ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความรู้!

    ลำดับตอนที่ #407 : Wars of the Roses

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 242
      0
      7 ต.ค. 52

    สงครามดอกกุหลาบ (อังกฤษ: Wars of the Roses) (ค.ศ. 1455 - ค.ศ. 1489) เป็นสงครามกลางเมืองในการแย่งราชบัลลังก์อังกฤษระหว่างผู้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์แลงคาสเตอร์และผู้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ยอร์ค ราชวงศ์ทั้งสองต่างก็สืบเชื้อสายมาจากสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3แห่งราชวงศ์แพลนทาเจเน็ท ที่เป็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นเป็นช่วงๆ ระหว่าง ค.ศ. 1455 ถึง ค.ศ. 1489 แม้ว่าจะมีการเริ่มต่อสู้กันขึ้นก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้นบ้างก็ตาม

    ผู้ที่เข้าร่วมสงครามส่วนใหญ่เป็นเจ้านายที่เป็นเจ้าของที่ดินและกองทัพของผู้ครองที่ดิน ผู้สนับสนุนของทั้งสองฝ่ายต่างก็เปลี่ยนไปมาตามความเกี่ยวข้องทางราชวงศ์เช่นการแต่งงานเข้ามาในราชวงศ์ ตำแหน่งผู้ครองที่ดิน ความมีอาวุโส และผลประโยชน์ส่วนตัว บางครั้งก็ยากที่จะติดตามว่าใครเข้าข้างใคร เพราะการเข้าเป็นหรือยกเลิกการเป็นพันธมิตรอาจจะขึ้นอยู่กับการได้หรือเสียตำแหน่งจากการแต่งงาน หรือการถูกยึดทรัพย์สมบัติ เช่นในกรณีของจอห์นแห่งกอนท์ประมุขของแลงคาสเตอร์ซึ่งตำแหน่งแรกเป็นเอิร์ลแห่งริชมอนด์ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับตำแหน่งที่พระเจ้าเฮนรีที่ 7 ได้ครองต่อมา ขณะที่ตำแหน่งแรกของเอ็ดมันด์แห่งแลงลีย์ประมุขของยอร์คคือเอิร์ลแห่งเคมบริดจ์

    แม้ว่าจะมีการปะทะกันระหว่างผู้สนับสนุนสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ฝ่ายแลงคาสเตอร์ และ ริชาร์ด แพลนทาเจเน็ท ดยุคแห่งยอร์คที่ 3 ฝ่ายยอร์คเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวแต่ระยะที่มีการต่อสู้หนักเกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1455 - ค.ศ. 1489

    เฮนรีแห่งโบลิงโบรคเป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์แลงคาสเตอร์ขณะที่ทรงราชย์ในปี ค.ศ. 1399 เมื่อทรงปลดพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระองค์เองจากการเป็นพระมหากษัตริย์ เพราะการปกครองของพระองค์ทำให้เกิดความเป็นปฏิปักษ์ในหมู่ขุนนางโดยทั่วไป เฮนรีแห่งโบลิงโบรค (ผู้ครองราชย์เป็นพระเจ้าเฮนรีที่ 4) และพระราชโอรสพระเจ้าเฮนรีที่ 5 ทรงสามารถปกครองอังกฤษได้โดยปราศจากปัญหาโดยเฉพาะในด้านการใช้กำลังทหาร แต่เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 5 เสด็จสวรรคต พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ผู้ครองราชย์ต่อมายังทรงเป็นทารก และเมื่อทรงเติบโตขึ้นมาพระองค์เป็นผู้ที่พระสุขภาพทางจิตไม่ใคร่ปกตินัก การปกครองของพระองค์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ต่างก็มีแต่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งระหว่างกันและกัน

    ราชวงศ์แลงคาสเตอร์อ้างสิทธิในราชบัลลังก์จากการสืบเชื้อสายมาจากจอห์นแห่งกอนท์ ดยุคแห่งแลงคาสเตอร์ที่ 1 พระราชโอรสของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ความไม่มีสมรรถภาพในการครองราชบัลลังก์ของพระเจ้าเฮนรีที่ 6 เป็นการเปิดโอกาสให้ริชาร์ด แพลนทาเจเน็ท ดยุคแห่งยอร์คที่ 3 ท้าสิทธิในราชบัลลังก์จากการเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากพระโอรสองค์ที่สองและสี่ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ไลโอเนลแห่งอันท์เวิร์พ ดยุคแห่งแคลเรนซ์ที่ 1 และเอ็ดมันด์แห่งแลงลีย์ ดยุคแห่งยอร์คที่ 1 และพิสูจน์ตนเองว่าเป็นผู้มีความสามารถในด้านการบริหารในการที่ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ของราชอาณาจักร ดยุคแห่งยอร์คโต้เถียงกับบุคคลสำคัญๆ ของตระกูลแลงคาสเตอร์ในราชสำนัก ต่อหน้าพระราชินีมาร์กาเร็ตในสมเด็จพระเจ้าเฮนรี ผู้ทรงหวาดกลัวว่าดยุคแห่งยอร์คในที่สุดก็จะยึดอำนาจจากพระราชโอรสที่ยังทรงเป็นทารกเอ็ดเวิร์ดแห่งเวสต์มินสเตอร์ เจ้าชายแห่งเวลส์

    จุดสำคัญของการต่อสู้ต่างๆ ในสงครามดอกกุหลาบ

    แม้ว่าการปะทะกันระหว่างผู้สนับสนุนราชวงศ์แลงคาสเตอร์และราชวงศ์ยอร์คจะเกิดขึ้นบ้างก่อนหน้านั้นแต่ก็เป็นไปอย่างประปราย การปะทะกันครั้งสำคัญครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1455 ในยุทธการเซนต์อัลบันส์ครั้งที่ 1 ที่เป็นผลให้ผู้นำสำคัญๆ ของฝ่ายแลงคาสเตอร์เสียชีวิตแต่ยังคงเหลือผู้สืบเชื้อสายให้มาเป็นศัตรูของริชาร์ด แม้ว่าจะสงบศึกกันอยู่ระยะหนึ่งแต่พระราชินีมาร์กาเร็ตก็ทรงยุให้ฝ่ายแลงคาสเตอร์ท้าอิทธิพลของฝ่ายยอร์ค

    การต่อสู้เริ่มขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้งในปี ค.ศ. 1459 ฝ่ายยอร์คเสียเปรียบจนต้องหนีออกจากประเทศ แต่ผู้สนับสนุนคนสำคัญของฝ่ายยอร์คริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งวอริคที่ 16 นำทัพกลับมารุกรานอังกฤษจากคาเลส์และจับพระเจ้าเฮนรีได้ในยุทธการนอร์ทแธมตัน ดยุคแห่งยอร์คจึงกลับอังกฤษและปกครองอังกฤษในฐานะผู้พิทักษ์แห่งอังกฤษแต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์เต็มตัว ขณะเดียวกันทางฝ่ายแลงคาสเตอร์พระราชินีมาร์กาเร็ตและขุนนางแลงคาสเตอร์ไปรวบรวมตัวกันทางเหนือของอังกฤษและเมื่อดยุคแห่งยอร์คนำทัพมาปราบก็ถูกสังหารในยุทธการในปลายปี ค.ศ. 1460 กองทัพฝ่ายแลงคาสเตอร์จึงเดินทัพลงมายังลอนดอนแต่ก็เข้ากรุงลอนดอนไม่ได้และต้องถอยทัพขึ้นไปทางตอนเหนือของอังกฤษ ในที่สุดฝ่ายยอร์คก็จับพระเจ้าเฮนรีได้อีกครั้งในยุทธการเซนต์อัลบันส์ครั้งที่ 2 หลังจากนั้นลูกคนโตของดยุคแห่งยอร์คประกาศตัวเป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 และทรงรวบรวมกองกำลังฝ่ายยอร์คกลับมาและทรงได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดใน ยุทธการโทว์ทันเมื่อต้นปี ค.ศ. 1461

    หลังจากการต่อต้านอย่างประปรายของฝ่ายแลงคาสเตอร์ก็ถูกกำหราบในปี ค.ศ. 1464 ต่อมาพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ทรงมีเรื่องบาดหมางกับผู้ที่สนับสนุนคนสำคัญของพระองค์ริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งวอริคที่ 16 หรือ “ริชาร์ดผู้สร้างกษัตริย์” (Kingmaker)) โดยการไปเสกสมรสอย่างลับๆ กับพระราชินีเอลิซาเบธ วูดวิลล์ ที่ทำให้ตระกูลวูดวิลล์เรืองอำนาจขึ้นมา ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่เอิร์ลแห่งวอริค ผู้ในที่สุดก็หันไปสนับสนุนราชวงศ์แลงคาสเตอร์

    เอิร์ลแห่งวอริคพยายามโค่นราชบัลลังก์โดยการร่วมมือกับพระอนุชาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด จอร์จ แพลนทาเจเน็ท ดยุคแห่งแคลเรนซ์ที่ 1 เมื่อสำเร็จก็ยกพระเจ้าเฮนรีที่ 6 กลับมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้เป็นระยะเวลาสองปีก่อนที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจะทรงยึดราชบัลลังก์คืนได้ในปี ค.ศ. 1471 เอิร์ลแห่งวอริคและเอ็ดเวิร์ดแห่งเวสต์มินสเตอร์ เจ้าชายแห่งเวลส์เสียชีวิตในสนามรบ ส่วนพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ก็ทรงถูกปลงพระชนม์ทันทีหลังจากนั้น

    หลังจากนั้นบ้านเมืองก็อยู่ในความสงบอยู่ระยะหนึ่ง จนเมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหันในปี ค.ศ. 1483 พระอนุชาริชาร์ดดยุคแห่งกลอสเตอร์พยายามยับยั้งตระกูลวูดวิลล์และพระราชินีเอลิซาเบธ วูดวิลล์ในการมีอำนาจในการปกครองแทนพระราชโอรสของพระเชษฐาพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 ผู้ขณะนั้นยังทรงพระเยาว์ โดยการยึดราชบัลลังก์เป็นของตนเองและขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 โดยอ้างว่าการสมรสของเอลิซาเบธ วูดวิลล์กับพระเชษฐาเป็นการเสกสมรสที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งทำให้พระราชนัดดาของพระองค์ไม่มีสิทธิในราชบัลลังก์ การยึดอำนาจและความสงสัยว่าพระองค์ทรงมีส่วนในการฆาตกรรมพระนัดดาพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5และพระอนุชาริชาร์ดแห่งชรูว์สบรี ดยุคแห่งยอร์คที่ 1 (เจ้าชายแห่งหอคอย) ทำให้เกิดการก่อความไม่สงบขึ้นหลายแห่งในอังกฤษ

    ในที่สุดเฮนรี ทิวดอร์ผู้เป็นพระญาติห่างๆ ทางสายแลงคาสเตอร์ก็ทรงยกทัพกลับมาจากการลี้ภัยในบริตานีมาอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ เฮนรี ทิวดอร์ได้รับชัยชนะต่อพระเจ้าริชาร์ดและสังหารพระองค์ได้ในยุทธการบอสเวิร์ธฟิลด์ ในปี ค.ศ. 1485 เฮนรี ทิวดอร์จึงขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7 สมเด็จพระเจ้าเฮนรีทรงเสกสมรสกับเอลิซาเบธแห่งยอร์ค และก่อตั้งราชวงศ์ใหม่เป็นราชวงศ์ทิวดอร์ที่เป็นราชวงศ์ที่รวมราชวงศ์แลงคาสเตอร์และราชวงศ์ยอร์คเข้าด้วยกัน

    ในปี ค.ศ. 1487 ทางฝ่ายยอร์คก็ลุกขึ้นต่อต้านอีกครั้งหนึ่ง ที่มีผลทำให้เกิดการต่อสู้อย่างประจันหน้า และแม้ว่าผู้สืบสายของฝ่ายยอร์คจะถูกคุมขังเป็นจำนวนมากแต่การต่อต้านก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ประปรายจนกระทั่งเพอร์คิน วอร์เบ็คผู้อ้างสิทธิฝ่ายยอร์คถูกสังหารปี ค.ศ. 1499

    [แก้] ชื่อและสัญลักษณ์

    ชื่อ “สงครามดอกกุหลาบ” เชื่อกันว่ามิได้เป็นชื่อที่ใช้กันในระหว่างสงครามแต่ที่มาของชื่อมาจากตราประจำพระราชวงศ์ทั้งสอง กุหลาบแดงแห่งแลงคาสเตอร์ และ กุหลาบขาวแห่งยอร์ค สงครามดอกกุหลาบเป็นชื่อที่มานิยมเรียกกันในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังจากการพิมพ์หนังสือชื่อ “แอนน์แห่งไกเออร์สไตน์” (Anne of Geierstein) โดยเซอร์วอลเตอร์ สกอตต์ สกอตต์ใช้ชื่อที่มาจากบทละครเรื่อง “พระเจ้าเฮนรีที่ 6 ตอนที่ 1” โดยวิลเลียม เชกสเปียร์ซึ่งสองฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันเลือกดอกกุหลาบสีต่างกันที่วัดเทมเพิล

