คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #34 : Ep.1 Chapter 33 - จุดเริ่มต้น (จบภาค)
Chapter 33
The Begining
จุดเริ่มต้น
โมนิก้า ฮาลวอร์เซน กำลังเบื่อหน่าย
โมนิก้าเป็นหญิงสาวอายุสิบแปดปีธรรมดาๆ
เธอเกิดที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งในแอนทีค
พ่อแม่เก็บเงินเพื่อซื้อดวงตามังกรมาให้เธอจนได้เข้าเรียนที่เวสปาร์ทาวเวอร์ในฐานะผู้สนับสนุน
ด้วยคะแนนที่ดีเยี่ยมทำให้เธอได้รับการบรรจุเข้าไปทำงานในเซ็นทรัลและหลังจากนั้นไม่กี่ปีก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้สังเกตการณ์ของป้อมปราการหน้าด่านระหว่างทวีปตั้งแต่อายุยังน้อย
ใครจะไปรู้ละว่าจะเกิดเรื่องที่ทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่เธอเข้าไปทำงานได้ไม่ถึงครึ่งปี
ที่ๆโมนิก้าอยู่แห่งนี้คือห้องสีขาวขนาดใหญ่กว้างขวาง
ภายในนั้นจัดแต่งได้อย่างสวยงามและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแถมมีอาหารชั้นดีให้ตลอดสามเวลาหลังอาหาร กลอนประตูที่ล็อกไว้ตลอดเวลานั้นคือสัญลักษณ์ของสิ่งเดียวที่ห้องนี้ไม่สามารถให้เธอได้
นั่นคืออิสรภาพ
เป็นเวลาหลายต่อหลายเดือนแล้วที่โมนิก้าถูกขังอยู่ในห้องขังสีขาวแห่งนี้
สิ่งที่พอจะแก้เบื่อแก้เครียดให้เธอได้ก็มีเพียงหนังสือที่ผู้ที่จับเธอมาขังที่นี่เอามาให้บ่อยๆ
ในระหว่างที่ความเก็บกดและความเครียดของเธอมาถึงจุดสูงสุด
ในตอนนั้นประตูห้องที่ถูกล็อกไว้ตลอดก็ได้ถูกเปิดออก
“เดือนนึงแล้วสินะ
ที่ฉันไม่ได้มาที่นี่” ฮอลแลนด์เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเรียบเฉยในมือของเขามีหนังสือสองเล่มติดตัวมาด้วย
“เอาหนังสือเล่มใหม่มาฝาก หวังว่าจะแก้เบื่อให้เธอได้”
“มีคำถามจะถามฉันอีกแล้วเหรอคะ”
โมนิก้าหันไปตอบโดยไม่มองหน้า
ฮอลแลนด์ยักไหล่ราวกับไม่ใส่ใจปฏิกิริยาของอีกฝั่งแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับหญิงสาว
“ก็ประมาณนั้น”
“ฉันก็ตอบคำถามคุณไปทุกอย่างแล้วนี่คะ”
โมนิก้าตอบด้วยน้ำเสียงอาลัยตายอยาก “ตอบไปก็ไม่ได้ทำช่วยให้ฉันพ้นข้อสงสัยอยู่ดี”
“นั่นก็จนกว่าเราจะได้ข้อสรุปของคดีนี้ล่ะนะ ฉันเองก็อำนวยความสะดวกให้เธอเท่าที่ทำได้แล้ว”
“แต่ออกไปไหนไม่ได้แบบนี้มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับนักโทษเลยนี่คะ”
โมนิก้ายิ้มเจื่อน
“ก็เธอเป็นนักโทษจริงๆนี่นา” ฮอลแลนด์ไม่รู้จะตอบยังไงดีจึงได้ตอบประชดไปแบบนั้น
“เชื่อฉันเถอะ
