกับไฟประดับในคืนคริสต์มาสอีฟ ลู่หานก็เริ่มชักจะเหงา .... เขาได้แต่นั่งอยู่ตรงนี้เพราะไม่รู้ว่าจะทำอะไรหรือจะไปที่ไหน บางทีเขาอาจจะต้องนั่งอยู่อย่างนี้ไปตลอดทั้งชีวิตก็เป็นได้

     

    ดวงตากลมโตไล่มองไปรอบๆอย่างหงอยเหงาระคนงุ่นง่านใจก่อนจะหยุดชะงัก

     

     

    “.................................”

     

    “.....................”

     

     

    ทันทีที่รู้สึกตัวลู่หานก็รีบกระเด้งลุกขึ้น

     

     

    นาย!”

     

    แน่ๆ.. ต้องใช่แน่ๆ จากลังเลค่อยๆมั่นใจขึ้นทีละน้อยเมื่ออีกฝ่ายชะงักเมื่อเขาตะโกนเรียก หากแต่ร่างสูงที่หันหลังกลับไปทันทีที่สบตากับเขาก็ยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว

     

    นี่นาย!”

     

    ปลายเท้าเปล่าเปลือยรีบออกวิ่ง เผลอทะลุผ่านตัวหญิงสาวคนหนึ่งไปแต่ลู่หานก็ไม่สน

     

    เขาแน่ใจ...

     

    หยุดก่อน!!!”

     

    แม้จะออกวิ่งด้วยความเร็วแต่ลู่หานกลับไม่รู้สึกเหนื่อยและไม่หอบหายใจ ร่างเล็กวิ่งไปขวางทางข้างหน้าก่อนจะคว้าแขนที่ซ่อนอยู่ในเสื้อไหมพรมสีเลือดหมูนั้นเอาไว้ ดวงตาสีเข้มลึกล้ำนั้นสะท้อนกับแสงไฟของต้นคริสต์มาส แต่มันกำลังมองตรงมาที่เขา เหมือนเมื่อนาทีที่แล้ว.... มองและหยุดลงที่เขา ไม่ได้ผ่านเลยไปเหมือนกับคนอื่นๆ

     

     

    นาย.. มองเห็นฉัน"

     

    นายมองเห็นฉัน!!!”

     

    เจ้าของเสียงหวานแทบจะกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ หากคนฟังกลับทำแค่เพียงดึงแขนตัวเองออกไปและเบนสายตากลับไปยังตำแหน่งเดิมพร้อมกับเริ่มออกเดินอีกครั้ง

     

    นี่! เดี๋ยวสิ!!”

     

    รีบร้องเรียกอีกหน ลู่หานหันไปมองต้นคริสมาสต์สูงราวสามสิบฟุต ที่ยิ่งดูสวยงามเมื่อได้ถอยออกมามองเห็นในมุมกว้าง นึกละล้าละลังในใจแต่สุดท้ายก็บอกลามันขณะหันหลังกลับและรีบออกวิ่งตามหลังคนที่ค่อยๆเดินห่างออกไปเรื่อยๆ

     

     

    นาย!! รอฉันด้วย!!!”

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

     

     

    ค่ำคืนคริสต์มาสอีฟกำลังจะผ่านพ้นไป เข็มนาฬิกาหมุนเป็นจังหวะอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

     

     

    ลู่หานได้แต่เดินตามคนข้างหน้าไปอย่างเงียบเชียบ ผู้ชายที่ตัวสูงคนนั้นเอาแต่เดินไปเรื่อยๆ ไม่หันกลับมา และไม่ปริปากโต้ตอบแม้ว่าเขาจะพูดอะไรไปด้วยตั้งมากมาย ลู่หานเพิ่งสังเกตเห็นว่าเส้นผมของอีกฝ่ายนั้นเป็นสีเงินเปล่งประกาย เหมือนแสงสว่างเรืองรองอยู่ท่ามกลางความมืด และเกิดนึกสงสัยขึ้นมาว่าผมของตัวเองเป็นสีอะไรหรือหน้าตาของตัวเองนั้นเป็นยังไง คนตัวเล็กหันไปมองกระจกขณะเดินผ่าน ... ทว่าเงาสะท้อนของเขาคือความว่างเปล่า

     

    จู่ๆชายหนุ่มที่เดินนำหน้าเขาก็หยุดลง และเมื่อลู่หานกระพริบตาอีกทีร่างของอีกฝ่ายก็หายวับไป

     

     

    “.....................!”

     

     

    ลู่หานกำลังตกใจแต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่่าร่างของผู้ชายผมเงินคนนั้นกลับไปปรากฏอยู่บนหลังคาของโบสถ์ที่เขากำลังหยุดยืนอยู่ ลู่หานมารู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่เขาหยุดยืนอยู่บนหลังคาข้างๆชายผมเงินคนนั้น ร่างเล็กมองไปรอบๆตัวอย่างงุนงงว่าเขามาอยู่บนนี้ได้ด้วยวิธีไหน แต่เมื่อไม่มีเหตุผลรองรับ ลู่หานก็สรุปเอาเองว่านี่คงจะเป็นความสามารถหนึ่งที่เขามีติดตัวอยู่

     

    เมื่อไม่รู้จะทำอะไร เจ้าของร่างเล็กจึงทรุดตัวลงนั่งข้างๆชายผมเงินที่กำลังนั่งเท้าแขนไปด้านหลัง เสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายแหงนเงยขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน ผิวขาวและเส้นผมที่พลิ้วไหวเหมือนแสงของดวงดาวที่กำลังเปล่งแสงอยู่เบื้องบน

     

     

    ลู่หานทำแค่เพียงลอบมองอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ กระทั่งฉับพลันที่นึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้

     

     

    ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตื่นเต้น

     

     

    ฉันจับนายได้! ดูสิ! ฉันจับนายได้!!!”

     

     

    ร้องอย่างตื่นเต้น นิ้วเรียวเล็กทั้งห้าจับอยู่ที่ข้อมือของชายหนุ่มแปลกหน้า สัมผัสที่แนบแน่นอยู่ตรงปลายนิ้วยืนยันว่าลู่หานสามารถจับต้องคนตรงหน้าได้ เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงสามารถยืนอยู่บนพื้น หรือนั่งอยู่บนหลังคาแบบนี้ได้ แต่กลับไม่สามารถทำบางอย่าง เช่นเอนพิงต้นสนหรือจับต้องวัตถุและมนุษย์คนอื่นๆ บางทีมันอาจจะไม่มีกฎตายตัวที่แน่นอนล่ะมัง

     

     

    แต่อย่างหนึ่งที่รู้ๆในตอนนี้คือเขาสามารถสัมผัสชายหนุ่มคนนี้ได้

     

     

    ลู่หานกำลังอยู่ในภาวะตื่นเต้นกับเรื่องที่เพิ่งค้นพบ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าของใบหน้าเฉยชานั้นจะไม่ยินดียินร้ายไปด้วย ก่อนที่จะทำแบบเดิมคือดึงข้อมือของตัวเองให้หลุดจากการเกาะกุม

     

    ลู่หานรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะหันหลังให้เขาอีกครั้ง

     

     

    อย่าทิ้งฉันไปเลยนะ..!”

     

    เสียงหวานรีบร้องเรียก สายตาเว้าวอนจับจ้องอยู่ที่แผ่นหลังกว้างของร่างสูงที่ผุดลุกขึ้นยืน เส้นผมสีเงินยังคงโดดเด่นสว่างไสว เร่งเร้าให้ลู่หานอยากรู้เหลือเกินว่าผมของเขาจะสวยงามเช่นนี้บ้างไหม

     

     

    ขอร้องล่ะ....”

     

     

    ฉันไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน.."

     

     

    ฉัน......”

     

     

     

    ดูเหมือนว่าประโยคนั้นจะสามารถเรียกร้องความสนใจได้สำเร็จเมื่อแววตาเย็นชานั้นหันกลับก้มลงมาทอดมองเขาซึ่งยังคงนั่งอยู่บนพื้นหลังคาโบสถ์

     

    นัยน์ตาสีเข้มล้ำลึกไม่ต่างจากผืนฟ้าที่รายล้อมอยู่เบื้องหลัง

     

     

    ฉันจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ"

     

     

     

     

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

     

     

     

    แล้วลู่หานได้รู้ว่าชายหนุ่มผมเงินมีชื่อว่า 'คริส'

     

    ส่วนชื่อของเขานั้นอีกฝ่ายคงฟังจนเบื่อแล้ว

     

     

    แน่นอน ตอนนี้ลู่หานคิดว่าตัวเองคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากสิ่งที่เรียกว่า 'วิญญาณ' แม้จะยังไม่รู้ก็ตามว่าเพราะสาเหตุอะไรเขาถึงมาอยู่ในสภาพนี้ บางทีเขาอาจจะตายไปแล้ว แต่ถ้าหากยังจำอะไรไม่ได้อยู่แบบนี้เขาก็คงไม่มีวันรู้ว่าตัวเองตายเพราะอะไร และเขาจะต้องเป็นวิญญาณความจำเสื่อมที่วนเวียนไปเรื่อยแบบนี้จนถึงเมื่อไหร่

     

    เรียวคิ้วขมวดมุ่นเมื่อนึกถึงความจริงอีกอย่างได้เพิ่งได้รับฟัง

     

    จากสิ่งที่คริสบอกนั่นคือวิญญาณที่ยังล่องลอยอยู่บนโลกล้วนเป็นวิญญาณที่ยังมีห่วงติดอยู่กับอดีต ผูกพันอยู่กับบางสิ่งที่เคยเกี่ยวข้องกับตนเมื่อครั้งยังมีชีวิต เพราะฉะนั้นวิญญาณทุกตนที่คริสเคยพบจึงมีความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวของตนเองเมื่อครั้งก่อน บางตนก็ยังยึดติดอยู่กับคนรัก บางตนก็ยังมีพันธะผูกพันอยู่กับลูกๆ ดังนั้นวิญญาณเหล่านี้จึงยังไม่หายไปไหน และนี่ก็คงจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่คริสเดินหนีเขาในตอนแรก ลู่หานคิดว่ามันคงไม่น่าอภิรมย์นักกับการต้องจมอยู่กับความจริงที่ว่าเราเป็นวิญญาณเพียงตนเดียวที่มีเพียงความว่างเปล่าบรรจุอยู่ในกล่องความทรงจำ

     

     

     

     

    ใช่แล้ว

     

     

    คริสเองก็เหมือนกับเขา.. ปราศจากอดีตและไม่ล่วงรู้อนาคต

     

    เป็นเพียงดวงจิตที่ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย

     

     

     

     

    อ่ะ...”

     

    หิมะ... ลู่หานอุทานกับตัวเองเมื่อมองเห็นเกล็ดสีขาวบางเบาร่วงหล่นลงมา ราวกับขนนกไร้น้ำหนัก ดวงตากลมโตสุกสว่างมองปุยหิมะที่ทิ้งตัวระเรื่อยพลางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปและแหงนหงายขึ้น ทว่าเกล็กหิมะนั้นกลับทะลุหล่นผ่านไปยังพื้นเบื้องล่าง

     

    หิมะแรก

     

    ลู่หานเลื่อนสายตาไปมองเจ้าของกลุ่มผมสีเงินที่นอนอยู่ถัดออกไปไม่ไกล ดวงตาคมปิดสนิทไม่ได้มีทีท่าว่าจะลืมตาขึ้นมาสนทนาว่าความกับเขาอีก เมื่อไม่มีใครคุยด้วยลู่หานจึงทอดตัวลงนอนบ้าง มันเป็นสวนสวยแห่งหนึ่งที่เงียบเชียบปราศจากผู้คน ตอนนี้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่าไม่ได้มีเพียงตัวเองคนเดียวที่จำอะไรในอดีตไม่ได้เลยสักอย่าง

     

    อากาศคงจะหนาว แต่เขากลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด กระนั้นลู่หานก็ยังขยับไปทางขวาให้ใกล้ร่างเจ้าของเรือนผมสีเงินมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง และค่อยๆปิดเปลือกตาลง

     

     

    หิมะสีขาวบริสุทธิ์ร่วงโปรยปรายเหมือนสายฝน

     

     

    นั่นคือวันแรกที่เราพบกัน

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

     

     

    ความสัมพันธ์ของเรา...

     

    จะว่ามันเป็นแบบไหนดีล่ะ

     

     

    นี่ล่วงเข้าสู่วันที่สามแล้วที่เขาอยู่กับคริส ลู่หานได้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่าอีกฝ่ายเป็นพวกไม่ค่อยชอบพูด ดูได้ง่ายๆว่าตั้งแต่พระอาทิตย์จนถึงพระอาทิตย์ตก เสียงที่เจื้อยแจ้วอยู่นั้นเป็นเสียงของเขาเสียสามครึ่งส่วนสี่ แต่ลู่หานก็ได้รู้อีกเหมือนกันว่าภายใต้สีหน้าท่าทางเย็นชาแบบนั้น เพื่อนร่วมทางของเขาก็ไม่ได้เป็นคนใจร้ายใจดำอะไรหรอก

     

    คริสมักจะเดินนำหน้าเขาเสมอ ตอนแรกๆเขานึกกลัวว่าจะถูกทิ้งเลยวิ่งตามติดก้นไม่ยอมให้ห่าง แต่หลังจากผ่านเข้าสู่วันที่สาม ลู่หานก็มีเวลาหันไปเล่นสนุกกับสิ่งรอบตัวได้แบบไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย

     

     

    เพราะต่อให้เดินนำไปไกลแค่ไหนแต่คริสก็ยังไม่เคยหายไปสักครั้ง

     

     

     

    มาบัดนี้หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองจนทุกสรรพสิ่งกลายเป็นสีขาวโพลน พื้นหิมะเรียบสนิทปราศจากรอยเท้าแม้ว่าจะมีสองร่างย่ำผ่านไป ลู่หานหัวเราะสดใส แหงนคอแล้วหมุนตัวรับเกล็ดสีขาวเหมือนปุยนุ่นที่กำลังลอยละล่องลงมาจากฟากฟ้า ส่องประกายรับกับแสงแดดยามสาย

     

    คริสต์มาสผ่านพ้นไปแล้วแต่ตุ๊กตาหิมะตัวโตก็ยังคงตั้งอยู่หน้าบ้านหลายหลัง บางตัวก็สวมหมวกกับผ้าพันคอ บางตัวมีจมูกแหลม บางตัวมีกระดุมเสื้อ

     

     

    คริส!”

     

    เขากับคริสเดินทางไปเรื่อยๆ มีแวะพักที่นั่นที่นี่บ้างแม้จะปราศจากความรู้สึกที่มนุษย์เรียกกันว่าเหนื่อย ไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ไม่มีใครเอ่ยถาม แต่เขารู้ว่าเราต่างพยายามจะหาความหมายของการมีอยู่ และหวังว่าการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆอาจจะช่วยให้เราค้นพบอะไรบางอย่าง ความทรงจำในเรื่องราวของตัวเอง หรือเหตุผลที่เราต้องมาอยู่ที่นี่

     

    แม้ว่าเขาจะตะโกนเรียกแต่คนข้างหน้าก็ยังไม่ยอมหยุด แถมยังทิ้งระยะห่างออกไปมากกว่าเดิม

     

     

     

    โอ๊ย!”

     

    คริสชะงักฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงร้องจากทางด้านหลัง ร่างสูงหันกลับไปมองและก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าร่างเล็กที่ตามหลังเขามาเมื่อครู่ล้มลงไปกองกับพื้นที่เต็มไปด้วยกองหิมะ ใบหน้าหล่อเหลาส่ายไปมาราวกับมองลู่หานเป็นเพียงเด็กเล็กๆที่เล่นซนไร้สาระก่อนจะหันหลังกลับอย่างไม่ใส่ใจ

     

    จมูกรั้นย่นลงอย่างไม่สบอารมณ์ เขาอุตส่าห์เรียกร้องความสนใจแล้วก็ยังทำเมินกัน หึ! ลุกขึ้นปัดกางเกงตัวเองแม้ว่าจะไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น

     

     

     

    “......................”

     

    โอ๊ะ!”

     

    คริสถอนใจเมื่อได้ยินเสียงเดิมอุทานดังขึ้นมาอีกรอบ ตั้งท่าจะออกเดินต่อแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจหมุนตัวกลับไปดู อยากรู้นักว่าจะมาไม้ไหนอีก ทว่าสิ่งที่เห็นกลับไม่ใช่ภาพอีกฝ่ายล้มจมอยู่ในกองหิมะ แต่ร่างเล็กๆในชุดไหมพรมสีขาวนั้นกำลังยืนแนบชิดอยู่ตรงหน้าบานกระจกใส สองมือแปะอยู่บนกระจกนั้น และเมื่อเข้าขยับเข้าไปใกล้ก็ได้เห็นว่าดวงตาโตนั้นเป็นประกายขณะมองเข้าไปด้านใน

     

     

    น่ากินจัง น่ารักมากๆด้วย"

     

    คนตัวเล็กข้างๆคริสเอ่ยพูดทั้งที่ยังไม่ถอนสายตาออกมาจากขนมในถาดที่เพิ่งถูกยกออกมาจากเตาอบใหม่ๆ หญิงสาวสวมชุดผ้ากันเปื้อนท่าทางใจดีกำลังตักเรียงขนมเหล่านั้นวางลงบนชั้นทีละชิ้น

     

     

    นี่ .....!”

     

    คริสเอ่ยเรียก แต่ไม่ทัน เมื่อร่างเล็กนั้นเดินทะลุผ่านบานกระจกเข้าไปด้านในเสียแล้ว คริสถอนใจหนักๆแต่ที่สุดก็ต้องยอมก้าวตามเข้าไปยืนถัดจากคนที่จ้องมองขนมในถ้วยกระดาษตรงหน้าไม่วางตา

     

     

    สุดยอด"

     

    สูดจมูกฟุดฟิดแม้ว่าจะไม่ได้กลิ่นของมัน

     

     

     

    “..... มัฟฟิน?”

     

    มัฟฟินสตอร์เบอร์รี่!”

     

     

    ลู่หานยิ้มกว้างพลางตอบเสียงใส ก่อนจะกระพริบปริบๆ หันไปมองคริสอย่างนึกประหลาดใจตัวเอง

     

     

    มัฟฟินสตอร์เบอร์รี่...?

     

     

    เขาบังเอิญมองเห็นเจ้ามัฟฟินเหล่านี้กำลังถูกลำเลียงลงบนชั้นขณะเดินผ่านร้านเบเกอรี่เล็กๆแห่งนี้ ทันทีทันใดที่ลู่หานนึกอยากลิ้มลองมันขึ้นมา ราวกับมันเป็นรสชาติที่เขาโปรดปราน

     

     

    หรือบางทีมันอาจจะเป็นสิ่งที่เขาเคยโปรดปราน

     

     

    ฉันอาจจะชอบกินเจ้านี่... ตอนที่ยังมีชีวิต"

     

    ลู่หานพึมพำขึ้นมาเสียงแผ่ว มองขนมชิ้นเล็กนั้นนิ่ง ก่อนที่สักพักจะหันมาหาคริสและค่อยๆคลี่ยิ้มกว้างด้วยแววตาเป็นประกายสุขใจ

     

     

    เรื่องแรกเกี่ยวกับตัวเองที่เขานึกได้

     

     

    เรื่องราวของคนชื่อลู่หาน

     

     

    มัฟฟินสตอร์เบอร์รี่... ฉันชอบกินมัฟฟินสตอร์เบอร์รี่"

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     

     

     

     

    นายคิดไม่ออกจริงๆหรอว่าชอบกินอะไร?”

     

    ถามครั้งที่ร้อย แต่คริสคิดว่าถ้าเขานับจริงๆมันอาจจะมากกว่านั้น

     

    เจ้าของร่างสูงพ่นลมหายใจก่อนจะหันตะแคงไปอีกฝั่ง หันหลังให้กับคนที่นอนคว่ำเท้าข้อศอกกับพื้นหลังคาสีขาวโพลนพลางตีขาไปมา

     

     

    ลองคิดดูดีๆอีกทีสิ อืม.. งั้นพรุ่งนี้เราไปร้านอาหารกันดีไหม!?”

