วันหนึ่งหลังจากเรียนภาษาญี่ปุ่นกับเซย์คุงเสร็จ คอฟฟี่ก็โดนเซย์คุงฉุดไปยังห้างหรูใกล้สถานที่เรียน เพื่อรับประทานอาหารแด๊กซ์ด่วนชื่อดังที่มีสัญลักษณ์เป็นตัวอักษรโรมันตัวที่สิบสาม ณ สถานที่นั้น คอฟฟี่ได้พบกับเพื่อนฝูงของเซย์คุง (จะเรียกว่าฮาเร็มก็ย่อมได้) หนึ่งในนั้นเป็นรุ่นน้องที่เคยเจอกันแล้วหนึ่งครั้งก่อนหน้านั้นหนึ่งอาทิตย์ด้วยการนัดหมายของเซย์คุง กับรุ่นพี่อีกหนึ่ง ซึ่งก็เคยเจอกันก่อนหน้านี้สองสามครั้งจากการนัดพบของเซย์คุงอีกเช่นกัน
ถ้ารู้จักเซย์คุงก็น่าจะรู้อยู่ว่าเพื่อนๆของเซย์คุงเป็นยังไง...ก็เป็นแบบคอฟฟี่นั่นแหละ! เราสนุกสนานเฮฮากันมากทีเดียว ที่ขำมากคือ ขณะที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยต้นฉบับโดจินที่ยังวาดค้างคา โต๊ะนอกร้าน (ติดกันเต็มที่แต่มีกระจกกั้น) ซึ่งประกอบไปด้วยคุณแม่วัยสามสิบต้นๆกับเด็กน้อยชายหญิงวัยไม่เกินสองหลัก หันมามองเราด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ เราจึงหยิบยกโดจินชิเหล่านั้นขึ้นมา ทำเป็นว่ากำลังเป็นหัวข้อถกกันในที่ประชุม แต่ที่จริงคือมีเจตนาชั่วร้ายอวดให้ผู้ชมข้างนอกงงเล่น...มันไม่ใช่อะไรที่ควรอวดนักหรอก!
เคยนึกว่าถ้าไปนั่งอยู่ในวงนักวาดโดจิน คนไร้ฝีมืออย่างคอฟฟี่อาจจะนั่งใบ้ เอาเข้าจริงก็พอจะช่วยเสนอไอเดียอะไรกับเขาได้เหมือนกันนะ (ไม่ใช่ไอเดียในทางจำเริญนักหรอก บอกได้เลย) นั่งกันอยู่เกือบสี่ชั่วโมงมีแต่เสียงหัวเราะ คอฟฟี่กลับบ้านด้วยความสุขเต็มที่เลย
...
วันหนึ่งคอฟฟี่นั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนที่คณะที่รู้จักกันมานานแล้ว แต่บางส่วน...เหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางยังไงก็ไม่รู้ แต่ละเรื่องที่เขาหัวเราะกัน...ไม่รู้สินะ ก็มีแต่ล้อกันไปถากถางกันมานินทาชาวบ้านแล้วก็ขำกันเอง... และเพราะคอฟฟี่ค่อนข้างจะยอมรับ - และจัดตัวเอง - ว่าตัวเองเป็นคนไม่ค่อยจะปกติเหมือนชาวบ้านสักเท่าไหร่ เลยได้แต่สงสัยว่าความบันเทิงของคนทั่วไปสมัยนี้มันมีได้แค่นี้เองเหรอ...
หรือถ้าไม่ใช่เอาสมาชิกในวงสนทนามาเป็นเหยื่อเพื่อความบันเทิงของคนส่วนใหญ่ ก็จะเป็นมุกตลกจากตำราเรียนที่ไม่ชวนขำสักนิด จะบอกว่าไม่มีอะไรอื่นให้คุยก็ว่าได้ล่ะมั้ง เรียน เรียน เรียน แม้แต่จะขำยังต้องมีตำราเรียนเข้ามาเอี่ยว คอฟฟี่เองก็รู้ว่ามันเป็นมุก แต่ก็ขำไม่ค่อยออกหรอก เพราะไม่เห็นว่ามันจะบันเทิงเริงรมย์ตรงไหน มันเหมือนกับว่า เป็นความพยายามที่จะสร้างความบันเทิงเฉพาะกลุ่ม ให้ดูเหมือนกับว่าเรานั้นมีความรู้เหนือกว่า สามารถหัวเราะได้ในเรื่องที่ชาวบ้านไม่เข้าใจ
...
