คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : White Rose 06 : มิอาจหวนคืน
White Rose 06
มิอาจหวนคืน
"ไม่มีความบังเอิญในโลกนี้ ทุกสรรพสิ่งและความสัมพันธ์นั้นล้วนทุกเชื่อมโยงกันด้วยเส้นด้ายแห่งโชคชะตา ทว่าหากเส้นด้ายแห่งโชคชะตานั้นยุ่งเหยิงเกินกว่าที่จะแก้แล้วสายสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้ควรแก้มันต่อไปหรือควรตัดมันทิ้งอย่างไร้เยื่อใยดี?"
"หุบปากซะที! เลิกร้องได้แล้ว คานาโตะ!!"
หญิงสาวร่างสะโอดสะองในชุดกระโปรงยาวสีดำตวาดลั่นใส่เด็กชายตรงหน้า ใบหน้าอันงดงามทรงเสน่ห์ของเจ้าหล่อนบิดเบี้ยวด้วยความรำคาญใจเป็นอย่างยิ่งยามที่เด็กชายตรงหน้านี้เอาแต่ร้องไห้กอดตุ๊กตาหมีตัวโปรดร้องเรียกชื่อของคนผู้หนึ่งซึ่งตัวหล่อนนั้นนึกเกลียดอย่างสุดหัวใจ
นางามิตสึ เบียคุยะ...
มารหัวใจของหล่อน แวมไพร์เพียงตนเดียวที่แย่งความรักความสนใจของคาร์ลไฮนซ์สามีสุดที่รักของหล่อนไปจนหมดสิ้น
ถึงแม้ว่าคอร์เดเลียตวาดลั่นด้วยความเกรี้ยวกราดแต่มันไม่เข้าหูของเด็กชายผมสีม่วงเลยสักนิดเดียว เขาเอาแต่กอดตุ๊กตาหมีแผดเสียงดังมากกว่าเดิมร้องเรียกแต่ชื่อ 'เบียคุยะ' ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งเครื่องเรือนกระเบื้องเคลือบสวยงามรวมไปถึงกระจกหน้าต่างแตกกระจายเต็มพื้นไปหมด
ความอดทนหมดลงทันทีเมื่อคานาโตะลูกชายเธอไม่ฟังคำสั่งของหล่อน คอร์เดเลียจึงก้าวมาอยู่ตรงหน้าเด็กชายก่อนเงื้อมือตบลงใบหน้าน้อยๆ ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาอย่างแรง
เพี๊ยะ!!
คานาโตะชะงักค้างหยุดร้องไห้ยกมือจับแก้มตนเองมองไปที่มารดาของตนอย่างไม่วางตา ยามเมื่อเห็นลูกชายคนกลางของตนหยุดร้องแล้วคอร์เดเลียจึงหยุดมือถอยห่างออกมาแต่ถึงกระนั้นเด็กชายก็ยังคงสะอึกสะอื้นกอดตุ๊กตาหมีแน่นมากขึ้น "มะ...ไม่จริงใช่ไหม? ท่านแม่ เบียคุยะไม่มีทางทิ้งพวกเราไปใช่ไหม"
"หึ...ถ้าไม่ทิ้งจริงแล้วที่อยู่ๆ ก็หนีออกนอกปราสาทไม่กลับมาหลายวันนี่คืออะไร?" คอร์เดเลียกระตุกยิ้มมุมปากจากนั้นย่อตัวกระซิบข้างหูของเด็กชายเรือนผมสีม่วงสวยงามเช่นเดียวกับหล่อน ทุกคำพูดนั้นล้วนเป็นพิษร้ายทั้งสิ้น "ถ้าหากเบียคุยะรักพวกลูกจริงแล้วทำไมเขาถึงไม่บอกลูกว่าเพราะอะไรเขาถึงหนีออกจากปราสาทหายไปหลายวันแบบนี้กันล่ะ...? บางทีเขาไม่ได้รักลูกมากมายอย่างที่ลูกคิดก็ได้"
ยามเมื่อได้ยินดังนั้นดวงตาสีม่วงกลมโตเบิกกว้างขึ้นทำท่าจะกรีดร้องออกมาอีกครั้ง อายาโตะและคานาโตะผู้เป็นพี่น้องฝาแฝดของคานาโตะนั้นพยายามปลอบไม่ให้คานาโตะร้องไปมากกว่านี้ คนที่มีสติมากที่สุดคงเป็นไลโตะลูกชายคนเล็กเขาจึงถามกลับออกไปอย่างใจเย็น "ท่านแม่มีหลักฐานอะไรมาว่าเบียคุยะแบบนั้น?"
คำถามนี้ทำให้คอร์เดเลียนึกรำคาญอยู่ในใจเป็นอย่างมาก แวมไพร์ชั้นต่ำที่แย่งสามีของเธอไปอย่างหน้าด้านๆ มันมีดีอะไรนักหนาให้คนเขาปกป้องเชียว แต่ถึงกระนั้นหล่อนยังคงถือไพ่เหนือกว่าอยู่ดีเพราะไม่ว่าจะคิดอย่างไรคนที่เสียเปรียบเต็มๆ ก็คือเบียคุยะ แวมไพร์ที่น่าชิงชังตนนั้น...
หญิงสาวแสยะยิ้มออกมาก่อนโยนของชิ้นหนึ่งลงบนพื้นตรงหน้าเด็กชายทั้งสาม
มันเป็นต่างหูทรงหยดน้ำสีแดงซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นต่างหูของผู้หญิงทว่ามันขาดหายไปอีกข้างหนึ่งแทนที่จะอยู่ด้วยกันเป็นคู่ของมัน ยามเมื่อเห็นต่างหูข้างนั้นพร้อมกลิ่นของมนุษย์เจือจางในอากาศผสานกับกลิ่นอันแสนคุ้นเคย ดวงตาของไลโตะเบิกกว้างขึ้นด้วยความตะลึงงันเข้าใจในสิ่งที่มารดาของตนกำลังจะบอกทันที
นางามิตสึ เบียคุยะ มีคนรักเป็นมนุษย์อยู่ข้างนอกปราสาท...
"นี่มัน..."
"หลักฐานที่ลูกต้องการอย่างไรล่ะ
แม่เองก็เพิ่งรู้ไม่นานมานี้เองว่านางามิตสึ
เบียคุยะนั้นมีคนรักเป็นมนุษย์อยู่ข้างนอกปราสาทมานานแล้ว
นานมาก...นานก่อนที่พวกลูกๆ
หรือแม้กระทั่งชูลูกของหญิงคนนั้นจะเกิดมาเสียอีก"
ไม่จริง ไม่จริงใช่ไหม...? ใครก็ได้บอกทีว่ามันเป็นเรื่องโกหก...
เหมือนถูกค้อนปอนด์ขนาดใหญ่ทุบกลางหัวและยิ่งกว่าโดนน้ำเย็นสาดใส่หน้าในฤดูเหมันต์อันหนาวเหน็บแทบขยับไม่ได้
เนื้อตัวที่คิดว่าเย็นเยียบแล้วยามเผชิญกับความจริงอันน่าตกใจยิ่งแล้วกว่าเหมือนอยู่ดีๆ
ฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่นและสดใสแปรเปลี่ยนฤดูหนาวอันแสนโหดร้ายทารุณไม่มีผิด
ยามเห็นใบหน้าอันแสนสิ้นหวังของลูกชายทั้งสาม
คอร์เดเลียยิ้มกระหยิ่มใจก่อนจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำที่แฝงไปด้วยพิษร้ายออกมา
"ความรัก ความอบอุ่น ความอ่อนโยน
และความเอาใจใส่นั้นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเท่านั้น
เพราะความจริงแล้วคาร์ลพ่อของลูกกับผู้ชายที่ชื่อ 'นางามิตสึ
เบียคุยะ' นั้นมีสัญญาร่วมกัน"
"สะ สัญญา...? สัญญาอะไร?"
คราวนี้เป็นอายาโตะที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินออกจากปากของมารดาตนเอง
และคำตอบที่ได้นั้นเหมือนสายฟ้าฟาดผ่ากลางหัวใจของเด็กชายฝาแฝดทั้งสามคำ
"นางามิตสึ
เบียคุยะ
เคยเป็นกบฎอยู่ฝ่ายต้นตระกูลและพยายามโค่นล้มตระกูลค้างคาวของพวกเรามาก่อนอย่างไรล่ะ"
ราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้าเข้าอย่างจัง เด็กชายฝาแฝดทั้งสามคนต่างพากันตะลึงงันร่างทั้งร่างไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ราวกับติดหนึบอยู่ในบ่อโคลนและจมลงไปในนั้นเหมือนร่างกายของพวกเขานั้นทำมาจากตะกั่วอันแสนหนักอึ้ง
คนที่ตะลึงงันและไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้มากที่สุดคืออายาโตะ
เพราะเด็กชายผมแดงคนนี้ถูกบังคับให้เรียนอย่างหนักและวิชาประวัติศาสตร์ของโลกปีศาจนี้ก็เป็นหนึ่งในวิชาที่เขาเรียน
สงครามพันปีที่คาร์ลไฮนซ์ราชันย์แวมไพร์ผู้มีศักดิ์เป็นพ่อของตนกับบูไรเดม่อนลอร์ดแห่งวีโบล่าผู้มีศักดิ์เป็นตาของเขาร่วมรบต่อสู้กับพวกต้นตระกูลด้วยกัน
ชัยชนะของสงครามเป็นของราชันย์แวมไพร์แห่งตระกูลค้างคาว
สำหรับโลกปีศาจที่คาร์ลไฮนซ์เป็นใหญ่ที่สุดนั้นกลุ่มผู้ที่เข้าร่วมกับต้นตระกูลแพ้สงครามนั้นถือเป็นอาชญากร
เป็นกบฎต่อต้านบัลลังก์อันชอบธรรมของผู้นำตระกูลค้างคาว
เหมือนคำโป้ปดอีกครึ่งของตนเองกับความจริงอีกครึ่งที่รู้มาจากริชเตอร์หนึ่งในบรรดาชู้รักของตนเริ่มหลอมรวมกันกลายเป็นความจริงทั้งหมดขึ้นมา
คอร์เดเลียไม่สนว่าหัวใจของลูกชายแท้ๆ ของตนนั้นจะแหลกสลายหรือไม่
สิ่งที่ต้องการมากที่สุดสำหรับตอนนี้คือ 'ทำลาย' ตัวตนของนางามิตสึ เบียคุยะทิ้งซะ
และแล้วหญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีม่วงอันงดงามทว่าเปี่ยมไปด้วยไฟริษยาจึงกล่าวต่อทันที...
"เบียคุยะเป็นเด็กที่เหลือรอดจากการฆ่าล้างกลุ่มกบฎและพยายามฆ่าคาร์ลให้ตายคามือ
มันคงจะสำเร็จหากคาร์ลไม่แข็งแกร่งจัดการอีกฝ่ายง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ
คาร์ลนั้นมีความปรารถนาที่อยากจะจบชีวิตนิรันดร์ของตนซึ่งความต้องการนี้สอดประสานกับความต้องการของเบียคุยะพอดี
และเพราะแบบนั้นคาร์ลจึงทำพันธสัญญากับอีกฝ่ายเพื่อเติมเต็มความปรารถนาของกันและกันอย่างไรล่ะ"
"ไม่จริง...แต่ว่าวันนั้นท่าทีของเขามัน..."
เด็กชายผมสีน้ำตาลแดงทำท่าจะพูดต่อแต่ก็ต้องหยุดชะงักไม่กล้าพูดออกมา
คอร์เดเลียเลิกคิ้วแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย
"วันนั้น...? วันนั้นมันอะไรหรือว่าลูกรู้อะไรบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว?