     

     

    หลังกลับมาจากร้านเบเกอรี่ร้านนั้น ลู่หานก็เอาแต่ถามเขาไม่หยุดจนคริสนึกรำคาญเสียงใสที่ดังแจ๋วๆนั่น กลุ่มผมสีเงินขยับเล็กน้อยเมื่อเจ้าของร่างตะแคงข้างมากกว่าเดิมอีกนิดเป็นเชิงว่าต้องการตัดบทสนทนา

     

    ลู่หานทำปากบู้ใส่คนที่ชอบหันหลังใส่ แต่แล้วร่างบางก็พลิกตัวลงนอนหงายและกระเถิบตัวไปข้างๆอีกราวสองสามคืบ

     

     

    ขอจับหน่อยดิ หนาว"

     

    นายไม่หนาวสักหน่อย"

     

     

    คริสโต้ตอบทั้งๆที่หันหลังและหลับตา ดึงมือของตัวเองออกจากการเกาะกุม

     

     

    แต่ฉันรู้สึกได้นะว่ามันต้องหนาวมากแน่ๆ"

     

    ลู่หานพยายามโน้มน้าวแต่คนฟังก็ไม่สนใจ ย่นจมูกแบบที่ชอบทำเป็นประจำ ทำได้เพียงแค่เถิบเข้าไปใกล้อีกนิดเหมือนทุกครั้ง มือเล็กแอบเอื้อมไปกำชายเสื้อสีเลือดหมูไว้หลวมๆ ซึ่งอย่างน้อยคนขี้รำคาญก็ไม่เขยิบหนี

     

    ดวงตาสุกใสจ้องมองหมู่ดาวพร่างพราวบนท้องฟ้า ลู่หานสงสัยว่าดาวที่เขามองในแต่ละคืนนั้นเป็นเป็นดวงเดียวกันหรือเปล่า แต่มันก็เป็นได้แค่เพียงคำถามที่ไร้คำตอบเหมือนกับทุกเรื่องในเวลานี้

     

     

    ถึงจะยังไม่รู้อะไรสักอย่าง แต่เขาก็ไม่เหงาเท่าไหร่

     

    อย่างน้อยพระเจ้าก็ส่งเพื่อนใหม่ที่ยอมให้เขาติดตามร่วมทางไปด้วยมาให้ ไม่ปล่อยให้เขาต้องเดินทางร่อนเร่ไปเรื่อยเพียงลำพัง

     

    แอบวงเล็บหน่อยได้ไหมว่า ถึงแม้จะขี้เก๊กไปหน่อยก็เถอะ

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

     

     

    คริส"

     

     

    คริส"

     

     

    คริส"

     

     

     

    ชายหนุ่มที่กำลังนอนชันเข่าหนุนแขนข้างหนึ่ง ละสายตาจากดอกไม้สีแดงที่ถูกหมุนไปหมุนมาในมือ หันไปมองเจ้าของเสียงที่เอ่ยเรียกเขาถึงสามครั้ง จากที่เคยรำคาญเสียงที่เจื้อยแจ้วเรียกหาเขาได้ตลอดวันนั่น คริสคิดว่าช่วงเวลาเกือบสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เขาเริ่มจะชินกับมันไปเสียแล้ว

     

    คิ้วเข้มเลิกขึ้นเมื่อลู่หานกระตุกขากางเกงแต่สายตายังคงจับจ้องไปยังด้านล่าง วันนี้มีแสงแดดสดใส แต่หิมะก็ยังคงขาวโพลน ที่บอกว่ามองไปข้างล่างเพราะตอนนี้เขากับลู่หานมานั่งเล่นกันอยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง คริสไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงชอบมานั่งเล่นอยู่บนหลังคาแบบนี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะอยู่บนนี้เขาสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน มองท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง มองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา มองก้อนเมฆเคลื่อนผ่าน มองประตูร้านขายของที่เปิดและปิด มองความเป็นไปของชีวิตอื่นๆ บางครั้งเขาก็อยากจะใช้เวลาไปกับความคิดของตัวเองเงียบๆคนเดียว

     

     

    แต่ก็ดูท่าว่า... มันจะไม่เงียบสักเท่าไหร่

     

     

     

     

    ดูสิ ลุงคนนั้นเค้านั่งอยู่ตรงข้างหน้าต่างมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วอะ"

     

    คริสลุกขึ้นนั่ง และมองตามที่ลู่หานชี้ลงไปด้านล่าง

     

     

     

    ลู่หานขมวดคิ้ว

     

    ไม่ยอมไปไหนเลย"

     

     

    ภาพเบื้องล่างคือสนามที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ บนกิ่งก้านต้นไม้มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะเป็นหย่อม อากาศหนาวจนผู้คนต้องเดินห่อไหล่แม้จะสวมเสื้อโค้ทตัวหนาอยู่แล้วก็ตาม ทว่าตรงใกล้ๆกับบานหน้าต่างของบ้านหลังข้างๆ กลับมีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องเข้าไปด้านใน ที่น่าสนใจก็คือคุณลุงคนที่ลู่หานว่านั้นไม่ยอมขยับไปไหนมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แม้จะสวมเสื้อผ้าที่ปกปิดเป็นพิเศษ แต่ชายชราก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมแบบนั้น ราวว่าไม่สะทกสะท้านกับลมหนาว

     

     

    และแน่นอน เขารู้ว่าลู่หานก็คงรู้

     

     

    ฉันลองไปถามลุงเขาดีกว่า"

     

     

    เอาเถอะ คริสรู้อยู่แล้วว่าเมื่อเขาตั้งท่าจะอ้าปาก ก็ต้องพอดีกับตอนที่ร่างเล็กๆนั้นหายวับไป

     

     

     

    หึ..

     

    ร่างสูงนึกขันอย่างไร้สาเหตุ เสียงทุ้มหัวเราะในลำคอก่อนจะกลับไปเอนกายลงนอนหนุนแขนเหมือนเดิมเมื่อเห็นว่าตอนนี้เจ้าของดวงตากลมโตที่นั่งอยู่ข้างๆตนเมื่อครู่ ลงไปเดินด้อมๆมองๆแถวบ้านหลังข้างๆนั้นเป็นที่เรียบร้อยเสียแล้ว

     

     

     

     

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

     

     

     

    ลู่หานทำใจกล้า

     

    ร่างเล็กเดินวนเวียนเมียงมองอยู่ใกล้ๆ เมื่อวานเขารู้ตั้งแต่ห้านาทีแรกที่เห็นว่าคุณลุงคนนี้นั้น 'เป็นเหมือนกับเขา' ... อาจเป็นเพราะเขามีโอกาสได้พบเจอดวงวิญญาณหลายดวงตลอดห้าวันที่ผ่านมา มันทำให้เขาเริ่มเรียนรู้ที่จะแยกแยะความแตกต่างระหว่างดวงจิตกับมนุษย์ทั่วไป

     

    เขาไม่เคยพูดคุยกับวิญญาณตนอื่นนอกจากคริสมาก่อน หากไม่นับวิญญาณสาวสวยสุดเซ็กซี่ตรงหน้าร้านขายบุหรี่ตรงตรอกแคบๆที่พยายามจะเข้าหาคริสเมื่อวานนี้ .....

     

    แต่ในที่สุดความสงสัยใคร่รู้ก็เอาชนะความกล้าๆกลัวๆได้สำเร็จ

     

    หรือบางทีมันอาจจะเป็นเพราะความหม่นเศร้าอันหาสาเหตุไม่ได้เมื่อมองเห็นแผ่นหลังอันเริ่มจะงองุ้มนั้นหยุดนิ่งอยู่ที่ข้างหน้าต่างมาตั้งแต่เมื่อวาน

     

     

    คุณลุงครับ...” ลู่หานเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ๆและเอ่ยเรียก แต่ชายชราก็ยังคงนิ่งเฉยและเหม่อมองเข้าไปในบ้านหลังนั้นไม่ไหวติง

     

     

    คุณลุงครับ"

     

    เสียงของลู่หานราวกับธาตุอากาศ ร่างเล็กนิ่วหน้าน้อยๆก่อนจะเบนสายตามองตามชายชราเข้าไปด้านใน ภาพที่เห็นด้านหลังบานหน้าต่างคือห้องนั่งเล่นภายในบ้านที่ดูอบอุ่น มีชุดโซฟาที่ดูนุ่มน่าล้มตัวลงนอน ชั้นวางหนังสือ เตาผิงขนาดย่อม ผนังสีครีมขลิบขอบสีทอง

     

     

    ....... และหญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลสลวยคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงนั้น

     

     

     

     

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

     

     

     

    คุณลุงไม่ยอมพูดกับฉันเลย"

     

    ลู่หานบ่น

     

     

    จะทำไงดีล่ะฟีบี้"

     

    เจ้าแมวขนยาวสีขาวสะอาดครางรับ คลอเคลียไปมาอยู่กับมือเล็กๆข้างหนึ่งของคนที่ยังคงนั่งเท้าคางมองลงไปยังบ้างหลังข้างๆ

     

    ลู่หานละสายตาจากร่างของชายชรามาหาเจ้าแมวสีขาวที่นอนเคล้าเคลียกับเขาอยู่บนหลังคา ข้างๆเป็นคริสที่กำลังนอนท่าเดิมและลูบหางเจ้าฟีบี้เล่น

     

    เขาพบมันตอนไปเดินเล่นแถวๆละแวกนี้ ตอนแรกลู่หานก็ไม่รู้หรอกว่าเจ้าฟีบี้มองเห็นเขาได้ กระทั่งมันมาพันแข้งพันขา แถมยังแลบลิ้นเลียมือส่งเสียงเหมียวๆไม่ยอมไปไหน แถมยังตามเขาขึ้นมาบนหลังคานั่นล่ะ ลู่หานถึงรู้ว่าสัตว์น่าจะมีประสาทสัมผัสพิเศษที่สามารถรับรู้การมีอยู่ของเขาได้ ส่วนชื่อฟีบี้ ...เขาก็แค่คิดว่ามันเพราะดี

     

     

    ฟีบี้เหยียดตัวครางอย่างขี้เกียจเมื่อลู่หานเกาคอมันเบาๆ

     

    เฮ้อ....” ลู่หานถอนใจ ปลายนิ้วยังคงขยับเกาผ่านขนนุ่มที่ทะลุมือตัวเองไปมา แม้จะสัมผัสกันไม่ได้แต่ก็ดูเหมือนว่าเจ้าแมวอ้วนจะชอบใจ ดวงตากลมโตใต้แพขนตาหนาจับจ้องไปยังชายชราที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขากับคริสปักหลักอยู่ที่บ้านหลังนี้มาหลายวันแล้ว สาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะเขาดึงดันอยากจะเฝ้ามองจนกว่าจะรู้สาเหตุที่แท้จริงของการที่คุณลุงคนนั้นยืนเฝ้าอยู่ตรงหน้าต่างบ้านหลังข้างๆไม่ยอมไปไหน

     

    อีกอย่าง... เขาเองก็ไม่รู้จะไปที่ไหน ผ่านมาเป็นอาทิตย์แล้วแต่ความทรงจำนอกเหนือจากเรื่องชอบกินมัฟฟินก็ยังคงกลวงและว่างเปล่า

     

    ทำอะไรน่ะ"

     

    ลู่หานละสายตาจากชายชราหันไปมองคนที่นอนหงายอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ช่วงสองวันที่ผ่านมาเขาสังเกตเห็นว่าคริสชอบทำอะไรบางอย่างแปลกๆ นั่นคือวาดนิ้วไปมาบนอากาศ

     

    วาดรูป" คริสตอบทั้งๆที่ยังคงจับจ้องไปบนท้องฟ้ายามบ่ายคล้อย

     

    เขาไม่ค่อยได้สนใจเรื่องของวิญญาณของชายชราคนนั้นเท่าไหร่นัก เขาอยู่ในสภาพนี้มานานกว่าลู่หาน อาจจะก่อนคริสมาสต์อีฟหลายวัน มีโอกาสพบเจอดวงวิญญาณมากมาย และได้รับรู้ว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่ปราศจากความทรงจำ หากไม่นับหลังจากที่เขาพบลู่หานแล้ว เหล่าดวงวิญญาณทั้งหลายที่เขาได้พบต่างยึดติดอยู่กับเรื่องราวมากมาย และส่วนใหญ่ก็ทุกข์โศกมากกว่าจะสุขสันต์ เขาจึงไม่อยากจะเข้าไปสุงสิงมากนัก อีกอย่างคริสก็ยอมรับว่า เขาไม่ชอบการที่ต้องรู้สึกเหมือนถูกตอกย้ำซ้ำๆว่าเขาเป็นวิญญาณเพียงตนเดียวที่ไม่สามารถจดจำเรื่องราวของตัวเองเมื่อครั้งยังมีชีวิตได้ ดวงวิญญาณตนอื่นต่างมีเหตุผลของการคงอยู่ เขาเท่านั้นที่ค้นหาความหมายนั้นไม่พบ และนั่นก็เป็นเหตุผลของการที่เขาหันหลังหนีเด็กหนุ่มร่างเล็กดวงหน้าขาวผุดผ่องที่นั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นคริสต์มาสในวันนั้น

     

    ลู่หานล้มลงนอนแผ่ ผมฟุ้งกระจาย ดวงตาจับจ้องเลื่อนไปตามปลายนิ้วเรียวยาว นิ้วของคริสกำลังลากเส้นที่มองไม่เห็นไปมาบนอากาศเป็นรูปร่างต่างๆ

     

    วาดรูป... ฉันอาจจะชอบวาดรูป.."

     

    คริสยังคงไม่หยุดลากไล้นิ้วตวัดปลายเส้นไร้สีสันประหนึ่งพู่กันที่รังสรรค์ลงบนกระดาษเปล่า นัยน์ตาใสแจ๋วของลู่หานลากเรื่อยไปตามเส้นของรูปทรงเหล่านั้นอย่างใคร่รู้

     

     

    วาดรูป...” ริมฝีปากอิ่มขยับพึมพำ

     

     

     

    ลมหนาวพัดมา

     

    พระอาทิตย์เคลื่อนลาลับขอบฟ้า

     

    และปลายนิ้วของคริสก็หยุดลง

     

    เนิ่นนานที่ต่างฝ่ายต่างนอนเหม่อมองผืนฟ้ายามราตรีอย่างเงียบเชียบ

     

     

     

     

     

    ดูสิ" จู่ๆเสียงหวานก็ร้องอย่างตื่นเต้น

     

    เสียงดังปังตามมาด้วยพลุสีชมพูสด อีกปังเป็นสีเขียวในวินาทีถัดไป และอีกหลายๆปังจนหลากสีสันระยิบระยับพร่างพรายอยู่บนสีกำมะหยี่อันมืดมิด

     

    แววตาของลู่หานเปล่งประกาย นอนชันเข่าแหงนคอมองพลุที่พุ่งสูงขึ้นและแตกกระจายอยู่บนท้องฟ้าอย่างสวยงาม ล่ำลาปีเก่าที่เพิ่งผ่านไป และต้อนรับปีใหม่ที่เข้ามาเยือน

     

    ผู้คนต่างเฉลิมฉลองสังสรรค์กันอย่างรื่นเริง แต่คงจะไม่มีใครมองเห็นเด็กหนุ่มสองคนที่นอนแผ่อยู่บนหลังคาอันปกคลุมไปด้วยหิมะ

     

     

    ลู่หาน เด็กหนุ่มตัวเล็กผู้ชอบมัฟฟินสตอร์เบอร์รี่

     

    และคริส เด็กหนุ่มผมสีเงินผู้ชอบวาดรูปบนท้องฟ้า

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

     

    ผ่านวันแรกของปีใหม่ไปสามวันแล้ว แต่คุณลุงคนนั้นก็ยังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่างบานเดิม

     

    และนี่ก็เป็นวันที่...  เอาเป็นว่าหลายวันแล้วที่ลู่หานพยายามเพียรแวะมาพูดคุยกับชายชราซึ่งไม่เคยยอมสนทนาตอบโต้เลยสักครั้ง ทว่าทุกครั้งที่เห็นท่าทางเศร้าสร้อยของชายสูงวัยซึ่งยังคงยืนอยู่ที่เดิมวันแล้ววันเล่า บางอย่างก็ฉุดรั้งให้เขาไม่สามารถละทิ้งความสนใจไปได้

     

    แต่ความพยายามมันก็มีวันหดหาย.. ลู่หานเริ่มถอดใจเมื่อวันนี้คุณลุงข้างกายก็ยังคงมองไปยังห้องนั่งเล่นของบ้านผ่านบานหน้าต่างที่ถูกเกล็ดน้ำแข็งจับเป็นหย่อมๆ และไม่มีทีท่าสนใจเขาเลยสักนิด บางทีหากคุณลุงไม่ยอมพูดกับเขาจริงๆ เขาก็คงต้องยอมแพ้ และก็ดูเหมือนว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น

     

    เด็กหนุ่มร่างเล็กถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวังและตั้งท่าจะออกไปจากตรงนั้น ยอมแพ้สำหรับวันนี้ แต่แล้วโดยไม่คาดคิด ลู่หานชะงักเมื่อเสียงของชายชราดังขึ้น

     

     

    “..............................”

     

     

    “.... เขาชื่อยูจิน"

     

    เป็นลูกสาวของฉันเอง"

     

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     

    คริสมองหน้าหงอยๆของคนที่นั่งเขี่ยใบไม้ในสวนสีขาวโพลนเล่น

     

    มันเป็นสวนเล็กๆหลังบ้านที่เหมือนครั้งหนึ่งเคยถูกเจ้าของดูแลเป็นอย่างดี แต่บัดนี้เริ่มจะรกครึ้ม ก็แน่ล่ะ ตั้งแต่มานั่งเล่นนอนเล่นอยู่ที่นี่ตั้งนานเขาก็ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเจ้าของบ้านเลยสักครั้ง ไม่มีไฟเปิด ไม่มีเสียงพูดคุย ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ไม่แน่มันอาจจะเป็นบ้านที่อยู่ในระหว่างการขายต่อ ไม่เจ้าของก็อาจจะไปต่างประเทศ หรืออาจจะเพราะสาเหตุอื่นๆซึ่งเขาก็ไม่ได้ใส่ใจนัก

     

    เสียงถอนใจดังขึ้นแผ่วๆ

     

    น่าสงสารคุณลุงแกเนอะ...”

     

     

    ยิ่งถ่ายทอดเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มาให้คริสฟังจบ ลู่หานก็ยิ่งเศร้า

     

     

    ลมพัดมาจนใบไม้ที่ลู่หานเขี่ยเล่นอยู่ปลิวหายไป

     

     

    คุณลุงแต่งงานตั้งแต่เมื่อสามสิบปีก่อน เริ่มต้นสร้างครอบครัวเล็กๆอันอบอุ่นด้วยความรักและความหวัง ไม่นานนักความฝันก็เป็นจริงเมื่อภรรยาของคุณลุงตั้งท้อง หญิงสาวที่รักที่สุดในชีวิตอุ้มท้องลูกน้อยอันเป็นที่รักที่สุดในดวงใจ ความสุขอันเปี่ยมล้นของสองสามีภรรยาอย่างสรรหาคำใดมาอธิบายไม่ได้ คู่รักที่เพิ่งตัดสินใจว่าจะร่วมชีวิตและฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายไปด้วยกันต่างวาดภาพอนาคตอันแสนสุข เฝ้ารอวันที่เจ้าตัวน้อยจะออกมาลืมตาดูโลกและเติมเต็มครอบครัวให้สมบูรณ์

     

     

    ในที่สุดก็ถึงวันที่ความฝันของคุณลุงได้เป็นจริง

     

    ทว่าเป็นวันเดียวกับที่ความหวังอีกอย่างต้องพังทลาย

     

     

    ลูกสาวตัวน้อยถือกำเนิดมาพร้อมกับภรรยาที่จากไป

     

     

    วันที่คุณลุงดีใจที่สุด

     

    คือวันเดียวกับที่คุณลุงเสียน้ำตาเป็นครั้งแรกในชีวิต

     

    แต่ทารกตัวน้อยที่เปรียบเสมือนตัวแทนความรัก ความหวัง และความฝันของภรรยาก็ทำให้คุณลุงในตอนนั้นไม่ยอมแพ้และลุกขึ้นสู้ ทุกวันที่ได้เห็นดวงตาคู่นั้น ทุกวันที่ได้เห็นรอยยิ้มราวกับนางฟ้าตัวน้อยๆ ทุกวันที่ได้ยินเสียงเรียกอย่างสดใสว่า 'พ่อจ๋า ยูจินรักพ่อมากที่สุดในโลกเลยจ้ะ' มันก็ราวกับเป็นมนต์วิเศษที่ช่วยปัดเป่าให้ความเหนื่อยยากทั้งหมดพลันหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ คุณลุงเห็นเด็กหญิงตัวน้อยๆ และเห็นความรักของภรรยาที่ไหลเวียนอยู่ในนั้น

     

    และแล้วเด็กสาวตัวน้อยในวันวานก็ค่อยๆเติบโตขึ้น

     

    ตอนนั้นเองที่คุณลุงได้พบกับผู้หญิงอีกคน

     

     

     

     

    'ลุงแต่งงานใหม่... เรามีความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยมิตรภาพ เขาเป็นผู้หญิงที่ดี ยูจินเองก็เริ่มจะโตขึ้นทุกวัน ญาติพี่น้องฝั่งลุงเองก็ไม่มีใคร ส่วนทางฝั่งแม่เขาก็ย้ายไปเมืองนอกเมืองนากันหมด ลุงคิดว่าคงจะดีถ้ามีผู้หญิงอีกสักคนอยู่ในบ้าน คอยดูแลเขาในเรื่องที่ลุงไม่สามารถจะทำได้'

     

     

    '.. ช่วงแรกๆทุกอย่างก็ดูจะเป็นไปในทางที่ดี ยูจินไม่ได้ต่อต้าน เหมือนแกจะยินดีด้วยซ้ำ มันทำให้ลุงวางใจ...'

     

    'จนกระทั่งวันที่ฮวาซอนท้อง...'

     

     

    'ช่วงนั้นเราวุ่นวายกันมาก ทั้งน้องของยูจินที่จะเกิด แถมยังเป็นช่วงที่ลุงเปลี่ยนงานใหม่ ลุงไม่ทันสังเกตเห็นว่าตอนนั้นยูจินเริ่มเปลี่ยนไป ลุงไม่ได้เอะใจตอนที่แกเริ่มห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ เราเริ่มทะเลาะกัน ลุงคิดว่านั่นเป็นเพราะแกเริ่มจะเป็นวัยรุ่น แต่นับวันยิ่งแกโต เราก็ยิ่งทะเลาะกันบ่อยขึ้น แกเถียงลุงแบบที่ไม่เคยเถียง และลุงก็ตะคอกใส่แกแบบที่ไม่เคยทำ ...พอรู้ตัวอีกที ทุกอย่างมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว...'

     

    'ช่วงที่แกจะเข้ามหาลัย เราทะเลาะกันรุนแรง เพราะแกอยากจะเรียนอีกอย่าง แต่ลุงอยากให้แกเรียนอีกอย่าง ... ลุงไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนั้น ลุงน่าจะสนับสนุนในสิ่งที่แกชอบ แต่ลุงก็ไม่ได้ทำ....'

     

    'สุดท้ายยูจินก็สอบเข้าคณะที่แกชอบ วันที่แกสอบติด ลึกๆลุงดีใจมาก แต่เพราะทิฐิทำให้ลุงไม่ได้พูดออกไป...'

     

    'พอแกเรียนมหาวิทยาลัย ก็ดูเหมือนว่ามันยิ่งทำให้แกห่างออกไป และวันนั้น... วันที่ลุงจับได้ว่ายูจินมีแฟน...'

     

    'เราทะเลาะกันแรงที่สุดตั้งแต่ที่เคยทะเลาะกันมา ลุงสั่งให้แกเลิกคบผู้ชายคนนั้น ลุงไม่อยากให้แกมีแฟนจนกว่าจะเรียนจบ แต่แกไม่ยอมเลิก ลุงโมโหมากจนเผลอตบหน้าแก ... สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการที่เราไม่มองหน้ากันอีกต่อไป ... ลุงไปงานในวันที่แกเรียนจบ แต่เราก็แทบไม่ได้พูดอะไรกัน และหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ แกก็ย้ายออกจากบ้านไป..'

     

    'แกส่งเงินมาทุกเดือน และกลับมาเยี่ยมบ้านทุกปี .... แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่เราจะกลับไปคุยกัน'

     

     

    'รู้ไหม ลุงเพิ่งนึกขึ้นได้ในวินาทีที่ลุงใกล้ตาย ...'

     

    'ลุงเคยบอกกับแกก่อนแต่งงานใหม่ว่าลุงไม่เคยลืมแม่ของแก แต่ลุงไม่เคยบอกกับแกเลย ..ว่าถึงลุงจะมีภรรยาคนใหม่ จนกระทั่งมีน้องของแกออกมาอีกคน....'

     

     

     

    'แต่ลุงก็ไม่เคยรักแกน้อยลงเลยสักวินาทีเดียว...'

     

    'ลุงเสียใจที่ไม่เคยได้บอกยูจินเลย ว่าสำหรับลุง ไม่ว่ายังไง..แกก็ยังคงเป็นดวงใจของลุงเสมอ'

     

     

     

     

     

     

    ,

     

     

    .

