NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Diabolik lovers] White Rose กุหลาบขาวของเหล่าแวมไพร์ (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #10 : White Rose 07 : เส้นด้ายแห่งโชคชะตา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.89K
      451
      15 พ.ย. 64

    White Rose 07

    เส้นด้ายแห่งโชคชะตา


    ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ red thread anime gif


    "ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง ทุกคนนั้นล้วนเกิดมาพร้อมกับเส้นด้ายแห่งโชคชะตาต่อให้พยายามหลบเลี่ยงมากเพียงใดสุดท้ายเส้นด้ายเหล่านั้นจะชักนำพาเรากลับสู่กงล้อแห่งชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงนี้เอง"



              หมับ!



              "เบียคุยะ ทำอะไรอยู่เหรอ?!"



              ผมสะดุ้งตกใจยามเมื่อมีใครบางคนพุ่งเข้ามากอดเอวผมจากด้านหลังจนต้องเหลียวไปมองเห็นเป็นเด็กชายผมสีเหลืองอ่อนที่มีดวงตาสองสีอันเป็นเอกลักษณ์กำลังยิ้มแฉ่งอย่างเริงร่า เขามาตอนไหนผมไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเดียวจนผมอวดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะผมอ่อนแอเกินไปหรือว่าพลังของคาร์ลไฮนซ์ที่มอบให้พี่น้องทั้งสี่คนมากเกินไปกันแน่



              ผมแกะมือของเขาออกก่อนหยิบตระกร้าผักใส่ในอ่างล้างจาน "กำลังทำเตรียมทำอาหารทานเองอยู่น่ะ โคว ผักจากสวนของเอ็ด...ไม่สิ ยูมะสดมากเลยนะเวลาทำอาหารต้องอร่อยมากแน่เลย"



               "เห...แล้วยูมะอนุญาตแล้วเหรอ? หมอนั่นน่ะหวงสวนผักตัวเองจะตาย ว่าแต่ทำไมถึงเรียกยูมะว่า 'เอ็ด' บ่อยจังล่ะ? เคยรู้จักกันหรือเปล่า?"



              อ้อ...เกือบลืมไปว่าไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นสั่งห้ามไม่ให้ผมบอกความจริงเรื่องเอ็ดการ์นี่นะ หลังจากเกิดเหตุการณ์เกี่ยวกับสุบารุทำให้ผู้ชายคนนั้นลงคำสาปเพิ่มหากผมพูดอะไรในสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้พูด คำสาปจากพันธะโลหิตจะทิ่มแทงหัวใจเล่นงานผมทันที



              เฮ้อ...ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่เลย...



              "เรื่องนั้นน่ะบอกไม่ได้หรอกขอโทษนะ ว่าแต่เย็นนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม? พอดีผมขอใช้ห้องครัวจากพวกปีศาจรับใช้ทำอาหารกินเองน่ะ"



              "วองโกเล่บริอังโค! ของโปรดผมเลยล่ะ ว่าแต่เบียคุยะทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?"



              "อย่ามาดูถูกฝีมือการทำอาหารของผมเชียวนะมากกว่านี้เคยทำมาแล้วแล้วอีกสามคนที่เหลือชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหม?"



              "รุกิชอบซุป ยูมะชอบน้ำตาลก้อน ส่วนอาซึสะน่าจะเป็นพริกเจ็ดรสน่ะตรงข้ามกับรุกิเลยรายนั้นไม่ชอบอาหารรสจัด ส่วนผมชอบวองโกเล่บริอังโคมากที่สุดเลย!" 



              อืม...ความชอบของพี่น้องสี่คนนี้หลากหลายดีเหมือนกันแฮะแต่ก็นะผมทำอาหารให้หลานผมตั้งหกคนมาแล้วแค่สี่คนมันไม่ยากอะไรอีกทั้งดูไม่ค่อยเรื่องมากเกี่ยวกับการกินเท่าไหร่นักถ้าเทียบกับหลานชายของผมโดยเฉพาะอายาโตะกับคานาโตะสองคนนี้จะค่อนเอาแต่ใจเรื่องกินนิดหน่อย 



              พอเห็นเด็กชายตรงหน้าผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้มันอดคิดถึงหลานชายของผมไม่ได้...



              ป่านนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ผมได้แต่หวังว่าพวกเขาทั้งหกคนนั้นเข้มแข็งพอที่จะก้าวผ่านเรื่องราวอันโหดร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงนี้ไปได้


     

              อาจเป็นเพราะผมคิดถึงหลานชายที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปีแล้วทำให้ผมเหม่อลอยจนไม่ทันเห็นใบหน้าของเด็กชายข้างกายที่แปรเปลี่ยนไปครู่หนึ่งก่อนกลับมาแย้มยิ้มเหมือนดังเดิม จากนั้นเอ่ยคำพูดหนึ่งออกมาทำให้ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจในความหมายทันที



            "ว่าแต่เบียคุยะต้องการอะไรเป็นของแลกเปลี่ยนเหรอ?"



              "ของแลกเปลี่ยน?" ผมถามด้วยความงุนงงเล็กน้อย ก็แค่ทำอาหารให้กินเฉยๆ เท่านั้นไม่ได้คิดอะไรมากสักหน่อยทำไมถามเหมือนผมทำไปเพราะหวังผลอย่างใดอย่างนั้น



              "เบียคุยะทำวองโกเล่บริอังโคให้ผมแล้วยังทำอาหารจานโปรดให้กับรุกิ ยูมะ แล้วก็อาซึสะอีกที่ทำนี่เพราะต้องการของแลกเปลี่ยนจากพวกเราใช่ไหม?"



               หา? โควคิดว่าที่ผมทำไปเพราะต้องการของตอบแทนอย่างนั้นเนี่ยนะ?



               "ไปกันใหญ่แล้ว ที่ผมทำอาหารให้ก็เพราะผมอยากทำก็เท่านั้นเองแล้วเธอคิดว่าผมต้องการอะไรจากพวกเธอกันล่ะ? อะไรที่ทำให้เธอคิดแบบนั้น?"



               "ไม่มีใครทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอก อย่างคนทำงานหนักก็เพื่อแลกกับเงิน ทำความดีหวังจะได้ขึ้นสวรรค์ ซื้อดอกไม้ของขวัญเอาใจคนเพื่อให้ได้ความรัก แล้วอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า..."



               "เบียคุยะไม่ต้องการอะไรจากพวกเรากันล่ะ...?"



               ใบหน้าของโควที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้มสดใสบิดเบี้ยวกลายเป็นใบหน้าอันแสนร้ายกาจแค่นยิ้มออกมาดวงตาสองสีกลมโตแปรเปลี่ยนไปเต็มไปด้วยความเย้ยหยันทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ มันเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นใบหน้าอื่นที่ไม่ใช่ใบหน้าอันแสนยิ้มแย้มสดใสอันเป็นเอกลักษณของโควที่ผมเห็นเป็นประจำ



               หรือบางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเด็กชายตรงหน้า...



               "โคว คือว่าผม..." 



               "หึ...เบียคุยะไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าจริงๆ แล้วที่ทำดีกับพวกเราด้วยก็เพราะต้องการให้พวกเราเป็นตัวแทนของหลานชายเบียคุยะใช่ไหม? ทุกครั้งที่เห็นพวกเรามันทำให้เบียคุยะคิดถึงพวกเขาอยู่ตลอดเวลาเพราะอายุพวกเรารุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขา"



               "เรื่องคิดถึงผมยอมรับ แต่ว่าเรื่อง..." ไม่ทันพูดจบอีกฝ่ายก็ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจทันที



               "ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ดวงตาข้างนี้บอกความจริงผมทั้งหมด ทุกห้วงคำนึง ทุกลมหายใจเข้าออกของคุณมีแต่พวกเขาอย่างเดียว อ้อ! หรือว่าเบียคุยะต้องการหลอกใช้พวกเราให้ปล่อยตัวไปหาพวกเขากันล่ะ? ต้องการให้พวกเราทรยศท่านผู้นั้นด้วยความดีโง่ๆ ของคุณน่ะเหรอ? ขอบอกไว้ก่อนว่าการแสดงของคุณน่ะมันน่าสะอิดสะ..."



               ปัง! โครมมมมมมม!!



               "พอได้แล้ว! หยุดพูดซักที! มันจะดูถูกมากกันเกินไปแล้ว มุคามิ โคว!!" 



