ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Fic Kuroko no Basket ] มิติพิศวงของยัยจอมมึน (All x Oc )

    ลำดับตอนที่ #15 : มิติพิศวงที่ 13 [Re]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.7K
      598
      17 ส.ค. 63

     

     

     

    มิติพิศวงที่ 13

     

     

    การคาดเดาจากหลักฐานและสถานการณ์ต่างๆรอบตัวตามหลักความเป็นจริง คือ พื้นฐานอันดับต้นๆของเหล่านักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยหรือแม้แต่บรรดาเจ้าหน้าที่หน่วยงานสำคัญอื่นๆก็ด้วย และอมีเรียเองก็เป็นอีกหนึ่งคนที่คาดเดาทุกอย่างได้ค่อนข้างแม่นยำ หลักฐานที่เห็นชัดเจนก็คงเป็นคุโรโกะกับคางามิที่แทบจะไม่มองหน้าหรือพูดคุยกันสักคำเดียวเลยแม้แต่น้อย ถึงจะไม่ต้องเดาแค่สังเกตความผิดปกติก็รู้แล้ว.. 

    แต่ก่อนอื่น เธอควรจะเรียกพวกรุ่นพี่ในทีมว่า พวกบ้าดีเดือด หรือจะเรียกว่าเป็น พวกไม่คิดเล็กคิดน้อยดี

    พึ่งจะแพ้มาได้ไม่นานแต่ทุกคนก็สามารถฟื้นฟูสภาพจิตใจของตัวเองให้กลับมาได้ไวจนน่าทึ่ง หนำซ้ำยังเจริญอาหารมากกว่าปกติอีกต่างหาก (ถ้าไม่นับเรื่องหลีกเลี่ยงอาหารฝีมือโค้ชล่ะน่ะ)

    อมีเรียมองทุกคนที่ซ้อมกันอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยความชื่นชม เพราะเมื่อมองดูพวกเขาแล้ว มันทำให้เธอหวนนึกถึงตอนที่ทีมทำภารกิจพลาดจนเสียเงินสมทบทุนแลปไปกว่าหนึ่งล้านเหรียญ นั่นเป็นโปรเจคที่ใหญ่มากหากทำสำเร็จก็จะสร้างชื่อเสียงและเป็นประโยชน์ให้สังคมได้ค่อนข้างมากอีกด้วย

    แต่สุดท้ายพวกเธอก็ดันทำพลาดอย่างน่าเสียดาย

    แรกๆคนในทีมก็ซึมโดยเฉพาะแอมที่ซึมหนักกว่าเพื่อน แต่พอเธอกลับมาจากไปซื้อของทุกคนในแลปก็สนุกสนานเฮฮาราวกับว่าไม่มีอะไร – อ่า...คิดถึงพวกแอมจังเลยน่ะ ป่านนี้จะเคลียร์โปรเจคล่าสุดเสร็จกันยัง ร่างบางนั่งเหม่อกับความคิดของตนเองอยู่สักพักก็เท้าคางมองทุกคนที่กำลังรวมตัวกันอยู่ ก่อนจะก้มมองหมายเลขสองที่กำลังเล่นลูกบาสอย่างน่ารัก 

    รู้ตัวอีกทีมือเรียวก็หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปเจ้าหมาน้อยเสียแล้ว

     

    แชะ!

     

    อมีเรียนั่งมองภาพถ่ายแล้วเหล่มองคุโรโกะที่เปลี่ยนชุดเสร็จก็มาเล่นบาส นั่นก็ทำให้เธอสังเกตเห็นผู้มาใหม่ที่กำลังเล่นพุงหมายเลขสองอยู่ ผู้จัดการทีมสาวนั่งไขว่ห้างเท้าคางมองอย่างสงสัย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรออกไปเลยสักนิดเนื่องจากเห็นว่าทั้งสองคนกำลังสนทนากันอยู่ แถมยังเป็นบทสนทนาที่ตัวเธอจะว่า ได้ยินก็ไม่เชิง จะไม่ได้ยินก็ไม่ใช่