ที่จริงแล้วเรื่องที่คอฟฟี่คุยกับกลุ่มเพื่อนเซย์คุงก็จัดว่าเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มเหมือนกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องที่...อืม...อาจจะหมิ่นเหม่ต่อค่านิยมทางสังคมอยู่บ้าง บางเรื่องก็ไม่สามารถป่าวประกาศให้พ่อแม่พี่น้องทราบได้ และเพื่อนปกติรอบตัวก็ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ หรือถึงขั้นรังเกียจเดียดฉันท์ในสิ่งที่เราชอบ อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง เวลาเจอคนที่มีความสนใจประเภทเดียวกันเราเลยใส่เต็มที่เลย เหมือนกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่คอฟฟี่เคยเจอกันครั้งหนึ่ง แล้วไม่เคยเจออีกเลย หรืออีกคู่หนึ่งที่เจอกันบนรถของมหาวิทยาลัย เป็นการพบกันแล้วจากไป แต่ก็ทิ้งบทสนทนาอันตื่นเต้น ออกรส และความรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวไว้ในความทรงจำ
ที่ทำให้คอฟฟี่อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้คือ คอฟฟี่หัวเราะอย่างมีความสุขและสนิทใจกับเพื่อนใหม่ที่เจอกันแค่สิบนาที มากกว่ากับเพื่อนที่เจอหน้ากันทุกวันมาเป็นปีๆ แถมบางคนก็มีสถานะแค่ "เพื่อนร่วมคณะ" "เพื่อนร่วมภาค" หรือ "เพื่อนร่วมห้อง" ที่แม้แต่จะทักทายยังไม่อยากจะทำ
...
คอฟฟี่เคยเปรยไว้ว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เพื่อนที่เป็น "โอตาคุ" พอจะคุยกันได้นี่มือข้างเดียวก็นับหมด ขอย้ำว่าพอจะคุยกันได้เท่านั้น เพราะเราอยู่คนละสาย (ถ้าไม่เข้าใจว่าคอฟฟี่หมายถึงอะไร ก็เหมือนคนชอบฟุตบอลกับบาสเกตบอลนั่นแหละ กีฬาเหมือนกันแต่คนละสาย) คนที่อ่านนิยายยิ่งหาได้น้อยเข้าไปใหญ่ ที่จริงต้องบอกว่าไม่มีเลย ที่น่าอึดอัดมากคือส่วนใหญ่ค่อนข้างดูถูกดูแคลนในความชอบของคอฟฟี่ ก็ต้องทนเอา เพราะเราเป็นเสียงข้างน้อย
อย่างที่เคจเคยบอกคอฟฟี่นั่นแหละ "น่าสงสารเพื่อนคอฟฟี่จริงๆ"
...
ทุกวันที่อยู่กับเพื่อนในมหาวิทยาลัย ก็มีพูดคุยหยอกล้อและเสียงหัวเราะอย่างที่ควรจะเป็นในหมู่เพื่อนฝูง แต่คอฟฟี่ก็รู้ดีว่า ยังมีเพื่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ไม่เคยพบหน้า หรือแค่รู้จักกันในห้านาที ที่คอฟฟี่จะหัวเราะด้วยได้สนิทใจกว่านี้
เสียงหัวเราะในทุกวันนี้ เจือไปด้วย...ความเหงา
ถ้ารู้จักเซย์คุงก็น่าจะรู้อยู่ว่าเพื่อนๆของเซย์คุงเป็นยังไง...ก็เป็นแบบคอฟฟี่นั่นแหละ! เราสนุกสนานเฮฮากันมากทีเดียว ที่ขำมากคือ ขณะที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยต้นฉบับโดจินที่ยังวาดค้างคา โต๊ะนอกร้าน (ติดกันเต็มที่แต่มีกระจกกั้น) ซึ่งประกอบไปด้วยคุณแม่วัยสามสิบต้นๆกับเด็กน้อยชายหญิงวัยไม่เกินสองหลัก หันมามองเราด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ เราจึงหยิบยกโดจินชิเหล่านั้นขึ้นมา ทำเป็นว่ากำลังเป็นหัวข้อถกกันในที่ประชุม แต่ที่จริงคือมีเจตนาชั่วร้ายอวดให้ผู้ชมข้างนอกงงเล่น...มันไม่ใช่อะไรที่ควรอวดนักหรอก!