ไลโตะ"
เมื่อโดนจี้ทำให้เด็กชายอ้ำอึ้งทำอะไรไม่ถูกทันที
จะให้เขาบอกได้อย่างไรว่าเบียคุยะแวมไพร์ที่พวกเขาหลงรักนั้นมีความสัมพันธ์กับพ่อของพวกเขาเองต่อหน้าทุกคนที่อยู่ในนี้โดยเฉพาะพี่ชายฝาแฝดทั้งสองของตน
ไลโตะรู้ดีว่าแม่ของตนนั้นรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วแต่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแกล้งถามความจริงจากปากของเขาคล้ายต้องการเปิดโปงความสกปรกโสมมของเบียคุยะที่ซุกซ่อนเอาไว้
...และเพื่อไม่ให้ตัวตนของเบียคุยะและหัวใจของพวกเขาแหลกสลายด้วยความจริงที่โหดร้ายไปมากกว่านี้ไลโตะจึงปิดเงียบไม่กล้าพูดเรื่องนี้ออกมา
"เปล่าครับ ท่านแม่"
ถึงแม้ว่าลูกชายคนสุดท้องปิดเรื่องนี้แต่ก็เป็นไปตามการคาดการณ์อยู่ดี
ตัวตนของนางามิตสึ
เบียคุยะภายในใจของลูกชายทั้งสามของตนนั้นพังทลายลงไปเรียบร้อยแล้ว
"คนที่ดีที่สุดกลับกลายเป็นคนที่ร้ายกาจมากที่สุด
เป็นอสรพิษเลี้ยงไม่เชื่องแว้งกัดเจ้านายของตนยามมีโอกาส
เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์หลอกใช้ความรักของคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
นั่นแหละคือตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายที่ชื่อ 'นางามิตสึ
เบียคุยะ' อย่างไรล่ะ"
"...เพราะถ้าเขารักพวกลูกจริงแล้วทำไมเขาถึงเลือกทิ้งพวกลูกไปหานางมนุษย์ผู้หญิงคนนั้นกันล่ะ
จริงไหม?"
ยิ่งฟังความจริงจากปากมารดามากเท่าไรสามแฝดยิ่งรู้สึกเหมือนถูกทรยศหักหลังมากขึ้นเท่านั้น
โลกอันแสนสุขของพวกเขานั้นเริ่มพังทลายลงด้วยความจริงที่ว่าตนเองนั้นไม่ใช่ที่หนึ่งในใจของเขาคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว
คนที่ตนรักสุดหัวใจนั้นมีคนที่รักยิ่งมากกว่าพวกตน ความอ่อนโยน ความอบอุ่น
และรอยยิ้มที่ตนต้องการนั้นกลับกลายเป็นของคนอื่น
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงเสียที...
คอร์เดเลียนึกขอบคุณตนเองที่บังเอิญเห็นอีกฝ่ายรีบร้อนออกจากปราสาทไปยังโลกมนุษย์ด้วยท่าทีมีพิรุธชวนสงสัยและก็ต้องขอบคุณทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์อย่างริชเตอร์สะกดรอยตามพ่อบ้านแวมไพร์ตนนั้นตามคำสั่งของตน
จนกระทั่งพบความจริงที่น่าตกใจว่าเจ้าแวมไพร์ชั้นต่ำที่หยามหน้าบุตรีของเดม่อนลอร์ดแห่งวีโบล่าอย่างไม่รักตัวกลัวตายนั้นมีคนรักเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งลับหลังพวกตน
โดยเฉพาะลับหลังคาร์ลไฮนซ์สามีผู้เป็นที่รัก...
ถึงหล่อนไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรแต่ในที่สุดก็พบจุดอ่อนและถึงเวลากำจัดนางามิตสึ
เบียคุยะ มารหัวใจของหล่อนเสียที
ประจบเหมาะที่โลกมนุษย์นั้นเกิดสงครามกลางเมืองพอดีและด้วยความที่ริชเตอร์หนึ่งในชู้รักของตนรู้งานจึงคอยปั่นหัวใส่ร้ายป้ายสีใส่เจ้าแวมไพร์ชั้นต่ำนั่น
ทำให้ชาวบ้านผู้โง่เขลาให้ออกตามล่าอีกฝ่ายชนิดไม่มีแผ่นดินจะอยู่ไปที่แห่งใดต้องถูกตามรังควาญและสาปแช่งไม่มีวันพบกับความสงบสุขอีกต่อไป
เป็นอะไรที่สาแก่ใจมากที่สุดสำหรับตนเสียจริง
แต่น่าเสียดายที่นางมนุษย์คนนั้นตายก่อนที่แวมไพร์ชั้นต่ำนั่นพบเข้าไม่อย่างนั้นเรื่องราวคงน่าสนุกกว่านี้เป็นแน่...
ยิ่งคิดแล้วยิ่งน่าสมเพช...ทำตัวนอกคอกแปลกแยกจากแวมไพร์ตนอื่นยังไม่พอยังปันใจให้กับปศุสัตว์ชั้นต่ำเช่นมนุษย์อีก
ขนาดโดนทำร้ายจนเกือบปางตายแล้วก็ยังเกลียดมนุษย์ไม่ลงแทนที่จะฆ่าทิ้งให้หมดกลับหนีเตลิดออกมาอย่างจนตรอก
สร้างเสื่อมเสียให้แก่วงตระกูลค้างคาวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกปีศาจเป็นอย่างยิ่ง
"ป่านนี้คาร์ลคงจัดการเขาในฐานะที่ทรยศและละเลยหน้าที่ของการเป็นผู้พิทักษ์เขตแดนแล้วล่ะมั้ง
แต่...ก็ดีแล้วล่ะถือซะว่าเป็นบทเรียนสำคัญของพวกลูกก็แล้วกัน
ไม่มีใครรักและให้ความสำคัญกับลูกไปมากกว่าแม่อีกแล้วล่ะจะบอกให้ ฮะๆๆ!"
คอร์เดเลียแสยะยิ้มหัวเราะพูดตอกย้ำใส่ก่อนเดินจากไป
...และทิ้งความเจ็บปวดรวดร้าวเอาไว้ข้างหลัง
"เท็ดดี้...เบียคุยะทรยศพวกเราจริงๆ เหรอ?"
คานาโตะที่นิ่งเงียบหายไปนานเริ่มพูดคุยกับตุ๊กตาหมีในมือของตนเองถามซ้ำไปซ้ำมาทว่าไร้ซึ่งการตอบรับ
จากนั้นหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธแค้นทว่าภายในความโกรธแค้นนั้นกลับเจือความขมขื่นจนน่าสงสาร
ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งสุดท้ายแล้วก็ถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลังไม่มีใครสนใจแม้แต่คนที่เขารักมากที่สุดยังทิ้งเขาไปหาคนอื่น
อายาโตะกำมือแน่นเล็บจิกจนฝ่ามือเป็นแผลเลือดออกซิบๆ
เขารับความจริงไม่ได้จึงเดินหนีออกหายออกไปขังตัวเองไว้ในห้องตลอดทั้งคืน
ทั้งเรื่องที่เบียคุยะเคยเป็นฝ่ายต้นตระกูลมาก่อน
ทั้งเรื่องที่คิดว่าตนเองและพี่น้องนั้นเป็นที่หนึ่งในใจของเขาตลอดไม่มีอะไรมาแทนที่ได้
กลับกลายเป็นว่าคนอื่นที่พวกตนไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเลยแม้แต่นิดเดียวกลายเป็นที่หนึ่งในใจของอีกฝ่ายตลอดเวลา
ความรักและความอ่อนโยนที่มีให้นั้นกลายเป็นของปลอมยามเมื่อรับรู้ความจริงอันโหดร้ายนี้
ไม่ว่าจะเป็นอะไรอายาโตะก็รับไม่ได้ทั้งสิ้น...
ไลโตะทำได้เพียงแค่นยิ้มออกมานึกสมเพชตนเอง
ตัวเขาทำได้ทุกอย่างเพื่อเบียคุยะทว่าสิ่งตอบแทนนั้นกลับเป็นความเจ็บปวดรวดร้าวคล้ายถูกมีดกระหน่ำแทงลงบนหัวใจซ้ำไปซ้ำมาจนเป็นแผลเหวอะหวะน่ารังเกียจยามเมื่อรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมานั้นสูญเปล่า
หัวใจของคนที่ตนรักนั้นมีเจ้าของอยู่แล้วถ้าไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะหนีออกจากปราสาทหายไปหลายวันกับเจ้าของหัวใจคนนั้นเพื่ออะไร?
ยามเมื่อคำลวงผสานกับความจริงอันโหดร้าย
เส้นด้ายแห่งสายสัมพันธ์ที่ถักทออย่างเหนียวแน่นนั้นขาดสะบั้นอย่างรวดเร็วไม่สามารถกลับไปเป็นดังเดิมได้อีกต่อไป
ถึงแม้ว่าเส้นทางของเด็กชายทั้งสามคนนั้นแตกต่างกันไปทว่ามีเพียงสิ่งหนึ่งที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันอยู่
ในเมื่อพวกเราต้องตายทั้งเป็นแบบนี้จะยอมให้คุณมีความสุขได้อย่างไร?
นางามิตสึ เบียคุยะ พวกเราไม่ให้อภัยคุณอย่างเด็ดขาด!
ทั้งความเจ็บปวดและน้ำตานี้
คุณจะต้องรับมันยิ่งกว่าพวกเรา!
คุณจะต้องชดใช้ในสิ่งที่คุณก่อ
นางามิตสึ เบียคุยะ จำเอาไว้! คุณจะต้องชดใช้!
อีกด้านหนึ่งของปราสาท...
ไม่...นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
สิ่งที่เขาต้องการมันไม่ใช่แบบนี้
เรื่องมันไม่ควรจะเป็นอย่างนี้สิ?! ทุกอย่างอยู่ในการคำนวณของเขาหมดแล้วแต่ทำไมผลลัพธ์กลับกลายเป็นแบบนี้
เหมือนถูกลากไปตบแสกหน้าท่ามกลางผู้คนมากมายจนรู้สึกอับอายไม่กล้าสู้หน้าใครได้อีก
เรย์จิไม่เคยรู้สึกคิดผิดแบบนี้มาก่อนในชีวิตทว่ายามได้ยินความจริงจากปากของคอร์เดเลียภรรยาคนแรกของคาร์ลไฮนซ์ผู้เป็นบิดาของตนนั้นมันทำให้ความสำเร็จที่ตัวเขาได้รับมานั้นกลับกลายเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวงชนิดไม่อาจให้อภัยได้
เพราะเขา...เพราะแผนการนั่นทำให้เขาคนนั้นจากไป...
แต่เดิมแผนการนั้นมีไว้เพื่อ 'สั่งสอน' พี่ชายคนโตของตนว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งเปราะบางเพียงใด
ตนเองรู้สึกด้อยค่ามากแค่ไหน
คนไม่เอาไหนที่ไม่มีดีอะไรเลยสักอย่างเดียวไม่สมควรครอบครองอะไรทั้งสิ้น
เป็นต้นเหตุของความทุกข์และความเดือดร้อนของคนรอบข้างรวมไปถึงเขาคนนั้น
ถึงแม้แผนการประสบผลสำเร็จอย่างที่ต้องการทว่ามันทำให้เขาคนนั้นที่เรย์จิรักนั้นหนีหายจากไปด้วยเช่นกัน...
การที่เบียคุยะมีคนรักเป็นมนุษย์นั้นอยู่เหนือการคำนวณของเด็กชายเป็นอย่างมากเพราะตนลำพองใจเกินไปนึกว่าพี่น้องทุกคนนั้นเป็นที่หนึ่งในใจของคนผู้นั้นไม่มีอะไรมาแทนที่ได้
กลายเป็นว่ามีมารหัวใจที่ไหนก็ไม่รู้มาครอบครองสิ่งที่ตนและพี่น้องทั้งหมดต้องการเป็นอย่างมากแทน
เจ้าปศุสัตว์ชั้นต่ำนั่นสำคัญสำหรับคุณมากสินะถึงได้ทิ้งผมและคนอื่นๆ
ไปแบบนี้...
เพราะการเผาหมู่บ้านเพื่อนสนิทของชูทำให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าสงครามกลางเมืองลามมาถึงหมู่บ้านแล้ว
เมื่อทราบข่าวว่าคนรักของเขานั้นยังคงอยู่ในประเทศนี้ทำให้อีกฝ่ายฝ่าฝืนข้อละเมิดทุกอย่างที่มีมาทั้งหมดเพียงเพื่อกลับไปช่วยสิ่งมีชีวิตเปราะบางอย่างเช่นมนุษย์โดยเฉพาะมนุษย์ผู้หญิงที่เป็นคนรักที่พวกเขาไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อและหน้าตานั่นอีก
โกหก หลอกลวง เห็นแก่ตัว...