               เพราะผมไม่อาจอดทนกับคำพูดดูถูกดูแคลนจากเด็กชายผมสีอ่อนได้อีกต่อไปจึงเผลอเอามือทุบโต๊ะที่อยู่ใกล้เคียงแรงไปหน่อยจนโต๊ะพังหักเป็นสองท่อน ยังดีนะที่ผมออมแรงเอาไว้เพราะถ้าไม่ออมแรงความเสียหายอาจจะมากกว่านี้ก็เป็นได้



               ทุกวันนี้ผมพยายามจะญาติดีกับพี่น้องทั้งสี่คนเพราะเห็นว่าอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้วอีกทั้งผมมองเห็นว่าอนาคตของพวกเขาเป็นอย่างไรต่อไปจากนี้มันอดทำให้ผมเป็นห่วงพวกเขาทั้งสี่คนไม่ได้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้งตอนไหน 



               คนอย่างคาร์ลไฮนซ์นั้นชอบความสมบูรณ์แบบหากมีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็รับไม่ได้แล้วกำจัดมันทิ้งไปโดยไม่สนวิธีการถึงแม้ว่านั่นจะหมายถึงชีวิตอีกหลายชีวิตก็ตามทีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตนเองต้องการ



               แต่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาบางคนไม่คิดที่จะถนอมน้ำใจผมเลยแม้แต่นิดเดียว



               รุกิมักจะเชิดคางเล็กน้อยเวลาคุยกับผมคล้ายคนที่กำลังมองคนต่ำกว่าตนเองมันทำให้เขากับผมไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่นัก เขามักจะตั้งคำถามผมว่าผมมีดีอะไรกันที่ทำให้ราชันย์แวมไพร์หลงใหลคลั่งไคล้ทั้งที่เขามองว่าผมไม่มีอะไรดีในสายตาของเขานอกจากตัวก่อปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน



               บางครั้งก็เหน็บแนมผมเรื่องที่ผมไม่เจียมตัวที่ไปท้าตีท้าต่อยกับคาร์ลไฮนซ์แพ้กลับมาเลือดอาบทุกครั้ง เป็นเพราะเขาเทิดทูนอีกฝ่ายในฐานะผู้มีพระคุณมันทำให้ผมพยายามบอกกับตนเองว่าที่เขาทำแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแค่พยายามเตือนเล็กน้อยด้วยความหวังดีก็พอ



               แต่มันก็อดน้อยใจอีกฝ่ายไม่ได้เลยจริงๆ นี่นา...อีกฝ่ายไม่เคยคิดเก็บคำพูดของผมมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยว่าการศรัทธาในบางสิ่งมากเกินไปนั้นมันเป็นจะนำหายนะมาให้แก่ผู้ศรัทธาได้เสมอ



               เหมือนกับตัวผมในอดีตที่หลงงมงายฝากชีวิตตนเองกับไว้พระผู้เป็นเจ้าที่ผมเคยเคารพรักจนสุดท้ายแล้วก็โดนศรัทธาของตัวผมเองย้อนกลับมาทำร้ายตัวผมและคนที่ผมรัก...



               ผมไม่อยากให้เขาเผชิญกับด้านที่โหดร้ายทารุณของคำว่า 'ศรัทธา' เช่นเดียวกันกับที่ผมเคยเจอ



               เอ็ดการ์หรือยูมะเองก็เช่นกัน ปกติเอ็ดการ์ที่ผมเคยรู้จักนั้นเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม มีความซุกซนตามประสาเด็กอยู่บ้างแต่ก็เป็นมิตรกับคนอื่น มีความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่เด็กที่ก้าวร้าวเอะอะชอบใช้กำลังท้าตีท้าต่อยแบบนี้ 



               ครั้งหนึ่งผมพยายามช่วยงานในสวนผักของเขาพยายามพูดคุยด้วยเผื่อความทรงจำของเขากลับคืนมาบางส่วนแต่กลับกลายเป็นว่าโดนอีกฝ่ายเขม่นหน้าตวาดไล่ผมออกไปแล้วยังบอกอีกว่าผมมันน่ารำคาญให้เลิกวอแวยุ่งกับเขาซักที ซึ่งอันนี้ผมพยายามเข้าใจว่าเอ็ดการ์สูญเสียความทรงจำแล้วอาจเผชิญเรื่องเลวร้ายมาก็ได้เลยทำให้นิสัยเป็นแบบนั้น



               ทั้งที่จริงแล้วผมรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของเขามากหากผมเป็นขนาดนี้แล้วถ้าชูอยู่ด้วยจะรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหนกัน



                แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจยอมแพ้ในเรื่องของเอ็ดการ์แล้วหวังว่ากาลเวลาจะทำให้เอ็ดการ์ยอมรับในตัวผมและสามารถจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาได้



               ทางอาซึสะก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนักนอกจากเขาไม่หยุดทำร้ายตนเองทั้งที่ผมเคยบอกไปแล้วว่ามันไม่ใช่คำตอบในสิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่ เป็นเด็กที่ดื้อเงียบอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียวสำหรับผมแล้วเด็กที่ดื้อเงียบรับมือยากกว่าเด็กที่ดื้ออย่างตรงไปตรงมาเสียอีก 



               โดยรวมแล้วอาซึสะไม่มีปัญหาอะไรบางทีอาจจะเปิดใจยอมรับผมมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำจนบางทีผมหวังว่าโควน่าจะเป็นแบบเดียวกันเพราะท่าทางของอีกฝ่ายนั้นเป็นมิตรมากที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสี่คน



               แต่ผมก็เพิ่งมารู้วันนี้เองว่าเขาคิดอย่างไรกับผม...  



               เมื่อความโกรธแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วความโศกเศร้าน้อยเนื้อต่ำใจกลับเข้ามาแทนที่แทนแต่ด้วยความที่ผมมีนิสัยเสียชอบเก็บอารมณ์ความรู้สึกของตนเองอยู่แล้วทำให้ใบหน้าอันแสนเศร้าสร้อยนี้หายไปราวกับมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาหลอกตาเท่านั้น "ไปที่ห้องรับประทานอาหารผมจะให้ปีศาจรับใช้ยกจานอาหารไปให้เอง"



               ดวงตาสองสีของเด็กชายที่เพิ่งกล่าววาจาร้ายกาจออกไปนั้นเบิกกว้างเล็กน้อยกับการกระทำของผมอาจเป็นเพราะเขาคิดว่าผมอาจจะต่อว่าหรือลงไม้ลงมือกับเขาก็เป็นได้ โควไม่พูดอะไรต่อหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้จึงเดินออกไปจากห้องครัวอย่างเงียบๆ



               เมื่อไม่เห็นร่างของเด็กชายผมสีเหลืองอ่อนแล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันผมรู้สึกได้ถึงหยดน้ำออกจากดวงตาแต่ผมปาดมันทิ้งอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มันไหลออกมามากกว่านี้ เป็นครั้งที่สองแล้วล่ะมั้งที่ผมร้องไห้แบบนี้ ครั้งแรกผมร้องไห้เพราะความเย็นชาและความรังเกียจของเรย์จิที่มีต่อผม 



               ผมรู้ว่าที่เรย์จิเป็นแบบนี้ก็เพราะเบียทริกซ์แม่ของเรย์จินั้นเกลียดผมมากสำหรับคนที่ต้องการความรักจากแม่อย่างเรย์จิก็คงพลอยเกลียดผมตามไปด้วย ถึงแม้ว่าผมจะเข้าใจและมันไม่ทำให้ผมโกรธหรือเกลียดเขาก็จริงแต่มันก็ทำให้ผมเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง 



               การโดนคนในครอบครัวรังเกียจนั้นมันทรมานผมรู้ดีเพราะแต่ก่อนที่ผมจะเป็นมิไฮนซ์ผมก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน เฝ้าวิงวอนให้เขามองว่าตนนั้นเป็นครอบครัวแต่สุดท้ายคำวิงวอนเหล่านั้นไม่เป็นจริง...



               น่าสมเพชดีแท้ จะให้เขามองว่าผมเป็นครอบครัวได้อย่างไรในเมื่อผมไม่อาจเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเองได้ว่าผมเป็นทั้งอาและลุงของพวกเขาน่ะ



               หลังจากเรย์จิผมไม่อยากร้องไห้อีกเป็นครั้งที่สองแต่สุดท้ายก็ร้องออกมาเพราะพี่น้องมุคามิ เศร้าใจที่พวกเขาทำลายความปรารถนาดีที่ผมมีต่อเขาด้วยคำพูดและการกระทำอันร้ายกาจ 



               ถ้าถามว่าผมโกรธพวกเขาไหมที่ทำแบบนี้กับผม ผมตอบได้เลยว่าผมไม่โกรธพวกเขาหรอกถ้าคิดถึงอนาคตของพวกเขาที่ต้องกลายเป็นหมากเบี้ยที่ถูกทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ในแผนการอันบ้าคลั่งของคาร์ลไฮนซ์ ความโกรธที่มีมันลดน้อยลงแต่แทนที่ด้วยความเศร้าใจแทน



               "เอาล่ะ...ไม่ต้องคิดอะไรมาก มิไฮนซ์ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา เวลาผ่านไปมันจะดีขึ้นเอง..."



               ผมกล่าวกับตนเองแบบนั้นตบหน้าตนเองเบาๆ เป็นการกระตุ้นให้อารมณ์กลับมาคงที่อีกครั้งจากนั้นตั้งหน้าตั้งตาลงมือทำอาหารให้สุดฝีมือเหมือนที่เคยทำให้กับหลานชายทั้งหกคนของผมตอนอยู่ปราสาทเอเดนเพื่อเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ไปในตัวด้วย



               โดยที่ไม่รู้ว่าการกระทำของผมนั้นอยู่ในสายตาของใครบางคน...

    .

    .

    .

    .

    .

    .