    ดวงตาสองสีก้มมองเวลาในโทรศัพท์แล้วโคลงหัวไปมาอย่างอ่อนใจ

    เธอกำลังนั่งรอคางามิญาติตัวแสบของเธออยู่ ...หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เธอจำทางกลับบ้านไม่ค่อยถูกมากกว่า – ก็น่ะ เธอเป็นพวกหลงทิศง่ายจนกว่าจะชินกับพื้นที่ดังนั้นต้องมีคางามิพาไปและพากลับอยู่เสมอ แต่ถ้าเป็นระยะทางใกล้ๆ เธอก็สามารถไปกลับเองได้อยู่ 

    เด็กสาวเพียงหนึ่งเดียวที่ไม่มีใครคิดจะสนใจนั่งมองโทรศัพท์ที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะมีสายเข้า ตอนนี้เธอกำลังสงสัยว่าคางามิจะกลับบ้านไปก่อนโดยลืมเรื่องของเธอหรือไม่ก็เผลอหลับจนลืมว่าควรจะมารับเอกลับด้วยกัน.. ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ลืมจริงๆละนะ – อมีเรียจ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งหมายเลขสองสังเกตเห็นเธอเข้า แล้วเห่าให้คุโรโกะและชายมาใหม่หันไปสนใจ

     

    โฮ่ง!

    “...อมีเรียจัง?” คุโรโกะเรียกชื่อผู้จัดการสาว “ยังไม่กลับอีกหรอครับ?”

    อมีเรียส่ายหน้าเชื่องช้าก่อนตอบเสียงเนิบนาบ “รอไทกะมารับนะคะ – แต่ดูเหมือนจะลืมไปแล้ว”

    พูดจบก็ชูหน้าจอโทรศัพท์ที่ไร้ซึ่งสายเรียกเข้าใดๆให้คุโรโกะดู คิโยชิ เทปเปย์ ที่เพิ่งเดินเข้ามาสมทบกับคุโรโกะมองสำรวจเด็กสาวที่นั่งไขว่ห้างเท้าคางด้วยใบหน้ามึนเหมือนรุ่นน้องชายข้างกายเขา ถ้าไม่เพราะโครงหน้าของอีกฝ่ายดูคล้ายคนต่างชาติ บางทีเขาอาจจะหลงคิดว่า คุโรโกะและเด็กสาวคนนั้นเป็นพี่น้องกันก็เป็นได้

    คุโรโกะที่สังเกตเห็นว่ารุ่นพี่หนุ่มสนใจคนตรงหน้าก็เอ่ยแนะนำตัวให้ทั้งสองคนได้รู้จักกัน

    “รุ่นพี่คิโยชินี่...อมีเรีย เธอเป็นผู้จัดการทีมครับ”

    “จริงหรอ!?” เทปเปย์เบิกตากว้างอย่างตกใจแล้วรีบพุ่งเข้าไปใกล้เพื่อมองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ และนั้นยิ่งทำให้เขาตะลึง ใบหน้าหวานรับกับดวงตาสองสีกลมโตที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ากลัว แต่กลับรู้สึกว่ามีเสน่ห์ดึงดูดประหลาดจนแทบละสายตาไม่ได้

    นางฟ้า...รึยังไงนะ...?

    นั่นคือคำนิยามที่เทปเปย์เทหมดหน้าตักให้กับเด็กสาวตรงหน้า ถึงต่อให้เธอจะทำหน้ามึนเหมือนคนง่วงนอนมากเพียงใดก็ไม่อาจกลบความสวยและเสน่ห์ของเธอได้ เขาชักจะรู้สึกตื่นเต้นกับการที่ได้มาเรียนจริงๆ มีผู้จัดการสาวสวยประจำทีมแบบนี้ค่อยมีกำลังใจขึ้นมาหน่อย

     

    “อมีเรีย เกรซ คาร์เชล ค่ะ” อมีเรียเลิกคิ้วแต่ก็ลุกขึ้นยืนแล้วก้มหัวให้อีกฝ่าย “เป็นผู้จัดการทีมบาสเซย์ริน”

    “ฉัน คิโยชิ เทปเปย์ ‘คิ’ ที่มาจากต้นไม้ ‘โยชิ’ ที่หมายถึงโชคดี รวมเป็นคิโยชิ” เทปเปย์แนะนำตัวพร้อมส่งยิ้มให้