     

     

     

    วันนั้นเป็นวันที่หิมะเริ่มเบาบางลง และน้ำแข็งเริ่มจะละลาย

     

    ลู่หานเดินเล่นกับฟีบี้อย่างที่ทำเป็นประจำและลากคริสที่ชักจะนอนเยอะเกินไปมาด้วยกัน สุดท้ายก็แวะมาเยี่ยมคุณลุงที่ยังคงยืนอยู่ที่ข้างหน้าต่างบานเดิม สายตาของลู่หานจับจ้องไปที่ห้องนั่งเล่นซึ่งมักจะมีภาพของยูจิน ลูกสาวของคุณลุงนั่งอยู่ในนั้นทุกวันเช่นเดียวกับวันนี้ แต่สักพักคนที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้น และไม่นานนักประตูบ้านก็เปิดออก หญิงสาวผมสีน้ำตาลก้าวออกมา ตามด้วยหญิงสูงวัยท่าทางใจดีซึ่งคล้ายกับออกมายืนส่งอยู่ตรงปากประตู

     

    และเมื่อหญิงสาวก้าวเดิน คุณลุงซึ่งยืนอยู่ที่เดิมมานานนับเดือนก็เริ่มขยับเคลื่อนไหว

     

    ลู่หานมองผมสีน้ำตาลที่ไหวไปมากระทบแสงแดดเป็นจังหวะในทุกย่างก้าว

     

    เบื้องหลังมีชายชราคนหนึ่งกำลังเดินตามไป แต่หญิงสาวคนนั้นคงไม่มีโอกาสได้เห็น

     

     

    ไม่นานนักฝีเท้าของหญิงสาวคนนั้นก็หยุดลง ณ ที่แห่งหนึ่ง

     

     

    หิมะสีขาวปกคลุมกระจายเป็นหย่อม ป้ายชื่อสลักบนแผ่นหินที่ตั้งอยู่ห่างกันอย่างเป็นระเบียบ

     

    หญิงสาวหยุดลงเมื่อเดินมาถึงชื่อชื่อหนึ่งบนแผ่นหิน ละอองหิมะที่บางเบาเหมือนปุยนุ่นทิ้งตัวระเรื่อย หญิงสาวล้วงมือลงไปหยิบสิ่งที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ท และนาทีถัดมาดอกแม็กโนเลียสีม่วงอ่อนก็ถูกวางลงบนหน้าแผ่นหินสลัก

     

    ลู่หานมองวิญญาณของชายชราและหญิงสาวซึ่งไม่สามารถสื่อสารกันได้แม้ต่างฝ่ายจะยืนอยู่ข้างๆกัน

     

    เนิ่นนานเหลือเกินที่เวลาเดินไปอย่างเงียบเชียบ ณ ตรงป้ายชื่อบนหลุมศพนั้น

     

    หิมะตกลงปกคลุมพื้นดิน แต่สีม่วงอ่อนของดอกแมกโนเลียก็ยังคงไม่จางหาย

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     

    ลู่หานเดินลากเท้ากลับมาจากสุสานซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลอย่างเงียบๆ ข้างหน้าเป็นคุณลุงที่ยังคงเดินตามลูกสาวไม่ห่าง ส่วนข้างๆเป็นคริสที่เดินล้วงกระเป๋าและไม่ได้เอ่ยพูดอะไร

     

    เดินเข้าไปถึงในรั้วบ้านแล้ว ทว่าหญิงสาวกลับไม่ได้เดินตรงเข้าไปยังตัวบ้าน แต่กลับเลี้ยวไปทางด้านหลัง และมาหยุดลงตรงหน้าห้องไม้เล็กๆซึ่งสร้างแยกออกมาอยู่ตรงหลังสวน ตอนนั้นเองที่ลู่หานสังเกตเห็นว่าชายชราชะงักไป

     

    ลูกสาวของคุณลุงยืนนิ่งอยู่สักพักก่อนจะหยิบกุญแจดอกเล็กออกมาไข และเมื่อประตูเปิดออกถึงเห็นว่าภายในนั้นเป็นห้องเก็บของ

     

    มันไม่ใช่ห้องเก็บของที่รกระเกะระกะ แต่ทุกอย่างถูกจัดวางอยู่อย่างเป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน ลังหลายใบวางซ้อนอยู่อย่างเรียบร้อย

     

    ลู่หานรู้สึกถึงสัมผัสนุ่มนวลที่คลอเคลียอยู่ตรงขา ฟีบี้ที่เดินตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กำลังเอียงหัวถูไถไปมาอย่างเกียจคร้าน

    หญิงสาวเดินสำรวจไปรอบห้องโดยไม่ได้แตะต้องอะไร มีข้าวของมากมายจำพวกรูปวาด รูปถ่ายที่ล้อมกรอบสวยงาม เครื่องมือของใช้ ของประดับตกแต่งต่างๆที่ไม่ได้ถูกใช้งาน แต่แล้วลู่หานก็สังเกตเห็นว่าเมื่อคุณยูจินเดินเข้าไปใกล้ตรงโต๊ะไม้ตัวที่ตั้งอยู่ริมหน้าต่างบานเล็กที่ปิดอยู่ คุณลุงก็พลันมีปฏิกิริยาบางอย่าง

     

     

    ลู่หานเลื่อนสายตาจากหญิงสาวที่กำลังมองไปรอบๆราวกับต้องการซึมซับความรู้สึก ก่อนจะหันไปมาหาชายชราที่ยังคงจับจ้องไปที่ลูกสาวซึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะไม้ตัวนั้นด้วยแววตาที่ลู่หานคิดว่ามันต้องหมายถึงอะไรสักอย่าง

     

     

     

     

    “.... คุณลุงครับ?”

     

     

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     

     

    ยูจินยังคงกำกุญแจดอกเล็กไว้ในมือขณะหันไปมองรอบๆห้อง กลิ่นของไม้ในปลายฤดูหนาวอบอวลไปทั่ว

     

    'น้าได้แค่เข้าไปทำความสะอาดแต่ไม่ได้เคลื่อนย้ายอะไร ของพวกนี้เป็นของพ่อเค้าทั้งหมด.. น้าคิดว่าคุณพ่อน่าจะอยากให้หนูเป็นคนเข้าไปจัดการมากกว่านะจ๊ะ...'

     

     

    ห้องเก็บของของพ่อ

     

    มันสร้างขึ้นหลังจากที่พ่อแต่งงานกับน้าฮวาซอน

     

     

    นานแค่ไหนแล้ว นับตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงวันนี้

     

    นานเท่าไหร่แล้ว ที่เธอหมางเมินกับพ่อ

     

     

    จนกระทั่งพ่อจากไป ....

     

     

    เธอจำหน้าแม่ได้จากในรูปถ่าย รู้เพียงแค่ว่าพ่อไม่ได้ชอบดอกไม้ แต่ชอบดอกแมกโนเลียสีม่วงเพราะแม่ชอบ นอกจากนั้นเธอก็รู้จักแม่เพียงแค่จากเรื่องเล่าของของพ่อ ชีวิตในวัยเด็กของเธอ ทุกอย่างๆของเธอ โลกทั้งใบของเด็กสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งมีเพียงแค่พ่อของเธอคนเดียวเท่านั้น เราสองคนทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยกัน แบ่งปันความลับ เล่นเกมสนุกๆ ฝึกขี่จักรยาน พ่อคือโลกที่โอบอุ้มเธอไว้

     

     

    แต่เมื่อวันเวลาผันผ่าน เธอจำไม่ได้แล้วว่าตอนไหนกันที่เราเริ่มห่างเหินไป .....

     

    เธอไม่ได้เกลียดน้าฮวาซอนและไม่ได้เกลียดน้องสาวของตัวเอง แต่ก็มีบางเวลาที่เธอโกรธพ่อที่เอาสองคนนี้เข้ามาในโลกของเราสองคน เพราะหลังจากที่พ่อแต่งงาน ก็ไม่มีเหลือโลกที่มีเพียงพ่อกับยูจินอีกต่อไป ตอนที่น้าฮวาซอนตั้งท้อง เธอรู้สึกดีใจและตื่นเต้นเมื่อรู้ว่าจะได้มีน้องสาว ตอนที่น้องคลอด เธอยังจำได้ตอนที่ไปยืนเกาะกระจกดูในโรงพยาบาล น้องเป็นเด็กทารกตัวแดงหน้าตาตลกแต่เธอก็ดีใจที่มีน้อง

     

     

    มันเป็นตอนไหน ยูจินเองก็ไม่แน่ใจ .....

     

    อาจจะเป็นหลังจากวันที่น้องคลอด และทั้งห้องพักของน้าฮวาซอนก็เต็มไปด้วยผู้ใหญ่หลายคนที่เธอไม่รู้จัก ป้าของเธออยู่ที่ต่างประเทศ ส่วนปู่กับย่าของเธอเสียไปนานแล้ว ผู้ใหญ่ทุกคนหันมาทักทายเธอแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เธอนั่งเงียบๆอยู่บนโซฟาเพราะทุกคนกำลังสนใจแต่เด็กน้อยหน้าตาตลกที่นอนอยู่ในรถเข็น แม้แต่พ่อ......

     

    หรืออาจจะเป็นวันนั้น ที่เธออยากจะไปสวนสนุก แต่พ่อต้องพาน้าฮวาซอนไปตรวจร่างกาย

     

    หรืออาจจะเป็นวันที่เธอสอบได้คะแนนสูงสุดแต่ก็ไม่ได้บอกใคร เพราะพ่อกำลังตื่นเต้นอยู่กับการที่น้องพูดได้คำแรก

     

     

     

    มันอาจจะเป็นวันไหนสักวันที่ทำให้เราค่อยๆห่างเหิน

     

    มันอาจจะเป็นวันใดวันหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ลูกสาวตัวน้อยเพียงคนเดียวในโลกของพ่ออีกต่อไป

     

     

     

     

    เธอไม่เคยโหยหาแม่ เพราะสำหรับเธอมีพ่อแค่เพียงคนเดียวเธอก็ไม่ต้องการอะไรอีก

     

    แต่วันนั้นเธออยากให้แม่กลับมา เธอปรารถนาให้แม่อยู่ตรงนั้นไม่จากไปไหน

     

     

    เพราะเธอรู้สึกว่าพ่อไม่รักเธออีกต่อไปแล้ว

     

     

     

    เรื่องราวมากมายผ่านเข้ามากระทบกระทั่ง และเธอกับพ่อก็แทบจะไม่ได้พูดกันอีก

     

    เธอเป็นเพียงเด็กสาววัยรุ่นที่กลับบ้านมา นั่งกินข้าวเงียบๆและหนีเข้าห้องนอนตัวเอง

     

     

    ทุกอย่างก็ยิ่งไกลห่างนับตั้งแต่่เธอย้ายออกจากบ้านไป

     

    เธอเรียนจบ ทำงานและกลับบ้านเพียงแค่ปีละหน

     

     

    ความโกรธเคืองในวันวานไม่ได้คุกรุ่นอีกต่อไป แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พ่อกับเธอกลับมาพูดกันเหมือนเคย

     

    พ่อไม่เคยมาเยี่ยมเธอ แม้แต่งานแสดงภาพวาดของเธอที่มีคนแห่แหนมากันมากมาย แต่พ่อก็ไม่เคยมา

     

     

    ทุกอย่างกลายเป็นเพียงภาพเลือนลางในความทรงจำ

     

     

    จนกระทั่งวันที่น้าฮวาซอนโทรมาบอกเธอว่าพ่อลื่นล้มในห้องน้ำและเส้นโลหิตในสมองแตก มันเกิดขึ้นหนึ่งอาทิตย์ก่อนวันคริสต์มาส เธอไม่ได้กลับบ้านมาหนึ่งปี แต่เมื่อพบกันอีกครั้งพ่อก็นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล เครื่องช่วยหายใจและสายอุปกรณ์ทางการแพทย์ระโยงระยางถูกปลดออกพร้อมกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่กลายเป็นเส้นตรง

     

     

    เธอมองหน้าพ่ออย่างเต็มตาในรอบสิบปี ริ้วรอยของพ่อเพิ่มมากขึ้นอย่างที่เธอไม่เคยสังเกตมาก่อน

     

    พ่อแก่ลงมาก มันทำให้เธอนึกไปถึงวันที่เราไปเที่ยวสวนสนุกด้วยกันสองคน ชายหนุ่มที่แบกเด็กสาวตัวเล็กไว้บนคอแล้วพาเดินไปทั่ว

     

    ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกตรงคอ แต่เธอก็ไม่ร้องไห้ น้ำตาไม่ไหลออกมาสักหยด และเธอก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรเลยตลอดเวลาจนกระทั่งงานศพจบลงคล้ายคำพูดทุกอย่างถูกกลืนลงคอและสลายหายไป มีเพียงคำเดียวที่เธออยากพูด แต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

     

     

     

     

     

    เมี๊ยว..”

     

     

    หญิงสาวหลุดออกจากภวังค์เมื่อได้ยินเสียงแมวร้อง เธอหันไปมองเจ้าตัวขนยาวสีขาวที่ยืนอยู่บนโต๊ะไม้ข้างกายอย่างประหลาดใจ หลังจากงานศพเธอก็ขอลางานและหมกตัวอยู่แต่ในบ้านเงียบๆ ไม่ได้ก้าวเท้าออกไปไหนแม้แต่ในบริเวณบ้านจนกระทั่งวันนี้ เธอจึงไม่รู้ว่ามีแมวอยู่แถวนี้ด้วย และไม่รู้ว่ามันตามเธอเข้ามาในนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันทำให้เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงเจ้าแมวตัวอ้วนสีน้ำตาลที่เคยเล่นด้วยกันเมื่อตอนสมัยเป็นเด็ก

     

     

    ตุบ!

     

    เจ้าแมวตาสีฟ้าเหยียดขาครางอย่างเกียจคร้านแล้วพาลไปเตะเอากล่องที่ตั้งอยู่บนโต๊ะจนตกลงมากองอยู่กับพื้น ฝาเลื่อนเปิดออก ของในกล่องหล่นกระจัดกระจาย

     

    ยูจินส่ายหัวพลางย่อเข่าลงนั่ง จัดการเก็บของที่กระจายอยู่ใกล้ๆกันนั้นเพื่อรวบรวมมันกลับมาใส่กล่อง แต่แล้วอัลบั้มปกหนังสีเข้มในมือก็ทำให้รู้สึกสนใจขึ้นมาจนต้องหยุดชะงักชั่วคราว

     

    ฝ่ามือของหญิงสาวลูบปกหนังนั้นเบาๆ มันเป็นเพียงปกเรียบๆ ไม่มีร่องรอยบ่งบอกอะไร หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งก่อนจะเปิดหน้าแรกของอัลบั้มรูปนั้น

     

    รูปทารกตัวน้อยนอนหลับอยู่บนเบาะสีฟ้าอ่อน ตอนแรกยูจินไม่แน่ใจว่ามันคือรูปใคร จนกระทั่งมองดูวันที่ถึงรู้ว่านี่ไม่ใช่รูปของน้องสาวแต่เป็นรูปของเธอเอง สองรูปในหน้าแรกถูกเปิดผ่านไปจนมาถึงรูปในหน้าที่สอง

     

     

     

    “...................................”

     

     

    ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยิ้มกว้างให้กล้อง ในอ้อมแขนอุ้มทารกน้อยที่กำลังดูดนมจากในขวด

     

     

    ความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว พ่อเคยเล่าว่าช่วงที้เธอเกิดแรกๆ ป้ามาขอเอาเธอไปเลี้ยงดู แต่พ่อไม่ยอม สุดท้ายป้าก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นหมั่นมาเยี่ยมน้องเขยและหลานสาวตัวน้อยที่บ้านทุกสัปดาห์แทน เพราะฉะนั้นรูปพวกนี้ป้าก็คงเป็นคนถ่ายให้

     

     

    รูปต่อไปเป็นรูปชายหนุ่มคนเดิมกำลังตั้งใจเปลี่ยนผ้าอ้อมให้กับทารกน้อยอย่างขะมักขเม้น

     

    รูปถัดไปเป็นพ่อของเธอที่กำลังนอนหลับและประคองเธอที่กำลังหลับปุ๋ยไม่ต่างกันเอาไว้ในอ้อมกอด

     

    อีกรูปหนึ่งเป็นรูปทารกน้อยกำลังแผดร้องไห้จ้าหน้าดำหน้าแดง และผู้ชายคนเดิมก็กำลังพยายามเอาของเล่นหลอกล่อ

     

     

     

    ราวกับขุดเอาเรื่องเล่าในความทรงจำเก่าๆขึ้นมาอีกครั้ง ป้าบอกว่าเล็กๆเธองอแงมาก แต่พ่อก็ไม่เคยถอดใจ ช่วงแรกๆเธอร้องไห้ตลอดคืน และตอนกลางวันก็ไม่ยอมนอน พ่อตัดสินใจลาออกจากงานเก่าและเปลี่ยนมาทำงานที่ใช้เพียงแค่คอมพิวเตอร์ที่บ้าน โชคดีที่งานใหม่ของพ่อนั้นรายได้ไม่ต่างจากงานเก่ามากนัก และเงินซึ่งเก็บออมเอาไว้นั้นก็มีมากพอจนไม่ขัดสน พ่อจึงสามารถเลี้ยงดูเธอและทำงานไปด้วยพร้อมๆกันได้แม้มันจะลำบากมากก็ตาม

     

     

    รูปถัดไปทำให้เธอหลุดหัวเราะ

     

    พ่อกำลังพยายามผูกผมให้เธอด้วยท่าทางเก้ๆกังๆแต่ก็ตั้งใจอย่างที่สุด

     

    และรูปข้างๆกันก็คือเด็กหญิงที่ผูกโบว์สีชมพูที่ออกจะบิดๆเบี้ยวๆทั้งสองข้างกำลังยิ้มแฉ่ง

     

     

     

     

    พ่อแต่งตัวให้เธอ แต่มันก็ดูตลกไม่เหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ ทว่าเด็กหญิงตัวน้อยในตอนนั้นกลับชอบใจและคิดว่ามันพิเศษกว่าใคร

     

    มีอีกหลายรูป เป็นรูปเด็กหญิงตัวน้อยแก้มกลมกำลังเดินเตาะแตะ รูปเด็กหญิงคนเดิมที่โตขึ้นมาอีกหน่อยกำลังยืนจับมือกับผู้เป็นพ่อถือลูกโป่งไว้อีกมือและยิ้มสดใส รูปด้านหลังของผู้ชายที่แบกเด็กสาวไว้บนบ่าเพราะอยากจะให้เด็กหญิงตัวน้อยมองเห็นขบวนพาเหรด รูปเด็กหญิงกับจักรยานสี่ล้อบนสนามหญ้า

     

    ภาพเหล่านั้นเริ่มพร่ามัวมากขึ้นเรื่อยๆ และน้ำตาก็หยดลงกระทบลงบนภาพถ่ายของเด็กหญิงตัวน้อยในชุดสวมปีกนางฟ้ากับผู้ชายคนเดิมกำลังเต้นอยู่บนเวทีในงานโรงเรียน

     

    เธอจำได้ว่างานนั้นเป็นงานที่โรงเรียนจัดกิจกรรมให้บรรดาคุณแม่และลูกๆ แต่มีเพียงพ่อของเธอเป็นผู้ชายคนเดียวที่ขึ้นไปบนเวทีวันนั้นจนเรียกเสียงหัวเราะได้ทั้งงาน

     

     

    ..... พ่อของเธอไม่อายที่จะต้องทำหน้าที่ทุกอย่างแบบที่แม่คนอื่นทำ

     

     

    ภาพในความทรงจำที่เคยเลือนหายหลั่งไหลเข้ามา พ่อทำอาหาร ทำงานบ้าน ผูกโบว์ ซักชุดนักเรียน พาเธอไปเลือกซื้อชุดกับรองเท้าเจ้าหญิง และนั่งเล่นตุ๊กตาบาร์บี้กับเธอ

     

    อัลบั้มถูกปิดลง หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้น และเมื่อหยิบกรอบรูปที่ตกอยู่ใกล้ๆขึ้นมาดูยูจินก็ยิ่งสะอื้นหนัก

     

     

    รูปถ่ายวันที่เธอเรียนจบที่พ่อกับเธอแทบจะไม่มองหน้ากัน

     

     

    ไม่ใช่แค่นั้นแต่เป็นทุกอย่าง ทุกอย่างที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆตัวเธอ

     

    ภาพวาดสมันอนุบาลที่เป็นเพียงสีเขียดเขียนเลอะเทอะ

     

    ประกาศนียบัตรที่ได้มาตั้งแต่สมัยประถมซึ่งเธอไม่ได้ใส่ใจแล้วว่ามันหายไปไหน

     

    ผ้ากันเปื้อนที่เธอกับพ่อเคยช่วยกันเย็บส่งในวิชางานบ้าน

     

     

    โบชัวร์ทุกใบ ภาพข่าวทุกข่าวของนิทรรศการแสดงผลงานศิลปะที่เธอคิดว่าพ่อไม่เคยสนใจกลับถูกตัดเรียงแปะไว้ในสมุดอย่างปราณีต

     

     

    ทุกอย่าง... พ่อเก็บรักษามันไว้อย่างดี

     

     

    ทุกๆอย่าง...

     

     

     

     

    พ่อรักลูกนะ.."

     

     

    ฮึก...”

     

     

    ไม่เคยมีวันไหนที่พ่อหยุดรักลูกเลย"

     

     

     

    แม้ตอนนี้อากาศจะหนาวเย็นเธอกลับมีไออุ่นประหลาดแผ่ซ่านไปทั่วห้อง หญิงสาวที่กอดอัลบั้มรูปไว้แน่นปล่อยโฮออกมาราวกับจะขาดใจ

     

     

     

    หนูขอโทษ...ฮึก พ่อ หนูขอโทษ”

     

     

    หนูรักพ่อนะ.. พ่อได้ยินหนูมั้ยจ๊ะ ฮึก หนูรักพ่อ"

     

     

     

    หนูรักพ่อ...”

     

     

     

     

     

     

     

     

    ฟีบี้กลับมาพันแข้งพันขาอยู่ใกล้ๆ ลู่หานยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลลงมาเงียบๆ มองภาพวิญญาณของผู้เป็นพ่อที่กอดลูกสาวเอาไว้แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถมองเห็นได้ ฉับพลันนั้นปุยหิมะสีขาวบางใสคล้ายขนนกบริสุทธิ์ก็ร่วงหล่นระเรื่อยลงมาจากเบื้องบนคล้ายสัญญาณบอกเวลา ชายชราผละออกจากร่างของหญิงสาวผู้เป็นลูก ใบหน้าที่มีริ้วรอยของกาลเวลานั้นหันไปมาทางเด็กหนุ่มสองคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปด้วยสายตาที่มีความหมายว่าขอบคุณเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆโปร่งแสงและเลือนลางไปพร้อมกับเกล็ดหิมะที่ปลิวฟุ้งกระจายไปทั่วห้องและหายลับไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ....