เคยนึกว่าถ้าไปนั่งอยู่ในวงนักวาดโดจิน คนไร้ฝีมืออย่างคอฟฟี่อาจจะนั่งใบ้ เอาเข้าจริงก็พอจะช่วยเสนอไอเดียอะไรกับเขาได้เหมือนกันนะ (ไม่ใช่ไอเดียในทางจำเริญนักหรอก บอกได้เลย) นั่งกันอยู่เกือบสี่ชั่วโมงมีแต่เสียงหัวเราะ คอฟฟี่กลับบ้านด้วยความสุขเต็มที่เลย
...
วันหนึ่งคอฟฟี่นั่งรวมกลุ่มอยู่กับเพื่อนที่คณะที่รู้จักกันมานานแล้ว แต่บางส่วน...เหมือนจะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทางยังไงก็ไม่รู้ แต่ละเรื่องที่เขาหัวเราะกัน...ไม่รู้สินะ ก็มีแต่ล้อกันไปถากถางกันมานินทาชาวบ้านแล้วก็ขำกันเอง... และเพราะคอฟฟี่ค่อนข้างจะยอมรับ - และจัดตัวเอง - ว่าตัวเองเป็นคนไม่ค่อยจะปกติเหมือนชาวบ้านสักเท่าไหร่ เลยได้แต่สงสัยว่าความบันเทิงของคนทั่วไปสมัยนี้มันมีได้แค่นี้เองเหรอ...
หรือถ้าไม่ใช่เอาสมาชิกในวงสนทนามาเป็นเหยื่อเพื่อความบันเทิงของคนส่วนใหญ่ ก็จะเป็นมุกตลกจากตำราเรียนที่ไม่ชวนขำสักนิด จะบอกว่าไม่มีอะไรอื่นให้คุยก็ว่าได้ล่ะมั้ง เรียน เรียน เรียน แม้แต่จะขำยังต้องมีตำราเรียนเข้ามาเอี่ยว คอฟฟี่เองก็รู้ว่ามันเป็นมุก แต่ก็ขำไม่ค่อยออกหรอก เพราะไม่เห็นว่ามันจะบันเทิงเริงรมย์ตรงไหน มันเหมือนกับว่า เป็นความพยายามที่จะสร้างความบันเทิงเฉพาะกลุ่ม ให้ดูเหมือนกับว่าเรานั้นมีความรู้เหนือกว่า สามารถหัวเราะได้ในเรื่องที่ชาวบ้านไม่เข้าใจ
...