               "พวกเธอรู้ตัวไหมว่าตนเองทำอะไรผิด มุคามิ รุกิ มุคามิ ยูมะ แล้วก็...มุคามิ โคว"



               ด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบกระดุจหอกน้ำแข็งพร้อมชื่อของตนที่ถูกเรียกอย่างเต็มยศด้วยน้ำเสียงนั้นมันทำให้เด็กชายรู้สึกว่าตนเองพลาดแล้วที่ไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น เพราะเห็นว่าคนตรงหน้าไม่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เลยมั่นใจว่าคำพูดและการกระทำของพวกเขาไม่ถูกล่วงรู้อย่างแน่นอน



               แต่ใครจะไปนึกว่าราชันย์แวมไพร์ผู้มีพระคุณของพวกตนนั้นหลงใหลคลั่งไคล้ในตัวชายที่ชื่อ 'มิไฮนซ์' มากเกินไปจนถึงขั้นจับตาดูทุกฝีก้าวคอยมองอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลาอาบน้ำก็ยังไม่เว้นแบบนี้



               วิปลาส! ความรักของท่านผู้นั้นที่มีต่อผู้ชายคนนี้มันวิปลาสเกินไปแล้ว!!



               "ผมทราบว่าการกระทำของผมมันเลวร้ายแต่ถึงกระนั้นผมไม่อาจให้ผู้ชายคนนั้นล้ำเส้นท่านได้ ทุกครั้งที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านผู้ชายคนนั้นมักตั้งแง่อคติอยู่เสมอผมเลย..." ไม่ทันที่เด็กชายผู้มีศักดิ์เป็นพี่ใหญ่ของบ้านอย่างรุกิกล่าวจบ ดวงตาสีเหลืองอำพันทอประกายเรืองแสงในความมืดเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารทำเอาตนรวมถึงพี่น้องที่ก่อเรื่องอีกสองคนแทบทรุดกับพื้นด้วยแรงกดดันจากผู้เป็นนายเหนือหัวของแวมไพร์



               "เลยข้ามหัวฉันไปทำร้ายจิตใจเฮเลลที่รักอย่างนั้นหรือ? ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ทำตัวดีๆ กับเขาน่ะ" คาร์ลไฮนซ์ถามเสียงเย็น



               "แต่ว่าเขาไม่เคยทำดีกับท่านเลยแล้วจะให้พวกเรา..." ยูมะพยายามท้วงแต่โดนสายตาของฝ่ายผู้มีศักดิ์นั้นตวัดมองจนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกมา



               "โควคุง เธอยังจำได้ไหมคำพูดในวันนั้นที่ฉันเคยบอกเธอน่ะ ในวันที่โดนยูมะคุงชกเพราะโกรธที่เธอไม่เข้าใจในตัวเขาน่ะ"



               "ครับ ผมจำได้" เด็กชายผมสีเหลืองอ่อนพยักหน้า ในวันนั้นยูมะให้น้ำตาลก้อนเพราะเห็นว่าเขาอยากกินมันแต่ก็เสียมารยาทถามกลับไปว่าต้องการอะไรแลกเปลี่ยนเข้าใจว่ายูมะต้องการอะไรจากเขา ยูมะเลยโกรธต่อยเขาไปหนึ่งทีก่อนที่จะปรับความเข้าใจกันได้



               แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับผู้ชายที่ชื่อมิไฮนซ์ในเมื่อมิไฮนซ์ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกับเขาเหมือนพวกรุกิสักหน่อยนี่นา...



               ผู้ชายคนนั้นเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้เอาแต่ก่อปัญหาพยายามฆ่าผู้มีพระคุณของตนเองวันละสามมื้อหลังอาหารแทบทุกครั้งที่มีโอกาส ทำลายข้าวของย่อยยับ อีกทั้งตั้งแง่อคติมองว่าผู้มีพระคุณของตนเองนั้นเป็นคนเลวร้ายทั้งที่ไม่เคยรู้อะไรเลยว่าถ้าไม่ได้คนตรงหน้าพวกตนก็ไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอก



               ที่ทำดีด้วยไม่ใช่เพราะว่าต้องการออกจากคฤหาสน์ไปหาหลานชายของตนเองไม่ใช่หรือ? ทำดีด้วยเพราะเห็นพวกตนเป็นตัวแทนยามรู้สึกคิดถึงพวกเขาทั้งหกคน ดวงตาของเขาที่ได้รับมาจากคนตรงหน้านั้นไม่เคยโกหกมันบอกแบบนั้นจริงๆ



               "คำพูดและความคิดเหล่านั้นน่ะ ความจริงแล้วมันไม่ใช่ของใครอื่นเลยนอกจากมิไฮนซ์"



               เด็กชายทั้งสามคนเหมือนโดนสายฟ้าฟาดผ่ากลางหัวของตนเอง โดยเฉพาะยูมะกับโควนั้นอึ้งจนพูดไม่ออกเพราะไม่คิดว่าคนที่ดีแต่ก่อปัญหาชอบทำลายข้าวของท้าตีท้าต่อยกับนายเหนือหัวของตนเองอย่างมิไฮนซ์นั้นจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา นี่เท่ากับว่าที่พวกเขาดีกันได้ก็เพราะคำพูดของผู้ชายคนนั้นหรือ?



               "น่าแปลกใจใช่ไหมล่ะ? มิไฮนซ์เป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์โดยกำเนิดแต่ว่าการพูดและการกระทำของเขานั้นกลับเหมือนมนุษย์มาก อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่แวมไพร์ไม่เคยมีแต่เขากลับมีมันแบบนี้น่ะ เขาคนนั้นเป็นความขัดแย้งที่งดงามมากที่สุดอย่างที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อนเลย"



               อีกฝ่ายว่าแล้วพลางไล่นิ้วลงบนกลีบกุหลาบขาวในแจกันอย่างทะนุถนอมด้วยสายตาที่อ่อนลงก่อนกลับมาสนทนากับเด็กชายทั้งสามคนต่อ "ตอนนั้นฉันไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นหรอก ฉันได้แค่สงสัยว่าทำไมเขาถึงทำทุกอย่างเพื่อคริสต้าน้องสาวของเขาทั้งที่รู้ว่าบางอย่างที่ทำไปแล้วมันไม่ได้ของตอบแทนกลับอะไรเลย เขาให้คำตอบแบบเดียวกันกับที่ฉันเคยให้เธอเลยโคว"



               "เพราะเป็นครอบครัวที่แท้จริงอย่างไรล่ะ ครอบครัวที่แท้จริงจะอยู่ตรงนั้น ไม่พยายามช่วงชิงอะไรไปจากคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องการอะไรตอบแทนกลับมา ความปรารถนาดีที่ไม่มีวันสิ้นสุดนั้นมันคือความรักของครอบครัวที่แท้จริง"



               "..."



               "มิไฮนซ์เป็นคนเปิดโลกให้ฉัน 'แผนการอดัมกับอีฟ' นั้นมันจะกลายเป็นแผนการธรรมดาถ้าหากไม่มีเขาเป็นตัวจุดประกายนี้ขึ้นมาแผนการอันยิ่งใหญ่นี้ย่อมไม่เกิดขึ้น"



               "ต่อให้เขากล่าวว่าร้ายพยายามฆ่าท่านตั้งหลายหนน่ะเหรอ...?" รุกิเอ่ย



               "...ฉันทำให้เขาไม่มีทางเลือกเอง แล้วอย่างที่ฉันเคยบอกว่าไว้การรักใครสักคนอย่างแท้จริงนั้นมันยากแต่การห้ามหัวใจไม่ให้รักใครสักคนนั้นยากยิ่งกว่า เพราะแบบนั้นแหละฉันถึงมองข้ามและให้อภัยการกระทำของเขา ฉันยินดีด้วยซ้ำถ้าหากฉันตายด้วยน้ำมือของเขาน่ะแต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้..."



               เด็กชายทั้งสามคนนิ่งเงียบ พวกตนรู้ดีว่าแผนการอดัมกับอีฟนั้นแต่เดิมทีนั้นมันควรเป็นคาร์ลไฮนซ์กับคอร์เดเลียภรรยาคนแรกผู้มีเชื้อสายของต้นตระกูลไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งภายในตัว แต่ทว่าภรรยาคนแรกของท่านผู้นั้นขาดคุณสมบัติในการเป็นอีฟทำให้แผนการสะดุดลงแผนการเลยชะลอลงไป



               และผู้รับสืบทอดเจตนารมณ์นั้นคือลูกชายทั้งหกคนของท่านผู้นั้น



               แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสี่คนรู้ว่าหากแผนการอดัมกับอีฟนั้นสำเร็จแล้วผลลัพธ์นั้นเป็นอย่างไร พวกเขาไม่ลังเลเลยที่จะยอมรับผลการกระทำที่ตามมาแต่ถึงกระนั้นพวกเขายังเคลือบแคลงสงสัยว่าการมีตัวตนอยู่ของชายผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับท่านผู้นั้นอย่างมิไฮนซ์นั้นมีอยู่เพื่ออะไรกันแน่



               บางทีมันอาจจะเป็นความบันเทิงเล็กน้อยในชีวิตสองพันกว่าปีของนายเหนือหัวตนเองก็เป็นได้...



               "ถ้าหากนั่นเป็นความประสงค์ของท่าน พวกเรา..."



               "แบบนั้นมันเหมือนกับฉันบังคับพวกเธอน่ะสิ" คาร์ลไฮนซ์เอ่ยขัดขึ้นเหมือนรู้ว่าเด็กชายผมดำต้องการจะกล่าวอะไร "ฉันแค่ต้องการตักเตือนเท่านั้น ต่อให้เขาพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับตัวฉันแต่อย่างน้อยเขาก็อาศัยอยู่ชายคาเดียวกันกับพวกเธอ การอยู่ร่วมกัน มองหามุมมองที่ต่างกันออกไป และศึกษาธรรมชาติของอีกฝ่ายนั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะแนะนำให้พวกเธอลองทำดูต่อจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอเองแล้วนะ"



               "เพราะพวกเธอกับเขาต้องอยู่ด้วยกันอีกนานเลยทีเดียว"

    .

