คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : White Rose 07 : เส้นด้ายแห่งโชคชะตา
White Rose 07
เส้นด้ายแห่งโชคชะตา
"ความบังเอิญไม่มีอยู่จริง ทุกคนนั้นล้วนเกิดมาพร้อมกับเส้นด้ายแห่งโชคชะตาต่อให้พยายามหลบเลี่ยงมากเพียงใดสุดท้ายเส้นด้ายเหล่านั้นจะชักนำพาเรากลับสู่กงล้อแห่งชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงนี้เอง"
หมับ!
"เบียคุยะ ทำอะไรอยู่เหรอ?!"
ผมสะดุ้งตกใจยามเมื่อมีใครบางคนพุ่งเข้ามากอดเอวผมจากด้านหลังจนต้องเหลียวไปมองเห็นเป็นเด็กชายผมสีเหลืองอ่อนที่มีดวงตาสองสีอันเป็นเอกลักษณ์กำลังยิ้มแฉ่งอย่างเริงร่า เขามาตอนไหนผมไม่รู้สึกตัวเลยสักนิดเดียวจนผมอวดสงสัยไม่ได้ว่าเพราะผมอ่อนแอเกินไปหรือว่าพลังของคาร์ลไฮนซ์ที่มอบให้พี่น้องทั้งสี่คนมากเกินไปกันแน่
ผมแกะมือของเขาออกก่อนหยิบตระกร้าผักใส่ในอ่างล้างจาน "กำลังทำเตรียมทำอาหารทานเองอยู่น่ะ โคว ผักจากสวนของเอ็ด...ไม่สิ ยูมะสดมากเลยนะเวลาทำอาหารต้องอร่อยมากแน่เลย"
"เห...แล้วยูมะอนุญาตแล้วเหรอ? หมอนั่นน่ะหวงสวนผักตัวเองจะตาย ว่าแต่ทำไมถึงเรียกยูมะว่า 'เอ็ด' บ่อยจังล่ะ? เคยรู้จักกันหรือเปล่า?"
อ้อ...เกือบลืมไปว่าไอ้ผู้ชายเฮงซวยนั่นสั่งห้ามไม่ให้ผมบอกความจริงเรื่องเอ็ดการ์นี่นะ หลังจากเกิดเหตุการณ์เกี่ยวกับสุบารุทำให้ผู้ชายคนนั้นลงคำสาปเพิ่มหากผมพูดอะไรในสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้พูด คำสาปจากพันธะโลหิตจะทิ่มแทงหัวใจเล่นงานผมทันที
เฮ้อ...ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่เลย...
"เรื่องนั้นน่ะบอกไม่ได้หรอกขอโทษนะ ว่าแต่เย็นนี้อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม? พอดีผมขอใช้ห้องครัวจากพวกปีศาจรับใช้ทำอาหารกินเองน่ะ"
"วองโกเล่บริอังโค! ของโปรดผมเลยล่ะ ว่าแต่เบียคุยะทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?"
"อย่ามาดูถูกฝีมือการทำอาหารของผมเชียวนะมากกว่านี้เคยทำมาแล้วแล้วอีกสามคนที่เหลือชอบทานอะไรเป็นพิเศษไหม?"
"รุกิชอบซุป ยูมะชอบน้ำตาลก้อน ส่วนอาซึสะน่าจะเป็นพริกเจ็ดรสน่ะตรงข้ามกับรุกิเลยรายนั้นไม่ชอบอาหารรสจัด ส่วนผมชอบวองโกเล่บริอังโคมากที่สุดเลย!"
อืม...ความชอบของพี่น้องสี่คนนี้หลากหลายดีเหมือนกันแฮะแต่ก็นะผมทำอาหารให้หลานผมตั้งหกคนมาแล้วแค่สี่คนมันไม่ยากอะไรอีกทั้งดูไม่ค่อยเรื่องมากเกี่ยวกับการกินเท่าไหร่นักถ้าเทียบกับหลานชายของผมโดยเฉพาะอายาโตะกับคานาโตะสองคนนี้จะค่อนเอาแต่ใจเรื่องกินนิดหน่อย
พอเห็นเด็กชายตรงหน้าผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้มันอดคิดถึงหลานชายของผมไม่ได้...
ป่านนี้พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ผมได้แต่หวังว่าพวกเขาทั้งหกคนนั้นเข้มแข็งพอที่จะก้าวผ่านเรื่องราวอันโหดร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงนี้ไปได้
อาจเป็นเพราะผมคิดถึงหลานชายที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นปีแล้วทำให้ผมเหม่อลอยจนไม่ทันเห็นใบหน้าของเด็กชายข้างกายที่แปรเปลี่ยนไปครู่หนึ่งก่อนกลับมาแย้มยิ้มเหมือนดังเดิม จากนั้นเอ่ยคำพูดหนึ่งออกมาทำให้ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจในความหมายทันที
"ว่าแต่เบียคุยะต้องการอะไรเป็นของแลกเปลี่ยนเหรอ?"
"ของแลกเปลี่ยน?" ผมถามด้วยความงุนงงเล็กน้อย ก็แค่ทำอาหารให้กินเฉยๆ เท่านั้นไม่ได้คิดอะไรมากสักหน่อยทำไมถามเหมือนผมทำไปเพราะหวังผลอย่างใดอย่างนั้น
"เบียคุยะทำวองโกเล่บริอังโคให้ผมแล้วยังทำอาหารจานโปรดให้กับรุกิ ยูมะ แล้วก็อาซึสะอีกที่ทำนี่เพราะต้องการของแลกเปลี่ยนจากพวกเราใช่ไหม?"
หา? โควคิดว่าที่ผมทำไปเพราะต้องการของตอบแทนอย่างนั้นเนี่ยนะ?
"ไปกันใหญ่แล้ว ที่ผมทำอาหารให้ก็เพราะผมอยากทำก็เท่านั้นเองแล้วเธอคิดว่าผมต้องการอะไรจากพวกเธอกันล่ะ? อะไรที่ทำให้เธอคิดแบบนั้น?"
"ไม่มีใครทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนหรอก อย่างคนทำงานหนักก็เพื่อแลกกับเงิน ทำความดีหวังจะได้ขึ้นสวรรค์ ซื้อดอกไม้ของขวัญเอาใจคนเพื่อให้ได้ความรัก แล้วอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า..."
"เบียคุยะไม่ต้องการอะไรจากพวกเรากันล่ะ...?"
ใบหน้าของโควที่มักจะประดับด้วยรอยยิ้มสดใสบิดเบี้ยวกลายเป็นใบหน้าอันแสนร้ายกาจแค่นยิ้มออกมาดวงตาสองสีกลมโตแปรเปลี่ยนไปเต็มไปด้วยความเย้ยหยันทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ มันเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นใบหน้าอื่นที่ไม่ใช่ใบหน้าอันแสนยิ้มแย้มสดใสอันเป็นเอกลักษณของโควที่ผมเห็นเป็นประจำ
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเด็กชายตรงหน้า...
"โคว คือว่าผม..."
"หึ...เบียคุยะไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ผมรู้อยู่แล้วล่ะว่าจริงๆ แล้วที่ทำดีกับพวกเราด้วยก็เพราะต้องการให้พวกเราเป็นตัวแทนของหลานชายเบียคุยะใช่ไหม? ทุกครั้งที่เห็นพวกเรามันทำให้เบียคุยะคิดถึงพวกเขาอยู่ตลอดเวลาเพราะอายุพวกเรารุ่นราวคราวเดียวกันกับพวกเขา"
"เรื่องคิดถึงผมยอมรับ แต่ว่าเรื่อง..." ไม่ทันพูดจบอีกฝ่ายก็ชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจทันที
"ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ดวงตาข้างนี้บอกความจริงผมทั้งหมด ทุกห้วงคำนึง ทุกลมหายใจเข้าออกของคุณมีแต่พวกเขาอย่างเดียว อ้อ! หรือว่าเบียคุยะต้องการหลอกใช้พวกเราให้ปล่อยตัวไปหาพวกเขากันล่ะ? ต้องการให้พวกเราทรยศท่านผู้นั้นด้วยความดีโง่ๆ ของคุณน่ะเหรอ? ขอบอกไว้ก่อนว่าการแสดงของคุณน่ะมันน่าสะอิดสะ..."
ปัง! โครมมมมมมม!!
"พอได้แล้ว! หยุดพูดซักที! มันจะดูถูกมากกันเกินไปแล้ว มุคามิ โคว!!"