    แม้ว่าดอกกุหลาบจะใช้บ้างบางครั้งระหว่างสงคราม แต่ผู้เข้าร่วมสงครามส่วนใหญ่แล้วจะติดตราของเจ้าของที่ดินผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นระบบที่ไม่เป็นทางการที่เจ้าของที่ดินสัญญาว่าจะปกป้องคุ้มครองผู้ที่ทำมาหากินในที่ดินโดยการให้ใช้ตราและสัญลักษณ์ การขยายตัวของระบบนึ้ทำให้อำนาจของพระมหากษัตริย์เสื่อมลงและเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสงครามขึ้น ตัวอย่างของการใช้สัญลักษณ์ก็ได้แก่กองกำลังของพระเจ้าเฮนรีที่ 7 ที่บอสเวิร์ธที่ใช้ธงมังกรแดง และกองกำลังยอร์คที่ใช้สัญลักษณ์หมีขาว ความสำคัญของดอกกุหลาบมาเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ 7 หลังจากยุติสงครามแล้วทรงรวมดอกกุหลาบแดงและขาวเป็นดอกกุหลาบแดงขาวดอกเดียวที่เรียกว่า “กุหลาบทิวดอร์

    นอกจากนั้นแล้วชื่อของทั้งสองราชวงศ์ก็ไม่มีความเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับเมืองยอร์คและเมืองแลงคาสเตอร์ หรือมณฑลยอร์คเชอร์ และแลงคาสเชอร์แม้ว่าการแข่งขันคริกเกตหรือรักบีระหว่างสองมณฑลนี้จะใช้คำว่า “สงครามดอกกุหลาบ” ก็ตาม อันที่จริงแล้วอาณาบริเวณที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรดยุคแห่งแลงคาสเตอร์ส่วนใหญ่อยู่ในกลอสเตอร์เชอร์, นอร์ธเวลส์ และเชสเชอร์ ขณะที่อสังหาริมทรัพย์และปราสาทของอาณาจักรดยุคแห่งยอร์คตั้งอยู่ทั่วไปในอังกฤษแม้ว่ส่วนใหญ่จะอยู่ในภูมิภาคชายแดนเวลส์ระหว่างเวลส์และอังกฤษ

    [แก้] กองทัพและผู้ร่วมต่อสู้

    สงครามเป็นการต่อสู้ระหว่างขุนนางหรือชนชั้นเจ้านาย, ทหารผู้อยู่ในอารักขา และทหารรับจ้างจากต่างประเทศ ผู้สนับสนุนของแต่ละฝ่ายก็ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับราชวงศ์เช่นอาจจะเป็นญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกัน, ความสัมพันธ์ที่เกิดจากการเสกสมรสระหว่างขุนนางกับราชวงศ์ใดราชวงศ์หนึ่งผู้ไต่เต้าขึ้นมามีอำนาจ, และ การมอบหรือการยึดตำแหน่งขุนนางและที่ดิน

    ระบบอำนาจขุนนางที่เรียกว่า “livery and maintenance” เป็นระบบอย่างไม่เป็นทางการ ที่หมายความว่าขุนนางเป็นผู้มีอำนาจผู้ต้องให้การอารักขาให้แก่ผู้ติดตามเป็นการแลกเปลี่ยนกับการเป็นฝ่ายเดียวกันและการมีสิทธิที่จะใช้ตราของขุนนางเอง (“livery”) และเป็นผู้มีอำนาจในการมีกองทัพที่ต้องจ่ายเงินบำรุงรักษา (“maintenance”) ระบบที่ว่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้ริดรอนอำนาจของพระมหากษัตริย์ลง อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อำนาจของพระมหากษัตริย์เสื่อมลงคือระบบที่เรียกว่าระบบศักดินาสวามิภักดิ์ (bastard feudalism) โดยนักประวัติศาสตร์รุ่นต่อมาซึ่งก็ยังไม่เป็นที่ตกลงกันว่าเป็นคำที่เหมาะสมหรือไม่ การมอบอำนาจให้แก้ผู้จงรักภักดีจากขุนนางเป็นเรื่องปกติแต่มิใช่เป็นการมอบที่เป็นไปตามระบบโครงสร้างเดียวกัน แต่เป็นการให้อำนาจต่อกันตามความพอใจของแต่ละบุคคลที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย

    เมื่อพิจารณาถึงความจงรักภักดีทางสายเลือด, การสมรส และความทะเยอทะยานในการแสวงหาอำนาจแล้วก็ไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่าจะมีผู้เปลี่ยนข้างกันไปมากันอย่างเป็นเรื่องปกติ และการแพ้การชนะกันในยุทธการก็ขึ้นอยู่กับการทรยศ

    กองทหารก็เป็นผู้ถืออาวุธของขุนนางที่ประกอบด้วยนายขมังธนูและทหารราบ บางครั้งก็จะมีทหารรับจ้างจากต่างประเทศเข้าร่วมพร้อมกับปืนใหญ่และปืนพก การใช้ทหารม้าเป็นไปอย่างจำกัดเช่นในการใช้ลาดตระเวน การต่อสู้ส่วนใหญ่ก็เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวของทหารราบ บางครั้งขุนนางก็อาจจะลงจากหลังม้าลงมาเข้าร่วมต่อสู้กับไพร่พล เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ และเป็นการกำจัดข่าวลือที่ว่าผู้มีตำแหน่งสูงเมื่อเพลี่ยงพล้ำอาจจะถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ขณะที่ทหารธรรมดาไม่มีค่าตัวแต่อย่างใดก็จะถูกสังหาร

    [แก้] ความขัดแย้งเกี่ยวกับสิทธิในราชบัลลังก์

    ความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์แลงคาสเตอร์และราชวงศ์ยอร์คเริ่มขึ้นเมื่อพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 ถูกโค่นราชบัลลังก์โดยเฮนรี โบลลิงโบรค ดยุคแห่งแลงคาสเตอร์ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องกันในปี ค.ศ. 1399 ก่อนหน้านั้นรัฐบาลของพระเจ้าริชาร์ดก็ไม่เป็นที่นิยมของประชาชนและขุนนางอยู่แล้ว ความตั้งใจแรกของเฮนรี โบลลิงโบรคเมื่อเดินทางกลับมาจากการลี้ภัยก็เพื่อที่จะมาอ้างสิทธิในการเป็นดยุคแห่งแลงคาสเตอร์ของตนเอง แต่เมื่อมาถึงโบลลิงโบรคก็ได้รับการสนับสนุนจากขุนนางส่วนใหญ่ให้ทำการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง โบลลิงโบรคจึงทำการโค่นราชบัลลังก์และสวมมงกุฎเป็นสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 4

    ถ้าว่ากันตามลำดับการสืบสันตติวงศ์กันแล้วในฐานะที่เป็นลูกของจอห์นแห่งกอนท์ ดยุคแห่งแลงคาสเตอร์ที่ 1 (พระโอรสองค์ที่สามของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แห่งอังกฤษ) โบลลิงโบรคก็แทบจะไม่มีสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ ตามธรรมเนียมแล้วราชบัลลังก์ควรจะผ่านไปทางผู้สืบสายที่เป็นชายของไลโอเนลแห่งอันท์เวิร์พ ดยุคแห่งแคลเรนซ์ที่ 1 ผู้เป็นพระโอรสองค์ที่สองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 และตามความเป็นจริงแล้วพระเจ้าริชาร์ดที่ 2 เองผู้ไม่มีพระราชโอรสธิดาก็ได้ทรงประกาศให้โรเจอร์ มอร์ติเมอร์ เอิร์ลแห่งมาร์ชที่ 4 หลานของไลโอเนลแห่งอันท์เวิร์พเป็น “รัชทายาทโดยพฤตินัย” แต่โรเจอร์ มอร์ติเมอร์มาเสียชีวิตเสียก่อนในปีก่อนหน้านั้น ฉะนั้นเอ็ดมันด์ มอร์ติเมอร์ เอิร์ลแห่งมาร์ชที่ 5 ลูกของโรเจอร์ก็ควรจะมีสิทธิต่อจากบิดา แต่ก็ไม่มีขุนนางผู้ใดที่สนับสนุนการอ้างสิทธิของเอ็ดมันด์ มอร์ติเมอร์

    เมื่อยึดราชบัลลังก์ได้แล้ว เพียงสองสามปีหลังจากนั้นสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ก็ต้องเผชิญกับการปฏิวัติต่อต้านหลายครั้งในเวลส์, เชสเตอร์ และนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ ที่ฝ่ายต่างๆ ที่ก่อการปฏิวัติต่างก็ใช้ข้ออ้างของสิทธิในการครองราชบัลลังก์ของเอ็ดมันด์ มอร์ติเมอร์เป็นเครื่องบังหน้า โบลลิงโบรคสามารถปราบปรามผู้แข็งข้อกลุ่มต่างๆ ได้แต่ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก

    สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 4 เสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 1413 พระราชโอรสพระเจ้าเฮนรีที่ 5 ขึ้นครองราชบัลลังก์ต่อมา พระเจ้าเฮนรีที่ 5 ทรงเป็นนักการทหารผู้มีความสามารถและทรงได้รับความสำเร็จในยุทธการในสงครามร้อยปีในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผลทำให้เป็นกษัตริย์ที่เป็นที่นิยมและช่วยในการสร้างความมั่นคงของราชวงศ์แลงคาสเตอร์ในการครองราชบัลลังก์อังกฤษ

    ระหว่างรัชสมัยอันสั้นพระเจ้าเฮนรีที่ 5 ก็ทรงประสบการคิดร้ายต่อพระองค์ครั้งหนึ่งในการคบคิดเซาท์แธมตัน (Southampton Plot) ที่นำโดยริชาร์ดแห่งโคนิสเบิร์ก เอิร์ลแห่งเคมบริดจ์ที่ 3 (Richard of Conisburgh, 3rd Earl of Cambridge) บุตรชายของเอ็ดมันด์แห่งแลงลีย์ ดยุคแห่งยอร์คที่ 1 พระราชโอรสองค์ที่ 5 ของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 แต่การคบคิดไม่ประสบความสำเร็จ เอิร์ลแห่งเคมบริดจ์ถูกประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1415 ในข้อหากบฏต่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการรณรงค์ที่นำไปสู่ยุทธการอาแฌงคูร์ต (Battle of Agincourt) ภรรยาของเอิร์ลแห่งเคมบริดจ์แอนน์ เดอ มอร์ติเมอร์ ก็มีสิทธิในการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์เพราะเป็นลูกสาวของโรเจอร์ มอร์ติเมอร์ เอิร์ลแห่งมาร์ชที่ 4 ซึ่งเท่ากับสืบเชื้อสายมาจากไลโอเนลแห่งอันท์เวิร์พ เอ็ดมันด์พี่ของแอนน์เป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อเฮนรีเสียชีวิตโดยไม่มีบุตรฉะนั้นสิทธิของเอ็ดมันด์จึงผ่านต่อมายังแอนน์

    ริชาร์ด ลูกของเอิร์ลแห่งเคมบริดจ์และแอนน์ เดอ มอร์ติเมอร์เพิ่งมีอายุได้ 4 ปีเมื่อบิดาถูกประหารชีวิต ตำแหน่งดยุคแห่งยอร์คจึงตกมาเป็นของริชาร์ดจากพี่ชายคนโตของเอิร์ลแห่งเคมบริดจ์เอ็ดเวิร์ดแห่งนอริช ดยุคแห่งยอร์คที่ 2 (Edward of Norwich, 2nd Duke of York) ผู้เสียชีวิตในการต่อสู้เคียงข้างกับพระเจ้าเฮนรีที่ 5 ในยุทธการอาแฌงคูร์ต แม้ว่าทรัพย์สินของเอิร์ลแห่งเคมบริดจ์จะถูกริบ แต่ต่อมาพระเจ้าเฮนรีพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ริชาร์ดได้รับบรรดาศักดิ์และพระราชทานดินแดนที่เป็นของลุงที่เสียชีวิตไปโดยไม่มีบุตร พระเจ้าเฮนรีผู้ทรงมีพระอนุชาสามพระองค์และทรงเป็นผู้มีพระสุขภาพพลานามัยดีไม่มีเหตุผลใดใดที่จะต้องทรงวิตกถึงความมั่นคงของราชวงศ์แลงคาสเตอร์ในการครองราชบัลลังก์ แต่หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระองค์แล้วพระราชโอรสองค์เดียวที่มีก็เป็นผู้นำผู้ไม่มีประสิทธิภาพ และพระอนุชาก็ไม่มีบุตรธิดาที่มีสิทธิซึ่งทำให้เหลือแต่ลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของตระกูลโบฟอร์ทที่อาจจะเป็นรัชทายาทได้ ฉะนั้นการอ้างสิทธิของริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์คจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ และในที่สุดราชบัลลังก์ก็เปลี่ยนมือไปเป็นของราชตระกูลยอร์ค