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     

     

     

    ฝีเท้าสองคู่ขยับไปตามทางที่ยังคงถูกปกคลุมด้วยหิมะ แมวน้อยสีขาวครางเหยียดตัวอยู่ใกล้ๆร่างของชายหนุ่มผมสีเงินที่เป็นคนกระซิบสั่งให้มันเข้าไปชนกล่องใบโตให้หล่นลงจากโต๊ะ เอียงคออย่างเป็นสุขเมื่อร่างสูงย่อตัวลงและใช้ปลายนิ้วเรียวยาวนั้นเกาเข้าที่คางเบาๆคล้ายตบรางวัล ก่อนที่สักพักเจ้าแมวน้อยจะสังเกตเห็นกระรอกตัวเล็กวิ่งอยู่บนพื้นจึงกระโดดผลุงออกไป

     

    คริสมองตามหางเปนพวงของเจ้าแมวอ้วนที่วิ่งกวดกระรอกหายเข้าสวนไป ก่อนจะหันกลับมามองเจ้าของร่างเล็กข้างกาย อดไม่ได้ที่จะนึกขันเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงก้มหน้า ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ แม้ว่าน้ำตาเหล่านั้นเพียงแค่หยดลงมาได้อึดใจเดียวก็ล้วนสลายหายไปในอากาศ

     

     

     

     

    เลิกร้องได้แล้ว...”

     

    นอกจากจะไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา ลู่หานยิ่งมุดอกตัวเองหนักกว่าเก่า ส่ายหัวไปมา น้ำที่คลอตรงหน่วยตาทำท่าจะไหลลงมาอีกระลอก

     

    ผ่านไปสักพักก็ดูเหมือนว่าคนที่กำลังอยู่ในอารมณ์อ่อนไหวจะยังไม่ยอมหยุดร้องไห้ และทำยังไงก็ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากัน

     

     

     

    วิญญาณของคุณลุงเค้าไปดีแล้ว ไม่ต้องร้องแล้วนายน่ะ"

     

     

    ส่ายหัว

     

     

    เฮ้อ...”

     

     

    ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ลู่หานรู้สึกถึงร่างสูงที่ขยับเข้าใกล้และวินาทีถัดมาร่างเล็กก็ตกอยู่ในวงแขนที่โอบรอบลำตัว

     

     

    สัมผัสจากมือข้างหนึ่งวางอยู่บนศีรษะส่วนฝ่ามืออีกข้างวางอยู่บนแผ่นหลัง

     

     

     

    เสียงทุ้มดังขึ้นใกล้จนลู่หานเพิ่งรู้สึกได้ชัดเจนว่ามันทุ้มกว่าเสียงของเขาหลายเท่า

     

     

    ร้องไห้ขี้มูกโป่ง เป็นเด็กสองขวบหรือไง"

     

     

    เปล่าซะหน่อย.. ฮึ่ก"

     

     

    ขำขันกับคำปฏิเสธอันดื้อดึง แต่คริสก็ขยับฝ่ามือลูบไปบนเส้นผมนุ่มลื่นที่มุดอยู่ตรงอกเหมือนปลอบเด็กน้อยหลงทาง แม้จะไม่รู้สึกอุ่นร้อนหรือเปียกชื้น คริสก็รู้ว่าลู่หานกำลังร้องไห้

     

    เรียวแขนสองข้างของคนขี้แยยกขึ้นโอบรัดรอบเอวและฝังใบหน้าลงกับแผ่นอกอุ่น

     

     

    อันที่จริงมันก็ไม่ได้อุ่น แต่มันอุ่นในความรู้สึกของลู่หาน

     

     

     

    โดยไม่ทันสังเกต หิมะที่โปรยปรายอยู่บางตาเมื่อครู่ค่อยๆหยุดลง ดอกไม้สีชมพูดในสวนดอกหนึ่งกำลังขยับกลีบเตรียมพร้อมจะเบ่งบาน

     

     

     

    และนั่นคือวันแรกที่เรากอดกัน

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

    การได้เห็นวิญญาณของคุณลุงจากไปก็ยิ่งตอกย้ำให้ลู่หานรู้สึกถึงการเป็นวิญญาณในสภาพไร้จุดหมายของตนเองมากกว่าเดิม และเดาว่าคริสก็คงไม่ต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะยิ่งพยายามเท่าไหร่ ไม่ว่าเขาหรือคริสก็ยังคงจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

     

     

    เฮ้อ!”

     

    ลู่หานถอนใจขณะทิ้งตัวนั่งลงบนชิงช้าที่แกว่งไกวไปมาเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้ไอเดียว่าเราว่าจะลองไปที่สุสานหลายๆแห่ง อาจจะดูเหมือนงมเข็มในโคตรโคตรมหาสมุทรไปสักหน่อย แต่ลู่หานก็แอบคิดว่าถ้าเผื่อโชคเข้าข้าง วันดีคืนวันดีอาจจะได้เจอชื่อเขาหรือคริสอยู่บนป้ายสุสานที่ไหนสักแห่ง นั่นมันก็แค่ความหวังในตอนแรก เพราะดูจากตอนนี้ ลู่หานคิดว่ามันคงเป็นไอเดียที่ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่นัก มีอยู่แค่ครั้งเดียวที่เขาพบชื่อ 'คริส' บนป้ายหินอ่อนในสุสานที่ห่างออกไป แต่พอลองตามไปที่บ้านของครอบครัวที่มาเยี่ยมก็ปรากฏว่าเป็นคนละคริส .... ส่วนชื่อลู่หานนั้นยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง

     

     

    หรือไม่แน่ เขากับคริสสมัยที่ยังมีชีวิตอาจจะอยู่ห่างไกล ไกล ไกลจากที่นี่ไปมากๆก็เป็นได้

     

    ลู่หานแหงนคอขณะที่ร่างกายขยับไปตามจังหวะของชิงช้า

     

    แสงแดดทำให้บรรยากาศสดใส หิมะละลายระเหยกลับคืนสู่เบื้องบน ฤดูหนาวผ่านไปแล้ว และใบไม้สีเขียวชอุ่มและดอกไม้นานาพันธุ์ก็พากันเบ่งบานอวดความงามเมื่อฤดูใบไม้ผลิหมุนเวียนเข้ามาแทนที่

     

    เจ้าฟีบี้ยังคงชอบเข้ามาหาวนเวียนอยู่ใกล้เขากับคริสจนกลายเป็นเหมือนเพื่อนสนิท ลู่หานเคยสงสัยว่ามันไม่มีเจ้าของหรืออย่างไรเพราะดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วฟีบี้ไม่น่าใช่แมวจรทั่วๆไป ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมีใครมาตามหามัน ลู่หานเล่นกับเจ้าแมวอ้วนกลมขนยาวได้ไม่รู้จักเบื่อ น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถพามันหายตัวไปด้วยได้

     

     

    ใช่ พักหลังมานี้เขากับคริสเดินทางไปไหนมาไหนกันบ่อยๆ

     

    อันที่จริงลู่หานไม่รู้หรอกว่ามันไกลแค่ไหน ลู่หานไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากับคริสหายตัวไปยังที่เหล่านั้นได้ยังไง แต่ก็ไม่ได้คิดหาเหตุผลมากมายให้ปวดหัว

     

     

    คริส"

     

    คริสสสส"

     

    ลู่หานหันไปมองหารอบๆ คริสเคยบ่นว่าเขาเอาแต่เรียกจนน่าปวดหัว ก็จะให้เรียกใครล่ะ นอกจากเจ้าฟีบี้ที่เป็นแมว ลู่หานก็ไม่มีใครแล้วนี่นานอกจากคริส

     

    ทำไรอะ"

     

    หายตัวไปปรากฏข้างๆคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ใต้ต้นไม้ใหญ่

     

    ถามว่าทำอะไรรรรรรรรรรรร!!” หน้าหวานบู้บี้เมื่ออีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินเลยแกล้งชะโงกไปตะโกนใส่หูดังๆเป็นการเอาคืน

     

    คริสยิ้มขำคนที่ทำหน้ามุ่ย ดูจากลักษณะแล้วคนตัวเล็กน่าจะอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดแต่บางทีก็ชอบทำตัวเหมือนเด็กสองขวบ ทั้งน่ารำคาญและตลกในเวลาเดียวกัน

     

     

    ดูเมฆ เหมือนนกฮูกไหม"

     

    ไหนๆ"

     

    ดูเอาเถอะ แค่เปลี่ยนเรื่อง จากหน้าบูดบึ้งก็เปลี่ยนมาเป็นชะโงกมองฟ้าทำตาใสอย่างกะตือรือร้น

     

    เหมือนตรงไหน ฉันว่ามันเหมือนหมา" คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เอียงคอเข้าหาร่างสูงเพื่อหลบจากต้นไม้หาองศามองท้องฟ้าแบบชัดๆ

     

    คริสรู้สึกถึงเส้นผมอ่อนนุ่มที่เคลียอยู่บนบ่า

     

    ลู่หานพูดเจื้อยแจ้วก่อนจะส่งเสียงร้อง อูวาาาาาาาาาาา เมื่อลมพัดมาจนดอกไม้บางส่วนร่วงหล่นลงมาบริเวณรอบๆโคนต้น

     

     

    ดอกไม้เล็กๆดอกหนึ่งตกลงบนฝ่ามือของคริส และน่าแปลกที่มันไม่ได้ร่วงหล่นทะลุลงไป

     

    คริสจับก้านของมันขึ้นมาถือไว้ แล้วยื่นไปให้คนที่กำลังแหงนคอรับลม

     

    ลู่หานละจากภาพท้องฟ้า รู้สึกหน้าร้อนแบบแปลกๆทั้งๆที่ปราศจากเลือดไหลเวียนอยู่ในกาย

     

    ดวงตาโตกระพริบตาปริบ แพขนตาขยับไหวอย่างแปลกใจที่พบว่าปลายนิ้วของตัวเองก็สามารถจับต้องและโอบอุ้มดอกไม้ดอกนั้นเอาไว้ได้ด้วยเช่นกัน

     

     

    ขอบคุณ"

     

    แก้มทั้งสองข้างกลายเป็นสีชมพูจางๆโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

     

    ลู่หานอมยิ้มจนปวดแก้ม มองดอกไม้ในมือในช่วงเวลาที่เก้อเขิน ก่อนที่จู่ๆประกายตาจะสดใสขึ้นอย่างฉับพลัน

     

     

    คริส"

     

     

    เอ่ยเสียงใส

     

     

     

    ไปทุ่งดอกไม้กันเถอะ"

     

     

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     

     

    ดอกไม้สีชมพูบานสะพรั่งเต็มทุ่งกว้าง

     

     

    เขากับคริสเคยแวะมาที่นี่ก่อนหน้านี้สองสามครั้ง แต่ตอนนั้นมันก็ยังไม่สวยงามเท่าวันนี้

     

    กลิ่นไออุ่นของแสงอาทิตย์ กลิ่นดิน กลิ่นสายลมและต้นใบไม้หญ้า ก้อนเมฆเหมือนปุยหิมะสีขาวในฤดูหนาวที่เพิ่งผันผ่านลอยอยู่บนท้องฟ้าสีฟ้า

     

    อาจเพราะเขาเป็นวิญญาณถึงได้รู้สึกว่าพื้นดินที่กำลังนอนเล่นอยู่มันช่างนุ่มละมุน

     

    ลู่หานเอียงคอไปมองคริสที่กำลังนอนหนุนแขนมองฟ้าเหมือนอย่างเคย มองไรคิ้วเข้มเรียงเป็นระเบียบ ไล่มาจากเส้นขนตา ระเรื่อยไปที่สันจมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป และจบลงที่ปลายคาง

     

    ครั้งหนึ่งลู่หานเคยถามคริสว่าเขาหน้าตาเป็นยังไง แต่คำตอบที่ได้คือคริสชี้ไปที่เจ้าฟีบี้ที่นอนตะปบผีเสื้ออยู่ไม่ไกล

     

     

    'นั่นแมวนะ!'

     

    'ก็หน้าตานายมันเป็นแบบนั้น'

     

     

    ถึงเขาจะมองไม่เห็นเงาตัวเองแต่เขาก็มั่นใจว่าเขาไม่มีทางเหมือนเจ้าแมวอ้วนสีขาวขนยาวตัวนั้นแน่ๆ เผลอๆเขาอาจจะหล่อมาก หล่อกว่าคริสด้วยซ้ำไป

     

    ลู่หานย่นจมูกพลางอ้าปากหาวหวอด

     

    เอาจริงๆ ยอมรับก็ได้ว่าเขาน่ะ คริสว่าคิดหล่อมากๆ หล่อเหมือนพวกรูปปั้นอะไรแบบนั้น แต่ไม่มีวันซะหรอกที่เขาจะยอมบอกมันออกไปง่ายๆ หึ

     

     

    ลมพัดโชยมาอีกระลอกพาให้ดวงตากลมโตเริ่มปิดปรือ

     

    ร่างเล็กตะแคงข้างแล้วขดตัวลงเหมือนกุ้ง

     

    ลู่หานไม่รู้ว่าจริงๆแล้ววิญญาณนี่ง่วงได้รึเปล่า แต่เขารู้สึกว่าชักจะติดการนอนกลางวันเสียแล้ว

     

    ให้ยอมรับอีกอย่างก็ได้ มาถึงตอนนี้ แม้จะยังตามหาอดีตไม่พบสักทีแต่จริงๆแล้วลู่หานก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรมากมายนัก อย่างน้อยก็ไม่ได้เดือดร้อนอย่างที่คิดว่าควรจะเป็น

     

     

    หันกลมเขยิบไปดันอยู่ที่ต้นแขนของคริส แล้วปิดเปลือกตาลง

     

     

    ก็มันไม่ได้ย่ำแย่อะไรขนาดนั้นนี่นา

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

     

    เวลาผ่านไปเร็วแค่ไหนลู่หานก็ไม่ได้เฝ้านับ

     

    เขาใช้เวลาในฤดูใบไม้ผลิไปกับคริส ไปทุ่งดอกไม้ ไปทะเล ไปสวนสนุก จนกระทั่งฤดูร้อนมาเยือน

     

    ช่วงเวลาที่ผ่านมาลู่หานได้เรียนรู้หลายอย่าง

     

     

    เช่นว่า เขาชอบสีส้ม ส่วนคริสชอบสีดำ

     

    เขาชอบกินมัฟฟินสตอร์เบอร์รี่ ส่วนของโปรดของคริสคาดว่าน่าจะเป็นชาเขียว

     

    เขากลัวความมืด ส่วนคริสไม่ชอบเสียงดังอึกทึก

     

    เขาเอาแต่ใจนิดๆ ขอย้ำว่านิดๆ และคริสก็จะไม่ตามใจในตอนแรก ขอย้ำว่าแค่ตอนแรก เพราะพอผ่านไปเดี๋ยวคริสก็ใจอ่อนอยู่ดี

     

    และที่สำคัญคือเขากับคริสชอบดอกไม้และรักสัตว์ด้วยกันทั้งคู่

     

     

    มันอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่มีประโยชน์ แต่อย่างน้อยเรื่องราวที่เราได้เรียนรู้จากการใช้ชีวิตด้วยกันในแต่ละวันก็มีความหมายมากกว่าความว่างเปล่า

     

    อากาศกลางฤดูร้อนช่างร้อนอบอ้าว เปล่าหรอก ลู่หานไม่ได้ร้อนแต่สังเกตเอาจากท่าทางของบรรดาผู้คนที่เดินผ่านไปมา และไอ้ที่หน้าบึ้งนี่ก็ไม่ใช่เพราะสภาพอากาศ แต่เป็นเพราะสิ่งที่กำลังมองเห็นอยู่ต่างหาก

     

    คริสกำลังนั่งหันหลังให้เขาขณะสนทนาอยู่กับวิญญาณของสาวน้อยหน้าตาน่ารัก

     

    หลังจากวิญญาณของคุณลุงจากไปแล้ว ลู่หานก็ได้พบเจอกับวิญญาณอีกหลายดวง และก็มักจะเข้าไปทักทายตามวิสัย ปฏิกิริยาที่ได้ก็มีทั้งดีบ้างร้ายบ้าง วิญญาณของสาวน้อยคนนี้ก็เช่นกัน ลู่หานเป็นฝ่ายเข้าไปคุยกับเธอก่อน และพอได้ฟังเรื่องราวของเธอก็รู้สึกสงสาร แต่ไปๆมาๆ ตอนนี้ดูเหมือนว่าความสงสารของเขามันจะหดหายลงไปเยอะพอดู

     

     

    คริส"

     

    หืม?”

     

    คิ้วเข้มเลิกขึ้นเมื่อคริสหันมามองคนตัวเล็กที่นั่งหน้าบูดอยู่เยื้องออกไปทางด้านหลัง

     

    ไปแม่น้ำกันได้ยัง"

     

    ส่งสายตาตอบกลับมาเป็นเชิงว่าให้รอก่อนแล้วจึงหันกลับไปสานต่อบทสนทนาที่ค้างคาไว้ เลยไม่ทันเห็นว่าไอ้หน้าที่บูดอยู่แล้วเป็นทุนเดิมมันยิ่งบึ้งหนัก คิ้วขมวดชนกัน ปากคว่ำจนแทบจะเป็นเส้นโค้ง

     

     

     

    คริส"

     

    คริส!”

     

    เรียกเป็นครั้งสุดท้ายแล้วความอดทนก็ขาดผึง ลู่หานฮึดฮัดลุกขึ้นแล้วไปโผล่อีกทีบนถนนหน้าบ้าน ลืมบอกไป ว่าถึงเขากับคริสจะไปไหนต่อไหนหลายที่ แต่สุดท้ายก็ต้องย้อนกลับมาที่เดิมทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะความผูกพัน แถมเขาก็คงทนคิดถึงเจ้าฟีบี้ไม่ไหว

     

    ร่างเล็กจ้ำอ้าวไปตามทางอย่างหงุดหงิด อยากคุยกันนักก็คุยไปให้หนำใจ ทั้งๆที่สัญญากับเขาไว้แล้วแท้ๆว่าวันนี้จะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ริมแม่น้ำกัน ลู่หานหน้าหงิก อันที่จริงริมแม่น้ำใกล้ๆนี้ก็เป็นอีกสถานที่ที่เขาหายตัวไปได้ แต่ตอนนี้ลู่หานอยากจะเดิน เดิน เดินให้หายโมโหไปเลยมากกว่า!

     

     

    หนีมาคนเดียวทำไม"

     

    เสียงที่ดังมาจากข้างหลังทำให้เรียวคิ้วขยับชิดโดยอัตโนมัติ

     

     

    ก็เห็นว่ายุ่ง"

     

    จากปากโค้งเปลี่ยนมาเป็นเชิดขึ้นจนแทบชิดจมูก เสียงหัวเราะแผ่วๆยิ่งทำให้ลู่หานอารมณ์เสีย

     

     

    นายเป็นคนไปคุยกับเค้าเองนะ"

     

    ก็ตอนนี้เค้าอยากคุยกับนายมากกว่าฉันแล้วนิ ก็คุยไปสิ!”

     

    ไม่ต้องมีใครเกริ่นนำก็รู้ว่าบทสนทนานี้เกี่ยวข้องกับวิญญาณของสาวน้อยน่ารักที่ดูเหมือนว่าจะชอบคริสมากเป็นพิเศษ มากถึงขนาดเลิกสนใจลู่หานแล้วตามติดมานั่งคุยกับคริสเป็นครึ่งค่อนวัน ปล่อยให้เขานั่งเฉาอยู่คนเดียว

     

     

    เขาน่าสงสาร"

     

    สงสารก็ไปคุยกับเค้าต่อสิ ตามมาทำไมเล่า!”

     

    ต้องตามมาสิ"

     

    หึ”

     

    ก็สัญญากับใครบางคนเอาไว้แล้วว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน"

     

    “.... จะผิดสัญญาได้ยังไง"

     

     

     

    เอื้อมมือไปโยกหัวกลมๆนั้น คนที่เหวี่ยงอยู่เมื่อครู่ก้มหน้าขมวดคิ้ว แต่กลับมีริ้วสีแดงจางๆพาดอยู่บนพวงแก้มขาว

     

    .... บางทีลู่หานอาจจะเป็นวิญญาณดวงเดียวที่หน้าแดงได้

     

     

    เงียบไปอึดใจ จากนั้นคริสก็โดนโถมเข้าใส่แผ่นหลังจนเซไปหนึ่งก้าว

     

    ลู่หานพยายามนิ่วหน้าทั้งๆที่ประกายของความพอใจกำลังเต้นระริกอยู่ในแววตา สองแขนแกล้งรัดแน่นที่รอบคอ สองขากระชับอยู่ที่ข้างเอวเมื่ออีกฝ่ายยอมรับเขาขึ้นหลัง

     

     

    ฝังใบหน้าที่กลั้นยิ้มจนปวดแก้มลงบนต้นคออุ่น

     

     

    งั้นต้องแบกไป.."

     

     

    สั่งเสียงดุอู้อี้

     

     

    แบกฉันไปให้ถึงแม่น้ำเลย!”

     

     

     

     

     

     

     

    แสงสีส้มยามเย็นในฤดูร้อน

     

    แผ่นหลังของคริสทั้งกว้างและอบอุ่น ลู่หานชอบเส้นผมสีเงินที่ขยับไหว ชอบกลิ่นที่อบอวลอยู่รอบกาย ชอบจังหวะการก้าวเดินของขายาวๆ

     

    เอียงใบหน้าซบแนบแก้มลงบนบ่าแล้วระบายยิ้ม เพราะหัวใจกำลังพองโตอย่างไร้สาเหตุ

     

     

    ชอบ ชอบ ชอบ ลู่หานชอบทุกๆอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่สุดเลย

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

    และแล้วลู่หานก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองอีกอย่าง

     

     

    เขาไม่ชอบฝน

     

     

    หยดน้ำใสแจ๋วตกกระทบพื้นเบื้องล่างหยดแรก ก่อนที่อีกนับร้อยพันหยดจะร่วงโปรยปราย ลู่หานคิดว่าเม็ดฝนนั้นสวยดี แต่เขาไม่ชอบเวลาที่หยดน้ำทะลุผ่านร่างกายไป ทั้งๆที่ไม่ควรจะรู้สึกอะไรแต่มันกลับเย็นวาบและทำให้หนาวสั่นขึ้นมาแบบแปลกๆ ลู่หานไม่ชอบตอนที่ฝนตกเลยซักนิดยกเว้นตอนที่ได้นั่งดูสายรุ้งกับคริส

     

     

     

    พูดถึงฝน

     

    ลู่หานยังคงจำวันนั้นได้ดี

     

     

    เขานอนหลับสนิทจนกระทั่งน้ำหยดหนึ่งร่วงหล่นลงมา เขาสะดุ้งตื่นเพราะความเย็นวาบตรงผิวแก้ม เปลือกตาเปิดปรือกระพริบถี่ หันมองไปรอบๆก็พบว่ามีแต่ความว่างเปล่า ฝนตกลงมาปรอยๆ ขณะที่ข้างๆกายเขาไม่มีคริส

     

    จริงๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะเขากับคริสก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดทั้งวันทั้งคืน อาจจะไม่บ่อยครั้งนักแต่บางทีคริสก็ปลีกตัวไปอยู่คนเดียวบ้าง บางทีเขาก็หนีไปเที่ยวเล่นกับฟีบี้บ้าง ทว่าวันนี้ลู่หานกลับรู้สึกวูบโหวงแปลกๆที่พอตื่นมาแล้วไม่เจอคริส

     

    อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่เริ่มมืดครึ้มและสายฝนที่กำลังร่วงหล่น

     

     

    ฟีบี้"

     

    พอลู่หานเรียก เจ้าแมวน้อยก็เหยียดตัวครางแล้วสะบัดก้นเดินตาม

     

    นัยน์ตากลมโตสอดส่ายไปมา แต่ก็ไร้วี่แววของร่างสูงที่ตามหา

     

     

    หายไปไหนของเค้านะ...”