ว่าฉันเองก็เชื่อเรื่องที่เธอเล่ามาแต่อะไรๆมันก็กระบวนการของมันเพราะงั้นเรื่องปล่อยเธอคงต้องเป็นหลังจากยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอได้มากกว่านี้”
“ค่ะ” โมนิก้าตอบสั้นๆ
เธอรู้ดีว่าฮอลแลนด์ไม่ได้โกหกเธอเพราะจากการกระทำหลายๆอย่างที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าชายคนนี้อยากช่วยเธอจริงๆ
จากข้อสังเกตที่เห็นจากโมนิก้า
ฮอลแลนด์ได้ข้อมูลเกี่ยวกับพลาน่าของมารามอสขึ้นมาได้สองข้อ
ข้อแรก
ผู้ถูกสะกดจิตนั้นจะไม่มีความทรงจำของช่วงที่ถูกสะกดจิตอยู่เลย ความทรงจำของโมนิก้าขาดหายไปในตอนที่เธอใช้มีดหวังทำร้ายฮะการ์
นั่นคือสาเหตุว่าทำไมเธอถึงไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงต้องถูกกักขังแบบนี้
ฮอลแลนด์ไม่ได้บอกเรื่องพลาน่าของมารามอสกับเธอไปเนื่องจากเรื่องนั้นถือเป็นความลับเพราะฉะนั้นสิ่งที่ฮอลแลนด์อธิบายให้เธอฟังก็มีเพียงแค่ว่าเธอถูกอะไรบางอย่างควบคุมเท่านั้น
ส่วนข้อที่สองนั้นคือนอกจากข้อจำกัดเรื่องที่ว่าผู้ถูกสะกดจิตนั้นจำเป็นต้องเป็นผู้ที่ไม่มีพลาน่าแล้ว
การสะกดจิตนั้นน่าจะมีกระบวนการที่จำเป็นต้องทำก่อนถึงจะทำการสะกดจิตได้เพราะถ้าหากผู้ใช้พลาน่าสามารถสะกดจิตอีกฝั่งได้ง่ายๆเพียงแค่สั่งเท่านั้นแล้วล่ะก็เขาคงสะกดจิตคนไปทั่วแอนทีคแล้วสร้างความวุ่นวายไปแล้วเพราะยังไงซะแม้แอนทีคจะเป็นทวีปที่อยู่ร่วมกับมังกรมาตั้งแต่กาลก่อนแต่จำนวนประชากรที่กินดวงตามังกรในปัจจุบันนั้นก็มีเพียงแค่ราวครึ่งต่อครึ่งเท่านั้น
‘นอกจากเรื่องสะกดจิตแล้วยังมีเรื่องสร้างภาพมายาอีก
ให้ตายสิ ช่างเป็นพลาน่าที่เจ้าปัญหาเสียจริง’ ฮอลแลนด์ถอนหายใจอย่างปลงๆ
“วันนี้ฉันมีเรื่องของคนบางคนที่อยากจะสอบถามเธอหน่อยน่ะ” ฮอลแลนด์พูดจบก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะวางมันบนโต๊ะ
มันคือรูปของชายหนุ่มคนหนึ่ง
ผู้มีผมสีดำสนิทและดวงตาสีเขียวอ่อน
“ไนลิก?” โมนิก้าเอ่ยชื่อนั้นออกมาเบาๆ
“ไนเดลิก เวอร์เดน
เธอรู้จักเขาอย่างที่คิดจริงๆสินะ” ฮอลแลนด์พูดอย่างไม่ประหลาดใจนัก
“ค่ะ...ฉันรู้จักเขา
พวกเราโตมาที่หมู่บ้านเดียวกันแล้วก็ยังเรียนที่เวสปาร์ทาวเวอร์ในชั้นปีเดียวกันด้วย”
หญิงสาวผู้เป็นนักโทษตอบในขณะที่มองภาพชายหนุ่มตรงหน้า
“ว่าแต่ทำไมถามถึงเขางั้นเหรอคะ”
“ก่อนหน้านั้นฉันอยากจะถามเธอเรื่องของเขาซะก่อน
ช่วยเล่าเรื่องของเขาให้ฟังคร่าวๆหน่อยได้มั้ย”
ฮอลแลนด์ยกมือขึ้นห้ามก่อนจนโมนิก้าขมวดคิ้ว
“เรื่องของเขา?”