เพราะผมไม่อาจอดทนกับคำพูดดูถูกดูแคลนจากเด็กชายผมสีอ่อนได้อีกต่อไปจึงเผลอเอามือทุบโต๊ะที่อยู่ใกล้เคียงแรงไปหน่อยจนโต๊ะพังหักเป็นสองท่อน ยังดีนะที่ผมออมแรงเอาไว้เพราะถ้าไม่ออมแรงความเสียหายอาจจะมากกว่านี้ก็เป็นได้
ทุกวันนี้ผมพยายามจะญาติดีกับพี่น้องทั้งสี่คนเพราะเห็นว่าอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้วอีกทั้งผมมองเห็นว่าอนาคตของพวกเขาเป็นอย่างไรต่อไปจากนี้มันอดทำให้ผมเป็นห่วงพวกเขาทั้งสี่คนไม่ได้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้งตอนไหน
คนอย่างคาร์ลไฮนซ์นั้นชอบความสมบูรณ์แบบหากมีอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็รับไม่ได้แล้วกำจัดมันทิ้งไปโดยไม่สนวิธีการถึงแม้ว่านั่นจะหมายถึงชีวิตอีกหลายชีวิตก็ตามทีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตนเองต้องการ
แต่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาบางคนไม่คิดที่จะถนอมน้ำใจผมเลยแม้แต่นิดเดียว
รุกิมักจะเชิดคางเล็กน้อยเวลาคุยกับผมคล้ายคนที่กำลังมองคนต่ำกว่าตนเองมันทำให้เขากับผมไม่ค่อยกินเส้นกันเท่าไหร่นัก เขามักจะตั้งคำถามผมว่าผมมีดีอะไรกันที่ทำให้ราชันย์แวมไพร์หลงใหลคลั่งไคล้ทั้งที่เขามองว่าผมไม่มีอะไรดีในสายตาของเขานอกจากตัวก่อปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน
บางครั้งก็เหน็บแนมผมเรื่องที่ผมไม่เจียมตัวที่ไปท้าตีท้าต่อยกับคาร์ลไฮนซ์แพ้กลับมาเลือดอาบทุกครั้ง เป็นเพราะเขาเทิดทูนอีกฝ่ายในฐานะผู้มีพระคุณมันทำให้ผมพยายามบอกกับตนเองว่าที่เขาทำแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรแค่พยายามเตือนเล็กน้อยด้วยความหวังดีก็พอ
แต่มันก็อดน้อยใจอีกฝ่ายไม่ได้เลยจริงๆ นี่นา...อีกฝ่ายไม่เคยคิดเก็บคำพูดของผมมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยว่าการศรัทธาในบางสิ่งมากเกินไปนั้นมันเป็นจะนำหายนะมาให้แก่ผู้ศรัทธาได้เสมอ
เหมือนกับตัวผมในอดีตที่หลงงมงายฝากชีวิตตนเองกับไว้พระผู้เป็นเจ้าที่ผมเคยเคารพรักจนสุดท้ายแล้วก็โดนศรัทธาของตัวผมเองย้อนกลับมาทำร้ายตัวผมและคนที่ผมรัก...
ผมไม่อยากให้เขาเผชิญกับด้านที่โหดร้ายทารุณของคำว่า 'ศรัทธา' เช่นเดียวกันกับที่ผมเคยเจอ
เอ็ดการ์หรือยูมะเองก็เช่นกัน ปกติเอ็ดการ์ที่ผมเคยรู้จักนั้นเป็นเด็กที่ร่าเริงแจ่มใส เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม มีความซุกซนตามประสาเด็กอยู่บ้างแต่ก็เป็นมิตรกับคนอื่น มีความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่เด็กที่ก้าวร้าวเอะอะชอบใช้กำลังท้าตีท้าต่อยแบบนี้
ครั้งหนึ่งผมพยายามช่วยงานในสวนผักของเขาพยายามพูดคุยด้วยเผื่อความทรงจำของเขากลับคืนมาบางส่วนแต่กลับกลายเป็นว่าโดนอีกฝ่ายเขม่นหน้าตวาดไล่ผมออกไปแล้วยังบอกอีกว่าผมมันน่ารำคาญให้เลิกวอแวยุ่งกับเขาซักที ซึ่งอันนี้ผมพยายามเข้าใจว่าเอ็ดการ์สูญเสียความทรงจำแล้วอาจเผชิญเรื่องเลวร้ายมาก็ได้เลยทำให้นิสัยเป็นแบบนั้น
ทั้งที่จริงแล้วผมรู้สึกเจ็บปวดกับคำพูดของเขามากหากผมเป็นขนาดนี้แล้วถ้าชูอยู่ด้วยจะรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหนกัน
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่อาจยอมแพ้ในเรื่องของเอ็ดการ์แล้วหวังว่ากาลเวลาจะทำให้เอ็ดการ์ยอมรับในตัวผมและสามารถจดจำเรื่องราวที่ผ่านมาได้
ทางอาซึสะก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนักนอกจากเขาไม่หยุดทำร้ายตนเองทั้งที่ผมเคยบอกไปแล้วว่ามันไม่ใช่คำตอบในสิ่งที่เขากำลังตามหาอยู่ เป็นเด็กที่ดื้อเงียบอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียวสำหรับผมแล้วเด็กที่ดื้อเงียบรับมือยากกว่าเด็กที่ดื้ออย่างตรงไปตรงมาเสียอีก
โดยรวมแล้วอาซึสะไม่มีปัญหาอะไรบางทีอาจจะเปิดใจยอมรับผมมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำจนบางทีผมหวังว่าโควน่าจะเป็นแบบเดียวกันเพราะท่าทางของอีกฝ่ายนั้นเป็นมิตรมากที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสี่คน
แต่ผมก็เพิ่งมารู้วันนี้เองว่าเขาคิดอย่างไรกับผม...
เมื่อความโกรธแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็วความโศกเศร้าน้อยเนื้อต่ำใจกลับเข้ามาแทนที่แทนแต่ด้วยความที่ผมมีนิสัยเสียชอบเก็บอารมณ์ความรู้สึกของตนเองอยู่แล้วทำให้ใบหน้าอันแสนเศร้าสร้อยนี้หายไปราวกับมันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาหลอกตาเท่านั้น "ไปที่ห้องรับประทานอาหารผมจะให้ปีศาจรับใช้ยกจานอาหารไปให้เอง"
ดวงตาสองสีของเด็กชายที่เพิ่งกล่าววาจาร้ายกาจออกไปนั้นเบิกกว้างเล็กน้อยกับการกระทำของผมอาจเป็นเพราะเขาคิดว่าผมอาจจะต่อว่าหรือลงไม้ลงมือกับเขาก็เป็นได้ โควไม่พูดอะไรต่อหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้จึงเดินออกไปจากห้องครัวอย่างเงียบๆ
เมื่อไม่เห็นร่างของเด็กชายผมสีเหลืองอ่อนแล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรกันผมรู้สึกได้ถึงหยดน้ำออกจากดวงตาแต่ผมปาดมันทิ้งอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้มันไหลออกมามากกว่านี้ เป็นครั้งที่สองแล้วล่ะมั้งที่ผมร้องไห้แบบนี้ ครั้งแรกผมร้องไห้เพราะความเย็นชาและความรังเกียจของเรย์จิที่มีต่อผม
ผมรู้ว่าที่เรย์จิเป็นแบบนี้ก็เพราะเบียทริกซ์แม่ของเรย์จินั้นเกลียดผมมากสำหรับคนที่ต้องการความรักจากแม่อย่างเรย์จิก็คงพลอยเกลียดผมตามไปด้วย ถึงแม้ว่าผมจะเข้าใจและมันไม่ทำให้ผมโกรธหรือเกลียดเขาก็จริงแต่มันก็ทำให้ผมเศร้าใจเป็นอย่างยิ่ง
การโดนคนในครอบครัวรังเกียจนั้นมันทรมานผมรู้ดีเพราะแต่ก่อนที่ผมจะเป็นมิไฮนซ์ผมก็เคยเป็นแบบนั้นมาก่อน เฝ้าวิงวอนให้เขามองว่าตนนั้นเป็นครอบครัวแต่สุดท้ายคำวิงวอนเหล่านั้นไม่เป็นจริง...
น่าสมเพชดีแท้ จะให้เขามองว่าผมเป็นครอบครัวได้อย่างไรในเมื่อผมไม่อาจเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเองได้ว่าผมเป็นทั้งอาและลุงของพวกเขาน่ะ
หลังจากเรย์จิผมไม่อยากร้องไห้อีกเป็นครั้งที่สองแต่สุดท้ายก็ร้องออกมาเพราะพี่น้องมุคามิ เศร้าใจที่พวกเขาทำลายความปรารถนาดีที่ผมมีต่อเขาด้วยคำพูดและการกระทำอันร้ายกาจ
ถ้าถามว่าผมโกรธพวกเขาไหมที่ทำแบบนี้กับผม ผมตอบได้เลยว่าผมไม่โกรธพวกเขาหรอกถ้าคิดถึงอนาคตของพวกเขาที่ต้องกลายเป็นหมากเบี้ยที่ถูกทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ในแผนการอันบ้าคลั่งของคาร์ลไฮนซ์ ความโกรธที่มีมันลดน้อยลงแต่แทนที่ด้วยความเศร้าใจแทน
"เอาล่ะ...ไม่ต้องคิดอะไรมาก มิไฮนซ์ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา เวลาผ่านไปมันจะดีขึ้นเอง..."
ผมกล่าวกับตนเองแบบนั้นตบหน้าตนเองเบาๆ เป็นการกระตุ้นให้อารมณ์กลับมาคงที่อีกครั้งจากนั้นตั้งหน้าตั้งตาลงมือทำอาหารให้สุดฝีมือเหมือนที่เคยทำให้กับหลานชายทั้งหกคนของผมตอนอยู่ปราสาทเอเดนเพื่อเป็นการผ่อนคลายอารมณ์ไปในตัวด้วย
โดยที่ไม่รู้ว่าการกระทำของผมนั้นอยู่ในสายตาของใครบางคน...
.
.
.
.
.
.
