ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    *:: KRISHAN WINTER PROJECT ::*

    ลำดับตอนที่ #4 : Honey Boy (by @lovely____00 or -fallinflowers-)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.4K
      3
      24 ม.ค. 58



    { Winter Dark Theme }





    HONEY BOY

    _____________________

    FIRST LOVE, IS TRULY A SIN

     


     

    คุณเคยมีรักครั้งแรกหรือเปล่า?

    แล้วรักครั้งแรกของคุณเป็นยังไง?

     

    รักครั้งแรกของคุณ หวาน ได้อย่างรักครั้งแรกของเขาไหม?

     

    _____________________

     

     





     

    กรุณาติด Tag  > #ฮนบอย #007fic

    _____________________

     

     

     
     

    I’m Kris

     

     

     

    25 ธันวาคม 2014 เวลา 9.15 PM

    ตามเวลาท้องถิ่นของบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

               

     




     

                            จังหวะที่บีบคั้นหัวใจ..จังหวะที่หนักหน่วง..จังหวะที่เข้าถึงอารมณ์ขั้นสูงสุด..

                ผมนอนหอบหายใจระรัวอยู่ที่พื้นอันเย็นเยียบบนพื้นหญ้าใน Knyvet Square เสียงลมหายใจของผมกระชั้นชิดเป็นจังหวะอันตราย ก่อนจะเริ่มขาดห้วงทีละเล็กทีละน้อย แต่ทว่า ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น ตัวของผม..ร่างกายของผมกลับรู้สึกด้านชามากกว่าที่จะเจ็บปวด..

    หิมะขาวสะอาดดุจปุยนุ่นค่อยๆตกลงมาจากท้องฟ้าในยามรัตติกาล..ผมพยายามเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสมัน แต่ทว่าสิ่งที่ผมมองเห็นจากฝ่ามือของตนเองนั้นมีเพียงแต่คราบเลือดสีแดงฉานกับกลิ่นคาวชวนคลื่นเหียนที่พุ่งเข้ามาเตะปลายจมูก..

                ฝ่ามือของผมพลันสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่.. ความเจ็บปวดเข้าโจมตีทุกอณูความรู้สึกในร่างกาย ในหัวแว่วท่วงทำนองโหยหวนและเสียงร้องคร่ำครวญของลาน่า เดล เรย์กับกลุ่มควันสีขาวจางๆที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้องที่ถูกทาด้วยสีฟ้าอมเทา

     

     

    ผมเกลียดเพลงนี้..ผมเกลียดลาน่า เดล เรย์กับเพลงสไตล์ไอ้ขี้ยาของเธอ..

     

    แต่ผมกลับรักไอ้ขี้ยาที่เหมือนเธอคนหนึ่ง..ไอ้ขี้ยาที่มีกลิ่นกายหอมกรุ่นราวกับน้ำผึ้งป่า..

     

     

    ไอ้ขี้ยาที่เป็นดั่งฮันนี่บอยของผม..

     

     

     

     

    ในเวลานี้..มีเพียงแต่แสงไฟนีออนเจิดจ้าเท่านั้นที่คอยอยู่เป็นเพื่อนผม.. เช่นเดียวกับวันวาน.เมื่อสี่วันก่อนหน้านี้..

     

     







     

     

    21 ธันวาคม 2014  เวลา 11.10 PM

    ตามเวลาท้องถิ่นของบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา



     

     

                “He’s my honey boy,my ever loving pride and joy. Hm hm hm”

    ผมแหกปากตะโกนร้องเพลง honey boy ของวง The Supremes.. เพลงที่ผมชื่นชอบเป็นการส่วนตัวขณะยืนจิบเบียร์อยู่ที่ระเบียงห้องอย่างสบายอารมณ์
     

                เพลงนี้ถูกปล่อยมาครั้งแรกในปี 1965 รายละเอียดนอกเหนือไปจากนั้นก็จำไม่ค่อยได้หรอก รู้เพียงแต่ว่า ผมได้ฟังเพลงนี้เป็นครั้งแรกในงานของมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีหนึ่งนู่น..แล้วหลังจากนั้นผมก็หลุดไปเลย แบบว่า..เพลงมันเพราะทีเดียวละ อีกอย่างเนื้อเพลงก็ติดหูดีด้วย
     

    แม้จะเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแต่ก็อย่างรู้ๆกันละว่าสภาพโดยรอบอพาร์ทเมนต์ของผมนั้นโคตรจะไม่น่าไว้วางใจ.. ผู้คนจึงไม่ค่อยที่จะใช้เส้นทางนี้สัญจรไปไหนมาไหนกันนัก และนอกจากนี้แล้ว อพาร์ทเมนต์ของผมก็เป็นอพาร์ทเมนต์ซอมซ่อเล็กๆแห่งหนึ่งซึ่งคนไม่ค่อยเข้ามาอยู่นัก แต่เห็นสภาพภายนอกดูเก่าๆและสกปรกขนาดนี้ สภาพภายในกลับเป็นคนละเรื่องเลย.. ผมขอบอกเลยว่าขนาดของห้องที่ผมเช่านี่ไม่ธรรมดาเลยนะเออ ห้องที่ใหญ่และมีของครบครันขนาดนี้ ถ้าไปเช่าที่อื่น ค่าเช่าคงแพงหูฉี่ชนิดที่ว่าขายตัวจ่ายค่าเช่าก็ยังเช่าไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป

     

    ผมหัวเราะหึเบาๆ ก่อนจะเหลียวหลังกลับไปมองห้องสตูดิโอของตัวเอง ตั้งแต่ตอนปีหนึ่งที่ผมขนของเข้ามาที่นี่ ผมยังจำได้อยู่เลยว่าตัวเองยืนอ้าปากค้างอยู่หน้าห้อง ไม่คาดคิดว่าจะได้ห้องที่สภาพสมบูรณ์เกือบๆเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังได้เฟอร์นิเจอร์กึ่งกลางกึ่งใหม่ฟรีๆจากเจ้าของเดิมอีกด้วย

    ผมเคยนึกแปลกใจนักว่าทำไมผู้คนจึงไม่ค่อยมาเลือกเช่าที่นี่ แต่พอโตขึ้น.. เริ่มมีหัวคิดมากขึ้น ผมจึงเริ่มเข้าใจว่า.. ถ้าผมมีเงินมากกว่านี้ ผมก็คงเลือกที่จะย้ายไปเช่าห้องแบบสตูดิโอในที่ๆมันปลอดภัยมากกว่าที่นี่เหมือนกัน 

     

    ที่พูดมานี่ไม่ใช่ว่า อพาร์ทเมนต์ผมไม่ปลอดภัยนะ.. มันก็ปลอดภัยแหละ จริงๆแล้วบอสตันจัดเป็นเมืองที่ปลอดภัยเมืองหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยมหาวิทยาลัยมีชื่อเสียงมากมาย อีกทั้งทัศนียภาพและบรรยากาศโดยรอยต่างก็ให้ความรู้สึกที่อ่อนนุ่มละมุนละไมแฝงไปด้วยความรักสงบ..
     

    แต่ก็นั่นละ..ไม่มีที่ใดในโลกที่จะปลอดภัย100% และมันก็บังเอิ๊ญบังเอิญพอดีที่ผมดันต้องมาโป๊ะอยู่ในย่านที่ไม่มีความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้นในบอสตัน ย่านที่เปรียบเสมือนกองขยะเน่าเหม็นส่งกลิ่นร้ายกาจของบอสตัน












     

     

    FUCK! WHO THE HELL DO YOU THINK YOU ARE! HUH! You just can’t fuckin dump me like this!” (เวรเอ้ย! มึงคิดว่ามึงเป็นใครว่ะ ห้ะ? มึงทิ้งกูแบบนี้ไม่ได้นะแม่ง!)

     

     

     

    น้ำเสียงแหลมมสูงกราดเกรี้ยวที่ดังมาจากข้างนอกระเบียงทำให้ผมสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ และเผลอปล่อยกระป๋องเบียร์หกรดตัวเองทิ้งท้ายอีก


     

    “ทะเลาะห่าอะไรตอนนี้วะแม่งเอ้ย”

     

    ผมสบถ ก่อนจะรีบชะโงกหน้าออกไปดูที่นอกระเบียงอีกครั้งเพื่อมองหาต้นเสียงของการวิวาทในครั้งนี้..


     

    และแม้ว่าอพาร์ทเมนต์แห่งนี้จะทรุดโทรมมากเพียงใดก็ตาม แต่ทว่ายังโชคดีมากที่หน้าอพาร์ทเมนต์ยังมีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าที่ตั้งอยู่ตรงข้าม และยังมีไฟจากโคมไฟทองเหลืองขนาดปานกลางมากมายที่คุณนายสมิธ หญิงชราเจ้าของอพาร์ทเมนต์ผู้ซึ่งชื่นชอบในสไตล์ยุค60s ได้นำมาติดไว้จนทั่วบริเวณข้างหน้า



     

    เบื้องหน้าอพาร์ทเมนต์เก่าๆของผมเด็กหนุ่มร่างเล็กผอมบางผู้ซึ่งมากับเรือนผมสีคาราเมลดูคุ้นตากำลังยื้อแย่งกระเป๋าเดินทางสีครามกับชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งซึ่งผมรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอยู่บางส่วน ก่อนจะถึงบางอ้อ เพราะจำได้ว่าไอ้หมอนี่เป็นอาจารย์ที่สอนวิชาอารยธรรมตะวันออกและโคตรจะเขี้ยวชิบหายวายวอด

     

     

     

    “fuck! fuck! Eric! Please please don’t go! Don’t go!” (ไม่ ไม่! เอริค ได้โปรด ได้โปรด อย่าไป อย่าไปนะ!)

     

     

    ผมได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มเสียงสูงคนนั้นร้องไห้อ้อนวอนอย่างน่าสงสารพลางใช้ลำแขนผอมบางฉุดกระชากยื้อแย่งกระเป๋าเดินทางใบโตอย่างสุดความสามารถ แต่ทว่าถ้าเปรียบเทียบขนาดตัวของเด็กหนุ่มกับอาจารย์เวรๆของผมคนนั้นแล้ว
     

    --ผลก็ออกมาเป็นตามที่ผมคาดไว้ เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลที่ผมโคตรจะรู้สึกคุ้นหน้าก็เผลอไผลทรุดตัวลงเสียท่าอยู่แทบเท้าของชายหนุ่มอีกคนอย่างน่าอัปยศ เสียงร่ำไห้ผสานกับเสียงสบถไม่ได้ศัพท์ดังลั่นมาจนถึงชั้นสอง ซึ่งผมคิดว่าถ้าอพาร์ทเมนต์ของผมมีชั้นสี่ มันก็คงจะดังขึ้นไปถึงชั้นสี่ด้วยนั่นละ

     

     

     

     

    it’s over,Han! We’re done! Just keep living your life as a fuckin junkie! I’m done with you!”  (มันจบแล้ว หาน! เราจบกันแล้ว! ใช้ชีวิตไอ้ขี้ยาของนายต่อไปเถอะ! ฉันโคตรจะพอกับนายแล้ว!”

     

     


     

    “Please, Eric. Please, I want a second chance!” (ได้โปรดเถอะเอริค ฉันต้องการโอกาสอีกสักครั้งหนึ่ง! นะ..นะ”

     

     

     

    “You have no shame? Second chance? Sure? I guess I’ve heard it before” (นี่นายไม่มีความละอายบ้างเลยรึยังไง? โอกาสที่สองเหรอ? แน่ใจนะ? ฉันว่าฉันเคยได้ยินนายพูดแบบนี้มาแล้วนะ)

     

     


     

    “Eric..Please, I need you. You are the love of my life”(ได้โปรดเถอะเอริค ฉันต้องการนายนะ นายคือความรักหนึ่งเดียวของฉันนะ)

     

     

     

    ผมกระพริบตาปริบๆอย่างงุนงง ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องราวไม่คาดฝันที่ดูคล้ายกับซีรีย์สักตอนที่ฉายทางช่อง HBO  เพียงแต่ละครสดที่ผมเห็นตรงหน้าคงจะเป็นอะไรที่สมจริงมากกว่า น้ำเน่ามากกว่า และก็น่าสมเพชมากกว่าอีกด้วย


     

    ชายร่างสูงในชุดสูทคนนั้นค่อยๆควักบุหรี่ขึ้นมาสูบอย่างใจเย็น เขาดูไม่ยี่หระต่อความเจ็บปวดของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนนั้นเลยแม้แต่น้อย ท่าทางของคนๆนั้นกระตุ้นความรู้สึกรำคาญปะปนกับหมั่นไส้ขึ้นมาในใจของคนที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่บนชั้นสองอย่างเงียบๆเช่นผมเป็นอันมาก

     

     

     

     

    “LOVE? Don’t says such a non-sense word, Han.. I think We better break up. ---I’m so fuckin tired of you.

    (ความรักเหรอ? อย่าพูดอะไรไร้สาระเลยนะหาน! ฉันคิดว่าเราเลิกกันจะดีกว่ากูแม่งโคตรจะเบื่อมึงเลยวะ!)

     

     

    But I really love you..” (แต่ฉันรักนายจริงๆนะ..)

     

     

     

    สิ้นประโยคนั้น.. ชายในชุดสูทเริ่มไม่สบอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว เขาง้างเท้าก่อนจะเตะเข้าเต็มแรงที่ใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างผอมคนนั้น ส่งผลให้เด็กหนุ่มคนนั้นกรีดร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวดแสนสาหัส

    ..และแน่นอนว่าเสียงร้องนั่นก็เปรียบเสมือน SOS สำหรับผม.. ทำให้ผมที่มองดูอยู่ชั้นสองร้องอุทานออกมาอย่างตกใจและรีบวิ่งออกจากห้องของตัวเองทันที เพื่อไปทำหน้าที่ของพลเมืองที่ดีโดยที่ลึกๆแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะเสร่อวิ่งลงมาทำไมทั้งๆที่ธุระก็ไม่ใช่เลยแท้ๆ

     

     

    และเมื่อผมวิ่งลงมาถึงชั้นหนึ่ง.. ประตูทางเข้าเบื้องหน้ายังคงถูกเปิดไว้ พร้อมๆกับภาพของเด็กหนุ่มร่างผอมคนนั้นที่บัดนี้ถูกเตะ ถูกซ้อมราวกับเป็นตุ้กตาเก่าๆที่ไร้ชีวิต

     

    ภาพในอดีตภาพในความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก.. ภาพของมารดาที่ถูกซ้อม ถูกตบตีโดยพ่อแท้ๆได้ผุดขึ้นมาในความทรงจำของผม..ประจวบเหมาะกับที่ผมเริ่มจะจำได้ว่าไอ้เด็กผมสีน้ำตาลคนนี้ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของผมนั่นเอง

     

    ผมกัดฟันกรามกรอด เลือดขึ้นหน้าจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ภาพความรุนแรงทั้งสองซ้อนต่อกันราวกับเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นเดียวกัน..ทำให้เส้นสติพลันขาดผึง..

     

     

    คริส อู๋.. ชายหนุ่มที่รักสงบและเงียบขรึมคนนั้น..บัดนี้ได้กระโจนทะยานเข้าหาชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างบ้าดีเดือด..

     

     

     

     

     

     

     

     

    ผมชื่อคริส..

     

    คริส อู๋ นักศึกษาชาวจีน-แคนาเดียนชั้นปีที่สามจากคณะ Archaeology (โบราณคดี) มหาวิทยาลัยบอสตัน แห่งรัฐแมสซาซูเซสต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา..
     

    ผมมีผลการเรียนดีเลิศ จัดว่าอยู่ในระดับท้อบไฟว์ของคณะ ท้อปเท็นของมหาวิทยาลัย..

    ผมมีหน้าตาที่หล่อเหลา ผมสูง ผมรวย แม้จะเงียบและพูดน้อยบ้างในบางที แต่ผู้หญิงมากมายไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงเอเชียหรือผู้หญิงตะวันตกกลับมองว่านี่คือเสน่ห์เฉพาะตัวของผม..


     

    และในตอนนี้ ผมก็กำลังจะสูญเสียเสน่ห์เฉพาะตัวนั้นไปโดยการพ่นคำหยาบออกมาเป็นล้านคำในทุกๆภาษาที่ผมพอจะพูดได้

     










     

    “แม่งเอ๊ย!”
     

    ผมสบถอย่างหยาบคาย เมื่อนิ้วเรียวบางจิ้มสำลีชุบแอลกอฮอล์เข้ามาที่บริเวณโหนกแก้มของผม โดยที่เจ้าของมือนั้นก็เอาแต่จ้องหน้าผมพร้อมกับชักสีหน้าใส่ผมเป็นเชิงละเหี่ยใจอยู่ในที

     

    แสงไฟจากแสงนีออนในห้องผมยามนี้ทำหน้าที่ดุจดั่งแสงตะวันเจิดจ้าในเวลานี้ ผมสามารถมองเห็นค่าหน้าค่าตาของเด็กหนุ่มผมคาราเมลคนนี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว

     

     

    น่ารัก..

    สองคำนี้ที่ผุดขึ้นมาในใจของผม.. มีเพียงแค่นั้นจริงๆที่ผมนึกได้ในหัวมันไม่รู้จะหาคำศัพท์ใดๆมาอธิบายเพิ่มเติ่มอีกแล้ว

    ท่าทางนุ่มนิ่ม ผิวสีขาวเผือด ดวงตากลมโตและขนตาดำขลับเป็นแพงอนยาว จมูกเชิดรั้น ริมฝีปากแดงเหมือนผลเชอรี่ อีกทั้งท่วงท่าในยามที่เขาก้มหน้าก้มตาเช็ดแผลบนกำปั้นแตกๆโชกเลือดของผม กลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆที่โชยมาจากตัวเขาทำให้ผมลุกลี้ลุกลนและรู้สึกแทบคลั่ง

     

    ลืมบอกไปอย่าง.. น้ำผึ้งเป็นของโปรดอย่างหนึ่งที่ผมชอบเอามากๆโคตรจะชอบเลยแหละ..คิดว่าชีวิตนี้ทั้งชีวิต ไม่ต้องกินอะไร แค่เอาน้ำผึ้งซักสองสามตันมาให้ ก็คิดว่าน่าจะอยู่ได้

     

     

     

    เจ็บมากจนสบถไม่ออกเลยเหรอ..เงียบเชียว”
     

    เด็กน้อยตรงหน้าถามผมรัวเร็วด้วยภาษาจีน ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจพอสมควร ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นคนจีน ผมคิดว่าเขาเป็นคนเกาหลี ไม่ก็ลูกครึ่งชาติอะไรสักอย่างเสียอีก

    แต่ดูท่าว่า เจ้าตัวเล็กตรงหน้าคงจะตีความหมายจากสีหน้าของผมผิดไป เขาจึงเปลี่ยนมาใช้ภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นคุยกับผม.. ผมรีบโบกมือห้ามก่อนจะตอบเขากลับไปเป็นภาษาจีนเหมือนกัน

     

     

    “ผมเป็นคนจีน.. พูดจีนกับผมก็ได้นะ”

    เด็กน้อยคนนั้นอ้าปากหวอมองผม.. เขาเอียงคอซ้ายทีขวาที นัยน์ตาหวานซึ้งกระพริบปริบปริบราวกับจะไม่เชื่อถือ แต่สักพัก เขากลับดูผ่อนคลายลงและถอนหายใจอย่างโล่งอก


     

    “ดีจัง..เป็นคนจีนเหรอ ไม่น่าเชื่อเลยแหะว่าจะมีคนจีนอยู่แถวนี้ด้วย”


     

    “ทำไมละ?”


     

    “ก็ที่บอสตันเขามีย่านไชน่าทาวน์ไม่ใช่เหรอ.. ทำไมนายถึงไม่ไปอยู่แถวนั้นละ”


     

    “แถวนั้นน่ากลัว”

    ผมตอบกลับแผ่วเบา ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเด็กน้อยน้ำผึ้งคนนั้นกลับจ้องผมกลับเหมือนกับเห็นตัวประหลาด


     

    “อะไร?” ผมถาม


     

    “นายพูดยังกะว่าแถวนี้ไม่น่ากลัว”


     

    “ก็น่ากลัวละ..แต่ไชน่าทาวน์ที่นั่นน่ากลัวกว่า” ผมเอ่ยไปด้วยนึกจินตนาการภาพไปด้วย.. ผมเคยไปไชน่าทาวน์ในบอสตันมาหนหนึ่ง และภาพพวกนั้นก็ยังไม่หลุดออกไปจากสมองของผมได้ง่ายดายขนาดนั้น.. คือเป็นคุณ คุณจะทำยังไงละ เดินไปวันแรกก็โป๊ะแตกเลย เจอคนควักมีดแทงกันแบบสดๆร้อนๆเข้าให้ ซ้ำยังเกือบได้ชิมลูกตะกั่วของพวกเจ้าถิ่นที่โน้นอีกต่างหาก

     

     

    นายเนี่ยเหรออ่อนแอ!?” เด็กน้อยน้ำผึ้งเอ่ยถามผมด้วยเสียงแหลมสูง “ฉันไม่เชื่ออะ! เมื่อกี้นายยังต่อยแฟนเก่าฉันจนหน้าแหกเลือดอาบกลับไปซะขนาดนั้นแล้วดูนายซี.. แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นเอง”


     

    “บาดเจ็บเล็กน้อย?” ผมพูดขึ้นมาบ้าง ก่อนจะชูกำปั้นของตนเองที่บัดนี้เลือดยังไหลอาบไม่ยอมหยุดง่ายๆให้เขาดู


     

    “เออน่า..ก็ถือว่าบาดเจ็บเล็กน้อย.. เล็กน้อยกว่าเอริค แฟนเก่าฉันก็แล้วกัน”


     

    ผมกลอกตาไปมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้นออกมาจากปากของเจ้าตัวเล็ก เฮ้อ.. เลือดไหลอาบไม่หยุดขนาดนี้ยังกล้าพูดว่าบาดเจ็บเล็กน้อย..