    .

    .

    .

    .

    .

               "เอ้า! รับไป"



               ขณะกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินในศาลากลางสวนอยู่ๆ เอ็ดการ์ที่โผล่มาจากที่ใดก็ไม่ทราบหยิบก้อนน้ำตาลก้อนหนึ่งจากถุงยื่นให้ผมซึ่งตัวผมเองก็ไม่ใช่คนที่ปฏิเสธน้ำใจคนเท่าไหร่นักโดยเฉพาะจากเด็กผมยิ่งไม่กล้าปฏิเสธใหญ่เลย  ผลพวงที่ได้คือผมกล่าวขอบคุณเขาก่อนที่จะรับน้ำตาลก้อนนั้นเข้าปากตัวเองไป 



               อืม...หวานแฮะ แต่ก็สมแล้วที่เป็นเอ็ดการ์ดีนิสัยชอบน้ำตาลไม่เคยเปลี่ยนไปเลย



               "ยะ อย่าเข้าใจผิดนะ! ที่ฉันให้ก็แค่ตอบแทนเรื่องอาหารเย็นที่ทำให้ในวันนั้นน่ะไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลยเข้าใจไหม?!" จากนั้นเอ็ดการ์หันหน้าไปอีกทางคล้ายต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนเองซึ่งแน่นอนว่าคนที่อ่านง่ายอย่างเอ็ดการ์นั้นกลบเกลื่อนอะไรไม่เคยมิดหรอก



               "ถ้าอยากขอโทษก็พูดออกมาตรงๆ ดีกว่านะ"



               "ขอโทษอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง?!"



               "เธออายที่จะพูดออกมาตรงๆ เหรอ ยูมะ?" ผมถาม



               "กะ ก็มันแบบ..." เอ็ดการ์เอ่ยตะกุกตะกักอย่างขัดเขินก่อนที่ก้มหน้าก้มตาด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก



               "ถ้าพูดออกไปแล้วฉันกลัวว่านายจะไม่ยกโทษให้น่ะสิก็ฉันทำกับนายไว้เยอะนี่นาแล้วจะให้..."



               แป๊ะ!



               "โอ๊ย! ทำบ้าอะไรขอนายน่ะมันเจ็บนะ!!"



               เด็กชายตรงหน้าผมฮึดฮัดโวยวายทันทียามถูกผมดีดหน้าผากใส่เต็มแรง ผมยิ้มหัวเราะอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู "เธอไม่ใช่ผมนะจะได้คิดแทนว่าผมยกโทษให้หรือไม่ยกโทษให้ บางครั้งคำพูดที่ดูน่าอายอย่างคำว่าขอโทษน่ะมันเป็นสิ่งที่สมควรจะพูด ความซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองน่ะมันสำคัญมากนะรู้ไหม?"



               "จะพูดอะไรมันก็เรื่องของฉันล่ะน่า! นายกินชูการ์จังของฉันไปแล้วตอนนี้ถือว่าพวกเราหายกันเข้าใจไหมระหว่างเราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว" 



               "อืม พวกเราหายกันแล้วไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ขอบคุณสำหรับน้ำตาลก้อนนะ"



               ผมส่งยิ้มบางทว่าจริงใจออกมากล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง ดวงตาของเอ็ดการ์เบิกกว้างเล็กน้อยก่อนหันมองไปทางอื่นเผลอยกมือจับหลังคอตนเองเก็บซ่อนอารมณ์เขินอายตามประสาเด็กน้อยที่ปากไม่ตรงกับใจก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองมายังที่ผมอีกครั้งหนึ่ง "อ่านหนังสืออะไรเล่มหนาขนาดนั้นจะอ่านจบเหรอ?"



               "Les Misérables ของ วิกเตอร์ อูโก เป็นวรรณกรรมชื่อดังที่ผมเคยโปรดน่ะ ส่วนเรื่องเวลาสำหรับผมมันมีเยอะมากมายเลยทีเดียวอ่านวันละนิดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็จบเอง"



               "เคยโปรด?" เด็กชายเลิกคิ้วสงสัย



               "ใช่ ผมเคยชอบมันมากแต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองยังคงชอบมันได้อีกหรือเปล่าน่ะสิ"



               "ทำไมล่ะ?" เด็กชายถามพลางนั่งใกล้ๆ ผมมองด้วยความสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย



               "ผมเคยคิดว่าผมกับ ฌอง วัลฌอง ตัวเอกของเรื่องมีอะไรบางอย่างคล้ายกันน่ะแต่ที่ผมสงสัยก็คือทำไมเส้นทางชีวิตของเขานั้นพบความสุขและความสงบสุขในชีวิตจากศรัทธาอันแรงกล้าแต่ทำไมผมยังหาเส้นทางนั้นไม่เจอเลยถึงแม้ว่าจะเจอแต่ก็เป็นแค่ความสงบสุขชั่วครู่เท่านั้น"



               "..."



               "ฮะๆ ว่าไปนั่น ผมกับวัลฌองเป็นคนละคนกันมันไม่เห็นแปลกเลยสักนิดเดียวว่าทำไมผมกับเขาถึงมีเส้นทางที่แตกต่างกันมากมายขนาดนี้ ผมไม่อาจเป็นเหมือนเขาได้จนบางทีผมเริ่มรู้สึกอิจฉาวัลฌองนิดหน่อยน่ะ"



               "นายอิจฉาเป็นกับเขาด้วยเหรอ?" เอ็ดการมองผมคล้ายประหลาดใจ 



               ปกติผมไม่เคยแสดงท่าทีริษยาต่อใครเลยสักนิดเดียวจนบางครั้งผมโดนอิมิเลียหยอกเล่นว่าผมควรไปรับศีลบวชเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นเป็นตอนที่ผมยังคงมีศรัทธาอยู่แต่พออิมิเลียตายอย่างโหดร้ายทารุณไร้ซึ่งความเป็นธรรม เผชิญความเลวร้ายของสงครามกลางเมืองที่สะท้อนให้เห็นถึงจุดตกต่ำของความดีงามในตัวตนมนุษย์ที่สามารถฆ่าแกงกันได้อย่างเลือดเย็น สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ผมเริ่มไขว้เขวกับศรัทธาที่ผมมี



               ถึงแม้พร่ำบอกกับตนเองว่ามนุษย์นั้นไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมดเฝ้ารอปาฏิหาริย์ที่ทำให้ผมกลับมาศรัทธาในแสงสว่างเหมือนเดิมอีกครั้ง



               แต่จนแล้วจนรอดปาฏิหาริย์นั้นยังคงไม่ปรากฏและแล้วจนในที่สุดผมก็เริ่มสิ้นศรัทธาอีกครั้งหนึ่ง...



               จะหาว่าผมเป็นคนบาปหนาตายไปต้องตกนรกในข้อหาเคลือบแคลงสงสัยในพระผู้เป็นเจ้าก็ได้แต่สำหรับผมแล้วมันยากที่จะให้กลับมาศรัทธาได้ดังเดิมอีก ผมไม่ใช่ตัวเอก ผมไม่ใช่ ฌอง วัลฌอง ตัวละครที่ผมรักที่ต่อให้เจอเรื่องร้ายแรงหรืออุปสรรคมากมายแค่ไหนเขาก็ยังคงโอบอ้อมอารีเชื่อมั่นในความรักและความดีงามของโลก



               ผมก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่กำลังหลงทางไม่ได้มีจิตใจเหมือนดั่งหินผามันก็แค่นั้น



               เอ็ดการ์เห็นผมเหม่อลอยไกลออกไป เขากระแอมเรียกผม "ก็ใช่น่ะสิ! นายไม่ใช่ตัวละครที่นายรักนักหนาสักหน่อย แต่...ถึงอย่างนั้นนายก็มีดีของนายอยู่เหมือนกันนะ"



               "แล้วผมมีดีอย่างไร?" ผมเอ่ยถาม



               ยามอีกฝ่ายเห็นใบหน้าอันงุนงงของผมถึงกับชักสีหน้าขยี้ผมตนเองคล้ายเอือมระอากับผมเต็มทนแล้ว "โอ๊ย! นายเป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายหาข้อดีของตนเองไม่เจอหรืออย่างไร?! อย่างน้อยนายก็ทนฉัน ทนรุกิ ทนโคว แล้วก็อาซึสะมาได้ถ้าเป็นคนปกติเขาไม่ทนแบบนายหรอก ในบรรดาผู้ใหญ่ที่ฉันเคยเจอก็มีแต่นายนั่นแหละที่จริงใจกับพวกเรามากที่สุดแล้ว"



                "นี่หรือว่า...เธอกำลังปลอบผมน่ะ...?"



                พอผมพูดเท่านั้นดวงตาสีน้ำตาลของเอ็ดการ์กระตุกวูบเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนเสมองไปทางอื่น "ปะ เปล่าสักหน่อย! ก็คนอย่างนายมันน่าหงุดหงิดนี่นา"



                "ฮะๆ นั่นสินะ แต่ก็ขอบใจมากนะ" ผมยิ้มหัวเราะท่าทีเขินอายของเอ็ดการ์ที่ทำตัวเหมือนเด็กปากไม่ตรงกับใจด้วยความเอ็นดู เห็นท่าทางแบบนี้ผมโกรธเด็กตรงหน้านี้ไม่ลงเลยจริงๆ



                นิสัยที่แพ้ทางเด็กแบบนี้เหมือนเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่เอาการอยู่เหมือนกันแฮะ...