"พวกเธอรู้ตัวไหมว่าตนเองทำอะไรผิด มุคามิ รุกิ มุคามิ ยูมะ แล้วก็...มุคามิ โคว"
ด้วยน้ำเสียงอันเย็นเยียบกระดุจหอกน้ำแข็งพร้อมชื่อของตนที่ถูกเรียกอย่างเต็มยศด้วยน้ำเสียงนั้นมันทำให้เด็กชายรู้สึกว่าตนเองพลาดแล้วที่ไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้น เพราะเห็นว่าคนตรงหน้าไม่อยู่ในคฤหาสน์หลังนี้เลยมั่นใจว่าคำพูดและการกระทำของพวกเขาไม่ถูกล่วงรู้อย่างแน่นอน
แต่ใครจะไปนึกว่าราชันย์แวมไพร์ผู้มีพระคุณของพวกตนนั้นหลงใหลคลั่งไคล้ในตัวชายที่ชื่อ 'มิไฮนซ์' มากเกินไปจนถึงขั้นจับตาดูทุกฝีก้าวคอยมองอยู่ตลอดเวลาแม้กระทั่งเวลาอาบน้ำก็ยังไม่เว้นแบบนี้
วิปลาส! ความรักของท่านผู้นั้นที่มีต่อผู้ชายคนนี้มันวิปลาสเกินไปแล้ว!!
"ผมทราบว่าการกระทำของผมมันเลวร้ายแต่ถึงกระนั้นผมไม่อาจให้ผู้ชายคนนั้นล้ำเส้นท่านได้ ทุกครั้งที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับท่านผู้ชายคนนั้นมักตั้งแง่อคติอยู่เสมอผมเลย..." ไม่ทันที่เด็กชายผู้มีศักดิ์เป็นพี่ใหญ่ของบ้านอย่างรุกิกล่าวจบ ดวงตาสีเหลืองอำพันทอประกายเรืองแสงในความมืดเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารทำเอาตนรวมถึงพี่น้องที่ก่อเรื่องอีกสองคนแทบทรุดกับพื้นด้วยแรงกดดันจากผู้เป็นนายเหนือหัวของแวมไพร์
"เลยข้ามหัวฉันไปทำร้ายจิตใจเฮเลลที่รักอย่างนั้นหรือ? ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ทำตัวดีๆ กับเขาน่ะ" คาร์ลไฮนซ์ถามเสียงเย็น
"แต่ว่าเขาไม่เคยทำดีกับท่านเลยแล้วจะให้พวกเรา..." ยูมะพยายามท้วงแต่โดนสายตาของฝ่ายผู้มีศักดิ์นั้นตวัดมองจนไม่กล้าเอื้อนเอ่ยออกมา
"โควคุง เธอยังจำได้ไหมคำพูดในวันนั้นที่ฉันเคยบอกเธอน่ะ ในวันที่โดนยูมะคุงชกเพราะโกรธที่เธอไม่เข้าใจในตัวเขาน่ะ"
"ครับ ผมจำได้" เด็กชายผมสีเหลืองอ่อนพยักหน้า ในวันนั้นยูมะให้น้ำตาลก้อนเพราะเห็นว่าเขาอยากกินมันแต่ก็เสียมารยาทถามกลับไปว่าต้องการอะไรแลกเปลี่ยนเข้าใจว่ายูมะต้องการอะไรจากเขา ยูมะเลยโกรธต่อยเขาไปหนึ่งทีก่อนที่จะปรับความเข้าใจกันได้
แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับผู้ชายที่ชื่อมิไฮนซ์ในเมื่อมิไฮนซ์ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกับเขาเหมือนพวกรุกิสักหน่อยนี่นา...
ผู้ชายคนนั้นเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้เอาแต่ก่อปัญหาพยายามฆ่าผู้มีพระคุณของตนเองวันละสามมื้อหลังอาหารแทบทุกครั้งที่มีโอกาส ทำลายข้าวของย่อยยับ อีกทั้งตั้งแง่อคติมองว่าผู้มีพระคุณของตนเองนั้นเป็นคนเลวร้ายทั้งที่ไม่เคยรู้อะไรเลยว่าถ้าไม่ได้คนตรงหน้าพวกตนก็ไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้หรอก
ที่ทำดีด้วยไม่ใช่เพราะว่าต้องการออกจากคฤหาสน์ไปหาหลานชายของตนเองไม่ใช่หรือ? ทำดีด้วยเพราะเห็นพวกตนเป็นตัวแทนยามรู้สึกคิดถึงพวกเขาทั้งหกคน ดวงตาของเขาที่ได้รับมาจากคนตรงหน้านั้นไม่เคยโกหกมันบอกแบบนั้นจริงๆ
"คำพูดและความคิดเหล่านั้นน่ะ ความจริงแล้วมันไม่ใช่ของใครอื่นเลยนอกจากมิไฮนซ์"
เด็กชายทั้งสามคนเหมือนโดนสายฟ้าฟาดผ่ากลางหัวของตนเอง โดยเฉพาะยูมะกับโควนั้นอึ้งจนพูดไม่ออกเพราะไม่คิดว่าคนที่ดีแต่ก่อปัญหาชอบทำลายข้าวของท้าตีท้าต่อยกับนายเหนือหัวของตนเองอย่างมิไฮนซ์นั้นจะพูดอะไรแบบนี้ออกมา นี่เท่ากับว่าที่พวกเขาดีกันได้ก็เพราะคำพูดของผู้ชายคนนั้นหรือ?
"น่าแปลกใจใช่ไหมล่ะ? มิไฮนซ์เป็นแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์โดยกำเนิดแต่ว่าการพูดและการกระทำของเขานั้นกลับเหมือนมนุษย์มาก อารมณ์และความรู้สึกนึกคิดที่แวมไพร์ไม่เคยมีแต่เขากลับมีมันแบบนี้น่ะ เขาคนนั้นเป็นความขัดแย้งที่งดงามมากที่สุดอย่างที่ฉันไม่เคยเจอมาก่อนเลย"
อีกฝ่ายว่าแล้วพลางไล่นิ้วลงบนกลีบกุหลาบขาวในแจกันอย่างทะนุถนอมด้วยสายตาที่อ่อนลงก่อนกลับมาสนทนากับเด็กชายทั้งสามคนต่อ "ตอนนั้นฉันไม่เคยคิดเรื่องแบบนั้นหรอก ฉันได้แค่สงสัยว่าทำไมเขาถึงทำทุกอย่างเพื่อคริสต้าน้องสาวของเขาทั้งที่รู้ว่าบางอย่างที่ทำไปแล้วมันไม่ได้ของตอบแทนกลับอะไรเลย เขาให้คำตอบแบบเดียวกันกับที่ฉันเคยให้เธอเลยโคว"
"เพราะเป็นครอบครัวที่แท้จริงอย่างไรล่ะ ครอบครัวที่แท้จริงจะอยู่ตรงนั้น ไม่พยายามช่วงชิงอะไรไปจากคนในครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องการอะไรตอบแทนกลับมา ความปรารถนาดีที่ไม่มีวันสิ้นสุดนั้นมันคือความรักของครอบครัวที่แท้จริง"
"..."
"มิไฮนซ์เป็นคนเปิดโลกให้ฉัน 'แผนการอดัมกับอีฟ' นั้นมันจะกลายเป็นแผนการธรรมดาถ้าหากไม่มีเขาเป็นตัวจุดประกายนี้ขึ้นมาแผนการอันยิ่งใหญ่นี้ย่อมไม่เกิดขึ้น"
"ต่อให้เขากล่าวว่าร้ายพยายามฆ่าท่านตั้งหลายหนน่ะเหรอ...?" รุกิเอ่ย
"...ฉันทำให้เขาไม่มีทางเลือกเอง แล้วอย่างที่ฉันเคยบอกว่าไว้การรักใครสักคนอย่างแท้จริงนั้นมันยากแต่การห้ามหัวใจไม่ให้รักใครสักคนนั้นยากยิ่งกว่า เพราะแบบนั้นแหละฉันถึงมองข้ามและให้อภัยการกระทำของเขา ฉันยินดีด้วยซ้ำถ้าหากฉันตายด้วยน้ำมือของเขาน่ะแต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้..."
เด็กชายทั้งสามคนนิ่งเงียบ พวกตนรู้ดีว่าแผนการอดัมกับอีฟนั้นแต่เดิมทีนั้นมันควรเป็นคาร์ลไฮนซ์กับคอร์เดเลียภรรยาคนแรกผู้มีเชื้อสายของต้นตระกูลไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งภายในตัว แต่ทว่าภรรยาคนแรกของท่านผู้นั้นขาดคุณสมบัติในการเป็นอีฟทำให้แผนการสะดุดลงแผนการเลยชะลอลงไป
และผู้รับสืบทอดเจตนารมณ์นั้นคือลูกชายทั้งหกคนของท่านผู้นั้น
แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสี่คนรู้ว่าหากแผนการอดัมกับอีฟนั้นสำเร็จแล้วผลลัพธ์นั้นเป็นอย่างไร พวกเขาไม่ลังเลเลยที่จะยอมรับผลการกระทำที่ตามมาแต่ถึงกระนั้นพวกเขายังเคลือบแคลงสงสัยว่าการมีตัวตนอยู่ของชายผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับท่านผู้นั้นอย่างมิไฮนซ์นั้นมีอยู่เพื่ออะไรกันแน่
บางทีมันอาจจะเป็นความบันเทิงเล็กน้อยในชีวิตสองพันกว่าปีของนายเหนือหัวตนเองก็เป็นได้...
"ถ้าหากนั่นเป็นความประสงค์ของท่าน พวกเรา..."
"แบบนั้นมันเหมือนกับฉันบังคับพวกเธอน่ะสิ" คาร์ลไฮนซ์เอ่ยขัดขึ้นเหมือนรู้ว่าเด็กชายผมดำต้องการจะกล่าวอะไร "ฉันแค่ต้องการตักเตือนเท่านั้น ต่อให้เขาพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับตัวฉันแต่อย่างน้อยเขาก็อาศัยอยู่ชายคาเดียวกันกับพวกเธอ การอยู่ร่วมกัน มองหามุมมองที่ต่างกันออกไป และศึกษาธรรมชาติของอีกฝ่ายนั่นคือสิ่งที่ฉันอยากจะแนะนำให้พวกเธอลองทำดูต่อจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเธอเองแล้วนะ"
"เพราะพวกเธอกับเขาต้องอยู่ด้วยกันอีกนานเลยทีเดียว"
.