     

    ลู่หานรำพึงพลางแหงนขึ้นมองฝนที่ดูเหมือนจะลงเม็ดหนักขึ้น

     

     

    เข้ามารอในนี้เถอะ"

     

    ลู่หานหลบเข้าในชายคาหน้าบ้าน ถึงแม้จะมาอาศัยนอนดูดาวบนหลังคาหรือวิ่งเล่นในสวนอยู่ทุกวัน แต่เขาหรือแม้แต่คริสก็ไม่เคยเข้าไปข้างในบ้านเลยสักครั้ง ถึงจะเป็นวิญญาณแต่ก็ใช่ว่าจะไปเที่ยวเข้าออกบ้านใครก็ได้ตามใจชอบ อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติเจ้าของบ้านบ้าง แม้ว่าจะไม่รู้ว่าบ้านหลังนี้มีเจ้าของหรือเปล่าก็ตาม

     

    ร่างเล็กเงยมองฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดแรง แม้จะไม่ได้ต้องกระทบผิวกายแต่ลู่หานกลับสั่นสะท้าน

     

     

    คริส!”

     

    คริส!”

     

    ลู่หานลองตะโกนเรียกฝ่าสายฝน แต่ก็ไร้เสียงตอบรับ ไหล่บางห่อเข้าหากัน มือสองข้างกอดอกลูบต้นตัวเองไปมา

     

    ชั่วขณะที่ลู่หานรู้สึกโดดเดี่ยวจนอยากจะร้องไห้ออกมา

     

     

    คริสอยู่ที่ไหน .....

     

     

    มาเถอะ"

     

    ตัดสินใจว่าจะออกไปตามหาใกล้ๆ บางทีคริสอาจจะไม่ได้หายไปเที่ยวที่ไหนแต่อาจจะอยู่แถวๆนี้ ลู่หานไม่ชอบอยู่คนเดียวตอนฝนตกเลยจริงๆ

     

     

    เพล้ง!

     

     

    อ๊ะ ฟีบี้!”

     

    ลู่หานสะดุ้งเมื่อเจ้าแมวเหมียวดันเดินไปชนอะไรบางอย่างแถวนั้น และเมื่อมองไปก็พบว่าตุ๊กตารูปปั้นกวางตัวเล็กๆตัวหนึ่งหล่นลงมาแตก ลู่หานละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง แต่ความจริงก็คือเขาไม่สามารถก้มลงไปเก็บกวาดหรือทำอะไรได้ ร่างเล็กจึงได้แต่นึกขอโทษเจ้าของบ้านที่ไม่เคยพบหน้าแทนฟีบี้อยู่ในใจจากนั้นจึงสาวเท้าเร็วๆหันหลังออกจากตัวบ้านไป

     

    ผู้คนที่อยู่ริมถนนต่างกางร่มแล้วเร่งฝีเท้า ส่วนคนที่ไม่มีร่มก็วิ่งป้องหัวหาที่กำบังกันให้จ้าละหวั่น มีเพียงวิญญาณของหนุ่มน้อยดวงหนึ่งที่เดินหันซ้ายหันขวา พยายามมองหาใครบางคนด้วยสีหน้าร้อนรน

     

    ลู่หานเคยชินกับการที่มีคริสอยู่ข้างๆ บางทีที่เขาเล่าเรื่องหรือพูดไร้สาระคริสก็ไม่ได้ตอบโต้ แต่สำหรับลู่หาน เขาขอเพียงแค่ได้พูดแล้วรู้ว่ามีคริสอยู่ตรงนั้น อาจจะนอนหลับตาหรือแค่นั่งเล่นกับเจ้าฟีบี้อยู่ใกล้ๆกัน แค่มีคริสอยู่ด้วย ....

     

    คริส!”

     

    ลู่หานรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังหลงทาง

     

     

    คนที่เดินสวนไปมาไม่มีใครมองเห็น วิญญาณดวงอื่นก็ต่างไม่สนใจเขา

     

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา.. เพราะคริสเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ทำให้เขาไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องโดดเดี่ยวอยู่บนโลกอันกว้างใหญ่ มีคริสเพียงเท่านั้น ที่ทำให้เขารู้สึกมีตัวตน รับรู้ว่ามีใครสักคนที่อยู่ข้างๆและใส่ใจกัน

     

    มีคริสเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว

     

    แต่ตอนนี้ .....

     

    พี่สาวครับ! พี่สาว! เห็นคริสบ้างมั้ยครับ!?”

     

    วิญญาณหญิงสาวสุดเซ็กซี่ที่หน้าร้านขายบุหรี่ซึ่งเคยถูกใจคริสก่อนหน้านี้เหลือบหางตามองเขาพลางเลิกคิ้ว จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมาแล้วไม่สนใจเขาอีก

     

     

    ลู่หานถอนใจด้วยใบหน้าที่เหมือนคนใกล้ร้องไห้อยู่มะรอมมะร่อ

     

     

    แต่ตอนนี้ คริสไม่ได้อยู่ตรงนี้กับเขา

     

    ปกติไม่ว่าเวลาไหนถ้าลู่หานเรียกหา ลู่หานก็จะได้เจอคริส

     

    หากบัดนี้ไม่มีแม้แต่เสียงขานรับ

     

     

     

    ทำไมจู่ๆถึงรู้สึกราวกับคริสไม่ได้เพียงแค่หายตัวไปที่อื่นเหมือนครั้งก่อนๆ แต่กลับรู้สึกว่าเขากำลังถูกทิ้ง

     

     

    “..ฟีบี้"

     

     

    นายก็รู้ไม่ใช่หรือไงว่าฉันไม่ชอบฝนตก

     

    แล้วนายหายไปไหนล่ะคริส....

     

    ท่ามกลางฝนที่ตกหนักและมนุษย์มากมาย ร่างเล็กทรุดลงแล้วกอดเจ้าแมวน้อยเอาไว้แน่น แม้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาจะไม่สามารถสัมผัสถึงร่างของฟีบี้ได้ แม้ว่าแท้ที่จริงแล้วเขาจะไม่สามารถจับต้องอะไรได้เลยนอกจากคริสเพียงคนเดียว

     

     

    เขาหายไปไหนล่ะฟีบี้... คริสอยู่ที่ไหน...”

     

    ไม่ว่าคริสจะเดินนำหน้าไปไกลมากแค่ไหน แต่คริสก็ไม่เคยทิ้งเขา

     

    แต่ตอนนี้ลู่หานกลับมองไม่เห็นคริส ไม่รู้ว่าจะไปเรียกหาที่ไหน รู้สึกสับสนและว่างเปล่า

     

     

    ร่างน้อยของเด็กหนุ่มเดินเปะปะไปเรื่อยๆ ไหล่บอบบางสั่นระริก

     

     

     

    อ่ะ...”

     

    จะไปไหนก็ไป!!!!!!!!”

     

     

    ลู่หานสะดุ้งเฮือกเมื่อวิญญาณชายแก่หน้าตาน่ากลัวหันมาตวาดใส่เขา ฟ้าแลบแปลบปลาบ ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำและเบิกโพลง เสียงฟ้าดังเปรี้ยงจนลู่หานเกือบจะหลุดเสียงกรีดร้อง สองขาที่อ่อนแรงรีบวิ่งผ่านบานประตูที่อยู่ใกล้ที่สุดเข้าไปด้วยอารามตกใจ

     

     

    ไม่ไหวแล้ว น้ำตาทะลักพรั่งพรูลงมาด้วยหัวใจที่เต้นแรงด้วยความหวาดกลัว

     

     

    ฮืออออออออออออออออออออ”

     

    ฮืออออออออออออออออออออออออ"

     

     

    ลู่หานร้องไห้เสียงดัง ร้องสะอึกสะอื้นปล่อยโฮอย่างน่าสงสาร

     

    เขาไม่ชอบฝนตก แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับที่คริสหายไป

     

    ลู่หานไม่ชอบที่คริสหายไป ไม่ชอบยิ่งกว่าที่ไม่ชอบฝนตกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า

     

     

     

    “... คริส ...ฮึก คริส...”

     

     

     

     

     

    “...... ลู่หาน”

     

     

    ภาพตรงหน้าพร่ามัวเพราะม่านน้ำที่เอ่อคลอ และพอลู่หานกระพริบตาอีกทีภาพของคริสก็ชัดเจนพร้อมกับน้ำตรงขอบตาที่หยดลง

     

    ฮึก ฮือออออออออออออออออออ"

     

    คริสดึงคนที่ยืนร้องไห้เหมือนเด็กเล็กๆเข้ามากอดไว้แน่น แน่นจนร่างของลู่หานแทบจะจมหายลงไปในอก

     

    ลู่หานสะอื้นน้ำหูน้ำตาไหลจนกระทั่งถูกสัมผัสตรงข้างแก้มให้เงยหน้าขึ้น

     

    คริสประคองพวงแก้มนิ่มเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง มองดวงตาคู่สวยที่เอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำไร้สี มองใบหน้าของลู่หานที่กำลังร้องไห้ แล้วจึงก้มลงกดริมฝีปากลงไปบนกลีบปากแดงฉ่ำ

     

    ลู่หานสะอื้นอยู่ในลำคอ มือกำเสื้อเขาไว้แน่น จากนั้นก็ค่อยจูบตอบ

     

    อ้อมกอดรัดแน่นเมื่อริมฝีปากเบียดชิด

     

     

     

     

    มันไม่ใช่จูบที่เปียกชื้นเพราะน้ำตาของลู่หานนั้นคงอยู่เพียงแค่ชั่ววินาที

     

     

    มันไม่ใช่ทั้งจูบที่หอมหวานหรือร้อนเร่า

     

     

     

    แต่มันเป็นจูบแรกของเราสองคน

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

    แน่นอนว่าหลังจากวันนั้นลู่หานก็รัวคำถามใส่เขาไม่ยอมหยุด ซึ่งคริสก็ตอบว่าเขาเพียงแค่หายไปอยู่เงียบๆคนเดียวเหมือนอย่างเคย จนสุดท้ายลู่หานก็ยอมหยุดโวยวาย

     

     

    ...... ถ้าเพียงแต่ลู่หานจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ความจริง

     

    เขาไม่ได้ไปเที่ยวที่ทะเล ที่ทุ่งดอกไม้ หรือว่าที่ไหนๆที่เคยไป

     

    แต่คริสรู้ว่าดวงวิญญาณของเขาหายไปในชั่วขณะหนึ่ง

     

     

    มันเป็นความมืด เขาได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ 'คริส' กับ 'อี้ฝาน' ดังซ้ำๆ เนิ่นนานที่เขาหลงอยู่ในสถานที่อันมืดมิด ก่อนที่พอกระพริบตาแสงหนึ่งจะสว่างวาบเข้ามา

     

    มันเป็นภาพที่ปรากฏเพียงแค่ชั่ววินาที เร็วมากเสียจนคริสจับใจความอะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นคริสก็รู้ว่าที่นั่นคือที่ที่เขาจากมา ... ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ที่ที่มีเรื่องราวของเขา

     

    แต่ในวินาทีนั้นเองที่คริสต่อต้าน เขายื้อกับบางสิ่งบางอย่าง รั้งตัวเองไว้เพื่อที่จะให้ได้กลับมา

     

     

    และใที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ

     

    เขาโผล่กลับมายังสถานที่เดิม ฝนกำลังตกหนัก แต่เมื่อมองกลับไปตรงตำแหน่งที่ลู่หานนอนหลับอยู่ก่อนหน้านั้นกลับไม่พบใคร

     

    เพื่อนร่วมทางตัวเล็กของเขาไม่ชอบสายฝน

     

    และลู่หานก็ไม่เคยต้องอยู่คนเดียวตอนฝนตก

     

    เขาวิ่งตามหาอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ มีผู้คนคลาคล่ำ โชคดีที่เขาสังเกตเห็นแมวสีขาวตัวอ้วนที่เดินวนอยู่ตรงประตูด้านหน้าของโบสถ์ และภาพของลู่หานที่ร้องไห้เหมือนกับเด็กน้อยเพราะหาเขาไม่เจอในวันนั้น ก็ทำให้คริสรู้สึกว่าเขาตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกจะกลับมา

     

     

     

    คริสสสส ดูนี่สิ!!”

     

    แม้จะรู้ว่าวันใดวันหนึ่ง วันนั้นก็ต้องมาถึง

     

    หอยทากล่ะ"

     

    แต่ตอนนี้เขาจะปล่อยคนตัวเล็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนี่ให้อยู่อย่างลำพังได้ยังไง....

     

     

    ลู่หานดึงชายเสื้อเขายิกๆ แขนข้าวหนึ่งวางลงกับพื้น เท้าคางลงไปให้ระดับสายตาอยู่พอดีกับเจ้าหอยทากตัวเล็กจิ๋วที่คลานยืดยาดไปบนดิน ดวงตาเล็กเป็นประกายตื่นเต้นเพียงแค่เห็นเจ้าทากน้อยเคลื่อนไปทีละเศษมิลลิเมตร

     

    เวลานี้อยู่ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีทำให้บริเวณนั้นเต็มไปด้วยทั้งสีเหลือง ส้ม แดง และแน่นอนว่ามันเป็นสีโปรดของลู่หาน คนตัวเล็กก็เลยดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ร่วง

     

    บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้งสีแดงและส้มกองกระจัดกระจายเหมือนภาพวาดสีน้ำ

     

     

    นี่....”

     

    ลู่หานว่าเสียงใส เปลี่ยนจากมองเจ้าหอยทากมามองหน้าเขาแทน

     

    หือ..."

     

    ใกล้หน้าหนาวแล้วเนอะ"

     

    อืม"

     

    คริส...”

     

    “..................”

     

    นายว่าจะมีวันที่เราจำอดีตได้ไหม?”

     

    ไม่รู้สิ...”

     

    “................ ”

     

    “..............................”

     

     

    คริส...”

     

     

     

    ขอกอดได้ไหม"

     

     

    ไม่รู้ว่าจะเรียกขอดีหรือเปล่า เพราะเขายังไม่ทันอนุญาตร่างเล็กๆก็โถมเข้าใส่จนเขาหงายหลังลงไปบนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้หลากสี

     

     

     

    ใบไม้แห้งปลิดปลิวทิ้งตัวเมื่อลมพัด

     

    ลู่หานนอนทับอยู่บนร่างสูงของคริส แขนข้างนึงสอดรอบเอวกอดไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างกางออก และค่อยๆสอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้ากับปลายนิ้วเรียวยาวของคนตัวสูงทีละนิ้วจนครบ

     

    ชั่ววูบที่ลู่หานอยากถามว่าเราจะเป็นแบบนี้ไปได้อีกจนถึงเมื่อไหร่ แต่ก็ไม่ได้พูดมันออกไป

     

     

     

    ขอนอนอยู่แบบนี้อีกแป๊ปได้ไหม"

     

    ถ้าบอกไม่ได้จะยอมลุกออกไปหรือเปล่า"

     

     

    เสียงหัวเราะแว่วหวาน ลู่หานอมยิ้มแก้มตุ่ย หลับตาพริ้ม

     

     

    ไม่...”

     

    ไม่ยอมหรอก..."

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

     

     

    ลู่หาน ....

     

    เสี่ยวลู่ ....

     

    เสี่ยวลู่ ....

     

     

     

     

     

    เป็นอะไร?”

     

    หะ.. อะ.. เปล่า"

     

    ลาดไหล่เล็กไหวเล็กน้อยตามแรงสะดุ้ง ตากลมกระพริบปริบขณะโกหกไปด้วยคำปฏิเสธ รีบกลบเกลื่อนด้วยการหันไปเล่นหางของฟีบี้ที่คลอเคลียอยู่ใกล้ๆ หลบซ่อนแววตาที่บ่งบอกความจริงไว้

     

    เขาได้ยินเสียงเรียก

     

    จริงๆพักหลังมานี้เขาได้ยินเสียงจากที่ไหนสักแห่งกำลังเรียกชื่อของเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็พยายามปัดมันออกไปจากความสนใจ

     

    ลู่หานเคยอยากจดจำเรื่องราวของตัวเองได้ อยากรู้ว่าเพราะอะไรตัวเองถึงต้องตกอยู่ในสภาพนี้ และทำยังไงถึงจะสามารถถูกปลดปล่อยไปได้เหมือนกับวิญญาณดวงอื่นๆที่หมดพันธะ

     

    แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คำตอบเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งลู่หานต้องการอีกต่อไป

     

     

     

    หน้าหนาวมาเยือนอีกครั้ง ใบไม้ร่วงหล่นลงจากต้นจนเหลือแต่กิ่งก้าน ผู้คนสวมชุดตัวหนาเดินห่อไหล่ก้าวเร็วๆไปบนถนน

     

    ภาพบรรยากาศแบบเดิมๆหมุนวนกลับมาให้เห็น

     

    อยากไปร้านขนมอะ ไปกันเหอะ....”

     

    ร่างเล็กผุดลึกขึ้นตามเจ้าของผมสีเงิน กระโดดผลุงลงจากหลังคาไปยังพื้นถนน เอื้อมมือไปหมายจะคว้ามือของคนที่เดินนำหน้า

     

     

    ... ว่างเปล่า ...

     

    มือของเขาทะลุผ่านฝ่ามือใหญ่นั้นไปราวกับธาตุอากาศ

     

    คริสหันมาเลิกคิ้วเมื่อจู่ๆคนที่ก้าวตามมาข้างหลังก็เงียบลงพร้อมกับหยุดชะงัก

     

     

    “.....?”

     

    ไป ไปกันเถอะ!”

     

    ลู่หานปรับสีหน้าเมื่อเห็นสายตาที่หันมามองคล้ายตั้งคำถาม เอื้อมไปคว้ามือข้างนั้นไว้อีกครั้ง แต่คราวนี้ฝ่ามือของคริสสามารถจับต้องได้ ลู่หานจับมันไว้แน่น

     

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ......

     

    เหมือนกับพักหลังที่เขาได้ยินเสียงเรียก มีหลายครั้งที่ลู่หานไม่สามารถสัมผัสร่างกายของคริสได้

     

    ชั่ววินาทีที่ร่างกายของคริสเลือนลางและโปร่งแสงโดยที่คริสเองก็ไม่รู้ตัว แต่แล้วอีกอึดใจทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

     

     

     

    เสี่ยวลู่ .....

     

    เขากลัว

     

    เสี่ยวลู่ .....

     

    กระชับฝ่ามือให้แนบแน่นมากกว่าเดิมขณะที่พยายามปัดเสียงที่ดังแว่วอยู่ในหัว

     

    คริสเหลือบสายตาลงมองคนที่บีบมือเขาแน่น นิ้วเล็กๆของลู่หานกำลังเกาะเกี่ยวเขาไว้ และคริสก็บีบฝ่ามือนุ่มนิ่มนั้นตอบกลับไปขณะที่เท้าทั้งสองคู่ก้าวเดินไปตามเส้นทางซึ่งทอดยาวไปข้างหน้า

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

    ลู่หาน...

     

    แม้จะน่าปวดหัวไปบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนตัวเล็กนั้นเหมาะกับคำว่าน่ารัก

     

     

    ถึงจะหันหลังหนี แต่เพียงชั่วแวบแรก นัยน์ตาใสเหมือนลูกกวางของเด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ใต้ต้นคริสต์มาสในวันนั้นกลับติดอยู่ในห้วงคำนึง

     

    เขาเคยนึกรำคาญเสียงตะแง้วๆของลู่หานที่เรียก คริส คริส คริส ได้ทั้งวี่ทั้งวัน แต่พอมาถึงตอนนี้ ลองจินตนาการว่าหากวันใดวันหนึ่งที่ไม่ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วนั้นอย่างเคย คริสคิดว่าชีวิตของเขาคงไม่เหมือนเดิม

     

     

    อืออออออออออ"

     

    คนที่นอนหลับครางอือยาวๆแล้วเปิดตาขึ้นด้วยท่าทางงัวเงีย คริสดึงพวงแก้มกลมอิ่มทั้งสองข้างนั้นไม่เบาและไม่แรงนัก แต่คนเพิ่งตื่นก็ทำหน้าบู้บี้ ทว่ามันก็กลับเปลี่ยนเป็นสีหน้าสดใสขึ้นทันตาเมื่อเขาเอ่ยประโยคถัดมา

     

     

    จะไปเที่ยว ไปมั้ย?”

     

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     

    เทศกาลขอบคุณพระเจ้าถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของคริสต์มาส ตอนนี้บรรยากาศภายในเมืองเลยคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยซื้อของกันอย่างหนาตา ลู่หานเดินจูงมือลากคริสไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจตามวิสัย ไปยืนเกาะกระจกมองร้านนู้น อีกประเดี๋ยวก็โผล่ไปร้านนี้ ข้าวของละลานตาที่ถึงแม้จะซื้อไม่ได้แต่เพียงแค่ได้มองก็มีความสุข

     

    มีเสื้อผ้าสวยๆโชว์อยู่ตามร้านรวง น่าเสียดายที่ลู่หานยังคงต้องสวมเสื้อไหมพรมสีขาวตัวเดิม

     

    เด็กหนุ่มสองคนเดินจับมือกันแกว่งแขนไปมาบนทางที่เงียบสงบ หลังเดินเที่ยวแทบจะครบทุกซอกทุกมุมจนเกือบจะหัวค่ำ

     

    เสียงเพลงรื่นเริงลอยแว่วมา แสงไฟสว่างไสว และเมื่อเข้าไปใกล้ถึงเห็นว่าสถานที่แห่งหนึ่งมีผู้คนมากมาย และภายในนั้นกำลังมีการจัดงานเลี้ยงอย่างสนุกสนาน

     

    ลู่หานมองภาพตรงหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้นกะตือรือร้น แววตาเป็นประกายระยิบระยับสะท้อนแสงไฟ หันมาเขย่าเสื้อคนตัวสูง

     

    "คริสสสส ไปเต้นรำกันเถอะ!"

     

    "ไม่เอาน่ะ.."