    แต่ก็ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับเหมือนคุโรโกะก่อนหน้านี้เปี้ยบ คุโรโกะเลยต้องเป็นคนอธิบายว่าอมีเรียมีโรคประจำที่แสนประหลาดอยู่และเมื่อเทปเปย์ได้ฟังเรื่องนี้ เขาก็หันมามองรุ่นน้องคนสวยด้วยสายตาสงสาร

    “แล้วนี่..คางามิคุงโทรมารึยังครับ” คุโรโกะหันไปถามอมีเรียที่ยังคงมองพวกเขาสลับกับโทรศัพท์ในมืออยู่

    “ไม่มีการตอบรับเลยค่ะ” อมีเรียไหวไหล่พร้อมถอนหายใจออกมา “สงสัยต้องพึ่ง GPS แล้วละมั้ง”

    “ให้ผมไปส่งน่ะครับ” คุโรโกะรีบขันอาสาทันที

    “....??”

    อมีเรียมองซิกแมนหนุ่มด้วยแววตาสงสัยแต่ก็พยักหน้าให้เขาแล้วหันไปเก็บของลงกระเป๋านักเรียนของเธอ ส่วนเทปเปย์ก็ขออาสาเดินไปด้วยเพื่อไปส่งทั้งเธอและคุโรโกะ เขาบอกว่าในฐานะที่เป็น ‘รุ่นพี่’ จะปล่อยให้รุ่นน้องเดินกลับกันแค่สองคนได้ยังไง อมีเรียเลยปล่อยให้เขาทำตามใจตนเองว่าจะเดินไปส่งรึไม่ไป

    ตลอดการเดินกลับเทปเปย์พยายามชวนทั้งคุโรโกะและอมีเรียคุยถึงเรื่องการแข่งบาสทั้งหมดที่ผ่านมา

    ทว่าโดยส่วนใหญ่ก็เป็นคุโรโกะที่ตอบเพราะอมีเรียไม่เปิดปากพูดอะไรเลย นอกจากพยักหน้าและส่ายหน้าให้เท่านั้น สองขาเดินไปตามทางจนกระทั่งมาถึงคอนโดที่พักของเธอ เด็กสาวหันไปโค้งตัวขอบคุณทั้งสองคนที่มาส่งแล้วขอตัวขึ้นคอนโดไป – ตอนแรกก็จะชวนทั้งสองคนไปทานข้าวบนห้อง แต่เทปเปย์บอกว่าต้องกลับไปดูแลคุณยายส่วนคุโรโกะจะกลับไปให้อาหารเจ้าเบอร์สองที่ยังคงร่าเริงแม้จะอยู่ในกระเป๋า

    เพราะงั้นอมีเรียเลยต้องบอกลาทั้งรุ่นพี่และรุ่นเพื่อนทั้งสองคนก่อนหมุนตัวเดินเข้าตึกไป

     

    ขณะที่เธอกำลังจะขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังชั้นของห้องพัก ร่างสูงของใครบางคนก็วิ่งสวนทางเธอออกมาอย่างเร็วจนเกิดลมพัดจนปอยผมที่ปรกหน้าเธออยู่ขยับเล็กน้อย ด้วยส่วนสูงที่มากกว่าตัวเธอและเส้นผมแสนคุ้นตา อมีเรียก็ต้องกอดอกมองญาติหนุ่มผู้วิ่งหน้าตื่นออกไปด้านนอกพร้อมนับเลขในใจ 

    เธอยืนรออยู่สักพักคางามิก็ชะงักที่หน้าทางเข้าคอนโด เขาหมุนตัวกลับมาด้านหลังช้าๆ ปากก็อ้าราวกับตกใจส่วนใบหน้าก็ซีดเผือด “มีเรีย!?”

    “...ไม่ออกไปหาตอนตีหนึ่งเลยละคะ” อมีเรียหรี่ตามอง

    “กลับมาเองได้แล้วนิ?” คางามิปรับสีหน้าเป็นปกติก่อนรีบเดินเข้ามาสำรวจญาติสาว แต่แล้วก็เบี่ยงตัวหลบกระเป๋าที่ถูกเหวี่ยงใส่ตัวเขาด้วยฝีมือของอมีเรียที่ทำหน้านิ่งหรี่ตามองจับผิดอยู่ “โอ้..ไม่มีแผล ไม่มีเศษใบไม้ด้วย” แต่ก็ไม่ลืมที่จะอุทานเสียงดังกับรอบกายของเด็กสาวที่ปกติดีผิดจากก่อนหน้านั้นลิบลับ

    “....” 