    ผมเหลือบมองเขาที่กำลังจัดการปิดกล่องปฐมพยาบาลอย่างเชื่องช้า พลันคำถามหลายข้อก็วาบเข้ามาในหัว.. ผมกัดริมฝีปากอย่างไม่แน่ใจเท่าใดนัก ไม่รู้ว่าจะเสียมารยาทหรือเปล่าถ้าถามออกไปโต้งๆ แต่ถ้าไม่ถามเลย ก็กลัวว่าอกจะระเบิดเพราะความอยากรู้เสียก่อน


     

    ..ผมขอถามอะไรสักอย่างได้ไหม”


     

    “เอาดิ..ถามเลย”

    เจ้าตัวเล็กตอบกลับเสียงแตกพร่า เขากำลังวุ่นอยู่กับการปิดกล่องปฐมพยาบาลเก่าแก่ของผมซึ่งสภาพของตัวล้อกของมันก็ไม่ค่อยจะดีนัก และทำให้มันปิดยากไปสักหน่อย

    ผมใช้เวลาทำใจก่อนจะถามเพียงเสี้ยววินาที แต่พออ้าปากจะถามเท่านั้นแหละ คำถามก็ถูกกลืนลงคออย่างรวดเร็ว
     

    ผมเผลอมองเจ้าตัวเล็กทำหน้าหงุดหงิดใส่กล่องปฐมพยาบาลอย่างนึกขำ ดูท่าเจ้าตัวก็คงไม่รู้ตัวว่า เวลาที่อีกฝ่ายนั้นกำลังวุ่นวายอยู่กับอะไรสักอย่างไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทำแผลให้เขา หรือตอนที่กำลังวุ่นวายปิดกล่องปฐมพยาบาลนั้น ปากน้อยๆสีแดงจัดของเขาทำให้ผมนึกถึงอิโมติคอนในโทรศัพท์ไอโฟนที่ชอบทำปากเล็กๆจู๋ๆเป็นเลขสาม


     

    เอ้า! ถามเล้ย!.. มัวเงียบอะไรอยู่”


     

    “ คือ เมื่อกี้ผมได้ยิน เอ่อ พวกคุณทะเลาะกัน”


     

    “แล้ว?”


     

    “ผมไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของคุณนะ สาบานได้เลย! แต่ว่าคือ แต่  มันแบบ.. เอ่อ”


     

    เจ้าตัวน้อยเงยหน้าจ้องผมเขม็ง ดวงตาใสของเขาหรี่ลงคล้ายกับพร้อมจะเชือดคอผมได้ทุกขณะ

    “แต่อะไร?”


     

    คุณคบกับอาจารย์ของผมเหรอ?”


     

    อาจารย์? อาจารย์อะไรนะ?”


     

    “นี่คุณไม่รู้เหรอว่าเขาเป็นอาจารย์ที่สอนวิชาอารยธรรมตะวันออกนะ! คนที่พึ่งมาใหม่แต่ก็โคตรจะเขี้ยวคนนั้นอ่ะ”


     

    “ฉันจะไปรู้ได้ไงละ!” เจ้าเด็กเรือนผมสีคาราเมลแหวกลับจนผมผงะ “ฉันลาออกไปตั้งนานแล้ว!”


     

    โอ้โฮเฮะ..


     

    ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาเป็นอาจารย์” ฮันนี่บอยพึมพำตอบกลับด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “แต่แค่เคยเจอกันอยู่สองสามครั้ง.. มี– ธุรกิจเล็กๆน้อยๆร่วมกันนะ”


     

    “งั้นเหรอ..”

    ผมพูดได้เพียงแค่นั้น ก่อนจะรีบหุบปากเงียบไปเลย ดูจากสีหน้าของคนตรงหน้าแล้ว ไม่ถามซอกแซกต่อน่าจะปลอดภัยที่สุด

     


     

                หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรขึ้นมาอีก ผมนั่งมองเจ้าตัวเล็กกระแทกกล่องพยาบาลของผมปึงปัง แล้วก็เดินย่ำเท้าไปมาในห้องของผม.. หน้าตาของเขาดูหงุดหงิดมาก ซึ่งเป็นความหงุดหงิดที่ผมไม่ค่อยเข้าใจแล้วก็ไม่รู้สาเหตุเท่าใดนัก


     

    “คุณ.. หยุดเดินไปเดินมาได้แล้ว ผมเวียนหัว”


     

    “ฉันชื่อลู่หาน!”


     

    “เออ..หาน หยุดเดินไปเดินมาได้แล้ว ผมเวียนหัว”


     

    “เรียกซะสนิทเชียวนะ” เขาหันกลับมาแหวใส่ผม จนผมงงจังงันไปเลย.. คนบ้าอะไรวะ ก็หันมาบอกอยู่แหมบๆว่าชื่อลู่หาน พอผมเรียกชื่อตรงๆก็หาว่าผมมาทำตีซี้เสียอย่างนั้น


     

    ..คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ท่าทางดูเครียดๆ”


     

    “ฉันทำของหาย”  เขาตอบกลับก่อนจะตบกระเป๋ากางเกงตัวเองอย่างหงุดหงิด.. “เมื่อกี้ก็พึ่งจะมานึกได้ว่ามันไม่อยู่กับตัวแล้วด้วย”

    หน้าตาของเขาดูเป็นกังวลมากจริงๆ จนทำให้ผมนึกรู้ได้ว่าของที่หายไปนั้นจะต้องมีความสำคัญกับเขามากแน่ๆ..

     
     

    “ของอะไร? ให้ผมช่วยหาไหม?”


     

    ไม่ต้องมายุ่ง!”

    เขาแหวใส่ผมอีกรอบ ดวงตาของเขาแดงก่ำอย่างน่ากลัว หนำซ้ำมือของเขายังสั่นระริกผิดปกติจนต้องกำชายเสื้อของตัวเองไว้แน่นเพื่อปกปิดความผิดปกติของร่ายกาย ซึ่งอาการของเขาทั้งหมดนี้ ทำให้ผมเริ่มเอะใจในความแปลกประหลาดของเขา

                ผมเขม้นมองเขาอย่างไม่แน่ใจนัก พอจะจำได้เลาๆว่าเพื่อนร่วมห้องของผมคนหนึ่งก็เคยมีอาการคล้ายๆกับคนตรงหน้าผมในตอนนี้  เพียงแต่ตอนนี้ไอ้หมอนั่นถูกเชิญให้ออกเพราะว่าติดเฮโรอีนเข้าขั้นรุนแรงจนสมองเลอะเลือนไปแล้วก็เท่านั้นเอง



     

                เดี๋ยว..เดี๋ยวนะ..


     

     

                ทำท่ายังกะอยากยา..”

    ผมโพล่งออกไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก จริงๆก็แค่พูดเดาสุ่มไปงั้นแหละ แต่ไม่คิดว่าไอ้ตัวเล็กข้างหน้าจะหันขวับกลับมามองผมด้วยสีหน้าตกใจ

     


     

                “นายรู้เหรอ..”

     

     

                เฮ้ย..เฮ้ย!

     

                “ไม่จริงน่า” ผมครางอย่างตกใจ อะไรจะโป๊ะเช๊ะขนาดนั้นวะ

     

     

                ตกใจอะไรนักหนา”

    ฮันนี่บอยตัวน้อยกระโจนเข้ามาหาผมอย่างน่าสงสาร เขากระโจนเข้ามาแรงมากจนโซฟาสีน้ำตาลมือสองของผมยุบไปเกือบครึ่ง และเขาก็ไม่หยุดคลานอีกเสียด้วย

     
     

    เลยกลายเป็นว่าตอนนี้ ผมจำต้องขยับตัวถอยหนีออกห่างจากตัวเขา ในขณะที่เขาก็แทบจะคลานขึ้นเกยตัวผมอยู่แล้ว

         

          

                คุณๆ..เดี๋ยว คุณ!” ผมรีบยันแผ่นอกผอมบางของเขาเอาไว้ หัวใจกระตุกเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกเหมือนจะตายเสียตอนนี้ให้ได้


     

                “อะไรเหรอ?”

    บ้าชิบหาย! ผมสบถในใจอย่างเสียศูนย์ ไอ้หมอนี่ดูใกล้ๆแล้วหน้าตาน่ารักชิบหายเลยโว้ย!


     

    ..แล้วไอ้ท่ามองช้อนสายตาตรงเป้ากางเกงยีนส์ผมนั้นมันอะไรกันละนั่น.. ดวงตากลมป๊อกกับนัยน์ตาขี้อ้อน พอมองต่ำไปเรื่อยๆ ริมฝีปากแดงสดน้อยๆนั่นก็เผยอออกอย่างจงใจเสียด้วย มองรวมแล้วๆ ก็ดูราวกับลูกหมาน้อยช่างยั่วที่น่าสงสารไม่มีผิดเพี้ยน



     

                “คริส..

    แม้จะแปลกใจอยู่บ้างที่จู่ๆฮันนี่บอยตัวน้อยก็สามารถเอ่ยเชื่อของผมได้ถูกต้อง แต่มันมีสิ่งที่ชวนให้ตกใจมากยิ่งกว่า ก็เพราะจากมุมที่ผมก้มลงไปมองยังเบื้องล่างนั้น.. ผมสามารถเห็นได้ชัดเจนเลยว่า บัดนี้ ฮันนี่บอยจอมยุ่งตัวนี้กำลังสาละวนอยู่กับซิปกางเกงยีนส์ของผมตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ และดูเหมือนเขาจะปลดซิปด้วยความไวที่เรียกว่าน่าจะเร็วพอๆกับลูกปืนเสียด้วย


     

                “คุณ” ผมเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา เหงื่อแตกซิกไม่ยอมหยุด

                “ยาที่คุณหานะมันไม่ได้อยู่ในเป้ากางเกงผมหรอกนะคุณ”



     

                “เหรอ..”

    ฮันนี่บอยตัวน้อยตอบเสียงแผ่ว.. แต่สายตาของเขานะไม่ได้จับจ้องมองมาที่ผมเลยสักนิด เขาเอาแต่จ้องอะไรสักอย่างที่กำลังนอนอย่างเป็นสุขอยู่ข้างในกางเกง
     

    และในตอนนั้นเอง..ที่เขาเงยหน้าขึ้นมองผมราวกับจะขออนุญาต.. ขนตางอนยาวได้รูปกระพือพึ่บพั่บจนทำให้สติของผมหลุดลอยออกนอกหน้าต่างไปเลย.. ผมกระพริบตาปริบๆเพราะไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี..แบบว่านี่มันเร็วไปไหมอะ.. คือ.. ยังไงดีละ ..ก็ยังไม่รู้จักกันดีเลยไม่ใช่เหรอ.. จู่ๆก็จะมาเป่าปี่ให้กันซะแล้ว.. ว่าแต่.. นี่มันยังไงกันนะ? แค่เพราะผมลงไปช่วยเขา เขาก็จะเป่าปี่ให้ผมเลยเหรอ? หรือเพราะว่ามันคือฤทธิ์ของยากันละ?


     

                โอ้ย คิดไม่ออกแม่งแล้ว ไอ้ชิบหาย!


     

    ผมยกมือขึ้นขยี้เส้นผมสลวยเหมือนรู้สึกจะตายลงไปให้ได้จริงๆ ก่อนที่ฮันนี่บอยจะจ้องมองอยู่สักพัก และค่อยๆจรดปลายนิ้วชี้เรียวสวยอย่างกับลำเทียนลงบน..นั่น..ของผม
     

    ผมครวญอึกอักในลำคออย่างคนที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับชีวิตต่อจากนี้.. ศีรษะเผลอหงายไปด้านหลังอย่างอัตโนมัติอีกต่างหาก..


     

                “อะไรเอ่ย..สงสัยจัง..”

     

    สงสัยกับผีนะซิ! ถ้ามีรางวัลออสการ์ ผมจะให้รางวัลออสการ์กับไอ้หมอนี่ไปเลย..


     

    ผมหันหัวกลับมา แลเห็นเขายิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะจรดปลายนิ้วชี้ลากขึ้นลงลงบนเป้าผมอย่างยั่วยวน.. บ้าเอ้ย ไอ้หมอนี่มันอยากยาจนเพี้ยนขึ้นมาแล้วหรือไง..ห่..าเอ้ย..สติผมชักจะชิบหายตามไอ้บ้านี่ไปอีกคนแล้วนะ

     

     

     

                อยาก..เลยอะ..ทำไงดี?”

     

    ผมอ้าปากเป็นตัวรูปโอค้างอย่างคนสติหลุดลอยออกนอกอวกาศไปแล้ว.. ในหัวผมนี่ขาวโพลนไปหมดเหมือนกับใครมาถมสีขาวเอาไว้..

     

     

                “นี่..ขอจับได้ไหม”

     

                โถ..พ่อคุณ..ยังจะทำมาเป็นถาม.. นิ้วก็จิ้มไปแล้ว ยังจะมาถามว่าขอจับได้ไหมอีก

     

     

     

                “ไม่ตอบเหรอ..ถ้าไม่ตอบ จะทำมากกว่าจับละนะ”

     

     

     

                “ไม่อยากยาแล้วเหรอไง..”

     

     

     

                ก็อยากอยู่นะ แต่ตอนนี้อยากอย่างอื่นมากกว่าอะ”

     

     

     

    ชิบหายผมครวญในใจเหงื่อแตกซิกขณะที่สายตาของผมก็ยังจ้องมองไอ้ตัวเล็กที่บัดนี้กำลังดูแฮปปี้สุดๆกับการได้คลึงๆจับๆ
     

    ชิบหายของแท้.. ก็เล่นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานขนาดนี้ก็ชิบหายเลยละซิครับเนี่ย.. ว่าแต่จะทำไงดีละ มือของผมก็ยังไม่หายดีเสียด้วย ทำอะไรๆก็ไม่ถนัดไปอีก

                ไม่ใช่สิ..ประเด็นมันไม่อยู่ตรงนั้นนะเว้ย คริสอู๋.. ประเด็นมันสมควรจะอยู่ตรงที่ว่า.. ผมเป็นผู้ชายฮันนี่บอยตรงหว่างขาผมก็เป็นผู้ชาย และที่สำคัญเขายังเป็นไอ้ขี้ยาที่พึ่งจะเลิกกับแฟนเก่ามาเมื่อครู่เสียด้วย


     

                “ผมไม่มีอารมณ์ที่จะมาเล่นอะไรเพี้ยนๆกับคุณหรอกนะ ฮันนี่บอย”

    ผมตอบเสียงอ้อมแอ้ม..ทั้งๆที่หูเหอแดงก่ำไปหมดละ.. โอ้ย ก็ภาพตรงหน้ามันชวนให้เสียวไส้สุดๆเลยนี่.. แล้วไอ้เสื้อคอวีสีไข่ไก่นวลๆที่หมอนี่ใส่มาก็แบบ..โคตรจะคอกว้างเลย.. เห็นถึงไส้ถึงไหนต่อไหนไปแล้วจริงๆ

         
          

                “แล้วถ้างั้น..เมื่อไหร่จะมีอารมณ์ละ”

     

                “ไม่รู้สิ” ผมเฉมองออกไปทางอื่นทันที ไม่กล้าสบตากับเขาเลย พับผ่าสิ  “ตอนนี้ผมยังไม่มีอารมณ์อะ ไม่อยากจะเอากับขี้ยา”

     


     

              พึ่บ

     

     

     

    สิ้นคำพูดของผม.. ฮันนี่บอยผู้มากับกลิ่นกายหอมน้ำผึ้งก็ลุกออกจากตัวของผมอย่างว่องไวพอๆกับตอนที่หมอนี่กระโจนเข้ามาตั้งแต่ทีแรก


     

                “อ้าว..คุณจะไปไหนนะ”

    ผมร้องถามออกไปอย่างโง่ๆ เมื่อเห็นฮันนี่บอยเดินพึ่บพั่บไปคว้าเสื้อโค้ทของตัวเองขึ้นมา ซ้ำยังกระแทกเท้าปึงปังอย่างคนอารมณ์เสียสุดๆ ..อารมณ์เสียมากกว่าเดิมอีก


     

                “จะกลับแล้ว”


     

                “ให้ผมไปส่งไหม?”


     

                “ไม่จำเป็น” เขาว่าก่อนจะหันมายิ้มเหยียดๆให้ผม  “ห้องฉันอยู่ข้างๆห้องนายนี่เอง


     

                คุณอยู่ห้องไหนนะ?”


     

                ห้อง 77” ฮันนี่บอยตอบกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะชูกุญแจห้องที่มีป้ายหมายเลข 77 ห้อยอยู่ให้ผมเห็นได้ถนัดตา



     

    อพาร์ตเมนต์ของผมมีชื่อว่า First Apartment นอกจากชื่อที่ฟังดูแปลกหูแล้ว ยังมีลักษณะพิเศษที่ผิดแปลกไปจากที่อื่นอีกอย่างหนึ่งก็คือ อพาร์ตเมนต์ที่ผมอยู่นั้นมีห้องให้เช่าเพียงทั้งหมดแปดห้องและมีเพียงแค่สามชั้นเท่านั้น
     

    โดยชั้นล่างหรือชั้นหนึ่ง เป็นออฟฟิศขนาดเล็กและมีห้องสามห้อง อันได้แก่ห้องหมายเลข 11 44 88 ซึ่งเป็นห้องพักรายวันสำหรับแขกขาจรที่หาโรงแรมไม่ได้

     ในขณะที่ชั้นสองเป็นชั้นสำหรับห้องพักที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ซึ่งใช้เป็นห้องพักรายเดือน อันได้แก่ห้องหมายเลข 33 55 77 00 ส่วนห้องหมายเลข 22 ที่อยู่ทางขวาสุด ถัดมาจากห้องหมายเลข 00 ของผมนั้น เป็นห้องที่เจ้าของอพาร์ทเมนต์ใช้เก็บพวกเอกสารหรือไม่ก็เครื่องไม้เครื่องมือบางอย่าง
     

     และสำหรับชั้นสามนั้นเป็นดาดฟ้าเปิดโล่ง มีสวนกระจุกกระจิกขนาดเล็กอยู่บนนั้น ซึ่งผมมักจะได้รับการไหว้วานจากมิสซิสสมิธ  หญิงชราเจ้าของอพาร์ทเมนต์ให้ไปดูแลสวนให้หล่อนอยู่บ่อยครั้ง ผมเองก็ได้รับค่าจ้างนิดๆหน่อยๆจากงานตรงนั้นด้วยเช่นกัน


     

                “คุณอยู่ห้อง 77 เหรอ? ย้ายมาเมื่อไหร่ละ?”


     

                “ก็นานแล้ว แต่นายไม่เคยสังเกตเห็นเองมากกว่า”  


     

                “งั้นเหรอ..เออ เดี๋ยวซิคุณ อย่าพึ่งไป.. มาคุยกันก่อนแป็ปนึงสิ”  ผมผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยายามรูดซิปตัวเองขึ้นอย่างยากลำบาก

         
          

    “อะไรอีกละ!” ฮันนี่บอยที่เดินไปจนถึงหน้าประตูห้องอยู่แล้วร้องโวยวายออกมาจนผมเหวอไปเลย

     “นายบอกไม่อยากเอากะขี้ยาไม่ใช่เหรอ”

     

     

                “โธ่ คุณ..” ผมครางอย่างอ่อนใจ “ก็ไม่เชิงหรอกนะ แต่เรายังไม่รู้จักชื่อกันเลย แล้วอีกอย่างเราก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ด้วย”

     

     

                ฮันนี่บอยถึงกับชะงักกึกทันทีที่ได้ยินคำอธิบายจากปากของผม.. เขาเหลือบสายตามองผมอย่างรู้สึกทึ่งเล็กน้อย จนทำใผ้มต้องเลิกคิ้วมองเขากลับอย่างแปลกใจและสงสัย

     

     

                “อะไร..?”

     

     

                คริสนาย..นายจำฉันไม่ได้จริงๆนะเหรอ?”

     

     

                “อ้าว” ผมร้องออกมาอย่างุนงง ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงพาซื่อ “ ทำไมคุณรู้จักชื่อผมละ? ว่าแต่..นี่เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอไง

     

     

    ฮันนี่บอยมองหน้าผมด้วยแววตาที่ยากจะอ่านได้.. ก่อนที่เขาจะเงยหน้ามองเพดานสีขาวนวลเพียงชั่วครู่ และหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้งเหมือนกับจะแช่แข็งกันให้ตายไปซะอย่างนั้น


     

                “แม่ง..สมองปลาทองชิบหายเลย

     

     





     

     

     

                และแล้วค่ำคืนนั้นก็จบลงตรงที่ว่า ผมถูกฮันนี่บอยปิดประตูใส่หน้าเข้าอย่างจัง..ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินปึงปังออกไปจากห้องโดยที่ไม่ยอมทำแผลของตัวเองแต่อย่างใด..แต่ไอ้ครั้นจะให้ผมตามไปซักถามต่อก็เห็นทีว่าจะไม่ใช่เรื่อง  ผมจึงเลือกที่จะยืนอยู่ในห้องต่อไปเสียดีกว่า และคอยอธิษฐานในใจอย่างเงียบๆว่า ขออย่าให้ตัวเองได้มาเจอกับฮันนี่บอยสุดประหลาดที่เกือบจะปล้ำผมคนนี้อีก


     

    ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จ้องมองไปที่นาฬิกาดิจิตอลบนฝาผนัง.. ตัวเลขบนหน้าจอทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้อีกเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้นก็จะเป็นเวลาตีสองของวันที่ยี่สิบสอง ธันวาคม..