     

    คริสบอกปัด พยายามจะหันหนี แต่ลู่หานก็วิ่งตามมาช้อนตาวาววับใส่

     

    "จะอายทำไม ไม่มีใครมองเห็นเราสองคนหรอกน่า"

     

     

     

    ตบท้ายด้วยการวอนขอ

     

     

    นะ...”

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     


     

    มาเร็ว คริสสสสสสสสส"

     

     

    5

    6

    7

    8

     

     

    Come on, babe

    We're gonna brush the sky

    I betcha Lucky Lindy

    never flew so high

     

     

    ดึงแขนยาวให้ก้าวตามเข้าไปอยู่ท่ามกลางผู้คน แขกเหรื่อในงานกำลังสังสรรค์ ชุดราตรีสวยงามขยับไหว แก้วไวน์ใสแจ๋วขยับกระทบกันกรุ๋งกริ๋ง

     

     

    'Cause in the stratosphere

    How could he lend an ear

    To all that jazz?

     

     

    เสียงหวานหัวเราะสดใส ปลายเท้าขยับไปมา สะบัดตัวพลิ้ว แหงนคอร่าเริงและหมุนกลับมาหยุดอยู่ตรงหน้าร่างสูงอีกครั้ง

     

     

    Oh, you're gonna see your

    Sheba shimmy shake

    And all that jazz ♬

     

     

    ปลายผมสะบัดไปมาตามฝีเท้า เสี้ยวหน้าสะท้อนแสงไฟสีนวล รอยยิ้มสว่างเจิดจ้า ปลดปล่อยหัวใจให้โบยบิน เปล่งประกายความสุขเสียจนคนมองนึกขันและชักจะสนุกขึ้นมาบ้าง

     

     

    Oh, she's gonna shimmy

    Till her garters break

    And all that jazz 

     

     

    คนตัวเล็กหมุนกลับมาตกอยู่ในอ้อมกอดของร่างสูงพอดิบพอดี ฝ่ามือน้อยวางแปะลงบนอกกว้าง ดวงตาส่องประกาย ยิ้มกว้างเสียจนดวงตากลมโตยิบหยี

     

     

    Show her where to park her girdle

    Oh, her mother's blood'd curdle

    If she'd hear her baby squeal

    For all that jazz

     

     

    All that jazz ♬

     

     

     

     

    ผู้คนนับร้อยแต่ไม่มีใครมองเห็นเด็กหนุ่มสองคนที่กำลังเต้นรำกันอยู่ตรงนั้นเลยแม้แต่คนเดียว

     

    ไม่เคยใครเลยสักคนที่มองเห็นเรา

     

     

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     

     

    เสียงหายใจดังแข่งกับเสียงหัวเราะ ลู่หานหัวเราะร่าวิ่งออกมาจากงานเลี้ยงนั้น ลากแขนคริสตามมาแล้วหยุดลงหันหน้าเข้าหากัน

     

    พอสบตาก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอีกระลอก

     

    เป็นวิญญาณนี่ดีเนอะ เต้นแทบตายไม่เหนื่อยเลยสักนิด"

     

    นายทำฉันเวียนหัว"

     

     

    ทำไมล่ะก็นาย....”

     

    ลู่หานพูดพลางขำคิก โผเข้าหาอ้อมกอดอีกฝ่าย แต่แล้วเสียงหัวเราะที่กำลังดำเนินอยู่ก็กลับเงียบกริบในบัดดลเมื่อเจ้าของร่างเล็กดึงตัวเองกลับมาได้ทันจากการที่หน้าแทบคะมำ มันเกือบทะลุผ่านตัวของคริสไปในวินาทีนั้น

     

     

    “.......................................”

     

    ลู่หานเงยหน้าขึ้นมอง ร่างของคริสเลือนลาง และโปร่งแสงจนมองเห็นภาพด้านหลังซ้อนทับ แต่แล้วเพียงแค่พริบตาก็กลับคืนเป็นปกติ บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นเงียบงัน

     

    ลู่หานกลืนน้ำลาย รู้สึกถึงคลื่นความร้อนสั่นระริกที่ก่อตัวและโถมซัดอยู่ในลำคอ แต่สิ่งที่ปรากฏบนใบหน้ากลับกลายเป็นรอยยิ้ม ไม่ต้องมีคำอธิบายใดๆ ไม่มีเหตุและไม่มีผล ราวกับต่างคนต่างรู้ดีว่าวันนี้ต้องมาถึง สัญญาณของการจากลา สัญญาณที่บ่งบอกว่าช่วงเวลาของเรากำลังจะสิ้นสุดลง ลู่หานยิ้มทั้งๆที่นัยน์ตาสั่นไหวด้วยหยดน้ำที่เอ่อล้น

     

     

    “.................................”

     

     

    “...เราจะลืมกันไหม”

     

     

    เราจะลืมกันหรือเปล่า คริส..”

     

     

    หยดน้ำตากลั่นตัวร่วงหล่น สองมือกำแน่นตรงอกเสื้อสีเลือดหมูอันแสนคุ้นตา สองร่างขยับแนบชิด ใบหน้าน่ารักแหงนเงย และตอนนั้นเอง ลู่หานก็ได้เห็น...

     

    เป็นครั้งแรกที่ลู่หานได้เห็น เขามองเห็นตัวเองในแววตาของคริส

     

    ภาพสะท้อนของเด็กหนุ่มผมสีขาวสว่างเจิดจ้าปรากฏอยู่บนนัยน์ตาลึกล้ำ

     

     

    ณ ที่นั่น ในดวงตาของคริส

     

     

    นั่นคือเขา...

     

     

     

    คริส... ฮึก...”

     

    ท้องฟ้ายามรัตติกาลโอบล้อมรอบกาย เหมือนอ้อมแขนของคริสที่โอบล้อมอยู่รอบตัวเขา ผิวกายของคริส สัมผัสของคริสที่เขาอยากจดจำเอาไว้

     

     

    ไม่ต้องร้อง..”

     

    คริสกระซิบ แนบจูบลงบนหน้าผากขาวจัด

     

     

    “.. คริส.. ฮึก"

     

    นายจะอยู่กับฉัน..”

     

    ฮึ่ก...”

     

    ถึงฉันจะไม่ได้อยู่ข้างๆนาย"

     

    ฮึ่ก..”

     

     

     

    แต่นายจะอยู่กับฉันเสมอ เข้าใจไหม"

     

     

    อ้อมกอดนั้นแนบแน่น แต่ลู่หานกลับร้องไห้หนักยิ่งกว่าเก่า เพราะลึกๆในใจแล้วเขารู้ว่านั่นอาจจะเป็นกอดครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้รับมัน

     

     

     

    เหตุผลที่เรามาที่นี่คืออะไร และเหตุผลที่เรากำลังจะจากไปนั้นเป็นเพราะเหตุใด ลู่หานไม่เคยล่วงรู้ แต่เขานึกขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอที่ส่งเขามาที่นี่ ไม่ว่าเขาจะตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งไหนบนโลกใบนี้ แต่ลู่หานขอบคุณที่พระเจ้าทำให้เขาได้พบกับคริส

     

     

    มันเป็นค่ำคืนที่สวยงาม

     

    หมู่ดาวนับล้านส่องแสงพราวระยับ คริสนอนหงาย ชูแขนขึ้นและทาบมือลงไปบนผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ และเขาทำตาม ฝ่ามือทั้งสองคู่อยู่เคียงข้างกัน มือของเขาเล็กกว่าคริสหลายเท่าเมื่อมองแบบนี้

     

    หนาว ขอจับมือหน่อยนะ"

     

    คราวนี้คริสไม่ได้ตอบกลับมาว่าเขาโกหก และเขาก็ไม่ต้องทำหน้ามุ่ย ฝ่ามือทั้งสองข้างเลื่อนลงมากอบกุมกัน คั่นกลางเอาไว้ระห่างลำตัวที่เอนนอนอยู่บนพื้นหลังคา

     

     

    นายคิดว่าตัวเองตายไปแล้วหรือยังอยูที่ไหนสักที่?”

     

    ฉันอาจจะสลบไม่ฟื้นกำลังจะตายก็ได้"

     

    นั่นสินะ...”

     

     

     

    ฉันชอบผมสีเงินของนาย"

     

    “......................”

     

    ฉันเคยบอกหรือยังว่านายหล่อ"

     

    เคย"

     

    ห๊ะ???”

     

    ตอนละเมอ"

     

    ไม่มีทาง!”

     

    ละเมอจะรู้ตัวได้ไง"

     

    นายโกหก..!”

     

     

    สองเสียงเอ่ยตอบโต้กัน ต่างคนต่างผลัดกันเล่าเรื่อง แต่ส่วนมากจะเป็นลู่หานเสียมากกว่าที่พูดเจื้อยแจ้ว โดยมีเสียงอืออาของคริสตอบกลับมาเป็นระยะ ลู่หานแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดเรื่องอะไรไปบ้าง รู้แต่ว่าเขาพูดไม่หยุดตั้งแต่ท้องฟ้ามีเพียงความมืดมิดปกคลุมจนกระทั่งแสงแรกของพระอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้ากลายเป็นสีส้มเจือจาง

     

     

    ตอนแรกนายโคตรขี้เก๊กเลยเหอะ จริงๆตอนนี้ก็ยังเก๊ก..”

     

    ลู่หาน....”

     

    แล้วก็นะ...”

     

    ดูแลตัวเองด้วย อย่าทำให้เป็นห่วง"

     

    นี่ นายฟังก่อนสิ"

     

    คริส....”

     

     

    .......................

     

     

    คริส...”

     

    ลู่หานเงียบลงและเฝ้ารอ ทว่าทุกสรรพสิ่งกลับเงียบงัน เรื่องที่ยังคงพูดค้างอยู่ถูกหยุดไว้เพียงแค่นั้นเมื่อสัมผัสที่ปลายนิ้วและฝ่ามือบัดนี้กลับหลงเหลือเพียงความว่างเปล่า ลู่หานไม่กล้าหันไปมองเพราะกลัวว่าตัวเองจะร้องไห้ แต่ถึงอย่างนั้นน้ำตาของเขาก็ยังคงไหลริน

     

     

     

    หิมะเกล็ดแรกร่วงหล่นท่ามกลางแสงอาทิตย์แรกในยามเช้า

     

    ที่ข้างกายลู่หานกลายเป็นเพียงอากาศและลมหนาวแผ่วเบาที่มาพร้อมกับหิมะโปรยปราย

     

     

     

     

     

     

    เราพบกันวันหนึ่งในฤดูหนาว

     

    และเมื่อถึงวันที่อีกหนึ่งฤดูหนาวเวียนมาบรรจบ

     

     

     

    นั่นคือเวลาของการจากลา

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

     

    หนาว...

     

    มืด.. มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมิด

     

     

    คริส.. นายอยู่ทีไ่หน..

     

    คริส...

     

     

     

    เสี่ยวลู่....”

     

    เสียงนั่น

     

    ลู่หาน ลู่หาน..”

     

    ลู่หาน"

     

     

    เฮือก!

     

     

    เสี่ยวลู่ ลูก!! เสี่ยวลู่ ฮึก เสี่ยวลู่ หมอ.. หมอคะหมอ พยาบาลคะ ช่วยตามหมอมาที ลูกชายดิฉันฟื้นแล้วค่ะ!! ลูกชายฉันฟื้นแล้ว!!!! เสี่ยวลู่ โถ เสี่ยวลู่ลูกแม่.. ฮึก”

     

    ลู่หานรู้สึกว่าตัวเองสะดุ้งอย่างแรง เปลือกตาบางกระพริบปริบ มันยังคงมองไม่เห็นอะไรในที่แรก แต่สักพักแสงสว่างจ้าก็ลอดผ่านเข้ามาในม่านตา เสียงตะโกนเรียกสลับกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ ลู่หานพยายามเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้ง และภาพแรกที่ได้เห็นคือใบหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งที่นองไปด้วยหยาดน้ำตา

     

    ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในมโนสำนึก เสียงแหบพร่าครางแผ่ว

     

     

    แม่....”

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

    ปีที่แล้วแกรถคว่่ำคืนก่อนคริสต์มาสอีฟ มีคนใจดีพาแกมาส่งโรงพยาบาล หมอบอกว่าอาการบาดเจ็บที่ร่างกายแกไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็ไม่สาเหตุไม่เจอว่าทำไมแกก็ไม่ฟื้นสักที จนสุดท้ายหมอบอกว่าแกอาจจะต้องกลายเป็นเจ้าชายนิทรา....”

     

    แกนอนอยู่อย่างนั้นเกือบปี ไม่มีอาการตอบสนองจนพวกเราเริ่มหมดหวัง แล้วจู่ๆแกก็ฟื้นขึ้นมา แถมยังแข็งแรงดีเหมือนไม่เคยเป็นอะไรมาก่อนแบบนี้อีก....”

     

    แบคฮยอนเขกหัวกลมๆของเพื่อนรักไปทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้ มีอย่างที่ไหน นอนสลบมาเกือบจะปี ปล่อยให้ทุกคนรอแล้วรออีก ร้องห่มร้องไห้หมดน้ำตากันไปเป็นลิตรๆ แต่พอฟื้นขึ้นมาได้แค่วันเดียวก็สดชื่นแจ่มใส แข็งแรงเดินเองได้ปร๋อจนทุกคนพูดไม่ออก แต่ถึงอย่างนั้นหมอก็ยังมีคำสั่งให้เพื่อนของเขาอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนและแม่ของลู่หานก็เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะไม่วางใจอาการของลูกชาย เพราะฉะนั้นคงอีกหลายสัปดาห์กว่าเจ้าเพื่อนตัวดีของเขาจะได้กลับบ้าน

     

     

    ฉันขอโทษนะ...”

     

    เออ คราวนี้ฉันจะให้อภัย เห็นแก่ที่แกยอมฟื้นขึ้นมาหรอกนะ"

     

    "....แต่ถ้าคราวหน้ามีแบบนี้อีกฉันตัดเพื่อนกับแกจริงๆแน่"

     

    จบประโยคลู่หานก็สบตาแบคฮยอน ก่อนที่ทั้งสองจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน แบคฮยอนเอนหลังพิงเก้่าอี้ มีแววตาครุ่นคิดมองคนป่วยที่นั่งห้อยขาอยู่บนเตียง

     

     

     

     

    นี่ ไอ้ลู่..”

     

    รู้หรือเปล่า จริงๆมีเรื่องเหลือเชื่ออีกอย่าง ...หลังจากแกเข้าโรงพยาบาลได้ไม่นานฉันก็ได้รู้ข่าวว่าคริสประสบอุบัติเหตุเหมือนกัน...”

     

    อาจจะเป็นก่อนหน้าแกอีกมั้ง รถคว่ำเหมือนกัน ครอบครัวฝั่งโน้นเค้าก็ยุ่งๆ ฉันเองก็เครียดเรื่องแกเลยแค่ได้ข่าวเป็นพักๆ นี่ล่าสุดก็เห็นว่าเพิ่งฟื้นได้ไม่นาน...”

     

    ว่าแต่ ที่กลับมาคราวนี้แต่แรก แกตั้งใจจะย้ายออกจริงๆเลยใช่ไหม?”

     

    ลู่...ลู่หาน...”

     

    แบคฮยอนมองเพื่อนอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนจับต้นชนปลายไม่ถูกของอีกฝ่าย ลู่หานนั่งนิ่งไม่ไหวติง

     

    “..................”

     

    เฮ้ย นี่อย่าบอกนะว่าแกจำอะไรไม่ได้...??”

     

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

    เสียงน้ำไหลกระทบกับอ่างล้างหน้า ลู่หานปิดก๊อกก่อนจะเงยขึ้นมองกระจก

     

    วูบแรกมันคือภาพใบหน้าอ่อนเยาว์ของเด็กหนุ่มที่มีผมสีขาวสว่างเจิดจ้า แต่ภาพความจริงที่สะท้อนกลับมาตอนนี้คือภาพของชายหนุ่มวัยยี่สิบเจ็ดปีืที่มีผมสีดำสนิท .. ปลายนิ้วยกขึ้นสัมผัสผิวข้างแก้มขาวจัด จ้องมองแววตาที่จ้องตอบกลับมาจากบานกระจก

     

    มันคล้ายกับความฝัน

     

    มันเป็นความฝันที่เลือนลาง หากความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายได้ไม่แน่ชัดกลับติดตรึง

     

     

    ว่าแต่ ที่กลับมาคราวนี้แต่แรก แกตั้งใจจะย้ายออกจริงๆเลยใช่ไหม?

     

    จริงๆมีเรื่องเหลือเชื่ออีกอย่าง ...หลังจากแกเข้าโรงพยาบาลได้ไม่นานฉันก็ได้รู้ข่าวว่าคริสประสบอุบัติเหตุเหมือนกัน...

     

     

     

    เปลือกตาปิดลงพร้อมกันเรียวคิ้วที่เลื่อนชิด

     

    เขา.. ไม่ได้เจอคริสมาสองปีแล้ว ถ้านับรวมเวลาที่เขานอนแน่นิ่งอยู่โรงพยาบาลด้วยก็คงเป็นราวๆสามปี

     

    เราเลิกกันและแยกกันอยู่นานมากแล้วตั้งแต่เขาย้ายทำงานที่ญี่ปุ่น แต่ก็ยังไม่ได้หย่าขาดกันจริงๆจังๆสักทีจนกระทั่งเขากลับมาเมื่อปีที่แล้ว กะว่าจะมาจัดการธุระและขนข้าวของที่ยังเหลืออยู่ออกจากบ้านเก่าให้หมดหลังจากที่ปล่อยทิ้งค้างคาเอาไว้มานาน แต่แล้วก็ดันมาเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางที่กำลังขับรถจากบ้านของแม่ไปยังบ้านหลังนั้นเสียก่อน

     

    ถ้าถามเหตุผลว่าทำไม มันก็คงเหมือนคู่รักที่หย่าร้างกันไปคู่อื่นๆ มันคงเป็นความเบื่อหน่าย ความเฉยชา ความหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องที่เก็บมาทะเลาะกันได้ทุกวี่วันจนในที่สุดความรู้สึกที่เคยหวานชื่นก็ค่อยๆจืดจางลงไป เขากับคริสก็คงเป็นแบบนั้น..

     

     

    คริส...

     

     

    'ฉันเคยบอกหรือยังว่านายหล่อ'

     

    'เคย'

     

    'ห๊ะ???'

     

     

    คนที่เท้าแขนอยู่กับอ่างล้างหน้าขมวดคิ้วหนักเมื่อเสียงและภาพบางอย่างปรากฏขึ้นในหัว พยายามเค้นความทรงจำที่ติดๆดับๆนั้นให้ชัดเจนมากขึ้น แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเปิดตาขึ้นเมื่อมีเสียงเคาะประตูรัวๆ

     

    ไอ้ลู่ แกทำไมเข้าไปนานจัง เป็นอะไรปะเนี่ย??”

     

    เปล่าๆ จะเสร็จแล้ว"

     

    น้ำเสียงร้อนรนนิดๆด้วยความเป็นห่วงของแบคฮยอนทำให้ลู่หานต้องสลัดภาพในหัวทิ้วชั่วคราวแล้วตะโกนตอบกลับไป ลูกบิดประตูถูกหมุนให้เปิดออก ลู่หานหลบเป็นพัลวัลเมื่อแบคฮยอนเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังสำรวจดูความผิดปกติของเขาอย่างกังวลเกินความจำเป็น แต่ท่ามกลางคำพูดโต้ตอบกันนั้น อีกเสียงหนึ่งกลับดังแทรกเข้ามาในห้วงคำนึง

     

     

    'ต้องตามมาสิ'

     

    'ก็สัญญากับใครบางคนเอาไว้แล้วว่าจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน'

     

    '.... จะผิดสัญญาได้ยังไง'

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

     

     

    รถเคลื่อนไปตามถนน บรรยากาศของฤดูหนาวปกคลุมไปทั่ว แม่ของเขาบอกว่าปีนี้หิมะตกเร็วกว่าทุกปี มันเริ่มตกตั้งแต่ช่วงวันขอบคุณพระเจ้า เรื่อยมาจนถึงปลายปีจนทั่วทั้งเมืองนั้นขาวโพลน

     

    เขาออกจากโรงพยาบาลมาได้หนึ่งสัปดาห์แล้วหลังจากต้องอยู่ดูอาการต่ออีกเกือบเดือน แต่สุดท้ายก็กลับต้องมานั่งๆนอนๆให้คนอื่นทำนู่นทำนี่ให้อยู่แต่ในบ้าน แม้ว่าเขาจะแข็งแรงดีตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ทว่าคนที่บ้านรวมทั้งเพื่อนสนิทก็ยังคงเป็นห่วงเขาอยู่มาก ส่วนเรื่องงาน โชคดีที่เขาได้เจ้านายที่จิตใจดีประกอบกับตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาพิสูจ์ตัวเองด้วยการตั้งใจทำงานมาตลอด เขาจึงเพียงแค่อยู่ในสถานะพักงานชั่วคราว ถ้าหากสุขภาพแข็งแรงพร้อมเมื่อไหร่ บริษัทก็พร้อมจะรับเขากลับเข้าไปทำงานเสมอ และแน่นอนว่าแม่ของเขาขอร้องให้ลูกชายเพียงเดียวนั้นใช้เวลาพักผ่อนจนเธอพอใจเสียก่อนจึงค่อยกลับไปเริ่มงานใหม่ ซึ่งลู่หานก็ยอมทำตามความต้องการของทุกคนอย่างไร้ข้อโต้แย้ง เพราะที่ผ่านมาคนเหล่านี้ต้องทุกข์ใจเพราะเฝ้ารอวันที่เขาจะฟื้นอยู่เป็นปีๆ

     

     

    จนกระทั่งวันนี้...

     

     

    'แกแน่ใจแล้วนะ..?'