.
.
.
.
.
"เอ้า! รับไป"
ขณะกำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินในศาลากลางสวนอยู่ๆ เอ็ดการ์ที่โผล่มาจากที่ใดก็ไม่ทราบหยิบก้อนน้ำตาลก้อนหนึ่งจากถุงยื่นให้ผมซึ่งตัวผมเองก็ไม่ใช่คนที่ปฏิเสธน้ำใจคนเท่าไหร่นักโดยเฉพาะจากเด็กผมยิ่งไม่กล้าปฏิเสธใหญ่เลย ผลพวงที่ได้คือผมกล่าวขอบคุณเขาก่อนที่จะรับน้ำตาลก้อนนั้นเข้าปากตัวเองไป
อืม...หวานแฮะ แต่ก็สมแล้วที่เป็นเอ็ดการ์ดีนิสัยชอบน้ำตาลไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
"ยะ อย่าเข้าใจผิดนะ! ที่ฉันให้ก็แค่ตอบแทนเรื่องอาหารเย็นที่ทำให้ในวันนั้นน่ะไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลยเข้าใจไหม?!" จากนั้นเอ็ดการ์หันหน้าไปอีกทางคล้ายต้องการกลบเกลื่อนความรู้สึกของตนเองซึ่งแน่นอนว่าคนที่อ่านง่ายอย่างเอ็ดการ์นั้นกลบเกลื่อนอะไรไม่เคยมิดหรอก
"ถ้าอยากขอโทษก็พูดออกมาตรงๆ ดีกว่านะ"
"ขอโทษอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง?!"
"เธออายที่จะพูดออกมาตรงๆ เหรอ ยูมะ?" ผมถาม
"กะ ก็มันแบบ..." เอ็ดการ์เอ่ยตะกุกตะกักอย่างขัดเขินก่อนที่ก้มหน้าก้มตาด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
"ถ้าพูดออกไปแล้วฉันกลัวว่านายจะไม่ยกโทษให้น่ะสิก็ฉันทำกับนายไว้เยอะนี่นาแล้วจะให้..."
แป๊ะ!
"โอ๊ย! ทำบ้าอะไรขอนายน่ะมันเจ็บนะ!!"
เด็กชายตรงหน้าผมฮึดฮัดโวยวายทันทียามถูกผมดีดหน้าผากใส่เต็มแรง ผมยิ้มหัวเราะอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู "เธอไม่ใช่ผมนะจะได้คิดแทนว่าผมยกโทษให้หรือไม่ยกโทษให้ บางครั้งคำพูดที่ดูน่าอายอย่างคำว่าขอโทษน่ะมันเป็นสิ่งที่สมควรจะพูด ความซื่อตรงต่อความรู้สึกของตนเองน่ะมันสำคัญมากนะรู้ไหม?"
"จะพูดอะไรมันก็เรื่องของฉันล่ะน่า! นายกินชูการ์จังของฉันไปแล้วตอนนี้ถือว่าพวกเราหายกันเข้าใจไหมระหว่างเราไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว"
"อืม พวกเราหายกันแล้วไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว ขอบคุณสำหรับน้ำตาลก้อนนะ"
ผมส่งยิ้มบางทว่าจริงใจออกมากล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง ดวงตาของเอ็ดการ์เบิกกว้างเล็กน้อยก่อนหันมองไปทางอื่นเผลอยกมือจับหลังคอตนเองเก็บซ่อนอารมณ์เขินอายตามประสาเด็กน้อยที่ปากไม่ตรงกับใจก่อนที่ดวงตาสีน้ำตาลชำเลืองมองมายังที่ผมอีกครั้งหนึ่ง "อ่านหนังสืออะไรเล่มหนาขนาดนั้นจะอ่านจบเหรอ?"
"Les Misérables ของ วิกเตอร์ อูโก เป็นวรรณกรรมชื่อดังที่ผมเคยโปรดน่ะ ส่วนเรื่องเวลาสำหรับผมมันมีเยอะมากมายเลยทีเดียวอ่านวันละนิดไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็จบเอง"
"เคยโปรด?" เด็กชายเลิกคิ้วสงสัย
"ใช่ ผมเคยชอบมันมากแต่ตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าตนเองยังคงชอบมันได้อีกหรือเปล่าน่ะสิ"
"ทำไมล่ะ?" เด็กชายถามพลางนั่งใกล้ๆ ผมมองด้วยความสงสัยใคร่รู้เล็กน้อย
"ผมเคยคิดว่าผมกับ ฌอง วัลฌอง ตัวเอกของเรื่องมีอะไรบางอย่างคล้ายกันน่ะแต่ที่ผมสงสัยก็คือทำไมเส้นทางชีวิตของเขานั้นพบความสุขและความสงบสุขในชีวิตจากศรัทธาอันแรงกล้าแต่ทำไมผมยังหาเส้นทางนั้นไม่เจอเลยถึงแม้ว่าจะเจอแต่ก็เป็นแค่ความสงบสุขชั่วครู่เท่านั้น"
"..."
"ฮะๆ ว่าไปนั่น ผมกับวัลฌองเป็นคนละคนกันมันไม่เห็นแปลกเลยสักนิดเดียวว่าทำไมผมกับเขาถึงมีเส้นทางที่แตกต่างกันมากมายขนาดนี้ ผมไม่อาจเป็นเหมือนเขาได้จนบางทีผมเริ่มรู้สึกอิจฉาวัลฌองนิดหน่อยน่ะ"
"นายอิจฉาเป็นกับเขาด้วยเหรอ?" เอ็ดการมองผมคล้ายประหลาดใจ
ปกติผมไม่เคยแสดงท่าทีริษยาต่อใครเลยสักนิดเดียวจนบางครั้งผมโดนอิมิเลียหยอกเล่นว่าผมควรไปรับศีลบวชเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นเป็นตอนที่ผมยังคงมีศรัทธาอยู่แต่พออิมิเลียตายอย่างโหดร้ายทารุณไร้ซึ่งความเป็นธรรม เผชิญความเลวร้ายของสงครามกลางเมืองที่สะท้อนให้เห็นถึงจุดตกต่ำของความดีงามในตัวตนมนุษย์ที่สามารถฆ่าแกงกันได้อย่างเลือดเย็น สิ่งเหล่านั้นมันทำให้ผมเริ่มไขว้เขวกับศรัทธาที่ผมมี
ถึงแม้พร่ำบอกกับตนเองว่ามนุษย์นั้นไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมดเฝ้ารอปาฏิหาริย์ที่ทำให้ผมกลับมาศรัทธาในแสงสว่างเหมือนเดิมอีกครั้ง
แต่จนแล้วจนรอดปาฏิหาริย์นั้นยังคงไม่ปรากฏและแล้วจนในที่สุดผมก็เริ่มสิ้นศรัทธาอีกครั้งหนึ่ง...
จะหาว่าผมเป็นคนบาปหนาตายไปต้องตกนรกในข้อหาเคลือบแคลงสงสัยในพระผู้เป็นเจ้าก็ได้แต่สำหรับผมแล้วมันยากที่จะให้กลับมาศรัทธาได้ดังเดิมอีก ผมไม่ใช่ตัวเอก ผมไม่ใช่ ฌอง วัลฌอง ตัวละครที่ผมรักที่ต่อให้เจอเรื่องร้ายแรงหรืออุปสรรคมากมายแค่ไหนเขาก็ยังคงโอบอ้อมอารีเชื่อมั่นในความรักและความดีงามของโลก
ผมก็แค่มนุษย์คนหนึ่งที่กำลังหลงทางไม่ได้มีจิตใจเหมือนดั่งหินผามันก็แค่นั้น
เอ็ดการ์เห็นผมเหม่อลอยไกลออกไป เขากระแอมเรียกผม "ก็ใช่น่ะสิ! นายไม่ใช่ตัวละครที่นายรักนักหนาสักหน่อย แต่...ถึงอย่างนั้นนายก็มีดีของนายอยู่เหมือนกันนะ"
"แล้วผมมีดีอย่างไร?" ผมเอ่ยถาม
ยามอีกฝ่ายเห็นใบหน้าอันงุนงงของผมถึงกับชักสีหน้าขยี้ผมตนเองคล้ายเอือมระอากับผมเต็มทนแล้ว "โอ๊ย! นายเป็นพวกมองโลกในแง่ร้ายหาข้อดีของตนเองไม่เจอหรืออย่างไร?! อย่างน้อยนายก็ทนฉัน ทนรุกิ ทนโคว แล้วก็อาซึสะมาได้ถ้าเป็นคนปกติเขาไม่ทนแบบนายหรอก ในบรรดาผู้ใหญ่ที่ฉันเคยเจอก็มีแต่นายนั่นแหละที่จริงใจกับพวกเรามากที่สุดแล้ว"
"นี่หรือว่า...เธอกำลังปลอบผมน่ะ...?"