    อมีเรียชักจะรู้สึกอยากเอากระเป๋าฟาดหัวเจ้าเด็กนี้จัง

    “รึว่า..มีคนมาส่ง?”

    “อุ๊ยตาย..ฉลาดจังเลยนะคะ” ไม่ว่าเปล่ามือเรียวก็ยกป้องปากอย่างมีจริตพร้อมทำตาโตบ้องแบ้ว

    “....ประชดใช่มั้ย?” คางามิมองแล้วหัวเราะเสียงดังเมื่อร่างเล็กตวัดสายตามองมาทางเขาอย่างรวดเร็ว “ขึ้นห้องกันเถอะ...ฉันทำกับข้าวแทนมีเรียล่ะ”

    “ถ้าไทกะไม่ทำ..คงนอนหิวแล้วละคะ – ปล่อยให้สุภาพสตรีนั่งรอเก้ออยู่คนเดียว นิสัยไม่ดีเลยนะคะ”

    “เอาน่า..ผมผิดไปแล้วคร้าบ”

    “ไม่ให้อภัยค่ะ”

    นัยน์ตาสองสีกลอกขึ้นมองบนใส่ขณะก้าวขาเดินเข้าลิฟต์ที่เปิดออก ตามด้วยคางามิที่ยังยิ้มอยู่อย่างน่าหมั่นไส้ จนเมื่อประตูลิฟต์ปิดลงอมีเรียก็เอากระเป๋านักเรียนในมือฟาดไปที่ท้องคางามิอย่างแรงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว แล้วรีบกลับมายืนนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแนบเนียน จนกระทั่งประตูลิฟต์เปิดในชั้นที่ต้องการนั่นแหละ

    อมีเรียจึงได้เดินตามหลังคางามิที่หันหลังมามองเธอทุกสามก้าวเหมือนคนขี้ระแวง

    กริ๊ก!

    “...อ่อ เราแวะทานข้าวกับคุโรโกะและรุ่นพี่คิโยชิแล้วล่ะ” อมีเรียหยุดยืนหน้าประตูห้องแล้วเงยหน้ามองชายหนุ่ม “ดังนั้น..วันนี้คางามิทานคนเดียวไปน่ะ”

    “....” นัยน์ตาสีแดงหรี่ลงพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน

    เสี้ยวหน้าหวานเรียบเฉยอีกรอบ ก่อนเอ่ยเสียงเนิบนาบ "ล้อเล่นค่ะ"

    คางามิเปลี่ยนจากขมวดคิ้วกลายเป็นเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแทน  รู้สึกเหมือนโดนเอาคืน เขาคิดพร้อมมองแววตาของเพื่อนสาวที่นอกจากประกายไร้อารมณ์แล้ว กลับมีประกายความจริงจังอยู่ภายในนั้นอย่างชัดเจน ไม่เพียงแค่นั้นร่างเล็กของญาติสาวยังลอดมุดเข้าห้องผ่านร่างของเขาที่ยืนบังอยู่

    แต่ก็เอาเถอะ...อย่างน้อยอมีเรียก็ไม่ได้โกรธที่เขาลืมเธอไว้ที่โรงเรียน...

    ปัง! กริ๊ก!

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    “.....ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เลือกหนูเหรอคะ – ทำไมถึงเลือกน้อง”

    ร่างเล็กจิ้มลิ้มของเด็กหญิงที่อายุเพียงสิบขวบเงยหน้ามองบิดาและมารดาด้วยแววตาว่างเปล่า

    ไม่มีซึ่งน้ำตา ไม่มีซึ่งความอาวรณ์ 

    มีเพียงใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของเด็กหญิงเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออารมณ์เจ็บปวดต่อการถูกทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่าจนมันฉายชัดอยู่บนใบหน้าของเธอ เด็กหญิงไม่ได้รู้สึกแค้นเคืองบุคคลทั้งสองเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่สงสัยว่า เหตุอันใดถึงได้เลือกทิ้งเธอไว้เบื้องหลังในทุกครั้งที่มีโอกาส

    “แกยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ นังเด็กหายนะ!” ถ้อยคำผรุสวาทดังออกจากปากของหญิงสาว 