     

    แล้วนี่ผมพบกับฮันนี่บอยคนนั้นตอนกี่โมงกันน่ะ? ..ห้าทุ่ม สิบนาทีใช่หรือเปล่า? .. ผมส่ายศีรษะไปมาอย่างมึนงง ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต้ะทำงานของตัวเอง คว้าไดอารี่ที่มีหน้าปกรูปลูกแมวสีพาสเทลที่ถูกวางบนโต้ะขึ้นมา และจรดปากกาลูกลื่นลงบนหน้าใหม่ล่าสุดที่ยังขาวสะอาดตา

     






     

     

    22 ธันวาคม 2014 2.00 AM

    Boston, USA

     

                                             The Supreme  เคยบอกไว้ว่า..                          
    “Honey boy is his name
    He's sugar, he's spice
    He's everything that's nice”

    ซึ่งตอนนี้ ผมว่าผมเห็นด้วยแค่สองท่อนแรกเท่านั้นแหละ.. เขาทั้งหวาน ทั้งเผ็ด แต่มันไม่ได้หมายความว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาจะต้องดีอย่างในท่อนสุดท้ายหรอกนะ.. เนื้อเพลงนี้มันชักจะมั่วไปกันใหญ่ละ.. แต่ก็เอาเหอะ.. ถึงยังไงมันก็เป็นเพลงที่ผมชอบนะละ ผมว่าอะไรมากไม่ได้หรอก

    ว่าแต่.. ผมจะต้องหลีกเลี่ยงฮันนี่บอยที่ทั้งเผ็ดและหวานคนนั้นยังไงดีนะ?

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     






     

    22 ธันวาคม ค.2014



     

    เช้าวันที่ยี่สิบสอง ธันวาคม ก่อนวันคริสต์มาสเพียงแค่สามวันเท่านั้น.. ผมเดินสะโหลสะเหลเข้าห้องเลคเชอร์อย่างไร้จิตวิญญาณ  ใต้ตาของผมดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพียงแต่สวมแว่นเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนเท่านั้น

    ผมกระชับผ้าพันคอแคชเมียร์ให้เรียบร้อย ก่อนจะเปิดประตูห้องเลคเชอร์ขนาดใหญ่เข้าไป.. วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมเข้าเรียนตามเวลาปกติ ซึ่งหมายความว่า ไม่เช้าและไม่สายจนเกินไป


     

    “Homie!”

     

    เสียงทักทายทุ้มต่ำที่แสนจะคุ้นเคย เจฟ วิลสัน เพื่อนลูกครึ่งผิวสีของผมร้องทักทายจากที่นั่งเยื้องๆชั้นบน.. ผมกระตุกยิ้มเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก่อนจะสาวเท้าเดินตรงไปที่เขา โดยไม่ลืมที่จะเอ่ยทักทายพวกผู้หญิงในชุดแฟชั่นหน้าหนาวของ Frankie Morello ที่กำลังยืนส่งเสียงกระซิบกระซาบอยู่รายล้อมตามทางเดิน

     


     

    “Hot as always” (ยังฮอตเหมือนเดิมเลยนะ)


     

    เจฟกระเซ้าผมด้วยใบหน้าล้อเลียน ผมหัวเราะ ก่อนจะกำหมัดชกไหล่เขาเบาๆไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก แจ่จู่ๆเจฟกลับหรี่ตา เขม้นมองผมอย่างแปลกใจ


     

    “Homie..What’s happened? Your face! Did ya have a fight!”
    (เพื่อน เกิดอะไรขึ้น? หน้านาย นายไปทะเลาะกับใครมา!)


     

    ผมเผลอยกมือขึ้นแตะบริเวณโหนกแก้มของตนเองอย่างอัตโนมัติ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมต้องส่งเสียงสูดปากอย่างเจ็บปวด ถ้าให้เดานะผมว่าตอนนี้มันต้องมีรอยช้ำๆม่วงๆขึ้นแหงๆ



     

    “it’s okay” (โอเคน่า)


     

    “Nah..It’s not okay. Who did this?”
    (ไม่อ่ะ มันไม่โอเคนะเนี่ย ใครทำนาย?)

     


     

    Nothing”(ไม่มีอะไรหรอก)



     

    “Fine. I won’t force you” (โอเค..ฉันจะไม่บังคับนายละกัน)



     

    ผมยักไหล่ขึ้นอย่างไม่ใส่ใจมากนัก สำหรับคนอื่นๆมันคงจะดูเสียมารยาทมาก แต่สำหรับเจฟ ผมคิดว่าเขาคงเข้าใจผมดีธรรมชาติของผมเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดมากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว  และที่ผมพยายามบอกปัดไม่ตอบคำถามของเขา.. ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจเขาหรือไม่สนิทอะไรกับเขาหรอกนะ แต่ผมคิดว่าไอ้ต้นเหตุของรอยแผลบนหน้านี่มันเป็นเรื่องที่โคตรจะไร้สาระเลย
     

     ..จะให้ผมบอกกับเขาเหรอว่า นี่นาย ฟังนะแผลบนหน้าฉันเกิดขึ้นจากการเข้าไปเสือกไร้สาระกับคู่โฮโมเซ็กชวลที่มาตีกันหน้าอพาร์ทเมนต์ของฉันเองล่ะ

     

    --แบบนั้นอะเหรอ? จะให้ผมบอกเขาแบบนั้นนะเหรอ.. ไม่ดีกว่า ผมอยู่กับเจฟมานาน ผมรู้นิสัยของเขาดีว่าต่อจากนี้เขาคงจะซักถามผมเป็นบ้าเป็นหลัง.. และก็คงต้องมีสักครั้งแหละที่ผมจะต้องเผลอหลุดปากเรื่องของฮันนี่บอยหน้าหวานไป หลังจากนั้นก็จะ บรึ้ม!  ข่าวซุบซิบจะกระจายไปทั่วมหาวิทยาลัย.. คริส อู๋..หนุ่มหล่อเริ่ดโปรไฟล์เยี่ยมมีรสนิยมทางเพศที่ผิดแปลก..



     

    ฉะนั้นแล้ว..ผมที่เป็นพวกสายตากว้างไกล จึงขอเลือกที่จะหุบปากเอาไว้ดีกว่าแล้วก็แอคท่าเท่ๆเหมือนแบดกายทั่วไป ทำเหมือนกับแผลบนหน้าเป็นรอยมาร์คแห่งเกียรติยศอะไรทำนองนี้..

     

     

     

     

     




     

    พอพักเที่ยง.. เจฟก็ขอตัวแยกไปกินข้าวกับแฟนสาวของเขา เมลานี? หรือแมรี่? หรืออะไรสักชื่อหนึ่ง ซึ่งหน้าตาของเจ้าหล่อนผมก็จำได้พอลางๆเท่านั้น ทั้งๆที่พวกเขาก็คบกันมาได้เป็นปีๆแล้วแท้ๆ
     

    แต่ก็นะ.. รู้สึกว่าหล่อนจะเป็นสาวเอเชียจากรัฐเวอร์จิเนียแล้วก็ท่าทางจะเป็นคนสวยมากเสียด้วย เพราะเห็นหนุ่มๆผิวขาวตามตื๊อกันเป็นพรวน ทว่าเธอกลับมาคบกับเจฟที่เป็นคนผิวสี แทนที่จะเลือกไปควงพวกผู้ชายผิวขาวที่รวยกว่าหรือหล่อกว่า
     

    ที่ผมจำเรื่องยิบย่อยพวกนี้ได้ ก็เพราะว่า..มันค่อนข้างเป็นที่ฮือฮาในวงกว้างอย่างมาก เพราะในเมื่อทุกวันนี้อัตราการเหยียดสีผิวในบอสตันนั้นค่อนข้างสูงเป็นลำดับต้นๆของประเทศสหรัฐอเมริกา และแม้ว่าในบอสตันเอง จะมีประชากรชาวผิวสีมากเป็นอับดับสองรองจากชนผิวขาว แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ในเมื่อการเหยียดผิวยังคงเกิดขึ้นทุกหนทุกแห่งในพื้นที่แห่งนี้ และตัวของเจฟเองก็เช่นกัน ในบางครั้ง เขาก็ต้องอดทนรับสายตาเหยียดหยามจากพวกผิวขาวซีดหน้าแหลมเสี้ยมบางคน และที่เลวร้ายไปกว่านั้น ..ก็มีไอ้พวกเวรที่ไหนไม่รู้ถ่มน้ำลายตามหลังเขาทุกครั้งที่เขาเดินผ่าน.. ซึ่งขอพูดกันตรงๆเลยว่า ถ้ามีใครมาทำแบบนี้กับผม ผมเอามันตายแน่

     

     


     

    ผมเดินเข้าคาเฟ่เทอเรียของมหาวิทยาลัยอย่างนึกเบื่อหน่ายกับสภาพอากาศอันแสนขมุกขะมัว วันนี้โชคยังดีที่ฝนไม่ตกหนักมากนัก.. ใช่แล้วละ.. ที่บอสตัน แม้จะมีอากาศหนาวเย็นมากเพียงก็ใด ก็ตามแต่ฝนก็ยังคงตกอยู่ได้ อย่างเช่นวันนี้.. อุณหภูมิอยู่ที่ราวๆแปดองศาเซลเซียส แต่ทว่าฝนก็ยังคงตกโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง

     
     

    ถ้าปิดเทอมเมื่อไหร่ จะไปอยู่ที่ร้อนๆเลยแม่งเอ้ย


               

    ผมบ่นในใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะยัดหูฟังใส่หูตัวเองอย่างแรง จัดการเปิดวอลลุ่มเสียงเพลงให้สุด ขณะที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้พร้อมกับจานใส่มักกะโรนีแหยะๆ  



     

    อากาศที่นี่หนาวเกินไปแล้วก็น่าหดหู่เกินไป กระทั่งเสียงเพลง Honey Boy ที่ผมชอบนักชอบหนาก็ไม่อาจทำให้ผมอารมณ์ดีได้

     

    ผมหัวเสียอยู่กับตัวเองคนเดียวอย่างเงียบๆขณะที่จิ้มอาหารเข้าปาก ผมไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมตัวเองต้องอัปเปหิตัวเองมาเรียนไกลถึงที่นี่.. ทำไมผมไม่เลือกที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยสักที่ ที่ๆมันมีอากาศที่ดีกว่านี้



     

    อ้อ.. แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่เป็นฝ่ายตัดสินนี่ในเรื่องนี้นั้น ถ้ามองกันลึกๆ ก็คงต้องกล่าวโทษแม่บังเกิดเกล้าของผมแล้วละ แม่คนที่หลงสามีใหม่อย่างโงหัวไม่ขึ้น



     

    ผมไม่โทษแม่หรอก..จริงๆนะ ..ไม่เคยนึกโทษเลย ผมหมายถึงว่า ถ้าสมมติคุณเป็นผู้หญิงที่ต้องอดทนอยู่กับความรุนแรงในครอบครัวมาเป็นเวลาหลายปี ผมมั่นใจว่าพวกคุณคงจะหนีไปนานแล้ว ไม่อาจใช้ชีวิตภายใต้นรกอย่างนั้นได้หรอก

     

    แม่ของผมเองก็เช่นกัน.. ตั้งแต่ผมจำความได้ ผมก็เห็นพ่อเอาแจกันฟาดหัวแม่แล้ว ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงร้องไห้วิงวอน เสียงของปลิวว่อนทั่วบ้าน แม่ที่มักจะเอาหน้าตาฟกช้ำไปรับไปส่งผมที่โรงเรียนบ่อยๆ  ทำให้ผมต้องรู้สึกอับอายเพื่อนๆ ทำให้ผมตกเป็นประเด็นอย่างสนุกปากของพวกคุณครู  ตอนเด็กๆผมเลยโกรธแม่มาก แต่พอเห็นพ่อตีแม่ทีไร ผมก็หายโกรธแม่แล้ว แต่กลับมาโกรธตัวเองมากกว่าที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากซุกตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้า หลีกหนีจากบิดาผู้ซึ่งมีอารมณ์คุ้มดีคุ้มร้ายและอาจจะเบนเข็มมาระบายอารมณ์ที่ผมได้ทุกเมื่อ

     


     

    เรื่องราวแต่หนหลังพาลทำให้ผมกินอะไรไม่ลงอีก นอกไปเสียจากการเลื่อนจานไปข้างหน้า จมจ่อมอยู่กับในห้วงอารมณ์ความคิดของตนเอง..
     

    ก็ดีแล้วละที่ตอนนั้นแม่เลือกที่จะฟ้องหย่ากับพ่อ ดีแล้วที่แม่ได้รับสิทธิในการเลี้ยงดู แล้วก็ดีมากๆเลยด้วยที่ไอ้พ่อเวรๆนั่นตายไปก่อนเพราะยาเสพติด  มิฉะนั้นป่านนี้ผมคงจะกลายเป็นไอ้เด็กเวรที่ใช้ชีวิตอยู่ในมุมมืดที่ไหนสักแห่งในประเทศที่มลพิษเยอะแยะขนาดนั้น





     

    “เอาเถอะ..คริส คิดเรื่องเก่าๆไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมา”

    ผมบ่นพึมพำปลอบใจตนเอง ก่อนจะตัดใจเลื่อนจานมักกะโรนีเข้าหาตนเองเพื่อกลับมาจัดการฟาดมันให้เรียบ  ในขณะที่เพลง honey boy ก็ยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ เพราะผมกดให้มันเล่นอยู่แค่เพลงเดียว..




     

    แต่แล้วจู่ๆ กลับปรากฏเงาร่างๆหนึ่งซึ่งมายืนค้ำศีรษะอยู่เบื้องหน้าผม ผมค่อยๆไล่ระดับสายตาจากเสื้อสเวตเตอร์สีเขียวอ่อนของคนตรงหน้า ไปจนถึงลำคอขาวเนียน กับใบหน้าน่ารักราวกับลูกหมา.. ก่อนที่ผมจะได้สบประสานสายตากับนัยน์ตาหวานซึ้ง ได้เห็นรอยยิ้มสดใสจากริมฝีปากแดงฉ่ำ เส้นผมสีคาราเมลอ่อนสลวยดูน่าสัมผัสและกลิ่นน้ำผึ้งอ่อนก็แผ่กำจายออกมาโดยรอบ

     


     

    Honey boy?

     

     

     

     

     

     

     


     

     

    ชิบหาย..     

    ผมสบถในใจก่อนจะหันมองโดยรอบ.. มีน้อยคนนักที่จะสนใจฮันนี่บอยหน้าอ่อน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีบางคนที่แอบเหล่มองมาทางผมบ้างอย่างสงสัยบ้าง..

     

    คือผม..ก็นับว่าเป็นคนดังคนหนึ่งของมหาวิทยาลัยใช่ไหมละ.. แล้วจู่ๆก็มีเด็กเอเชียหน้าตาน่ารักที่มีไอ้นั่นครบถ้วนทุกประการเดินเข้ามานั่งเบียดใกล้ๆผมแบบนี้..



     

                “ไปนั่งห่างๆก็ได้มั้ง”

    ผมถอดหูฟังออก ก่อนจะกัดฟันพึมพำบอกเขาเป็นภาษาจีน แต่ฮันนี่บอยกลับช้อนตามองผมอย่างขี้อ้อน จนผมต้องถอนหายใจเฮือกพร้อมกับยอมรับความพ่ายแพ้ของตัวเองอย่างราบคาบ


     

                นั่งแบบนี้..ก็อบอุ่นดีออกนะ”


     

                “ใช่..ก็อบอุ่นดี..แต่มือนะ ไม่ต้องมายุ่งกับน้องชายผมได้ไหมคุณ”


     

    ฮันนี่บอยหัวเราะพรืด ก่อนจะเลื่อนมือมาวางที่ต้นขาแน่นๆของผมแทน.. แม่เจ้า เมื่อกี้ผมสาบานได้เลยว่าเขาเอามือวางบนไอ้นั่นของผมจริงๆด้วยอะ ซ้ำยังใช้มือลูบๆมันอีก

    โอ้ย พ่อคุณเอ้ย
    ..ฮันนี่บอยคนนี้ทั้งเผ็ดทั้งหวานสมเนื้อเพลงของ The Supreme จริงๆ



     

                “วันนี้มาทำอะไรที่นี่อะ?”

    ผมถามไปงั้นๆแหละ ไม่ได้สงสัยอะไรเลย พับผ่าสิ ไม่ได้อยากรู้ด้วยว่าหมอนี่จะมาหาแฟนเก่าเมื่อคืนหรือเปล่า

               

     

                แวะมาเอาของสำคัญนะ”

     

     

    ของ?”

     

     

    “อย่ามารู้เลย”

     

     

    แล้วความเงียบชั่วอึดใจก็เข้าปกคลุม.. ผมหันไปมองเห็นเขาเท้าคาง  ต้องยอมรับเลยจริงๆว่า ขนตาของคนข้างๆตัวนี่มันทั้งงอนทั้งยาวสวย ซ้ำยังหนาเป็นแพแบบไม่ต้องพึ่งมาสคาร่าเลยด้วย  ..เป็นขนตาแบบที่สาวๆสมัยนี้อยากได้กันชัดๆ.. แล้วไอ้ใบหน้าน่ารักด้านข้างนี่มันอะไรกันละ.. จะน่ารักมากไปมั้ยวะ..

     

     

    ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พยายามควบคุมฮอร์โมนเพศชายที่พุ่งเอาๆ ก่อนจะเลื่อนสายตามามองนิ้วมือเรียวสวยที่โผล่พ้นแขนเสื้อสเวตเตอร์ที่คลุมยาวจนถึงฝ่ามือของเขา ท่าทางในยามนี้ของเขาดูน่ารักราวกับภาพของกามเทพตัวน้อยๆที่ผมมักจะเห็นที่โบสถ์ทุกวันอาทิตย์ผมสีน้ำตาลคาราเมลส่องประกายกับแสงจากไฟนีออน เขาทำให้พื้นที่ที่แสนจะขะมุกขะมัวเหล่านี้สว่างไสวในชั่วพริบตา

     

     

     

                “จ้องแบบนี้..ชักรู้สึกอยากโดนกินขึ้นมาแล้วแหะ”

     


     

    ชิบหาย..

    ผมสบถเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวัน.. ฮันนี่บอยยังคงมีรอยยิ้มแต้มที่มุมปากหลังจากที่เขาพูดคำนั้นออกมา ในขณะที่ผมต้องรีบหันหน้าหนีไปจ้องมองทางอื่นเพราะรู้สึกว่าหัวใจมันจะรับไม่ไหวเอานะสิ

     

     

                “ไปนั่งไกลๆเหอะ..คนมองแล้วนะคุณ”

    ผมจงใจบ่นออกมาอย่างเสแสร้ง.. จริงๆนั่งเบียดๆชิดๆกันแบบนี้ก็อบอุ่นดีนะ แต่ก็ไม่ค่อยอยากจะยอมรับเท่าไหร่หรอก

     

     

                “ปากแข็ง”

    ฮันนี่บอยพึมพำเสียงแผ่ว ก่อนจะซบศีรษะน้อยๆลงมาบนไหล่ของผมที่บัดนี้นั่งตัวแข็งทื่อเป็นรูปปั้น และถ้ามือหนึ่งถือคบไฟอีกหน่อย ก็ใช่เลย..ผมสามารถเป็นเทพีสันติภาพตอนนี้ได้เลย..

     

     

                “นี่คุณ..”

    ผมเอ่ยอย่างไม่แน่ใจนัก แต่ก็ขนาดนี้แล้ว..ในเมื่อเขาใจกล้ามาขนาดนี้แล้ว ทำไมผมไม่ปล่อยให้อะไรที่สมควรจะเกิด มันเกิดๆไปละ.. ไม่รู้ว่าผมจะดื้อดึงขัดขืนมันไปถึงไหนกัน.
     

    ผมสะดุ้งโหยงให้กับความคิดสีมัวของตนเอง.. ก่อนจะพยายามใช้มือข้างหนึ่งตบเข้าที่แก้มตัวเองเบาๆอย่างเรียกสติ..
     

    ไม่.. ไม่นะ คริส อู๋ ..ภาพพจน์..ภาพพจน์ที่สั่งสมมา ภาพลักษณ์ของชายหนุ่มหล่อเหลาที่เงียบขรึม.. นายจะปล่อยให้ไอ้ขี้ยาที่พึ่งเจอกันเมื่อวานข้ามกำแพงมาแบบนี้ไม่ได้นะ

     

     

     

                ความคิดของผมตีกันวุ่นวาย แต่ก็ต้องขอบคุณเสียงสวรรค์จากใครสักคนที่เดินเข้ามาทักผม.. เขาทำให้ผมได้สติ พร้อมๆกับที่ฮันนี่บอยจำต้องผละออกจากไหล่ของผมโดยทันที




     

    “Woah! SO,Those rumors are real” (โอ้โห้.. งั้นข่าวลือพวกนั้นก็เป็นจริงซินะ)


     

    “Fuck…”


     

    “ You are back. Han” (พี่กลับมาแล้ว หาน)

     

    ผมหันไปมองฮันนี่บอยอย่างประหลาดใจที่จู่ๆผู้หญิงเอเชียหัวฟู เมลานี? แมรี่? หรืออะไรสักชื่อที่เป็นแฟนสาวของเจฟ ก็เดินเข้ามาทักทายลู่หานอย่างสนิทสนม พร้อมๆกับที่เจฟหันมาทำหน้าตาพิสดารใส่ผม
     

    ‘What?’ ผมอ้าปากพะงาบๆพูดกับเจฟโดยที่ไร้เสียง ในขณะที่เจฟเอาแต่ส่ายหัวไปมาก่อนจะบุ้ยปากให้ผมหันไปสนใจสองคนนั้นต่ออย่างเกาะติดสถานการณ์



     

    “How are you? Is Everything fine?”  (เป็นไงบ้างอ่ะ? เรียบร้อยดีไหม?)


     

    “None of your fucking business”  (อย่าเสือกได้ป่ะ)


     

    ฮันนี่บอยตอกกลับไปอย่างเย็นชา.. ใบหน้าที่ราวกับจะไม่แยแสทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวทำให้ผมรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก

     

    ผมนั่งตัวแข็ง..หันไปมองเจฟอย่างขอความคิดเห็น แต่ทว่าเพื่อนของผมกลับยักไหล่ขึ้น เสมือนจะบอกผมว่า เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน..