พอผมพูดเท่านั้นดวงตาสีน้ำตาลของเอ็ดการ์กระตุกวูบเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนเสมองไปทางอื่น "ปะ เปล่าสักหน่อย! ก็คนอย่างนายมันน่าหงุดหงิดนี่นา"
"ฮะๆ นั่นสินะ แต่ก็ขอบใจมากนะ" ผมยิ้มหัวเราะท่าทีเขินอายของเอ็ดการ์ที่ทำตัวเหมือนเด็กปากไม่ตรงกับใจด้วยความเอ็นดู เห็นท่าทางแบบนี้ผมโกรธเด็กตรงหน้านี้ไม่ลงเลยจริงๆ
นิสัยที่แพ้ทางเด็กแบบนี้เหมือนเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่เอาการอยู่เหมือนกันแฮะ...
ก็แหงล่ะ ผมติดนิสัยชอบดูแลคริสต้ามาตั้งแต่เด็กแล้วนี่นะ
"นี่...แล้วกับคนที่เหลือนายให้อภัยกับสิ่งที่พวกเขาทำไหม?" อยู่ๆ อีกฝ่ายถามโพล่งออกมาซึ่งเดาได้ไม่ยากเลยว่าพวกเขาที่ว่านี้หมายถึงใคร
"ถ้าพวกเขาเดินมาขอโทษด้วยความเต็มใจล่ะก็นะมันจะดีกว่าถ้าส่งเธอมาเป็นตัวตายตัวแทนมาขอโทษแบบนี้..."
"ง่ายแค่นั้น? ถ้าแบบนั้นฉัน...ดะ เดี๋ยวสิแล้วนายรู้ได้อย่างไร?!" เอ็ดการ์เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจจากนั้นถามผมเสียงตื่นๆ ด้วยความตระหนก
การกระทำแบบนั้นจากที่ผมหัวเราะอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดูแล้วมันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายเข้าไปใหญ่จนอดไม่ได้ที่เผลอลูบหัวของเอ็ดการ์ตามความเคยชิน
"ว่าแต่นายรู้ได้ยังไงว่า...เฮ้ย! อย่าขยี้ได้ไหมผมยุ่งหมดแล้ว!"
ผมหัวเราะให้กับการแกล้งเด็กตรงหน้าเล็กน้อยก่อนผละมือออกไป "ฮะๆ ขอโทษทีมันเคยชินน่ะ มันไม่เห็นจะยากอะไรเลย ด้วยนิสัยพวกเธอแล้วคงไม่เข้ามาตรงๆ หรอกนอกเสียจากจับไม้สั้นไม้ยาวหาตัวแทนมาคุยกับผมแล้วบังเอิญว่าเป็นเธอก็เท่านั้น ส่วนเรื่องขอโทษอะไรนี่อยากให้มันยากเหรอ?"
เด็กชายจัดทรงผมตนเองเสมองไปทางอื่นคล้ายเด็กที่ถูกพ่อแม่จับได้ว่าความผิดอะไรไว้ไม่ปานนั้นท่าทางสิ่งที่ผมคาดเดาเอาไว้นั้นถูกต้องอย่างแน่นอนถึงเรื่องที่บอกจับไม้สั้นไม้ยาวจะเป็นเพียงการเดาสุ่มเท่านั้นก็ตามที
แต่ผมก็ไม่ได้โกรธหรือไม่พอใจพวกเขานะเพราะเรื่องการเปิดใจยอมรับเรื่องบางเรื่องมันต้องใช้เวลาพอสมควร การที่พวกเขาพยายามเข้าหาผมแบบนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเลยทีเดียว
"ปะ เปล่า..แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ เอาเป็นว่าฉันกับนายหายกันแล้วนะ!"
"ไม่ต้องย้ำก็ได้ ยูมะคุง"
"จะได้กันลืมไงเล่า! ฉันไปรดน้ำผักก่อนอย่าลืมที่ตัวเองพูดเอาไว้ล่ะ นายค้างคาวเผือก!!"
ว่าแล้วเอ็ดการ์ก็วิ่งหน้าแดงออกไปด้วยความเขินอายตามประสาเด็กน้อยที่ปากไม่ตรงกับใจ ผมยิ้มอ่อนเล็กน้อยท่าทางก็ไม่เหมือนเอ็ดการ์ทั้งหมดสินะแต่ก็ถือว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเขาพัฒนาไปมากโขเลยทีเดียวและหวังว่าวันต่อๆ ไปความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพวกเขาพัฒนาขึ้นมาบ้าง
แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะเร็วขนาดนี้...
"เบียคุยะ! ทำวองโกเล่บริอังโคให้หน่อยคราวนี้ผมจะช่วยทำด้วยนะ"
"มิไฮนซ์...มีดเล่มนี้ผมให้มิไฮนซ์นะ..."
"นายน่ะ...หนังสือเล่มนั้นที่นายถือฉันยืมอ่านหน่อยสิ"
ที่เหลือทั้งสามคนต่างก็เข้าหาผมในวันถัดๆ มาหลังจากที่เอ็ดการ์ไปแล้วโดยวันแรกจะเป็นโคว วันที่สองเป็นอาซึสะซึ่งผมมองว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไรต่อผมแต่มาขอโทษทำไมก็ไม่รู้ คนสุดท้ายก็รุกิทิ้งห่างจากอาซึสะไปสองวันคาดว่าด้วยความทิฐิเยอะตามประสาลูกผู้ดีมีเงินที่ถูกตามใจจนเคยตัวทำให้เขาไม่เคยขอโทษใครเลยทิ้งระยะเอาไว้ให้รอลุ้นว่าจะมาตอนไหนและมาอย่างไร
ก็ไม่ผิดคาดสักทีเดียวเพราะรุกิชอบอ่านหนังสือเหมือนกับผมเลยใช้มันเป็นข้ออ้างเข้าหาผมได้ถึงแม้ว่าจะไม่มีคำขอโทษเลยก็ตามแต่ผมก็ยังคงรอวันที่เขากล่าวคำขอโทษออกมาตรงๆ น่ะนะ
แล้ววันนี้ก็เป็นอีกวันที่รุกิมาหาผมที่ห้องหนังสือ...
"เหมือนกันจังนะ นายน่ะ..."
"เหมือน?"
"กับคนอื่นไม่พ่อพระก็ศพเดินได้น่ะนายเหมือนมาก" อยู่ๆ ทำไมรู้สึกเหมือนโดนหาเรื่องอย่างไรไม่รู้แฮะ ถ้าเป็นคนอื่นคงตบคว่ำแล้วกระทืบซ้ำไปนานแล้วแต่ดีที่ยังเป็นผมเลยทำให้เด็กชายตรงหน้าผมนี้ยังคงอยู่ครบสามสิบสอง
"เพราะทำหน้าแบบนั้นไงถึงเหมือนมาก" หน้า? หน้าแบบไหน??
"กับคนอื่น ไร้ริษยา ไม่ไขว่คว้า ไม่แย่งชิง ไม่ต้องการความโดดเด่น ไม่สนองความต้องการของตนเองแบบที่คนๆ หนึ่งจะทำ เพราะแบบนั้นใบหน้าของนายจึงมีแต่ความสงสัยพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นต้องการจะสื่อไม่ว่าดีร้ายก็ตามยากที่มนุษย์คนหนึ่งจะมี"
"แต่น่าแปลกนะ...ที่นายดูมีความเป็นมนุษย์และมีชีวิตชีวามากที่สุดก็ต่อเมื่ออยู่กับท่านผู้นั้น"
"เธอประเมินฉันสูงเกินไปแล้ว รุกิคุง" ผมพูดยิ้มๆ
"ไม่โกรธหรือที่ฉันพูดถึงท่านผู้นั้น?" รุกิถามไปในขณะที่เปิดหนังสืออ่านไปพลางชำเลืองมองผมเล็กน้อย
"ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่พูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับคนๆ นั้นออกไปให้พวกเธอได้ยินถึงแม้ว่าผมยังเคืองเขาก็ตาม อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้มีพระคุณของพวกเธอนี่นะ การปกป้องเขามันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วล่ะ"
"นายนี่มัน..." คำหลังจากนั้นผมไม่ได้ยินเพราะอีกฝ่ายเก็บมันเอาไว้ในใจไม่ให้หลุดรอดออกมาก่อนปิดหนังสือเล่มหนาส่งคืนมันให้กับผม
"เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งถึงเล่มจะหนาแล้วก็เยอะเกินไปก็เถอะ"
"รุกิคุงเนี่ยโตเป็นผู้ใหญ่เร็วจังนะปกติเด็กวัยแบบเธอส่วนมากไม่อ่านหนังสือยากๆ แบบนี้หรอก"
"ฉันจะถือว่าเป็นคำชมก็แล้วกัน"
"จะถือทำไมก็ผมชมเธอจริงๆ นี่นา" พลันนั้นรุกิเสมองหันไปทางอื่นแต่ก็ซ่อนอารมณ์ได้ไม่หมดถ้าไม่สังเกตให้ดีๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเด็กตรงหน้านี้กำลังเขินอายที่ถูกชมจนหูขึ้นสีแดงอยู่แบบนี้หรอก
อาจเป็นเพราะผมเอ่ยความจริงออกมาอย่างซื่อๆ ได้อย่างง่ายดายล่ะมั้ง?
"นี่...หลายวันที่ผ่านมานี้ฉันมาคิดดูดีๆ แล้วการที่ฉันอคติกับนายฝ่ายเดียวมันออกจะไม่ยุติธรรมสำหรับนายถึงแม้ว่าฉันไม่ชอบที่นายว่าร้ายและพยายามฆ่าท่านผู้นั้นก็เถอะ"
"..."
"ก็อย่างที่นายพูดเพราะท่านผู้นั้นเป็นผู้มีพระคุณเป็นผู้มอบชีวิตใหม่ให้แก่พวกเราการปกป้องเขาย่อมเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับนายท่านผู้นั้นเป็นปีศาจที่เลวร้ายทำลายครอบครัวดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองทั้งสิ้น อีกอย่างพวกเราก็ต้องอยู่ด้วยกันอีกนานเลยทีเดียว และฉันจะไม่พูดซ้ำสอง.."