    [แก้] สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6

    สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6
    มาร์กาเร็ตแห่งอองชู

    เมื่อสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 5 เสด็จสวรรคตอย่างกระทันหันในปี ค.ศ. 1422 พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่งอังกฤษผู้ขึ้นครองราชย์ต่อมายังคงมีพระชนมายุได้เพียง 9 เดือน หลังจากการเสียชีวิตของพระปิตุลาจอห์นแห่งแลงคาสเตอร์ ดยุคแห่งเบดฟอร์ดที่ 1 ในปี ค.ศ. 1435 แล้วพระองค์ก็ทรงมีแต่ผู้สำเร็จราชการและที่ปรึกษาประจำพระองค์ที่ไม่เป็นที่นิยม นอกจากพระปิตุลาทางพระราชบิดาฮัมฟรีย์ ดยุคแห่งกลอสเตอร์ (Humphrey, Duke of Gloucester) แล้วบุคคลอื่นที่มีชื่อเสียงก็ได้แก่เอ็ดมันด์ โบฟอร์ท ดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทที่ 1 และวิลเลียมเดอลาโพล ดยุคแห่งซัฟโฟล์คที่ 1 ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีสมรรถภาพในการบริหารรัฐบาล และในการบริหารการทำสงครามร้อยปีกับฝรั่งเศส ภายใต้การปกครองของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 ดินแดนเกือบทั้งหมดของอังกฤษในฝรั่งเศสรวมทั้งดินแดนที่ได้มาจากการได้รับชัยชนะในการสงครามของพระราชบิดาก็สูญเสียกลับไปให้กับฝรั่งเศส

    ในที่สุดดยุคแห่งซัฟโฟล์คก็สามารถกำจัดฮัมฟรีย์ ดยุคแห่งกลอสเตอร์สำเร็จโดยการจับในข้อหากบฏ ฮัมฟรีย์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1447 ขณะที่รอการพิจารณาคดีในศาล แต่เมื่อสถานะการณ์ในฝรั่งเศสผันผวนไปดยุคแห่งซัฟโฟล์คก็ถูกปลดจากตำแหน่งและถูกฆาตกรรมระหว่างที่พยายามหนีไปหลบภัย ดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทขึ้นมามีอำนาจแทนในฐานะผู้นำผู้พยายามหาความสันติกับฝรั่งเศส แต่ดยุคแห่งยอร์คผู้ได้รับหน้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาทหารแห่งฝรั่งเศส (Lieutenant in France) ต่อจากดยุคแห่งเบดฟอร์ดผู้เป็นผู้นำฝ่ายที่ต้องการทำสงครามกับฝรั่งเศสต่อไปวิพากษ์วิจารณ์ราชสำนักและโดยเฉพาะดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทว่าจำกัดเงินทุนและกำลังคนระหว่างที่พยายามต่อสู้อยู่ในฝรั่งเศส

    สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แทบจะไม่มีส่วนร่วมในความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น โดยความคิดเห็นทั่วไปแล้วทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่อ่อนแอไม่มีสมรรถภาพ นอกจากนั้นก็ยังทรงมีพระอาการเสียพระสติเป็นระยะๆ ซึ่งอาจจะเป็นอาการที่เป็นกรรมพันธุ์มาจากพระอัยกาพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 6 แห่งฝรั่งเศส เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1450 ก็เป็นที่ตกลงกันว่าไม่ทรงมีความสามารถในการทำหน้าที่เป็นพระพระมหากษัตริย์ได้อีกต่อไป

    ในปี ค.ศ. 1450 ก็เกิดการปฏิวัติในเค้นท์ที่เรียกว่าการปฏิวัติของแจ็ค เคด (Jack Cade) ข้อร้องทุกข์ของผู้ปฏิวัติคือการถูกขูดรีดจากข้าราชสำนักบางคนของรัฐบาลและความไม่มีประสิทธิภาพของราชสำนักในการปกป้องสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าในระดับใด ผู้ปฏิวัติเข้ามายึดบางส่วนของลอนดอนแต่ถูกประชาชนลอนดอนขับไล่ออกไปเพราะเที่ยวมาปล้นโขมย ฝ่ายก่อการสลายตัวไปหลังจากได้รับคำสัญญาว่าจะไม่ถูกลงโทษรวมทั้งเคด แต่เคดถูกประหารชีวิตต่อมา[1]

    สองปีต่อมาริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์คกลับอังกฤษจากที่ไปเป็นผู้บังคับบัญชาทหารแห่งไอร์แลนด์ (Lieutenant of Ireland) และได้นำกำลังมายังลอนดอนเพื่อเรียกร้องให้ปลดดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทและให้มีการปฏิรูปรัฐบาล ในช่วงนี้มีขุนนางเพียงไม่กี่คนที่สนับสนุนนโยบายที่รุนแรงเช่นว่า ดยุคแห่งยอร์คต้องยอมต่อกองทัพที่มีพลานุภาพเหนือกว่าที่แบล็คฮีธ หลังจากนั้นก็ถูกจับไปคุมขังระหว่างปี ค.ศ. 1452 ถึงปี ค.ศ. 1453[2] แต่ถูกปล่อยตัวหลังจากที่สาบานว่าจะไม่ยกอาวุธต่อต้านฝ่ายราชสำนักอีก

    ความขัดแย้งในราชสำนักก็เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยทั่วไปในประเทศที่ตระกูลขุนนางต่างก็เกิดความขัดแย้งกันเป็นการส่วนตัวและไม่ยอมรับอำนาจจากทางราชสำนักและอำนาจทางศาลมากขึ้นทุกขณะ กรณีที่มีชื่อเสียงคือความบาดหมางระหว่างเพอร์ซีย์และเนวิลล์ ในหลายกรณีเป็นการต่อสู้ระหว่างขุนนางเก่ากับขุนนางใหม่ที่เพิ่งได้รับอำนาจเพิ่มขึ้นและอิทธิพลขึ้นมาในสมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ความบาดหมางระหว่างเพอร์ซีย์และเนวิลล์ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างตระกูลเพอร์ซีย์หรือเอิร์ลแห่งนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ซึ่งเป็นตระกูลเก่ากับตระกูลเนวิลล์ที่เพิ่งรุ่งเรืองขึ้นมาก็เป็นความขัดแย้งเช่นที่ว่านี้ อีกกรณีหนึ่งก็คือความขัดแย้งระหว่างตระกูลคอร์เทเนย์สและตระกูลบอนวิลล์สในคอร์นวอลล์และเดวอนเชอร์ ปัจจัยหนึ่งของปัญหานี้คือบรรดาทหารจำนวนมากที่กลับมาหลังจากการพ่ายแพ้ในฝรั่งเศส ขุนนางที่มีปัญหาความขัดแย้งก็ใช้ทหารเหล่านี้ในการโจมตี หรือใช้ในการข่มขู่ฝ่ายตรงข้ามหรือเข้าไปข่มขู่เจ้าหน้าที่หรือผู้พิพากษาในศาล

    ความขัดแย้งระหว่างฝักฝ่ายขุนนางต่างๆ ที่มีกองกำลังส่วนตัว และความฉ้อโกงของราชสำนักของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 เป็นผลให้เกิดความคุกรุ่นที่พร้อมที่จะนำไปสู่สงครามกลางเมือง เมื่อมีพระมหากษัตริย์ที่อ่อนแออำนาจจึงตกไปอยู่ในมือของผู้ที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์ ในกรณีนี้คือในมือของดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทและฝ่ายแลงคาสเตอร์ ริชาร์ดและฝ่ายยอร์คที่อยู่ไกลจากอำนาจก็พบว่าอำนาจร่อยหรอลงไปทุกวัน เช่นเดียวกับอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่อำนาจฝ่ายแลงคาสเตอร์เพิ่มมากขึ้นเมื่อพระเจ้าเฮนรีพระราชทางดินแดนต่างๆ ให้แก่ฝ่ายแลงคาสเตอร์

    ในปี ค.ศ. 1453 พระเจ้าเฮนรีทรงเสียพระสติอีก ครั้งนี้รุนแรงขนาดที่ไม่ทรงรู้จักเอ็ดเวิร์ดแห่งเวสต์มินสเตอร์พระราชโอรสของพระองค์เอง สภาผู้สำเร็จราชการที่ได้รับการก่อตั้งนำโดยดยุคแห่งยอร์คผู้เป็นที่นิยมในฐานะเจ้าผู้พิทักษ์ ดยุคแห่งยอร์คจึงเริ่มใช้อำนาจมากขึ้น โดยการสั่งจับดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทและสนับสนุนตระกูลเนวิลล์ที่รวมทั้งน้องเขยริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งซอลสบรีที่ 5และลูกชายริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งวอริคที่ 16 ในการดำเนินการเป็นปฏิปักษ์ต่อเฮนรี เพอร์ซีย์ เอิร์ลแห่งนอร์ทธัมเบอร์แลนด์ที่ 2 ผู้สนับสนุนพระเจ้าเฮนรีต่อไป

    พระเจ้าเฮนรีทรงหายจากการเสียพระสติในปี ค.ศ. 1455 และกลับไปตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ใกล้ชิดกับพระองค์ในราชสำนัก โดยการนำของพระอัครมเหสีมาร์กาเร็ตแห่งอองชู ผู้กลายเป็นผู้นำฝ่ายแลงคาสเตอร์โดยปริยาย ริชาร์ดดยุคแห่งยอร์คก็ถูกบังคับให้ออกจากราชสำนัก พระราชินีมาร์กาเร็ตทรงสร้างพันธมิตรขึ้นเพื่อต่อต้านและลดอำนาจของริชาร์ด ความขัดแย้งในที่สุดก็นำไปสู่สงครามในปี ค.ศ. 1455

    [แก้] ยุทธการเซนต์อัลบันส์ครั้งที่ 1 และการปรองดอง

    หอระฆังของวัดเซนต์อัลบัน (คริสต์ศตวรรษที่ 15)

    ดยุคแห่งยอร์คทรงนำกองกำลังย่อยไปยังลอนดอนและไปประจันหน้ากับกองทัพของพระเจ้าเฮนรีที่หมู่บ้านเซนต์อัลบันทางตอนเหนือของลอนดอนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ. 1455 ยุทธการเซนต์อัลบันส์ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นการต่อสู้ที่ไม่ใหญ่นักเป็นการเปิดฉากสงครามกลางเมือง จุดประสงค์ของริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์คก็เพื่อกำจัด “ที่ปรึกษาผู้ไร้สมรรถภาพ” ของพระเจ้าเฮนรี ผลของยุทธการฝ่ายแลงคาสเตอร์ของพระเจ้าเฮนรีได้รับความพ่ายแพ้ ผู้นำฝ่ายแลงคาสเตอร์คนสำคัญหลายคนที่รวมทั้งดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทและเอิร์ลแห่งนอร์ทธัมเบอร์แลนด์เสียชีวิตในสนามรบ เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงแล้วฝ่ายยอร์คก็พบพระเจ้าเฮนรีประทับซึมอยู่พระองค์เดียวในเต้นท์ขณะที่ข้าราชสำนักและมหาดเล็กต่างก็ละทิ้งพระองค์ เพราะทรงมีพระอาการเสียพระสติอีกครั้ง (และทรงได้รับความบาดเจ็บจากธนูเล็กน้อยที่พระศอ)[3] ฝ่ายยอร์คและพันธมิตรจึงเป็นฝ่ายที่มีอำนาจขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อโค่นอำนาจของพระเจ้าเฮนรีได้แล้วยอร์คก็ตั้งตนเป็น “ผู้พิทักษ์” (Protector) มาร์กาเร็ตแห่งอองชู สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ|มาร์กาเร็ตแห่งอองชูทรงถูกกีดกันให้เป็นดูแลพระเจ้าเฮนรี

    ในระยะแรกทั้งสองฝ่ายต่างก็ตกตลึงต่อการมีการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจริงๆ และต่างฝ่ายต่างก็พยายามหาทางปรองดองกัน แต่ในที่สุดสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดปัญหาก็หวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์ระหว่างดยุคแห่งยอร์คและพระเจ้าเฮนรีและเอ็ดเวิร์ดพระราชโอรสของพระเจ้าเฮนรี มาร์กาเร็ตไม่ทรงยอมรับข้อตกลงใดๆ ที่จะเป็นการยกเลิกสิทธิของเอ็ดเวิร์ดจากราชบัลลังก์ และเป็นที่เห็นชัดได้ว่าจะไม่ทรงยอมตราบใดที่ดยุคแห่งยอร์คและฝักฝ่ายของพระองค์ยังคงมีอำนาจทางทหารอยู่

    ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1456 พระเจ้าเฮนรีก็ทรงมีพระอาการดีขึ้นและทรงสามารถกลับมาทำหน้าที่เป็นพระมหากษัตริย์ได้ ซึ่งทำให้ดยุคแห่งยอร์คไม่ต้องมีหน้าที่เป็น “ผู้พิทักษ์” อีกต่อไป[4] ในฤดูใบไม้ร่วงในปีเดียวกันพระเจ้าเฮนรีก็เสด็จประพาสบริเวณมิดแลนด์ซึ่งเป็นบริเวณที่พระองค์ทรงเป็นที่นิยม มาร์กาเร็ตไม่ทรงยอมให้พระเจ้าเฮนรีเสด็จกลับลอนดอนที่พ่อค้าในเมืองต่างก็มีความไม่พึงพอใจต่อความเสื่อมโทรมทางการค้าและบ้านเมืองที่ขาดระบบ พระองค์จึงทรงตั้งราชสำนักขึ้นที่โคเวนทรี ขณะนั้นดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทก็กลายมาเป็นคนโปรด ขณะเดียวกันมาร์กาเร็ตก็ทรงหว่านล้อมให้เฮนรีปลดข้าราชสำนักต่างๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเมื่อดยุคแห่งยอร์คเป็น “ผู้พิทักษ์” ออก ขณะที่ดยุคถูกเรียกตัวให้กลับไปเป็นข้าหลวงแห่งไอร์แลนด์

    ความระส่ำระสายต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็รวมทั้งความวุ่นวายในเมืองหลวง การต่อสู้ทางตอนเหนือของอังกฤษระหว่างตระกูลเนวิลล์และตระกูลเพอร์ซีย์ที่เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง[5]) นอกจากนั้นทางด้านใต้ของประเทศการถูกโจมตีโดยโจรสลัดก็เพิ่มมากขึ้น แต่พระเจ้าเฮนรีและพระราชีนีมาร์กาเร็ตก็มัวแต่ทรงพะวงกับการรักษาตำแหน่งของพระองค์ โดยมาร์กาเร็ตทรงเริ่มใช้การเกณฑ์ทหารขึ้นเป็นครั้งแรกในอังกฤษ ขณะที่พันธมิตรของฝ่ายยอร์คเอิร์ลแห่งวอริค หรือที่ต่อมารู้จักกันในนามว่า “ผู้สร้างกษัตริย์” ก็เริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้นในกรุงลอนดอนในฐานะผู้สนับสนุนผลประโยชน์ของพ่อค้า

    ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1458 ทอมัส บูเชียร์อัครสังฆราชแห่งแคนเตอร์บรีพยายามหาทางให้ทั้งสองฝ่ายหันกลับมาปรองดองกัน ขุนนางต่างๆ ก็เดินทางมายังลอนดอนเพื่อเข้าร่วมการประชุมสภาครั้งใหญ่ อัครสังฆราชทรงเจรจาข้อตกลงอันซับซ้อนเพื่อพยายามเลี่ยงการนองเลือเช่นที่เกิดขึ้นในยุทธการเซนต์อัลบันส์ หลังจากที่การประชุมจบลง เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1458 พระเจ้าเฮนรีก็เสด็จนำขบวนไปยังมหาวิหารเซนต์พอลตามด้วยขุนนางทั้งฝ่ายแลงคาสเตอร์และยอร์คประสานมือกัน[5] แต่ทันทีที่จบการเดินทั้งสองฝ่ายก็แยกกันวางแผนหาทางกำจัดอำนาจของกันและกันอีก

    [แก้] การต่อสู้ระหว่าง ค.ศ. 1459-ค.ศ. 1460

    ปราสาทลัดโลว์, เซาธ์ชร็อพเชอร์

    หลังจากดยุคแห่งยอร์คกลับมาจากไอร์แลนด์โดยไม่ได้รับการอนุญาตแล้วการต่อสู้ก็ดำเนินต่อไป ดยุคแห่งยอร์คเรียกตระกูลเนวิลล์ให้มาสมทบที่ที่มั่นที่ปราสาทลัดโลว์ ในยุทธการบลอร์ฮีธในสตาฟฟอร์ดเชอร์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1459 ฝ่ายแลงคาสเตอร์ก็ไม่สามารถหยุดยั้ง ริชาร์ด เนวิลล์ เอิร์ลแห่งซอลสบรีที่ 5 จากการเดินทัพไปยังปราสาทมิดเดิลแลมในยอร์คเชอร์เพื่อไปยังสมทบกันที่ลัดโลว์ได้ หลังจากนั้นกองกำลังของฝ่ายยอร์คที่ได้รับกำหลังหนุนก็เผชิญหน้ากับกองทัพฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่ใหญ่ขึ้นในยุทธการลัดฟอร์ดบริดจ์ กองกำลังของวอริคจากคาเลส์ภายใต้การนำของแอนดรูว์ ทรอลล็อพเปลี่ยนข้างไปเข้ากับฝ่ายแลงคาสเตอร์ ฝ่ายผู้นำของยอร์คจึงจำต้องหนีร่น ดยุคแห่งยอร์คกลับไปไอร์แลนด์ และเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งมาร์ช (ลูกชายคนโตของดยุคแห่งยอร์ค), เอิร์ลแห่งซอลสบรี และ เอิร์ลแห่งวอริคหนีไปคาเลส์

    หลังจากนั้นฝ่ายฝ่ายแลงคาสเตอร์ก็กลับมามีอำนาจ ฝ่ายยอร์คและผู้สนับสนุนถูกประกาศว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดิน การที่จะได้ตำแหน่ง ที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์คืนมาก็ด้วยการรุกรานเท่านั้น ดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทถูกส่งไปเป็นข้าหลวงแห่งคาเลส์ ซัมเมอร์เซ็ทพยายามขับไล่เอิร์ลแห่งวอริคออกจากคาเลส์แต่ก็ไม่สำเร็จ ฝ่ายยอร์คกล้าถึงกับเริ่มส่งเรือมารุกรานอังกฤษจากคาเลส์ ที่ทำให้บ้านเมืองยิ่งระส่ำระสายมากขึ้น วอริคเดินทางไปไอร์แลนด์เพื่อไปร่วมวางแผนกับดยุคแห่งยอร์คโดยเลี่ยงเรือหลวงที่พยายามกีดกันที่นำโดยเฮนรี ฮอลแลนด์ ดยุคแห่งเอ็กซีเตอร์ที่ 3 (Henry Holland, 3rd Duke of Exeter) ได้อย่างง่ายดาย[6]

    ในปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1460 วอริค, ซอลสบรี และ เอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งมาร์ชก็ข้ามช่องแคบอย่างรวดเร็วมาตั้งที่มั่นอยู่ที่เค้นท์และลอนดอนและได้รับการสนับสนุนจากประชาชนโดยทั่วไปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งการสนับสนันจากผู้แทนของสันตะปาปา จากนั้นฝ่ายวอริคก็เดินทัพขึ้นเหนือ พระเจ้าเฮนรีก็ทรงนำทัพลงมาทางใต้เพื่อที่จะมาต่อต้านฝ่ายยอร์ค ขณะที่มาร์กาเร็ตยังคงประทับอยู่ทางเหนือกับพระราชโอรส ในยุทธการนอร์ทแธมตันเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ฝ่ายยอร์คที่นำโดยวอริคก็มีชัยต่อฝ่ายแลงคาสเตอร์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่ทรยศต่อพระเจ้าเฮนรี พระองค์ทรงถูกทิ้งไว้ให้ฝ่ายยอร์คจับตัวไปได้อีกครั้งหนึ่งและนำตัวเดินทางกลับไปยังลอนดอน

    [แก้] พระราชบัญญัติสอดคล้อง

    เมื่อได้รับชัยชนะแล้วริชาร์ด ดยุคแห่งยอร์ค ก็เพิ่มความกดดันในการอ้างสิทธิในการเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชบัลลังก์อังกฤษโดยอ้างว่าฝ่ายแลงคาสเตอร์ครองบัลลังก์โดยไม่ชอบธรรม หลังจากการขึ้นฝั่งทางตอนเหนือของเวลส์ริชาร์ดและภรรยาซิซิลี เนวิลล์ก็เข้ากรุงลอนดอนในพิธีที่ใช้กับพระมหากษัตริย์เท่านั้น รัฐสภาถูกเรียกประชุม เมื่อเข้ามาในที่ประชุมดยุคแห่งยอร์คก็เดินรี่ไปยังที่ตั้งบัลลังก์ซึ่งคงหวังว่าขุนนางในที่ประชุมจะสนับสนุนให้นั่งดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ในปี ค.ศ. 1399 แต่แทนที่จะทำเช่นนั้นขุนนางต่างก็เงียบงันไปทั้งสภา ริชาร์ดจึงประกาศอ้างสิทธิ ซึ่งทำให้ขุนนางแม้แต่วอริคและซอลสบรีต่างตกตลึงกับการอนุมานสิทธิของริชาร์ด ขณะนั้นจุดประสงค์ของกลุ่มผู้ปฏิวัติก็เพียงเพื่อที่กำจัดที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระเจ้าเฮนรีเท่านั้นมิใช่เพื่อเป็นการโค่นราชบัลลังก์

    วันต่อมาริชาร์ดก็นำผังการสืบสายเลือดของตนเองมาเสนอต่อรัฐสภาเพื่อสนับสนุนข้ออ้างที่กล่าวว่าตนเองเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากไลโอเนลแห่งอันท์เวิร์พซึ่งก็ทำให้สมาชิกบางคนก็อ่อนใจลงบ้าง รัฐสภาจึงตกลงออกเสียงตัดสินว่าสิทธิของริชาร์ดเหนือกว่าพระเจ้าเฮนรีหรือไม่ เสียงสนันสนุนส่วนใหญ่ที่มากกว่าเพียงห้าเสียงก็อนุมัติให้พระเจ้าเฮนรียังคงครองราชบัลลังก์ต่อไป ในเดือนตุลาคมปี ค.ศ. 1460 รัฐสภาก็ออกพระราชบัญญัติสอดคล้อง (Act of Accord) ซึ่งพระราชบัญญัติในการประนีประนอมที่แต่งตั้งให้ดยุคแห่งยอร์คเป็นทายาทในการสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าเฮนรี และยกเลิกสิทธิในการเป็นรัชทายาทของเอ็ดเวิร์ดพระราชโอรสของพระเจ้าเฮนรีผู้ขณะนั้นมีพระชนมายุหกพรรษา ริชาร์ดยอมรับข้อตกลง ซึ่งเป็นการได้รับเกือบทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ โดยเฉพาะเมื่อได้รับแต่งตั้งให้เป็น “ผู้พิทักษ์อาณาจักร” และมีอำนาจการปกครองในนามของพระเจ้าเฮนรี

    [แก้] ฝ่ายแลงคาสเตอร์หันกลับมาโจมตี

    ซากปราสาทแซนดัลใกล้เวคฟิลด์ในเวสต์ยอร์คเชอร์
    พระอาทิตย์ทรงกลดยามพลบค่ำ

    พระราชีนีมาร์กาเร็ตเสด็จหนีขึ้นไปทางตอนเหนือของเวลส์ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในมือของฝ่ายแลงคาสเตอร์ขณะที่ขุนนางฝ่ายแลงคาสเตอร์ไปรวมกองกำลังกันทางเหนือของอังกฤษ ทางดยุคแห่งยอร์คก็ออกจากลอนดอนในปลายปีนั้นพร้อมกับเอิร์ลแห่งซอลสบรีเพื่อไปปราบปรามฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่ไปรวมกำลังกันและตั้งที่มั่นกันอยู่ที่ยอร์ค ดยุคแห่งยอร์คตั้งหลักรับอยู่ที่ปราสาทแซนดัลไม่ไกลจากเวคฟิลด์ระหว่างคริสต์มัสปี ค.ศ. 1460 เมื่อมาถึงวันที่ 30 ธันวาคมกองทหารฝ่ายยอร์คก็ออกจากเวคฟิลด์ไปโจมตีฝ่ายแลงคาสเตอร์ ฝ่ายยอร์คมีกองกำลังที่น้อยกว่ามากซึ่งเป็นผลให้ได้รับความพ่ายแพ้ในยุทธการเวคฟิลด์ ดยุคแห่งยอร์คเสียชีวิตในสนามรบ เอ็ดมันด์ เอิร์ลแห่งรัทแลนด์ลูกชายของยอร์คอายุ 17 ปีและเอิร์ลแห่งซอลสบรีถูกจับตัวได้และถูกสังหาร พระราชีนีมาร์กาเร็ตทรงสั่งให้นำหัวของทั้งสามคนไปเสียบประจานไว้หน้าประตูเมืองยอร์ค