     

    “Do you know him?” (รู้จักเขาเหรอ)

    ผมตัดสินใจสอดปากออกไปถาม แต่แล้วฮันนี่บอยกลับหันมาจ้องผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อซะงั้น

     

     

    “Of course! He is my brother.” (แน่นอนซิ! เขาเป็นพี่ชายฉันนี่!)

     

     

    “Not anymore” (ไม่ใช่อีกแล้วละ)

     

    จังหวะการพูดแทบจะพร้อมๆกันอย่างน่าพิศวง.. ผมเหล่มองฮันนี่บอยจากทางหางตา ก่อนจะหันหน้าไปมองแฟนของเจฟที่หน้าตาดูเสียใจเอามากๆ จนผมชักเริ่มจะเข้าใจอะไรลางๆ..

     

     

              โอเค..ปัญหาครอบครัวขอผ่านละกัน..ไม่ค่อยอยากยุ่ง

     

     

     

    “คุยกับน้องสาวนายไปนะ..ฉันจะไปละ”

    ผมรีบลุกขึ้นก่อนจะโพล่งออกมาเป็นภาษาจีน ให้ตายซิ..มันน่าอึดอัดจริงๆนะ บรรยากาศที่ขะมุกขะมัวอยู่แล้ว คราวนี้กลับเป็นหนักขึ้นกว่าเดิมเสียอีก

     

     

    “I’ll go with you (ฉันจะไปด้วย)

     

     

    “Nope (ไม่ต้องหรอก)

     ผมบอกปัดอย่างรวดเร็ว เพราะจู่ๆฮันนี่บอยก็ผุดลุกตามผมมาซะงั้น

     
     

                You better stay (นายอยู่นี่แหละ)

     

     

    “No fucking way.I’ll go with you (ไม่มีทางแม่งหรอก ฉันจะไปกะนายด้วย)

     

     

    ผมชะงักทันทีเมื่อรู้สึกว่าชายเสื้อของตัวเองถูกดึงเอาไว้ พอหันกลับไปจึงได้เห็นสายตาเจ็บปวดที่น่าสงสารของเขา และพอหันไปมองทางเจฟแล้วก็แฟนของเขา ..ผมเห็นเจ้าหล่อนทำหน้าตาที่เหมือนจะร้องไห้..ซึ่งทั้งหมดนั่น ทำให้ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนแบบสุดใจ

     

     

                “Han.. I should tell the cops about it. I SHOULD..”  (พี่.. ที่จริงแล้ว ฉันควรจะบอกตำรวจเกี่ยวกับมัน.. จริงๆแล้วฉันควรจะบอก..)

     

     



     

                ฮู่..

     

    ผมว่าสถานการณ์ตรงหน้าชักจะบานปลายมากไปแล้วจริงๆ.. หน้าตาของฮันนี่บอยก็แย่ลง..แย่ลง เรื่อยๆแล้วด้วย.. ภายในดวงตาอันแสนหวาน ผมเห็นประกายของความทุกข์โศกสว่างวาบอยู่ในนั้น.. และมันก็บังเอิญคล้ายคลึงกับดวงตาอันเจ็บช้ำของผมสมัยยังเด็กเสียด้วยซิ

     

     

                “it was just an accident, I should tell .. (มันเป็นแค่อุบัติเหตุ..ฉันควรจะบอก..)

     

     

                “มากับฉันดีกว่า”

     

    ผมเอ่ยเสียงนิ่งก่อนจะคว้าข้อมือของหนุ่มน้อยน้ำผึ้งและออกแรงลากเขาไปอีกทาง โดยไม่สนใจเสียงตะโกนไล่หลังร้องเรียกชื่อ หานจากปากผู้หญิงคนนั้นอีก

     

                คือ..ผมก็..ไม่รู้หรอกนะว่าที่ผู้หญิงคนนั้นจะพูดนะคืออะไร.. แต่ชั่ววินาทีนั้น แค่เห็นหมอกควันในดวงตาของฮันนี่บอยกับสีหน้าหดหู่ของเขา.. ผมก็รู้สึกว่า นั่นมันสุดจะทนแล้วจริงๆ..

     

     

     

     




     

     

     

     

     

     

     


     

                ท่ามกลางท้องฟ้าสว่างๆและอุณหภูมิเกือบติดลบผมพาเขาออกจากมหาวิทยาลัย และนั่งรถออกมาเรื่อยๆ จนถึงถนน Browne Street

    จากนั้นจึงเดินกุมมือเขามาเรื่อยๆจนมากระทั่งถึงถนน Babcock street --ถนนเก่าๆที่มีแต่กำแพงเพ้นท์สีแล้วก็อะไรไม่รู้เยอะแยะ แต่ทว่าเส้นทางน่ากลัวแบบนั้น มันกลับเป็นเส้นทางลัดที่ช่วยทำให้ผมไปถึงอพาร์ทเมนต์ของผมได้เร็วกว่าที่คิด



     

                ตลอดระยะเวลาที่เดินออกจากมหาวิทยาลัย มาจนถึงตอนนี้..  ฮันนี่บอย.. หรือผมควรจะเรียกเขาว่าลู่หานดีนะ?  

     

    ก็นั่นละ.. หลังจากนั้น ลู่หานก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เขาเอาแต่เดินเงียบๆอยู่อย่างนั้น สายตาทอดยาวไกลไปตามเส้นทางที่ไม่มีสิ้นสุด ผมเห็นเพียงแต่ความว่างเปล่าในสายตาของเขา.. เป็นห้วงแห่งความมืดมิดที่สัมผัสได้ถึงความดำมืด



     

                หนาวไหม..”

    ผมถามเขา แต่เขากลับส่ายหน้า.. ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมก็ยังดื้อดึงที่จะสวมผ้าพันคอแคชเมียร์ของผมให้เขา..  
     

                ลู่หานเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างขอบใจ..รอยยิ้มเขินอายพลันปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา..แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงตามเดิม..บรรยากาศกลับไปเย็นยะเยือกและเงียบงันไม่มีอีกแล้ว รอยยิ้มที่อ่อนหวานของฮันนี่บอยตัวน้อย


     

    ในตอนนั้นเอง..ความทรงจำที่เคยกระจัดกระจายในหัวผมก็เริ่มกลับคืนมาทีละเล็กทีละน้อยดั่งภาพจิ๊กซอว์ที่ถูกต่อกันจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์



     

    .. ภาพเมื่อตอนปีหนึ่ง….ในฤดูหนาวที่หิมะตกหนัก ผมเดินเข้าห้องสมุด ตั้งใจจะไปหาหนังสือสักเล่มมาทำรายงาน  แต่กลับรู้สึกได้ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งกำลังจับจ้องมองผมจากทางด้านหลัง  พอหันกลับไป ก็ได้ประสานสายตากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเท้าคางมองผมจากโต้ะที่ไม่ห่างกันนัก เขาส่งรอยยิ้มที่ดูเขินอายมาให้ ซึ่งขัดกับท่าทางของเขาที่ดูราวกับน้ำแข็ง
     

    และความขัดแย้งแต่ลงตัวเหล่านั้นเอง ทำให้ผมต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมค้อมศีรษะทักทายเขา..  ทั้งๆที่ผมไม่รู้จักชื่อของเขาเลยด้วยซ้ำไป.. รู้เพียงแค่ว่า เขาก็เป็นเด็กใหม่เหมือนกับผม


     

    ราวกับหน้าหนังสือที่ไม่อาจเปิดย้อนไปได้อีก.. มันเป็นเรื่องบังเอิญเอามากๆ เพราะไม่ว่าผมจะไปห้องสมุดคราใดก็ตาม ผมก็มักจะเห็นหนุ่มน้อยคนนั้นนั่งอยู่ที่เดิมอยู่ตลอดเวลา..ที่นั่งริมหน้าต่าง..แสงตะวันสาดส่องหยอกล้อกับเส้นผมสีน้ำตาลสลวยและใบหน้าหวานละมุนละไมที่แฝงแววโศกอยู่ตลอดเวลา..
     

    รอยยิ้มเขินอาย กับเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์ในฤดูหนาว.. ผมไม่เคยพูดคุยกับเขา แต่เรามักจะชอบจ้องหน้ากันเงียบๆอยู่ราวๆสามนาที..

     

    เป็นสามนาทีที่ไม่มีวันลืมจริงๆ

     

     


     

    หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ผมก็เห็นเขาคนนั้นอีกครั้ง..ทว่าไม่ใช่ที่ห้องสมุดเหมือนคราวอื่นๆ  แต่กลับเป็นที่ย่านไชน่าทาวน์อันพลุกพล่านไปด้วยผู้คนมากมายแทน

     

    ในย่านไชน่าทาวน์.. ที่หน้าภัตตาคารอาหารจีนร้านหนึ่ง ตอนนั้นเป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกมากแล้ว.. ผมเห็นผู้คนมากมายยืนมองอะไรสนุกๆอยู่แถวนั้น ผมกับเพื่อนจึงหาทางแทรกฝูงชนเข้าไปดู และสิ่งที่เราทั้งหมดเห็นนั้นก็ทำให้ผมจำได้ไม่มีวันลืมอีกครั้งหนึ่ง..


     

                เด็กผู้ชายผมสีน้ำตาลกับรอยยิ้มเขินอายคนนั้น..ในมือมีมีดเล่มยาวเปรอะเลือด เบื้องหน้าเขาคือหญิงสาววัยกลางคนที่นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าภัตตาคาร เสียงหวอของรถพยาบาล และเสียงไซเรนวุ่นวายตีกันไปหมดจนน่าปวดหัว
     

    แต่ทว่าสีหน้าของเขาในตอนนั้นช่างเยือกเย็นไม่ต่างจากเกล็ดหิมะที่เริ่มโปรยปราย.. นั่นเป็นสีหน้าที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน..


     

    ในช่วงที่หิมะแรกของปีนั้นกำลังตกสายตาของเขาเบิกกว้างเมื่อประสานเข้ากับสายตาของผม..และนั่นก็เป็นภาพสุดท้ายที่ผมเห็นเขา ก่อนที่ตำรวจจะกรูกันเข้ามา..

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    23 ธันวาคม 2014

               

    กว่าผมจะเลิกเรียนก็บ่ายสองแล้ว.. วันนี้นับเป็นวันที่หนักหนาพอตัว ผมหมายถึงว่าอีกไม่กี่วันก็จะคริสต์มาสแล้ว และใกล้จะถึงวันหยุดยาวด้วย แต่คณาจารย์คณะโบราณคดีดันนึกคึกอะไรก็ไม่รู้ พวกเขาสั่งงานให้ทั้งคลาสไปเขียนรายงานความยาวสิบห้าหน้ากระดาษเรื่อง อารยธรรมและร่องรอยของจีนโบราณสมัยราชวงศ์ถัง และมีกำหนดส่งงานทางอีเมล์ภายในวันที่ 30 ธันวาคมนี้

     


     

    สั่งงานกันได้ไม่เกรงใจวันของพระเจ้าเลยจริงๆ

     

    ผมคิดขณะเดินย่ำเท้าต๊อกต๊อกกลับอพาร์ทเมนต์ จริงๆระยะทางจากมหาวิทยาลัยกลับอพาร์ทเมนต์ผมก็นับว่าไม่ไกลมากนัก แต่ก็ไม่ใกล้เช่นกัน ที่เลือกจะเดินกลับคราวนี้ก็เพราะว่าเกิดจากอารมณ์ครึ้มอกครึ้มใจของตนเองล้วนๆและตั้งใจจะซื้อวัตถุดิบบางอย่างจากห้างใกล้บ้าน เพื่อที่ผมกลับอพาร์ทเมนต์ไป ผมจะได้แสดงฝีมือในการสปาเกตตีสูตรเด็ดแสนอร่อยให้ลู่หานได้กิน


     

    ใช่แล้วละ ผมรู้ว่าเขาเคยเป็นฆาตกร..แต่ผมไม่สนหรอก ถ้าพูดกันตามตรงแล้วก็นะ..


     

    เมื่อวาน..พวกเราเดินกันมาอย่างเงียบๆจนถึงอพาร์ทเมนต์ ผมส่งลู่หานเข้าห้องอย่างนิ่งเฉยจนตัวเองยังรู้สึกตกใจในความเงียบของตัวเอง.. ก่อนที่ผมจะกลับมานั่งคิดห่.าอะไรไม่รู้จนถึงเที่ยงคืน ก่อนที่จะตัดสินใจค้นหาข่าวเก่าๆในเว็บประจำเมืองอย่างคนบ้า

     

     

     

                สองปีก่อน.. เกิดเหตุฆาตกรรมฉาวโฉ่ในย่านไชน่าทาวน์ที่บอสตัน..

     

     

     

     

    มาตุฆาตในไชน่า ทาวน์, บอสตัน! ฆาตกรภายใต้ใบหน้าที่งดงาม!

    โดย เจนนิเฟอร์ เอฟ. จอห์นสัน

     

    ผู้เสียชีวิตเป็นชาวจีนและก็ยังเป็นภรรยาเจ้าของร้านอาหาร ใบไผ่เขียวในขณะที่คนร้ายก็คือ ลูกชายแท้ๆของผู้เสียชีวิต และยังอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น..

               

     

     

                ผมถึงกับกุมขมับทันทีที่เห็นรูปในข่าว.. เป็นรูปลู่หานกับผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งซึ่งผมคาดว่าน่าจะเป็นแม่ของเขา..

     

     

    ในส่วนของแรงจูงใจในการฆ่า ทางคนร้ายไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติมอีก นอกจากนี้ทางตำรวจยังค้นพบประวัติว่า คนร้ายเคยได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลโรคประสาทมาก่อน และจนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนของการรักษาอยู่..

    อย่างไรก็ตาม..จากปากคำของพยานโดยรอบได้บอกเล่าถึงเหตุการณ์ข้างต้นไว้ว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์อันน่าสลด ผู้เสียชีวิตและคนร้ายมีปากเสียงกัน และทางผู้เสียชีวิตได้จงใจคว้ามีดขึ้นมา หมายจะทำร้ายคนร้ายก่อน ต่อมาจึงเกิดเหตุการณ์แย่งมีด ในท้ายที่สุดจึงนำมาซึ่งเหตุการณ์อันน่าสลดที่สะเทือนขวัญผู้คนในย่านไชน่า ทาวน์..





     

                เมื่อคืนวาน..ผมอ่านถึงแค่ตอนนี้จริงๆ เพราะนอกเหนือจากนั้นก็เป็นความคิดเห็นจิปาถะที่คนเขียนบทความนั้นได้เอ่ยกำกับไว้ใต้ข่าว

     

     

    เอาเถอะ.. เรื่องมันผ่านไปแล้ว..ผ่านไปนานมากแล้วด้วย  ไม่มีประโยชน์ที่จะรื้อฟื้นมันอีก เพราะในเมื่อตามข่าวนั้นบอกไว้ว่า ลู่หานลงมือทำไปเพราะป้องกันตัว ไม่ได้มีเจตนาจะฆ่า..

     



     

     

    ผมชะงักมือที่กำลังไขกุญแจห้องอย่างช้าๆพอมาคิดจนถึงตอนนี้ มันออกจะน่าประหลาดอยู่บ้างที่จู่ๆลู่หานก็กระโดดเข้ามาในชีวิตของผมอย่างรวดเร็ว..ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเสียด้วย
     

    ไม่รู้ว่าผมเจออะไรน่าดึงดูดในตัวของผู้ชายร่างผอมคนนี้ แต่แค่คิดถึงเขา ผมก็สามารถยิ้มได้ และไม่เพียงแต่แค่นั้น นัยน์ตาหวานซึ้งของเขายังแฝงความเศร้าสร้อยโหยหาอยู่ลึกๆ ทำให้ผมอยากจะเข้าไปรู้จักเขาให้ลึกมากกว่านี้ อยากจะทำให้เขาแบ่งปันช่วงเวลาเลวร้ายที่เขาประสบพบเจอและอยากเห็นเขาเข้ามาพึ่งพิงผมบ้างก็เท่านั้น..

     







     

                “พระเจ้ากำลังเล่นตลกอะไรกันว่ะ”

     

     

     

     

     

     

    ใช้เวลาเพียงแค่สี่สิบห้านาที สปาเกตตีมีทบอลราดซอสมะเขือเทศชุ่มฉ่ำก็เสร็จเรียบร้อยดี ผมยืนชื่นชมผลงานตัวเองอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะจัดการตักสปาเกตตีใส่จานหลุมลึกขนาดพอดีมือ ตั้งใจจะเอาไปให้ลู่หานชิมด้วยตัวของผมเอง

     

    และก่อนที่จะออกจากห้อง ผมก็ไม่ลืมที่จะเช็คสภาพของตนเองที่หน้ากระจกซึ่งติดอยู่ที่ทางเดินก่อนถึงประตู.. ผมหมุนตัวพลางมองกระจกไปมา เส้นผมสีทองสลวยก็ยังดูเรียบร้อยเหมือนเดิม กลิ่นตัวจากการเดินทางระยะไกลก็ไม่ค่อยได้กลิ่นอะไรเท่าไหร่นัก ..ถ้าจะดูการแต่งตัว ก็ยังเป็นชุดสเวตเตอร์สีน้ำตาลเข้มที่ดูเรียบร้อยดี

     

     

    “คริส..ปั้นหน้าปกติ..คริส”

    ผมพึมพำแผ่วเบา เมื่อมั่นใจว่าตัวเองหน้าตาปกติดีแล้ว ก็ค่อยรีบวิ่งปรู้ดออกจากห้องไป เพราะกลัวว่าลู่หานจะออกไปกินมื้อเย็นเสียก่อน

     

     

     

     

    แต่ทว่าเมื่อผมเปิดประตูออกมาจากห้อง.. ผมก็ดันไปเห็นภาพที่ไม่สมควรจะเห็นเท่าใดนัก

     

     

    ภาพของลู่หานกำลังสวมกอดและจุมพิตดูดดื่มอยู่กับชายผมบลอนด์คนหนึ่งซึ่งผมพอจะจำได้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของผม

     

    ผมยืนถือจานในมือแน่น จริงๆจะเรียกว่าถือก็ไม่ถูกนัก ให้เรียกว่ากำยังจะเหมาะกว่าอีก ..กลิ่นหอมฉุยของซอสมะเขือเทศลอยเข้ามาแตะจมูกของผม แต่ ณ เวลานี้ ผมกลับรู้สึกอยากขว้างผลงานชิ้นเอกของตนเองทิ้งอย่างไรชอบกล

     

    ลู่หานค่อยๆผละออกจากรุ่นพี่ของผมอย่างอ้อยอิ่ง นัยน์ตาหวานใสชะม้ายเมียงมองราวกับสาวน้อยที่ไร้เดียงสา ริมฝีปากสีสดเอื้อนเอ่ยคำบอกรักซึ่งทำให้ผมรู้สึกปั่นปวนมวนท้องจนอยากจะอาเจียนไปหมด

     
     

    “I really love you”

     

    ผมรักคุณจริงๆนะ.. สี่คำนี้ ..ลู่หานสามารถพูดมันออกมาได้อย่างง่ายดาย สี่คำนี้เป็นสี่คำเดิมที่ลู่หานบอกกับอาจารย์ของผม แฟนเก่าของเขา..

     

    ฮันนี่บอยที่น่ารักคนนี้สามารถพูดมันออกมาราวกับเป็นถ้อยคำติดปาก

    ถ้าแค่ใครมาทำให้นายพอใจ.. นายก็สามารถบอกรักเขาได้อย่างหน้าตาเฉยเลยรึไง ลู่หาน?

     




     

     

    “อ่อ”

     

    ผมเอ่ยเพียงแค่นั้น ..ไม่ได้จงใจจะขัดจังหวะพวกเขาเลยนะ สาบานได้.. แต่ที่พูดออกมาเสียงดังก็เป็นเพราะว่าผมเข้าใจแล้วจริงๆ.. และผมคิดว่าดวงตาของผมคงจะแสดงอาการผิดหวังหรืออะไรสักอย่างที่ทำให้ลู่หานรู้สึกตัวว่ายังมีแขกไม่ได้รับเชิญยืนจ้องมองเลิฟซีนของพวกเขาอย่างไร้มารยาท


     

    ลู่หานรีบดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของรุ่นพี่โดยอัติโนมัติ เขาไม่กล้าสบตาผม เช่นเดียวกันกับที่ผมไม่ยอมและไม่อยากแม้แต่จะสบตาเขา


     

    You should leave” (คุณควรไปได้แล้วนะ)

     

    รุ่นพี่ผมบลอนด์คนนั้นมองผมทีแล้วก็มองลู่หานทีอย่างงุนงง ก่อนที่เขาจะเผยยิ้มกระหยิ่มอย่างนึกเข้าใจในอะไรบางอย่าง ซึ่งรอยยิ้มนั่นเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย เพราะมันดูราวกับว่าเขากำลังเยาะเย้ยผมอยู่ในที


     

    ผมมองตามแผ่นหลังของรุ่นพี่คนนั้นอย่างว่างเปล่า และหันมายื่นจานสปาเกตตีให้ลู่หาน ผมพยายามอย่างหนักที่จะยิ้มแย้มแจ่มใสราวกับว่าผมไม่ได้เห็นอะไรทั้งนั้น


     

     

    “ผมทำสปาเกตตีมาให้”


     

    ลู่หานเหลือบมองสปาเกตตี้ในมืออันสั่นเทาของผม.. สีหน้าของเขาปรากฏแววเสียดายขึ้นมาชั่วครู่ ก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็วจนผมแทบจะจับความรู้สึกอะไรไม่ได้อีก

     


     

    “ฉันกินมาแล้วละ”



     

                ไปกินกะเขามาเหรอ”



     

                “อื้อ”

     





     

    แม่ง..เจ็บ

     

    เจ็บชิบหายจริงๆผมรู้ตัวว่าผมแย่มากในเรื่องของการฝืนยิ้มเล่นละคร แต่ ณ ตอนนี้ผมทำได้เพียงแค่นี้จริงๆ คำพูดห้วนๆกับรอยยิ้มแหยๆ ผมรู้ว่าลู่หานต้องมองออกอย่างแน่นอน ในเมื่อผมมันห่วยแตกขนาดนี้แล้ว



     

    แต่ก็..ขอบใจนะ”


     

    ผมผงกศีรษะรับคำของคุณจากเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย มีเพียงแค่เสียงลมหายใจของเราสองคนเท่านั้นที่คอยช่วยให้บรรยากาศรอบตัวไม่เงียบจนเกินไป

     


     

    “แล้วนายมาตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ”


     

    “ก็นานแล้ว”

     

    ผมตอบกลับเพียงแค่นั้น.. ไม่รู้สิ จะให้ผมพูดว่าอะไรได้ละ

     



     

    “คืองี้นะ--



     

    “ผมเข้าใจหรอกน่า”
     

    พอเขาตั้งท่าจะอธิบาย ผมจึงรีบชิงเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะหลุบตาลงต่ำ ผมไม่อยากฟังข้อแก้ตัวอะไรอีก แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเช่นกันว่าควรจะพูดอะไรต่อดีในเมื่อความคิดกำลังตีกันวุ่นวายแบบนี้ 

    เหมือนมีเทวดากับซาตานตัวแดงๆกำลังทะเลาะกันข้างในหัวของผม ตัวเทวดาบอกว่าให้ผมหุบปากและรีบเดินเข้าห้องเสีย แต่ทว่าตัวซาตานกลับบอกให้ผมโพล่งออกไปให้หมด ทำให้คนตรงหน้ารู้เสียบ้างว่ามีใครบางคนกำลังเสียใจกับการกระทำของเขา



     

    และแล้ว..ซาตานก็เป็นฝ่ายชนะ ผมเงยหน้าขึ้น..ลู่หานถึงกับผงะไปนิดหน่อย เพราะเขาคงไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นสายตาแข็งกร้าวจากผู้ชายที่มีท่าทางบ้าๆบอๆแบบผม


     

    “ผมรู้ว่าคุณเจออะไรมาบ้าง ” ผมเน้นเสียงตรงท้ายประโยคอย่างชัดเจน “แต่ก็เอาเถอะ..ถ้าคุณคิดว่าสิ่งที่คุณทำในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเล่นยาหรือมั่วผู้ชาย มันทำให้คุณหนีจากอดีตเก่าๆได้แล้วละก็นะ—”

     

     

                นายจะไปรู้อะไร..”