"...ฉันขอโทษทุกการกระทำที่ผ่านมา"
ไม่คาดคิดว่าเขาจะกล่าวขอโทษผมอย่างมีเหตุมีผลแบบนี้ ผมตะลึงชั่วขณะเพราะไม่คิดว่าเด็กชายตรงหน้าผมนี้จะมีความคิดที่ลึกซึ้งได้ขนาดนี้เหมือนไม่ใช่เด็กเลย ไม่สิ...บางทีสภาพแวดล้อมและบาดแผลจากสงครามมันบังคับให้เด็กคนหนึ่งโตเร็วเกินไปซึ่งสำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้า
ไม่อาจสนุกสนานได้ดั่งเคย ไม่อาจเก็บเกี่ยวความเยาว์วัยได้ดั่งเคย และไม่อาจคงความไร้เดียงสาแล้วผล่อยให้สูญสลายตามกาลเวลาได้ดั่งเคย
"ผมเองก็ต้องขอโทษพวกเธอเหมือนกันนะที่ทำตัวไม่ดีไปแบบนั้นเหมือนกันน่ะ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างขอโทษแล้วนับจากนี้ฝากตัวด้วยล่ะ รุกิคุง" ผมยิ้มกว้างจากนั้นยกนิ้วก้อยชี้ไปที่อีกฝ่ายเป็นนัยบอกว่ามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน
"เกี่ยวก้อยสัญญา? นายนี่ทำอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้..." ทางนั้นถอนหายใจมองอย่างหน่ายๆ กับการกระทำของผมแต่ก็ยอมเกี่ยวก้อยสัญญากัน
และดูเหมือนว่ามีแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วย...
"ยูมะ อย่าบังสิฉันมองไม่เห็น"
"นายเองก็อย่าเบียดฉันสิอึดอัดจะตายอยู่แล้ว!"
"โคว ยูมะ เหมือนพวกเราจะถูกจับได้แล้วล่ะ..."
ทันทีที่อาซึสะพูดออกไปเด็กชายทั้งสองคนถึงกับหันหลังมามองเห็นซึ่งตอนนี้ผมกับรุกิอยู่ทางด้านหลังของพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"ระ รุกิ พวกเราไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะ! ยูมะเป็นคนชวนพวกเรามาเอง"
"อ้าวเฮ้ย?! คนชวนมันแกไม่ใช่เหรอ โคว! อย่ามาโยนความผิดกันแบบหน้าด้านๆ สิ"
"...พยายามห้ามแล้วแต่พวกเขาไม่ฟังเอง"
"อย่าปัดความรับผิดชอบสิ! อาซึสะ!!"
"พวกนายทั้งสามคนก็รับผิดชอบด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ"
"เฮ้ย! รุกิฉันไม่ผิดนะฉันโดนโควลากมา ดะ เดี๋ยวสิ! รุกิหยุดนะ หยุดดดดดดดดด!"
หลังจากนั้นการตีกันระหว่างพี่น้องทั้งสี่คนเริ่มทำเอาผมแทบหัวเราะท้องคับท้องแข็งออกมาจนทนไม่ไหว ให้ตายสิ! ไม่ว่าอย่างไรก็โกรธพี่น้องสี่คนนี้ไม่ลงเลยจริงๆ น่ารักซะขนาดนั้นน่ะถึงพวกเขาจะปากแข็งไปหน่อยเรื่องความรู้สึกของตัวเองก็เถอะ พวกเขาก็แค่ต้องการเวลาก็เท่านั้นแหละส่วนที่เหลือต่อจากนี้มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าจะเปิดใจยอมรับผมได้มากแค่ไหนก็เท่านั้น
เมื่อสามารถควบคุมอารมณ์ตนเองไว้แล้วผมมองพวกเขาที่กำลังวิ่งไล่กันอยู่อย่างยิ้มๆ ยามมองเด็กเหล่านั้นภาพบางภาพสะท้อนออกมาพวกเขาทำให้ผมนึกถึงหลานชายทั้งหกคนของผมอาจจะเป็นเพราะด้วยวัยที่ไล่เลี่ยกันหรือความต้องการส่วนลึกที่ต้องการให้พวกเขาสนิทสนมกันเช่นพี่น้องทั้งสี่คนนี้ก็เป็นได้
จากวันนั้นก็เป็นปีแล้วสินะที่ผมติดอยู่ที่นี่...
ชู เรย์จิ อายาโตะ คานาโตะ ไลโตะ แล้วก็สุบารุ ป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ พวกเขาจะโกรธจะเกลียดผมที่ผมทิ้งพวกเขามาแบบนี้หรือเปล่า?
สำหรับตอนนี้สิ่งที่ผมหวังภาวนาก็ได้แต่รอเวลาที่เหมาะสมหาทางออกจากที่นี่ไปหาพวกเขาก็เท่านั้น
รอเวลาที่เส้นด้ายแห่งโชคชะตาที่เชื่อมโยงพวกเราเข้าด้วยกันนั้นนำพาให้ผมกับพวกเขาได้พบกันอีกครั้งหนึ่งต่อให้ปลายทางของมันนั้นจะมีแต่ความเกลียดชังก็ตามที....
.
.
.
.
.
ทุกสรรพสิ่งนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามการเวลา
จากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี...
และหลายปีถัดมาสรรพสิ่งที่คนเราเคยจดจำมันได้นั้นอาจกลายเป็นสิ่งอื่นที่คนเรานั้นไม่รู้จักอีกต่อไป...
...และท่ามกลางคืนพระจันทร์สีเลือดที่ส่องสว่าง ณ คฤหาสน์อันแสนมืดมนหลังนี้คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจหวนกลับคืนดังเช่นวันวานได้อีกต่อไป
"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!"
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวผู้หนึ่งดังก้องทั่วคฤหาสน์ทว่าน่าแปลกกลับไม่มีผู้ใดสนใจเสียงกรีดร้องนั้น โคมระย้าที่ส่องสว่างนั้นเผยร่างอันแสนสะโอดสะองงดงามในชุดราตรีสีดำตัวโปรดของเจ้าหล่อนนั้นซึ่งบัดนี้เปรอะเปื้อนคราบสีคล้ำแทบจะกลืนกับสีเนื้อผ้าหากไม่สังเกตมันให้ดี
"อึ่ก...อา...ยาโตะ" หญิงสาวนั้นพยายามเค้นเสียงออกมาเอ่ยเรียกบุคคลที่สองที่อยู่ด้วยกัน
ซึ่งบุคคลนั้นไม่ใช่ใครอื่นเลยนอกจากลูกชายคนโตของหล่อนเอง 'อายาโตะ'
เด็กหนุ่มร่างสูงหาได้สนใจคอร์เดเลียผู้เป็นมารดาของตนบาดเจ็บแต่อย่างใดทว่ากลับสนเสื้อสีขาวตัวโปรดของตนซึ่งบัดนี้เปรอะเปื้อนด้วยโลหิตสีแดงฉานของอีกฝ่ายแทน "อา...เลอะจนได้ ชุดนี้ค่อนข้างชอบแท้ๆ ชุ่มไปด้วยเลือดของท่านแม่ซะแล้วสิ"
อายาโตะกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมยไร้ซึ่งความรู้สึกแต่อย่างใด ว่าแล้วตนนั้นยกมือข้างที่เต็มไปด้วยโลหิตของผู้เป็นมารดาไล่ลิ้นตั้งแต่ฝ่ามือจรดปลายนิ้วลิ้มรสของเหลวสีแดงเข้มหลับตาพริ้มดื่มด่ำความหอมหวานอันซาบซ่านจากปลายลิ้นกระจายทั่วโพรงปาก รสชาติอันหอมหวนราวกับผลไม้ต้องห้าม เลือดบนฝ่าของเด็กหนุ่มผมแดงถูกโลมเลียอย่างเอร็ดอร่อยพลันลืมตาขึ้นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากดวงตาสีเขียวมรกตนั้นคือความบ้าคลั่งอันแสนวิปลาส
"อร่อยมากๆ เลยล่ะ อยากได้อีก"
เฮือก!
ดวงตาสีเขียวมรกตเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มตรงหน้าเบิกกว้างด้วยความตระหนกหวาดกลัว สัตว์ร้ายที่แสนบ้าคลั่งที่หญิงสาวนั้นสร้างและพยายามควบคุมมันบัดนี้ความบ้าคลั่งของมันเลยขอบเขตจนไม่อาจสามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป คอร์เดเลียมองอายาโตะไม่วางตาด้วยความไม่เชื่อในสายตาตนเองว่าอีกฝ่ายนั้นพยายามปลิดชีพตนด้วยความเลือดเย็น ไม่คิดว่าอีกฝ่ายคิดกระทำการมาตุฆาตฆ่าแม่ตนเองมาตลอดจนถึงตอนนี้
และด้วยความหวาดกลัวในพลังอำนาจที่เหนือกว่าคอร์เดเลียจึงหนีออกจากห้องโถงนั้นทิ้งเสียงหัวเราะอันแสนบ้าคลั่งของเด็กหนุ่มที่ก้องกังวานไว้เบื้องหลัง...