เรย์จิยอมรับว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงทำให้คนที่เขารักมากที่สุดนั้นหายจากไปทว่าสิ่งที่เขาไม่ยอมรับคือความรักและความอบอุ่นที่เบียคุยะมีให้ตนนั้นล้วนเป็นสิ่งจอมปลอม
เหตุผลที่เขาคนนั้นอยู่ก็เพราะต้องการฆ่าราชันย์แวมไพร์ผู้เป็นบิดาของตนเองเพียงเท่านั้นไม่มีสิ่งอื่นใด
ความรักที่ได้รับมาเป็นเพียงฉากหน้าซื้อความเชื่อใจสุดท้ายแล้วก็ทิ้งพวกเขาไปอย่างไม่ใยดี
ส่วนเหตุการณ์ต่อจากไปนี้
เด็กชายเรือนผมสีม่วงประกายดำคาดการณ์เอาไว้ว่าคาร์ลไฮนซ์บิดาของตนนั้นคงออกตามหาเบียคุยะเพื่อจัดการลงโทษในฐานะที่ละเมิดกฎของผู้พิทักษ์เขตแดนแต่ไม่ใช่โทษประหารแน่เพราะอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงคนโปรดของราชันย์แวมไพร์อีกทั้งยังมีสัญญาฆ่ากันอยู่แล้วด้วย
แต่เรื่องที่จะกลับมานั้นคงเป็นอีกเรื่อง...
มีความเป็นไปได้สูงมากว่าที่เบียคุยะนั้นไม่กลับมาที่ปราสาทอีกแล้วเพราะความลับที่อีกฝ่ายปกปิดมานานนั้นแตกจากการหนีออกจากปราสาทในคราวนี้
ทั้งเรื่องที่อีกฝ่ายมีคนรักเป็นมนุษย์ลับหลังทุกคน
เรื่องที่อีกฝ่ายเคยอยู่ฝ่ายต้นตระกูลมาก่อน
และเรื่องสัญญาการฆ่ากันระหว่างอีกฝ่ายกับบิดาของเขาเอง
ใช่ว่าเรย์จิจะเชื่อคำพูดของคอร์เดเลียเสียทั้งหมด
ยามเมื่อรับรู้ความจริงจากปากของผู้หญิงคนนั้นตนจึงวิ่งโร่ถามเบียทริกซ์มารดาของตนพร้อมกับชูซึ่งเลิกขังตัวเองอยู่ภายในห้องแล้วหลังจากได้ข่าวว่าเบียคุยะหนีหายออกจากปราสาทไปหลายวันพยายามยืนยันว่าสิ่งที่คอร์เดเลียพูดออกมานั้นไม่ใช่ความจริง
ทว่าสิ่งที่เขาต้องการนั้นสวนทางกับความจริงอันโหดร้าย...
เบียทริกซ์ยืนยันสิ่งที่คอร์เดเลียพูดนั้นเป็นความจริง
นางามิตสึ เบียคุยะมีคนรักอยู่ก่อนหน้านั้นแล้วและก่อนที่ชูจะเกิดมาด้วยซ้ำ ทั้งยังมีสัญญาฆ่ากันระหว่างเบียคุยะกับคาร์ลไฮนซ์ผู้เป็นสามีของตนอีก
สามีของตนควรจะฆ่าอีกฝ่ายให้ตายไปก่อนหน้านั้นเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามในอนาคตอันแสนรุ่งโรจน์ของตระกูลค้างคาวแต่ถึงกระนั้นคาร์ลไฮนซ์กลับชุบเลี้ยงเดรัจฉานตัวน้อยเสียอย่างดีจนกลายมาเป็นนางามิตสึ
เบียคุยะจนถึงทุกวันนี้
ผู้ชายคนนั้นเป็นอสรพิษเลี้ยงไม่เชื่องชอบแว้งกัดผู้มีพระคุณเสียทุกครั้งยามที่มีโอกาสอยู่เสมอ
ทั้งที่คาร์ลไฮนซ์ให้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าชื่อเสียงหรือยศฐาบรรดาศักดิ์จนได้ดิบได้ดีถึงขนาดนี้แต่กลับยังคงพยายามฆ่าสามีผู้เป็นที่รักของตนนั้นอยู่ร่ำไปไม่เคยเห็นค่าในสิ่งที่ราชันย์แวมไพร์นั้นให้เลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะความรักที่แม้แต่ตัวหล่อนเองก็ยังต้องการมันมาตลอดไม่แพ้คอร์เดเลียภรรยาคนแรก
ทว่าความรักที่พวกหล่อนต้องการและควรจะได้รับมันนั้นถูกมอบไปให้อีกคนที่ไม่เคยเห็นคุณค่าของความรักที่สามีตนมีให้
มันน่าโมโหสิ้นดี
แต่ถึงกระนั้นทำไมคาร์ลไฮนซ์ยังคงรักผู้ชายน่ารังเกียจคนนั้นพร้อมให้อภัยทุกสิ่งที่เขากระทำอยู่เสมอถึงแม้ว่าจะมีโกรธเคืองไม่พอใจในตัวอีกฝ่ายบ้างก็ตามที
เพราะยังคงรักถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องพบกับการทรยศหักหลังก็ตามที
ยิ่งสามีของหล่อนเป็นแบบนั้นมันยิ่งทำให้หล่อนรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนคล้ายมีผีเสื้อนับพันกระพือปีกไปมาอัดแน่นอยู่ในท้องจนน่าอึดอัดแทบจะอาเจียนออกมาอยู่รอมร่อแล้ว
และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเบียทริกซ์ถึงมีความรู้สึกเกลียดชังต่อผู้ชายที่ชื่อ
'เบียคุยะ' นั่นเอง...
เมื่อฟังความจริงจากปากของเบียทริกซ์มารดาแท้ๆ
ของตน เรย์จิอยากจะกรีดร้อง อาละวาด
และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบข้างตนจนหมดสิ้นราวกับสัตว์ร้ายบ้าคลั่งทว่าภายในความบ้าคลั่งดั่งพายุโหมกระหน่ำนั้นกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวและน้ำตาที่อัดแน่นอยู่ภายใน
"กลับมา...ได้โปรดกลับมาหาผมที
เบียคุยะ ผมจะเป็นเด็กดี
ไม่ทำตัวเย็นชาและทำร้ายจิตใจคุณอีกต่อไปแล้ว
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่คุณทำเอาไว้ผมจะให้อภัยทั้งหมด"
ขอเพียงแค่กลับมาตอนนี้ก็พอ...
เรย์จิอยากให้เรื่องทุกอย่างเป็นเพียงแค่ฝันร้ายเท่านั้น
พอตื่นขึ้นมาก็จะพบหน้าคนที่เขาใฝ่หามาตลอดคอยเสิร์ฟน้ำชาและของว่างยามเขาอ่านหนังสือจนเลยเวลารับประทานอาหารทุกครั้ง
คอยส่งยิ้มมองเขาด้วยความรักความเอาใจใส่
อภัยให้เขาทุกครั้งยามเมื่อเขาถูกทำร้ายจิตใจอยู่ร่ำไป
เด็กชายผู้สิ้นหวังหลับตาลงกุมมือระหว่างอกคล้ายสวดภาวนาด้วยความหวังอันริบหรี่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเสียด้วยซ้ำ
มันเป็นความหวังลมๆ แล้งๆ
ซึ่งเขามักจะคอยดูถูกมันอยู่ตลอดเสมอมาโดยเฉพาะกับชูพี่ชายคนโตของตนเองสวดมนต์ภาวนาขอให้เจ้ามนุษย์เพื่อนสนิทนั่นรอดตายทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตายอยู่ในกองเพลิงไปแล้ว
แต่กลับกลายเป็นว่าพอเกิดเหตุการณ์นี้เรย์จิเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่ามันรู้สึกอย่างไร
ถึงกระนั้นเรย์จิก็ยังคงไม่ยอมรับผลลัพธ์ของมันอยู่ดี
ตัวเขาไม่ใช่ชูพี่ชายแสนโง่เง่าที่ต่อสวดภาวนาแทบตายอย่างไรเจ้ามนุษย์คนนั้นก็ไม่มีวันมาหาเพราะอีกฝ่ายตายไปแล้ว
เบียคุยะสิยังคงมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่งเพราะแบบนั้นมันไม่ใช่ความหวังลมๆ
แล้งๆ มันไม่ใช่การวิงวอนร้องขอแบบเดียวกับที่ชูทำอยู่หรอก
เขาจะต้องกลับมา...เขาจะต้องกลับมา...
ทว่าสุดท้ายแล้วเรย์จิก็ต้องพบกับความเป็นจริงอันโหดร้าย...
...โหดร้ายเสียจนหน้ากากอันแสนเย็นชาของเด็กชายนั้นไม่อาจปกปิดความเจ็บปวดและความเสียใจที่อัดแน่นอยู่ภายในอกนี้ได้
กรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นทะลักออกมาไม่สามารถหักห้ามมันได้เหมือนดังเคยอีกต่อไปแล้ว
เพราะเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาคนที่เขาต้องการและใฝ่หามาตลอดนั้นไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขาอีกต่อไปแล้ว...
.
.
.
.
.
.
ณ สถานที่ห่างไกลออกไปจากโลกปีศาจ
หนึ่งเด็กชายผู้มีดวงตาสองสีแปลกแยกกับอีกหนึ่งเด็กชายผมหางม้าสีน้ำตาลยาวนั้นมองยังประตูห้องบานหนึ่งที่ล็อกกุญแจอย่างหนาแน่นขณะกำลังเดินออกจากห้องครัวผ่านมาพอดี
พวกเขาสงสัยหลายต่อหลายครั้งว่าทำไมห้องนี้แปลกแยกอยู่เพียงห้องเดียวถึงแม้ว่าจะมีห้องที่ลงกลอนล็อกประตูเอาไว้ภายในคฤหาสน์หลังนี้ทว่าสภาพห้องดูใหม่เกินกว่าที่จะเป็นห้องเก็บของหรือห้องที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว
อีกทั้งเป็นห้องที่ 'ท่านผู้นั้น'
เข้าออกเป็นระยะๆ อยู่เสมอ...
พวกเขาทั้งสองคน
ไม่สิ...รวมไปถึงพี่น้องคนอื่นต่างก็สงสัยการมีอยู่ของห้องนี้ทว่าเลือกที่จะเก็บความสงสัยนี้ไว้ภายในใจพยายามเมินเฉยไม่ใส่ใจอะไรกับมัน
หากท่านผู้นั้นไม่อนุญาตให้เข้าตัวเขารวมไปถึงพี่น้องคนอื่นย่อมต้องทำตามโดยดุษฎี
...แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่มีอยู่ในตัวนั้นมันยากที่จะต้านทาน
"ยูมะ
เคยคิดไหมว่าห้องนี้มีไว้เพื่ออะไร?" อยู่ๆ
เด็กชายตาสองสีถามโพล่งขึ้นมา
"หา? ถามอะไรของนายห้องที่ล็อกกุญแจถ้าไม่ใช่ห้องสำคัญก็ห้องที่ไม่ใช้แล้วไม่ใช่เหรอ?
โคว" เด็กชายอีกคนที่ถูกอีกฝ่ายเรียกว่า 'ยูมะ' เอ่ยขึ้นเลิกคิ้วสงสัยเด็กชายตาสองสีที่ชื่อว่า
'โคว' อยู่ๆ
ก็ถามพรวดออกมายามเมื่อผ่านห้องนี้
"พักนี้ยูมะฉลาดผิดปกติแฮะนึกว่าสมองมีแต่กล้ามเนื้อซะอีก"
"เฮ้ย! นายอยากมีเรื่องกับฉันเหรอ?!
โคว!"
"ยูมะ...โคว...อยู่ที่นี่เอง..."
