คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1918
ฤดูใบไม้ผลิ
ค.ศ. 1918
พลเอกเยอรมัน
อิริช ลูเดนดอร์ฟ ได้ร่างแผนซึ่งใช้ชื่อรหัสว่า ปฏิบัติการมิคาเอล ขึ้นสำหรับการรุกบนแนวรบด้านตะวันตกใน
ค.ศ. 1918
การรุกฤดูใบไม้ผลิมีจุดประสงค์เพื่อแยกกองทัพอังกฤษและฝรั่งเศสออกจากกันด้วยการหลอกหลวงและการรุกหลายครั้ง
ผู้นำเยอรมนีหวังว่าการโจมตีอย่างเด็ดขาดก่อนที่กองกำลังสหรัฐขนาดใหญ่จะมาถึง
ปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1918
โดยโจมตีกองทัพอังกฤษที่อเมนส์ และสามารถรุกเข้าไปได้ถึง 60 กิโลเมตรอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตลอดสงคราม[99]
ส่วนแนวสนามเพลาะของอังกฤษและฝรั่งเศสถูกเจาะผ่านด้วยยุทธวิธีแทรกซึมที่เป็นของใหม่
ซึ่งถูกตั้งชื่อว่า ยุทธวิธีฮูเทียร์ (Hutier tactics) ตามชื่อพลเอกชาวเยอรมันคนหนึ่ง ก่อนหน้านั้น
การโจมตีเป็นรูปแบบการระดมยิงปืนใหญ่อย่างยาวนานและการบุกโจมตีโดยใช้กำลัพลมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ในการรุกฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1918 ลูเดนดอร์ฟได้ใช้ปืนใหญ่เฉพาะเป็นเวลาสั้น
ๆ และแทรกซึมกลุ่มทหารราบขนาดเล็กไปยังจุดที่อ่อนแอ
พวกเขาโจมตีพื้นที่สั่งการและพื้นที่ขนส่ง และผ่านจุดที่มีการต้านทานอย่างดุเดือด
จากนั้น ทหารราบที่มีอาวุธหนักกว่าจะเข้าบดขยี้ที่ตั้งที่ถูกโดดเดี่ยวนี้ภายหลัง
ความสำเร็จของเยอรมนีนี้อาศัยความประหลาดใจของข้าศึกอยู่มาก[100]
แนวหน้าเคลื่อนเข้าไปในระยะ
120
กิโลเมตรจากกรุงปารีส ปืนใหญ่รถไฟหนักของครุพพ์ยิงกระสุน
183
นัดเข้าใส่กรุงปารีส ทำให้ชาวปารีสจำนวนมากหลบหนี
การรุกในช่วงแรกประสบความสำเร็จอย่างงดงามกระทั่งจักรพรรดิวิลเฮล์มที่ 2 ทรงประกาศให้วันที่ 24 มีนาคมเป็นวันหยุดราชการ
ชาวเยอรมันจำนวนมากคิดว่าชัยชนะของสงครามอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว อย่างไรก็ตาม
หลังการต่อสู้อย่างหนัก ปรากฏว่าการรุกของเยอรมนีหยุดชะงักไป
การขาดแคลนรถถังหรือปืนใหญ่เคลื่อนที่ทำให้ฝ่ายเยอรมันไม่สามารถรวมกำลังกันรุกต่อไปได้
สถานการณ์ดังกล่าวยังเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเส้นทางส่งกำลังบำรุงตอนนี้ถูกยืดออกไปอันเป็นผลจากการรุก[101] การหยุดกะทันหันนี้ยังเป็นผลมาจากกำลังจักรวรรดิออสเตรเลีย (AIF) จำนวนสี่กองพลที่ถูกกวดไล่