    น้ำเสียงของเขาพลันเย็นเยียบ เหมือนกับหน้าตาของเขาที่เริ่มจะเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อย..
     

                ต้องแบบนี้ซิ..เขาถึงจะค่อยเหมือนเด็กผู้ชายที่อยู่ที่ห้องสมุดคนนั้นหน่อย.. ถึงแม้ว่าตอนนี้บนใบหน้าของเขาจะไร้รอยยิ้มเขินอายนั่นก็ตามที..

     

     

     

    “Whore..

     

    ผมสาวเท้าเข้าไปหาเขา ก่อนจะส่งคำพูดเชือดเฉือนออกจากปาก และมอบรอยยิ้มเยาะเย้ยให้ชายหนุ่มตัวเล็กเบื้องหน้า พอได้มายืนใกล้ๆกัน มันจึงทำให้ผมรู้ว่าตัวของเขาทั้งผอมทั้งบางมากกว่าที่ผมจิตนาการเอาไว้ และเขาก็ตัวเล็กมากๆจนผมสามารถเห็นศีรษะน่ารักๆของเขาได้
     

                ลู่หานก้มหน้ามองพื้นด้วยท่าทีเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด.. ผมรู้ว่าเขาเจ็บ.. และผมก็ต้องการให้เป็นแบบนั้น เพราะถ้าเขาไม่เจ็บ เขาก็จะไม่ถอยหนี และถ้าเขาไม่ถอยหนี ผมเองก็จะต้องเป็นฝ่ายเจ็บปวดเสียเอง

     

                คราวนี้ผมพลาดไปแล้วจริงๆ พลาดที่มาตกหลุมรักฮันนี่บอยอันตรายเข้าอย่างจัง อีกทั้งยังตกหลุมจนเจ็บหนักเสียด้วย


     

                “คุณไปซะเถอะ”

    ผมเอ่ยถ้อยคำใจร้าย..ผมรู้ดี แต่ตอนนี้มันห้ามไม่ได้แล้ว มันหยุดไม่ได้แล้ว..

    ไม่รู้ว่าพวกคุณเคยได้ยินหรือเปล่าว่า ถ้ารักอะไรมากๆ ก็ต้องเกลียดสิ่งนั้นให้มากๆ ความรู้สึกจะได้เสมอกันพอดี เวลาเจ็บปวดจะได้ไม่ลำบาก..


     

    หรือมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้นนะ? ที่เคยได้ยินอะไรแบบนี้..

     



     

    ช่วยไปไกลๆจากผมทีเถอะ ลู่หาน..”


     

    ทำไม?”

    ในที่สุดเขาก็เงยหน้ามองผมซะที แต่มันเป็นการมองที่เจ็บปวดเอามากๆ.. ในดวงตาที่ใสแจ๋วราวกับลูกแก้ว ผมมองเห็นความทุกข์ ความรักและความโกรธผสมปนเปกันอยู่ในนั้น


     

                “ผมเหนื่อยแล้ว” ผมพึมพำ ก่อนจะยืนเอนพิงผนังข้างห้อง “ผมเหนื่อยจริงๆนะ.. เราพึ่งเจอกันแค่สองวัน แต่จู่ๆผมก็รู้สึกราวกับว่า คุณกินพลังงานผมไปหมดเลย.. คุณรู้บ้างไหมว่าผมไม่ใช่คนคิดมาก ในหัวของผมไม่มีอะไรซีเรียสมาก่อน แต่พอมาเจอคุณ ทุกอย่างมันก็เละไปหมด ผมคิดเยอะแยะ อีกทั้งเอาแต่คิดเรื่องของคุณตลอดเวลาอีก..ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากให้คุณไป ..ผมไม่อยากจะรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว”


     

                “เราไม่ได้เจอกันแค่สองวันนะ..เราเจอกันมาก่อนหน้านี้..นายเคยเจอฉันในห้องสมุดนั่นไง!”
     

                ลู่หานร้องลั่นก่อนที่ผมจะเห็นภาพช้าเขาปล่อยมือออกจากจานสปาเกตตี้และตามด้วยเสียงจานกระเบื้องกระทบกับพื้นพรมที่ถูกบุหนา ซอสมะเขือเทศและมีทบอลกระจัดกระจายอยู่ที่พื้นเบื้องล่าง ฮันนี่บอยตัวน้อยก้าวข้ามผ่านมัน และโผเข้ากอดผมอย่างเชื่องช้า.


     

                กลิ่นน้ำผึ่งป่า..มันมาอีกแล้ว

     


     

                “ทำไมนายถึงจำไม่ได้นะ..จำได้ซะทีซิ..อย่าจำเฉพาะตอนนั้นซิ.. ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ..


     

                “ผมรู้..”  ผมพึมพำ เนื้อตัวของเขาสั่นระริกอย่างน่ากลัวจนผมต้องกอดตอบเอาไว้เพื่อปลอบให้เขาหยุดสั่น

    .. ในหัวของผมก็เริ่มที่จะคิดอีกครั้งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขานี่มันน่าแปลกจริงๆรักแรกเหรอ? ก็ใช่อยู่.. แต่ไม่คาดคิดว่ารักแรกจะกลับมาหาผมอีกครั้งในรูปแบบของความคลั่งไคล้ที่หาจุดหมายปลายทางไม่เจอแบบนี้


     

                นายไม่รู้หรอก” เขาย้ำอู้อี้ภายใต้วงแขนของผม “นายไม่มีทางรู้หรอก ถ้านายรู้ นายจะพูดอีกอย่าง.. นายจะไม่ว่าฉันแรงๆหรือว่าผลักไสฉันหรอกนายจะสงสารฉัน..แบบที่คนอื่นๆสงสารฉัน..”


     

                “เคยเล่าให้คนอื่นฟังเหรอ?”  ผมถามเสียงเข้มโดยที่ไม่รู้ตัว


     

                “ฉันก็แค่ต้องการให้ใครสักคนเห็นใจฉัน..กอดฉัน แล้วบอกว่า มันผ่านไปแล้วนะ..ผมจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดกาลเลย  ฉันต้องการแค่นี้จริงๆนะ คริส..”


     

                น่าสมเพช”  ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะหยัน แต่ถึงอย่างนั้น..วงแขนของผมกลับกระชับร่างกายเล็กๆที่น่าสมเพชของเขาเอาไว้.. ราวกับว่าผมกำลังประคองเศษเสี้ยวที่เคยแตกกระจายและพยายามที่จะต่อมันให้ติด

     

                ลู่หานเงยหน้าขึ้นมองผม..คราบน้ำตาใสดุจผลึกคริสตัลแวววาวเกาะเต็มใบหน้าน้อย  เขาโอบกอดผมแน่น ก่อนจะเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงที่ผมรู้ดีว่าเสแสร้งเป็นที่สุด


     

                “ถ้าคิดว่าฉันน่าสมเพช..แล้วทำไมต้องกอดปลอบฉันแน่นขนาดนี้ด้วยละ..”


     

    ผมหรี่ตามองเขาอย่างนิ่งเฉย..ฮันนี่บอยคนนี้กับรักแรกในอดีตนี่มันแตกต่างกันอย่างลิบลับจริงๆ      


         

    ผมสูดลมหายใจลึกๆ นับเลขหนึ่งถึงสามในใจอย่างช้าๆ ก่อนจะมองใบหน้างดงามของคนตรงหน้าด้วยแววตาเคร่งเครียดและจริงจัง

     

     

    จะเข้าไปห้องฉันก่อนไหม ลู่หาน..”

     

     

    ในเมื่อตกก็ตกไปแล้ว เจ็บก็เจ็บไปแล้ว แต่ถ้าไม่ลองยืนหยัดเผชิญหน้ากับมันสักครั้ง ผมก็จะไม่มีทางรู้หรอกว่ารสชาติของความรักที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

     

     

     

    “ไม่ต้องหรอก” ลู่หานตอบกลับอย่างแผ่วเบา ไปห้องฉันดีกว่านะ..

     

    ผมส่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างคาดเอาไว้แล้ว ก่อนจะเดินก้าวข้ามผ่านเศษซากของสปาเกตตี้ที่กระจัดกระจายราวกับเลือดและก้อนเนื้อที่แดงฉาน..

     

     

     

     

     

     

     

     

    ทันทีที่ลู่หานผลักประตูไม้เก่าๆเบื้องหน้าเข้าไปผมจึงได้เห็นห้องของเขาเป็นครั้งแรก..


     

    “นี่ห้องของคุณเหรอ?”


     

    ผมถามเสียงหลง..ไม่รู้ซิ มันไม่มีอะไรเลยนี่ ไม่มีเตียง ไม่มีโทรทัศน์ มีแต่โซฟาสีแดงเพลิงตัวยาวกับผ้านวมสีขาวผืนใหญ่ มีแค่พรมหนาๆปูห้อง มีแค่โต้ะไม้เก่าๆตัวเดียวกับเก้าอี้สองตัว ห้องก็ใหญ่ดีอยู่หรอก แต่ไม่มีอุปกรณ์ทำครัว ไม่มีอะไรเลยจริงๆ


     

    “ทำไม? บรรยากาศมันไม่เหมือนห้องเหรอ..”

    เขาถามผมยิ้มๆก่อนจะปิดประตู ผมจึงผงกหัวตอบรับเขาอย่างจริงใจ ..เพราะไม่ว่ามองมุมไหน มันก็ไม่เหมือนห้องที่คนจะอยู่ได้เลยจริงๆ อีกทั้งยังทาผนังห้องเป็นเทาหม่นอีกต่างหาก ยิ่งทำให้ห้องดูโหวงและว่างเปล่าหนักเข้าไปอีก


     

    “ขอโทษนะ..ที่บรรยากาศมันไม่เหมือนห้องคนน่ะ”


     

    “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก”

    ผมพึมพำ ที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะสำรวจ แต่จู่ๆฝ่าเท้ามันก็ขยับไปเอง ผมเดินไปที่มุมโน้นมุมนี้ ยืนมองข้าวของเล็กๆน้อยอย่างคนที่ตกอยู่ในภวังค์ ปล่อยให้ลู่หานถอดเสื้อของเขาออกและเดินเข้าห้องน้ำไปก็เท่านั้น

     

    ผมส่ายศีรษะไปมาก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสีแดง  ไม่รู้ว่าควรจะเสียใจดีหรือเปล่าที่ตัดสินใจเดินตามลู่หานมา..
     

    แต่ก็นั่นละ.. เหมือนกับเอาอนาคตมาเสี่ยงกับฮันนี่บอยสองหน้าคนนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะเบื่อผม หรือผมจะเป็นฝ่ายเบื่อเขา แล้วก็ไม่มีทางรู้อีกเหมือนกันว่าชีวิตผมต่อจากนี้จะดิ่งลงเหวไปได้แค่ไหน ..

     

                เอาเหอะ.. ถือซะว่านี่เป็นการตอบแทนตัวเองในอดีตที่ไม่กล้าเอ่ยปากพูดคุยกับเด็กหนุ่มที่มีรอยยิ้มเขินอายคนนั้นก็แล้วกัน..

     


     

    “ว่าแต่..โซฟาตัวนี้ก็นุ่มดีแหะ”

    ผมเอ่ยเสียงแผ่วก่อนจะเอามือตบๆไปที่โซฟา ไม่คาดคิดว่าตัวเองจะได้เห็นของดีบางอย่างซึ่งแฉลบออกมาจากช่องว่างเล็กๆของโซฟา

     

     

    ผมหยิบมันขึ้นมา..มันมีลักษณะเป็นผงสีขาวที่ถูกบรรจุอยู่ในซองมีซิปอย่างดีหลายซองด้วยกัน แทบไม่ต้องเปิดดูด้วยซ้ำ.. ผมก็รู้ดีว่าข้างในถุงนั่นคืออะไร..

     

     

    ช่างบังเอิญและประจวบเหมาะพอดีกับที่เขาเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่พันรอบเอวน้อย เผยให้เห็นอกนวลสล้างและหยดน้ำที่ไหลลงมาจากเส้นผม.. จริงอยู่ที่ว่าภาพตรงหน้าโคตรจะเซ็กซี่เลยให้ตาย แต่ตอนนี้ผมไม่อยู่ในมู้ดอะไรทั้งนั้น ผมเพียงแต่ลุกขึ้นยืน และชูของในมือให้เขาเห็นได้อย่างถนัดตา

     

     

     

    “คุณเล่นโคเคนด้วยเหรอ”

     

    เขายักไหล่อีกครั้ง ท่าทางไม่ยี่หระต่อชีวิตแบบนั้นทำให้ผมนึกผิดหวังบ้างเล็กน้อย

     

     

    “นายหมายถึงแคนดี้เครนนะเหรอ? จะเอาซักหน่อยม่ะ”

     

     

    “แคนดี้เครน?" ผมเอ่ยเสียงสูงเป็นเชิงเหยียดหยัน  "ผมน่าจะรู้ซินะว่าคุณนะมันไอ้ขี้ยาตัวยง.. กระทั่งคำแสลงก็ยังเข้ากับเทศกาลคริสมาสต์เสียจริงๆ”


     

    “ไม่พอใจเหรอ? ถ้าไม่พอใจก็กลับออกไปก็ได้นะ.. ถ้าไม่ชอบที่ฉันเล่นยาก็เดินออกไปได้เลยนะ ฉันไม่สนใจหรอกนะ”


     

    ผมกำถุงโคเคนเล็กๆเอาไว้ในมือแน่น  นี่เขาคิดว่าผมเป็นอะไรสำหรับเขากัน?  ของเล่น? ของแก้เหงา?  นี่ผมโดนภาพลักษณ์อันแสนหวานนี่หลอกเอาเหรอ? แล้วไอ้ภาพที่เขาร้องไห้กระซิกๆอยู่ที่อกผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อน..นั่นมันอะไรกันละนั่น?
     

    จริงอยู่ที่ผมคิดว่าเขาเป็นไอ้ขี้ยา แต่ไอ้ขี้ยาที่ผมว่านี่ผมคิดว่าเขาจะแค่เล่นกัญชาซะอีก.. ไม่นึกว่าจะหนักถึงขั้นล่อโคเคนเป็นถุงๆขนาดนี้


     

    “นี่มันผิดกฎหมายแล้วนะ”


     

    “ทำไมละ? จะบอกตำรวจงั้นเหรอ?”


     

    น้ำเสียงที่ฉุนเฉียวและห่างเหินนั้นทำให้ผมต้องสูดลมหายใจเฮือกใหญ่.. ยังกับว่านั่งอยู่บนโรลเลอร์โคสเตอร์ชัดๆผมเดาใจเขาไม่ออก ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครในเวลานี้..


     

    “จะกลับไปซุกหัวอย่างเดิมก็ได้นะคริส”


     

    ผมมองถุงยาในมืออย่างชั่งใจ เช่นเดียวกับเขาที่คอยจ้องอากัปกิริยาของผมอย่างเงียบๆ


     

    “อืม..” ผมครางในลำคออย่างไม่แน่ใจ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ใบหน้าของแม่ก็ลอยมา.. 

    “ผมจะกลับแล้ว”






     

    “ปอดแหกชิบหาย..

     

    ผมไม่สนใจคำดูถูกที่ออกมาจากปากของเขาอีกแล้วในตอนนี้  ที่ผมอยากรู้มีเพียงแค่ว่า สิ่งไหนคือตัวตนจริงๆของเขากันแน่.. มันเป็นสิ่งที่ผมอยากจะรู้ให้ได้จริงๆ


     

    คุณจะแก้ตัวก็ได้นะ ผมพร้อมที่จะ—”


     

    “ฮ่า!” ลู่หานส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน ก่อนที่เขาจะเดินไปคว้าบุหรี่มวนหนึ่งขึ้นมา และจัดการจุดไฟ อัดควันเข้าปอดให้ผมดูเสียอย่างนั้น..

    “เป็นไอ้ขี้ยาแล้วมันน่ารังเกียจตรงไหนเหรอ? ทำไมต้องแก้ตัวละ”


     

    “ทำไมคุณถึงไม่รักตัวเองบ้าง..”


     

    นายไม่เข้าใจหรอก..  เขาส่งยิ้มให้ผมผ่านกลุ่มควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในห้องสีหม่น  ..“ไม่มีใครรักฉันหรอก..ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว”


     

     

    ผมหัวเราะเบาๆให้กับคำตอบนั้น ในขณะที่สายตาจับจ้องมองไอขาวๆพวกนั้น.. และแล้วความเงียบก็ดำเนินต่อไปสักพัก จวบจนผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ผมรู้ดีว่าเขาจะเล่นไม้เดิม..ฮันนี่บอยตัวนี้จะมากับเกมส์เดิมๆ


     

    นั่นคือเกมส์ที่ชื่อว่าความสงสาร

     

    ผมจัดการวางยาไว้ที่เดิม.. กลิ่นน้ำผึ้งอ่อนๆจากโซฟายังคงหอมติดมือของผมอยู่เลย แต่ทว่าคราวนี้ผมหันกลับไปหามันไม่ได้อีก เพราะถ้าผมหันกลับไป.. มันมีเดิมพันเอาไว้อย่างหนึ่งซึ่งก็คือชีวิตของผมทั้งชีวิต

     

     

    ลู่หานยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง เมื่อผมเดินผ่านตัวของเขาไป.. แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังใจดี..ยื่นผ้าพันคอแคชเมียร์คืนมาให้ผม.. แต่ผมกลับเป็นฝ่ายที่ไม่ยอมรับมันเสียเอง

     

     

    ผมว่าผมตัดสินใจถูกที่จะไม่เอามันกลับมาด้วย ไม่รู้ซิ ผมไม่อยากจะหยิบอะไรออกมาจากห้องนั้นอีกแล้ว.. ราวกับว่าของทุกชิ้น พื้นที่ทุกพื้นที่ในห้องนั้นต่างก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของน้ำผึ้งป่า ผมไม่อยากเอาอะไรออกมา ..ให้กลิ่นหอมหวานนั้นมาล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ในห้องของผม

    ผมค่อยๆเอื้อมมือไปเปิดประตู..ถอนหายใจออกมาอีกรอบ ก่อนจะปิดมันอย่างเบามือ และเสียงกรีดร้องของเขาก็ไล่ตามหลังของผมมา..

     

     






     

     

    23 ธันวาคม 2014 11.20 PM

    Boston, USA

             
       ไดอารี่ที่รัก..


     

              ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันยากขนาดไหนกับการที่จะไม่เดินตามสิ่งที่ส่งกลิ่นหอมอย่างเย้ายวนและร้ายกาจ..

    จนถึงตอนนี้..เพลงโปรดของผมเปลี่ยนไปแล้ว ต้องขอโทษ The Supreme ด้วยก็แล้วกัน.. ตอนนี้ผมชอบฟังเพลงของ Lana Del Rey แล้ว โดยเฉพาะเพลงที่ชื่อว่า Shade of Cool..

    ผมพึ่งได้ฟังเพลงนี้ตอนที่กลับมาจากห้องเขา..มันน่าแปลกมาก  เนื้อหาของเพลงนี้ทำให้ผมนึกถึงฮันนี่บอยของผม ทั้งๆที่เพลงนี้ไม่ได้มีคำว่า ฮันนี่บอย อยู่ในเนื้อร้องเลยสักนิดเดียว..


     

              อืม..โคเคนเหรอ..ไอ้พ่อสารเลวพรรค์นั้นหายไปจากสารบบชีวิตของผมเองก็เพราะว่าโคเคน.

              แต่ผมไม่ต้องการให้ฮันนี่บอยหายไปจากชีวิตของผมเพราะโคเคนเหมือนกันนี่..