“จากที่ฟังมาเธอน่าจะรู้จักเขาดีพอสมควรเลยใช่มั้ยล่ะ
ฉันอยากให้เธอเล่าให้ฟังหน่อย เขาเป็นคนแบบไหน นิสัยแบบไหน
การกระทำอะไรก็ได้ของเขา”
ฮอลแลนด์อธิบายเมื่อได้ยินแบบนั้นโมนิก้าก็ยกมือขึ้นกุมคางพลางครุ่นคิด
“ไนลิกเหรอคะ... จะว่ายังไงดีล่ะ” โมนิก้าลูบหัวด้วยสีหน้าปั้นยากก่อนจะพูดออกมา
“เขาเป็นคนค่อนข้างเข้าใจยากน่ะค่ะ”
“เข้าใจยาก?” ฮอลแลนด์ทวนคำ “ช่วยอธิบายขยายความหน่อยได้มั้ย”
“ไนลิกย้ายเข้ามาที่หมู่บ้านของฉันตั้งแต่เขาเด็กๆน่ะค่ะ
พ่อของเขาเป็นนักวิจัยด้านมังกรที่ย้ายเข้ามาที่หมู่บ้านของเราเพื่อทำงานวิจัย”
“ย้ายมาทำงานวิจัยงั้นเหรอ?
ถ้าจากข้อมูลที่ฉันได้มาหมู่บ้านนี่คงจะเป็น...”
“ค่ะ หมู่บ้านคัลเดียค่ะ”
โมนิก้าตอบคำถาม
ฮอลแลนด์พยักหน้ารับดูเหมือนว่าข้อมูลที่เขาหามาก่อนหน้านี้จะไม่ผิดพลาด
หมู่บ้านคัลเดีย เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ที่เอสริมหรือก็คือทางฝั่งดินแดนน้ำแข็งทางตอนเหนือของแอนทีค
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านขนาดไม่ใหญ่มากที่เป็นจุดท่องเที่ยวแห่งหนึ่งเนื่องจากหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ใกล้ถิ่นที่อยู่ของกลุ่มมังกรชนิดหนึ่งซึ่งเป็นมิตรกับมนุษย์
ทำให้ภายในหมู่บ้านแห่งนี้นั้นสามารถพบเห็นมังกรได้อยู่ทั่วไป
“ตอนที่เข้ามาใหม่ๆ
เขาเป็นเด็กที่ค่อนข้างเข้ากับคนอื่นยากนิดหน่อย
เขามักใช้เวลาส่วนใหญ่หมกอยู่กับหนังสือของพ่อเขาน่ะค่ะ”
“หนังสือ? อ้อ พ่อของเขาเป็นนักวิจัยนี่นะ”
ฮอลแลนด์พยักหน้า สำหรับนักวิจัยนั้น
การมีหนังสือสำหรับใช้อ้างอิงนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ถึงอย่างงั้นเขาก็ค่อนข้างเป็นเด็กหนุ่มที่อัธยาศัยดีนะคะ
พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต่างก็รักไคร่เขาทั้งนั้น
อาจจะเพราะความฉลาดเป็นกรดของเขาด้วยล่ะมั้งคะ
เวลาชาวบ้านมีปัญหาอะไรเขามักจะเสนอทางแก้ไขได้อย่างรวดเร็วไม่น่าเชื่อเลยล่ะค่ะ”
โมนิก้าเล่ายิ้มๆ
“เล่าซะยาวเหยียดแบบนี้ ดูจะสนิทกับเขาน่าดูเลยนะ”
ฮอลแลนด์ที่เห็นท่าทางการเล่าของโมนิก้าถามไป
“ก...ก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอกค่ะ
แค่พอดีหมู่บ้านของเราไม่ค่อยมีเด็กวัยเดียวกันซักเท่าไหร่” โมนิก้ารีบส่ายหน้ารัวๆจนฮอลแลนด์ยิ้มขำ
“ฟังดูเธอเล่าแล้วเขาเองก็ดูเป็นแค่เด็กหนุ่มธรรมดาคนนึงนะ”
“ค่ะ
เว้นแต่เรื่องความฉลาดเหนือมนุษย์นั่นนะคะ”
โมนิก้าพูดต่อไปซักพักก่อนที่ใบหน้าของเธอจะดูห่อเหี่ยวลงเล็กๆ
“จะมีก็แค่ช่วงหลังๆนั่นแหละค่ะที่เขาดูแปลกๆไปซะหน่อย”
“แปลกยังไง”
ฮอลแลนด์ดูสนใจตรงนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษ
“เป็นเรื่องหลังจากพ่อเขาตายไปน่ะค่ะ
ฉันอายุเท่าๆกับเขาตอนนั้นฉันก็น่าจะอายุได้ซักสิบสามล่ะมั้งคะ
อยู่ดีๆหลังจากตอนนั้นเขาก็ดูเก็บตัวมากขึ้นแทบจะใช้เวลาทั้งวันอยู่ในห้องหนังสือที่บ้านเขาอย่างเดียว...คือปกติเขาก็ชอบเก็บตัวในห้องหนังสืออยู่แล้วแต่ในตอนนั้นมันหนักกว่านั้นมากค่ะเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันเลย”