น้ำเสียงเนือยๆ
ลากยาวฟังดูมืดชวนหลอนประสาทดังขึ้นจากด้านหลังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้เด็กชายทั้งสองคนที่กำลังเถียงกันอยู่ถึงกับสะดุ้งโหยงตกใจร้องออกมาแทบจะกอดกันกลมอยู่ร่อมรอทว่าเมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายที่ทักมานั้นเป็นหนึ่งในพี่น้องอีกคน
"อาซึสะ เองหรอกเหรอ? ทีหลังก็โผล่ให้มันดีๆ หน่อยสิ!"
ยูมะตวาดลั่นด้วยความตกใจระคนหัวเสียเล็กน้อย
เหมือนน้องเล็กในกลุ่มของพวกตนนั้นชอบทำตัวมืดมนชวนหลอนยิ่งกว่าผีอีกทั้งชอบทำร้ายตัวเองทุกครั้งยามที่มีโอกาสอยู่เสมอแถมยังตั้งชื่อให้กับแผลตัวเองอีก
ถ้าหากเป็นคนอื่นคงขนพองสยองเกล้ากันถ้วนหน้าบางรายตกใจนึกว่าเป็นผีก็ยังมี
เด็กชายผมสีขี้เถ้าที่แขนทั้งสองข้างนั้นเต็มไปด้วยผ้าพันแผลนาม
'อาซึสะ' ส่งยิ้มให้กับเด็กชายทั้งสองผู้เป็นมีศักดิ์เป็นพี่ใหญ่ของตนเอง
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นรอยยิ้มที่ดูมืดมนอยู่ดี
"หายไปนาน
รุกิ...สั่งให้มาตาม...แต่ถ้าจะตวาดใส่ก็ไม่เป็นไรนะ..."
ทั้งโควทั้งยูมะต่างทำหน้าละเหี่ยใจเล็กน้อยกับนิสัยอันแสนแปลกพิสดารของอาซึสะ
อาซึสะน่ะเป็นพวกชื่นชอบความเจ็บปวด
การทำร้ายร่างกายของตนเองรวมไปถึงการถูกทำร้ายร่างกายเป็นอย่างมาก
ยิ่งถูกทำร้ายก็ยิ่งร้องขอมันคล้ายต้องการยืนยันอะไรบางอย่างเกี่ยวกับตนเองอย่างใดอย่างนั้นแต่จะเป็นอย่างนั้นก็ไม่แปลกอะไรมากสำหรับคนที่มีบาดแผลของสงครามกลางเมืองที่จบลงเมื่อนานมาแล้ว
ทั้งรุกิพี่ชายคนโตของกลุ่ม โคว ยูมะ
รวมไปน้องชายคนเล็กอย่างอาซึสะ
พี่น้องต่างสายเลือดทว่ามีสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นนั้นต่างล้วนมีบาดแผลจากสงครามทั้งสิ้น
"รีบไป...รุกิรออยู่..."
"รู้แล้วล่ะน่า โควรีบไปกันเถอะ"
เด็กชายผมหางม้าสีน้ำตาลว่าแล้วเดินตามอาซึสะน้องเล็กสุดตามมาด้วยโควเป็นลำดับสุดท้ายรีบกลับไปหาพี่ชายคนโตของกลุ่มหากขืนไปช้ามีหวังถูกรุกิบ่นยับแน่ซึ่งในบรรดาพี่น้องทั้งหมดคนที่ไม่อยากมีเรื่องมากที่สุดก็คือรุกินี่แหละ
...แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นและไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
เพล้งงงงงงง!!!
"บ้าเอ๊ย!
อีหรอบเดิมอีกแล้วเหรอ? ใจคอจะขังฉันไม่ให้กลับไปหาพวกเขาเลยเหรอ?!
คาร์ลไฮนซ์ ไอ้แก่เฮงซวย! ไอ้แก่ตัณหากลับ! ไอ้แก่สองพันปี!
ถ้าฉันหลุดออกไปได้เมื่อไหร่จะเผาที่นี่ให้วอดเลยคอยดู
ไอ้เผือกค้างคืนเอ๊ย!!"
หลังเสียงด่าทอสาปแช่งท่านผู้นั้นแบบไม่เกรงฟ้ากลัวดินดังออกมาจากห้องสิ่งที่ตามมาคือเสียงโครมครามดังลั่นอมานอกห้องไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นกำลังหัวเสียอย่างหนักเลยทีเดียว
เด็กชายทั้งสามคนที่ยังคงหน้าประตูต่างพาทำหน้าเอือมๆ
พร้อมโดยมิได้นัดหมายร้องเป็นเสียงเดียวกันภายในใจว่า
อืม...ไม่ต้องเก็บไปสงสัยแล้วล่ะในเมื่อความลับของห้องถูกเปิดเผยออกมาแบบนี้
ว่าแล้วก็โคว ยูมะ
และอาซึสะเดินออกจากตรงนั้นไปทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากโดนรุกิเทศน์หรือโดนท่านผู้นั้นสอบสวนเรื่องราวเมื่อไหร่ล่ะก็พวกเขาพร้อมที่จะยืนยันว่าพวกเขาไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งเลยแม้แต่นิดเดียวแต่คนที่อยู่ในห้องนั้นแหละทำความลับแตกเองตะหาก
ใช่แล้วล่ะ
ไม่ใช่ความผิดของพวกเขาที่บังเอิญอยู่ผิดที่ผิดเวลาแบบนี้
ว่าแต่...คนๆ นั้นเป็นใครกันนะ? แต่ช่างมันเถอะถ้าโดนท่านผู้นั้นเรียกตัวเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้เองแหละ...
.
.
.
.
.
.
ทั้งที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารควรจะดีแท้ๆ
แต่ทำไมพวกเขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลย...
หนึ่งชายผู้สูงศักดิ์กำลังปั้นหน้ายิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
หนึ่งชายในห้องปริศนากำลังส่งสายตากรุ่นโกรธแทบจะเผาห้องรับประทานอาหารให้กลายเป็นจุลใส่ชายอีกคนอย่างไม่กลัวเกรง
หากจะย้อนกลับไปสักนิดหนึ่งคงเป็นตอนที่โดนราชันย์แวมไพร์เรียกตัวไปพบนี่แหละ
หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น...
"ฉันคิดว่าพวกเธอน่าจะรู้นะว่าที่เรียกมาพบนี่มาพบด้วยเรื่องอะไร?"
สิ้นคำพูดของราชัยน์แวมไพร์ผู้มีพระคุณ
เด็กชายทั้งสามที่ 'บังเอิญ' ล่วงรู้ความลับของห้องปริศนาพอกันแข็งทื่อตามกัน
จริงอยู่ที่ว่าพวกตนสงสัยการมีอยู่ของห้องนี้แต่พวกตนไม่ได้เข้าไปยุ่งวุ่นวายเลยแม้แต่นิดเดียวก็แค่บังเอิญพบความลับก็เท่านั้นเอง
จริงๆ นะ สาบานได้เลย
"ผมต้องขออภัยแทนพวกน้องชายของผมด้วยครับ
ต่อไปจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก" เด็กชายผมดำผู้เป็นพี่ใหญ่เอ่ยขึ้น
"เฮ้ย! รุกิ
ไม่ต้องขอโทษก็ได้เรื่องนี้พวกเราผิดเอง"
"ใช่
ฉันกับยูมะยุ่งไม่เข้าเรื่องเองไม่ต้องรับผิดแทนพวกเราหรอก"
"ผิดเอง...ตามยูมะกับโควช้าไป..."
เพราะความเป็นครอบครัวเดียวกันอีกทั้งพี่ชายคนโตอย่าง
'รุกิ' นั้นไม่ได้ทำผิดอะไรเลยแม้แต่น้อย ทำให้เด็กชายทั้งสามคนที่เหลือพากันรับผิดถึงแม้ว่าความผิดนั้นดูเหมือนไม่ใช่ความผิดก็ตามที
คาร์ลไฮนซ์ยกยิ้มหัวเราะเล็กน้อยคล้ายจะเอ็นดูเด็กชายทั้งสี่คนจากนั้นหยิบที่คั่นหนังสือดอกกุหลาบแห้งขึ้นมาเชยชม
รุกินั้นถึงแม้ว่าจะเคยเห็นสายตาอันโอนอ่อนของชายผู้มีพระคุณตรงหน้าทว่าสายตาเหล่านั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับตอนนี้
ดวงตาสีอำพันทอประกายอย่างอ่อนโยนเปี่ยมด้วยความรู้สึกและอารมณ์คล้ายคะนึงหาถึงใครบางคนยามนิ้วมือเรียวยาวลูบลงบนดอกกุหลาบขาวแห้งนั้นสิ่งที่เผยออกมาผ่านนัยน์ตายิ่งเด่นชัดมากขึ้น
อากัปกิริยาของคนตรงหน้านี้ล้วนอยู่ในสายตาของเด็กชายทั้งสี่ทั้งสิ้น
มันทำให้พวกเขาเข้าใจทันทีว่าชายแปลกหน้าในห้องปริศนานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อผู้มีพระคุณของพวกเขา
ทว่าเด็กชายทั้งสี่นั้นเป็นคนฉลาดพอจึงไม่พูดอะไรเพราะเกรงว่าปัญหาจะตามมาอีกหากพูดอะไรออกไปโดยไม่ได้คิด
คาร์ลไฮนซ์ยังคงไม่คลายยิ้มถึงแม้ว่าจะเก็บที่คั่นดอกกุหลาบแห้งไว้ในลิ้นชักแล้วก็ตามถึงแม้ว่ารอยยิ้มนั้นจะไม่ใช่รอยยิ้มเดิมที่มีให้แก่ที่คั่นหนังสืออันแสนสำคัญนี้ "บางที อาจจะถึงเวลาที่พวกเธอจำเป็นต้องรู้เรื่องของ 'เขาคนนั้น' แล้วก็ได้..."
"เพราะฉะนั้นตั้งใจฟังให้ดีล่ะ..."
และแล้วราชันย์แวมไพร์จึงเล่าเรื่องของ 'เขาคนนั้น' ที่แสนสำคัญให้แก่เด็กชายทั้งสี่คนฟังทั้งหมดถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่บางส่วนก็ตามที
กลับมายังปัจจุบัน...
บรรยากาศภายในห้องอาหารถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรสหลากหลายมากแค่ไหนทว่าด้วยสายตาฟาดฟันกับอีกหนึ่งรอยยิ้มที่ไม่สะทกสะท้านทุกสรรพสิ่งทำให้บรรยากาศที่ควรจะดีเพลิดเพลินไปกับอาหารแสนอร่อยนั้นกลับติดลบได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ดวงตาสีฟ้าอมเทาของเด็กชายผมดำหลุบต่ำลงไม่กล้าสบมองพยายามสะกดอารมณ์ตนเองไม่ให้ฟุ้งซ่านจนเป็นบ้าไปมากกว่านี้
เด็กชายผมสีขี้เถ้ากำมีดในมือแน่นคล้ายรู้สึกเกร็ง
ดวงตาสีเทามองอีกฝ่ายสลับกับมีดในมือกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ภายในใจ
เด็กชายผมหางม้าสีน้ำตาลมองเป็นระยะด้วยความสงสัยใคร่รู้ยามเมื่อชายผมขาวปริศนานั้นเห็นตนทำหน้าเหมือนเห็นผีหรือไม่ก็เหมือนเห็นภรรยาที่ตายไปแล้วอยู่ดีๆ
ก็คลานขึ้นมาจากหลุมไม่ปานนั้นแต่ก็ปรับเปลี่ยนสีหน้าเร็วราวกับสิ่งที่เห็นนั้นเป็นเรื่องโกหก
สุดท้ายเด็กชายผมสีเหลืองอ่อนยกยิ้มยามดวงตาสีม่วงอัญมณีนั้นสบกับดวงตาต่างสีของตน
ถึงแม้ว่ามันเกิดจากไม่ได้ตั้งใจก็ตามที
และเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดไปมากกว่านี้สุดท้ายชายผมขาวคนดังกล่าวซึ่งก็คือตัวผมยอมลดทิฐิตนเองลงหยุดแผ่ความกรุ่นโกรธที่มีต่อคาร์ลไฮนซ์เพื่อไม่ให้เด็กชายทั้งสี่คนรู้สึกหวาดเกรงกับความขุ่นเคืองของผมที่มีต่อคาร์ลไฮนซ์
ถึงแม้ว่าผมอยากจะกระชากรอยยิ้มออกจากหน้าของตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้ก็ตามที
"เอาล่ะ...นี่คือ 'นางามิตสึ
เบียคุยะ' ต่อจากนี้ไปเขาจะมาอาศัยอยู่กับพวกเรา"
คาร์ลไฮนซ์เกริ่นเพื่อดึงความสนใจทั้งหมดของพวกเขาออกจากผมกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำออกมา
พลันนั้นดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดเรืองรองกล่าวด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมทว่าเย็นเยียบต่อเด็กชายทั้งสี่
"พยายามดีกับเขาและอย่าสร้างปัญหาเพิ่มอีกล่ะ"
เจตตนาข่มขู่ชัดๆ
สมกับเป็นคาร์ลไฮนซ์ขนาดเด็กตัวเล็กนิดเดียวก็ยังไม่เว้น...
แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังขานรับโดยดุษฎีประหนึ่งทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเด็กรู้จักอย่างเอ็ดการ์ที่ผมคิดว่าเขาตายในกองเพลิงที่หมู่บ้านรวมเข้าไปด้วย
ถึงแม้ผมไม่รู้ว่าหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้นั้นเกิดอะไรขึ้นแต่ถ้าให้ผมคาดเดาล่ะก็เกิดเรื่องบางอย่างที่ทำให้เขาสูญเสียความทรงจำไป
จำผมไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
...และเพราะจำไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกปวดแปลบภายในใจถ้าหากผมเป็นชูเพื่อนคนสำคัญที่สุดของเอ็ดการ์ผมคงเจ็บปวดมากกว่านี้เป็นแน่
แต่เมื่อนึกไปแล้วมันทำให้ผมคิดถึงหลานชายทั้งหกคนของผมในปราสาทอย่างช่วยไม่ได้ยามเมื่อเห็นเด็กชายทั้งสี่คนนี้แสดงท่าทีรักใคร่กลมเกลียวเหมือนเป็นพี่น้องกันทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเลยแม้แต่คนเดียว
หลายเดือนที่ผมถูกคาร์ลไฮนซ์กักขังมันทำให้ผมคิดว่าการกระทำของผมและความศรัทธาที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะไม่หยุดรักผู้ที่แสวงหาพระองค์นั้นมันงี่เง่าสิ้นดี
เพราะความโง่งมในศรัทธามันทำให้อิมิเลียต้องตายอย่างทุกข์ทรมานถ้าหากผมไม่คิดเกี่ยวข้องกับเธอตั้งแต่แรกจุดจบอันแสนเศร้านี้คงไม่เกิดขึ้น
เด็กสาวผู้บริสุทธิ์ที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมแม้แต่ร่างก็ยังไม่มีที่จะฝังให้วิญญาณจากไปอย่างสงบ
ยิ่งรู้ว่าอิมิเลียสวดมนต์ต่อพระผู้เป็นเจ้าที่เธอศรัทธาขณะย่างก้าวขึ้นบนแท่นประหารนั้นหัวใจผมยิ่งกลัดหนองอยากจะสาปแช่งโชคชะตาอันเลวร้ายที่เกิดกับผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทินเหลือเกิน
บางทีผมไม่ควรศรัทธามันมาตั้งแต่แรก...
ไม่สิ...ไม่มีมนุษย์คนไหนอยู่ได้หากปราศจากความศรัทธาในบางสิ่ง
ผมควรจะศรัทธา...
ศรัทธาว่าพระบิดาที่อยู่บนสรวงสรรค์นั้นมอบความโหดร้ายทารุณพอกันกับความรักความเมตตาให้แก่มนุษย์
ถ้าไม่โหดร้ายจริงแล้วทำไมถึงต้องมีน้ำท่วมโลกเพียงเพราะคนชั่วมากกว่าคนดี?
ถึงแม้ว่ามันจะเกินเยียวยาแล้วก็ตามแต่มันน่าจะมีหนทางที่ดีกว่านี้ไม่ใช่หรือ
ถ้าไม่โหดร้ายจริงทำไมชะตาชีวิตของผู้บริสุทธิ์บางคนนั้นต้องประสบความเลวร้าย
บางคนต่อให้วิงวอนร้องขอความเมตตาสุดท้ายแล้วความหวังอันแสนริบหรี่นั้นถูกดับลงอย่างไร้ความปรานี
สุดท้ายก็มีแค่พวกเราที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนเท่านั้นไม่มีใครอื่น...
ดังนั้นหากไม่อยากพบความโหดร้ายทารุณนี้จงอย่าได้ตั้งความหวังว่าพระผู้เป็นเจ้านั้นยื่นมือช่วยเหลือผู้ประสบความเลวร้าย
ความหวังและความศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าที่ว่ารักคนดีปฏิเสธคนชั่วนั้นสามารถเป็นพิษร้ายคร่าชีวิตของผู้ที่มีศรัทธาให้ตายทั้งเป็นได้อย่างเจ็บปวดทรมานที่สุด
ผมปฏิญาณในใจแล้วว่าต่อให้ต้องตกนรกหมกไหม้ไม่มีหนทางขึ้นสวรรค์ผมจะไม่มีวันกลับมาเป็น
'มิไฮนซ์' ชายผู้โง่เขลาที่หลงวนเวียนในศรัทธาที่ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้คนนั้นอีก
แต่ถึงกระนั้นมันก็สายไปเสียแล้วยามเมื่อผมปฏิเสธที่จะศรัทธานั้น...
ผมสูญเสียอิมิเลียให้กับความตายไปไม่พอผมยังต้องสูญเสียหลานชายของผมถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม
ผมอยากจะไปหาพวกเขา กอดพวกเขา ปกป้องพวกเขา
บอกพวกเขาว่าผมขอโทษที่ทำอะไรหุนหันพลันแล่นแบบนี้ ผมกลับมาแล้ว
ผมไม่ได้ทิ้งพวกเขาไปไหนอีกแล้วต่อจากนี้ พวกเขาเป็นสิ่งสำคัญของผมถึงแม้ว่าผมไม่สามารถบอกกับพวกเขาได้ว่าผมเป็นครอบครัวคนหนึ่งของพวกเขาก็ตาม
ต่อให้พวกเขาโกรธเกลียด เมินเฉย
หรือเย็นชาใส่ผมอย่างไรก็ช่าง...
...อย่างน้อยผมอยากรักและปกป้องพวกเขาไม่ให้เผชิญความเลวร้ายที่เกิดขึ้นเพียงลำพังโดยเฉพาะความเลวร้ายที่เกิดจากบิดามารดาแท้ๆ
ของพวกเขาเอง
พวกเขานั้นบริสุทธิ์ไม่สมควรที่จะแปดเปื้อนบาปที่ผู้เป็นพ่อก่อเลยแม้แต่นิดเดียว
เพื่อการนั้นต่อให้สิ้นหวังมากแค่ไหนผมก็ต้องกลับไปหาพวกเขาให้ได้
พวกเขาเป็นสิ่งสำคัญของผม เป็นสิ่งที่เหลืออยู่ของผม
ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนี้จะทำให้เส้นด้ายแห่งโชคชะตาและสายสัมพันธ์อันแสนซับซ้อนนี้ยุ่งเหยิงเกินกว่าที่จะแก้ไขกลับไปเป็นดังเดิมได้แล้วก็ตามที...
.
.
.
.
.
.
"พระเจ้าทรงปรารถนามนุษย์ผู้บริสุทธิ์และปราศจากความเท็จ
ถ้าเจ้ากำลังแสวงหาหนทางแห่งความรอดและการไถ่บาป จงเอ่ยนามของเจ้ามา?"
เสียงอันแสนคุ้นเคยนี้ดังก้องทว่าปราศจากร่างผู้กล่าวคำพูดนั้น
ผมไม่แน่ใจว่าเสียงนี้มันดังมาจากข้างนอกหรือดังมาจากข้างในหัวของผมกันแน่
ทิวทัศน์อันแปลกประหลาดของท้องฟ้าสีจางแทบกลืนกับเมฆสีขาวเหมือนเป็นผนังห้องให้ความรู้สึกเสมือนจริง
วงล้อโดมกระจกรูปร่างประหลาดหมุนโดยรอบลอยเหนือหัวของผมซึ่งใจกลางของห้องอันแสนแปลกประหลาดนี้มีต้นไม้อยู่หนึ่งต้นผลิดอกบานอย่างสวยงาม
นั่นมัน...ต้นแอปเปิล...? หรือว่าสถานที่นี้คือ...
"ข้าขอถามย้ำ จงเอ่ยนามของเจ้ามา?"
เสียงนี้มันเสียงที่ผมเคยได้ยินหลังจากที่ผมตายไปในโลกก่อนแล้วนี่นา
หรือว่าเสียงนี้จะมีความเกี่ยวข้องกันกับโลกที่ผมเกิดใหม่ เป็นสิ่งที่นำพาตัวผมเกิดใหม่ในฐานะ
'มิไฮนซ์' ตัวตนที่ไม่สมควรจะมีอยู่
ถ้าเป็นตัวผมเมื่อก่อนผมตอบเสียงนี้ด้วยความสงบนิ่งและจริงใจ
ทว่าตอนนี้มันต่างกัน...ผมไม่ใช่OOOที่ต้องแสวงหาการไถ่บาป
ผมไม่ใช่มิไฮนซ์คนเก่าอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะปิดปากเงียบไม่ตอบเสียงนั้น
"งั้นรึ? ตามแต่ใจเจ้าเถิด
ผู้ซึ่งแสวงหาหนทางเอ๋ย...ข้าขอถามเจ้านั้นเป็นผู้มีศรัทธา ลูกแกะหลงทาง ทูตสวรรค์
หรือ...ปีศาจ?"
"มันมีประโยชน์อะไรที่จะถามคำถามที่เคยถามแล้วซ้ำอีกครั้ง"
คำถามนี้ ผมเคยตอบว่าเป็นผู้มีศรัทธาที่แปดเปื้อนบาปเนื่องจากผมเคยทำผิดร้ายแรงในชาติภพที่แล้ว
ทว่ากับเหตุการณ์ที่ผ่านมาถึงแม้ว่ามันจะผ่านมานานแต่ก็ยังตราตรึงในใจของผมไม่เปลี่ยนนี้เปลี่ยนแปลงคำตอบนี้ไป
ศรัทธาที่สั่นคลอนพังทลายลงมายากที่จะกอบกู้นั้นคือความจริงที่ผมต้องยอมรับว่าไม่มีวันที่พระเจ้าจะลงมาช่วยเหลือผู้ที่แสวงหาพระองค์อย่างหลงงมงาย
ระหว่างทูตสวรรค์อันแสนพิสุทธิ์ที่ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้กับปีศาจร้ายสามานย์ที่สามารถทำลายทุกสิ่งตามที่ใจต้องการได้
ผู้มีศรัทธาอันแรงกล้าทว่าถูกทรยศด้วยแรงศรัทธาจนชอกช้ำกับลูกแกะหลงทางที่เตร็ดเตร่เร่ร่อนเดินทางตามใจนึก
ผู้มีศรัทธา ลูกแกะหลงทาง ทูตสวรรค์ ปีศาจ
สิ่งไหนคือ 'ตัวตน' ของผมกันแน่เพราะ...
"...แม้แต่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวผมเป็นใครกันแน่"
ผมตอบเสียงนั้น
"OOOคือตัวตนของผม? มิไฮนซ์คือตัวตนของผม?
เบียคุยะคือตัวตนของผม? เปล่าเลยนั่นมันนามของผมซึ่งเป็นสิ่งที่เรียกตัวตนของผมเพียงเท่านั้น
ผมได้มันมาโดยที่ไม่ต้องทำอะไรกับมันเลยยามเมื่อผมเกิดมาบนโลกไม่ว่าจะโลกไหนหรือถ้าหากผมทำอะไรกับมันมันก็แค่สิ่งที่ใช้เรียกสิ่งเฉพาะเจาะจงเท่านั้นทว่ามันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของผมเลยสักนิดเดียว"
"..." สิ่งนั้นเงียบรับฟังผม
"...เพราะฉะนั้น
ผมไม่อาจตอบได้หรอกว่าตัวตนที่แท้จริงคือผมคืออะไรเหมือนคราวที่แล้วได้หรอก"
"กาลเวลาผ่านไป
ใจคนเราย่อมเปลี่ยนสินะ...เจ้าคงยังเชื่อมั่นว่าพระผู้เป็นเจ้านั้นมีอำนาจในการให้อภัยบาปอย่างที่เจ้าเคยเชื่อหรือเปล่า?"