และสามารถกระทำในสิ่งที่ไม่มีกองทัพใดสามารถทำได้
และหยุดยั้งการรุกของเยอรมนีตามเส้นทางได้ ระหว่างช่วงเวลานี้
กองพลออสเตรเลียที่หนึ่งถูกส่งขึ้นเหนืออย่างเร่งรีบอีกครั้งเพื่อหยุดยั้งการเจาะผ่านครั้งที่สองของเยอรมนี
พลเอกฟอคกดดันให้ใช้กำลังอเมริกาที่มาถึงแล้วเป็นการเข้าสวมตำแหน่งแทนโดยลำพัง
แต่เพอร์ชิงมุ่งให้จัดวางหน่วยของสหรัฐอเมริกาเป็นกองกำลังอิสระ
หน่วยเหล่านี้ถูกมอบหมายให้อยู่ในการบังคับบัญชาของฝรั่งเศสและจักรวรรดิอังกฤษที่ทหารร่อยหรอลง
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม
สภาสงครามสูงสุดของกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้นที่การประชุมดูล็อง (Doullens)
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917[102] พลเอกฟอคถูกแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรสูงสุด เฮก เปแตง และเพอร์ชิงยังคงมีการควบคุมทางยุทธวิธีในส่วนของตนอยู่
ฟอครับบทบาทประสานงาน มากกว่าบทบาทชี้นำ และกองบัญชาการอังกฤษ
ฝรั่งเศสและสหรัฐดำเนินการส่วนใหญ่เป็นอิสระต่อกัน[102]
หลังปฏิบัติการมิคาเอล
เยอรมนีเริ่มปฏิบัติการเกออร์เกทเทอ (Operation
Georgette) ต่อเมืองท่าช่องแคบอังกฤษทางเหนือ
ฝ่ายสัมพันธมิตรหยุดยั้งการผลักดันโดยเยอรมนีได้รับดินแดนเพิ่มน้อยมาก
กองทัพเยอรมันทางใต้เริ่มปฏิบัติการบลอแชร์และยอร์ค ซึ่งพุ่งเป้าไปยังกรุงปารีส
ปฏิบัติการมาร์นเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม
โดยพยายามจะล้อมแรมส์และเริ่มต้นยุทธการแม่น้ำมาร์นครั้งที่สอง
การตีตอบโต้ที่เป็นผลนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการรุกร้อยวัน
นับเป็นการรุกที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกของฝ่ายสัมพันธมิตรในสงคราม
จนถึงวันที่ 20
กรกฎาคม
กองทัพเยอรมันถูกผลักดันข้ามแม่น้ำมาร์นที่แนวเริ่มต้นไกแซร์ชลัชท์[103] โดยที่ไม่บรรลุจุดประสงค์ใด ๆ เลย
หลังขั้นสุดท้ายของสงครามในทางตะวันตกแล้ว
กองทัพเยอรมันจะไม่อาจเป็นฝ่ายริเริ่มได้อีก ความสูญเสียของเยอรมนีระหว่างเดือนมีนาคมและเมษายน
ค.ศ. 1918 อยู่ที่ 270,000 คน
รวมทั้งสตอร์มทรุปเปอร์ที่ได้รับการฝึกอย่างดี ขณะเดียวกัน
ในประเทศกำลังแตกออกเป็นเสี่ยง การรณรงค์ต่อต้านสงครามเกิดบ่อยครั้งขึ้น
และขวัญกำลังใจในกองทัพถดถอย ผลผลิตทางอุตสาหกรรมทรุดลงอย่างหนัก โดยคิดเป็น 53%
ของผลผลิตทางอุตสาหกรรมใน ค.ศ. 1913