    “!!!” เด็กหญิงสะดุ้งตัวโยนพร้อมเงยหน้าสบตามารดาด้วยสีหน้าหวาดกลัว

    ด้วยเสียงที่ดังและคำไม่สุภาพ ถึงต่อให้จะได้ยินอยู่บ่อยครั้งแต่เด็กหญิงกลับไม่รู้สึกชินเลยสักครั้ง 

    “....ก็แกมันตัวประหลาดน่ะสิ – ประหลาดเหมือนพ่อแก” เสียงหวานของผู้เป็นมารดาเอ่ยบอกลูกสาวที่ตนไม่คิดจะรัก ไม่แม้แต่จะรู้สึกผิดต่อการกระทำแสนไร้เหตุผลของตัวเอง “ดวงตาของแกที่ได้จากไอผู้ชายเฮงซวยนั่น ขยะแขยงเป็นบ้า – ดีน่ะที่โรซี่ลูกรักของฉันไม่ติดเชื้อสกปรกนั้นมาด้วย”

    “.....”

    ว่าจบก็ก้มมองร่างเล็กในอ้อมแขน เด็กหญิงตัวน้อยผู้กำลังยืนแหงนหน้ามองมารดาเหลือบมองเด็กหญิงอีกคนที่มีใบหน้า สีผมและรูปร่างที่เหมือนกันแต่ก็มีจุดที่ต่างกันอย่างชัดเจน เด็กหญิงเม้มปากแน่นมองภาพแสนอบอุ่นตรงหน้าที่ตัวเองไม่มีวันได้รับมันอย่างไม่เข้าใจ มือเล็กกำชุดกระโปรงสีหม่นของตนเอง

    ตัวเธอที่มีใบหน้าเหมือนเด็กหญิงผู้ได้รับความรัก แต่กลับแตกต่างกันตรงที่เด็กคนนั้นมีดวงตาเหมือนกับมารดาไม่ผิดเพี้ยน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนธรรมดาที่หาได้ทั่วไปจากกลุ่มมนุษย์ปกติ – นัยน์ตาสองสีมองภาพครอบครัวแสนอบอุ่นที่เดินหันหลังจากไป โดยทิ้งเธอเอาไว้เบื้องหลังอย่างไร้เยื้อใย ทั้งมารดาและพ่อเลี้ยง

    เธอไม่เข้าใจ...เธอทำอะไรผิด...

    ตัวเธอนับตั้งแต่จำความได้ก็ถูกทั้งบิดาบังเกิดเกล้าทอดทิ้ง หนำซ้ำมารดาผู้มอบชีวิตก็ทอดทิ้งเช่นกัน..

    ตัวเธอมันน่ารังเกียจขนาดนั้นหรอ.. สีตาของเธอสกปรกงั้นเหรอ...

    เด็กหญิงกำชุดของตนยืนจ้องมองพวกเขาด้วยแววตาที่เริ่มว่างเปล่าจนกระทั่งบุคคลทั้งสามเดินลับสายตาไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงจับจ้องอยู่ไม่วางตา ในขณะเดียวกันนั้นเด็กหญิงคล้ายกับได้ยินเสียงบางอย่างขาดภายในหัวของเธอเอง ใบหน้าที่มีความเศร้าหมองกลับเรียบเฉยอย่างรวดเร็ว 

    ไร้ซึ่งอารมณ์ ไร้ซึ่งความรู้สึก ไร้ซึ่งชีวิตชีวา

    และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของเด็กหญิงผู้ถูกทอดทิ้งที่ผันตัวกลายเป็นคนสำคัญขององค์กรชั้นสูงอื่นๆ

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    อมีเรียลืมตาตื่นขึ้นมองเพดานขาวด้วยแววตาเลื่อนลอย เมื่อกี้เธอฝัน..