"คำถามนี้ตอบยากเหมือนกันนะ
เลือกไม่ตอบได้ไหม?" ผมเอ่ยถามอีกฝ่าย
"เวลาครุ่นคิดนั้นยังมีอีกมาก
ข้าจักรอคำตอบของเจ้าเสมอไม่ว่าเจ้าจะอยู่แห่งหนใดก็ตาม"
แต่ดูเหมือนว่าเสียงปริศนานี้เมินเฉยความต้องการของผม บีบบังคับผมกลายๆ
ว่าผมต้องตอบคำถามนี้เพื่อความพึงพอใจของอีกฝ่าย
ท่าทางเหมือนตาแก่หัวดื้อหัวรั้นไม่มีผิดเพี้ยนเลย
แต่ถ้าไม่ตอบบางทีผมอาจจะออกจากที่นี่ไม่ได้เพราะดูอย่างไรแล้วมันไม่มีประตูทางออกเลยสักนิดเดียวเหมือนห้องปิดตายไม่มีผิด
เพียงแต่เป็นห้องปิดตายขังคนจากภายในน่ะนะ...
ผมเคยตอบว่าพระองค์สามารถประทานการอภัยบาปได้หากเชื่อมั่นว่าพระองค์มีอำนาจในการให้อภัยบาปได้จริง
แต่เมื่อใช้ชีวิตในโลกนี้ในฐานะมิไฮนซ์แล้วผ่านเหตุการณ์ต่างๆ
นานามาแล้วความเชื่อมั่นในคำตอบมันน้อยลงเต็มที
อันที่จริงมันไม่ใช่ว่าเป็นคำถามที่ยากหรอกเพียงแต่ผมไม่รู้ว่าถ้าผมตอบแบบนั้นไปมันจะเป็นการลบหลู่และหยิ่งยโสในตนเองเกินไปหรือเปล่า?
บางที...โดนโกรธโดนด่าสักหน่อยคงไม่เสียหายหรอกมั้ง?
เพราะผมไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก
"มันอาจจะเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นแต่นี่คือคำตอบของผม
พระผู้เป็นเจ้าสร้างมนุษย์ตามพระฉายาและพระลักษณะของพระองค์
มนุษย์คือภาชนะจำลองของพระผู้เป็นเจ้า ตัวผมเองก็เป็นภาชนะจำลองของพระองค์เช่นกัน
ดังนั้นผู้มีอำนาจในการให้อภัยบาปนั้นก็คือตัวของผมเองมิใช่ผู้อื่นแต่อย่างใดถ้าหากผมเชื่อว่าผมมีอำนาจนั้น
ถึงแม้ว่าตอนนี้มันยากที่จะให้อภัยตนเอง
ถึงแม้ว่าตัวผมในตอนนี้จะไม่ใช่มนุษย์แล้วก็ตามทีแต่ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ"
ผมตอบอย่างหนักแน่นมั่นคงด้วยนัยน์ตาที่สงบนิ่งเตรียมรอรับความโกรธจากอีกฝ่ายที่ตั้งคำถามนี้ แต่ทว่าสิ่งนั้นเงียบไม่มีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใด จากนั้นเริ่มเอ่ยออกมา
"งั้นหรือ...ช่างเป็นคำตอบที่ยโสโอหังโดยแท้..."
"...แต่ถึงกระนั้นข้ากลับชอบคำของเจ้ามากกว่าคำตอบคราวที่แล้วเสียอีก
คำตอบไร้ซึ่งศรัทธานี้ช่างยโสโอหังเป็นสิ่งที่ผู้แสวงหาหนทางนั้นไม่สมควรทำอย่างยิ่งทว่าน่าดึงดูดยิ่งนักสมกับที่เป็นเจ้าคนใหม่ดีนะ
ตัวข้านั้นพึงพอใจที่เจ้าตอบในสิ่งที่ข้าต้องการแล้วจงไปเสียเถิด"
พลันนั้นประตูไม้ประดับด้วยกระจกโมเสกสีสวยโผล่ออกมาตรงหน้าผมคล้ายประตูวิเศษสามารถไปไหนได้ทุกที่ไม่ปานนั้น
ผมย่างก้าวเดินเข้าไปหามันบิดลูกบิดประตูก้าวเข้าหาแสงสว่างที่สาดส่องอาบไล้ร่างของผม
โดยที่ผมไม่ทันสังเกตเลยว่ามีร่างๆ
หนึ่งอยู่ข้างหลังของผมเพื่อบอกลาอีกทั้งสิ่งเขาเอ่ยออกมานั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยได้ยินมานานแล้ว...
"ลาก่อน
มัตสึริ เคย์กะ..."
เฮือก!
ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นด้วยอารามความตกใจแต่ไม่ถึงกับสะดุ้งลุกพรวดขึ้นมาทันที
ผมค่อยๆ
ชันตัวขึ้นนั่งเอามือลูบหน้าประหนึ่งว่าตนเองเหงื่อไหลโชกออกมาทั้งที่ความจริงแล้วแวมไพร์ไม่มีทางเหงื่อออกมาได้หรอก
มัตสึริ เคย์กะ...
ชื่อเก่าและชื่อที่แท้จริงของผมก่อนที่จะมาเกิดใหม่
อดีตอันแสนมืดมนเต็มไปด้วยความผิดบาป ดูเหมือนผมจะหนีมันไม่เคยพ้นเลยสักครั้งเดียว
ขว้างงูไม่พ้นคอเลยจริงๆ
"นี่...มิไฮนซ์
ชอบความเจ็บปวดหรือเปล่า...?"
น้ำเสียงหม่นๆ
แสนเชื่องช้าอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กชายที่มีผ้าพันแผลเอ่ยขึ้น
ผมหันมองมายังเขาอย่างเชื่องช้า
เด็กตรงหน้าผมนี้ขยี้ตาเล็กน้อยด้วยท่าทีง่วงงุนก่อนส่งยิ้มชืดๆ
มาให้ผมคาดว่าน่าจะนั่งเฝ้ามองผมหลับอยู่ตลอดเวลา
เดี๋ยวนะ ทำไมเด็กคนนี้ถึงรู้ชื่อจริงของผมล่ะ?
ไม่ใช่ว่าคาร์ลไฮนซ์บอกกับทุกคนว่าผมชื่อเบียคุยะไม่ใช่เหรอ?
เหมือนเขารู้ว่าผมสงสัยจึงอธิบายออกมา
"ท่านผู้นั้น...เล่าทุกอย่างให้ผมฟัง ผมชอบชื่อมิไฮนซ์มากกว่าเบียคุยะ
จะไม่เรียกต่อหน้าท่านผู้นั้นนะ..."
เมื่อฟังความจริงจากปากของเด็กชายแล้วผมรู้สึกเลือดขึ้นหน้าอยากจะกระชากคอเขย่าอีกฝ่ายอย่างแรงอย่างไรก็ไม่รู้
ทีหลานแท้ๆ ของผมสั่งห้ามบอกนักหนาแต่ทำไมทีกับคนอื่นถึงกล้าบอกเรื่องของผมกัน?!
มันไม่ลำเอียงเกินไปหน่อยเหรอ?
ไม่สิ...เด็กทั้งสี่คนที่ราชันย์แวมไพร์รับมาเลี้ยงก็มีชะตาไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก
ต้องเป็นสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ เป็นตัวหมากบนกระดานเพียงแค่คำว่า 'หนี้ชีวิต' ที่ติดค้างกับอีกฝ่ายก็เท่านั้น
ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไรคาร์ลไฮนซ์ก็ยังคงไร้หัวใจรักใครไม่เป็นอยู่เสมอ...
"มิไฮนซ์ ชอบความเจ็บปวดหรือเปล่า...? ผมน่ะชอบมันมากนะ
มิไฮนซ์มีกลิ่นเดียวกันกับผม...เป็นพวกเดียวกับผมใช่ไหม?"
เด็กตรงหน้าถามย้ำอีกครั้งด้วยดวงตาที่ดูเหมือนจะเลื่อนลอย
เพิ่มเติมคือเขาถามเพิ่มอีกเพื่อต้องการคำยืนยันว่าผมเป็นคนประเภทเดียวกันกับเขา
พวกชอบความเจ็บปวด ชอบทำร้ายตัวเอง
อาจจะเป็นเพราะว่าผมชอบวอนหาเรื่องเจ็บตัวตลอดเลยทำให้เขาคิดแบบนั้น
แต่เสียใจด้วยนะผมไม่ใช่คนแบบที่เด็กคนนี้ต้องการเลยจริงๆ
ผมส่ายหน้าปฏิเสธดวงตาของเด็กตรงหน้าเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนกลับเป็นปกติ
"แล้วมิไฮนซ์ชอบผมหรือเปล่า...?"
ผมส่ายหน้าปฏิเสธเขา เขาถามอีก
"เกลียดผมงั้นเหรอ...?"
"เปล่าหรอก ตอนนี้ผมไม่ได้ชอบแต่ก็ไม่ได้เกลียดเธอเพราะไม่ได้รู้จักเธอดีพอ
บางทีถ้ารู้จักกับเธอมากขึ้นอาจจะตอบได้ชัดเจนมากกว่านี้" หลังจากผมส่ายหน้าก็รีบตอบออกมาทันทีด้วยความเกรงว่าเด็กตรงหน้านี้จะเข้าใจผมผิด
ความจริงกับคนที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานจะให้บอกชอบหรือเกลียดได้มันเป็นอะไรที่ยากสำหรับผมถ้าหากคนผู้นั้นไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีเหมือนอย่างคาร์ลไฮนซ์ตอบที่พบกันครั้งแรก
ลางสังหรณ์ของผมมันบอกว่าเขาไม่ได้มาดีและก็ไม่ได้มาดีอย่างที่ผมคิดจริงๆ
"ไม่ได้ชอบ...ไม่ได้เกลียด...เข้าใจยากจัง"
เด็กชายถามด้วยน้ำเสียงเนือยช้าเอียงคอด้วยความงุนงงผมเอาผมยิ้มรู้สึกเอ็นดูอย่างแปลกๆ
พิกล
"มันก็เหมือนกับคนแปลกหน้าที่ไม่ได้เกลียดกันอยู่ด้วยกันก็เท่านั้นเองแหละ
เหมือนคนแปลกหน้าที่เดินสวนผ่านมา เราไม่ได้คิดอะไรกับเขาเขาก็ไม่ได้คิดอะไรกับเราก็แค่นั้น
ความรู้สึกของผมมันบอกแบบนั้นจริงๆ
นะแต่มันก็เปลี่ยนแปลงได้ถ้าเรียนรู้กันและกันน่ะ ว่าแต่...เธอชื่อ 'มุคามิ อาซึสะ' ใช่ไหม?"
เด็กชายผมสีขี้เถ้าพยักหน้า
"มุคามิ อาซึสะ...เรียกอาซึสะก็ได้นะ มิไฮนซ์..."
"ผมมีเรื่องสงสัยเล็กน้อยพอตอบได้ไหม?"
เด็กชายชื่ออาซึสะพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาตผมจึงถือวิสาสะจับแขนของเขาขึ้นมาดูแล้วเอ่ยถามออกมาเพื่อยืนยันสิ่งที่ผมกำลังคิดให้แน่ชัด
"บาดแผลบนแขนของเธอ เธอเอามีดกรีดตัวเองใช่ไหม อาซึสะ"
เมื่อผมถาม อาซึสะนั้นกลับยิ้มชืดๆ
ออกมาไม่มีท่าทีตกอกตกใจแต่อย่างใด
เขาคลายผ้าพันแผลบริเวณแขนออกเผยให้เห็นรอยกรีดของมีคมจำนวนมาก
ดวงตาสีเทาจดจ้องมันด้วยความหลงใหลลุ่มลึกคล้ายมีโพรงบางอย่างอยู่ภายในนั้น
"สามรอยนี้ผมชอบมากที่สุด...รอยนี้คือจัสติน
คริสติน่า แล้วก็เมลิสซ่า มิไฮนซ์ไม่ชอบเหรอ?"