การตีตอบโต้ของฝ่ายสัมพันธมิตร
ซึ่งรู้จักกันว่า การรุกร้อยวัน เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1918 ในยุทธการอาเมียง กองทัพน้อยที่ 3 กองทัพอังกฤษที่ 4 อยู่ทางปีกซ้าย กองทัพฝรั่งเศสที่ 1 อยู่ทางปีกขวา
และกองทัพน้อยออสเตรเลียและแคนาดาเป็นหัวหอกโจมตีตรงกลางผ่าน Harbonnières[104][105] ยุทธการครั้งนั้นมีรถถังมาร์ก 4 และมาร์ก 5 กว่า 414 คัน และทหารกว่า 120,000 นายเข้าร่วม ฝ่ายสัมพันธมิตรรุกเข้าไป 12 กิโลเมตรในดินแดนที่เยอรมนีถือครองในเวลาเพียงเจ็ดชั่วโมง
อีริช ลูเดนดอร์ฟ เรียกวันนี้ว่า "วันอันมืดมนของกองทัพเยอรมัน"[104][106]
หัวหอกออสเตรเลีย-แคนาดาที่อาเมียง
ยุทธการซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความล่มจมของเยอรมนี[107] ช่วยดึงให้กองทัพอังกฤษคืบหน้าไปทางเหนือและกองทัพฝรั่งเศสไปทางใต้
ขณะที่การต้านทานของเยอรมนีบนแนวรบกองทัพอังกฤษที่ 4 ที่อาเมียงเป็นไปอย่างแข็งแกร่ง
หลังฝ่ายสัมพันธมิตรรุกเข้าไป 14 กิโลเมตรจากอาเมียง
กองทัพฝรั่งเศสที่ 3 ขยายความยาวของแนวรบอาเมียงเมื่อวันที่ 10
สิงหาคม เมื่อกองทัพถูกส่งไปทางปีกขวาของกองทัพฝรั่งเศสทรา 1
และรุกเข้าไป 6 กิโลเมตร ซึ่งกำลังปลดปล่อย Lassigny
กระทั่งการสู้รบดำเนินไปจนถึงวันที่ 16 สิงหาคม
ทางใต้ของกองทัพฝรั่งเศสที่ 3 พลเอก Charles Mangin เคลื่อนกองทัพฝรั่งเศสที่ 10 ไปข้างหน้าที่ Soissons
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม
เพื่อจับกุมเชลยศึกแปดพันคน ปืนใหญ่สองร้อยกระบอก และที่ราบสูง Aisne ที่มองเห็นและคุกคามที่ตั้งของเยอรมนีทางเหนือของ Vesle[108]อีริช
ลูเดนดอร์ฟบรรยายว่านี่เป็น "วันอันมืดมน" อีกวันหนึ่ง
ขณะเดียวกัน
พลเอก Byng
แห่งกองทัพอังกฤษที่ 3 รายงานว่าข้าศึกบนแนวรบของเขากำลังมีจำนวนลดลงจากการจำกัดการล่าถอย
ถูกออกคำสั่งให้โจมตีด้วยรถถัง 200 คัน ไปยัง Bapaume
เปิดฉากยุทธการอัลแบร์ (Albert) ด้วยคำสั่งเฉพาะให้
"เจาะแนวรบข้าศึก เพื่อที่จะตีโอบปีกข้าศึกที่อยู่บนแนวรบ"
(ตรงข้ามกองทัพอังกฤษที่ 4 ที่อาเมียง)[107] การโจมตีเป็นไปอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะชิงความได้เปรียบจากการรุกที่ประสบความสำเร็จตรงปีก
แล้วจากนั้นจึงยุติเมื่อการโจมตีสูญเสียแรงผลักดันเริ่มต้นไป[108]
แนวรบยาว 24
กิโลเมตรของกองทัพอังกฤษ ทางเหนือของอัลแบร์ มีความคืบหน้า