“อืม เล่าต่อมาสิ”
ฮอลแลนด์พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเขากำลังตั้งใจฟังอยู่
“หลังจากนั้นไม่นานพวกเราก็ได้ไปศึกษาต่อที่เวสปาร์ทาวเวอร์ในฐานะผู้สนับสนุนน่ะค่ะ”
โมนิก้าเล่าต่อในตอนนั้น
ฮอลแลนด์เองก็ยกมือท้วงเพราะมีเรื่องหนึ่งที่เขาสงสัยมานานตั้งแต่ศึกษาข้อมูลของชายคนนี้แล้ว
“ผู้สนับสนุน? ไม่ใช่นักรบมังกรเหรอ”
ฮอลแลนด์ถามจนหญิงสาวกะพริบตาปริบๆก่อนจะพยักหน้ารัวๆ
“งั้นเหรอ...ไม่เป็นไรเล่าต่อเลย”
‘ปิดบังตัวตนงั้นสินะ
ถ้ามีพลาน่าของมารามอสอยู่จริงๆก็ไม่แปลกใจที่จะทำแบบนั้น’ ฮอลแลนด์คิดในใจ
“หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ
เนื่องจากผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขาทำให้มีตระกูลมากมายติดต่อเขาให้ไปเป็นผู้สนับสนุนแต่เขาเองก็ปฏิเสธไปหมดเห็นบอกว่าตั้งใจจะเป็นนักวิจัยเหมือนพ่อของเขาน่ะค่ะ
ส่วนฉันเองก็ถูกเซ็นทรัลทาบทามให้ไปฝึกงานอยู่ที่ดราโกเนียสองสามปีก่อนที่จะถูกส่งไปทำงานที่ป้อมปราการหน้าด่านเพราะแบบนั้นเราเลยไม่ค่อยได้ติดต่อกันเท่าไหร่”
โมนิก้าบอกซึ่งนี่ดูเหมือนจะเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องเล่าของเธอแล้วและสุดท้ายเธอก็ถามสิ่งที่เธอสงสัยมานานกับฮอลแลนด์
“สรุปแล้วถามเรื่องเขาทำไมเหรอคะ?”
“ก่อนหน้านั้นมีอีกคำถามหนึ่งที่ฉันอยากจะถามซะก่อน”
ฮอลแลนด์หรี่ตาลงด้วยสีหน้าจริงจัง “เธอกับเขาใครกินดวงตามังกรก่อนกัน”
“คะ?”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆด้วยความงุนงงในคำถามนั่นก่อนจะตอบออกมาแบบงงๆ “เขากินก่อนค่ะ
ฉันเองพึ่งจะกินดวงตามังกรก่อนที่จะเข้าเวสปาร์ทาวเวอร์ได้ไม่กี่วันส่วนเขาน่าจะกินมาก่อนหน้านั้นสองสามเดือนแล้วล่ะค่ะ”
“จากข้อมูลที่ฉันหามาดูเหมือนเธอจะกินดวงตามังกรตอนอายุสิบสี่สินะ
งั้นจากที่ฟังเขาเองก็น่าจะกินตอนอายุเท่าๆกันใช่มั้ย
นั่นมันค่อนข้างช้าเลยนะสำหรับคนปกติ”
“พอดีที่บ้านของฉันค่อนข้างยากจนน่ะค่ะ
กว่าพ่อจะเจียดเงินมาซื้อดวงตาให้ฉันได้ก็ปาไปช่วงนั้นพอดี
ส่วนเขานั้นเห็นว่ากินดวงตามังกรที่พ่อซื้อเตรียมไว้ให้ก่อนน่ะคะ”
โมนิก้ายิ้มเจื่อนๆเมื่อนึกถึงตอนนั้นซึ่งฮอลแลนด์เองก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ
เนื่องจากการสังหารมังกรโดนไม่ได้รับอนุญาตเป็นเรื่องที่ผิดและดวงตามังกรนั้นต้องผ่านการย่อส่วนมาก่อนถึงจะกินได้
ทำให้ปัจจุบันดวงตามังกรนั้นถือเป็นสินค้าที่มีราคาอยู่ในระดับนึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงดวงตาของมังกรดั้งเดิมเลย
หลังจากฟังเรื่องราวของโมนิก้า
ฮอลแลนด์เองก็เกิดทฤษฎีบางอย่างขึ้นมาในหัวซึ่งมันน่าจะแก้ข้อสงสัยที่เขาสงสัยมานานได้
พลาน่าของมารามอสใช้ได้เฉพาะกับคนยังไม่ได้ปรับสภาพพลาน่า
ทำไมโมนิก้าถึงได้ถูกสะกดจิตได้ทั้งๆที่เธอกินดวงตามังกร?