ผมนิ่งเงียบเรียบเรียงความคิดเพียงชั่วครู่หนึ่งก่อตัดสินใจถกแขนเสื้อตนเองยืนแขนเข้าใกล้อาซึสะ
เขาเข้าใจความคิดของผมทันทีว่าผมต้องการจะสื่ออะไรแต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายยังคงแอบเกรงอยู่จึงถามคล้ายขออนุญาตจากผม
"ได้เหรอ?"
"ถึงแวมไพร์จะมีพลังฟื้นฟูก็จริงแต่ถ้าบาดเจ็บบ่อยเกินไปมันก็ไม่ดีเหมือนกันนะ
เชื่อผมเถอะว่าการทำร้ายตัวเองน่ะมันไม่ใช่คำตอบของสิ่งที่เธอถามหาหรอก"
อีกฝ่ายเอียงคอเล็กน้อยมองผมอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการจะพูด
อาจจะเป็นเพราะความคุ้นชินกับการโดนทำร้ายแล้วรู้สึกว่าตนนั้นมีตัวตนและเป็นที่ต้องการฝังลึกอยู่ในจิตใจทำให้ยากที่จะเชื่อว่ายังมีหนทางอื่นในการแสวงหาการมีอยู่ของตนเอง
แต่การหาความหมายของการมีชีวิตอยู่ของตนเองด้วยวิธีการที่ตนเองไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มันทำให้ผมเริ่มเข้าใจตัวอาซึสะเล็กน้อย
เพราะผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะหาหนทางใดในการหยุดยั้งแผนการอันชั่วร้ายและบ้าคลั่งของคาร์ลไฮนซ์นอกเสียจากฆ่าเขาอย่างเดียว
เด็กชายจับแขนผมจ้องมองมันด้วยนัยน์ตาสีหม่นอันแสนมืดมนจากนั้นคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาออกจากปากของเขา
"มิไฮนซ์เคยทำร้ายตัวเองระบายความเจ็บปวดหรือคิดฆ่าตัวตายบ้างไหม...?"
สาบานนะว่านั่นคือคำถามของเด็กน่ะ?
อยู่ๆ
มาพูดเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน
ไม่น่าเชื่อเลย...อายุก็น้อยตัวก็นิดเดียวแต่กลับมองโลกในแง่ร้ายแบบสุดกู่ขนาดนี้ แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อสงครามกลางเมืองมันสร้างบาดแผลให้กับทุกคนที่เผชิญหน้ากับมัน
และตัวอาซึสะเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย...
"ไม่ตอบได้ไหม?" ผมถามเปรยๆ
ออกมาแค่ตอบคำถามในความฝันสำหรับผมมันมากพอแล้วตอนนี้ผมไม่อยากตอบอะไรที่มันเครียดมากนักแต่แน่นอนว่าผมถูกปฏิเสธ
"ถ้าไม่บอก...ไม่ยอมดื่มเลือดมิไฮนซ์นะ..."
เห็นท่าทางหม่นหมองไม่ร่าเริงแบบนี้แต่ก็หัวดื้อเอาแต่ใจใช้ได้อยู่เหมือนกันนี่นาถึงแม้ว่าจะน้อยกว่าคนที่อยู่ในความฝันของผมก็เถอะ
ผมจดจ้องดวงตาสีเทาฉายประกายลุ่มลึกดั่งหลุมมืดอันไร้ขอบเขตของอาซึสะชั่วครู่หนึ่ง
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในตัวอาซึสะมันทำให้ผมรู้สึกใจอ่อนอย่างไม่ทราบสาเหตุ
จนในที่สุดผมตัดสินใจเลือกเอ่ยตอบในสิ่งที่เขาต้องการออกมา
"ตลอดเวลาในความคิดไม่มีครั้งไหนเลยที่ไม่เคยคิดที่จะทำอย่างที่เธอว่าเลยแม้แต่นิดเดียว"
ผมตอบตามความจริง ดวงตาสีเทาหม่นของเด็กชายเบิกกว้างเล็กน้อยสั่นไหวชั่วครู่เหตุแต่ก็กลับมาเหมือนดังเดิม
"แล้วทำไม...?"
"เพราะผมมีคนที่ผมรักอยู่น่ะ"
เขาเอียงคอเล็กน้อยพึมพำคำพูดนั้นของผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาทว่าสำหรับแวมไพร์แล้วมันได้ยินชัดเจนมาก
จากนั้นผมจึงกล่าวต่อ "ความรัก
เป็นสิ่งที่มีพลังอย่างน่าเหลือเชื่อมากเลยทีเดียวนะ
ชั่วขณะหนึ่งที่ผมโศกเศร้าและทุกข์ทรมานจนอยากตายไปให้พ้นๆ วินาทีนั้นภาพน้องสาวของผม
หลานชายของผม คนที่ผมรักลอยมาอย่างช่วยไม่ได้
เพราะผมตระหนักได้ว่าผมยังมีคนที่ผมรัก
รักตลอดและรักเสมอมามันทำให้ความคิดนั้นหยุดลงไปในทันทีก่อนที่จะทำเรื่องบ้าๆ
น่ะ"
"แต่...มิไฮนซ์ก็บ้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ...?
เอาแต่หนีออกจากคฤหาสน์จนต้องมานอนเป็นผักอยู่แบบนี้"
ฉึก!
ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดจากน้ำเสียงเนือยๆ
ของอาซึสะเหมือนมีดแทงหัวใจก็ไม่ทราบจนรู้สึกจุกอยู่ข้างในถ้ากระอักออกเป็นเลือดได้ก็คงกระอักนานไปแล้ว
สาเหตุที่ผมนอนพักอยู่ในห้องนอนแบบนี้ก็มาจากการหนีออกจากคฤหาสน์กลับไปหาหลานชายผมนี่แหละ
ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมวางแผนแหกคุกบ้าๆ
ของคาร์ลไฮนซ์ ความจริงผมทำมันมาหลายครั้งเลยด้วยซ้ำแต่สุดท้ายก็โดนอีกฝ่ายจับได้อยู่ดีและดูเหมือนว่าคราวนี้เขาลงไม้ลงมือหนักมากเกินไปเลยทำให้ผมบาดเจ็บสาหัส
สภาพในตอนนั้นน่ะแทบเรียกได้ว่ารอดตายมาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้วเพราะมันดูไม่ได้เลยจริงๆ
เลือดท่วมไปหมดก่อนถูกเด็กชายทั้งสี่คนกับปีศาจรับใช้สองสามคนหามกลับมารักษาตัวในห้องนอนแล้วหมดสติไปเพราะพิษบาดแผล
และที่ไม่น่าเชื่อก็คือผมถูกเด็กๆ
มองว่าเป็นไอ้บ้าวอนหาเรื่องตายเป็นประจำเข้าเสียแล้วนี่สิ เฮ้อ...
"ลืมๆ เรื่องนั้นไปซะเถอะ
ถ้าถามอะไรอีกล่ะก็จะไม่ให้ดื่มแล้วนะ" ผมพูดตัดบทก่อนที่อีกฝ่ายจะถามอะไรที่ไม่เข้าท่าไปมากกว่านี้และดูเหมือนว่าเด็กชายตรงหน้าผมจะเชื่อฟังผมเป็นอย่างดี อาซึสะไม่พูดอะไรใช้นิ้วลูบแขนบริเวณที่จับอย่างแผ่วเบาแล้วฝังเขี้ยวลงบนแขนของผมดื่มเลือดรักษาตนเองไปอย่างเงียบๆ
หวังว่าวันนี้จะเป็นวันที่สงบสุขอีกวันหนึ่งนะ...
.
.
.
.
.
.
มุคามิ รุกิ
ไม่เคยเข้าใจความคิดของท่านผู้นั้นเลยแม้แต่นิดเดียว...
ทั้งความคิดและการกระทำของท่านผู้นั้นช่างย้อนแย้งยิ่งนักในสายตาของเขา
การวางแผนสร้างโลกใบใหม่ของราชันย์แวมไพร์นั้นหากผู้ใดเป็นปฏิปักษ์ต่อแผนการอันยิ่งใหญ่นั้นย่อมต้องถูกกำจัดให้สิ้นซากไม่ให้เหลือทว่าทำไมท่านผู้นั้นกลับเลือกไว้ชีวิตของผู้ชายคนนั้น
นางามิตสึ เบียคุยะ...ไม่สิต้องเรียกว่า
'มิไฮนซ์' ถึงจะถูก...
ผู้ชายคนนั้นจ้องจะหาเรื่องวางแผนลอบสังหารฆาตกรรมท่านผู้นั้นอยู่เป็นเนืองนิตย์จนกลายเป็นภาพชินตาของพี่น้องบ้านมุคามิรวมถึงตัวเขาด้วย
นอกจากวางแผนฆาตกรรมแล้วยังหาทางหลบหนีออกจากคฤหาสน์เป็นว่าเล่นเดือดร้อนพวกเขารวมไปถึงคนรับใช้ให้ตามกลับมา
ยังดีที่คฤหาสน์หลังนี้กางเขตอาคมหนาหลายชั้นร่วมด้วยกับดักมากมายไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายคงหนีหายไปนานแล้ว
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะดูอ่อนแอแต่ความจริงแล้วมีพลังความสามารถอยู่ในระดับหนึ่งและจะมากกว่านี้ถ้าหากไม่ติดคำสาปที่ท่านผู้นั้นมอบให้รวมไปถึงพลังที่มากเกินกว่าแวมไพร์ไม่บริสุทธิ์อย่างพวกเขาควรจะมี
ผู้ชายคนนั้นอาจแข็งแกร่งรองลงมาจากท่านผู้นั้นเลยก็ว่าได้
รุกิยอมรับว่าหากไม่มีพลังของท่านผู้นั้นคอยเสริมพวกเขาทั้งสี่คนก็ไม่อาจต้านทานผู้ชายคนนั้นได้เลยแม้แต่คนเดียวรวมไปถึงปีศาจรับใช้ในคฤหาสน์หลังนี้
ทั้งที่เป็นศัตรู เป็นตัวก่อปัญหา
เป็นอุปสรรคต่อแผนการอันยิ่งใหญ่
แต่ถึงกระนั้นสายตายามที่ท่านผู้นั้นมองมายังผู้ชายคนนั้นกลับนุ่มนวลอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่เสียยิ่งกว่าอะไร
สายตาอันเปี่ยมไปด้วยรักของท่านผู้นั้นช่างเหมือนสายตาของท่านพ่อที่แสนดีและโง่งมของเขามองท่านแม่ด้วยความรักใคร่ก่อนถูกท่านแม่ทรยศหักหลังอย่างเจ็บปวดด้วยการเป็นชู้กับคนอื่นและหนีตามผู้ชายคนนั้นไปด้วยกันหลังจากท่านพ่อของเขาล้มละลายไม่เหลือทรัพย์สินแต่อย่างใด
ทำไมถึงเลือกที่จะรักทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าต้องเจอกับการทรยศหักหลังเช่นนี้...
"เขาน่ะน่ารักมากใช่ไหมล่ะ? เฮเลลของฉันน่ะ"
อยู่ๆ
ท่านผู้นั้นถามโพล่งออกมาทำให้สติและความคิดที่กำลังล่องลอยของเขากลับเข้าสู่ตัวอีกครั้ง
รุกิไม่เข้าใจคำถามที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อจึงตอบอย่างเป็นกลางว่าไม่อาจทราบได้ทั้งที่จริงแล้วเขามองไม่ออกเลยว่าคนที่ถูกกล่าวถึงนั้นน่ารักตรงไหนจากพฤติกรรมที่ผ่านมานี้
ทั้งวางยาเอย วางกับดักเอย
โจมตีตอนทีเผลอเอย ใช้กลสกปรกเข้าสู้เอย
ไม่มีอะไรที่บ่งบอกเลยว่าผู้ชายที่ชื่อนางามิตสึ
เบียคุยะหรือมิไฮนซ์นั้นน่ารักตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว
ท่านผู้นั้นทำเพียงแค่หัวเราะเล็กน้อยก่อนหยิบกุหลาบขาวในแจกันออกมาดอมดม
ถ้าหากไม่นับสวนผักที่ยูมะหนึ่งในพี่น้องของเขานั้นปลูกเอาไว้ทำอาหารรับประทานเองแล้วดอกกุหลาบขาวนี่แหละเป็นพืชดอกที่ปลูกในคฤหาสน์เยอะมากที่สุด
อีกทั้งกลิ่นของผู้ชายคนนั้นเหมือนกลิ่นดอกกุหลาบไม่มีผิด...