    ผมรู้ว่าผมเปลี่ยนเขาไม่ได้ ซึ่งมันก็เป็นความจริง..ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ ท่าทางของเขาก็ยังเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง..ว่ากันตามตรง ผมไม่มีความสามารถขนาดที่จะช่วยเหลือใครได้หรอก.. ขนาดตัวของผมเองยังเอาไม่รอดเลย ผมไม่มีความกล้าพอที่จะสัมผัสเขา ล้วงลึกเข้าไปในใจของเขา
     

    ความกลัวและความผิดหวังยังคงซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบจิตใจของผม.. ผมทำอะไรไม่ได้ ผมสัมผัสเขาไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นผมก็อยากทำให้เขารู้สึกตัวสักทีว่า ถ้าไม่รักตัวเองก่อน แล้วใครจะมารักเขา.. จริงไหม?
     

    .. แต่ก็ช่างเถอะ..สิ่งที่ผมตั้งใจจะทำต่อจากนี้ก็คือ ถ้าเขาไม่เดินออกไป..ผมก็ว่าผมจะเดินออกไปเอง..

     

     

     

     







     

    24 ธันวาคม ค.2014

     
     

    วันนี้เป็นวันหยุด..
     

    ผมลืมตามองเพดานตลอดทั้งคืน..ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับห้วงความคิดที่บิดเบี้ยวพิสดารในหัว 

    จวบจนแปดโมงเช้า ผมก็ยังไม่ลุกไปไหน ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นไปทำอาหาร ไม่แม้แต่จะอ่านหนังสือเตรียมทำรายงานส่งอาจารย์



     

    ฮู่”

    ผมพ่นลมออกจากริมฝีปากอย่างสับสน นอนมองลมหายใจที่พุ่งพวยเป็นไอสีขาว.. หน้าหนาวที่แสนหดหู่ของบอสตัน..ความรู้สึกนี้ได้เข้ามาโจมตีผมอีกครั้ง

     

    ผมถอนหายใจยาว.. ก่อนจะลุกขึ้นออกไปยืนรับลมหนาวที่ระเบียงทั้งๆที่ตัวเองยังคงใส่เสื้อแขนสั้นกับกางเกงขายาวตัวหนึ่งเท่านั้น เสียงลมหนาวพัดหวีดหวิวก้องอยู่ในหูของผม ดวงตาของผมเหม่อมองไปในที่ๆไกลแสนไกล ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำอย่างไรดี

     

    เสียงเรียกเข้าซึ่งผมตั้งพิเศษไว้เฉพาะเบอร์ของแม่ดังขึ้น ผมหันกลับไปมอง..อารมณ์อยากคุยในตอนนี้ของผมเหลือศูนย์ แต่ด้วยหน้าที่ของลูกที่ดี ผมจึงทำใจยอมเดินกลับไปรับโทรศัพท์


     

    “สวัสดีครับ แม่”

    ผมกรอกเสียงตัวเองลงไป ไม่นานนัก เสียงอันอบอุ่นนุมละมุนของแม่ก็ตอบกลับมา


     

    “เป็นยังไงบ้าง ลูกชาย”


     

    “อากาศที่นี่ก็ยังหนาวเหมือนเดิมฮะ”


     

    “เหรอจ๊ะ..รักษาตัวเองให้ดีๆด้วยนะ ที่จีนตอนนี้อากาศก็แย่พอกัน โดยเฉพาะที่ปักกิ่งนี่แม่ว่าสุดๆไปเลยจริงๆ”


     

    “เหรอฮะ” ผมยิ้มเล็กๆ ก่อนจะสาวเท้าออกมาคุยที่นอกระเบียง..


     

    “แล้วลูกละ..ช่วงนี้การเรียนเป็นไงมั่ง”


     

    “ก็เรื่อยๆฮะแม่..


     

    “ตั้งใจเรียนเข้านะ”


     

    “ฮะ

     

    ผมขานรับอย่างแผ่วเบาก่อนจะเผลอมองไปเบื้องล่าง จากความสูงเพียงแค่สองชั้นทำให้ผมเห็นลู่หานที่กำลังยืนทุ่มเถียงกับใครสักคนที่เบื้องล่าง.. ที่เดิมกับที่ผมเห็นเขาในคืนนั้น

     


     

    ผัวะ!


     

    เสียงหมัดหนักๆจากผู้ชายคนนั้นอลยละลิ่วเข้ามาอย่างจังที่ใบหน้าน้อยๆของลู่หานพร้อมๆกับที่ร่างผอมบางเซถลาลงไปกับพื้นหิมะ เขาเงยหน้ามองผู้ชายผมบลอนด์คนนั้นคนที่เป็นรุ่นพี่ของผม..อย่างไม่เชื่อสายตา เช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายควักมีดพกขึ้นมาส่ายไปส่ายมาต่อใบหน้างดงามอย่างน่าหวาดเสียว

     

     
     

    ผมชะงักกึก เปลี่ยนอิริยาบถจากท่ายืนสบายๆมาเป็นการยืนอย่างแข็งขืนโดยอัตโนมัติ

     

     


     

    “ลูก..คริส ลูกเป็นอะไรรึเปล่า.. ทำไมเงียบไป”

     

     

     

    “ไม่เป็นอะไรหรอกฮะแม่ พอดีเจอเพื่อนนิดหน่อย”

     


     

    “เหรอ แม่ก็ตกใจหมด นึกว่าเกิดอะไรขึ้น.. แม่จะโทรมาถามแค่นี้ละ.. ถ้ายังไงแม่จะวางแล้วนะ ที่จีนมันดึกมากแล้ว

     


     

    อย่าพึ่งวางฮะ.. ผมมีเรื่องอยากจะถามแม่อีกเรื่อง”



     

    “เรื่องอะไรเหรอจ๊ะ?”

     

    ผมยังคงไม่ละสายตาจากภาพเบื้องหน้า ผมเห็นแม้กระทั่งลู่หานพยายามคลานเข่าเพื่อรั้งไม่ให้เขาจากไป..
     

    ผมเผลอหลุดหัวเราะอย่างขมขื่น..นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ ฮันนี่บอยอะไรกัน..ผู้ชายคนนี้มันก็แค่ไอ้ขี้ยาที่น่าสมเพช ..ก็แค่ไอ้โฮโมเซ็กชวลที่ใช้ชีวิตแบบขาดผู้ชายไม่ได้ก็เท่านั้นเอง..


     


     

    “แม่รู้หรือเปล่าว่าพ่อของผมเป็นคนโหดร้าย”



     

    “หืม? ทำไมจู่ๆก็--”



     

    “แม่รู้ใช่ไหมฮะ..แล้วทำไมถึงแต่งงานกับเขาละ? ทำไมต้องมีผม..”



     

    ก็เพราะตอนนั้น..แม่รักเขามากจ้ะ..รักมากจนคิดว่าเขาจะเปลี่ยน.. รักมากจนมองข้ามทุกสิ่งที่เป็นความจริง



     

    แม่ฮะ..ถ้าผมทำแบบเดียวกัน..แม่จะโกรธผมหรือเปล่าฮะ

    ผมกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์อย่างสับสน เสียงตบตีทำร้ายยังคงดังมาจากเบื้องล่าง ผู้คนในอพาร์ทเมนต์ซอมซ่อแห่งนี้ไม่ค่อยสนใจอะไรมากอยู่แล้ว เพราะมันไม่ใช่เรื่องของพวกเขาเลยสักนิดเดียว..


     

    มีเพียงแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่ร้อนรนราวกับคนบ้าที่เสียสติ..

     



     

    “คริส..สัญญาณไม่ดีเลย.. ลูกเป็นอะไรไปนะคริส! คริส! ----คริส!!!”


     

    ผมไม่ได้อยู่ฟังคำพูดของแม่ต่อไปจากนี้อีก..ผมเขวี้ยงโทรศัพท์ลงกับพื้นอย่างแรง ก่อนจะปล่อยให้หัวใจเป็นฝ่ายชักนำ แม้ว่ามันจะผิดหรือถูกก็ตามที

     

     


     

     

     

     

    I’m LUHAN

     

     




     

    ผมยังคงนอนนิ่งๆ ปล่อยให้เอ็ดดี้ทำร้ายผมได้ตามใจชอบ..
     

    จริงๆแล้วมันเจ็บมาก .. ผมครางเสียงแผ่วออกมาจากลำคอด้วยเมื่อรับรู้รสชาติของคาวเลือดในปาก ก่อนที่ผมจะไอโขลกเพราะเลือดจำนวนมากได้ทะลักและไหลลงลำคออย่างน่าสยดสยอง
     

    แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มีเพียงแค่ความเจ็บปวดเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สำนึกได้ว่า ผมกำลังอยู่ในโลกของความจริงที่เจ็บปวดยิ่งกว่า ไม่ใช่โลกในจินตนาการจากฤทธิ์ยาที่ผมอัดเข้าไปในร่างกาย



     

    กลุ่มควันสีขาวอมเทาที่ลอยอ้อยอิ่ง..หิมะเริ่มตกโปรยปรายทั้งๆที่ยังเช้า มาพร้อมกับกลิ่นเค็มอย่างเกลือจากทะเลหน้าร้อนทำให้ผมขมวดคิ้วให้กับความแปลกที่แตกต่างนั่น..


    ก่อนที่สติของผมจะพลันหลุดลอยไปในที่ๆไกลแสนไกล
    ..

     

     

     

     

     



     

     

    แต่ทว่าเมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง..

    แสงไฟสว่างจ้าจากหลอดนีออนที่อยู่บนหัว..เพดานที่ถูกทาสีเทาอมฟ้าหม่นๆ สีเดียวกับผนังโดยรอบ..ห้องที่ดูโล่งและกว้าง ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก.. กับแสงตะวันสีสาดส่องมาพร้อมกับหิมะที่กำลังตกอย่างอ้อยอิ่งที่นอกหน้าต่าง..

     

                ผมรู้ทันทีว่านี่คือห้องของผม..ผมได้มาอยู่ที่ห้องของผมเสียแล้ว..

     

    แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผิดแปลกไป..ห้องของผมเป็นห้องที่ให้บรรยากาศของความมืดหม่นมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วทว่ามันมีสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติและต่างไปจากเดิม กลุ่มเรือนผมสีทองเจิดจ้า 

    คริส..ที่มาในชุดเสื้อแขนสั้นสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงขายาวสีอ่อน.. เขายืนหันหลังให้ผม เหม่อมองหิมะที่นอกหน้าต่าง



     

                ผมยันตัวเองให้ลุกขึ้นจากโซฟาสีแดงเพลิงของตัวเอง..และส่งเสียงไอแห้งๆออกไปเพราะรู้สึกปวดคอจนแทบจะแตก..

               

    คริสหันขวับมามองผม.. สีหน้าของเขาดูอ่อนโยน ผ่อนคลาย แต่ในขณะเดียวกันกลับแฝงแววโกรธขึ้งอยู่ในนั้นอย่างน่าพิศวง..



     

    “โกรธเหรอ”


     

    “แน่อยู่แล้ว”

     

    คางแหลมเสี้ยมกับน้ำเสียงหยิ่งทระนงจนน่าหมั่นไส้ ราวกับทั้งโลกสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา.. ผมไม่มีแรงจะสู้รบกับเขาต่ออีกแล้ว ครั้งนี้ผมจึงเพียงแต่ส่งยิ้มไปให้เขาก่อนที่จะทรุดตัวลงนอนต่อ แต่เขากลับกระชากไหล่ของผมให้ลุกขึ้นนั่ง ซ้ำยังทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาของผมอย่างเอาแต่ใจ


     

                “ออกไปเถอะ..ฉันอยากจะนอน ถ้านายอยากจะนั่งก็ไปนั่งที่เก้าอี้โน่น.. ฉันอยากจะนอนเต็มแก่แล้ว”


     

                “ฉันก็อยากจะนอนเหมือนกัน


     

                “นี่!” ผมแหวเสียงดัง “ห้องฉันมีแค่โซฟาที่ตัวเดียวนะ! เตียงก็ไม่มีด้วย! ถ้านายอยากจะนอนมากนักก็ไปนอนที่ห้องตัวเองโน่น!”


     

                “ฉันไม่อยากนอนคนเดียว”

    น้ำเสียงของเขามึนตึงอย่างน่าประหลาด แต่ถึงอย่างนั้น ผมกลับจับกลิ่นผิดปกติได้ในถ้อยคำของเขา..


     

                “แล้วนายจะเอายังไง..


     

                “ก็นอนด้วยกันสิ..


     

                อย่ามาล้อเล่นน่า..โซฟานี่มันเบียดเกินไปน่ะถ้าจะนอนสองคน..”


     

                ฉันจะให้นายนอนบนตัวฉันต่างหาก”


     

                “อ..อะไรนะ..”

    ผมอ้าปากค้างอย่างตื่นตระหนกตกใจของแท้.. แต่เขากลับไม่สนใจคำพูดผมเขาเอาแต่จับนู่นจับนี่บนตัวผม จนผมรู้สึกผวานิดหน่อย

     


     

                ทำได้ไหม?”

     

     

                “ประสาท!”

    ผมร้องตะโกนก่อนจะพยายามกระถดตัวหนีจากเขา แต่ไอ้บ้านี่ก็ยังกระเถิบตัวตามไม่หยุดเลยจริงๆ!

     


     

                มาให้ฉันทำครั้งหนึ่งที..เผื่อมันจะหยุดความบ้าคลั่งในใจของฉันได้”

               

     

                “เมาหิมะรึไง!” ผมโวยวาย.. ไอ้บ้านี่มันน่าโมโหที่สุดเลย! เมื่อวานผมอ่อยแทบตาย ไม่รู้ผีห่าซาตานที่ไหนเข้าสิง บทจะทิ้งมันก็ทิ้งไปเลย ไม่หันกลับมาสนใจผมซะด้วยซ้ำไป!

     

                แต่พอมาวันนี้นึกอยากจะได้ก็ได้งั้นเหรอ.. โธ่เว้ย! ไม่มีทาง!



     

                “นะ..ลู่หาน..


     

                “นี่..ฉันไม่ใช่โสเภณีแบบที่นายเคยด่าฉันนะ..บ้าเอ้ย”


     

                “ตกลงจะไม่ยอมดีๆ..ว่างั้น”  คริสหรี่ตามองผมอย่างชวนให้ผมรู้สึกประสาทเสีย.. ว่ากันตามตรงนะ..ตอนนี้ผมไม่มีอารมณ์ ไม่อยู่ในความอยากใดๆทั้งนั้น นอกจากจะเจ็บตัวจากโดนซ้อมแล้ว ยังเกิดรู้สึกอยากยาจนคอเจ็บไปหมดอีกด้วย



     

                “ไม่!!! เฮ้ย— .. ทำอะไร!!”

    ผมร้องลั่นห้อง เพราะจู่ๆเขาก็โถมตัวเองเข้ามาอย่างแรง จนทำให้ผมที่เผลอลดการ์ดลงต้องล้มลงไปนอนราบกับโซฟาอย่างไม่ทันตั้งตัว


     

                สายตาวาววับของเขาที่จ้องมองมาทำให้หัวใจของผมเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับตอนจะลงแดงตายไม่มีผิด ซึ่งครั้งนี้มันก็ทำให้ผมไม่แน่ใจเลยว่า ตกลงแล้ว ผมอยากยาหรือว่าอยากอย่างอื่นกันแน่?


     

                “ว่าไง..”

     

                ผมเสมองไปทางอื่น.. ไม่อยากจะตอบคำถามเขาเท่าไหร่นัก


     

                “ยอมเถอะ..นะ.. ฉันไม่ไหวอยู่แล้ว ฉันจะคลั่งตายอยู่แล้ว”


     

                “นายประสาทไปแล้วหรือยังไง คริส อู๋..นายเคยโยนคำพูดอะไรใส่หน้าฉันไว้บ้างละ ลืมไปแล้วหรือไง?”


     

                “แล้วนายละ?” เขาตอกกลับด้วยความไวไม่แพ้กัน  “นายทำร้ายจิตใจฉันมากี่หนแล้วหืม.. นายไม่มีทางรู้หรอกว่าทุกวันนี้สารบบชีวิตของฉันมันรวนแค่ไหนตั้งแต่นายโผล่หน้าหวานๆของนายเข้ามาในสายตาฉัน..


     

                ผมกลอกตาไปมาอย่างเอียนในความเลี่ยนของคนตรงหน้า.. นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ.. ผมไม่ได้หมายถึงแค่เขานะ แต่ผมกำลังพูดถึงตัวของผมเองด้วย แล้วก็ไอ้ความรู้สึกแปลกๆที่คอยเชื่อมโยงเราทั้งสองคนเอาไว้

                มันไม่ใช่ความรักหรอก ผมรู้ดี แต่มันเป็นอะไรสักอย่างที่เหนือชั้นกว่าความชอบแล้วก็ความคลั่งไคล้.. แต่เผลอๆมันอาจจะอยู่เหนือกว่าความรักแล้วก็ได้นะ เพราะในเมื่อความรู้สึกทั้งหมดที่ผมรู้สึกในตอนนี้นั้น มันช่างรุนแรงเสียเหลือเกิน


     

                “จะเอายังไงดีละ”

    ผมถามเสียงใสก่อนจะส่งยิ้มหวานให้เขาทั้งๆที่ตัวเองยังถูกเขากดจนจมเบาะอยู่แบบนั้น


     

                “ไม่เอาไงหรอก.. ขอแค่นายยอมฉันดีๆก็พอแล้ว ฮันนี่บอย..”


     

    ผมเลิกคิ้วอย่างสนใจ ก่อนจะค่อยๆใช้มือของตนเองโอบกอดรอบลำคอของเขาไว้อย่างมีชั้นเชิง

                ฉันจะยอมก็ได้..แต่มีข้อแม้นะ”



     

                “อะไร?”



     

                “ห้ามบอกว่ารักฉัน..”



     

                คริสขมวดคิ้วหนาๆของเขาจนดูน่าตลก แต่ถึงกระนั้นเขาก็พยักหน้าตกลงและไม่รีรอที่จะเอ่ยถามหาเหตุผลจากปากของผม


     

    แล้วถ้าฉันเผลอพูดมันออกไปละ?”



     

    “ถ้าเป็นแบบนั้น..ฉันก็จะฆ่านายยังไงละ”

     

     

     

     

     

     



     

                คริสมองผมด้วยแววตาที่อ่านได้ง่ายจริงๆนะ..
     

    เขามองผมเหมือนกับจะกลัวผม แต่สักพักความกลัวก็หายไป หลงเหลือไว้แต่ความมั่นใจที่พุ่งสูงทะลุเพดาน ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์วาววับ อีโก้จัดๆกับท่าทางบังคับเอาแต่ใจแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกใจบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ทันให้ต้องคิดอะไรมากนัก เพราะว่าเขาโน้มศีรษะลงมาและจัดการประกบปากอันร้อนผะผ่าวของเขาลงบนปากน้อยๆของผมด้วยความว่องไวในระดับที่อาจรียกได้ว่าน่าทึ่ง
     

    ผมส่งเสียงหัวเราะเบาๆในลำคอ.. เข้าใจในทันทีว่าเขามีเจตนาที่จะเป็นฝ่ายบุก แต่ผมไม่ใช่ฮันนี่บอยที่น่ารักน่าขยี้ในจินตนาการของเขาหรอกนะ..


     

    กลับกันเลยต่างหาก..ผมนี่แหละ..สุดยอดฮันนี่บอย..ฮันนี่บอยที่แสนจะอันตรายตัวจริงเสียงจริงเลยละ



     

    “อืม”

    ผมส่งเสียงเมื่อสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่แหย่เข้ามาหยอกล้อ.. คริสในตอนนี้ดูแปลกไปจริงๆ เขาดึงดัน..เขาเอาแต่ใจ และเขาก็แสดงเจตนาว่าเขาจะต้องได้เสียด้วย
     

                ในหัวของผมพลันเกิดความคิดบรรเจิดราวๆร้อยแปดแผนด้วยกัน.. ก่อนที่ผมจะรีบดันร่างของเขาออก และลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วเพื่อไปตั้งหลัก..


     

                คริสในสภาพที่ยุ่งเหยิงกับผมในสภาพที่ยุ่งเหยิง ตอนนี้นับว่าแตกต่างกันมาก.. เขายังใส่เสื้อผ้าครบชุด ในขณะที่ผม..เสื้อถูกถลกขึ้นมาจนถึงหน้าท้องแล้ว..


     

                นายนี่ใจร้อนจริงนะ”

    ผมพึมพำก่อนจะจัดการถอดเสื้อของตนเองทิ้งเสียเอง ในขณะที่คริสเบิกตากว้างอย่างงุนงง แต่ในท้ายที่สุด สายตาของเขาก็เลื่อนลงมามองที่ยอดอกของผมอย่างที่เห็นได้ชัดแบบโต้งๆเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่..
     

                ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะจัดการเปิดเพลงจากแล้ปท้อปของตัวเองให้ดังกระหึ่ม.. เสียงขับร้องโหยหวนจากเพลง Dark paradise ของ Lana Del Rey ดังลอดออกมาจากลำโพง พร้อมๆกับที่ผมหันไปเทผงขาวจากซองลงบนหนังสือไบเบิ้ลที่วางข้างๆตัว..เกลี่ยๆมันด้วยมีดโกน..ผมต้องการให้ผงขาวเหล่านี้เรียงตัวสวย..และงดงาม..


    อย่างน้อยก็ให้สวยสมกับที่วางบนไบเบิ้ลเสียหน่อย..












    ผมรู้ว่าคริสจับจ้องมองผมทุกอิริยาบถ ทุกการกระทำ แต่เขากลับไม่ส่งเสียงห้ามใดๆออกมา



    และนั่น
    ..ผมจะถือว่า ความเงียบนั่นคือถ้อยคำอนุญาตจากเขา


     

    ผมเอื้อมมือไปหยิบธนบัตรใบหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆแล้ปท้อปขึ้นมา ก่อนจะจัดการม้วนมันเป็นเกลียว….ใช้มันเป็นท่อที่นำส่งความสุขเข้าสู่สมองโดยผ่านทางจมูก




     

              ความสุข..ความสุข..