                ก็แหงล่ะ ผมติดนิสัยชอบดูแลคริสต้ามาตั้งแต่เด็กแล้วนี่นะ



                "นี่...แล้วกับคนที่เหลือนายให้อภัยกับสิ่งที่พวกเขาทำไหม?" อยู่ๆ อีกฝ่ายถามโพล่งออกมาซึ่งเดาได้ไม่ยากเลยว่าพวกเขาที่ว่านี้หมายถึงใคร



                "ถ้าพวกเขาเดินมาขอโทษด้วยความเต็มใจล่ะก็นะมันจะดีกว่าถ้าส่งเธอมาเป็นตัวตายตัวแทนมาขอโทษแบบนี้..."



                "ง่ายแค่นั้น? ถ้าแบบนั้นฉัน...ดะ เดี๋ยวสิแล้วนายรู้ได้อย่างไร?!" เอ็ดการ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจจากนั้นถามผมเสียงตื่นๆ ด้วยความตระหนก



                การกระทำแบบนั้นจากที่ผมหัวเราะอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูแล้วมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายเข้าไปใหญ่จนอดไม่ได้ที่เผลอลูบหัวของเอ็ดการ์ตามความเคยชิน



                "ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่า...เฮ้ย! อย่าขยี้ได้ไหมผมยุ่งหมดแล้ว!"



                ผมหัวเราะให้กับการแกล้งเด็กตรงหน้าเล็กน้อยก่อนผละมือออกไป "ฮะๆ ขอโทษทีมันเคยชินน่ะ มันไม่เห็นจะยากอะไรเลย ด้วยนิสัยพวกเธอแล้วคงไม่เข้ามาตรงๆ หรอกนอกเสียจากจับไม้สั้นไม้ยาวหาตัวแทนมาคุยกับผมแล้วบังเอิญว่าเป็นเธอก็เท่านั้น ส่วนเรื่องขอโทษอะไรนี่อยากให้มันยากเหรอ?"



                เด็กชายจัดทรงผมตนเองเสมองไปทางอื่นคล้ายเด็กที่ถูกพ่อแม่จับได้ว่าความผิดอะไรไว้ไม่ปานนั้นท่าทางสิ่งที่ผมคาดเดาเอาไว้นั้นถูกต้องอย่างแน่นอนถึงเรื่องที่บอกจับไม้สั้นไม้ยาวจะเป็นเพียงการเดาสุ่มเท่านั้นก็ตามที



                แต่ผมก็ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจพวกเขานะเพราะเรื่องการเปิดใจยอมรับเรื่องบางเรื่องมันต้องใช้เวลาพอสมควร การที่พวกเขาพยายามเข้าหาผมแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเลยทีเดียว



                "ปะ เปล่า..แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ เอาเป็นว่าฉันกับนายหายกันแล้วนะ!"



                "ไม่ต้องย้ำก็ได้ ยูมะคุง"



                "จะได้กันลืมไงเล่า! ฉันไปรดน้ำผักก่อนอย่าลืมที่ตัวเองพูดเอาไว้ล่ะ นายค้างคาวเผือก!!"



                ว่าแล้วเอ็ดการ์ก็วิ่งหน้าแดงออกไปด้วยความเขินอายตามประสาเด็กน้อยที่ปากไม่ตรงกับใจ ผมยิ้มอ่อนเล็กน้อยท่าทางก็ไม่เหมือนเอ็ดการ์ทั้งหมดสินะแต่ก็ถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาพัฒนาไปมากโขเลยทีเดียวและหวังว่าวันต่อๆ ไปความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพวกเขาพัฒนาขึ้นมาบ้าง



                แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะเร็วขนาดนี้...



                "เบียคุยะ! ทำวองโกเล่บริอังโคให้หน่อยคราวนี้ผมจะช่วยทำด้วยนะ"



                "มิไฮนซ์...มีดเล่มนี้ผมให้มิไฮนซ์นะ..."



                "นายน่ะ...หนังสือเล่มนั้นที่นายถือฉันยืมอ่านหน่อยสิ"



                ที่เหลือทั้งสามคนต่างก็เข้าหาผมในวันถัดๆ มาหลังจากที่เอ็ดการ์ไปแล้วโดยวันแรกจะเป็นโคว วันที่สองเป็นอาซึสะซึ่งผมมองว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไรต่อผมแต่มาขอโทษทำไมก็ไม่รู้ คนสุดท้ายก็รุกิทิ้งห่างจากอาซึสะไปสองวันคาดว่าด้วยความทิฐิเยอะตามประสาลูกผู้ดีมีเงินที่ถูกตามใจจนเคยตัวทำให้เขาไม่เคยขอโทษใครเลยทิ้งระยะเอาไว้ให้รอลุ้นว่าจะมาตอนไหนและมาอย่างไร



                ก็ไม่ผิดคาดสักทีเดียวเพราะรุกิชอบอ่านหนังสือเหมือนกับผมเลยใช้มันเป็นข้ออ้างเข้าหาผมได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำขอโทษเลยก็ตามแต่ผมก็ยังคงรอวันที่เขากล่าวคำขอโทษออกมาตรงๆ น่ะนะ



                แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่รุกิมาหาผมที่ห้องหนังสือ...



                "เหมือนกันจังนะ นายน่ะ..."



                "เหมือน?"



                "กับคนอื่นไม่พ่อพระก็ศพเดินได้น่ะนายเหมือนมาก" อยู่ๆ ทำไมรู้สึกเหมือนโดนหาเรื่องอย่างไรไม่รู้แฮะ ถ้าเป็นคนอื่นคงตบคว่ำแล้วกระทืบซ้ำไปนานแล้วแต่ดีที่ยังเป็นผมเลยทำให้เด็กชายตรงหน้าผมนี้ยังคงอยู่ครบสามสิบสอง



                "เพราะทำหน้าแบบนั้นไงถึงเหมือนมาก" หน้า? หน้าแบบไหน??



                "กับคนอื่น ไร้ริษยา ไม่ไขว่คว้า ไม่แย่งชิง ไม่ต้องการความโดดเด่น ไม่สนองความต้องการของตนเองแบบที่คนๆ หนึ่งจะทำ เพราะแบบนั้นใบหน้าของนายจึงมีแต่ความสงสัยพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นต้องการจะสื่อไม่ว่าดีร้ายก็ตามยากที่มนุษย์คนหนึ่งจะมี"



                "แต่น่าแปลกนะ...ที่นายดูมีความเป็นมนุษย์และมีชีวิตชีวามากที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่กับท่านผู้นั้น"



                "เธอประเมินฉันสูงเกินไปแล้ว รุกิคุง" ผมพูดยิ้มๆ



                "ไม่โกรธหรือที่ฉันพูดถึงท่านผู้นั้น?" รุกิถามไปในขณะที่เปิดหนังสืออ่านไปพลางชำเลืองมองผมเล็กน้อย



                "ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่พูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับคนๆ นั้นออกไปให้พวกเธอได้ยินถึงแม้ว่าผมยังเคืองเขาก็ตาม อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้มีพระคุณของพวกเธอนี่นะ การปกป้องเขามันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วล่ะ"



                "นายนี่มัน..." คำหลังจากนั้นผมไม่ได้ยินเพราะอีกฝ่ายเก็บมันเอาไว้ในใจไม่ให้หลุดรอดออกมาก่อนปิดหนังสือเล่มหนาส่งคืนมันให้กับผม



                "เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งถึงเล่มจะหนาแล้วก็เยอะเกินไปก็เถอะ"



                "รุกิคุงเนี่ยโตเป็นผู้ใหญ่เร็วจังนะปกติเด็กวัยแบบเธอส่วนมากไม่อ่านหนังสือยากๆ แบบนี้หรอก"



                "ฉันจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน"



                "จะถือทำไมก็ผมชมเธอจริงๆ นี่นา" พลันนั้นรุกิเสมองหันไปทางอื่นแต่ก็ซ่อนอารมณ์ได้ไม่หมดถ้าไม่สังเกตให้ดีๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กตรงหน้านี้กำลังเขินอายที่ถูกชมจนหูขึ้นสีแดงอยู่แบบนี้หรอก 



                อาจเป็นเพราะผมเอ่ยความจริงออกมาอย่างซื่อๆ ได้อย่างง่ายดายล่ะมั้ง?



                "นี่...หลายวันที่ผ่านมานี้ฉันมาคิดดูดีๆ แล้วการที่ฉันอคติกับนายฝ่ายเดียวมันออกจะไม่ยุติธรรมสำหรับนายถึงแม้ว่าฉันไม่ชอบที่นายว่าร้ายและพยายามฆ่าท่านผู้นั้นก็เถอะ"



                "..."



                "ก็อย่างที่นายพูดเพราะท่านผู้นั้นเป็นผู้มีพระคุณเป็นผู้มอบชีวิตใหม่ให้แก่พวกเราการปกป้องเขาย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับนายท่านผู้นั้นเป็นปีศาจที่เลวร้ายทำลายครอบครัวดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองทั้งสิ้น อีกอย่างพวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนานเลยทีเดียว และฉันจะไม่พูดซ้ำสอง.."