"เธอคงสงสัยว่าทำไมฉันถึงปล่อยให้เขาคนนั้นมีชีวิตอยู่ทั้งที่เขาคนนั้นสมควรถูกกำจัดเพื่อแผนการของฉันสินะ
ตอบมาตามตรงได้เลยฉันไม่ลงโทษเธอกับพี่น้องหรอก"
"...ครับ ผมสงสัย"
รุกิตอบความในใจ "ถ้าเป็นผมสิ่งใดที่เป็นอุปสรรคกับความต้องการสมควรถูกกำจัดทิ้งออกไปครับท่าน"
"หึๆ นั่นสินะ..."
ราชันย์แวมไพร์เปรยออกมาก่อนวางกุหลาบขาวดอกนั้นกลับในแจกันอีกครั้ง
"ที่เธอพูดแบบนั้นออกมาได้แสดงว่าเธอยังไม่เคยรักใครบางคนสินะ"
รัก? คำๆ
นี้ผุดขึ้นมาในหัวของรุกิ
ถ้าหากไม่นับความรักตามประสาครอบครัวที่เขาเคยมีให้ท่านพ่อกับท่านแม่
เขายอมรับว่าเขาไม่เคยมีความรักกับใครมาก่อนเนื่องจากไม่มีใครทนพฤติกรรมอันแสนเลวร้ายอย่างเฆี่ยนตีคนรับใช้ของเขาได้เลยแม้แต่น้อยถ้ามีก็พวกที่จ้องหาผลประโยชน์จากครอบครัวของเขานี่แหละ
ถึงปากพร่ำบอกรักมากแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วมันกลายเป็นพิษร้ายทรยศคนที่ถูกบอกรักจนจบชีวิตตนเองเหมือนอย่างท่านพ่อของเขา
ต่อให้เขารักท่านพ่อมากแค่ไหนแต่เขาไม่อยากเป็นเหมือนท่านพ่อหรอกที่ต้องตรอมตรมถูกคนที่ตนรักทอดทิ้งจนตายอย่างน่าสมเพช
เพราะฉะนั้นคำว่า 'รัก' นั้นสำหรับรุกิแล้วมันไม่เคยยั่งยืนเลยแม้แต่นิดเดียว
"ความจริง...เฮเลลของฉันนั้นเป็นคนอ่อนโยนและมีความเป็นมนุษย์มากกว่าที่เธอหรือแม้แต่ตัวเขาเองคิดอีกนะ
เขาเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่างรวมถึงแผนการนี้เองถ้าไม่ได้เขาฉันก็คงไม่มาไกลถึงขนาดนี้หรอก
เพราะแบบนั้นฉันถึงรักเขาอย่างหมดหัวใจอย่างไรล่ะ"
คาร์ลไฮนซ์ลูบกลีบกุหลาบขาวอย่างแผ่วเบาพลางนึกถึงหนึ่งในเหตุการณ์ลอบสังหารของอีกฝ่าย
เขาเคยแกล้งตายมาแล้วครั้งหนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของลูกพี่ลูกน้องสุดที่รักของเขาว่าเป็นอย่างไรหลังจากที่เขาตาย
ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะดีใจที่เขาตายพาคริสต้าภรรยาคนที่สามของเขาหนีออกจากวงจรอุบาทว์ที่เขาสร้างขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายร้องไห้เพื่อเขา...
ยามมิไฮนซ์ร้องไห้นั้นเหมือนฝนตกเบาๆ
จากท้องฟ้า เงียบเชียบ ไม่มีแม้แต่เสียงสะอึกสะอื้นแสดงถึงความเสียใจ
มีเพียงแค่หยาดน้ำตาไหลออกมาเท่านั้น
มันทำให้เขารู้ความจริงที่ว่าลึกๆ
แล้วมิไฮนซ์ไม่อยากทำแบบนี้เลยถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะแช่งชักหักกระดูกเขาด้วยความแค้นเคืองมากแค่ไหนก็ตาม
ก่อนที่มิไฮนซ์เลือกที่จะฆ่าเขาอีกฝ่ายเคยอ้อนวอนร้องขอเขาด้วยน้ำตาเลยด้วยซ้ำว่าให้ยกเลิกแผนการนี้และหาหนทางที่ดีกว่า
มิไฮนซ์นั้นไม่อยากเห็นคนในครอบครัวของเขาทุกข์ทรมานกับแผนการอันแสนบ้าคลั่งไปมากกว่านี้
แต่เป็นเขาเองที่ทำให้อีกฝ่ายไม่มีทางเลือกใดนอกจากฆ่าเขา
ยามมิไฮนซ์ลังเลที่จะจรดปลายมีดสังหารเขาให้ตายตอนรู้ความจริงของเขา
วินาทีนั้นเองราชันย์แวมไพร์ตัดสินใจอย่างแน่วแน่มีเพียงชายคนนี้เท่านั้นที่เขาไม่มีวันยกให้ใครอย่างเด็ดขาด
มีเพียงชายคนนี้เท่านั้นที่ได้รับความรักที่แท้จริงจากเขาที่ไม่เคยมีให้กับภรรยาคนไหนเลย
มีเพียงชายคนนี้เท่านั้นที่เขาไม่มีวันปล่อยมืออย่างเด็ดขาด
...และเพราะแบบนั้นคาร์ลไฮนซ์จึงเลือกทำตามสัญชาตญาณแวมไพร์ของตนเอง
มิไฮนซ์เป็นคนอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอยามเมื่อเผชิญกับความเลวร้ายทุกรูปแบบ
มิไฮนซ์เป็นคนรักอิสระเสรีชอบทำตามใจตนเองทว่ายอมถูกจองจำหากหากอิสระเสรีของตนเองทำลายผู้อื่น
มิไฮนซ์อาจเป็นคนโหดร้ายในบางเรื่องแต่ไม่อำมหิตพอฆ่าใครแล้วไม่เสียใจ
ความขัดแย้งในตนเองและความเป็นมนุษย์นั้นคือสิ่งที่ทำให้ราชันย์แวมไพร์หลงรักทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นมิไฮนซ์
ถึงแม้ตัวเขารู้ดีว่าสักวันหนึ่งจะต้องถูกคนที่เขารักฆ่าก็ตามแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีตายด้วยน้ำมือของคนที่เขารัก
ก็นะ...การรักใครสักคนอย่างแท้จริงนั้นมันยากแต่ทว่าการห้ามหัวใจไม่ให้รักใครสักคนนั้นมันยากยิ่งกว่า
มันยากเหลือเกินสำหรับเขาที่จะหยุดรักมิไฮนซ์ในเมื่อเขารักมิไฮนซ์อย่างหมดหัวใจแล้ว...
ปลายนิ้วเรียวสวยของราชันย์แวมไพร์ผละออกจากกลีบกุหลาบขาวหันกลับหาเด็กชายอีกครั้งหนึ่ง
"บางทีเธอควรลองรักใครสักคนดูบ้างแล้วจะเข้าใจเองว่าทำไมฉันถึงรักเขาคนนั้นทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาคนนั้นพยายามฆ่าและทรยศหักหลังฉันอยูทุกเมื่อเชื่อวันแบบนี้"
"ผม...จะพิจารณาดูครับท่าน"
"นี่ไม่ใช่คำสั่งแต่เป็นคำแนะนำเธอก็อย่าจริงจังไปเสียทุกเรื่องสิ
รุกิ"
"ครับ ทะ..."
โครมมมมมมมมมมมมมมมมมมม!!
ยังไม่ทันทีเด็กชายจะขานรับ
เสียงดังกัมปนาทดังออกมาจากทางฝั่งเดียวกันกับที่ใครบางคนนอนพักรักษาตัวหลังจากรนหาที่ตายมาแล้วเมื่อสองสามวันก่อนนี้
เชื่อเถอะว่าการมีเสียงดังเหมือนข้าวของพังหรือกระจกแตกย่อมไม่ใช่นิมิตหมายอันดีแน่สำหรับคฤหาสน์หลังนี้รวมไปถึงการพยายามรนหาที่ตายครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของผู้ชายคนนั้นอีกจนรุกิเริ่มเอือมระอาเต็มทนแล้ว
บางทีคฤหาสน์หลังนี้พวกเขาทั้งสี่คนอาจจะไม่มีวันอยู่อย่างสงบสุขก็เป็นได้
....................................................
Let's Talk with Writer :
ขออภัยที่ไม่มาอัพซะนานแถมยังอัพน้อย
ตอนนี้ก็ใกล้จะสอบปลายภาคชี้ชะตาว่าจะได้ไปต่อปีสามหรือไม่แล้วค่ะแต่ทำไมพอดูคะแนนตัวเองแล้วมัน...
T-T ดังนั้นอาจจะทิ้งหายไปนานเหมือนอย่างทุกครั้งจนคนอ่านบางคนขี้เกียจตามไปแล้วก็ได้แต่ก็นะเราบอกใน
Attention แล้วว่าจะมาอัพตามอารมณ์น่ะ
ตอนนี้ก็ใกล้จะสอบปลายภาคแล้วเราคงมาอัพถี่ไม่ได้หรอก
เอาเป็นว่าสัปดาห์หน้ามีแต่สอบค่ะอาจจะทิ้งเอาไว้นานพอสมควรเลย(แต่ปกติหล่อนก็ทิ้งนานตลอดไม่ใช่เหรอ?)
สำหรับตอนนี้อาจจะทำให้ชาวคริสต์ที่ผ่านมานี้โกรธไม่พอใจเนื้อหาตอนนี้ก็ได้ดังนั้นหากผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์คนใดไม่ชอบในเนื้อหาก็ขออภัยด้วยค่ะที่เราเขียนไปแบบนั้นเพราะบทตัวละครของมิไฮนซ์เองค่ะ
หลังจากที่อิมิเลียตายทุกสิ่งทุกอย่างที่มิไฮนซ์เคยศรัทธามันพังทลายลงมาอย่างย่อยยับไม่เป็นชิ้นดี
มิไฮนซ์เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้านั้นไม่หยุดรักต่อผู้ที่มีศรัทธาในตัวพระองค์
แต่สุดท้ายคนที่มีศรัทธาอย่างอิมิเลียก็ตายได้อย่างโหดร้ายทารุณเกินกว่ามนุษย์คนหนึ่งจะรับได้ทั้งที่อิมิเลียเป็นผู้บริสุทธิ์คนหนึ่ง
เป็นแค่เหยื่อถูกหลอกใช้เท่านั้น มันเลยทำให้มิไฮนซ์เกิดเสื่อมศรัทธาค่ะ
เราไม่ได้มีเจตนาลบหลู่แต่อย่างใดทั้งสิ้น
สำหรับผู้ไม่พอใจสามารถเลิก
Fav. ก็ได้เราไม่ห้ามเพราะมันเป็นสิทธิ์ของผู้อ่านแต่ขออย่าคอมเม้นต์อะไรในเชิงลบใส่เราหรือเรียกง่ายๆ
ว่าคอมเม้นต์ด่าเราเลยนะคะ
เราเชื่อว่าผู้อ่านที่หลงเข้ามามีวิจารณญาณและเหตุผลพอที่จะไม่หยาบใส่ถ้ามันไม่จำเป็นถึงหรือยังไม่ถึงขีดสุดดังนั้นกรุณาพูดคุยกันดีๆ
นะคะเราไม่อยากให้มีมลพิษทางภาษาอยู่ในฟิคเราค่ะ
สุดท้ายนี้ก็ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
จะพยายามมาอัพต่อให้ได้ก็แล้วกัน ^^
ความคิดเห็น