คำถามนั่นวนเวียนอยู่ในหัวของฮอลแลนด์เป็นเวลานานแต่เนื่องด้วยการที่เขามารู้ทีหลังว่าทั้งสองคนรู้จักกันมาก่อนเลยก่อเกิดทฤษฎี
ร่างกายของมนุษย์นั้นไร้ซึ่งพลาน่าวิธีที่จะได้รับมันมานอกจากการได้รับพลาน่าที่รุนแรงจากชิ้นส่วนของมังกรอย่างเลสเตอร์แล้วมีอยู่วิธีเดียวนั่นคือการกินดวงตามังกร
โมนิก้าและไนลิกรู้จักกันมานานและไนลิกนั้นก็กินดวงตาก่อนโมนิก้าซักสองสามเดือนแปลว่าช่วงเวลานั้น
หญิงสาวคนนี้ยังไม่มีพลาน่าอยู่ในตัวซึ่งพอจะทำให้เขาสะกดจิตเธอได้
‘ถ้าเป็นอย่างงั้นจริงแปลว่าพลาน่าของมารามอสสามารถสะกดจิตได้ในระยะยาวงั้นเหรอ...แต่จากอาการของเธอแล้วการสะกดจิตไม่ได้ดำเนินไปตลอดเวลางั้นสิ่งที่น่าจะตอบคำถามนี้ได้ก็น่าจะเป็น...คำสั่งงั้นสินะ’ ฮอลแลนด์พักทฤษฎีของตัวเองไว้ในใจก่อนจะหันไปมองหน้าหญิงสาวที่ยังรอคอยคำตอบของคำถามเมื่อครู่
“เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาปรากฏตัวที่เวสปาร์ทาวเวอร์พร้อมกับข่มขู่เด็กนักเรียนของที่นั่นสองคน
พอดีเห็นว่าพวกเธอสองคนมาโตมาจากหมู่บ้านเดียวกันก็เลยถามเท่านั้นแหละ”
ฮอลแลนด์ตอบออกไปแบบนั้นโดยที่ไม่เล่าเรื่องทั้งหมดเพราะจากที่เห็นจากท่าทางการเล่าของโมนิก้าแล้ว
เขาคิดว่าคงจะเป็นการดีกว่าถ้าเธอไม่รู้เรื่องพวกนี้
เรื่องที่ว่าเขาคนนั้นอาจจะเกี่ยวข้องกับภาคีเพลิงแดง
เรื่องที่เขาเป็นอาชญากรที่ปล่อยมังกรหนีออกไปสู่เวย์แลนด์
หรือกระทั่งเรื่องที่เขาเป็นคนสะกดจิตคนที่น่าจะเป็นเพื่อนของเขาอย่างเธอให้ช่วยเขาในการก่ออาชญากรรมนั้น
“น...ไนลิกน่ะเหรอคะ
ทำไมเขาถึงทำแบบนั้น” เธอพูดด้วยสีหน้าตกอกตกใจและไม่อยากจะเชื่อ
“ก็นะ
เราเองก็ยังไม่รู้เรื่องนั้นเหมือนกันแต่ดูเหมือนว่าฉันเองคงต้องไปแล้วล่ะนะ”
ฮอลแลนด์พูดจบก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นหนังสือสองเล่มที่เขานำมาให้เธออ่านฆ่าเวลาให้
“อ้อ เรื่องของการกักตัวเธอน่ะ
ฉันเชื่อว่าอีกไม่เกินเดือนเธอก็น่าจะได้รับการปล่อยตัวแล้วล่ะ”
“จ...จริงเหรอคะ”
โมนิก้าเบิกตากว้างในทันที
“อืม
เพราะงั้นช่วงเวลาที่เหลือนี้ก็อดทนเอาหน่อยก็แล้วกันนะ”
ฮอลแลนด์พูดจบก็หันหลังเตรียมเดินออกไป
“คุณฮอลแลนด์คะ”
เสียงของหญิงสาวดังขึ้นมาฉุดให้เขาหันไปมอง
“อาจจะฟังดูเหมือนแก้ตัวก็ได้แต่เรื่องอย่างการทำร้ายคนอื่น...ยิ่งเป็นกับคนอย่างผู้อาวุโสด้วยแล้ว
ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นคนทำหรอกนะคะ”
“อืม ฉันรู้ดี”
ฮอลแลนด์มองสีหน้าจริงใจของหญิงสาวตรงหน้าก่อนจะเปิดประตูออกนอกห้องออกไป
ฮอลแลนด์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เขายังจำตอนที่ฮะการ์บอกชื่อของชายคนนี้ให้เขาฟังได้อย่างดี
แม้มันจะมาจากปากของเด็กสองคนก็ตามถึงเขาเองจะยังไม่เชื่อเรื่องที่เด็กเวย์แลนด์อย่างเลสเตอร์พูดแต่ถ้ามีคนอย่างเอลเลียตยืนยันด้วยแล้วมันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก
“ไนเดลิก เวอร์เดนงั้นเหรอ
ดูท่าเราจะเจอตัวอันตรายเข้าแล้วสิ”
เลสเตอร์กลับมาสู่ปราสาทสแตนฟอร์ด
หลังจากราวเดอร์จบลงเขาเองก็มีเวลาสองสัปดาห์ในการพักผ่อนก่อนจะเริ่มเรียนต่อในครึ่งปีหลัง
น้ำชาและอาหารของวิลเฮมยังคงทำให้เขาเบิกบานใจได้เสมอต้นเสมอปลายเหมือนเดิม
ในตอนนี้เขากำลังอยู่ที่โรงเลี้ยงมังกรโดยในมือของเขาคือเนื้อชิ้นหนึ่งที่กำลังถูกยื่นเข้าปากเจ้ามังกรตรงหน้า
เลสเตอร์แอบอมยิ้มเล็กๆเพราะเมื่อมาคิดๆดูแล้วนี่เป็นสถานที่แรกๆของปราสาทแห่งนี้ที่เขามีความทรงจำร่วมด้วย
ใครจะไปคิดล่ะว่ามันจะผ่านมาตั้งครึ่งปีแล้ว
ตรงหน้าของเขาเจ้ามังกรน้อยมิลลี่ที่ตัวโตขึ้นจนผิดหูผิดตา
“ให้อาหารดีๆหน่อยสิ
นี่ไปเรียนมาแล้วจริงรึเปล่าเนี่ย” ดีเลียพูดแซะตามนิสัยของเธอจนเลสเตอร์ต้องถอนหายใจ
“เลิกบ่นได้แล้วน่ะป้า เอาแต่พูดจาหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นบ่อยๆระวังตีนกาจะหนาขึ้นนะ”
“ว่ายังไงนะ! ไอ้เด็กเวร”
ดีเลียตะคอกกลับใส่เลสเตอร์ที่ยังคงนิสัยพูดจายอกย้อนไม่เปลี่ยน
“พูดจาแบบนั้นมันไม่สุภาพนะ”
เป๊ปเปอร์ที่อยู่ข้างๆกระตุกเสื้อของพี่ชายเตือนซึ่งเลสเตอร์ก็ยักไหล่อย่างไม่สนใจอะไร
“ใช่เลยจ้ะ คนสวย
น่าเสียดายจริงๆที่เด็กน่ารักแบบนี้หนูต้องมามีพี่ชายนิสัยแบบนี้”
ดีเลียเดินมาลูบหัวเป๊ปเปอร์ซึ่งเลสเตอร์ก็ได้แต่กลอกตาไปมา
ดูเหมือนเขาเองจะเคยชินกับความสองมาตรฐานที่ใครๆต่างก็มีให้เขากับเป๊ปเปอร์ไปเสียแล้ว
“อย่าน้อยใจไปเลยน่า เลสเตอร์เองก็เก่งขึ้นตั้งเยอะจริงๆนะ”
เนลลี่เดินมาตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆจนเลสเตอร์ต้องหันไปมองอย่างซาบซึ้งใจ ไม่ว่าใครจะเป็นยังไงเนลลี่ก็ยังเป็นคนที่ใจดีกับทุกๆคนเสมอ