    ฝันถึงความทรงจำที่ลืมเลือนไปตั้งนานแสนนานแล้ว  หากตอนนั้นแอมไม่มาพบเธอเข้าเสียก่อน ชีวิตของเธอจะเป็นยังไงก็ไม่อาจล่วงรู้และเธอเองก็ไม่อยากจะคิดถึงเหตุการณ์นั้นสักเท่าไหร่...หากบอสไม่บอกถึงความสามารถพิเศษของเธอ ชีวิตในตอนนั้นคงดิ่งลงเหวไม่น้อย -- เด็กสาวหลับตาลงอีกคราเพื่อเรียบเรียงความคิดก่อนจะหันไปมองผนังห้องที่มีแต่สูตรฟิสิกส์ คณิตและทฤษฎีต่างๆเต็มไปหมดจนแทบจะไม่เหลือที่ว่างให้เห็นสีของผนังห้อง 

    แม้จะคำนวณหามานานเพียงใดเธอก็ยังไม่พบคำตอบของปรากฏการณ์นั้นอยู่ดี

    บางทีคงเพราะมาอยู่ที่นี่นานเกินไป...เลยฝันถึงเรื่องเหล่านั้นอีกครั้ง

    “...เฮ่อ..เบื่อจังเลย...”

    ร่างบางนอนมองเพดานสีขาวสะอาดพลางหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตของตัวเอง

    มันก็มีทั้งน่าจดจำและไม่น่าจดจำ ขนาดทุกวันนี้เธอก็ยังนึกสงสัยถึงตรรกะคนทั้งสองว่า ทำไมถึงเลือกทอดทิ้งเธอไปแบบนั้น ถ้าจะทอดทิ้งทำไมไม่สังหารเธอหลังลืมตาเลยละ -- มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมดรวมไปถึงความทรงจำบางอย่างที่ไม่ปะติดปะต่อมาตั้งแต่แรก เหมือนจะจำได้แต่ก็กลับจำอะไรไม่ได้ เหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับร่างกายของเธอแต่กลับไม่อาจหาสาเหตุมาบรรยายหรืออธิบายได้เลย

    แต่ต่อให้สงสัยยังไงสุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี – ก็พ่อกับแม่...ตายไปแล้วนิ

    ....ตายด้วยน้ำมือของเธอเอง...

     

    ก๊อก! ก๊อก!

    “ตื่นยังมีเรีย..ไม่สบายรึเปล่า?” 

    เสียงดังจากหลังประตูด้วยฝีมือของคางามิที่ตื่นเช้ามาแล้วไม่เห็นหญิงสาวที่มักจะตื่นก่อนเขาเสมอ

    “..ตื่นแล้ว” อมีเรียขานตอบกลับไปก่อนจะสะบัดหัวไล่ความคิดเหล่านั้นออกไป

    “ฉันทำอาหารเช้ารอละกันน่ะ”

    “อือ..”

     

    ตลอดคาบเรียนภาคเช้าอมีเรียนั่งเงียบกว่าปกติพร้อมกับเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา แม้แต่คุโรโกะและคางามิก็สังเกตได้ว่า ผู้จัดการสาวกำลังมีเรื่องไม่สบายใจอยู่แน่ๆ จนกระทั่งถึงเวลาพักเที่ยง อมีเรียก็ยังคงนั่งเหม่อมองออกไปด้านนอกเหมือนเดิมราวกับว่าไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองนั้นกำลังเหม่อมองอะไร – คางามิตัดสินใจอุ้มร่างบางของญาติสาวพาดบ่า หวังจะแกล้งให้ตกใจแล้วร้องกรี๊ดเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ

    ผลสุดท้ายกลับไม่มีการตอบรับจากอมีเรียเลยแม้แต่น้อย

    มันชักจะมีบางอย่างผิดปกติ คุโรโกะรีบเข้ามาจ้องตาผู้จัดการสาวก่อนเบิกตากว้างตกใจกับประกายในนัยน์ตาของเธอ – นัยน์ตาสองสีของอมีเรียไร้ประกายแสงใดๆราวกับ..ไร้ซึ่งวิญญาณเหมือนกับคนตายเลย ซิกแมนหนุ่มรีบสะกิดให้คางามิสังเกตจุดนี้ก่อนที่แสงของเซย์รินจะรีบอุ้มร่างญาติสาวไปห้องชมรมแทบจะทันที

    ด้วยคาดหวังว่า จะมีรุ่นพี่อยู่สักคนที่พอจะช่วยเหลือพวกเขาได้บ้าง จะใครก็ได้ขอให้มาช่วยดึงสติคนเหม่อให้กลับคืนมาก่อนที่พวกเขาจะสังหรณ์ใจไม่ได้ไปมากกว่านี้ พวกเขาสองคนยอมรับเลยว่าเป็นห่วงร่างบางจริงๆ เพราะในตอนนี้อมีเรียเหมือนกับคนที่ไร้วิญญาณไปแล้วจริงๆ...