บนระเบียงทางเดิน
ดอกไม้สีแดงกลิ่นคาวคลุ้งสำหรับมนุษย์ทว่าหอมหวนสำหรับแวมไพร์เบ่งบานขึ้นตามทางที่หญิงสาวเดิน ด้วยพละกำลังและอำนาจที่เหนือกว่าของลูกชายตนคอร์เดเลียได้รับบาดเจ็บสาหัส หล่อนลากสังขารอันบอบช้ำจนซวนเซชนกับผนังเข้าอย่างจังแต่หล่อนไม่คิดจะหยุดพักยังคงหนีต่อไป
เพราะหากไม่หนีอายาโตะฆ่าหล่อนอย่างแน่นอน
และที่พึ่งสุดท้ายในตอนนี้ก็มีแต่...
ปัง!
คอร์เดเลียผลักประตูไม้เข้าในห้องทันทีด้วยบาดแผลที่ลูกชายคนโตฝากเอาไว้ทำให้ร่างของหล่อนแทบทรุดล้มลงกับพื้นทว่าต้องกัดฟันข่มประคองตนเองเพรียกหาคนอีกคนหนึ่งที่อยู่ภายในห้องนั้นที่กำลังหลับตาพริ้มนั่งเล่นเปียโนคล้ายไม่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
"ไลโตะ...ไลโตะ..." หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้คนตรงหน้าที่กำลังนั่งเล่นเปียโนร้องด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากลูกคนเล็กของตน
"อ้าว? เป็นอะไรหรือเปล่า" ไลโตะถาม
"อายาโตะน่ะ...ทำให้ฉัน อึ่ก...ต้องมีสภาพแบบนี้" คอร์เดเลียเค้นเสียงกล่าว
"เห...? งั้นหรือ?" น้ำเสียงที่ไม่ยี่หระของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงทำให้คอร์เดเลียตกตะลึงมองอีกฝ่าย
ทำไม? ทั้งที่อายาโตะกำลังตามฆ่าหล่อนอยู่แท้ๆ แต่ทำไมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยทั้งยังเล่นเปียโนตัวโปรดได้หน้าตาเฉยแบบนี้?
อันที่จริงควรจะเป็นกันทั้งบ้านมากกว่าคล้ายไม่มีใครสนใจหล่อนที่กำลังบาดเจ็บเจียนตายหรือการกระทำของอายาโตะเลยแม้แต่นิดเดียว ชูกับเรย์จิก็ว่าไปเพราะสองคนนั้นไม่ยุ่งเกี่ยวกับตนแน่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม สุบารุยิ่งหนักหล่อนเกลียดเขาและเขาก็เกลียดหล่อนจนไม่อยากยุ่งเกี่ยวด้วยส่วนเหตุผลที่เกลียดก็ไม่พ้นเรื่องที่เป็นลูกชายของคริสต้าผู้หญิงบ้าน่ารังเกียจคนนั้น
อีกทั้งเด็กคนนั้นมีส่วนคล้ายคนที่หล่อนเกลียดชังมากยิ่งกว่าอะไรในโลกที่ตายกลายเป็นอาหารหมาป่าไปเรียบร้อยแล้ว
นอกจากสามคนข้างต้นแล้วคนที่สมควรจะช่วยหล่อนกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยทั้งที่กลิ่นเลือดคละคลุ้งออกมาตั้งเยอะ คานาโตะกับหมีเท็ดดี้ของขวัญสุดห่วยแตกนั่นหายหัวไปไหนก็ไม่รู้ แล้วไหนจะไลโตะที่นั่งเล่นเพลงกล่อมเด็กอย่างสบายอารมณ์นั่นอีก
ราวกับทุกคนต้องการให้หล่อนตายไม่ปานนั้น...
ทว่าความตระหนกระคนสงสัยถูกปัดทิ้งไปด้วยความรักตัวกลัวตายคอร์เดเลียยื่นมือมาหาเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
"ไลโตะ มาช่วยฉันซะ..."
พลันนั้นทำนองเพลงหยุดลง ดวงตาสีเขียวมรกตซึ่งมักจะมีความทีเล่นทีจริงอยู่ตลอดเรียบนิ่งทันทีคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างที่ไม่อาจเดาได้ ยิ่งมีเสียงอะไรบางอย่างดังออกมากนอกยิ่งเพิ่มความหวาดกลัวให้แก่คอร์เดเลียเป็นอย่างมากคล้ายยมทูตกำลังเคาะประตูเรียกหาตนพร่ำบอกว่าอายาโตะกำลังมาฆ่าตนอยู่ตลอดเวลา
และแล้วร่างสูงของไลโตะลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า...
"สบายใจเถอะ ผมจะปกป้องให้เองนะ"
ห้องเก็บของในคฤหาสน์...
"อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา"
เสียงกรีดร้องของหญิงสาวในชุดราตรีสีดำอันงดงามดังขึ้นอีกคราพร้อมความเจ็บปวดที่ลวดแล่นเข้าทั่วทั้งร่างกระหน่ำซ้ำเติมราวกับถูกสัตว์ร้ายรุมทึ้ง ก่อนร่วงหล่นจากที่สูงดวงตาสีมรกตเช่นเดียวกับเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลแดงผู้เป็นลูกตนนั้นเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวและความตกตะลึงในคราวเดียวกัน
ไม่...ไม่จริง! แม้แต่ไลโตะเองก็ด้วยหรือ?! ไลโตะต้องการฆ่าตนด้วยอย่างนั้นหรือ?!!
มันเกิดอะไรขึ้น? มีอะไรผิดพลาดอย่างนั้นหรือ?
คำถามนี้ผุดขึ้นมายามร่างทั้งร่างถูกกระแทกกับพื้นอย่างแรงบนพุ่มกุหลาบที่ปลูกอยู่ด้านล่าง เลือดสีแดงฉานไหลรินออกมาย้อมกุหลาบแดงให้แดงยิ่งขึ้นเพิ่มความคาวคลุ้งด้วยกลิ่นดั่งสนิมเหล็กชวนคลื่นไส้สำหรับมนุษย์ทว่าหอมหวนชวนมอมเมาสำหรับแวมไพร์ ไลโตะคล้ายพูดอะไรบางอย่างก่อนจากไปซึ่งตัวคอร์เดเลียเองไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น
สิ่งที่หล่อนสนเพียงอย่างเดียวคือจะหนีออกไปอย่างไรเพราะตอนนี้หล่อนแทบไม่เหลือแรงที่จะหนีแล้ว...
อายาโตะจัดการจุดสำคัญถึงไม่ตายทันทีแต่ก็เสียเลือดไปมาก ไลโตะผลักตกจากที่สูงทำให้กระดูกเกือบทั้งหมดในร่างกายนั้นแตกหักไปหมด
อย่าคิดถึงเรื่องหนีเลยแค่กระดิกนิ้วก็ยังเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งร่างแล้ว
ไม่ว่าจะคบคิดเท่าไหร่ก็หนีความตายไม่พ้น ในเมื่ออายาโตะกับไลโตะรวมหัวกันฆ่าตนแล้วมีหรือที่คานาโตะลูกชายคนกลางของตนนั้นจะไม่มาร่วมด้วย
ทำไม? เพราะอะไร? ทำไมลูกชายทั้งสามคนที่ควรจะเชื่อฟังตนโดยดุษฏีกลับร่วมมือกันฆ่าตนได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้
เพราะอะไร? เพราะอะไร? เพราะอะไร? เพราะอะไรถึงทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับแม่ผู้บังเกิดเกล้าอย่างตนกัน ในเมื่อเป็นพวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งเรียกร้องความรักความสนใจจากเขาคนนั้นเท่านั้นแค่ตนให้กำเนิดมาก็ถือเป็นบุญคุณอันใหญ่หลวงแล้ว
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้กัน?
คอร์เดเลียที่นอนนิ่งบนพุ่มกุหลาบแดงใคร่ครวญคิดหาคำตอบของคำถามนี้วนไปมา ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ตนเองนั้นทำมันผิดพลาดตรงไหน? ทำไมผลลัพธ์ถึงออกมาเป็นแบบนี้กัน?
...และแล้วคำตอบนั้นก็คือคำพูดสุดท้ายของไลโตะนั่นเอง
'...ถึงคุณจะรักผมแต่คุณก็ยังไม่ใช่ 'เขา' อยู่ดี ความรักของคุณผมไม่ต้องการมันอีกต่อไปแล้ว'
เขา? เขาอย่างนั้นหรือ?
ยามเมื่อรู้ว่าเขาคนนั้นที่ไลโตะว่าคือใคร เสียงหัวเราะคล้ายเย้ยหยันตนเองนั้นดังขึ้นแทบลืมเลือนความเจ็บปวดที่ได้รับ ดวงหน้าอันทรงเสน่ห์ของหญิงสาวบิดเบี้ยวด้วยความเกลียดชังและความเคียดแค้นปะทุขึ้นมาในหัวใจที่เผยออกมาให้เห็นอย่างแจ่มแจ้ง
คนที่ไม่ว่าจะกี่ร้อยกี่พันปีหรือตายกลายเป็นผีตายซากแล้วก็ยังคงแย่งความรักที่ควรจะเป็นของหล่อนจากสามีไป แวมไพร์เพียงตนเดียวที่ครอบครองหัวใจของราชันย์แวมไพร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
นางามิตสึ เบียคุยะ!
ทำไมต้องเป็นแกตลอดด้วย! ขโมยสามีสุดที่รักของตนไปไม่พอยังจะมาขโมยลูกของตนอีกแม้แต่กระทั่งลูกคนอื่นก็ยังขโมยไปด้วย อสรพิษเลี้ยงไม่เชื่องนั่น! ขนาดตายไปร้อยกว่าปีแล้วยังแย่งทุกสิ่งทุกอย่างไปจากฉันอีกอย่างนั้นหรือ?!