ที่จริงแล้วเรื่องที่คอฟฟี่คุยกับกลุ่มเพื่อนเซย์คุงก็จัดว่าเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มเหมือนกัน บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องที่...อืม...อาจจะหมิ่นเหม่ต่อค่านิยมทางสังคมอยู่บ้าง บางเรื่องก็ไม่สามารถป่าวประกาศให้พ่อแม่พี่น้องทราบได้ และเพื่อนปกติรอบตัวก็ไม่เข้าใจ ไม่สนใจ หรือถึงขั้นรังเกียจเดียดฉันท์ในสิ่งที่เราชอบ อาจจะเป็นเพราะอย่างนี้ล่ะมั้ง เวลาเจอคนที่มีความสนใจประเภทเดียวกันเราเลยใส่เต็มที่เลย เหมือนกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่คอฟฟี่เคยเจอกันครั้งหนึ่ง แล้วไม่เคยเจออีกเลย หรืออีกคู่หนึ่งที่เจอกันบนรถของมหาวิทยาลัย เป็นการพบกันแล้วจากไป แต่ก็ทิ้งบทสนทนาอันตื่นเต้น ออกรส และความรู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวไว้ในความทรงจำ
ที่ทำให้คอฟฟี่อดรู้สึกอึดอัดไม่ได้คือ คอฟฟี่หัวเราะอย่างมีความสุขและสนิทใจกับเพื่อนใหม่ที่เจอกันแค่สิบนาที มากกว่ากับเพื่อนที่เจอหน้ากันทุกวันมาเป็นปีๆ แถมบางคนก็มีสถานะแค่ "เพื่อนร่วมคณะ" "เพื่อนร่วมภาค" หรือ "เพื่อนร่วมห้อง" ที่แม้แต่จะทักทายยังไม่อยากจะทำ
...
คอฟฟี่เคยเปรยไว้ว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เพื่อนที่เป็น "โอตาคุ" พอจะคุยกันได้นี่มือข้างเดียวก็นับหมด ขอย้ำว่าพอจะคุยกันได้เท่านั้น เพราะเราอยู่คนละสาย (ถ้าไม่เข้าใจว่าคอฟฟี่หมายถึงอะไร ก็เหมือนคนชอบฟุตบอลกับบาสเกตบอลนั่นแหละ กีฬาเหมือนกันแต่คนละสาย) คนที่อ่านนิยายยิ่งหาได้น้อยเข้าไปใหญ่ ที่จริงต้องบอกว่าไม่มีเลย ที่น่าอึดอัดมากคือส่วนใหญ่ค่อนข้างดูถูกดูแคลนในความชอบของคอฟฟี่ ก็ต้องทนเอา เพราะเราเป็นเสียงข้างน้อย
อย่างที่เคจเคยบอกคอฟฟี่นั่นแหละ "น่าสงสารเพื่อนคอฟฟี่จริงๆ"
...
ทุกวันที่อยู่กับเพื่อนในมหาวิทยาลัย ก็มีพูดคุยหยอกล้อและเสียงหัวเราะอย่างที่ควรจะเป็นในหมู่เพื่อนฝูง แต่คอฟฟี่ก็รู้ดีว่า ยังมีเพื่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง ที่ไม่เคยพบหน้า หรือแค่รู้จักกันในห้านาที ที่คอฟฟี่จะหัวเราะด้วยได้สนิทใจกว่านี้
เสียงหัวเราะในทุกวันนี้ เจือไปด้วย...ความเหงา
ความคิดเห็น
ถ้าเป็นสำนวนกำลังภายในเราจะว่ายังไงนะ จำไม่ได้ล่ะ แต่คงประมาณว่า เพื่อนคุยกันถูกคอยากจะพบเจอ เลยต้องร่ำสุราคุยกันนานๆ แล้วถ้ามีโอกาสก็ต้องสาบานเป็นพี่น้องกันล่ะมั้ง
เห็นด้วยว่าการจะหาคนที่คุยกับเราได้ถูกคอนี่ยากจริงๆ เพื่อนที่เกิดขึ้นเพราะความชอบและความสนใจเหมือนกันจะรู้สึกผูกพันกันมากกว่าเพื่อนที่ต้องเป็นเพื่อนกันเพราะกรอบทางสังคมละมั้ง
เคจก็เป็นเหมือนกันนะคอฟฟี่ ถึงจะคนที่บอกว่าชอบหนังสือหรือนิยายเหมือนกัน แม้จะอ่านเรื่องเดียวกันก็ตามเถอะ ก็ยากนักที่จะเจอคนที่อ่านเพื่อจะมาคิดวิเคราะห์ วิพากย์วิจารณ์ หรือหาทางพัฒนากันต่อไปน่ะนะ
แต่เพราะว่าเพื่อนแบบนี้เป็นสิ่งหาได้ยากนั่นแหละ เราถึงได้ประเมินค่าเพื่อนประเภทนี้ไว้สูงอย่างไรเล่า