                "...ฉันขอโทษทุกการกระทำที่ผ่านมา"



                ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล่าวขอโทษผมอย่างมีเหตุมีผลแบบนี้ ผมตะลึงชั่วขณะเพราะไม่คิดว่าเด็กชายตรงหน้าผมนี้จะมีความคิดที่ลึกซึ้งได้ขนาดนี้เหมือนไม่ใช่เด็กเลย ไม่สิ...บางทีสภาพแวดล้อมและบาดแผลจากสงครามมันบังคับให้เด็กคนหนึ่งโตเร็วเกินไปซึ่งสำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า



                ไม่อาจสนุกสนานได้ดั่งเคย ไม่อาจเก็บเกี่ยวความเยาว์วัยได้ดั่งเคย และไม่อาจคงความไร้เดียงสาแล้วผล่อยให้สูญสลายตามกาลเวลาได้ดั่งเคย



                "ผมเองก็ต้องขอโทษพวกเธอเหมือนกันนะที่ทำตัวไม่ดีไปแบบนั้นเหมือนกันน่ะ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างขอโทษแล้วนับจากนี้ฝากตัวด้วยล่ะ รุกิคุง" ผมยิ้มกว้างจากนั้นยกนิ้วก้อยชี้ไปที่อีกฝ่ายเป็นนัยบอกว่ามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน



                "เกี่ยวก้อยสัญญา? นายนี่ทำอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้..." ทางนั้นถอนหายใจมองอย่างหน่ายๆ กับการกระทำของผมแต่ก็ยอมเกี่ยวก้อยสัญญากัน



                และดูเหมือนว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วย...



                "ยูมะ อย่าบังสิฉันมองไม่เห็น"



                "นายเองก็อย่าเบียดฉันสิอึดอัดจะตายอยู่แล้ว!"



                "โคว ยูมะ เหมือนพวกเราจะถูกจับได้แล้วล่ะ..."



                ทันทีที่อาซึสะพูดออกไปเด็กชายทั้งสองคนถึงกับหันหลังมามองเห็นซึ่งตอนนี้ผมกับรุกิอยู่ทางด้านหลังของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว



                "ระ รุกิ พวกเราไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะ! ยูมะเป็นคนชวนพวกเรามาเอง"



                "อ้าวเฮ้ย?! คนชวนมันแกไม่ใช่เหรอ โคว! อย่ามาโยนความผิดกันแบบหน้าด้านๆ สิ"



                "...พยายามห้ามแล้วแต่พวกเขาไม่ฟังเอง"



                "อย่าปัดความรับผิดชอบสิ! อาซึสะ!!"



                "พวกนายทั้งสามคนก็รับผิดชอบด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ"



                "เฮ้ย! รุกิฉันไม่ผิดนะฉันโดนโควลากมา ดะ เดี๋ยวสิ! รุกิหยุดนะ หยุดดดดดดดดด!"



                หลังจากนั้นการตีกันระหว่างพี่น้องทั้งสี่คนเริ่มทำเอาผมแทบหัวเราะท้องคับท้องแข็งออกมาจนทนไม่ไหว ให้ตายสิ! ไม่ว่าอย่างไรก็โกรธพี่น้องสี่คนนี้ไม่ลงเลยจริงๆ น่ารักซะขนาดนั้นน่ะถึงพวกเขาจะปากแข็งไปหน่อยเรื่องความรู้สึกของตัวเองก็เถอะ พวกเขาก็แค่ต้องการเวลาก็เท่านั้นแหละส่วนที่เหลือต่อจากนี้มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าจะเปิดใจยอมรับผมได้มากแค่ไหนก็เท่านั้น



                เมื่อสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองไว้แล้วผมมองพวกเขาที่กำลังวิ่งไล่กันอยู่อย่างยิ้มๆ ยามมองเด็กเหล่านั้นภาพบางภาพสะท้อนออกมาพวกเขาทำให้ผมนึกถึงหลานชายทั้งหกคนของผมอาจจะเป็นเพราะด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกันหรือความต้องการส่วนลึกที่ต้องการให้พวกเขาสนิทสนมกันเช่นพี่น้องทั้งสี่คนนี้ก็เป็นได้



                จากวันนั้นก็เป็นปีแล้วสินะที่ผมติดอยู่ที่นี่...   



                ชู เรย์จิ อายาโตะ คานาโตะ ไลโตะ แล้วก็สุบารุ ป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ พวกเขาจะโกรธจะเกลียดผมที่ผมทิ้งพวกเขามาแบบนี้หรือเปล่า?



                สำหรับตอนนี้สิ่งที่ผมหวังภาวนาก็ได้แต่รอเวลาที่เหมาะสมหาทางออกจากที่นี่ไปหาพวกเขาก็เท่านั้น



                รอเวลาที่เส้นด้ายแห่งโชคชะตาที่เชื่อมโยงพวกเราเข้าด้วยกันนั้นนำพาให้ผมกับพวกเขาได้พบกันอีกครั้งหนึ่งต่อให้ปลายทางของมันนั้นจะมีแต่ความเกลียดชังก็ตามที....

    .

    .

    .

    .

    .

                ทุกสรรพสิ่งนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการเวลา



                จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี...



                และหลายปีถัดมาสรรพสิ่งที่คนเราเคยจดจำมันได้นั้นอาจกลายเป็นสิ่งอื่นที่คนเรานั้นไม่รู้จักอีกต่อไป...



                ...และท่ามกลางคืนพระจันทร์สีเลือดที่ส่องสว่าง ณ คฤหาสน์อันแสนมืดมนหลังนี้คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหวนกลับคืนดังเช่นวันวานได้อีกต่อไป



                "อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!"



                เสียงกรีดร้องของหญิงสาวผู้หนึ่งดังก้องทั่วคฤหาสน์ทว่าน่าแปลกกลับไม่มีผู้ใดสนใจเสียงกรีดร้องนั้น โคมระย้าที่ส่องสว่างนั้นเผยร่างอันแสนสะโอดสะองงดงามในชุดราตรีสีดำตัวโปรดของเจ้าหล่อนนั้นซึ่งบัดนี้เปรอะเปื้อนคราบสีคล้ำแทบจะกลืนกับสีเนื้อผ้าหากไม่สังเกตมันให้ดี



                "อึ่ก...อา...ยาโตะ" หญิงสาวนั้นพยายามเค้นเสียงออกมาเอ่ยเรียกบุคคลที่สองที่อยู่ด้วยกัน



                ซึ่งบุคคลนั้นไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากลูกชายคนโตของหล่อนเอง 'อายาโตะ'



                เด็กหนุ่มร่างสูงหาได้สนใจคอร์เดเลียผู้เป็นมารดาของตนบาดเจ็บแต่อย่างใดทว่ากลับสนเสื้อสีขาวตัวโปรดของตนซึ่งบัดนี้เปรอะเปื้อนด้วยโลหิตสีแดงฉานของอีกฝ่ายแทน "อา...เลอะจนได้ ชุดนี้ค่อนข้างชอบแท้ๆ ชุ่มไปด้วยเลือดของท่านแม่ซะแล้วสิ"



                อายาโตะกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยไร้ซึ่งความรู้สึกแต่อย่างใด ว่าแล้วตนนั้นยกมือข้างที่เต็มไปด้วยโลหิตของผู้เป็นมารดาไล่ลิ้นตั้งแต่ฝ่ามือจรดปลายนิ้วลิ้มรสของเหลวสีแดงเข้มหลับตาพริ้มดื่มด่ำความหอมหวานอันซาบซ่านจากปลายลิ้นกระจายทั่วโพรงปาก รสชาติอันหอมหวนราวกับผลไม้ต้องห้าม เลือดบนฝ่าของเด็กหนุ่มผมแดงถูกโลมเลียอย่างเอร็ดอร่อยพลันลืมตาขึ้นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาสีเขียวมรกตนั้นคือความบ้าคลั่งอันแสนวิปลาส



                "อร่อยมากๆ เลยล่ะ อยากได้อีก"



                เฮือก!



                ดวงตาสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเบิกกว้างด้วยความตระหนกหวาดกลัว สัตว์ร้ายที่แสนบ้าคลั่งที่หญิงสาวนั้นสร้างและพยายามควบคุมมันบัดนี้ความบ้าคลั่งของมันเลยขอบเขตจนไม่อาจสามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป คอร์เดเลียมองอายาโตะไม่วางตาด้วยความไม่เชื่อในสายตาตนเองว่าอีกฝ่ายนั้นพยายามปลิดชีพตนด้วยความเลือดเย็น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายคิดกระทำการมาตุฆาตฆ่าแม่ตนเองมาตลอดจนถึงตอนนี้



                และด้วยความหวาดกลัวในพลังอำนาจที่เหนือกว่าคอร์เดเลียจึงหนีออกจากห้องโถงนั้นทิ้งเสียงหัวเราะอันแสนบ้าคลั่งของเด็กหนุ่มที่ก้องกังวานไว้เบื้องหลัง...