    ขณะเดียวกันพระราชีนีมาร์กาเร็ตก็เสด็จขึ้นไปยังสกอตแลนด์เพื่อไปเจรจาขอความช่วยเหลือจากสกอตแลนด์ แมรีแห่งเกลเดรอส์ พระราชินีในสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งสกอตแลนด์ทรงตกลงมอบกองกำลังให้แต่มีข้อแม้ว่าฝ่ายอังกฤษต้องคืนเบริคให้กับสกอตแลนด์ และต้องจัดการหมั้นหมายเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดกับพระธิดาของพระองค์ พระราชีนีมาร์กาเร็ตทรงยอมตกลงตามข้อเสนอแม้ว่าจะไม่ทรงมีทุนทรัพย์ในการเลี้ยงกองทัพที่ได้มา แต่ทรงสัญญาทรัพย์สินที่จะได้จากการโจมตีผู้มีฐานะมั่งคั่งในดินแดนอังกฤษ ตราบใดที่ทหารสัญญาว่าจะไม่ทำการปล้นจากแม้น้ำเทร้นท์ลงไป

    พระราชบัญญัติสอดคล้องและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ยุทธการเวคฟิลด์ทิ้งให้เอ็ดเวิร์ดเอิร์ลแห่งมาร์ชลูกชายคนโตอายุ 18 ปีของยอร์คกลายเป็นดยุคแห่งยอร์คคนต่อมา และเป็นทายาทในการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ต่อ เอ็ดเวิร์ดรวบรวมกองกำลังของผู้สนับสนุนในบริเวณชายแดนระหว่างอังกฤษและเวลส์ เมื่อปะทะกันในยุทธการมอร์ติเมอร์ครอสในแฮรฟอร์ดเชอร์ เอ็ดเวิร์ดก็ได้รับชัยชนะต่อกองทัพของฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่นำโดยแจสเปอร์ ทิวดอร์ที่มาจากเวลส์ เอ็ดเวิร์ดทรงปลุกขวัญทหารด้วย “มโนทัศน์” ของพระอาทิตย์สามดวงยามรุ่งอรุณที่ทรงเห็น (ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าพระอาทิตย์ทรงกลด (parhelion)) โดยทรงกล่าวว่าการเห็นพระอาทิตย์สามดวงเป็นสัญลักษณ์ของลูกของยอร์คสามคนที่ยังมีชีวิตอยู่ พระองค์เองและพระอนุชาอีกสององค์จอร์จ และ ริชาร์ด ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ทรงใช้ “sunne in splendour” (พระสุริยอันรุ่งโรจน์) เป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ต่อมา

    ขณะเดียวกันกองทัพของพระราชีนีมาร์กาเร็ตก็นำกองทัพเดินลงมาทางใต้ โดยการหากินด้วยการเที่ยวปล้นตามเมืองหรือหมู่บ้านที่ผ่านระลงมาเรื่อยๆ ในลอนดอนวอริคก็เริ่มใช้การโฆษณาชวนเชื่อให้ผู้คนหันมาสนับสนุนฝ่ายยอร์ค เมืองโคเวนทรีเปลี่ยนข้างมาสนับสนุนฝ่ายยอร์ค จากนั้นวอริคก็นำทัพไปตั้งรับอยู่ที่เซนต์อัลบันทางเหนือกรุงลอนดอนเพื่อจะกันไม่ให้ฝ่ายแลงคาสเตอร์ลงมายังลอนดอนได้ แต่กองทัพของพระราชีนีมาร์กาเร็ตที่มีจำนวนมากกว่าเลี่ยงไปทางตะวันตกและอ้อมกลับมาตีหลังวอริคในยุทธการเซนต์อัลบันส์ครั้งที่ 2 ฝ่ายแลงคาสเตอร์จึงได้รับชัยชนะอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่กองทหารฝ่ายยอร์คต้องหนีร่นอทิ้งพระเจ้าเฮนรีให้ประทับอยู่ใต้ต้นไม้อยู่เพียงลำพังกับทหารรักษาพระองค์

    ทันทีที่ยุทธการเสร็จสิ้นลงพระเจ้าเฮนรีก็พระราชทานบรรดาศักดิ์ขุนนางให้แก่ทหารฝ่ายแลงคาสเตอร์สามสิบคน ความเคียดแค้นระหว่างสองฝ่ายเห็นได้จากการที่พระราชีนีมาร์กาเร็ตทรงมีพระราชโองการให้พระราชโอรสเอ็ดเวิร์ดแห่งเวสต์มินสเตอร์ผู้มีพระชนม์เพียงเจ็ดพรรษาเป็นผู้ตัดสินวิธีลงโทษทหารฝ่ายยอร์คที่ถูกทิ้งไว้รักษาความปลอดภัยแก่พระราชบิดา

    เมื่อฝ่ายแลงคาสเตอร์เริ่มเดินทางเข้าไกล้ลอนดอนมากขึ้น ความประหวั่นพรั่นพรึงก็เกิดขึ้นทั่วไปในลอนดอน ถึงกับมีข่าวร่ำลือถึงความทารุณโหดร้ายของทหารจากทางเหนือที่จะเข้ามาปล้นและทำลายเมือง ประชาชนลอนดอนจึงปิดประตูเมือง และไม่ยอมให้อาหารและเสบียงแก่กองทหารของพระราชินี ผู้ที่ทำการปล้นมาตลอดทางจนแม้เมื่อมาถึงปริมณฑลของลอนดอนในฮาร์ทฟอร์เชอร์และมิดเดิลเซ็กซ์

    [แก้] ชัยชนะของฝ่ายยอร์ค

    สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4

    ขณะเดียวกันเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งมาร์ชก็นำทัพที่ไปรวมกับกองทัพของวอริคที่ยังเหลืออยู่ตามลงมายังลอนดอนจากทางตะวันตก ซึ่งประจวบการถอยกลับขึ้นไปทางเหนือของพระราชีนีมาร์กาเร็ตไปยังดันสเตเบิล เอ็ดเวิร์ดและวอริคจึงสามารถนำกองทัพเข้าลอนดอนได้ ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับจากชาวเมืองอย่างกระตือรือร้น เมื่อมาถึงช่วงนี้เอ็ดเวิร์ดก็ไม่สามารถจะอ้างได้ว่าเพียงต้องการที่จะกำจัดที่ปรึกษาราชการแผ่นดินของพระเจ้าเฮนรีได้อีก การต่อสู้กลายเป็นการต่อสู้เพื่อการชิงราชบัลลังก์ เอ็ดเวิร์ดต้องการที่จะวางรากฐานทางอำนาจซึ่งก็ทรงได้รับเมื่อทอมัส เค้มพ์สังฆราชแห่งลอนดอนประกาศถามความเห็นชาวเมืองลอนดอนว่าต้องการผู้ใดชาวเมืองก็พร้อมใจกันตะโกนว่า “พระเจ้าเอ็ดเวิร์ด” ความเห็นนี้ก็ได้รับการสนับสนุนจากรัฐสภา หลังจากนั้นเอ็ดเวิร์ดก็ได้รับการสวมมงกุฎอย่างรีบเร่งอย่างไม่เป็นทางการที่แอบบีเวสต์มินสเตอร์ท่ามกลางความยินดีของบรรดาประชาชนโดยทั่วไป เอ็ดเวิร์ดทรงตั้งคำปฏิญาณว่าจะไม่ทรงทำการราชาภิเษกอย่างเป็นทางการจนกว่าพระเจ้าเฮนรีและพระราชีนีมาร์กาเร็ตจะถูกสังหารหรือออกนอกประเทศ และทรงประกาศว่าพระเจ้าเฮนรีทรงสละสิทธิในราชบัลลังก์เมื่อทรงอนุญาตให้พระราชีนีมาร์กาเร็ตถืออาวุธต่อต้านผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเท่ากับเป็นการละเมิดพระราชบัญญัติสอดคล้องตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้น

    หลังจากนั้นเอ็ดเวิร์ดและวอริคก็นำกองทัพใหญ่ขึ้นไปทางเหนือไปปะทะกับกองทัพของฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่มีกำลังพอๆ กันที่โทว์ทัน ยุทธการโทว์ทันไม่ไกลจากยอร์คที่เกิดขึ้นเป็นยุทธการที่ใหญ่ที่สุดในสงครามดอกกุหลาบ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าปัญหาทั้งหมดต้องตกลงกันให้เป็นที่สิ้นสุดกันในวันนั้นโดยไม่มีฝ่ายใดที่จะยอมประนีประนอมแม้แต่เพียงก้าวเดียว ทหารที่เข้าร่วมต่อสู้มีทั้งหมดด้วยกันประมาณ 40,000 ถึง 80,000 คนโดยมีผู้เสียชีวิตราว 20,000 คนระหว่างการต่อสู้ หรือหลังจากการต่อสู้ ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตที่เป็นจำนวนอันมหาศาลที่เกิดขึ้นภายในวันเดียวบนแผ่นดินอังกฤษ ในยุทธการครั้งนี้เอ็ดเวิร์ดและผู้สนับสนุนได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ผู้นำของฝ่ายแลงคาสเตอร์เสียชีวิตไปเกือบทั้งหมด เมื่อได้ข่าวการพ่ายแพ้พระเจ้าเฮนรีและพระราชีนีมาร์กาเร็ตผู้ประทับรออยู่ที่ยอร์คพร้อมกับพระราชโอรสก็เสด็จหนีขึ้นเหนือ ผู้ที่รอดมาได้จากยุทธการก็สลับข้างไปสนับสนุนพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ผู้ที่ไม่ยอมสนับสนุนก็ถูกไล่ขึ้นไปทางพรมแดนทางตอนเหนือและเวลส์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงเปลี่ยนหัวของพระราชบิดา พระอนุชาเอ็ดมันด์ เอิร์ลแห่งรัทแลนด์ และเอิร์ลแห่งซอลสบรีที่เสียบประจานไว้หน้าเมืองยอร์ค ด้วยหัวของขุนนางแลงคาสเตอร์ผู้พ่ายแพ้เช่นหัวของจอห์น คลิฟฟอร์ด บารอนแห่งคลิฟฟอร์ดที่ 9 ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้มีบทบาทในการสังหารเอิร์ลแห่งรัทแลนด์หลังจากยุทธการเวคฟิลด์

    [แก้] พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4

    ปราสาทฮาร์เล็คในเวลส์

    พระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างเป็นทางการของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1461 ในกรุงลอนดอนโดยความยินดีของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พระองค์ทรงสามารถปกครองราชอาณาจักรอย่างร่มเย็นเป็นเวลาราวสิบปี แต่ก็ไม่ทรงสามารถมีอำนาจอย่างเด็ดขาดทางตอนเหนือจนกระทั่งปี ค.ศ. 1465 หลังจากยุทธการโทว์ทันแล้วพระเจ้าเฮนรีและพระราชินีมาร์กาเร็ตก็หนีภัยไปพึ่งราชสำนักสกอตแลนด์ภายใต้พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 3 แห่งสกอตแลนด์ ในปลายปีทั้งสองพระองค์ก็เข้าโจมตีคาร์ไลล์แต่เพราะความที่ขาดงบประมาณก็ทำให้เพลี่ยงพล้ำต่อฝ่ายยอร์คที่พยายามยึดที่ตั้งมั่นสุดท้ายของฝ่ายแลงคาสเตอร์ทางตอนเหนือ ปราสาทหลายแห่งที่ยังอยู่ในมือของฝ่ายแลงคาสเตอร์ก็สามารถยืนหยัดต่อต้านฝ่ายยอร์คอยู่ได้เป็นเวลาหลายปีก่อนที่จะตกไปเป็นของฝ่ายยอร์ค

    ในปี ค.ศ. 1464 ก็เกิดการปฏิวัติโดยฝ่ายแลงคาสเตอร์ทางตอนเหนือของอังกฤษโดยมีขุนนางแลงคาสเตอร์ที่รวมทั้งเฮนรี โบฟอร์ท ดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทที่ 3 เป็นผู้นำ ฝ่ายก่อการถูกปราบปรามโดยน้องชายของวอริคจอห์น เนวิลล์ มาร์ควิสแห่งมองตากิวที่ 1 กองกำลังแลงคาสเตอร์บางส่วนถูกทำลายในยุทธการเฮ็ดจลีย์มัวร์เมื่อวันที่ 25 เมษายนแต่จอห์น เนวิลล์ไม่สามารถปราบฝ่ายแลงคาสเตอร์ให้เสร็จสิ้นในทันทีได้เพราะอยู่ในระหว่างการรักษาความปลอดภัยให้แก่ผู้แทนจากสกอตแลนด์มายังยอร์ค แต่หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคมจอห์น เนวิลล์ก็สามารถเอาชนะกองทัพของซัมเมอร์เซ็ทได้ในยุทธการเฮ็กซแฮม ดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทถูกจับและถูกประหารชีวิต

    พระเจ้าเฮนรีผู้ถูกปลดจากราชบัลลังก์ถูกจับได้เป็นครั้งที่สามในแลงคาสเชอร์ในปี ค.ศ. 1465 และทรงถูกนำตัวกลับไปลอนดอนไปจำขังไว้ที่หอคอยแห่งลอนดอน ขณะเดียวกันอังกฤษก็อยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ผู้สามารถเจรจาตกลงกับฝ่ายสกอตแลนด์สำเร็จ พระราชินีมาร์กาเร็ตและพระราชโอรสจึงทรงถูกบังคับให้ออกจากสกอตแลนด์ไปยังฝรั่งเศส ไปทรงดำรงราชสำนักอย่างสมถะอยู่หลายปี[7]

    ที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่ปราสาทฮาร์เล็คในเวลส์ก็ยอมแพ้ในปี ค.ศ. 1468 หลังจากที่ถูกล้อมอยู่เจ็ดปี

    [แก้] การปฏิวัติของวอริคและการฟื้นฟูสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6

    ปราสาทมิดเดิลแลม

    ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเอิร์ลแห่งวอริคก็กลายเป็นขุนนางผู้มีอำนาจและเจ้าของที่ดินมากมายในอังกฤษ ก่อนหน้านั้นวอริคก็เป็นขุนนางผู้มีอำนาจและทรัพย์สินมากอยู่แล้วจากการสมรสและจากทรัพย์สมบัติที่ได้รับจากบิดาที่ได้มาจากทรัพย์ที่ยึดจากฝ่ายแลงคาสเตอร์ นอกจากนั้นก็ยังรับหน้าที่สำคัญต่างๆ หลายหน้าที่ ความที่เชื่อว่าอังกฤษควรจะมีความสัมพันธ์อันดีกับฝรั่งเศสวอริคก็ไปพยายามเจรจาต่อรองหาคู่อภิเษกสมรสชาวฝรั่งเศสให้กับสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด แต่สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงไปเสกสมรสอย่างลับๆ มาตั้งแต่ ค.ศ. 1464 แล้วกับเอลิซาเบธ วูดวิลล์แม่หม้ายของขุนนางแลงคาสเตอร์จอห์นแห่งเบดฟอร์ด ต่อมาพระองค์ก็ทรงประกาศการสมรสอย่างเป็นทางการซึ่งทำให้วอริคได้รับความอับอายขายหน้าเป็นอันมาก

    ความอับอายที่ได้รับทำให้วอริคเคียดแค้นโดยเฉพาะเมื่อตระกูลวูดวิลล์เรืองอำนาจกลายเป็นคนโปรดของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเหนือกว่าตระกูลเนวิลล์ของวอริค พระญาติของเอลิซาเบธต่างก็ได้สมรสกับครอบครัวขุนนางต่างๆ หรือไม่ก็ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางหรือตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ปัจจัยต่างๆ หลายอย่างเหล่านี้ทำให้วอริคยิ่งเพิ่มความไม่พอใจหนักขึ้นที่รวมทั้ง การที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงมีพระราชประสงค์ที่จะมีความสัมพันธ์กับเบอร์กันดีแทนที่จะเป็นฝรั่งเศส และความไม่ทรงเต็มพระทัยที่จะให้พระอนุชาสองพระองค์--ดยุคแห่งแคลเรนซ์ และ ดยุคแห่งกลอสเตอร์--ไปสมรสกับลูกสาวสองคนของวอริค--อิสซาเบล และ แอนน์ นอกจากนั้นความเป็นที่นิยมโดยประชาชนของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็เริ่มลดลงเมื่อมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นและการขาดกฎและระเบียบที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งขึ้น

    เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1469 วอริคก็หันไปเป็นพันธมิตรกับดยุคแห่งแคลเรนซ์พระอนุชาของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้ไปแต่งงานกับอิสซาเบล เนวิลล์แม้ว่าจะไม่เป็นที่ต้องพระทัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ตาม วอริคและดยุคแห่งแคลเรนซ์รวบรวมพลเข้าต่อสู้กับฝ่ายแลงคาสเตอร์และได้รับชัยชนะในยุทธการเอ็ดจโคทมัวร์ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดถูกจับตัวได้ที่โอลนีย์ในบัคคิงแฮมเชอร์และถูกนำไปขังไว้ที่ปราสาทมิดเดิลแลม (Middleham Castle) ในยอร์คเชอร์ (ซึ่งทำให้วอริคมีพระเจ้าแผ่นดินอยู่ในมือสององค์) หลังจากนั้นวอริคก็จับและสังหารพระราชบิดาของพระราชินีริชาร์ด วูดวิลล์ เอิร์ลริเวอร์สที่ 1และพระอนุชาจอห์น แต่วอริคก็มิได้ทำการประกาศว่าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเป็นพระมหากษัตริย์ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือประกาศให้ดยุคแห่งแคลเรนซ์เป็นพระมหากษัตริย์[8] บ้านเมืองในขณะนั้นก็เต็มไปด้วยความระส่ำระสาย ขุนนางต่างก็ลุกขึ้นมาก่อตั้งกองทัพส่วนตัวเข่นฆ่าแก้แค้นกันจากสาเหตุต่างๆ ที่บาดหมางกันมาก่อนหน้านั้น ฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่หมดอำนาจไปก่อนหน้านั้นก็ลุกขึ้นมาก่อความไม่สงบอีก[9] แต่จะอย่างไรก็ตามก็มีขุนนางเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สนับสนุนการยึดอำนาจของวอริค พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดถูกนำตัวกลับมาลอนดอนโดยน้องของวอริคจอร์จอัครสังฆราชแห่งยอร์คเพื่อมาทำความปรองดองกันกับวอริคอย่างน้อยก็เท่าที่เห็นกันภายนอก

    เมื่อการก่อความไม่สงบเกิดขึ้นในลิงคอล์นเชอร์พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดก็ทรงสามารถปราบปรามได้อย่างง่ายดายในยุทธการลูส-โคทฟิล์ด จากคำให้การของผู้นำการปฏิวัติกล่าวหาว่าผู้ยุยงให้เกิดการก่อการคือวอริคและดยุคแห่งแคลเรนซ์ ทั้งสองคนจึงถูกประกาศว่าเป็นผู้ทรยศต่อแผ่นดินจนจำเป็นต้องหนีไปฝรั่งเศสที่พระราชินีมาร์กาเร็ตประทับลี้ภัยอยู่ พระเจ้าหลุยส์ที่ 11 แห่งฝรั่งเศสผู้ทรงต้องการที่จะหยุดยั้งความเป็นพันธมิตรระหว่างพระอนุชาเขยชาร์ลส์เดอะโบลด์ ดยุคแห่งเบอร์กันดีกับพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจึงทรงแนะนำให้วอริคกับพระราชินีมาร์กาเร็ตหันมาร่วมมือกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายผู้เป็นศัตรูกันมาก่อนก็แสดงความไม่เต็มใจในระยะแรก แต่เมื่อมาพิจารณาแล้วก็เริ่มมองเห็นผลประโยชน์ที่อาจจะได้จากการเป็นพันธมิตรกัน แต่ผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างคาดนั้นก็แตกต่างกันมาก วอริคต้องการพระเจ้าแผ่นดินที่ใช้เป็นหุ่นเช่นพระเจ้าเฮนรีหรือพระราชโอรส ส่วนพระราชินีมาร์กาเร็ตทรงมีพระราชประสงค์ในการกู้ราชบัลลังก์ของพระองค์คืน แต่จะอย่างไรก็ตามผลของการตกลงคือการจัดการแต่งงานระหว่างแอนน์ลูกสาวของวอริคกับพระราชโอรสของพระองค์เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด หลังจากนั้นวอริคก็ยกทัพไปรุกรานอังกฤษในฤดูใบไม้ร่วงของปี ค.ศ. 1470

    ยุทธการทูคสบรี

    ขณะนั้นที่วอริคยกทัพมาตีอังกฤษ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงนำทัพขึ้นไปทางเหนือเพื่อไปปราบการก่อความไม่สงบในยอร์คเชอร์ วอริคด้วยความช่วยเหลือของกองเรือภายใต้การนำของหลานทอมัส เนวิลล์ขึ้นฝั่งที่ดาร์ทมัธและรวบรวมกำลังผู้สนับสนุนจากมณฑลทางใต้และเมืองท่าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นวอริคก็นำทัพเข้ายึดกรุงลอนดอนในเดือนตุลาคมและนำสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แห่ตามถนนรอบเมืองลอนดอนในฐานะกษัตริย์ผู้ได้รับการฟื้นฟู จอห์น เนวิลล์น้องของวอริคผู้ได้รับตำแหน่งลอยให้เป็นมาร์ควิสแห่งมองตากิวก็หันมาสนับสนุนพี่ชาย กองกำลังของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้มิได้ทรงเตรียมตัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็แตกกระจาย พระองค์และดยุคแห่งกลอสเตอร์หนีจากดอนคาสเตอร์ไปยังชายฝั่งทะเลข้ามไปยังฮอลแลนด์ไปลี้ภัยอยู่ในเบอร์กันดี พระองค์และพระอนุชาก็ถูกประกาศว่าเป็นผู้ทรยศต่อแผ่นดิน หลังจากนั้นฝ่ายแลงคาสเตอร์ที่ไปหนีภัยก็กลับมาอ้างสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกยึดไปในระหว่างสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด

    แต่ความสำเร็จของวอริคก็เป็นไปเพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น เมื่อวอริคเลยเถิดไปพยายามที่จะรุกรานเบอร์กันดีโดยการเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสเมื่อฝรั่งเศสสัญญาว่าจะให้ดินแดนในเนเธอร์แลนด์เป็นการตอบแทน ซึ่งเป็นผลให้ชาร์ลส์แห่งเบอร์กันดีมอบทุนทรัพย์และกองทหารที่ทำให้พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดสามารถนำกลับไปรุกรานอังกฤษได้ในปี ค.ศ. 1471 พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จขึ้นฝั่งพร้อมกับทหารกลุ่มหนึ่งที่เรเวนสเปอร์ทางฝั่งทะเลตอนเหนือของอังกฤษในยอร์คเชอร์ เมื่อเริ่มแรกก็ทรงอ้างว่าเสด็จมาสนับสนุนพระเจ้าเฮนรีและขอบรรดาศักดิ์ดยุคแห่งยอร์คคืน แต่ไม่นานพระองค์ก็ทรงได้รับการสนับสนุนจากเมืองยอร์ค พระอนุชาดยุคแห่งแคลเรนซ์ผู้ไปสนับสนุนวอริคอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็ทิ้งวอริคและหันกลับมาสนับสนุนพระองค์อีกครั้ง จากนั้นพระองค์ก็ทรงเดินทัพลงมาเพื่อยึดกรุงลอนดอน และมาปะทะกับกองทัพของวอริคในยุทธการบาร์เน็ต การต่อสู้เกิดขึ้นท่ามกลางหมอกที่ลงจัด กองกำลังของวอริคก็โจมตีกันเองด้วยความเข้าใจผิด และกองทัพของวอริคก็เชื่อกันโดยทั่วไปว่าโดนทรยศจึงหนีกันกระเจิดกระเจิง วอริคถูกสังหารขณะที่พยายามจะขึ้นม้า

    พระราชินีมาร์กาเร็ตและพระราชโอรสเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดขึ้นฝั่งที่เวสต์คันทรีเพียงสองสามก่อนหน้ายุทธการบาร์เน็ต แต่แทนที่จะเดินทางกลับฝรั่งเศสพระราชินีมาร์กาเร็ตก็เสด็จไปสมทบกับผู้สนับสนุนฝ่ายแลงคาสเตอร์ในเวลส์ แต่เมื่อทรงพยายามนำทัพข้ามแม่น้ำเซเวิร์นพระองค์ก็ทรงถูกยับยั้งโดยเมืองกลอสเตอร์ที่ไม่ยอมให้ข้าม กองทัพของพระองค์นำโดยเอ็ดมันด์ โบฟอร์ท ดยุคแห่งซัมเมอร์เซ็ทที่ 4 เข้าต่อสู้และพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในยุทธการทูคสบรี เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษของฝ่ายแลงคาสเตอร์ถูกสังหารในที่รบ สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 พระราชบิดาของพระองค์ก็ทรงถูกปลงพระชนม์เพียงสิบวันหลังจากนั้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ. 1471 เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคงในการครองราชบัลลังก์แก่ฝ่ายยอร์ค