ในช่วงเวลานั้นอยู่ดีๆเขาก็ได้ยินเสียงประตูของโรงเลี้ยงนี้เปิดออก
ทั้งสี่คนหันหน้าไปมองผู้มาใหม่พร้อมกัน
“อ้าว ท่านเอลเลียต มีธุระอะไรเหรอคะ”
ดีเลียยิ้มกว้างให้กับผู้มาใหม่ซึ่งเอลเลียตก็ยิ้มกลับไปอย่างสุภาพ
“พอดีผมมีเรื่องจะคุยกับหมอนี่หน่อยน่ะ”
เอลเลียตชี้นิ้วมาทางเด็กหนุ่มคนเดียวในที่นี้ซึ่งเลสเตอร์ก็หันนิ้วเข้าตัวเองพร้อมขมวดคิ้ว
“ฉันเหรอ? มีอะไรอีกล่ะ”
“ตามมาเหอะน่า”
เอลเลียตพูดจบก็เดินนำออกมาไปนอกโรงเลี้ยงจนเลสเตอร์ต้องเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเดินไปซักพักพวกเขาสองคนก็มายืนอยู่ตรงลานกว้างด้านหน้าปราสาทซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่แถวไหน
“ยังโดนดีเลียดุเรื่องให้อาหารมังกรอีกเหรอไง”
เอลเลียตที่ได้ยินจากข้างนอกก่อนจะเข้ามาในโรงเลี้ยงพูดแซะจนเลสเตอร์เหลือกตา
“นายก็รู้ว่าป้าดีเลียชอบหาเรื่องฉันแค่ไหน”
“ก็ทำตัวชอบชอบให้มีเรื่องเองนี่นา”
เอลเลียตบอกเพราะจากที่เห็นเพียงแค่ดีเลียพูดหาเรื่องหน่อยไม่ถึงวิเจ้าตัวแสบนี่ก็สวนกลับไปซะแล้ว
“สรุปมีอะไรจะคุยกับฉันล่ะ” เลสเตอร์พยายามจบประเด็นนี้แล้วเข้าประเด็น
“ท่านปู่บอกว่านายจะอยู่ต่อไปเรื่องนั้นจริงเหรอ”
“ที่เวสปาร์อะนะ อืม
ก็จะเรียนต่อให้ครบปีล่ะนะ นายเองก็รู้อยู่แล้วนี่จะถามทำไม”
“ฉันไม่ได้หมายถึงที่หอคอย”
เอลเลียตส่ายหน้า
“ฉันหมายถึงว่าเรื่องที่นายจะอยู่ที่นี่เกินกว่าหนึ่งปีน่ะจริงเหรอ”
พอเอลเลียตถามจบเลสเตอร์ก็นิ่งอึ้งไปก่อนที่จะเกาหัวแกรกๆ
“ปู่บอกนายแล้วเหรอ” เลสเตอร์ถามไป
“ตะกี้นี้เอง”
เอลเลียตเลิกคิ้วแล้วถามต่อ
“สรุปแล้วไอ้เรื่องที่ดีอกดีใจที่ขออะไรซักอย่างได้เมื่อตอนนั้นคือเรื่องนี้เองงั้นเหรอ”
“อืม ก็นะ” เลสเตอร์พยักหน้า
“หลังจากตอนที่ฉันขอปู่อยู่ที่เวสปาร์ทาวเวอร์ต่อ
ฉันเองก็ตัดสินใจขอเรื่องนี้กับปู่ไป”
“ต่อให้ท่านปู่ตกลงแต่พ่อนายคงไม่อนุญาตหรอกมั้ง”
เอลเลียตถามออกไปเพราะเลสเตอร์ก็พูดถึงพ่อตัวเองให้เขาฟังนิดหน่อยซึ่งเลสเตอร์ก็ส่ายหน้าเบาๆ
“ที่ฉันขอไม่ได้ขอปู่อยู่ที่นี่หรอก
ฉันขอต่อสายไปหาพ่อต่างหาก” เลสเตอร์ตอบ “ฉันอ้างไปว่าจะขอเรียนต่อไปน่ะซึ่งตอนแรกก็คิดว่าจะโดนปฏิเสธแน่ๆซะอีก”
เอลเลียตเองก็ยังคงจำได้ดีว่าข้ออ้างที่ฮะการ์บอกกับพ่อของเลสเตอร์ในการให้เลสเตอร์อยู่ที่นี่คือการอ้างว่าเจ้าตัวได้ทุนไปเรียนต่อ