     

    แบคฮยอนถามเขาตั้งแต่ตอนออกจากบ้านเมื่อเขาบอกความตั้งใจว่าจะกลับไปเก็บข้าวของที่เหลืออยู่ไม่มากนักที่บ้านหลังนั้นเพียงคนเดียว ทั้งยังไม่ต้องการให้แบคฮยอนที่มีนัดในช่วงบ่ายต้องไปสายเพราะขับรถไปส่ง ลู่หานคิดว่าเขาคงใช้เวลาไม่มากนัก ออกมาตอนบ่ายแก่ๆ เพียงแค่เย็นๆเขาก็คงจะได้กลับไปใช้้เวลาค่ำคืนในวันคริสต์มาสอีฟที่บ้าน แต่สุดท้ายเพื่อนของเขาก็บังคับให้คนรถของที่บ้านขับมาส่งจนได้

     

     

    ลู่หานเอียงคอซบขอบเบาะ เหม่อมองภาพริมหน้าต่างที่เลื่อนผ่านไป

     

    ความรู้สึกบางอย่างวนเวียนอยู่ในใจอย่างที่เขาเองก็หาคำตอบไม่ได้ มันเหมือนผีเสื้อกระพือปีกและบางทีก็ดำดิ่งลงไปยังที่ที่เขาไม่รู้จัก

     

     

    เขากับคริส.. ตอนที่แยกจากกันนั้นคือตอนที่เราเลิกพูดกัน

     

    ไม่มีคำล่ำลา ไม่มีอะไรทั้งสิ้น เขาเพียงแค่ย้ายออกมา และได้ข่าวว่าคริสก็ย้ายออกมาหลังจากนั้นไม่ถึงเดือน ป่านนี้บ้านที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและแสงไฟอันอบอุ่นก็คงจะร้างลา

     

    มันคงเป็นเพราะทิฐิ เขากับคริสไม่มีใครเป็นฝ่ายติดต่อหากันก่อน และเมื่อปล่อยไปแบบนั้นเรื่อยๆมันก็ยิ่งเหินห่าง ลู่หานไม่รู้ว่าตัวเองเหงาหรือคิดถึงคริสบ้างหรือเปล่า แต่การที่จู่ๆก็ลุกขึ้นมาโหมทำงานหนักแทบจะตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงสามร้อยหกสิบห้าวันอย่างที่เขาทำนั้น แบคฮยอนบอกว่ามันหมายถึงเขายังลืมคริสไม่ได้

     

     

    บางทีเขาอาจจะคิดถึงคริส....

     

    คิดถึงมาก

     

    แต่กาลเวลาที่เนิ่นนาน ลู่หานคิดว่าหากพบกันอีกครั้งเราอาจจะเป็นได้เพียงแค่คนแปลกหน้าที่ครั้งหนึ่งเคยรักกัน

     

    รัก... เหมือนว่าเขาจะลืมความรู้สึกนั้นไปแล้ว

     

    เขาพบกับคริสตั้งแต่สมัยเรายังเป็นวัยรุ่น คล้ายกับเป็นสูตรสำเร็จ เราต่างเป็นรักแรกของกันและกัน คบกันจนกระทั่งเรียนจบ ทำงานและแต่งงานกัน มันไม่ใช่งานแต่งงานหรูหรา ไม่มีการจดทะเบียน เป็นเพียงแค่งานรวมญาติเล็กๆในโบสถ์เก่าแก่ในย่านนี้ กล่าวคำสาบานว่าเราจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันตลอดไป แต่ลู่หานคิดว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะรู้จักกันมานานเกินไป มีเวลาร่วมกันมานานเกินไป จนสุดท้ายเมื่อมีปัญหาและอุปสรรคผ่านเข้ามาทดสอบ มันทำให้ต่างฝ่ายต่างไม่แน่ใจว่าที่เราอยู่ด้วยกันมันเป็นเพราะความรัก หรือเป็นแค่ความผูกพัน เป็นแค่ที่เราเพียงแค่ยึดติดการมีกันและกันในชีวิตเพราะความเคยชินกันแน่

     

     

    ลู่หานถอนใจแล้วหลับตาลง

     

     

     

    'ขอนอนอยู่แบบนี้อีกแป๊ปได้ไหม'

     

    'ถ้าบอกไม่ได้จะยอมลุกออกไปหรือเปล่า'

     

    'ไม่...'

     

    'ไม่ยอมหรอก...'

     

     

     

     

    คุณลู่หาน ถึงแล้วครับ..”

     

    ลู่หานลืมตาขึ้นจากความฝัน ความฝันที่เหมือนความจริง คล้ายกับมันเป็นความจริงที่เหมือนความฝัน มองออกไปนอกหน้าต่างก็พบว่ารถมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง

     

    คุณลุงขับรถไปดื่มกาแฟใกล้ๆนี้ก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวเสร็จแล้วผมจะโทรหา มีของไม่มากหรอกครับ"

     

    เอี้ยวตัวลงบอกคนรถของบ้านเมื่อก้าวลงจากรถ

     

     

    เสียงล้อรถเคลื่อนออกไปแล้ว ลู่หานก้าวย่ำผ่านหิมะไปหยุดอยู่ที่รั้วบ้าน ความรู้สึกจากฝันเมื่อครู่ยังคงตราตรึง มันเป็นฝันที่ประหลาด ทุกๆคืน เขารู้สึกเหมือนตัวเองโดดเดี่ยวอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่แล้วกลับมีใครบางคนก้าวเข้ามา มาเป็นเพื่อน คอยอยู่เคียงข้าง ทำให้เขามีเสียงหัวเราะ ทำให้เขาไม่เหงาหรือว้าเหว่ ทำให้เขาอบอุ่นไปทั้งหัวใจ ใครบางคนที่คอยดูแลเขา ปลอบประโลมในยามที่เขาร้องไห้ ฝ่ามือคู่นั้น และสัมผัสโอบกอดอย่างอ่อนโยน

     

    ใครคนนั้น...

     

     

    กุญแจดอกเล็กที่ถูกเก็บไว้ในลิ้นชักมานานถูกหยิบออกมาใช้งานอีกครั้ง ลู่หานไขเปิดประตูรั้วก้าวเข้าไปด้านใน สภาพบ้านไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก จะมีก็เพียงสวนที่ค่อนข้างรกครึ้ม เพราะเขากับคริสจะผลัดกันส่งคนเข้ามาดูแลทำความสะอาดบ้านทุกๆสามเดือนระหว่างที่ยังไม่ตัดสินใจขายทิ้ง

     

    ลู่หานย่ำเท้าเข้าไปจนถึงหน้าชานบ้าน หยิบกุญแจอีกดอกขึ้นมาเตรียมตัวจะไขประตูด้านใน แต่แล้วเท้ากลับไปเตะเข้ากับอะไรบางอย่าง

     

     

    เพล้ง!

     

    'อ๊ะ ฟีบี้!'

     

    ความรู้สึกแล่นวูบเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวเมื่อร่างเล็กย่อลงเก็บของชิ้นนั้นและพบว่ารูปปั้นตุ๊กตากวางตัวเล็กที่ตกแตกอยู่บนพื้นจนส่วนเขาและขาหักไปอย่างละข้าง

     

    เมี๊ยว"

     

    หันไปมองตามเสียงร้อง และสิ่งมีชีวิตอ้วนกลมขนยาวสีขาวที่กระโดดผลุงลงจากกำแพง และเดินนวยนาดเข้ามาคลอเคลียก็ทำให้ดวงตากลมเบิกกว้าง

     

     

    ฟีบี้!”

     

    แกหายไปไหนมา!? รู้มั้ยว่าตอนนั้นฉันตามหาแกแทบตาย!” ลู่หานกอดเจ้าแมวขนยาวไว้แน่น ฟีบี้เคยเป็นลูกแมวที่เขาและคริสซื้อมาเลี้ยงไว้ แล้วจู่ๆตอนนั้นมันก็หนีหายออกจากบ้านไป ตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่พบจนสุดท้ายก็ต้องยอมถอดใจ เขาคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอเจ้าแมวอ้วนตัวนี้แล้วด้วยซ้ำ ดวงตากลมโตสีฟ้า ลายแต้มจุดสีอ่อนจางๆตรงปลายหาง เพียงแค่เห็นแว๊บแรกลู่หานก็รู้ว่ามันคือฟีบี้ แมวของเขา

     

     

    'นั่นแมวนะ!'

     

    'ก็หน้าตานายมันเป็นแบบนั้น'

     


     

    เสียงฝนตกกระหน่ำ 
     

    'ฮึก...'

     

    'คริส!'

     

    'เขาหายไปไหนล่ะฟีบี้... คริสอยู่ที่ไหน...'

     

     

     

    เมี๊ยว..”

     

    ประตูบ้านถูกไขให้เปิดออกอย่างรีบร้อน เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ภายในบ้านถูกคลุมไว้ด้วยผ้าสีขาว ลู่หานหยุดยืนอยู่ตรงกลางส่วนของห้องนั่งเล่น มองไปรอบๆก่อนจะหยุดอยู่ที่ของประดับที่ยังตั้งวางเรียงราย สองขาก้าวไปหยุดอยู่หน้ากรอบรูปตั้งโต๊ะที่วางอยู่เหนือเตาผิง

     

     

    ลู่หานหยิบมันขึ้นมา

     

    เหมือนมีสายลมพัดแผ่ว กลิ่นหอมอ่อนบางฟุ้งกระจาย

     

    ชายหนุ่มสองคนจับมือและยิ้มสดใสอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีชมพูที่กำลังผลิบาน

     

     

    เหมือนกับรูปอื่นๆอีกตั้งวางอยู่บนนั้น

     

    สถานที่ต่างๆ ทะเลสีฟ้าใส แม่น้ำยามเย็นสะท้อนแสงอาทิตย์สีส้ม ภาพในโบสถ์ที่มีผู้ชายสวมชุดสูทขาวสองคนยินหันหน้าเข้าหากัน

     

    ทุกๆที่... ของเราสองคน

     

     

    ความรู้สึกตอนที่แหงนคอมองดูดาว

     

    ความรู้สึกตอนที่ใบไม้แห้งร่วงหล่น

     

    ความรู้สึกตอนเราก้าวไปตามทาง หันมามองหน้าและยิ้มให้กัน

     

    ลู่หานกำชายเสื้อด้านในแน่น มันเป็นเสื้อไหมพรมสีขาวตัวสวยที่แม่ค้นเจอในตู้เก็บเสื้อเก่า มันเคยเป็นเสื้อตัวโปรด และเขาก็ยังใส่มันได้พอดีไม่ผิดกับตอนสมัยเรียน แต่แล้วสัมผัสตรงกระเป๋าด้านขวาก็ทำให้ลู่หานชะงัก

     

    และเมื่อสอดปลายนิ้วมือหยิบสิ่งนั้นออกมา หัวใจก็พลันกระตุก คลื่นอุ่นร้อนก็โถมขึ้นมาสู่ลำคอ

     

     

    มันคือดอกไม้แห้งดอกเล็กๆดอกหนึ่ง

     

     

     

     

     

    'มีอยู่หลายครั้งที่แกเหมือนจะรู้สึกตัว ฉันกับแม่พยายามเรียกแก แต่สุดท้ายแกก็ไม่ตื่นขึ้นมา...'

     

    'จนบางทีฉันก็แอบคิดนะว่าแกอาจจะกำลังอยู่ที่ไหน...'

     

    'บางทีแกอาจจะยังไม่อยากกลับมา...'

     

     

     

    'ถึงฉันจะไม่ได้อยู่ข้างๆนาย'

     

    'แต่นายจะอยู่กับฉันเสมอ เข้าใจไหม'

     

     

     

    เกล็ดหิมะยังคงทิ้งตัวลงมาเหมือนขนนกจากสวรรค์เบื้องบน

     

    ลู่หานเร่งร้อนเดินไปบนถนน ควันสีขาวถูกพ่นออกมาทุกครั้งที่หายใจ ปลายจมูกแดงก่ำ

     

    เดินผ่านร้านเบเกอรี่ร้านโปรด ผ่านร้านหนังสือ ผ่านสถานที่อันแสนคุ้นเคย

     

     

    ทุกความทรงจำหลั่งไหลเหมือนภาพบนม้วนฟิล์ม วันที่เขาวิ่งไปบนท้องถนนโดยไม่มีใครมองเห็น หัวเราะเสียงดังโดยไม่ต้องเกรงใจ ร้องเล่นเต้นรำเหมือนนกที่โบยบิน คืนวันเหล่านั้น....

     

    ท้องฟ้ามืดสนิท แสงไฟในคืนคริสต์มาสอีฟสว่างไสว ลู่หานหอบหายใจเมื่อปลายเท้านำพามาอยู่ลงอยู่ที่กลางลานขนาดใหญ่ในพาร์ค ต้นสนยักษ์ประดับประดาไปด้วยของตกแต่งแวววาววางตั้งอยู่ ณ ใจกลาง ผู้คนมากมายทั้งหญิงชาย คนแก่ เด็ก คู่รัก ทั้งหมดพากันมาชื่นชมต้นคริสต์มาสเหมือนเช่นทุกปี เสียงหัวเราะของเด็กๆ เสียงพูดคุย เสียงเพลงสัญลักษณ์ของเทศกาลดังคลอไปกับความรู้สึกอบอุ่นที่เป็นดั่งมนต์วิเศษ

     

    ที่ใต้ต้นสน ข้างกล่องของขวัญที่วางเรียงราย ราวกับลู่หานมองเห็นตัวเองที่นั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างไร้จุดหมาย ร้องโวยวายเมื่อมีเด็กเล่นซนจะหกคะมำล้มใส่ ผู้คนมากมายแต่เขากลับไร้ตัวตน

     

     

    “..................................”

     

    ถึงอย่างนั้นลู่หานก็รู้ดี ว่ามีใครคนหนึ่งมองเห็นเขาเสมอ

     

    ชายหญิงวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินผ่านเขาไป และสายตาของลู่หานก็ประสานเข้ากับสายตาอีกคู่หนึ่งที่มองตรงมา

     

     

     

     

    เมื่อพบสิ่งนั้น เราถึงรู้ตัวว่ากำลังรอคอย

     

    ลู่หานนึกถึงวันที่เขาเฝ้ารอ และรอทุกๆวันแม้รู้ว่าคนที่จากไปจะไม่มีทางกลับมา อ้างว้าง โดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยว หิมะขาวโพลนที่เคยสวยงามกลับเหน็บหนาว เขาอยู่ที่นั่่น นั่งเหม่อมองออกไป เฝ้ารอ รอ และรอ .... วันที่ลู่หานตระหนักว่าโลกช่างกว้างใหญ่ไพศาล คือวันเดียวกับที่ลู่หานไม่เหลือใครอีกต่อไป

     

    ไม่มีคนที่คอยนั่งฟังเขาเล่าเรื่องไร้สาระ

     

    ไม่มีคนให้เขาขี่หลังเดินไปดูพระอาทิตย์ตกดิน

     

    ไม่มีคนให้เขาโถมเข้ากอดแล้วล้มลงไปด้วยกัน

     

    ไม่มีใครเข้าใจ

     

    ไม่มีใครมองเห็น

     

    ไม่มีใครเคียงข้าง

     

    มันเป็นการเดินทางที่แสนเดียวดายและยาวนาน

     

     

     

    แต่ตอนนี้ คนที่เขารอคอยมาตลอด กำลังยืนอยู่ตรงหน้า ....

     

    คนที่เขาเฝ้ารอ ยืนอยู่ตรงนี้

     

     

     

    นั่นคงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้น้ำตาของเขาไหลลงมาและไม่สามารถหยุดมันได้

     

     

    ลู่หานไม่รู้ว่าเขาพาตัวเองมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรหรือกำลังคาดหวังสิ่งใด

     

    แต่ก็เหมือนกับวันนั้นที่เราต่างไม่รู้อะไรเลยสักอย่างนอกจากกันและกัน

     

     

     

    ผู้ชายตรงหน้าเขาไม่ได้มีผมสีเงินสว่างไสว

     

    แต่ผู้ชายคนนี้ก็คือคริส

     

     

     

    ดูแล ปกป้อง ปลอบโยน คอยอยู่ข้างๆเขา

     

    จับมือและเดินไปด้วยกัน

     

    คนๆนั้นคือคริสตลอดมา

     

     

     

    นัยน์ตาของคนตรงหน้ายังคงลึกล้ำราวกับสีของผืนฟ้าที่กำลังโอบล้อมรอบกาย สองเท้าขยับเข้าใกล้ ใกล้จนเห็นแสงไหวระริกสะท้อนเงาอยู่ในแววตา

     

     

    อยู่คนเดียวเหงาใช่ไหม..."

     

     

    “...เสี่ยวลู่"

     

    ก้อนสะอื้นแทบจะกลายเป็นสำลัก ลู่หานไม่รู้ว่าคริสหมายถึงอะไร และไม่รู้ว่าคำตอบสำหรับคำถามนั้นคืออะไร ลู่หานไม่สามารถคิดอะไรได้เลยในเวลานี้ ในเวลาที่ความโหยหาและความคิดถึงและทุกๆเสี้ยวอณูของความรู้สึกมันกำลังพร้อมใจกันทะลักทลาย

     

     

    คิดถึงทุกสัมผัส คิดถึงเสียงที่ดังทุ้มต่ำ คิดถึงแม้กระทั่งท่วงท่าของการเคลื่อนไหว

     

    และเมื่อสองแขนเอื้อมมาโอบรั้งร่างของเขา ลู่หานก็ลืมสิ้นทุกสิ่ง

     

     

    ฉัน.. อึ่ก คิด.. ถึงนาย"

     

    ฉันคิด.. ถึงนาย"

     

     

    ลู่หานพร่ำซ้ำๆ อกของคริสอุ่น กอดแน่นอย่างที่ไม่เคยกอดใครมาก่อนในชีวิต และคราวนี้มันเป็นไออุ่นที่แผ่นซ่านเข้ามาถึงทั้งร่างกายและหัวใจ

     

    คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง คิดถึง

     

     

     

    ฉันก็คิดถึงนาย..”

     

    ฉันคิดถึงนายเสี่ยวลู่"

     

    คริสกระชับอ้อมแขนโอบรอบเอวบอบบาง ปลายคางวางลงบนกลุ่มผมนิ่ม ปิดตาลงเพื่อซึมซับถึงวงแขนเล็กๆที่โอบตอบอยู่รอบกาย

     

     

    แสงไฟยังคงสว่างไสว เสียงเพลงยังคงขับกล่อม

     

    และหิมะก็ยังคงร่วงหล่นเหมือนฝนพรำ

     

     

     

     

     

     

    มันเป็นวันหนึ่งในฤดูหนาว

     

    ที่เราได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

    เสียงกริ่งหน้าประตูหน้าบ้านดังขึ้น

     

    และนั่นทำให้ลู่หานตื่นเต้นจนแทบจะตกบันได

     

     

    เอ้า ใจเย็นๆ"

     

    แบคฮยอนปราม ทั้งขันทั้งระอา ดูทำท่าเข้า แล้วคนที่บอกว่าจะออกไปด้วยวันนี้เนี่ยสิยิ่งทำให้เขาปวดหัว

     

    โชคดีนะ..” ถึงจะกลอกตาแต่แบคฮยอนก็อวยพรให้เพื่อนรักมีความสุขในค่ำคืนนี้ รู้ว่าลู่หานกำลังใจเต้นแรงตอนที่เดินเป่าปากฟู่ๆคลายความประหม่าไปยังประตูหน้าบ้าน แบคฮยอนเหลือบมองคนในบ้านที่ทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ลอบมองกันแทบทุกวินาที เอาเถอะ ครอบครัวเขาดันหนีไปอยู่เมืองนอกกันหมดจนต้องมาสิงอยู่บ้านเพื่อนแบบนี้ จนไม่ว่าคนในบ้านตระกูลลู่จะคิดหรือทำอะไรเขาก็รู้ทันไปหมดนั่นล่ะ

     

    ผมไปนะครับ พ่อ แม่" ลู่หานที่แทบจะลืมทุกอย่างแม้กระทั่งบอกลาพ่อกับแม่ หันกลับไปบอกอย่างขลาดเขิน มือเล็กยกขึ้นเกาท้ายทอยเก้อๆก่อนจะเดินตรงไปยังประตู สูดลมหายใจ แล้วเปิดมันออก ทว่าถึงแม้จะเตรียมพร้อมมาแล้ว แต่คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังประตูบานนั้นก็ยังคงทำให้ใจของลู่หานเต้นแรง

     

    และแก้มใสก็ขึ้นสีเรื่อเมื่อคริสเอื้อมมือมาผูกกำไลดอกไม้อันน้อยให้ตรงข้อมือ

     

    แบคฮยอนที่ยืนพิงมุมเสาอยู่หัวเราะหึ ดูเอาเถอะ แต่งงานกันจนเลิกกันไปรอบหนึ่งแล้ว ยังทำมาเป็นเหมือนเด็กมัธยมชวนกันไปงานพรอม แต่ถึงอย่างนั้นภาพที่เคยเห็นมาก่อนเมื่อสมัยยังเป็นเด็กน้อยที่ซ้อนทับขึ้นมาบนภาพปัจจุบันก็เรียกรอยยิ้มของคนมองได้ไม่ยาก

     

     

    ผงกหัวให้ทีหนึ่งเมื่อเพื่อนรักหน้าหวานหันกลับมามองเป็นเชิงว่า ไปนะ

     

    แม้อยากจะจับเพื่อนมาเขย่ากระชากถามว่าแล้วที่พวกแกเลิกกันมาก่อนหน้านี้เป็นปีๆ และจู่ๆก็กลับมาบ้านพร้อมกันและชวนกันไปเดทอีกครั้งหน้าตาเฉยนั้นมันหมายความว่ายังไง แต่สุดท้ายแบคฮยอนก็ต้องยอมรับว่าเขามีความสุข และเขาก็รู้ว่าทุกคนในบ้านมีความสุข

     

    คิดได้อย่างนั้นแล้วก็เผลอฮัมเพลง หันหลังเข้าบ้านไป คิดในใจว่าอีกประเดี๋ยวจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายถึงใครบางคนแก้คิดถึงเสียหน่อย

     

    หนาวๆแบบนี้ จะคิดถึง ใครสักคน ขึ้นมามันก็ไม่เสียหายอะไรนี่หน่า

     

     

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

    บรรยากาศตอนกลางคืนในช่วงเทศกาลยังคงสวยงาม

     

    ลู่หานเอนนอนกับเบาะ มองเสี้ยวหน้าคนขับที่ยังคงเห็นเด่นชัดท่ามกลางความมืดภายในรถ เราสองคนไม่ได้กลับมาคบกันใหม่ทันทีหลังจากที่แยกทางกันไปนาน แต่ในคืนคริสต์มาสอีฟ คริสมาส่งเขาที่บ้าน พ่อแม่ของเขาที่เดินออกมารับลูกชายหน้าประตู แน่นอนว่าตกใจ แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรมากกว่านั้น ลู่หานคิดว่าคงเป็นเพราะพ่อกับแม่ของเขาเห็นพวกเราสองคนมาตั้งแต่ยังเด็กล่ะมัง ทั้งตอนที่ดี ตอนที่ทะเลาะ พอมาถึงตอนนี้พวกท่านก็เลยไม่ได้เอ่ยปากว่าอะไรอีก

     

    หลังจากพยักหน้าให้คริสที่โค้งทักทายอยู่ตรงหน้าประตู พวกท่านก็เดินกลับเข้าบ้านไป คริสไม่ได้เข้าไปข้างในเหมือนอย่างที่เคยทำ มีเพียงแค่

     

    'หลังคริสต์มาส ไปเดทกันนะ?'