    [แก้] สมเด็จพระเจ้าริชาร์ดที่ 3

    การฟื้นฟูสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ในปี ค.ศ. 1471 บางก็กันเห็นว่าเป็นการสิ้นสุดของสงครามดอกกุหลาบหลัก บ้านเมืองกลับมามีความสงบสุขขึ้นอีกครั้งจนตลอดรัชสมัยของพระองค์ พระอนุชาองค์สุดท้องริชาร์ด ดยุคแห่งกลอสเตอร์ผู้ใกล้ชิดและสนับสนุนพระองค์มาตลอดพระชนม์ชีพ และ วิลเลียม เฮสติงส ต่างก็ได้รับพระราชทานรางวัลในความจงรักภักดี และได้รับตำแหน่งเป็นข้าหลวงแห่งภาคเหนือ และ ข้าหลวงแห่งมิดแลนด์ตามลำดับ[10] พระอนุชาดยุคแห่งแคลเรนซ์ผู้ทรงเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์เพิ่มขึ้นทุกขณะก็ถูกประหารชีวิตในที่สุดในปี ค.ศ. 1478 ในการมีส่วนพัวพันกับผู้ทรยศต่อแผ่นดินผู้ถูกลงโทษไปแล้ว

    แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดมาเสด็จสวรรคตอย่างกระทันหันในปี ค.ศ. 1483 ความระส่ำระสายทางการเมืองก็อุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ขุนนางต่างก็ชิงชังกับอิทธิพลของพระญาติพระวงศ์ตระกูลวูดวิลล์ของพระราชินีเอลิซาเบธ (พระเชษฐาแอนโทนี วูดวิลล์ เอิร์ลแห่งริเวอร์สที่ 2 และพระโอรสจากการสมรสครั้งแรกทอมัส เกรย์ มาร์ควิสแห่งดอร์เซ็ทที่ 1) และมองเห็นว่าเป็นขุนนางใหม๋ผู้ทะเยอทะยานและกระหายอำนาจ เมื่อสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จสวรรคตพระราชโอรสผู้สืบราชบัลลังก์ต่อมาสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 ก็เพิ่งมีพระชนมายุเพียง 12 พรรษาผู้ที่ทรงได้รับการเลี้ยงดูภายใต้การนำของเอิร์ลแห่งริเวอร์สอยู่ที่ลัดโลว์

    บนพระแท่นที่ประชวรสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงแต่งตั้งให้พระอนุชาริชาร์ด ดยุคแห่งกลอสเตอร์เป็น “ผู้พิทักษ์แห่งอังกฤษ” (Protector of England) ขณะนั้นริชาร์ดยังอยู่ทางตอนเหนือของอังกฤษเมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จสวรรคต วิลเลียม เฮสติงส บารอนเฮสติงสที่ 1 ก็รีบส่งข่าวไปให้ริชาร์ดลงมายังลอนดอนพร้อมกับกองทัพเพื่อที่จะมาปราบปรามฝ่ายวูดวิลล์ที่อาจจะลุกขึ้นมาต่อต้าน[11] เฮนรี สตาฟฟอร์ด ดยุคแห่งบัคคิงแฮมที่ 2 ก็หันไปสนับสนุนริชาร์ด

    “เจ้าชายสองพระองค์เอ็ดเวิร์ดและริชาร์ดในหอคอยในปี ค.ศ. 1483” โดยจอห์น เอเวอเรทท์ มิเลย์ (ค.ศ. 1878)

    ริชาร์ดและดยุคแห่งบัคคิงแฮมเดินทางไปทันกับเอิร์ลแห่งริเวอร์สผู้กำลังนำสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 จากลัดโลว์ลงมายังกรุงลอนดอนที่สโตนีสแตรทฟอร์ดในมณฑลบัคคิงแฮมเชอร์เมื่อวันที่ 28 เมษายน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะกินอาหารเย็นด้วยกันอย่างฉันท์มิตรแต่ในวันรุ่งขึ้นริชาร์ดและดยุคแห่งบัคคิงแฮมก็จับเอิร์ลแห่งริเวอร์สเป็นนักโทษ และให้เหตุผลกับสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันการสมรู้ร่วมคิดของตระกูลวูดวิลล์ในการพยายามที่จะปลงพระชนม์ เอิร์ลแห่งริเวอร์สและหลานริชาร์ด เกรย์ถูกส่งไปจำขังไว้ที่ปราสาทพอนทีแฟร็คในยอร์คเชอร์ก่อนที่จะถูกประหารชีวิตในปลายเดือนมิถุนายน

    สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จเข้ากรุงลอนดอนภายใต้การอารักขาของพระปิตุลาริชาร์ดเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมและถูกนำไปประทับอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอน ขณะที่พระชนนีพระราชินีเอลิซาเบธและพระราชโอรสธิดาองค์อื่นๆ หนีไปหนีภัยอยู่ในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ก่อนหน้านั้นแล้ว แม้ว่าทางมหาวิหารจะอยู่ในระหว่างการเตรียมตัวที่จะทำพิธีพระบรมราชาภิเษกขึ้นในวันที่ 22 มิถุนายน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นริชาร์ดก็หมดอำนาจและหน้าที่ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนริชาร์ดก็เรียกประชุมสภาองคมนตรี ในที่ประชุมริชาร์ดกล่าวหาว่าวิลเลียม เฮสติงส บารอนเฮสติงสที่ 1 และผู้อื่นว่าคบคิดกันเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง เฮสติงสถูกประหารชีวิตอย่างเร่งด่วนภายในวันเดียวกัน

    จากนั้นทอมัส บูเชียร์อัครสังฆราชแห่งแคนเตอร์บรีก็หว่านล้อมให้พระราชินีเอลิซาเบธส่งพระอนุชาองค์รองของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดริชาร์ดแห่งชรูว์สบรี ดยุคแห่งยอร์คที่ 1 ผู้มีพระชนมายุ 9 พรรษาไปประทับกับพระเชษฐาในหอคอยแห่งลอนดอน เมื่อได้พระโอรสมาสองพระองค์แล้วริชาร์ดก็กล่าวหาว่าการเสกสมรสระหว่างพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 และพระราชินีเอลิซาเบธเป็นการเสกสมรสที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉะนั้นพระราชโอรสทั้งสองพระองค์จึงเป็นลูกนอกคอกและไม่มีสิทธิในราชบัลลังก์ รัฐสภามีความเห็นพ้องและออก “พระราชบัญญัติว่าด้วยตำแหน่งอันถูกต้อง” (Titulus Regius) ที่ระบุให้ริชาร์ด ดยุคแห่งกลอสเตอร์เป็นสมเด็จพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 พระโอรสสองพระองค์ของพระเชษฐาที่ถูกจำขังในหอคอยที่มารู้จักกันว่า “เจ้าชายแห่งหอคอย” หายสาปสูญไป ซึ่งอาจจะทรงถูกฆาตรกรรม แต่จะโดยผู้ใดหรือด้วยคำสั่งของผู้ใดก็ไม่เป็นที่ทราบ ซึ่งทำให้เกิดการสันนิษฐานกันไปต่างๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้

    หลังจากที่ทรงได้รับการราชาภิเษกในพิธีอันใหญ่โตเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมแล้ว สมเด็จพระเจ้าริชาร์ดก็เสด็จประพาสมิดแลนด์สและทางตอนเหนือของอังกฤษ พระราชทานสิ่งของต่างๆ ให้แก่ผู้คนโดยทั่วไป และใบพระราชานุญาตต่างๆ รวมทั้งการแต่งตั้งพระราชโอรสขึ้นเป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ด้วย

    [แก้] การปฏิวัติของดยุคแห่งบัคคิงแฮม

    ดยุคแห่งบัคคิงแฮมผู้นำการการปฏิวัติต่อต้านสมเด็จพระเจ้าริชาร์ดที่ 3

    ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเจ้าริชาร์ดที่ 3 เริ่มก่อตัวกันขึ้นทางตอนใต้ เมื่อวันที่ 18 ตุลาคมดยุคแห่งบัคคิงแฮม (ผู้ก่อนหน้านั้นมีบทบาทสำคัญในการทำให้พระเจ้าริชาร์ดได้ขึ้นครองราชบัลลังก์และตนเองก็พอจะมีสิทธิในราชบัลลังก์อยู่บ้าง) ก็นำการปฏิวัติเพื่อที่จะยกเฮนรี ทิวดอร์ผู้เป็นฝ่ายแลงคาสเตอร์ขึ้นครองราชย์ ประเด็นการถกเถียงถึงสาเหตุที่ดยุคแห่งบัคคิงแฮมเปลี่ยนข้างไปสนับสนุนฝ่ายแลงคาสเตอร์แทนที่จะสนับสนุนสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 หรือพระอนุชาริชาร์ดแห่งชรูว์สบรี ก็คงเป็นเพราะดยุคแห่งบัคคิงแฮมทราบแล้วว่าทั้งสองพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้ว[12] ขุนนางที่เคยสนับสนุนสมเด็จพระเจ้าริชาร์ดในการต่อต้านตระกูลวูดวิลล์หันมาเป็นปฏิปักษ์ต่อพระองค์เมื่อทรงยึดอำนาจมาเป็นของพระองค์เอง และเมื่อมีข่าวลือว่าทรงเป็นผู้มีบทบาทในการฆาตกรรมพระราชนัดดาสองพระองค์[13]

    สิทธิในราชบัลลังก์ของฝ่ายแลงคาสเตอร์ตกมาถึงเฮนรี ทิวดอร์หลังจากการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 และพระราชโอรสในปี ค.ศ. 1471 บิดาของเฮนรี ทิวดอร์คือเอ็ดมันด์ ทิวดอร์ เอิร์ลแห่งริชมอนด์ที่ 1 (Edmund Tudor, 1st Earl of Richmond) เป็นลูกพี่ลูกน้องของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 6 แต่การอ้างของเฮนรี ทิวดอร์เป็นการอ้างจากทางสายมารดาเลดี้ มาร์กาเร็ต โบฟอร์ท (Lady Margaret Beaufort) ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากจอห์น โบฟอร์ท เอิร์ลแห่งซัมเมอร์เซ็ทที่ 1 (John Beaufort, 1st Earl of Somerset) ผู้เป็นบุตรของจอห์นแห่งกอนท์ผู้เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ซึ่งทำให้เฮนรีเป็นพระราชนัดดาของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 จอห์น โบฟอร์ทเป็นลูกนอกสมรสจนกระทั่งเมื่อจอห์นแห่งกอนท์มาสมรสอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อมากับแคทเธอริน สวินฟอร์ด (Katherine Swynford) แม่ของเฮนรี การสมรสกล่าวกันว่าตามเงื่อนไขที่ว่าลูกหลานของตระกูลโบฟอร์ทจะสละการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ เฮนรีใช้เวลาส่วนใหญ่ถูกกักอยู่ที่ปราสาทฮาร์เล็ค หรือไม่ก็ไปลี้ภัยอยู่ที่บริตานี หลังจากปี ค.ศ. 1471 . After 1471 สมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 มักจะทำเรื่องการอ้างสิทธิของเฮนรีเป็นเรื่องย่อย และทรงพยายามที่จะนำตัวเฮนรีกลับมาแต่ก็ไม่ได้เป็นไปอย่างจริงจังเท่าใดนัก แต่ทางฝ่ายแม่มาร์กาเร็ต โบฟอร์ทผู้แต่งงานสองครั้งๆ แรกกับลุงของดยุคแห่งบัคคิงแฮม และต่อมากับทอมัส สแตนลีย์ เอิร์ลแห่งดาร์บีที่ 1 (Thomas Stanley, 1st Earl of Derby) ผู้เป็นข้าราชสำนักคนสำคัญคนหนึ่งของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด สนับสนุนสิทธิของลูกมาโดยตลอด

    การปฏิวัติของดยุคแห่งบัคคิงแฮมล้มเหลว เพราะฝ่ายที่สนับสนุนทางตอนใต้ลุกขึ้นต่อต้านก่อนเวลาอันควร ซึ่งเป็นผลทำให้ นายทัพของสมเด็จพระเจ้าริชาร์ดทางตอนใต้จอห์น เฮาเวิร์ด ดยุคแห่งนอร์โฟล์คที่ 1 มีโอกาสป้องกันมิให้ฝ่ายปฏิวัติเข้ามารวมตัวกันได้ ดยุคแห่งบัคคิงแฮมเองก็ไปรวบรวมกำลังอยู่ที่เบรกอนทางตอนกลางของเวลส์ แต่ถูกหยุดยั้งไม่ให้ข้ามแม่น้ำเซเวิร์นมาสมทบกับกองปฏิวัติที่มาจากทางใต้ ซึ่งก็เป็นการหยุดยั้งเฮนรีจากการขึ้นฝั่งในเวสต์คันทรี กองทหารของบัคคิงแฮมจึงหนี และบัคคิงแฮมเองก็ถูกทรยศและจับประหารชีวิต