“ก็รู้สึกผิดอยู่หรอกที่โกหกแต่ฉันก็เรียนที่เวสปาร์ทาวเวอร์จริงๆนี่ถึงจะแค่ปีเดียวก็เถอะ”
“แล้วพ่อนายอนุญาตงั้นเหรอ”
“ก็อย่างที่บอกตอนแรกฉันก็นึกว่าจะโดนปฏิเสธเหมือนกัน”
เลสเตอร์ยิ้มจางๆเมื่อนึกถึงตอนนั้น
“แต่สุดท้ายพ่อก็ดันอนุญาตซะดื้อๆเล่นเอาฉันแปลกใจเหมือนกัน”
แม้แต่ตอนนี้เลสเตอร์ก็ยังคงนึกถึงคำพูดของพ่อเขาได้ดี
คำพูดที่เขาได้กลับมาหลังจากเอ่ยปากขอเรื่องที่เขาไม่คิดว่าจะขอได้
“นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ลูกขออะไรกับพ่ออย่างจริงจังเพราะงั้นพ่อคงปฏิเสธไม่ลงหรอก
ตั้งใจเรียนซะล่ะ”
นั่นคือสิ่งที่พ่อของเขาบอกก่อนจะอนุญาต
ว่าแล้วเลสเตอร์ก็ยิ้มขำออกมาเพราะนั่นเองก็เป็นคำพูดที่ฮะการ์พูดกับเขาเหมือนกันตอนที่เขาขออยู่ที่เวสปาร์ทาวเวอร์ต่อ
“แล้วคิดยังไงถึงได้อยากอยู่ที่นี่ต่อล่ะ”
เอลเลียตถามคำถามต่อซึ่งเลสเตอร์ก็นิ่งไปพร้อมกับคิดว่าจะตอบกลับไปยังไงดีซึ่งสุดท้ายเขาเองก็ตอบออกไปสั้นๆ
“ก็อยู่ที่นี่มันสนุกดีน่า” เด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์ยิ้มกว้างซะจนเอลเลียตแค่นหัวเราะ
ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงโกรธที่อีกฝั่งพูดแบบนี้แท้ๆ
“ก็สมเป็นนายดี แล้วคิดจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหนล่ะ”
“ไม่รู้สิ
อาจจะหนึ่งปีหรือสองปี...หรืออาจจะมากกว่านั้น” เลสเตอร์ไหวไหล่
“ถ้าให้พูดล่ะก็ก็คงกว่าจะเบื่อนั่นแหละ หวังว่านายจะไม่เบื่อหน้าฉันไปซะก่อนล่ะ”
“ฉันเบื่อตั้งแต่วันแรกที่เจอกันแล้วล่ะนะ”
เอลเลียตยังคงพูดจาจิกกัดได้เสมอต้นเสมอปลายซึ่งเลสเตอร์ก็นึกขำออกมาเพราะเขาคิดว่าเขาคงจะต้องเจอคำพูดจิกกัดแบบนี้ต่อไปอีกซักพักใหญ่ๆเลยล่ะ
เลสเตอร์เงยหน้าแล้วมองออกไปยังท้องฟ้ากว้างไกล
ดวงตาสีดำของเขาสะท้อนภาพของเจ้าสเปียร์ มังกรตัวใหญ่ที่บินวนอยู่รอบปราสาท
นึกย้อนไปตอนที่เขามาที่นี่ครั้งแรกเขายังคงเห็นมังกรตัวนั้นเป็นแค่กลุ่มก้อนอากาศที่บิดเบี้ยวอยู่เลย
อีกฝากหนึ่งของท้องทะเลอันกว้างใหญ่คือดินแดนที่เขาเกิดและได้จากมันมาและในตอนนี้เขาก็กำลังยืนอยู่ในโลกใบใหม่ที่เขายังพึ่งรู้จักมันเพียงแค่เศษเสี้ยวเท่านั้น
เส้นทางการเป็นนักรบมังกรของเขายังพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น
- จบภาคแรก สัตว์ประหลาดมายา -
ความคิดเห็น