     

    เท่านั้นที่ทำให้ลู่หานรู้ว่าเรากำลังจะเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง

     

    คริสหันกลับมามองคนที่นอนหันหน้าเข้าหาเขาเมื่อรถติดไฟแดง ลู่หานน่ารักมาก ยิ่งมองใกล้มากแค่ไหน ก็ยิ่งน่ารักมากเท่านั้น พวงแก้มอิ่มขาวนวล ดวงตากลมโตแวววับ ริมฝีปากเล็กสีแดงเหมือนลูกเชอร์รี่ และตอนนี้มันกำลังแย้มยิ้มน้อยๆ

     

    ไม่มีใครพูดย้อนถึงเรื่องในอดีต

     

    และไม่มีใครพูดอะไรถึงเรื่องที่ปรากฏอยู่ในความฝันนั้น

     

     

    ฟังเพลงไหม..?”

     

    อื้อ"

     

    พยักหน้ารับจนผมฟุ้ง คริสเอื้อมมือควานหาซีดีแผ่นหนึ่ง และสอดมันเข้าไปในเครื่องเล่นตรงคอนโซลหน้ารถ

     

    ลู่หานขำนิดๆเมื่อทำนองเพลงช่วงเริ่มดังขึ้น แน่นอนว่า All That Jazz ยังคงเป็นเพลงโปรดของเขาตั้งแต่สมัยงานพรอม หมุนตัวเข้าหาฝั่งประตู ขดกายลงเอนซบ ภาพสุดท้ายที่เห็นคือแสงไฟละลานตาก่อนที่เปลือกตาบางจะปิดลง

     

     

    ถึงไม่มีใครพูด ลู่หานก็รู้ว่าทั้งเขาและคริสต่างรู้ ว่ามันยังคงฝังลึกอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในความทรงจำ

     

     

    เขาไม่รู้ว่าคริสกำลังจะพาเขาไปที่ไหน ไม่รู้ว่าเส้นทางข้างหน้าจะทอดยาวไปถึงเมื่อไหร่

     

     

    แต่นั่นไม่ใด้ทำให้ลู่หานนึกกังวล

     

     

    ไม่

     

    ริมฝีปากบางแต้มรอยยิ้มน้อยๆ

     

     

    ไม่เลยสักนิดเดียว

     

     

     

     

     

    . o n c e    a g a i n .

     

     

     

     

    เวลาผ่านไปเร็วเสมอ เมื่อฤดูหนาวที่แล้วผ่านไป พริบตาเดียวฤดูหนาวในปีถัดไปก็มาเยือน

     

     

    คริส ขอไฟสีแดงหน่อย"

     

    คริสสสสสสสส ไฟสีแดงงงงงง"

     

     

    ลู่หานตะโกนพลางมองหาคนที่น่าจะอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ และสักพักใครคนนั้นก็โผล่ออกมาแล้วทำหน้าอ่อนใจ

     

    ขึ้นไปทำอะไรบนนั้น"

     

    เถอะน่า เร็วๆ"

     

    คริสส่ายหัวแต่ก็ก้มไปหยิบไฟประดับในลังแล้วส่งให้คนที่อุตส่าห์ปีนบันไดขึ้นไปถึงหลังคา วันนี้เขากับลู่หานตกแต่งบ้านต้อนรับคริสต์มาสกันทั้งวัน และพอตกแต่งภายในบ้านเสร็จก็ออกมาประดับไฟกันด้านนอก

     

    ลู่หานยิ้มขณะเอื้อมมือลงไปรับสายไฟนั้นมาจากคนที่ตอนนี้เปลี่ยนมาช่วยเขาจับขาบันไดเพราะไม่แน่ใจในความมั่นคงของมัน

     

    เสร็จแล้วล่ะ ฮึบ!”

     

    ร่างเล็กปีนลงมาแล้วโดดใส่อ้อมกอดของคนที่รอรับอยู่ด้านล่าง เจ้าฟีบี้เองที่นอนเหยียดยาวอยู่บนหลังคาเมื่อครู่ก็กระโดดผลุงตามมา

     

    เดี๋ยวคงจะมากันเย็นๆ เสร็จแล้วก็เข้าไปพักเถอะ"

     

    อื้อ เดี๋ยวขอจัดตรงนี้ต่ออีกหน่อยนะ"

     

    คริสหมายถึงว่าครอบครัวของพวกเขาจะมาถึงกันราวๆช่วงเย็น เขากับคริสเชิญทุกคนมาที่บ้าน และวางแผนจะใช้เวลาทั้งสัปดาห์ก่อนคริสต์มาสร่วมกัน ลู่หานรุนหลังคริสเป็นเชิงว่าให้เข้าบ้านไปก่อนเพราะเขาอยากจะจัดการตกแต่งอีกนิดหน่อย

     

    หลังจากที่ย้ายกลับเข้ามาเมื่อสองเดือนที่แล้ว บ้านที่เงียบเหงามานานก็ค่อยๆกลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เขาตัดสินใจขอย้ายกลับมาจากสาขาที่ญี่ปุ่น และก็เป็นโชคดีที่บอสอนุญาตเพราะตั้งใจจะให้เขาย้ายกลับมาสาขาเดิมอยู่แล้วเนื่องจากมีพนักงานเก่าลาออกไป ส่วนคริสนอกจากจะกำลังสร้างแกลเลอรี่แล้วก็ยังรับงานเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาแขนงศิลปะในมหาวิทยาลัยอีกด้วย

     

    ลู่หานฮัมเพลงขณะขยับสายไฟให้อยู่ในตำแหน่งที่ต้องการ พอดกับที่เสียงรถซึ่งแล่นมาจอดจะทำให้เงยหน้าขึ้นมอง เปล่าหรอก ครอบครัวของเขายังคงมาไม่ถึง แต่รถคันนั้นจอดลงที่บ้านหลังข้างๆ

     

    ผู้หญิงคนแรกก้าวลงมาจากรถ เธอเป็นผู้ท่าทางทันสมัยรูปร่างประเปรียว และเมื่อลงมาแล้วเธอก็หันกลับไปเปิดประตูด้านหลัง รอรับประคองหญิงสูงวัยอีกคนให้ก้าวตามลงมา และอีกอึดใจเดียวประตูฝั่งคนขับก็เปิดออก หญิงสาวผมยาวสีน้ำตาลสลวยหอบหิ้วเอาของติดมือ ล็อคกุญแจรถ และทั้งสามคนก็เดินเข้ามาในรั้วบ้านด้วยสีหน้าแจ่มใส

     

    แว๊บหนึ่งที่หญิงสาวคนสุดท้ายหันมาบังเอิญสบตากับลู่หาน เธอยิ้ม โค้งหัวให้น้อยๆ และเขาก็ทำเช่นเดียวกัน

     

    คุณยูจินได้งานใหม่ที่อยู่ในละแวกนี้ และตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านอีกครั้ง เธอบอกกับลู่หานว่าอยากจะกลับมาดูแลบ้าน และดูแลผู้หญิงอีกสองคนที่เป็นครอบครัวของเธอ ลู่หานพบเธอตอนช่วงที่เขากับคริสย้ายกลับมาได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์  คุณยูจินมีท่าทางประหลาดใจเมื่อลู่หานรู้ชื่อของเธอ และคำตอบของเขาก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เธอแปลกใจมากยิ่งขึ้น แต่มันก็เป็นความแปลกใจที่เจือปนไปด้วยความปิติ ลู่หานสังเกตเห็นร่องรอยน้ำตาของคุณยูจินขณะที่เธอยิ้มรับคำบอกเล่านั้น

     

    'คุณลุงเคยพูดถึงคุณให้ผมฟังน่ะครับ คุณลุงบอกว่าภูมิใจในตัวคุณมาก'

     

     

    ลู่หานยังคงจำได้ถึงตอนที่เขาเพิ่งย้ายมาบ้านหลังนี้ใหม่ๆ เขาทำความรู้จักและผูกมิตรกับเพื่อนบ้านรอบๆตามที่พึงกระทำ บ้านหลังข้างๆนี่ก็เช่นกัน ทว่าตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปทักทาย และทุกๆครั้งที่นำของหรือขนมไปฝากตามโอกาส จะมีเพียงผู้หญิงสูงวัยท่าทางใจดีหรือบางทีก็มีเด็กสาววัยรุ่นอีกคนเท่านั้นที่ออกมาต้อนรับ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาเหมือนจะเห็นมีผู้ชายอีกคนอยู่ในบ้านด้วย

     

    'ตั้งแต่ผิดใจกันแล้วลูกสาวแกย้ายออกไป แกก็เงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงยุ่งอะไรกับใครหรอก ใครไปพูดอะไรด้วยบางทีก็ไม่พูดตอบ อย่าไปยุ่งกับแกเลย'

     

    ความสงสัยได้แต่ถูกเก็บงำอยู่ในใจ เคยเห็นเพียงแค่แผ่นหลังของชายชราอยู่ไหวๆ ลู่หานจินตนาการไปถึงผู้ชายหน้าตาถมึงทึงไม่สังคมโลก จนกระทั่งวันหนึ่งเขาซื้อลูกแมวตัวใหม่มา มันเป็นลูกแมวสีขาวน่ารัก แม้จะน่ารักน่าเอ็นดูแต่เรื่องความซุกซนก็ไม่เป็นรองใคร ซื้อมาได้เพียงแค่สองอาทิตย์ก็ทำตัวหนีออกจากบ้านให้เขาตามหาเล่น

     

    ดอกไม้ริมรั้วเบ่งบานชูช่อสีสด ลู่หานเดินก้มๆเงยๆตามหาเจ้าแมวตัวน้อยอยู่รอบบ้าน และสักพักก็ได้ยินเสียงคล้ายบางอย่างขยับไหว

     

    'อย่าหนีออกจากบ้านอีกนะ หลงไปไหนต่อไหนฉันก็ช่วยแกไม่ได้หรอก รู้มั้ย'

     

     

    อีกฝ่ายมองไม่เห็นเขา แต่เขามองเห็นภาพของชายชราที่ยืนอยู่ริมรั้วซึ่งกั้นระหว่างบ้าน ลูบหัวลูกแมวสีขาวเบาๆ แล้วส่งมันข้ามรั้วกลับมาอย่างระมัดระวัง

     

    'ฟีบี้!..' ลู่หานกระซิบดุเมื่อคล้อยหลังชายชราไปแล้ว

     

    เจ้าแมวตัวเล็กก็แสนฉลาด รู้ตัวว่าทำผิดเลยวิ่งดุ๊กดิ๊กทำหน้าตาน่ารักเข้ามาคลอเคลีย ลู่หานอุ้มมันขึ้นมากอดไว้แนบอก ทว่าสายตายังคงจับจ้องไปที่ข้างรั้ว ตำแหน่งที่มีชายชราใจดี พูดกับแมวของเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนอยู่เมื่อครู่ ต่างจากภาพน่ากลัวที่เคยคิดไว้ลิบลับ ลู่หานจำได้ว่าเป็นตอนนั้นเองที่ความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในใจของเขา

     

    'ถ้าช่วยให้คุณลุงคนนั้นกับลูกสาวของแกเข้าใจกันได้ก็คงดีสินะ.. ฟีบี้'

     

     

     

     

     

     

    หลังจากได้รู้จักกันแล้วก็มีอยู่หลายครั้งที่เขาได้ไปเยี่ยมคุณลุงที่สุสานพร้อมกับคุณยูจิน และก็มีอีกหลายครั้งที่เขาแวะเวียนไปด้วยตัวเอง และตรงหน้าแผ่นหินนั้น ดอกแมกโนเลียสีม่วงอ่อนก็ยังคงเบ่งบานอยู่เสมอ

     

     

    ลู่หานยิ้ม

     

    เขาไม่รู้หรอกว่าเหตุผลของพระเจ้าคืออะไร แต่ถ้าให้ลองเดาใจคนที่อยู่เบื้องบน ลู่หานคิดว่าพระองค์อาจจะกำลังทดลองทฤษฎีความรักอะไรสักอย่าง หรือไม่ก็แค่อยากจะให้เขากับคริสได้่เริ่มต้นเรียนรู้กันใหม่อีกครั้ง

     

    มันอาจจะใช่ หรือไม่ใช่ เขาเองก็ไม่อาจรู้คำตอบในใจพระองค์

     

     

     

    ดวงตากลมโตมองไปบนหลังคาที่ถูกประดับประดาด้วยไฟคริสต์มาส มันคงจะสวยมากตอนที่ได้ส่องสว่างในยามค่ำคืน แต่อย่างหนึ่งที่ลู่หานรู้ก็คือ

     

    ดาวที่นอนมองจากบนนั้นสวยกว่าหลายเท่า

     

    เสียงเพลงจากในบ้านลอยแว่วมา มันเป็นเพลงโปรดของเขาเหมือนเคย ลู่หานมีความสุขจนล้นอกตอนที่กึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน

     

    และไม่นานเสียงเพลงก็ถูกแทรกขึ้นด้วยเสียงสองเสียงที่โต้เถียงกัน

     

     

    "คริสสสส ไปเต้นรำกันเถอะ!"

     

    ไม่เอาน่ะ...”

     

    "จะอายทำไม..”

     

     

    "อยู่ในบ้านแบบนี้ ไม่มีใครมองเห็นเราสองคนหรอกน่า"

     

     

     

     

    ท่วงทำนองยังคงขับขาน แต่หลังประตูบานนั้น ไม่มีใครเลยที่มองเห็นว่าคนสองคนที่อยู่ข้างในกำลังเต้นรำกันอยู่จริงๆหรือเปล่า

     

    และไม่นานหลังจากนั้น หิมะแรกก็ร่วงหล่น

     

    สีขาวบริสุทธิ์แตะแต้มลงบนผืนดิน

     

    ถ้าใครที่รู้จักลู่หานก็มักจะได้ยินเจ้าตัวบอกอยู่เสมอว่า มันคืองานเฉลิมฉลองของสรวงสรรค์

     

     

     

     

    .

     

     

    .

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “................................”

     

    นายว่า..."

     

    "เรื่องที่คุณทวดเล่า เป็นเรื่องจริงรึเปล่า?”

     

    นี่นายจะบอกว่าคุณทวดโกหกงั้นหรอหานหาน”

     

    ไอ้บ้าเควิน! ฉันยังไม่ได้พูดแบบนั้นเลยนะ!!”

     

    ไดอารี่เล่มเก่าถูกปิดลงก่อนที่คนบนเตียงจะคว้าหมอนแล้วโยนมันอัดหน้าใส่คนที่กระโดดผลุงไปยังประตู ลู่หานแยกเขี้ยวใส่เมื่อคนที่ตัวสูงกว่าเขาหลายเท่าทั้งๆที่อายุเท่ากันผลุบหายไปตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งตึงตังลงบันได

     

    พ่นลมหายใจก่อนจะดวงตากลมเลื่อนมาจับจ้องอยู่บนปกไดอารี่ที่ซีดเก่าตามกาลเวลา

     

    ตอนอายุครบสิบขวบเขาถึงรู้ว่าชื่อของเขา 'ลู่หาน' ถูกตั้งตามชื่อของคุณทวดเพราะแม่คิดว่ามันเป็นชื่อที่เพราะมาก อีกอย่างคือทุกๆคนต่างบอกว่ายิ่งเขาโต หน้าตาก็ยิ่งละม้ายคลายกับคุณทวดเมื่อตอนสมัยเด็กๆ ตั้งแต่นั้นมาเขาก็เลยมักจะสนใจฟังเรื่องราวของคุณทวดลู่หานและขอให้แม่เล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ อันที่จริงคุณทวดไม่ใช่ทวดแท้ๆของเขา ถ้าจะให้ลำดับญาติล่ะก็นะ คุณทวดลู่หานก็คือลูกพี่ลูกน้องของคุณทวดเขา และคุณทวดลู่หานก็ไม่ได้มีลูกมีหลานแท้ๆเป็นของตัวเอง เพราะคนรักของคุณทวดเป็นผู้ชาย ชื่อว่าคุณทวดอี้ฝาน ที่มีชื่อเล่นว่าคริส และลู่หานก็คิดว่ามันเท่สุดๆ และบ้านหลังที่เขาอยู่ตอนนี้ก็เป็นบ้านที่ครั้งหนึ่งคุณทวดทั้งสองเคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

     

    มันนับว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ที่วันนี้เขาดันไปเจอสมุดไดอารี่เล่มนี้ซุกอยู่ในลิ้นชักลึกสุดในโต๊ะหนังสือเก่าแก่ที่ตั้งวางทิ้งไว้มาตั้งแต่จำความได้ และเมื่อเปิดออกอ่าน ก็ถึงได้รู้ว่า นี่เป็นไดอารี่ที่บันทึกเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดในช่วงชีวิตของคุณทวดลู่หานเอาไว้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นคนแรกที่เจอมันรึเปล่า ลู่หานโมเมคิดเอาเองว่าบางทีคุณทวดอาจจะอยากมอบสิ่งนี้ให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบสิบห้าปีของเขา

     

    ลายมือเล็กๆเป็นระเบียบน่ารักเรียงร้อยเรื่องราวอยู่บนแต่ละบรรทัดของหน้ากระดาษ

     

    ตอนแรกลู่หานก็นั่งอ่านอยู่คนเดียว แต่สักพัก เควิน เจ้าลูกชายตัวสูงเหมือนเสาไฟฟ้าของเพื่อนแม่ก็เข้ามาก่อกวนเขา และสุดท้ายเราก็นั่งอ่านมันไปพร้อมๆกันตั้งแต่ต้นจนจบ

     

    และเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงบรรทัดสุดท้าย ลู่หานก็ได้ยินเพียงแค่เสียงลมหายใจดังสลับกันดังก้องอยู่ภายในห้อง

     

    มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ เรื่องของคุณทวดลู่หานและคุณทวดอี้ฝาน

     

    เหลือเชื่อจนลู่หานไม่คิดว่าจะเชื่อดีหรือเปล่า แต่ก็นั่นแล่ะ คุณทวดเองยังบอกว่ามันเป็นความฝันที่เหมือนความจริง และเป็นความจริงที่เหมือนความฝัน

     

    ลู่หานนึกไปถึงภาพของชายหนุ่มสองคนที่ยืนเคียงข้างกันอยู่ในกรอบรูป มันรูปที่เก่ามากแล้ว เบื้องหลังเป็นทุ่งดอกไม้สีชมพูสดบานสะพรั่ง แม่เอามาให้เขาดูในวันหนึ่ง และลู่หานก็ยอมรับว่าหน้าตาของคุณทวดมันช่างคล้ายกับใบหน้าที่เขาเห็นในกระจกอยู่ทุกวันไม่มีผิด แต่ที่ไม่อยากจะเชื่อก็คือ เขาดันคิดว่า หน้าของคุณทวดอี้ฝาน ทำไมมันช่างคล้ายกับเจ้าเควินคนกวนประสาทอย่างบอกไม่ถูก แต่เอาเถอะ เขาอาจจะคิดไปเองก็ได้

     

     

    หานหานจ๊ะ ลงมาทานข้าวได้แล้วจ้ะ"

     

    เสียงเรียกของแม่ตะโกนดังมาจากชั้นล่างของบ้าน ลู่หานกระเด้งตัวขึ้นและสอดสมุดไดอารี่เล่มนั้นไว้ใต้หมอนอีกใบ ในใจเปลี่ยนไปนึกถึงเค้กก้อนโตและของขวัญนับสิบกล่องที่กำลังจะได้รับอย่างลิงโลด ช่วงคริสต์มาสเขาจะได้รับของขวัญมากกว่าคนอื่นเป็นสองเท่า ไม่ใช่เพราะมีการลำเอียงอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่เป็นเพราะเขาเกิดในวันคริสต์มาสอีฟต่างหาก

     

     

    ไหน กินหน่อยดิ้"

     

    เฮ้ย ไอ้เควิน! นั่นมันของฉันนะ!!”

     

    หานหาน เรียกเพื่อนว่าไอ้อีกแล้วนะจ๊ะ"

     

    ก็เควินเอาของผมไปนี่ครับแม่!! มัฟฟินของผม!!!”

     

     

    บรรยากาศอบอวลไปด้วยคำว่าครอบครัว มันทั้งวุ่นวายแต่ก็อบอุ่น ถ้ามองผ่านบาหน้าต่างเข้าไปจะเห็นแต่ละคนกำลังนั่งพูดคุยกัน เล่นกีตาร์ เล่มกระกระดาน กินขนม ตรงมุมหนึ่งใต้ต้นคริสต์มาส เด็กชายสองคน ตัวโตกับตัวเล็กยื้อแย่งกล่องขนมกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และไม่ถึงนาทีให้หลังก็เริ่มกระโดดรัดคอฟัดเหวี่ยงจนกระทั่งเผลอหลุดหัวเราะกันออกมาทั้งคู่

     

     

    และหากเบนสายตาออกมาด้านนอก ก็จะพบกับหิมะสีขาวโปรยปราย เหน็บหนาว แต่สวยงาม

     

    ซึ่งถ้าคุณรู้จักกับเด็กชายลู่หาน แน่นอน คุณจะได้ยินเขาพูดอยู่บ่อยๆตามประสาเด็กว่า

     

     

    บางทีพระเจ้าอาจจะกำลังเลี้ยงฉลองอยู่ก็เป็นได้

     

     

     

     

     

    ❆ e n d ❆

     

     

     

     

     

    555555555555555555555555 *หัวเราะนำ*

    จริงๆสารภาพว่าเขียนได้ไม่สมบูรณ์เท่าที่ตั้งใจ

    ว่ากันจริงๆก็ขาดไปอยู่มากมายหลายอย่าง

    แต่ด้วยสมรรถภาพที่จำกัด(?)ของตัวเอง เราก็ดีใจและพอใจที่สามารถเขียนจนจบได้สำเร็จ  : )

    ขอบคุณทุกๆคนที่เข้าร่วมโปรเจ็คต์ด้วยกัน T_T

    ตอนแรกคิดขึ้นมาเล่นๆ แต่ทุกคนตั้งใจเขียนฟิคกันมาก และฟิคก็ออกมาดีมากๆกันทุกคนเลย

    และก็ขอบคุณคนอ่านที่ติดตามและมอบความรักให้กับฟิคในโปรเจ็คต์นี้ทุกๆเรื่อง

    ขอบคุณมากๆนะคะ

     

    สำหรับฟิคของเรา อ่านแล้วถ้าใครอยากแชร์อะไร

    ก็ทิ้งเม้นท์ไว้ได้ที่นี่ หรือในทวิตเตอร์ก็ติดแท็ก #onceอะเกน #007fic นะคะ

    เราจะรออ่านนนนนนน ^____^

     

    และสุดท้ายนี้

    สวัสดีปีใหม่ 2015 ย้อนหลังทุกๆคนเลยนะคะ

    ขอให้คนอ่านที่น่ารักมีความสุขที่ซู้ดดดดกันถ้วนหน้า

     

    ถ้าฤกษ์งามยามดี(?)ก็อาจจะมีโอกาสได้พบกับโปรเจ็คต์อะไรแบบนี้อีก

    (ถามคนอื่นก่อนมั้ย 555555555)

    แล้วพบกัน แล้วพบกันนนน

     

    ขอบคุณค่า ^___________^

    *โค้ง*

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×