คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : Ep.1 Chapter 32 - สัตว์ประหลาดมายา
Chapter 32
Illusion Monster
สัตว์ประหลาดมายา
ร็อกแซนด์ตักเค้กชั้นดีเข้าปากพร้อมกับเคี้ยวตุ้ยๆอย่างสบายอารมณ์
“ค่อยๆกินก็ได้” เลสเตอร์พูดยิ้มๆทั้งที่ปกติแล้วเขามักจะทำหน้ามุ่ยพร้อมมองกระเป๋าตังที่บ๋อแบ๋ของตัวเองตลอดเวลาที่เด็กสาวคนนี้กินเค้กแต่วันนี้เขากลับยินดีควักกระเป๋าตังออกมาอย่างไม่มีบ่น
ความจริงนี่ก็เป็นเวลาราวสี่ทุ่มแล้ว ปกติเวลานี้ร้านอาหารในเวสปาร์ทาวเวอร์จะปิดให้บริการไปนานแล้วแต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันของราวเดอร์ทางหอคอยจึงได้เปิดร้านเหล่านี้เพื่อให้นักเรียนฉลองหลังสอบเสร็จได้เป็นกรณีพิเศษ
ส่วนฮะการ์และพ่อแม่ของนีลกับร็อกแซนด์นั้นก็อนุญาตให้พวกเขาฉลองกันได้เต็มที่ โดยพวกเขาจะหาที่พักในเมืองใกล้ๆแถวนี้ก่อนจะมารับพรุ่งนี้เช้าอีกที
“ว่าแต่เหลือเชื่อจริงๆนะที่นายชนะมาเอลได้จริง” ร็อกแซนด์พูดขึ้นขณะเค้กเต็มปากจนเลสเตอร์ต้องหัวเราะแห้งๆตอบ
ถ้าเป็นปกติเขาคงพูดกลับไปทำนองว่า “ไม่เห็นแปลกเลย ฉันมันสุดยอดอยู่แล้ว” อะไรแบบนี้แต่สุดท้ายแล้วเขากลับพูดมันไม่ออกเมื่อนึกถึงคำพูดที่ลินเดลพูดกับมาเอล
“ตลอดเวลาทั้งเทอมที่ผ่านมาเธอแทบไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลย”
ที่เขาชนะได้ก็เพราะแบบนั้น ถ้าหากมาเอลไม่ได้เอาแต่หลงระเริงในฝีมือของตัวเองแล้วทุ่มเทกับการฝึกฝนแล้วล่ะก็เขาคงแพ้อย่างขาดลอยอย่างแน่นอน เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้วเขาก็ได้แต่เสียวสันหลังวาบเพราะคะแนนของเขากับมาเอลก็ห่างกันเพียงสองคะแนนเท่านั้นเอง
“ยังไงก็ชนะละนะ” เลสเตอร์พูดปลอบใจตัวเองด้วยสีหน้าซด
“ชนะแบบเส้นยาแดงผ่าแปดน่ะเหรอ” เอลเลียตที่เหมือนจะรู้ว่าเลสเตอร์คิดอะไรอยู่พูดดักจนเจ้าตัวสะดุ้งโหยง
“หรือนายอยากให้ฉันแพ้กันหา? ไอ้นี่”
“เอาน่าๆ” นีลผู้มักจะเป็นตัวกลางเวลาเพื่อนๆเถียงกันยกมือห้ามปราม “ยังไงเลสเตอร์ก็ชนะแล้ว ผลลัพธ์ก็คือผลลัพธ์แทนที่จะมานั่งเถียงกันเรามาฉลองกันดีกว่าน่า”
พูดจบนีลก็ยกแก้วน้ำผลไม้ที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมา เมื่อทุกคนเห็นแบบนั้นก็ได้แต่ยิ้มขำก่อนจะยกแก้วขึ้นมาด้วย
“นั่นสินะ วันนี้จะเลิกหาเรื่องวันนึงละกัน...แด่ชัยชนะของ เลสเตอร์ เอลมอล” เอลเลียตชูแก้วขึ้นสูงก่อนที่ทุกคนจะเอาแก้วมาชนกันเสียงดัง
“เชียร์!” เสียงแห่งการเฉลิมฉลองดังขึ้นพร้อมจนนักเรียนคนอื่นหลายๆคนที่มาฉลองกันในโรงอาหารเช่นเดียวกันนั้นอดยิ้มให้ไม่ได้
เลสเตอร์ใช้เงินเก็บที่เหลือทั้งหมดซื้ออาหารและขนมมากินอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ยังไงซะเงินก็เป็นของนอกกายในตอนนี้เขาขอใช้มันเพื่อแลกกับความสุขดีกว่า
“เลสเตอร์?”