    ไร้วิญญาณทั้งจากสีหน้าและแววตา

     

    ตึก! ตึก! ตึก!

    ปัง!

    “รุ่นพี่ช่วยยัยเตี้ยด้วย!!” 

    คางามิวิ่งสุดแรงแล้วถีบประตูห้องชมรมจนเกิดเสียงดัง ด้านหลังเขาเป็นคุโรโกะที่มีสีหน้าเหนื่อยหอบเล็กน้อย คางามิกวาดสายตามองบรรดารุ่นพี่และเพื่อนบางคนที่กำลังเปลี่ยนชุดเพื่อไปซ้อมต่อ ก่อนจะนำร่างบางที่ตนเองแบกอยู่ไปนั่งบนม้านั่งโดยไม่สนใจสายตาใครทั้งสิ้นด้วยท่าทางรีบร้อน

    “คางามิ..อย่าใช้เท้าถีบประตูสิฟะ!!” ฮิวงะอยากจะโดดถีบเจ้ารุ่นน้องผมแดงแต่ก็ต้องหยุดแล้วมองผู้จัดการสาวที่นั่งนิ่งเงียบผิดปกติ “อมีเรียจัง..เป็นอะไร?”

    “ไม่รู้..ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว นี่ขนาดแบกมาเลยน่ะ – ยังไม่ขยับ”

    “???” ฮิวงะขมวดคิ้วงงหนักกว่าเดิม

    เขาลองโบกมือไปมาตรงหน้าหญิงสาว แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ 

    เอาล่ะ..มันผิดปกติจริงๆ ฮิวงะคิดแล้วเขาก็หันไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆว่าจะทำยังไงกันดี – ในระหว่างที่คนอื่นๆกำลังเครียดกับปฏิกิริยาตอบสนองของอมีเรียอยู่นั่น ผู้เป็นต้นเหตุก็เริ่มกะพริบตาปริบๆพร้อมขยับร่างกายเล็กน้อยก่อนจะปรายตามองทุกคนที่ยืนทำหน้าเครียดอยู่

    “มีอะไรรึเปล่าคะ?”

    “ก็มีน่ะสิ” ฮิวงะตอบโดยไม่หันมามอง “จู่ๆอมีเรียก็นิ่งแข็งเป็นหินไม่ยอมตอบสนองอะไรเล...หืม?”

    “...คะ??”

    “เฮ่ย!!”

    “ผมว่า...เราควรพาอมีเรียจังไปโรงพยาบาล” คุโรโกะพูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่รู้จะบอกว่า เครียดหรือจะบอกว่างงกันดี แล้วเขาก็เลื่อนไปมามองใบหน้าหวานที่ย่นคิ้วขมวดมองทางทุกคนจนกระทั้งสายตาของผู้จัดการสาวมาหยุดลงที่เขา

    “ผมเป็นห่วงอมีเรียจังนะครับ”

    “....??”

     

     

     

     

     

    “เกิดอะไรขึ้น…?" อมีเรีย

    …………………………………………

    รีไรท์ทีละนิดทีละหน่อยนะคะ อาจจะมาลงให้วันละตอนหรือสองตอน จนกว่าจะถึงตอนล่าสุดที่อัพลงให้นะคะ

    ทุกท่านสามารถโดเนทสนับสนุนด้านค่าเน็ตและค่าไฟให้แฟรร์ได้นะคะ

    วิธีโดเนท

    โอนเงินจำนวนแล้วแต่รีดฯเข้ามาได้ที่นี่ :: เลขบัญชี 046-8-34907-8 (ธนาคารกสิกรไทย) และ เบอร์ 0960075277 ( True Money Wallet )

    ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ //โค้ง

     

    1 คอมเม้นท์ = 100 กำลังใจ

    สามารถติหรือชี้แนะไรท์ได้ ไรท์จะรออ่านคอมเม้นท์ของทุกคนนะคะ

     

    ติดตามข้อมูลข่าวสารและการอัพเดทต่างๆได้ที่เพจ Fairy-แฟรี่กะ จิ้มๆเลย//ชี้

     

    By. ภูติสีเทา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×