เกลียด! เกลียด! เกลียด! เกลียด!
"นางามิตสึ เบียคุยะ! ฉันขอสาปแช่งแกต่อให้แกตายไปหลายร้อยปีแล้วขอให้แกไม่มีวันได้อยู่อย่างสงบสุข ขอให้ทุกข์ทรมานหมกไหม้ในนรกไปตลอดกาลซะ!! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!"
ค่ำคืนแห่งความเกลียดชังพ้นผ่านพร้อมร่างปราศจากหัวใจและวิญญาณของหญิงสาวผู้หญิงที่กำลังมอดไหม้ด้วยเปลวเพลิง รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเปี่ยมด้วยความบ้าคลั่งและวิปลาสคล้ายเป็นสิ่งส่งท้ายของการจากลาในครั้งนี้
จากเถ้าสู่เถ้า ธุลีสู่ธุลี...
ความบังเอิญนั้นไม่มีในโลก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและถูกเชื่อมโยงด้วยสายใยทีมองไม่เห็น บ้างก็เรียบง่ายแทบไม่มีอะไรซับซ้อน บ้างก็วุ่นวายยากที่จะแก้ปมออก
แต่โดยรวมแล้วทุกสรรพสิ่งทุกโยงเอาไว้ด้วยเส้นด้ายที่เปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่อันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นความรัก ความเศร้า ความโกรธ และความเกลียดชัง
ทุกอย่างล้วนมีความสำคัญและความหมายทั้งสิ้น
...และด้วยความบ้าคลั่งนี้ เส้นด้ายแห่งโชคชะตาเริ่มถักทอขึ้นอีกคราหลังจากห่างหายไปนานแสนนาน
....................................................
Let's Talk with Writer :
ขออภัยที่ไม่มาอัพซะนานทิ้งค้างไว้นานหลังจากที่บอกว่าจะมาต่อทันที คือคีย์บอร์ดเค้าเสียค่ะแป้นทุกตัวกดไม่ได้แล้วก็ต้องมารออะไหล่อีกซึ่งอะไหล่ก็หายากด้วยนี่ยังไม่นับเรื่องสอบย่อยอะไรต่างๆ เลยนะบอกได้ว่าพังมากเลยค่ะ กระซิกๆ T-T ตอนนี้ก็อืมวาร์ปไปตอนหนุ่มๆ โตแล้วนะคะอยากให้โตเร็วก็จัดให้แล้วที่เหลือก็รอยุยมาเท่านั้นค่าตัวแพงจังนะทั้งที่ไม่ใช่ตัวเอกของเรื่อง แต่ถ้าเทียบตัวที่แพงสุดก็คือบ้านสึกินามิค่ะบ้านนั้นกว่าจะออกมานี่แบบ...555+
ตอนนี้ก็แสดงให้เห็นถึงความคิดของเหล่าพี่น้องมุคามิที่มีต่อมิไฮนซ์ค่ะซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นความคิดในแง่ลบทั้งนั้น(ยกเว้นอาซึสะเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่นัก) เหตุที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมิไฮนซ์เอาแต่หนีออกจากคฤหาสน์ พยายามฆ่าคาร์ลไฮนซ์มาหลายครั้ง(แต่ก็ล้มเหลว) ข้าวของภายในบ้านก็โดนลูกหลงจากการกระทำของเขาแถมยังว่าคาร์ลอีกถึงแม้ว่าไม่ใช่ต่อหน้าพวกเขาโดยตรงก็ตามที
พี่น้องมุคามิที่มองว่าคาร์ลนั้นเป็นผู้มีพระคุณเพราะว่าช่วยพวกเขาจากการตามล่าของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็เลยตั้งแง่ค่ะ ประมาณแกเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาว่าผู้มีพระคุณของเขาถ้าหากไม่มีเขาพวกตนก็ไม่รอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้หรอกส่วนสาเหตุที่คิดว่าอีกฝ่ายทำดีด้วยเพราะหวังผลก็มาจากการกระทำข้างต้นของมิไฮนซ์ค่ะ สรุปความสัมพันธ์ในตอนนี้ก็คือติดลบ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่เข้าใจด้วยว่าคนนิสัยเสียอย่างมิไฮนซ์มีดีอะไรทำให้คาร์ลรักเพราะว่าไม่จะทำอะไรคาร์ลนั้นยั้งมือไม่เอาถึงตายตลอด
ถ้าตัวละครบ้านมุคามิ OOC ก็ขออภัยด้วยค่ะแต่เราเองก็อยากให้มิไฮนซ์มีที่พักหายใจเล็กน้อยบ้างคือบ้านซาคามากิแต่ละคนนี่แบบไม่ปกติกันทั้งนั้นเลย 555+ คริสต้ากลายเป็นบ้า คอร์เดเลียจ้องจะฆ่าแล้วก็เหยียบมิไฮนซ์ เบียทริกซ์ก็ซ้ำเติมอีกที คาร์ลไฮนซ์นี่...คนนี้โนคอมเม้นต์ พี่น้องเองก็เช่นกันแต่คนที่เป็นมากที่สุดในพาร์ทอดีตสำหรับเราแล้วคือเรย์จิ(สำหรับคนอื่นอาจไม่ใช่เรย์จิก็ได้แต่สำหรับเราแล้วเรย์จิน่าจะหนักที่สุดซึ่งเราต้องการให้เป็นเช่นนั้นเพื่อเอาคืนแทนชูนั่นแหละ//โดนตบ)
เรย์จินางแค่ซึนเดเระเท่านั้นเองค่ะลึกๆ แล้วเรย์จิเองก็รักมิไฮนซ์นะแต่เพราะอยากได้ความรักจากแม่ด้วยเลยต้องทำทุกอย่างเอาใจเบียทริกซ์รวมไปถึงการแสดงท่าทีเย็นชาใส่มิไฮนซ์ก็เป็นหนึ่งในนั้นจนโดนเข้าใจผิดว่าเขาเกลียดมิไฮนซ์ ในเมื่อแม่เกลียดมิไฮนซ์เขาก็เกลียดตามด้วยแต่จนแล้วจนเล่าเขาเกลียดมิไฮนซ์ไม่ลงจริงๆ อาจจะเป็นเพราะความรักความปรารถนาดีโดยไม่หวังผลตอบแทนของมิไฮนซ์ที่มีต่อเรย์จิด้วยก็ได้ล่ะมั้ง เป็นความรักที่บริสุทธิ์จนเรย์จิไม่อาจขาดไปได้ยิ่งมารู้ตัวก็ตอนเสียเขาไป เดิมเรย์จิแค่อยากสั่งสอนชูเท่านั้นแต่เรย์จิมั่นใจในตัวเองเกินไปจนพลาดไม่รู้ว่ามิไฮนซ์มีคนรักจนเป็นเหตุให้แผนการณ์ของตนเองเป็นการกำจัดมิไฮนซ์ออกไปในชีวิตซะงั้น เรย์จิเลยเสียศูนย์ไปมากพอสมควรเลยทีเดียวเชื่อว่าถ้าเจอกันอีกทีนี่แบบ...
ทุกตัวละครในนี้นั้นเป็นสีเทาค่ะ ไม่สมบูรณ์ และมีข้อผิดพลาดในตัวไม่เว้นแม้แต่มิไฮนซ์เองก็มีความผิดพลาดเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นความไม่สมบูรณ์และข้อผิดพลาดนี้แหละทำให้ตัวละครมีความเป็นมนุษย์ (คอร์เดเลียถ้าใครไม่ตามจนถึง Dark Fate หรือไปอ่านประวัติมาก็ไม่รู้หรอกว่าคอร์เดเลียเองก็มีมุมหนึ่งที่น่าเห็นใจอยู่ ตัวเองเป็นลูกนอกสมรสของบุไรเดม่อนลอร์ดของวีโบล่า แม่ตายตอนคลอดตัวเอง ไม่ได้รับความรักความเอาใจใส่มาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเจอคาร์ลไฮนซ์นี่แหละที่มารักมาใส่ใจตนเองจนกลายเป็นความยึดติดซึ่งอันที่จริงคาร์ลไฮนซ์นางแค่หลอกใช้คอร์เดเลียค่ะที่นางสนก็คือสายเลือดเฟิร์สบลัดอีกครึ่งในตัวของคอร์เดเลีย ปล.คนวางแพลนให้คอร์เดเลียเกิดมาก็ไอ้หมอนี่นี่แหละส่งเมเน่น้องโครเน่แม่คาร์ลากับชินไปแต่งกับบุไรเองกับมือเลย) มิไฮนซ์ดีก็จริงแต่ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์เราจะเห็นนิสัยเสียตรงที่แค้นฝังหุ่นคาร์ลนี่แหละแต่ก็มีเหตุผลมารองรับ(โดนทำลายครอบครัวนี่จะให้ไม่โกรธเกลียดก็คงยาก) คาร์ลไม่ใช่คนดีแต่ก็ไม่ได้เลวร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นกันถึงแม้ว่าคาร์ลชอบใช้กำลังบังคับมิไฮนซ์แต่ก็มีบางมุมที่อ่อนโยนกับมิไฮนซ์ไม่ได้ใจแคบไปซะทุกเรื่อง ทุกอย่างมันมีเวลาของมันเองค่ะ หากไม่พอใจก็สามารถกด X มุมขวาออกได้เลยค่ะเพราะว่าเราไม่ชอบให้ฟิคเรามีมลพิษทางภาษาค่ะถ้าจะชี้แนะอะไรก็กรุณาชี้แนะด้วยความสุภาพค่ะ ขอบคุณ ^-^
ความคิดเห็น