หลังหยุดไปวันหนึ่งเมื่อเผชิญกับแนวต้านทานหลักซึ่งข้าศึกได้ถอนกำลังไปแล้ว[109] กองทัพอังกฤษที่ 4 ของรอว์ลินสัน
สามารถสู้รบต่อไปทางปีกซ้ายระหว่างอัลแบร์และซอมม์
ซึ่งยืดแนวระหว่างตำแหน่งอยู่หน้าของกองทัพที่ 3 และแนวรบอาเมียง
ซึ่งส่งผลให้ยึดอัลแบร์กลับคืนได้ในขณะเดียวกัน[108] วันที่ 26 สิงหาคม กองทัพอังกฤษที่ 1 ซึ่งอยู่ทางปีกซ้ายของกองทัพที่ 3 ถูกดึงเข้าสู่การสู้รบซึ่งยืดกองทัพไปทางเหนือจนพ้นอารัส เหล่าทหารแคนาดาซึ่งกลับอยู่ที่เดิมในทัพหน้าของกองทัพที่ 1 สู้รบจากอารัสไปทางตะวันออก 8 กิโลเมตร
คร่อมพื้นที่อารัส-กองเบร์ ก่อนจะถึงการป้องกันชั้นนอกของแนวฮินเดนบูร์ก
ก่อนจะเจาะแนวดังกล่าวเมื่อวันที่ 28 และ 29 สิงหาคม วันเดียวกัน เยอรมนีเสีย Bapaume ให้แก่กองพลนิวซีแลนด์แห่งกองทัพที่
3 และกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งยังนำการรุกของกองทัพที่ 4
สามารถผลักดันแนวรบไปข้างหน้าที่อาเมียงและยึดเปรอนน์ (Peronne)
และมงแซ็ง-เกียงแต็ง (Mont Saint-Quentin) เมื่อวันที่
31 สิงหาคม ห่างไปทางใต้ กองทัพฝรั่งเศสที่ 1 และที่ 3 รุกคืบอย่างช้า ๆ ขณะที่กองทัพที่ 10
ซึ่งข้ามแม่น้ำ Ailette มาแล้ว และอยู่ทางตะวันออกของ
Chemin des Dames ปัจจุบันอยู่ใกล้กับตำแหน่งอัลเบริชของแนวฮินเดนแบร์ก[110] ระหว่างช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม แรงกดดันตามแนวรบยาว 113
กิโลเมตรต่อข้าศึกนั้นเป็นไปอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง
แม้กระทั่งทางเหนือในฟลานเดอร์ กองทัพอังกฤษที่ 2 และที่ 5 มีความคืบหน้าจับกุมเชลยศึกและยึดที่มั่นได้ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ประสบความสำเร็จระหว่างเดือนสิงหาคมและกันยายน[110]
วันที่ 2
กันยายน เหล่าแคนาดาโอบล้อมแนวฮินเดนแบร์กด้านข้าง
ด้วยการเจาะตำแหน่งโวทัน (Wotan) ทำให้กองทัพที่ 3 สามารถรุกคืบต่อไปได้ ซึ่งส่งผลสะท้อนกลับตลอดแนวรบด้านตะวันตก
วันเดียวกันโอแบร์สเตอ เฮเรสไลทุง (OHL) ไม่มีทางเลือกนอกจากสั่งให้หกกองทัพล่าถอยเข้าไปสู่แนวฮินเดนแบร์กทางใต้
หลังกานัลดูนอร์ดบนแนวรบกองทัพที่ 1 ของแคนาดา
และถอนกลับไปยังแนวทางตะวันออกของลิส (Lys) ในทางเหนือ
ซึ่งถูกยึดครองโดยปราศจากการต่อสู้ ส่วนที่ยื่นออกมาถูกยึดในเดือนเมษายนที่ผ่านมา[111] ตามข้อมูลของลูเดนดอร์ฟฟ์ "เราจำต้องยอมรับความจำเป็น ...