    ผมสะบัดศีรษะไปมาอย่างอิ่มเอม ความสุขที่ล้นทะลัก ไอหมอกสีขาวที่วนเวียนและลอยละล่องไปทั่วห้องสีเทาแห่งนี้.. ผมกางแขนทั้งสองแขนจนสุดแขน ยิ้มและหัวเราะไปพร้อมๆกัน..
     

                ผมหัวเราะคิกคัก ก่อนจะก้มหน้าลงไปสูดมันขึ้นมาอีกครั้ง.. เป็นจังหวะเดียวกันกับที่คริสลุกขึ้นจากโซฟาและเดินตรงมาที่ผม..



     

                มาต่อกันเถอะน่ะ”

     
     

                “หือ?”

    ผมหันไปขมวดคิ้วใส่เขา ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่คริสในตอนนี้เขาดูเหมือนกับเทวดาเลยละ!


     

                ผมส่งยิ้มให้เขา ก่อนจะยื่นเกลียวธนบัตรให้เทวทูตตกสวรรค์ตนนี้..



     

                “ลองหน่อยม่ะ”

     

    คริสมองผมอย่างชั่งใจ.. ฝ่ามืออันสั่นเทาของเขาค่อยๆรับมันมาจากมือผม..

         

          

                ต้องทำยังไง?”



     

                “เด็กดี..นายรู้วิธีนี่..”

     

     

     

     





     

    ท่ามกลางของกระแสภาพที่เลือนลางผมเห็นคริสค่อยๆโน้มตัวลงไปทำอย่างเดียวกับผม.. เสียงเพลง Dark paradise ยังคงดังอยู่ระยะๆ ในขณะที่พวกเราทั้งคู่ต่างก็สลับสับเปลี่ยนคอยแบ่งปันความสุขเล็กๆน้อยๆนี้ให้แก่กันและกันโดยไม่ขาดตกบกพร่อง

     

    ณ เวลานี้.. มีเพียงแค่จังหวะที่บีบคั้นหัวใจ..จังหวะที่หนักหน่วง..จังหวะที่เข้าถึงอารมณ์ขั้นสูงสุด..


     

    ผมทิ้งตัวลงนอนบนพื้นพรมอันน่ารำคาญ.. ในขณะที่คริสยังคงเดินโซเซตรงไปที่โซฟา..เขากระชากผ้านวมผืนหนา ก่อนจะเดินตรงกลับมาหาผมและจัดการโอบกอดผมไว้ด้วยอ้อมกอดแข็งแกร่งและไออุ่นจากผ้าห่มผืนนั้น.. 


     

    ภายใต้สวรรค์สีเทาอันมืดหม่น  ไอสีฟ้าหม่นที่ลอยอ้อยอิ่ง เสียงใบไม้เสียดสีในป่ารกชื้นเล็ดลอดเข้าโสตประสาท...พวกเราหัวเราะ..ยิ้ม ทั้งยังแหกปากตะโกนกันอยู่เพียงแค่สองคน.. และสำหรับผมที่ดูจะมีสติมากกว่าเขา.. ผมรู้ว่าบทเพลงในค่ำคืนนี้จะสลักลึกเข้าไปในใจของพวกเราทั้งสองคนไปตลอดกาล

     

    ลู่หาน..”

    คริสเรียกชื่อผมเสียงแผ่ว.. ทั้งๆที่เขายังคงนอนหลับตาพริ้มอยู่บนพรม..ผมเห็นดังนั้นจึงอดที่จะยิ้มและค่อยๆกระเถิบเข้าหาอ้อมกอดของเขาอย่างเช่นลูกสุนัขที่ขาดความอบอุ่น



     

    อะไรเหรอ..


     

    “ฉันเกลียดนายนะ..”


     

    “อื้ม..” ผมยิ้มแย้มก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงร่าเริง “ฉันก็เกลียดนายเหมือนกัน”

     

     

     

    There's no remedy for memory your face is,
    Like a melody, it won't leave my head
    Your soul is haunting me and telling me
    That everything is fine
    But I wish I was dead

    Every time I close my eyes
    It's like a dark paradise
    No one compares to you
    I'm scared that you won't be waiting on the other side

     

    ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันลืมเธอได้ 

    เหมือนทำนองเพลงนี้ติดอยู่ในหัว

    วิญาณเธอมันจองจำอยู่ในความทรงจำและคอยบอกว่า

    ทุกอย่างมันยังโอเค

    แต่ฉันกลับอยากตายเหลือเกิน

     

    ทุกครั้งที่หลับตาลง

    ฉันสัมผัสสวรรค์อันมืดมิด

    ไม่มีใครแทนที่เธอได้

    ฉันกลัว กลัวว่าเธอจะไม่รอฉันในอีกด้านหนึ่งของวิมานโศก






    _____________________
    { N C }
    http://luvely007.wordpress.คอม/2014/12/30/%E0%B8%AE%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%A2-nc-007fic/

    หรือเข้าไปที่ทวิตเตอร์ของไรท์เตอร์ @ lovely____00 ( _ 4 ตัว)
    ลิ้งค์อยู่ในไบโอ..

    _____________________













    I’m Kris



     

                ผมกำลังฝัน

     

    ผมรู้ดีว่ามันเป็นฝัน..เพราะตัวผมเองกำลังวิ่งอยู่บนถนนสายหนึ่งซึ่งทอดยาวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.. และมันก็ไม่มีป้ายบอกด้วยว่าเป็นถนนสายไหน..
     

    ผมมั่นใจว่าเป็นมันเป็นฝัน..เพราะสองข้างทางนั้นมีเพียงแต่หมอกควันสีเทาที่ลอยละล่องอ้อยอิ่ง ไร้ซึ่งเงาของผู้คน..

     

                ถนนเส้นนี้..ผมไม่รู้จักถนนเส้นนี้.. เหงื่อของผมแตกซิกและค่อยๆไหลลงฝ่ามือ.. แต่ถึงกระนั้นสองเท้ากลับไม่ยอมหยุดวิ่ง..


     

                ช่วยผมด้วย!”

    ผมป้องปากตะโกน ทันใดนั้นเอง..หมอกควันที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่นั้นกลับลอยมาขวางทางเบื้องหน้า.. จนทำให้ถนนเบื้องหน้าในครานี้ดูมืดมนหนักกว่าเก่า อีกทั้งยังก่อให้เกิดบรรยากาศน่าขนลุกขนพองขึ้นมาอีก

    ผมจึงรีบหยุดเท้า..เพราะไม่กล้าเดินฝ่าควันหนาพรรค์นั้น แต่สักพักผมกลับรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าท้องอย่างสุดแทน..


     

    พอก้มลงดู..ผมจึงรู้ว่าตัวเองโดนแทง..


     

    เลือดไหลเปรอะเต็มหน้าท้อง..มือปริศนาที่โผล่พ้นออกมาจากหมอกควัน และใบหน้าหวานสวยของลู่หาน..


     

                “ทำไมถึงทำกับผมแบบนี้?” ผมถามเขาผ่านม่านหมอกควัน



     

                       “เพราะนายรักฉันยังไงละ”

     

     

     

     


     

     

    ผมสะดุ้งเฮือกเพราะสัมผัสที่ใบหน้า..ก่อนจะหันไปยังด้านข้างและเห็นฮันนี่บอยตัวน้อยกำลังหลับตาพริ้มอย่างเป็นสุขในอ้อมแขนของผม..

     

    ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเหลือบแลไปเห็นข้อมือของเขาที่ไขว้หลังและถูกมัดด้วยเชือกเส้นเขื่อง พร้อมกับรอยแดงที่ข้อมือกับคราบเลือดแห้งกรัง..

     

     

    “ขอโทษ”
     

    ผมรีบลุกขึ้นนั่งก่อนจะพึมพำเสียงแผ่ว.. ความทรงจำในตอนนั้นค่อยๆไหลวาบผ่านเข้าสู่สมองอย่างเชื่องช้า.. มันต้องเป็นเพราะฤทธิ์ยาแน่ๆที่ทำให้ผมกลายร่างเป็นปีศาจไปได้ถึงขนาดนั้น..

                หรือไม่ก็..นั่นแหละ..ตัวตนที่แท้จริงของผม..

     

     

                ขอโทษนะฮันนี่บอย”

     

              “ถ้าอยากจะขอโทษจริงๆ..ก็รีบแกะข้อมือฉันซะทีสิ ตางั่ง”

    น้ำเสียงอ่อนระโหยแรงดังออกมาจากปากของคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่.. ผมผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบแกะเชือกที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาออกจากข้อมือของเขา..


     

                เมื่อจัดการเชือกเส้นนั้นเสร็จเรียบร้อยดีแล้ว..ฮันนี่บอยตัวน้อยที่หน้าซีดเซียว ผมเผ้ายุ่งเหยิงก็รีบผุดลุกขึ้นนั่ง.. ผมเผลอเหลือบสายตาลงมองเบื้องล่าง..ซึ่งเนื้อตัวของเขา มีแต่รอยช้ำเป็นจ้ำๆเต็มไปหมด..
     

    ผมเงยหน้ามองเขาอย่างเสียใจ แต่ทว่าลู่หานกลับมอบหมัดให้ผมเป็นการตอบแทน..

     


     

    ผัวะ!

     

    เสียงกำปั้นกระทบใบหน้านั้นดังก้องไปทั่วห้อง.. เห็นตัวเล็กๆแบบนี้แต่แรงต่อยของเขาทำเอาผมหน้าหันได้เลยจริงๆ.. ก่อนที่ผมจะตวัดลิ้นเลียมุมปากเพราะรู้สึกว่าเลือดกำลังไหล

    ไม่มีบทสนทนาใดๆระหว่างเราสองคนอีก.. ลู่หานจ้องหน้าผมเหมือนกับจะฆ่าให้ตาเสียเดี๋ยวนี้ ในขระที่ผมกลับหลบสายตาของเขา และเสมองไปนอกหน้าต่างแทนที่..


     

                ท่าทางจะบ่ายกว่าๆแล้วละเนอะ”

     

    ลู่หานไม่ยอมตอบ.. เขาเขม้นสายตาลงมองผมอย่างแปลกใจ..


     

                “พรุ่งนี้ไปเดทกันนะ”


     

                “…”


     

                ลู่หาน..ผมรักคุณนะ..”

     

     

     

    ผัวะ!

    เขาต่อยผมเข้าอีกข้างอย่างแรง จนคราวนี้ผมถึงกับมึนไปเลยทีเดียว.. ผมกระพริบตาปริบๆและสะบัดศีรษะไปมาอย่างพยายามตั้งสติ

    ลู่หานเองก็หอบหายใจแฮ่ก ดูท่าว่าเขาจะทุ่มพละกำลังที่มีทั้งหมดไว้ในสองหมัดนั้น..ก่อนที่เจ้าตัวจะผลุนผลันรีบไปเข้าห้องน้ำ..ทิ้งให้ผมเหม่อมองตามแผ่นหลังขาวนวลนั้นไปอย่างเช่นคนใจลอยและนึกเสียใจที่ตัวเองไม่อาจควบคุมอารมณ์ใดๆได้เลย












     

    24 ธันวาคม 2014 10.42 PM

    Boston, USA

     

              มันต้องมีปีศาจข้างในตัวผมสักที่หนึ่งแน่ๆ..
     

    จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่หยุดฟังเพลง Dark paradise ..ผมยังไม่หยุดฟังเพลงของ Lana Del Rey เลยสักนิดตั้งแต่กลับจากห้องของฮันนี่บอย..
     

              ผมเผลอบอกรักเขาไปแล้ว..

    ผมควรจะทำยังไงดี? ผมไม่รู้อะไรแล้วจริงๆ เหมือนกับว่าสรวงสวรรค์ที่ดำมืดนั้นกำลังเชื้อเชิญผม.. และสุดท้ายก็จะเป็นเหมือนในฝัน.. ผมก็จะถูกเขาฆ่า

              แม่โทรหาผมเป็นร้อยๆสาย แต่ผมกลับไม่ยอมรับมัน..

    ผมกำลังคิดว่าผมจะเป็นบ้า..ถูกมัวเมาด้วยยาเสพติดที่แสนจะหอมหวานนี้..


     

              มีปีศาจข้างในผม..และผมก็กำลังจะเป็นบ้า..  

     

     

     

     

     

     

    25 ธันวาคม 2014

             

      

                ใครจะไปคิดว่าลู่หานจะยอมตกลงรับคำขอของผมอย่างง่ายดายขนาดนี้..
     

    ในตอนบ่ายแก่ๆของวัน..ผมพึ่งตื่นนอนและนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้นัดเวลากับลู่หานให้แน่ชัด ผมจึงรีบกระโดดออกจากเตียง ตั้งใจจะไปเคาะประตูห้องลู่หาน หรือเขียนโน้ตสักแผ่นแล้วสอดเข้าไปใต้ประตู แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะมายืนอยู่ที่หน้าห้องของผมแล้ว


     

                “ไง..”

    ฮันนี่บอยก็ยังเป็นฮันนี่บอยแสนหวานเช่นเดิม.. ผมของเขาก็ยังคงเป็นสีคาราเมล และเขาก็ยังแต่งตัวด้วยเสื้อสเวตเตอร์สีสันสดใสราวกับลูกกวาด..

     

                “เอ่อ..” ผมขยี้หัวของตัวเองด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก่อนจะรีบทักทายเขาด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนัก 

    “อ
    ..หวัดดี..ลู่หาน”


     

                “จะไม่เชิญฉันเข้าไปหน่อยเหรอ”


     

                “อ้ะ..เข้ามาสิ”

     

    ผมร้องบอกก่อนจะรีบถอยห่างออกจากประตู รอให้ลู่หานก้าวเข้ามาในห้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยงับประตูปิด และแสดงความจริงใจโดยการไม่ล้อกประตู..

     

     

                “อืม.. แล้วนี่ไม่แต่งตัวเหรอไง?”

     

     

                “เอ้ะ?”

     

     

                “ก็นายชวนฉันเดท..

     

     

    ผมกระพริบตาปริบๆ ถึงพึ่งเข้าใจว่าลู่หานยอมรับคำขอของผม

     

     

                “รอก่อนแป็ปนึงนะ.. เดี๋ยวผมจะรีบไปอาบน้ำแต่งตัว!”

     

     

    ลู่หานผงกศีรษะตอบรับ ทำให้ผมดีใจมากจนต้องชูกำปั้นแล้วก็ร้อง Yes! ดังๆ แล้วรีบวิ่งตัวลอยเข้าห้องน้ำไปทันที..

     

     

     


     

     

                ใช้เวลาเพียงแค่สิบห้านาทีเท่านั้นในการอาบน้ำแปรงฟันล้างหน้า แล้วก็เวลาอีกสิบห้านาทีในการเลือกเสื้อผ้า แต่งตัว ฉีดน้ำหอม โดยมีลู่หานจับตามองอยู่ตลอด..

    ทั้งหมดแล้ว..ถ้านับรวมๆ ผมใช้เวลาเพียงแค่สามสิบนาทีในการเตรียมตัวเตรียมพร้อม..

     

     

                “เสร็จละ”

    ผมเอ่ยเสียงแผ่วพร้อมกับรีบเดินมาโชว์โฉมตรงหน้าของฮันนี่บอยตัวน้อย.. ลู่หานเงยหน้าจากนิตยสารแฟชั่นของผม ก่อนจะใช้สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า..

     

     

                ต่างหูสวย”

     

     

                “แค่นี้?”

     

     

                “อื้อ!” เขาพยักหน้า “ก็ต่างหู Chrome heart นายสวยดีนี่.. ฉันชอบนะ”

     

    ผมยกมือขึ้นจับต่างหูรูปไม้กางเขนของตัวเองทันทีที่ลู่หานเอ่ยปากชม.. เขายิ้มเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเห็นปฏิกิริยาดีใจแบบเด็กๆของผม แต่ก็จำต้องหยุดยิ้มโดยทันทีเพราะจู่ๆผมก็ถอดต่างหูข้างหนึ่งออกแล้วยื่นมาตรงหน้าเขา..

     

     

                “อ่ะ..ผมให้”

     

     

                “อย่าบ้าน่า..คริส..ฉันซื้อเองได้”

     

     

                “เอาไปเถอะ” ผมรีบยัดตุ้มหูข้างหนึ่งลงบนฝ่ามือน้อยๆของเขา “ผมให้..ถ้าคุณไม่รับ ผมจะโกรธนะ”

     

     

                ลู่หานมองหน้าผม..ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่.. เขาทำท่าจะเก็บต่างหูเข้ากระเป๋าแต่ทว่าผมรีบยกมือห้ามเสียก่อน

     

     

                “อะไรอีกเล่า!”  ฮันนี่บอยตัวน้อยโวยวายเสียงดัง

     

     

                “ก็ใส่ตอนนี้เลยซิ...”

     

     

                “ไม่เอา!”

     

     

                ทำไมละ?” ผมถามตาแป๋ว.. ดื้อดึงดันจะบังคับให้เขาใส่ให้ได้..

     

     

    ลู่หานมองผมด้วยแววตาเอาเรื่องพอสมควร แต่สักพักเขาก็ยอมแต่โดยดีเพราะผมทำหน้าออดอ้อนใส่เขา..

     

     

                “เรื่องมากจริง”

    ฮันนี่บอยบ่นออกมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ตั้งใจใส่ต่างหูของผมนะ..

     

     

                “ขอบคุณนะ..” ผมเอ่ยเสียงแผ่ว ขณะที่ยืนมองเขาใส่ต่างหูของผมอยู่.. “ผมดีใจมากเลยละลู่หาน...”

     

     

     

     

     

     




     

                หลังจากนั้น..ผมกับเขาก็ลุกขึ้นออกไปเที่ยวด้วยกันตามที่ผมได้คาดหวังเอาไว้..แม้ว่าลู่หานนั้นจะมีทีท่าไม่ยินดียินร้ายเท่าใดก็ตาม แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังดีใจที่เขายอมทำตามคำขอลมๆแล้งๆของผม..

     

     

                สวยเนอะ”

    ผมชี้ต้นคริสต์มาสที่ถูกประดับประดาอยู่ที่หน้าบริเวณบ้านหลังหนึ่งในเขตถนน Ewe Street หลังจากที่พาลู่หานไปสวดมนต์นิดๆหน่อยๆที่ Ruggles Baptist Church ซึ่งตั้งอยู่แถวๆเขตถนน Beacon Street และค่อนข้างไกลจากกันมากนัก แต่โชคดีที่ว่า ผมมีรถส่วนตัว

     

     

                “วันนี้มีแพลนจะพาฉันไปไหนละ?”

    ลู่หานถามขึ้น ขณะที่เขาเข้ามากอดแขนผมอย่างเงียบๆหลังจากที่ผมหาที่จอดรถได้สำเร็จ.. ร่างน้อยๆที่พยายามเบียดๆซุกๆเข้ากับโค้ทของผมในยามนี้..ดูแล้วช่างน่าเอ็นดูจริงๆเลยให้ตายสิ

     

     

                ที่จริงก็ยังไม่ได้วางแผนอะไรจริงจังนักหรอก.. แต่แค่คิดว่าจะพาคุณไปโบสถ์ ไปนั่งคุยกันที่สวนสาธารณะ แล้วก็ไปช้อปปิ้ง จากนั้นก็ค่อยไปดูหนัง แล้วก็จบลงด้วยดินเนอร์เล็กๆน้อยๆเท่านั้นแหละ”

     

     

                “โอ้โห..” ลู่หานร้องอุทานออกมาจนผมตกใจ “นี่ขนาดยังไม่ได้วางแพลนอะไรเลยนะเนี่ย!”

     

     

                ก็นี่แหละ..ยังไม่ค่อยวางแพลนอะไรหรอก” ผมหัวเราะลั่น ก่อนจะโอบไหล่เขาอย่างเงียบๆ  “แต่เดี๋ยวเรามาหาที่นั่งคุยกันที่สวนสาธารณะแถวนี้ก็น่าจะดี.. ปรึกษากันเรื่องแพลนวันนี้เสียหน่อย”

     

     

                ลู่หานผงกศีรษะตอบรับ แล้วหลังจากนั้นผมจึงพาเขาไปนั่งที่ Knyvet Square อันร่มรื่น.. ผู้คนมากมายในชุดเสื้อกันหนาวหลากสีอย่างที่ผมคาดไว้ว่าจะเห็น ก็ยังดูบางตาอยู่บ้างเพราะตอนนี้พึ่งจะเป็นเวลาบ่ายสามเท่านั้นเอง

     

                ผมกับเขาเลือกที่นั่งที่ติดกับสนามบาสซึ่งไร้ผู้คน..ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ไร้ใบ..มีกิ่งไม้ตายซากกับหิมะที่โปรยปรายไม่ขาดสาย..

     

     

                “หนาว..”

    ผมพยายามหาเรื่องมาพูดเพื่อที่บรรยากาศจะได้ไม่เงียบไปกว่านี้.. แต่มันผิดคาดเอามากๆเพราะจู่ๆลู่หานเอ่ยถ้อยคำบางอย่างซึ่งทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนค้อนยักษ์ทุบเข้าที่ศีรษะ

     

     

                “ฉันเคยติดคุกมาก่อนนะ”

     

     

                “อือ..”

    ผมพยักหน้ารับฟังก่อนจะส่งเสียงครางเบาๆในลำคออย่างรับรู้ ทั้งๆที่ในใจกำลังเต้นตึกตักไปหมดเพราะรอว่าเขาจะพูดอะไรออกมา

     

     

                “นายก็รู้ใช่ไหมว่าฉันเคยฆ่าแม่แท้ๆของตัวเอง”

     

     

                “พอรู้อยู่บ้าง..”