                บนระเบียงทางเดิน



                ดอกไม้สีแดงกลิ่นคาวคลุ้งสำหรับมนุษย์ทว่าหอมหวนสำหรับแวมไพร์เบ่งบานขึ้นตามทางที่หญิงสาวเดิน ด้วยพละกำลังและอำนาจที่เหนือกว่าของลูกชายตนคอร์เดเลียได้รับบาดเจ็บสาหัส หล่อนลากสังขารอันบอบช้ำจนซวนเซชนกับผนังเข้าอย่างจังแต่หล่อนไม่คิดจะหยุดพักยังคงหนีต่อไป



                เพราะหากไม่หนีอายาโตะฆ่าหล่อนอย่างแน่นอน



                และที่พึ่งสุดท้ายในตอนนี้ก็มีแต่...



                ปัง!



                คอร์เดเลียผลักประตูไม้เข้าในห้องทันทีด้วยบาดแผลที่ลูกชายคนโตฝากเอาไว้ทำให้ร่างของหล่อนแทบทรุดล้มลงกับพื้นทว่าต้องกัดฟันข่มประคองตนเองเพรียกหาคนอีกคนหนึ่งที่อยู่ภายในห้องนั้นที่กำลังหลับตาพริ้มนั่งเล่นเปียโนคล้ายไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย



                "ไลโตะ...ไลโตะ..." หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้คนตรงหน้าที่กำลังนั่งเล่นเปียโนร้องด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากลูกคนเล็กของตน



                "อ้าว? เป็นอะไรหรือเปล่า" ไลโตะถาม



                "อายาโตะน่ะ...ทำให้ฉัน อึ่ก...ต้องมีสภาพแบบนี้" คอร์เดเลียเค้นเสียงกล่าว



                "เห...? งั้นหรือ?" น้ำเสียงที่ไม่ยี่หระของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงทำให้คอร์เดเลียตกตะลึงมองอีกฝ่าย



                ทำไม? ทั้งที่อายาโตะกำลังตามฆ่าหล่อนอยู่แท้ๆ แต่ทำไมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทั้งยังเล่นเปียโนตัวโปรดได้หน้าตาเฉยแบบนี้?



                 อันที่จริงควรจะเป็นกันทั้งบ้านมากกว่าคล้ายไม่มีใครสนใจหล่อนที่กำลังบาดเจ็บเจียนตายหรือการกระทำของอายาโตะเลยแม้แต่นิดเดียว ชูกับเรย์จิก็ว่าไปเพราะสองคนนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับตนแน่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม สุบารุยิ่งหนักหล่อนเกลียดเขาและเขาก็เกลียดหล่อนจนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยส่วนเหตุผลที่เกลียดก็ไม่พ้นเรื่องที่เป็นลูกชายของคริสต้าผู้หญิงบ้าน่ารังเกียจคนนั้น



                 อีกทั้งเด็กคนนั้นมีส่วนคล้ายคนที่หล่อนเกลียดชังมากยิ่งกว่าอะไรในโลกที่ตายกลายเป็นอาหารหมาป่าไปเรียบร้อยแล้ว



                 นอกจากสามคนข้างต้นแล้วคนที่สมควรจะช่วยหล่อนกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยทั้งที่กลิ่นเลือดคละคลุ้งออกมาตั้งเยอะ คานาโตะกับหมีเท็ดดี้ของขวัญสุดห่วยแตกนั่นหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ แล้วไหนจะไลโตะที่นั่งเล่นเพลงกล่อมเด็กอย่างสบายอารมณ์นั่นอีก



                ราวกับทุกคนต้องการให้หล่อนตายไม่ปานนั้น...  



                ทว่าความตระหนกระคนสงสัยถูกปัดทิ้งไปด้วยความรักตัวกลัวตายคอร์เดเลียยื่นมือมาหาเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง



                "ไลโตะ มาช่วยฉันซะ..."



                พลันนั้นทำนองเพลงหยุดลง ดวงตาสีเขียวมรกตซึ่งมักจะมีความทีเล่นทีจริงอยู่ตลอดเรียบนิ่งทันทีคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่ไม่อาจเดาได้ ยิ่งมีเสียงอะไรบางอย่างดังออกมากนอกยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้แก่คอร์เดเลียเป็นอย่างมากคล้ายยมทูตกำลังเคาะประตูเรียกหาตนพร่ำบอกว่าอายาโตะกำลังมาฆ่าตนอยู่ตลอดเวลา



                และแล้วร่างสูงของไลโตะลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า... 



                "สบายใจเถอะ ผมจะปกป้องให้เองนะ"



                ห้องเก็บของในคฤหาสน์... 



                "อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา"



                เสียงกรีดร้องของหญิงสาวในชุดราตรีสีดำอันงดงามดังขึ้นอีกคราพร้อมความเจ็บปวดที่ลวดแล่นเข้าทั่วทั้งร่างกระหน่ำซ้ำเติมราวกับถูกสัตว์ร้ายรุมทึ้ง ก่อนร่วงหล่นจากที่สูงดวงตาสีมรกตเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงผู้เป็นลูกตนนั้นเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวและความตกตะลึงในคราวเดียวกัน



                ไม่...ไม่จริง! แม้แต่ไลโตะเองก็ด้วยหรือ?! ไลโตะต้องการฆ่าตนด้วยอย่างนั้นหรือ?!!



                มันเกิดอะไรขึ้น? มีอะไรผิดพลาดอย่างนั้นหรือ?



                คำถามนี้ผุดขึ้นมายามร่างทั้งร่างถูกกระแทกกับพื้นอย่างแรงบนพุ่มกุหลาบที่ปลูกอยู่ด้านล่าง เลือดสีแดงฉานไหลรินออกมาย้อมกุหลาบแดงให้แดงยิ่งขึ้นเพิ่มความคาวคลุ้งด้วยกลิ่นดั่งสนิมเหล็กชวนคลื่นไส้สำหรับมนุษย์ทว่าหอมหวนชวนมอมเมาสำหรับแวมไพร์ ไลโตะคล้ายพูดอะไรบางอย่างก่อนจากไปซึ่งตัวคอร์เดเลียเองไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น



                สิ่งที่หล่อนสนเพียงอย่างเดียวคือจะหนีออกไปอย่างไรเพราะตอนนี้หล่อนแทบไม่เหลือแรงที่จะหนีแล้ว...



                อายาโตะจัดการจุดสำคัญถึงไม่ตายทันทีแต่ก็เสียเลือดไปมาก ไลโตะผลักตกจากที่สูงทำให้กระดูกเกือบทั้งหมดในร่างกายนั้นแตกหักไปหมด 



                อย่าคิดถึงเรื่องหนีเลยแค่กระดิกนิ้วก็ยังเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างแล้ว



                ไม่ว่าจะคบคิดเท่าไหร่ก็หนีความตายไม่พ้น ในเมื่ออายาโตะกับไลโตะรวมหัวกันฆ่าตนแล้วมีหรือที่คานาโตะลูกชายคนกลางของตนนั้นจะไม่มาร่วมด้วย



                ทำไม? เพราะอะไร? ทำไมลูกชายทั้งสามคนที่ควรจะเชื่อฟังตนโดยดุษฏีกลับร่วมมือกันฆ่าตนได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้



                เพราะอะไร? เพราะอะไร? เพราะอะไร? เพราะอะไรถึงทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับแม่ผู้บังเกิดเกล้าอย่างตนกัน ในเมื่อเป็นพวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งเรียกร้องความรักความสนใจจากเขาคนนั้นเท่านั้นแค่ตนให้กำเนิดมาก็ถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว 



                ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้กัน?



                คอร์เดเลียที่นอนนิ่งบนพุ่มกุหลาบแดงใคร่ครวญคิดหาคำตอบของคำถามนี้วนไปมา ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองนั้นทำมันผิดพลาดตรงไหน? ทำไมผลลัพธ์ถึงออกมาเป็นแบบนี้กัน?



                ...และแล้วคำตอบนั้นก็คือคำพูดสุดท้ายของไลโตะนั่นเอง



                '...ถึงคุณจะรักผมแต่คุณก็ยังไม่ใช่ 'เขา' อยู่ดี ความรักของคุณผมไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว'



                เขา? เขาอย่างนั้นหรือ?



                ยามเมื่อรู้ว่าเขาคนนั้นที่ไลโตะว่าคือใคร เสียงหัวเราะคล้ายเย้ยหยันตนเองนั้นดังขึ้นแทบลืมเลือนความเจ็บปวดที่ได้รับ ดวงหน้าอันทรงเสน่ห์ของหญิงสาวบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชังและความเคียดแค้นปะทุขึ้นมาในหัวใจที่เผยออกมาให้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง 



                คนที่ไม่ว่าจะกี่ร้อยกี่พันปีหรือตายกลายเป็นผีตายซากแล้วก็ยังคงแย่งความรักที่ควรจะเป็นของหล่อนจากสามีไป แวมไพร์เพียงตนเดียวที่ครอบครองหัวใจของราชันย์แวมไพร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด



                นางามิตสึ เบียคุยะ!   



                ทำไมต้องเป็นแกตลอดด้วย! ขโมยสามีสุดที่รักของตนไปไม่พอยังจะมาขโมยลูกของตนอีกแม้แต่กระทั่งลูกคนอื่นก็ยังขโมยไปด้วย อสรพิษเลี้ยงไม่เชื่องนั่น! ขนาดตายไปร้อยกว่าปีแล้วยังแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันอีกอย่างนั้นหรือ?!



                เกลียด! เกลียด! เกลียด! เกลียด!