ที่จะล่าถอยทั้งแนวรบจากสการ์ป (Scarpe) ถึงเวสเล (Vesle)"[112]
เวลาเกือบสี่สัปดาห์หลังการต่อสู้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่
8
สิงหาคม มีเชลยศึกเยอรมันถูกจับกุมได้เกิน 100,000 นาย อังกฤษจับได้ 75,000 นาย และที่เหลือโดยฝรั่งเศส
จนถึง "วันอันมืดมนของกองทัพเยอรมัน"
กองบัญชาการทหารสูงสุดเยอรมนีตระหนักว่าพ่ายสงครามแล้วและพยายามบรรลุจุดจบอันน่าพอใจ
วันหลังการสู้รบ ลูเดนดอร์ฟฟ์บอกพันเอกแมร์ทซ์ว่า
"เราไม่อาจชนะสงครามได้อีกต่อไป แต่เราจะต้องไม่แพ้เช่นกัน" วันที่ 11
สิงหาคม เขาเสนอลาออกจากตำแหน่งต่อไกเซอร์ ผู้ทรงปฏิเสธ
โดยทรงตอบว่า "ฉันเห็นว่าเราต้องทำให้เกิดสมดุล
เราได้เกือบถึงขีดจำกัดอำนาจการต้านทานของเรา สงครามต้องยุติ" วันที่ 13
สิงหาคม ที่สปา (Spa) ฮินเดนแบร์ก
ลูเดนดอร์ฟฟ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศฮินทซ์ตกลงว่าสงครามไม่อาจยุติลงได้ในทางทหาร
และในวันรุ่งขึ้นสภาราชสำนักเยอรมันตัดสินใจว่า
ชัยชนะในสนามรบขณะนี้ยากที่จะเกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่ ออสเตรียและฮังการีเตือนว่า
ทั้งสองสามารถทำสงครามได้ถึงเดือนธันวาคมเท่านั้น
และลูเดนดอร์ฟฟ์เสนอการเจรจาสันติภาพทันที แด่ไกเซอร์ผู้ทรงสนองโดยทรงแนะนำให้ฮินทซ์มองหาการไกล่เกลี่ยจากสมเด็จพระราชินีแห่งเนเธอร์แลนด์
เจ้าชายรุพเพรชท์เตือนเจ้าชายมักซ์แห่งบาเดนว่า
"สถานการณ์ทางทหารของเราบั่นทอนลงอย่างรวดเร็วเสียใจฉันไม่เชื่อว่าเราสามารถยื้อได้ตลอดฤดูหนาวอีกต่อไป
และเป็นไปได้ว่าหายนะจะมาเร็วกว่านั้น" วันที่ 10 กันยายน
ฮินเดนแบร์กกระตุ้นท่าทีสันติภาพต่อจักรพรรดิชาลส์แห่งออสเตรีย
และเยอรมนีร้องต่อเนเธอร์แลนด์ขอการไกล่เกลี่ย วันที่ 14 กันยายน
ออสเตรียส่งบันทึกถึงคู่สงครามและประเทศเป็นเลางทั้งหมดเสนอการประชุมสันติภาพในประเทศที่เป็นกลาง
และวันที่ 15 กันยายน เยอรมนียื่นข้อเสนอสันติภาพต่อเบลเยียม
ข้อเสนอสันติภาพทั้งสองถูกปฏิเสธ และวันที่ 24 กันยายน OHL
แจ้งต่อผู้นำในเบอร์ลินว่าการเจรจาสงบศึกหลีกเลี่ยงไม่ได้[110]
เดือนกันยายนเป็นเดือนที่ฝ่ายเยอรมันยังคงสู้รบการปฏิบัติกองระวังหลังอย่างเข็มแข้งและเริ่มการตีโต้ตอบหลายครั้งต่อตำแหน่งที่เสียไป
แต่ประสบผลสำเร็จเพียงเล็กน้อย และเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมือง หมู่บ้าน
ที่สูงและสนามเพลาะในตำแหน่งและกองรักษาด่านที่มีการป้องกันของแนวฮินเดนแบร์กยังเสียแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง
โดยกองทัพอังกฤษเพียงชาติเดียวก็สามารถจับเชลยศึกได้ถึง 30,441
นายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
การรุกต่อไปทางตะวันออกขนาดเล็กจะเกิดขึ้นหลังชัยชนะของกองทัพที่ 3 ที่อีวินกูร์ (Ivincourt) ในวันที่ 12 กันยายน กองทัพที่ 4 ที่อีเฟอนี (Epheny) ในวันที่ 18 กันายน