    ความล้มเหลวของการปฏิวัติของดยุคแห่งบัคคิงแฮมมิได้เป็นการยุติการวางแผนต่อต้านสมเด็จพระเจ้าริชาร์ดผู้ไม่อาจจะทรงมีความรู้สึกปลอดภัยได้อีก ผู้ทรงสูญเสียพระอัครมเหสีและะพระราชโอรสผู้มีพระชนม์ได้สิบเอ็ดพรรษา ซึ่งทำให้อนาคตของการครองราชบัลลังก์ของฝ่ายยอร์คไม่อยู่ในสภาพที่มั่นคงเท่าใดนัก

    [แก้] สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7

    สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7

    หลังจากการพ่ายแพ้ในการปฏิวัติของดยุคแห่งบัคคิงแฮมแล้วผู้สนับสนุนหลายคนและขุนนางอื่นที่ละทิ้งสมเด็จพระเจ้าริชาร์ดก็หนีไปรวมตัวกับเฮนรี ทิวดอร์ที่ลี้ภัยอยู่ในบริตานี สมเด็จพระเจ้าริชาร์ดทรงพยายามติดสินบนมนตรีของดยุคแห่งบริตานีให้ทรยศต่อเฮนรีแต่เฮนรีก็ได้รับการเตือนและสามารถหนีไปยังฝรั่งเศสและไปทรงได้รับที่พำนักลี้ภัยและการสนับสนุนที่นั่น[14]

    เมื่อเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าขุนนางเป็นจำนวนมากและแม้แต่ข้าราชสำนักของสมเด็จพระเจ้าริชาร์ดเองจะหันมาสนับสนุนพระองค์ เฮนรี ทิวดอร์ก็ออกเดินทางจากฮาร์เฟลอร์ (Harfleur) ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ค.ศ. 1485 พร้อมกับกองที่ไปลี้ภัยและทหารรับจ้างชาวฝรั่งเศส และมาขึ้นฝั่งที่เพมโบรคเชอร์หกวันต่อมา ผู้ที่สมเด็จพระเจ้าริชาร์ดแต่งตั้งในเวลส์ถ้าไม่หันไปสมทบกับกองทัพของเฮนรี ก็ยอมให้ผ่านโดยมิได้ต่อต้าน เฮนรีรวบรวมผู้สนับสนุนตลอดทางที่เดินผ่านมาในเวลส์และภูมิภาคชายแดนเวลส์ (Welsh Marches) เและเมื่อปะทะกับกองทัพของพระเจ้าริชาร์ดในยุทธการบอสเวิร์ธฟิลด์ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1485 เฮนรีก็ได้รับชัยชนะ สมเด็จพระเจ้าริชาร์ดถูกสังหารในสนามรบกล่าวกันว่าโดยทหารเวลส์ชื่อ Rhys ap Thomas จากแรงเหวี่ยงของขวานที่พระเศียร Rhys ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนนางสามวันหลังจากนั้น

    เฮนรีผู้ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7 สร้างความมั่นคงให้แก่ราชบัลลังก์โดยการเสกสมรสกับเอลิซาเบธแห่งยอร์ค พระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 ฉะนั้นสมเด็จพระเจ้าเฮนรีจึงทรงเป็นผู้รวมสองราชวงศ์เข้าเป็นราชวงศ์เดียว และทรงรวมสัญลักษณ์ของสองราชวงศ์กุหลาบแดงแห่งแลงคาสเตอร์และกุหลาบขาวแห่งยอร์คเป็นสัญลักษณ์ใหม่ที่เรียกว่ากุหลาบทิวดอร์ที่มีทั้งสีแดงและขาวในดอกเดียวกัน นอกจากนั้นพระองค์ก็ยังทรงสร้างเสริมความมั่นคงโดยการสังหารผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์คนอื่นๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่จนหมดสิ้น ซึ่งเป็นนโยบายที่ดำเนินต่อมาโดยพระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8

    นักประวัติศาสตร์หลายคนถือว่าการขึ้นครองราชบัลลังก์ของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7 เป็นการสิ้นสุดของสงครามดอกกุหลาบ แต่นักประวัติศาสตร์บางคนกล่าวว่าสิ้นสุดหลังจากยุทธการสโตคฟิลด์ในปี ค.ศ. 1487 เมื่อเด็กหนุ่มชื่อแลมเบิร์ต ซิมเนลผู้มีหน้าตาคล้ายเอ็ดเวิร์ด แพลนทาเจเน็ท เอิร์ลแห่งวอริคที่ 17 บุตรของดยุคแห่งแคลเรนซ์ มาอ้างตัวว่ามีสิทธิในราชบัลลังก์ แต่ก็เป็นแผนการณ์ที่มีข้อบกพร่องตรงที่ตัวเอ็ดเวิร์ด แพลนทาเจเน็ทจริงยังคงมีชีวิตอยู่และอยู่ในการอารักขาของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีเอง สมเด็จพระเจ้าเฮนรีจึงทรงนำเอ็ดเวิร์ด แพลนทาเจเน็ทไปแสดงตัวรอบลอนดอนเพื่อให้เห็นว่าซิมเนลเป็นตัวปลอม ในยุทธการสโตคฟิลด์สมเด็จพระเจ้าเฮนรีก็ทรงสามารถเอาชัยชนะต่อกองกำลังของจอห์น เดอลาโพล เอิร์ลแห่งลิงคอล์นที่ 1 ผู้ที่สมเด็จพระเจ้าริชาร์ดทรงแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทซึ่งเป็นการกำจัดผู้เป็นปฏิปักษ์ฝ่ายยอร์คคนสุดท้าย ซิมเนลได้รับพระราชทานอภัยโทษ

    แต่ในปี ค.ศ. 1491 ราชบัลลังก์ของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีก็สั่นคลอนอีกครั้งหนึ่งเมื่อเพอร์คิน วอร์เบ็คอ้างตัวว่าเป็นริชาร์ดแห่งชรูว์สบรี ดยุคแห่งยอร์คที่ 1 พระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 5 แต่ในที่สุดก็ทรงแก้ปัญหาได้ในปี ค.ศ. 1499 เมื่อทรงจับตัววอร์เบ็คและประหารชีวิตได้

    [แก้] บทสรุป

    ดอกกุหลาบทิวดอร์สัญลักษณ์ของราชวงศ์ทิวดอร์ที่เป็นราชวงศ์ใหม่ที่เกิดจากการรวมราชวงศ์แลงคาสเตอร์และราชวงศ์ยอร์คโดยการเสกสมรสระหว่างเฮนรี ทิวดอร์และเอลิซาเบธแห่งยอร์ค

    แม้ว่านักประวัติศาสตร์จะยังคงโต้แย้งกันถึงความกระทบกระเทือนของความขัดแย้งของสงครามดอกกุหลาบต่อชีวิตในยุคกลางของอังกฤษ แต่ที่แน่คือสงครามครั้งนี้เป็นสงครามที่สร้างความระส่ำระสายทางการเมืองและความเปลี่ยนแปลงทางดุลยภาพของอำนาจทางการเมือง สิ่งที่ได้รับผลกระทบกระเทือนมากที่สุดคือการสลายตัวของราชวงศ์แพลนทาเจเน็ทที่มาแทนที่ด้วยผู้นำของราชวงศ์ทิวดอร์ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงในอังกฤษเป็นอันมากในปีต่อๆ มา หลังจากสมัยของสมเด็จพระเจ้าเฮนรีแล้วราชวงศ์แพลนทาเจเน็ทที่ยังพอมีเหลืออยู่บ้างแต่ก็ไม่มีผู้ใดที่จะอ้างได้ว่ามีสิทธิในราชบัลลังก์โดยตรงได้ โดยเฉพาะเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงหนุนหลังให้ฝักฝ่ายย่อยขัดแย้งกันเอง

    การสงครามทำให้ขุนนางเสียชีวิตกันไปเป็นจำนวนมากที่เป็นผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมระบบศักดินาของอังกฤษ ที่ทำให้อำนาจของขุนนางอ่อนแอลงขณะเดียวกันอำนาจของชนชั้นพ่อค้าก็เพิ่มขึ้น การปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางของอำนาจของราชวงศ์ทิวดอร์เป็นการสร้างเสริมให้ระบบพระมหากษัตริย์ของอังกฤษแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของยุคกลางของอังกฤษและก้าวเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

    แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งการชี้ให้เห็นถึงความเสียหายอันใหญ่หลวงของสงครามดอกกุหลาบก็อาจจะเป็นเครื่องมือที่สมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 7 ทรงใช้ในการช่วยแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ในการนำมาซึ่งความสันติในบั้นปลายก็เป็นได้ แต่จะอย่างไรก็ตามผลกระทบกระเทือนต่อชนชั้นพ่อค้าและแรงงานในการเป็นสงครามอันยืดเยื้อในการล้อมเมืองหรือปล้นเมืองก็ยังน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศสหรือประเทศอื่นๆ ในยุโรปที่ประสบกับสงครามอันยาวนาน แม้ว่าจะมีการล้อมที่เนิ่นนานอยู่บ้างเช่นการล้อมปราสาทฮาร์เล็ค แต่ก็เป็นการล้อมสถานที่ที่ไกลผู้ไกลคน ในบริเวณที่มีประชากรหนาแน่นถ้ามีการสู้รบกันขึ้นก็จะสร้างความเสียหายอันไม่ควรค่าให้แก่ทั้งสองฝ่าย ฉะนั้นการต่อสู้ส่วนใหญ่จึงเป็นการต่อสู้ที่มีการนัดกันล่วงหน้าในการเลือกจุดที่จะทำการต่อสู้ (pitched battle)

    สงครามดอกกุหลาบไม่ได้ช่วยอิทธิพลของอังกฤษในฝรั่งเศสที่เริ่มลดลงอยู่แล้ว เมื่อเสร็จสิ้นสงครามดินแดนที่เคยได้มาระหว่างสงครามร้อยปีก็ไม่มีเหลืออยู่อีกเลยนอกไปจากคาเลส์ซึ่งก็มาเสียให้แก่ฝรั่งเศสระหว่างรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถแมรี แม้ว่าพระมหากษัตริย์อังกฤษจะพยายามรณรงค์ในยุโรป แต่อังกฤษก็ไม่สามารถยึดดินแดนใดใดที่เสียไปคืนมาได้ อาณาจักรดยุค และราชอาณาจักรต่างๆ ในยุโรปมีบทบาทโดยตรงต่อผลของความพยายามของอังกฤษ โดยเฉพาะเมื่อพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสและดยุคแห่งเบอร์กันดียุยงฝักฝ่ายในอังกฤษให้มีความขัดแย้งกันเองโดยการสัญญาว่าจะให้ความช่วยเหลือทางการเงินหรือทางการทหาร หรือให้ที่พำนักแก่พระราชวงศ์ ขุนนาง หรือผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์ผู้มาลี้ภัย ซึ่งเป็นสร้างสถานการณ์ที่ช่วยเพิ่มความแตกแยกขึ้นในอังกฤษซึ่งเป็นผลทำให้อ่อนแอลง

    เมื่อสงครามยุติลงก็เท่ากับเป็นการสิ้นสุดของกองทัพส่วนตัวของขุนนางผู้มีอำนาจ สมเด็จพระเจ้าเฮนรีผู้ทรงต้องการที่จะยุติความขัดแย้งระหว่างขุนนางก็ทรงพยายามโดยการควบคุมขุนนางอย่างไม่ให้ห่างพระหัตถ์ และไม่ทรงอนุญาตให้ขุนนางมีสิทธิในการรวบรวมกองกำลัง อาวุธ และ เลี้ยงกองทัพเพื่อที่จะไม่ให้สามารถก่อความขัดแย้งระหว่างกัน หรือลุกขึ้นมาต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ ฉะนั้นอำนาจทางทหารของบารอนจึงลดถอยลงไปเป็นอันมาก และราชสำนักทิวดอร์อันมีอำนาจกลายเป็นสถานที่สำหรับการตัดสินข้อขัดแย้งระหว่างขุนนางด้วยอิทธิพลของพระเจ้าแผ่นดิน

    ระหว่างสงครามก็แทบจะไม่มีการยุบเลิกตำแหน่งขุนนางใดใด เช่นในระหว่าง ค.ศ. 1425 ถึง ค.ศ. 1449 ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นก็มีการยุบตำแหน่งขุนนางไป 25 ตำแหน่ง พอพอกับ 24 ตำแหน่งที่ยุบไประหว่างการต่อสู้ระหว่าง ค.ศ. 1450 ถึง ค.ศ. 1474[15] แต่ขุนนางที่มีความทะเยอทะยานสูงเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก มาถึงสมัยต่อมาก็แทบจะไม่มีขุนนางที่เต็มใจที่จะสละชีพในการต่อสู้ที่ไม่มีผลที่จะทราบได้แน่

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×