     

     

                “ก็นั่นละ..ฉันถูกจับยัดเข้าคุกตั้งแต่อายุสิบแปดปี แต่มันเป็นการติดคุกที่สั้นเอามากๆ เพียงแค่สองปีครึ่งเท่านั้นกับโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา.. แต่ก็นั่นแหละ..พ่อฉันค่อนข้างมีอิทธิพลอยู่ในระดับหนึ่ง อีกทั้งเขายังวิ่งเต้นหาหลักฐานว่าฉันเป็นโรคประสาท ทำให้ฉันถูกจำคุกเพียงแค่สองปีเท่านั้น”

     

     

                “พ่อคุณ..คงจะรักคุณมาก”

     

     

                “รักเหรอ?” เขาขึ้นเสียงสูง.. “เขาไมได้รักฉันหรอก เขาแค่จะแสดงความขอบคุณฉันเท่านั้นที่ช่วยกำจัดแม่ออกไปให้พ้นทางของเขา..พ่อไม่ได้รักฉันหรอกและแม่ก็ไม่ได้รักฉันด้วย”

     

     

                “หาน..” ผมพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเอื้อมไปกุมมือของเขาไว้ แววตาของเขาดูน่ากลัวมาก..ราวกับมันเต็มไปด้วยสีขาวโพลนที่ว่างเปล่า 

     

     

                “นายคิดว่าฉันติดยาเพราะอะไร?”

     

     

                “ไม่รู้สิ” ผมยักไหล่

     

     

                “ฉันจะบอกให้ก็แล้วกัน.. พ่อฉันนะเป็นไอ้สารเลวที่ติดยาและบังคับให้ลูกชายขายตัวแลกกับยาพวกนั้น  และแม่ฉันก็เป็นอีตัวที่คบชู้กับคนขายยาให้พ่อ จนมีน้องสาวฉันขึ้นมายังไงละ”

     

     

                ผมก้มหน้าลงกุมขมับทันที..นี่ผมกำลังฟังอะไรอยู่กันแน่นะ?..

     

     

                “พอเถอะ..ลู่หาน คุณไม่จำเป็นต้องพูด..”

     

     

                อยากจะรักฉันไม่ใช่เหรอไง?” น้ำเสียงของเขาเข้มขึ้น ก่อนที่เขาจะโน้มตัวลงมากระซิบกระซาบที่หูของผม เสียงของเขาทะลวงเข้าโสตประสาทราวกับเสียงกรีดร้องของปีศาจ

     

     

                “ฉันขายตัวแลกกับยาละคริส..” เขากระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูผม..  ผมกัดฟันแน่นจนใบหน้าขึ้นเป็นสันอย่างชัดเจน “..และฉันก็ฆ่าแม่เพราะแม่จะฆ่าฉัน.. น้องสาวฉันก็ต้องออกไปอยู่กับญาติ เพราะพ่อฉันพยายามจะข่มขืนหล่อน.. คริส..ชีวิตฉันมันบัดซบแบบนี้ละ..แล้วนายยังอยากจะรักฉันอยู่ไหม”

     

     

                พอเถอะ!”

    ผมร้องลั่นก่อนจะดึงตัวเขาเข้ามากอดอย่างแรง..ร่างน้อยทั้งร่างเซถลาเข้ามาซุกซบในอกแกร่ง..ผมหายใจขึ้นลงอย่างแรงจนทั่วทั้งอกเจ็บปวดไปหมด..

     

                แต่ผมรู้ว่ามีคนที่เจ็บปวดมากกว่า..และคนๆนั้นก็คือลู่หาน..ฮันนี่บอยของผม

     

     

                รู้แบบนี้แล้ว..นายยังอยากจะรักฉันอีกไหมละ..

    เขาร้องไห้..เขาร้องไห้พร้อมทั้งเอ่ยประโยคที่น่าเจ็บปวดแบบนั้นออกมาด้วย.. ผมถอนหายใจเฮือก พยายามอย่างหนักที่จะควบคุมโทสะและความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้..

               

     

                เงียบเถอะ..ฮันนี่บอย”

     

     

                “ล..แล้วนายก็จะทิ้งฉันไป! เหมือนคนอื่นๆ!”

    ผมกอดเขาไว้แน่น..แม้จะนึกโมโหอยู่บ้างที่เขาเอาความรู้สึกที่แสนจะยิ่งใหญ่ของผมไปเปรียบเทียบกับความรู้สึกต่ำๆที่เกิดเพียงชั่วครั้งชั่วคราวจากอวัยวะสืบพันธุ์ของคนพวกนั้น

     
     

                “อย่าให้อดีตหลอกหลอนนายสิ..ลู่หาน ต่อให้นายเลวแค่ไหน ยังไงฉันก็จะอยู่กับนายที่เป็นแบบนี้ละ”

     
     

    “ฉันจะเชื่อใจนายได้ใช่ไหม..คริส?”

     

     

                “ได้สิ” ผมกระชับอ้อมกอดก่อนจะส่งเสียงแผ่ว.. ได้อยู่แล้วละ”


     

               

     

     

     

     

     

     

    25 ธันวาคม 2014 เวลา 9.00 PM

    ตามเวลาท้องถิ่นของบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

     

    Knyvet Square..

     



     

                บรรยากาศโดยรอบเริ่มจะแปลกไปอยู่บ้าง..

     

    ผมหมายถึงว่า ที่จริงแล้ว ผมคาดหวังเอาไว้ว่าคือ วันนี้เป็นเทศกาลคริสต์มาสใช่ไหมละ? ดังนั้น หลังจากที่ผมพาลู่หานไปสงบจิตสงบใจโดยการเลือกดูหนังอินดี้สักเรื่องที่ Coolidge Corner Theater แถวๆ Harvard Street แล้วก็ไปช้อปปิ้งเล็กๆน้อยๆ (ซึ่งส่วนมากเป็นของๆผม)
    จากนั้นก็จบด้วยการดินเนอร์อาหารญี่ปุ่นที่ร้าน
    Fugakyu Cuisine ในเขตถนน Beacon Street


     

    หลังจากนั้น ผมก็วกกลับมาที่ Knyvet Square ตั้งใจว่าจะพาเขาไปเดินเล่นที่นั่น ชมต้นคริสต์มาส และใช้เวลาช่วงนั้น ร่วมสร้างความทรงจำที่งดงามในเทศกาลคริสต์มาสไปพร้อมกันกับคู่อื่นๆ..



     

    แต่ปรากฏว่า..ที่นี่กลับไม่มีใครเลย..นอกไปเสียจากพวกผมสองคน..

     









     

    บรรยากาศโดยรอบนี่แปลกไปจริงๆนะ.. ไม่ว่าจะเป็นความเงียบเหงา..บรรยากาศที่ดำมืดราวกับว่ามีใครมาสาดสีดำลงไป ..แต่ถึงกระนั้น โชคก็ยังเข้าข้างอยู่บ้าง เพราะยังมีแสงไฟจากสปอตไลท์และแสงไฟนีออนรอบข้างเป็นเพื่อนร่วมทีมในยามค่ำคืนนี้..

     

    หิมะเริ่มตกหนัก..ไอสีขาวจากลมหายใจของผมในยามนี้ถูกพ่นออกเป็นสาย..และพวยพุ่งลอยขึ้นไปยังด้านบนอย่างเชื่องช้า

     

     

    “ลู่หาน..”

     

     

    ผมหันหลังกลับไปหาฮันนี่บอยที่กำลังเดินกุมมือใต้เสื้อแจ้กเก้ตตัวยาวของเขา.. เขาส่งยิ้มเศร้าสร้อยตอบรับ แต่ในช่วงเวลานั้นผมไม่ได้เอะใจใดๆนอกไปเสียจากยังคงตื่นเต้นกับหิมะที่กำลังโปรยปรายจนหนาตา..

     

     

                “หิมะพวกนี้เย็นมากเลยละ”

    ผมกระโดดคว้าหิมะได้หนึ่งกำมือ ก่อนจะรีบวิ่งเอาไปให้ลู่หานที่กำลังยืนนิ่งอยู่ข้างๆสนามบาส..

     

     

                “อืม..สวยมากเลย..หิมะพวกนี้สวยมาก”

     

     

                “ใช่ม้า”

     

     

                “แต่ว่า…” ฮันนี่บอยพึมพำเสียงแผ่ว..ก่อนที่เขาจะเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำด้วยแววตาหมองหม่น..

    แต่ว่าฉันเกลียดหิมะ  ถ้าเป็นไปได้..ฉันอยากจะย้ายไปอยู่สักที่..ที่ๆมันไม่มีหิมะ”

     

     

                “เป็นไปไม่ได้หรอก” ผมหัวเราะ และใช้มือข้างหนึ่งเขกหัวเขาเบาๆ.. “ ถึงจะเป็นไปได้ แต่ผมก็จะไม่ปล่อยคุณไปง่ายๆหรอกนะ เอาไว้ผมเรียนจบเมื่อไหร่ ผมจะเป็นคนพาคุณไปเอง! เพราะผมก็เบื่ออากาศหนาวหดหู่ของที่นี่เหมือนกันนะ”

     

     

                “เหรอแล้วนายวางแผนไว้หรือยังว่าจะไปที่ไหน?”

     

     

                “ไม่รู้สิ..แต่ผมตั้งใจว่าจะไปเป็นอาสามัครที่แอฟริกาก่อน”

     

     

                “ดีจัง..” ลู่หานเอ่ยก่อนจะยิ้มให้ผมเล็กน้อย.. “แต่ฉัน..คิดว่าจะไปเมืองไทยละ.. ถ้าไม่ใช่ประเทศไทยก็คงจะเป็นเวียดนามละมั้ง”

     

     

                “เมืองไทยก็ดีนะ” ผมร้องทักอย่างดีใจ.. แค่คิดว่าผมกับลู่หานจะได้ไปเที่ยวกันสองคนที่เมืองไทย มันก็น่าสนุกแล้วละ “ผมเคยไปอยู่ครั้งสองครั้ง ทะเลที่นั่นสวยมากเลยนะ”

     

     

                “หืม..อยากจะไปเหรอ”

     

     

                “อยากสิ” ผมพยักหน้าตอบรับเขา “เอาไว้ไปด้วยกันนะ”

     

     

    ลู่หานยิ้ม..ก่อนที่เขาจะส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า ทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบไปในแทบจะทันที  

     

    “ฉันต้องไปเมืองไทยตอนนี้แล้วละคริส..คงรอให้นายเรียนจบไม่ได้แล้ว”

     

     

    “เอ้ะ?”


     

    “พ่อฉัน..เขาจะย้ายไปทำธุรกิจที่โน่นนะ”

     
     

    “ธุรกิจอะไร.. นายไม่เคยเห็นเล่าเลย..” ผมพึมพำกับตัวเองเบาๆอย่างสงสัย.. ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้ 


    “พ่อนาย
    ขายยาเหรอ?”

     
     

    ลู่หานไม่ยอมตอบผม.. เขาพยายามที่จะเบี่ยงตัวหนี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ใช่คนที่ยอมอะไรง่ายๆ.. ผมจึงโยนหิมะในมือทิ้ง และรีบวิ่งไปดักหน้าเขา ก่อนที่เขาจะเดินจากผมไป..

     

                นายไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งเขา!” ผมตะโกนก้อง ก่อนจะเอื้อมมืออันสั่นเทาของตนเองขึ้นมาจับไหล่ของฮันนี่บอยเอาไว้ พยายามยื้อยุดอย่างสุดแรงเกิดเพื่อไม่ให้เขาไป

     

     

                “คริส..ฉันขอโทษ..แต่ชีวิตฉันเหลือแค่เขาแล้วตอนนี้”

     

     

                “แล้วผมละ?... คุณเหลือคนหนึ่งที่รักคุณอยู่นะผมไง..ผมอยู่นี่..


     

                “นายยังมีอนาคต แต่ฉันไม่มีอะไรแล้ว ฉันสูญสิ้นทุกสิ่งไปหมดแล้ว”


     

                “น้องสาวคุณ..แล้วก็ผม..คุณยังมีทุกคน ทุกคนรักคุณ” ผมพยายามเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก หน้าตาของลู่หานดูเย็นชาเสียเหลือเกิน..ถ้าเทียบกับหิมะในตอนนี้แล้ว เกรงว่าหิมะพวกนั้นอาจจะดูเป็นของไร้ค่าไปเลย


     

     

                “คริส..ปล่อย”

     


     

                “ไม่!”


     

     

                ปล่อย!!!”

     


    "ผมจะไม่ปล่อยคุณ! คุณไปไหนไม่ได้หรอก..ผมไม่ให้คุณไป ผมรักคุณนะ..ผมรักคุณ!"



    "รักเหรอ?.. ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว.. ฉันจะจบมันเดี๋ยวนี้เลยละ.."



     

                “อะไรกัน..----อ๊ะ!”

     

    ตัวของผมพลันสั่นสะท้านเฮือกอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อรับรู้ได้ถึงอาการเจ็บแปลบที่บริเวณช่วงท้องทางฝั่งขวา..ผมก้มลงมองที่หน้าท้องตัวเองอย่างไม่เชื่อสายตา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองลู่หานอย่างตกใจ

     


     

    “หาน?”

     

    มีดเล่มยาวแต่บางเฉียบถูกดึงออกมาจากหน้าท้องของผมก่อนจะถูกปักลงเข้าไปใหม่อีกครั้ง.. เลือดเริ่มทะลักออกจากปากแผลราวกับน้ำไหล พร้อมๆกับที่เข่าทั้งสองข้างของผมเริ่มอ่อนแรงลง..


     

                “ขอโทษนะคริส”

     

    น้ำเสียงหวานแต่ทว่าแผ่วเบาเหลือเกินเขาดึงมีดออกมาอีกครั้ง และเสียบลงไปใหม่..ไม่ซ้ำที่เก่าเสียด้วย

     

     

     

                “ทำไมละ”


     

    ผมถามเขา..แต่กลับไม่ได้รับคำตอบใดๆทั้งสิ้น..

     

     

                ไอหมอกสีเทาเริ่มลอยคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ..ผมชักจะมองอะไรไม่เห็นเสียแล้ว นอกไปเสียจากกลุ่มควันพวกนั้นกับหิมะที่โปรยปราย..


     

    เสียงฝีเท้าย่ำกับพื้นหิมะดังสวบ สาบ..


    ได้ยินเพียงแต่คำพูดที่วกวนซ้ำไปซ้ำมา.. "I could end it all"

    ผมเปล่งเสียงหัวเราะอย่างแผ่วเบาเพราะรู้ว่าเขากำลังจะจากไป
    ..และในท้ายที่สุดผมก็ห้ามอะไรเขาไม่ได้อีกแล้ว


     

    ผมห้ามให้เขาไปหาสรวงสวรรค์สีดำไม่ได้

     




     

    จังหวะที่บีบคั้นหัวใจ..จังหวะที่หนักหน่วง..จังหวะที่เข้าถึงอารมณ์ขั้นสูงสุด..

     

                ผมนอนหอบหายใจระรัวอยู่ที่พื้นอันเย็นเยียบบนพื้นหญ้าใน Knyvet Square เสียงลมหายใจของผมกระชั้นชิดเป็นจังหวะอันตราย ก่อนจะเริ่มขาดห้วงทีละเล็กทีละน้อย แต่ทว่า ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น ตัวของผม..ร่างกายของผมกลับรู้สึกด้านชามากกว่าที่จะเจ็บปวด..

     

    หิมะขาวสะอาดดุจปุยนุ่นค่อยๆตกลงมาจากท้องฟ้าในยามรัตติกาล..ผมพยายามเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสมัน แต่ทว่าสิ่งที่ผมมองเห็นจากฝ่ามือของตนเองนั้นมีเพียงแต่คราบเลือดสีแดงฉานกับกลิ่นคาวชวนคลื่นเหียนที่พุ่งเข้ามาเตะปลายจมูก..

     

                ฝ่ามือของผมพลันสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่.. ความเจ็บปวดเข้าโจมตีทุกอณูความรู้สึกในร่างกาย ในหัวแว่วท่วงทำนองโหยหวนและเสียงร้องคร่ำครวญของลาน่า เดล เรย์กับกลุ่มควันสีขาวจางๆที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วห้องที่ถูกทาด้วยสีฟ้าอมเทา

     

     

     

    ผมเกลียดเพลงนี้..ผมเกลียดลาน่า เดล เรย์กับเพลงสไตล์ไอ้ขี้ยาของเธอ..

     


     

    แต่ผมกลับรักไอ้ขี้ยาที่เหมือนเธอคนหนึ่ง..ไอ้ขี้ยาที่มีกลิ่นกายหอมกรุ่นราวกับน้ำผึ้งป่า..

     

    ไอ้ขี้ยาที่เป็นดั่งฮันนี่บอยของผม..

     

     

     


     

    ผมหอบหายใจเฮือกใหญ่เมื่อคิดถึงตรงนี้..ไม่ว่าเส้นทางไหนที่เขาจะเลือก แต่ต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นหรือจะตาย.. ผมตัดสินใจว่า ผมจะเดินตามเขาทุกฝีก้าว จะประกบไม่ให้เขาออกห่างผมไปไหน.. ไม่ว่ามันจะเป็นยังไงก็ตาม ผมได้เลือกแล้ว

     

    ผมเลือกที่จะตามคุณไปยังสรวงสวรรค์สีดำแล้วนะ..



     

    My Honey boy..











     

    I can't fix him, can't make him better
    And I can't do nothing about this strange weather

    But you are unfixable
    I can't break through your world
    'Cause you live in shades of cool
    Your heart is unbreakable




    แต่ฉันช่วยเหลือเขาไม่ได้เลย ฉันทำให้เขาดีขึ้นไม่ได้
    และฉันก็ทำอะไรเกี่ยวกับบรรยากาศอันแปลกประหลาดนี้ไม่ได้เลย

    แต่เธอน่ะ แก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว
    ฉันแทรกเข้าไปในโลกของเธอไม่ได้เลย
    เพราะเธอใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เฉดสีที่แสนเยือกเย็น
    หัวใจของเธอมันไม่มีวันถูกทำลายลงได้


     

     

     

     

     

     

     

     



     

    “และต่อไปคือช่วงข่าวท้องถิ่นจากสถานีโทรทัศน์ FOX  ในวันที่ 25 ธันวาคม เวลา 9.21 นาที ได้พบผู้บาดเจ็บสาหัสจากการโดนแทงชื่อว่า Mr.Yi Fan Wu ที่ จัตุรัส Knyvet ทางฝั่งถนน Amory Street  โดยทางตำรวจได้ทราบชื่อและนามสกุลของผู้บาดเจ็บจากบัตรประจำตัวนักศึกษาซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ทางตำรวจยังไม่พบร่องรอยการต่อสู้แต่อย่างใด พบแค่ว่า มีเพียงแต่กระเป๋าเงินเท่านั้นที่สูญหาย ทำให้ทางตำรวจปักใจเชื่อว่า คดีอุกอาจใจกลางเมืองแห่งนี้น่าจะเป็นคดีลักทรัพย์จากคนใกล้ชิดที่ผู้บาดเจ็บรู้จักเป็นอย่างดี..
     

    สำหรับอาการของผู้บาดเจ็บในตอนนี้นั้น เนืองจากถูกคนร้ายแทงเข้าจุดสำคัญหลายจุดด้วยกัน และเสียเลือดไปค่อนข้างมาก โอกาสรอดมีเพียง 50:50 ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจึงยังตอบอะไรไม่ได้มากในตอนนี้ นอกไปเสียจากรอดูอาการไปเรื่อยๆ  ซึ่งทางเราจะนำเสนอข่าวนี้อีกทีในภายหลัง และย่อมไม่พลาดที่จะเกาะติดและนำเสนอข่าวอาชญากรรมอุกอาจในครั้งนี้อย่างแน่นอน



     

    ข่าวต่อไป คือข่าวพยาการณ์อากาศ.. สำหรับอุณหภูมิอากาศในประเทศสหรัฐอเมริกาวันนี้ นับว่าเข้าขั้นหนาวจนวิกฤติ—”

     


























     

    ____________________________________________________

     

     

     

     

     

     

     

     

    และแล้วมันก็จบลงแล้ว..

     

    แต่ก็ไม่แน่นะ.. ไม่แน่ว่าอาจจะมีภาคต่อ.. ซึ่งอาจจะเป็นฟิคเต็ม..

    หุๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับผู้อ่านด้วยแล้วกันว่าอยากจะอ่านอีฟิคผีบ้าแบบนี้ต่อไปไหม 5555555555



     

    อย่างไรก็ตาม.. อย่าลืมคอมเม้น + ติดแท้ก #ฮนบอย #007fic ด้วยนะคะ เพื่อเป็นแรง support ไรท์เตอร์และให้กำลังใจเราในการเขียน NC  (พลังงานจะหมดกับ NC จริงๆ ปกติเราไม่ใช่ไรท์เตอร์สายเขียน NC นะ เป็นไรท์เตอร์สายบรรยายเยอะๆต่างหาก)
     

            
     

      สุดท้ายนี้.. ขอบคุณนะค่ะที่อ่านและติดตามโปรเจค KRISHAN WINTER PROJECT
    ขอบคุณมากๆเลย.. ปลื้มมากๆและอย่าลืมที่จะติดตามอีก 6 เรื่องที่เหลือในฟิคโปรเจคนี้ด้วยนะค่ะ

    รับรองว่าสนุกสนานแน่นอนค่ะ.. มีหลากหลายสไตล์มั่กมาก ไม่ว่าจะเป็นแนวสดใส หรือแนวลุ้นตัวโก่ง หรือแนวหวานเชื่อมแบบนี้

     

    ขอขอบคุณไรท์เตอร์ท่านอื่นๆด้วยนะค่ะ ^^


    - fallinflowers-

     










     

    -          ถ้าพูดถึง Winter ก็ต้องนึกถึงความเจ็บปวดแหละ.. เลยเขียนฟิคเรื่องนี้ขึ้นมา -

               

     

     Ps. พระเอกยังไม่ตายนะ 555 เห็นเม้นละตกใจรุยย ทำไมคิดว่าตายละะะ

     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×