และกองทัพฝรั่งเศสยึดได้แอซซีญีเลอก็อง (Essigny-le-Grand) อีกวันหนึ่งให้หลัง
วันที่ 24 กันยายน
การโจมตีครั้งสุดท้ายของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสบนแนวรบ 6.4 กิโลเมตรจะเข้ามาในระยะ
3.2 กิโลเมตรของแซ็งก็องแต็ง (St. Quentin)[110] ด้วยกองรักษาด่านและแนวป้องกันขั้นต้นของตำแหน่งซีกฟรีดและอัลเบริชถูกทำลายหมดไป
ฝ่ายเยอรมันขณะนี้อยู่หลังแนวฮินเดนแบร์กทั้งหมด
ด้วยตำแหน่งโวทันของแนวนั้นได้ถูกเจาะไปแล้วและตำแหน่งซีกฟรีดอยู่ในอันตรายจะถูกโอบจากทางเหนือ
เวลานี้ฝ่ายสัมพันธมิตรสบโอกาสโจมตีตลอดทั้งความยาวแนวรบ
การโจมตีตรงแนวฮินเดนแบร์กของฝ่ายสัมพันธมิตร
ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน
รวมทหารสหรัฐด้วย
ทหารอเมริกันที่ยังอ่อนประสบการณ์ประสบปัญหาเกี่ยวกับรถไฟเสบียงสำหรับหน่วยขนาดใหญ่บนภูมิประเทศทุรกันดาร[113] สัปดาห์หนึ่งให้หลังหน่วยฝรั่งเศสและอเมริกันเจาะผ่านในช็องปาญ (Champagne)
ที่ยุทธการเนินบลังก์มง (Blanc Mont) บีบให้ฝ่ายเยอรมันถอยไปจากที่สูงที่ควบคุมอยู่
และรุกคืบเข้าใกล้ชายแดนเบลเยียม[114] เมืองเบลเยียมแห่งสุดท้ายที่ได้รับการปลดปล่อยก่อนการสงบศึกคือ เกนต์ (Ghent)
ซึ่งฝ่ายเยอรมันยึดไว้เป็นจุดหลังกระทั่งฝ่ายสัมพันธมิตรนำปืนใหญ่ขึ้นมา[115][116] กองทัพเยอรมันได้ย่นระยะแนวรบของตนและใช้พรมแดนดัตช์เป็นสมอเพื่อสู้รบการปฏิบัติกองหลัง
เมื่อบัลแกเรียลงนามการสงบศึกแยกต่างหากเมื่อวันที่
29
กันยายน ฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับการควบคุมเซอร์เบียและกรีซ
ลูเดนดอร์ฟฟ์ ซึ่งอยู่ภายใต้ความเครียดใหญ่หลวงหลายเดือน มีอาการคล้ายกับป่วย
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเยอรมนีไม่อาจป้องกันได้อย่างสำเร็จอีกต่อไป[117][118]
ขณะเดียวกัน
ข่าวความพ่ายแพ้ทางทหารที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้าของเยอรมนีแพร่สะพัดไปทั่วกองทัพเยอรมัน
ภัยคุกคามการขัดขืนคำสั่งนั้นสุกงอม พลเรือเอกไรนาร์ด
เชร์และลูเดนดอร์ฟฟ์ตัดสินใจเริ่มความพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อฟื้นฟู
"ความกล้าหาญ" ของกองทัพเรือเยอรมัน โดยทราบว่ารัฐบาลของเจ้าชายมาซีมีลันแห่งบาเดนจะยับยั้งการปฏิบัติเช่นนี้
ลูเดนดอร์ฟฟ์ตัดสินใจไม่ถวายรายงาน อย่างไรก็ดี
ข่าวการโจมตีที่กำลังเกิดขึ้นในไม่ช้ามาถึงหูกะลาสีที่คีล
กะลาสีหลายคนปฏิเสธจะเข้าร่วมการรุกทางทะเลซึ่งพวกเขาเชื่อว่าเป็นการฆ่าตัวตาย
ก่อกบฏและถูกจับกุม ลูเดนดอร์ฟฟ์รับผิดชอบความผิดพลาดนี้ ไกเซอร์ปลดเขาในวันที่ 26
ตุลาคม การล่มสลายของบอลข่านหมายความ่วา
เยอรมนีกำลังเสียเสบียงอาหารและน้ำมันหลักของตน ปริมาณสำรองได้ใช้หมดไปแล้ว
ขณะเดียวกับที่กองทัพสหรัฐมาถึงยุโรปด้วยอัตรา 10,000 นายต่อวัน[119]
ความคิดเห็น