                "นางามิตสึ เบียคุยะ! ฉันขอสาปแช่งแกต่อให้แกตายไปหลายร้อยปีแล้วขอให้แกไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข ขอให้ทุกข์ทรมานหมกไหม้ในนรกไปตลอดกาลซะ!! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!"



                ค่ำคืนแห่งความเกลียดชังพ้นผ่านพร้อมร่างปราศจากหัวใจและวิญญาณของหญิงสาวผู้หญิงที่กำลังมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเปี่ยมด้วยความบ้าคลั่งและวิปลาสคล้ายเป็นสิ่งส่งท้ายของการจากลาในครั้งนี้



                จากเถ้าสู่เถ้า ธุลีสู่ธุลี...



                ความบังเอิญนั้นไม่มีในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและถูกเชื่อมโยงด้วยสายใยทีมองไม่เห็น บ้างก็เรียบง่ายแทบไม่มีอะไรซับซ้อน บ้างก็วุ่นวายยากที่จะแก้ปมออก 



                แต่โดยรวมแล้วทุกสรรพสิ่งทุกโยงเอาไว้ด้วยเส้นด้ายที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่อันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเศร้า ความโกรธ และความเกลียดชัง 



                ทุกอย่างล้วนมีความสำคัญและความหมายทั้งสิ้น



                ...และด้วยความบ้าคลั่งนี้ เส้นด้ายแห่งโชคชะตาเริ่มถักทอขึ้นอีกคราหลังจากห่างหายไปนานแสนนาน



    ....................................................


    Let's Talk with Writer : 

    ขออภัยที่ไม่มาอัพซะนานทิ้งค้างไว้นานหลังจากที่บอกว่าจะมาต่อทันที คือคีย์บอร์ดเค้าเสียค่ะแป้นทุกตัวกดไม่ได้แล้วก็ต้องมารออะไหล่อีกซึ่งอะไหล่ก็หายากด้วยนี่ยังไม่นับเรื่องสอบย่อยอะไรต่างๆ เลยนะบอกได้ว่าพังมากเลยค่ะ กระซิกๆ T-T ตอนนี้ก็อืมวาร์ปไปตอนหนุ่มๆ โตแล้วนะคะอยากให้โตเร็วก็จัดให้แล้วที่เหลือก็รอยุยมาเท่านั้นค่าตัวแพงจังนะทั้งที่ไม่ใช่ตัวเอกของเรื่อง แต่ถ้าเทียบตัวที่แพงสุดก็คือบ้านสึกินามิค่ะบ้านนั้นกว่าจะออกมานี่แบบ...555+

    ตอนนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความคิดของเหล่าพี่น้องมุคามิที่มีต่อมิไฮนซ์ค่ะซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นความคิดในแง่ลบทั้งนั้น(ยกเว้นอาซึสะเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก) เหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมิไฮนซ์เอาแต่หนีออกจากคฤหาสน์ พยายามฆ่าคาร์ลไฮนซ์มาหลายครั้ง(แต่ก็ล้มเหลว) ข้าวของภายในบ้านก็โดนลูกหลงจากการกระทำของเขาแถมยังว่าคาร์ลอีกถึงแม้ว่าไม่ใช่ต่อหน้าพวกเขาโดยตรงก็ตามที 

    พี่น้องมุคามิที่มองว่าคาร์ลนั้นเป็นผู้มีพระคุณเพราะว่าช่วยพวกเขาจากการตามล่าของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็เลยตั้งแง่ค่ะ ประมาณแกเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาว่าผู้มีพระคุณของเขาถ้าหากไม่มีเขาพวกตนก็ไม่รอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้หรอกส่วนสาเหตุที่คิดว่าอีกฝ่ายทำดีด้วยเพราะหวังผลก็มาจากการกระทำข้างต้นของมิไฮนซ์ค่ะ สรุปความสัมพันธ์ในตอนนี้ก็คือติดลบ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่เข้าใจด้วยว่าคนนิสัยเสียอย่างมิไฮนซ์มีดีอะไรทำให้คาร์ลรักเพราะว่าไม่จะทำอะไรคาร์ลนั้นยั้งมือไม่เอาถึงตายตลอด

    ถ้าตัวละครบ้านมุคามิ OOC ก็ขออภัยด้วยค่ะแต่เราเองก็อยากให้มิไฮนซ์มีที่พักหายใจเล็กน้อยบ้างคือบ้านซาคามากิแต่ละคนนี่แบบไม่ปกติกันทั้งนั้นเลย 555+ คริสต้ากลายเป็นบ้า คอร์เดเลียจ้องจะฆ่าแล้วก็เหยียบมิไฮนซ์ เบียทริกซ์ก็ซ้ำเติมอีกที คาร์ลไฮนซ์นี่...คนนี้โนคอมเม้นต์ พี่น้องเองก็เช่นกันแต่คนที่เป็นมากที่สุดในพาร์ทอดีตสำหรับเราแล้วคือเรย์จิ(สำหรับคนอื่นอาจไม่ใช่เรย์จิก็ได้แต่สำหรับเราแล้วเรย์จิน่าจะหนักที่สุดซึ่งเราต้องการให้เป็นเช่นนั้นเพื่อเอาคืนแทนชูนั่นแหละ//โดนตบ)

    เรย์จินางแค่ซึนเดเระเท่านั้นเองค่ะลึกๆ แล้วเรย์จิเองก็รักมิไฮนซ์นะแต่เพราะอยากได้ความรักจากแม่ด้วยเลยต้องทำทุกอย่างเอาใจเบียทริกซ์รวมไปถึงการแสดงท่าทีเย็นชาใส่มิไฮนซ์ก็เป็นหนึ่งในนั้นจนโดนเข้าใจผิดว่าเขาเกลียดมิไฮนซ์ ในเมื่อแม่เกลียดมิไฮนซ์เขาก็เกลียดตามด้วยแต่จนแล้วจนเล่าเขาเกลียดมิไฮนซ์ไม่ลงจริงๆ อาจจะเป็นเพราะความรักความปรารถนาดีโดยไม่หวังผลตอบแทนของมิไฮนซ์ที่มีต่อเรย์จิด้วยก็ได้ล่ะมั้ง เป็นความรักที่บริสุทธิ์จนเรย์จิไม่อาจขาดไปได้ยิ่งมารู้ตัวก็ตอนเสียเขาไป เดิมเรย์จิแค่อยากสั่งสอนชูเท่านั้นแต่เรย์จิมั่นใจในตัวเองเกินไปจนพลาดไม่รู้ว่ามิไฮนซ์มีคนรักจนเป็นเหตุให้แผนการณ์ของตนเองเป็นการกำจัดมิไฮนซ์ออกไปในชีวิตซะงั้น เรย์จิเลยเสียศูนย์ไปมากพอสมควรเลยทีเดียวเชื่อว่าถ้าเจอกันอีกทีนี่แบบ...

    ทุกตัวละครในนี้นั้นเป็นสีเทาค่ะ ไม่สมบูรณ์ และมีข้อผิดพลาดในตัวไม่เว้นแม้แต่มิไฮนซ์เองก็มีความผิดพลาดเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นความไม่สมบูรณ์และข้อผิดพลาดนี้แหละทำให้ตัวละครมีความเป็นมนุษย์ (คอร์เดเลียถ้าใครไม่ตามจนถึง Dark Fate หรือไปอ่านประวัติมาก็ไม่รู้หรอกว่าคอร์เดเลียเองก็มีมุมหนึ่งที่น่าเห็นใจอยู่ ตัวเองเป็นลูกนอกสมรสของบุไรเดม่อนลอร์ดของวีโบล่า แม่ตายตอนคลอดตัวเอง ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่มาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเจอคาร์ลไฮนซ์นี่แหละที่มารักมาใส่ใจตนเองจนกลายเป็นความยึดติดซึ่งอันที่จริงคาร์ลไฮนซ์นางแค่หลอกใช้คอร์เดเลียค่ะที่นางสนก็คือสายเลือดเฟิร์สบลัดอีกครึ่งในตัวของคอร์เดเลีย ปล.คนวางแพลนให้คอร์เดเลียเกิดมาก็ไอ้หมอนี่นี่แหละส่งเมเน่น้องโครเน่แม่คาร์ลากับชินไปแต่งกับบุไรเองกับมือเลย) มิไฮนซ์ดีก็จริงแต่ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์เราจะเห็นนิสัยเสียตรงที่แค้นฝังหุ่นคาร์ลนี่แหละแต่ก็มีเหตุผลมารองรับ(โดนทำลายครอบครัวนี่จะให้ไม่โกรธเกลียดก็คงยาก) คาร์ลไม่ใช่คนดีแต่ก็ไม่ได้เลวร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกันถึงแม้ว่าคาร์ลชอบใช้กำลังบังคับมิไฮนซ์แต่ก็มีบางมุมที่อ่อนโยนกับมิไฮนซ์ไม่ได้ใจแคบไปซะทุกเรื่อง ทุกอย่างมันมีเวลาของมันเองค่ะ หากไม่พอใจก็สามารถกด X มุมขวาออกได้เลยค่ะเพราะว่าเราไม่ชอบให้ฟิคเรามีมลพิษทางภาษาค่ะถ้าจะชี้แนะอะไรก็กรุณาชี้แนะด้วยความสุภาพค่ะ ขอบคุณ ^-^

     
    TB
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×