“หือ? เดเมี่ยนเหรอ มีอะไรรึเปล่า” เลสเตอร์หันหน้าไปตามเสียงที่เรียก ในตอนนั้นเขาก็เห็น เดเมี่ยน เลเบอร์ไนท์ หนึ่งในนักรบฝึกหัดคนนึงของหอคอยยืนอยู่พร้อมกับถืออะไรบางอย่างไว้ในมือ
“มีคนฝากนี่มาให้นายน่ะ” เดเมี่ยนยื่นของที่อยู่ในมือให้ซึ่งเลสเตอร์ก็รับมันมาอย่างงงๆ
มันคือ กล่องของขวัญสีแดงที่ถูกห่อไว้อย่างสวยงาม
“ของขวัญ? ให้ฉันเหรอ?” เลสเตอร์ชี้นิ้วเข้าตัวเองอย่างงงๆ
“อืม เขาบอกว่าอย่าพึ่งแกะด้วยนะ” เดเมี่ยนพยักหน้ารับ
“เขาที่ว่านี่คือใครเหรอ?” เลสเตอร์ถามอย่างสงสัย ถึงแม้เขาจะแอบดีใจที่มีคนส่งของขวัญให้ตัวเองแต่พูดตามตรงเขาก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครกันที่เป็นคนส่งของขวัญมาให้เขา
“ฉันก็ไม่รู้หรอก เขาแค่ฝากของขวัญนี่มาให้ฉันก็เท่านั้นแหละ แต่เขาบอกว่านายรู้จักเขานะ” เดเมี่ยนส่ายหน้าตอบก่อนจะชี้นิ้วไปในทิศทางนึง “จริงสิ เขาบอกว่าเขาจะรอนายอยู่ที่ระเบียงตรงนั้นน่ะ ถ้าสะดวกก็ขอให้แวะไปคุยกับเขาหน่อย”
“โห มีคนส่งนัดพบด้วย น่าเสียดายนะที่ไม่ใช่ผู้หญิง” ร็อกแซนด์พูดเหน็บเข้าให้จนเลสเตอร์ต้องถอนหายใจออกมา
“ยังไงก็ขอบใจนะเดเมี่ยน” เลสเตอร์พูดขึ้นก่อนที่เดเมี่ยนจะขอตัวไปนั่งสังสรรค์กับกลุ่มเพื่อนๆของเขาต่อ เลสเตอร์มองกล่องของขวัญในมือของตัวเองอย่างงุนงง
ใครกันนะที่ส่งมันมาให้เขา
“จะแกะเลยรึเปล่า” ร็อกแซนด์ถามพร้อมกับมองมันอย่างสนอกสนใจ
“คงยังไม่หรอก ก็เขาบอกว่าอย่าพึ่งแกะนี่” เลสเตอร์พูดจบก็วางกล่องของขวัญลงบนโต๊ะ
“แล้วที่เขานัดพบนายล่ะ จะไปมั้ย?” นีลถามต่อซึ่งเลสเตอร์ก็พยักหน้ารับ
“อืม ยังไงเขาก็อุตส่าห์ส่งของขวัญมาให้แบบนี้ ฉันคงต้องไปขอบคุณเขาหน่อยล่ะนะ” เลสเตอร์บอกแบบนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วสะกิดเอลเลียตเบาๆ “นายไปด้วยกันหน่อยสิ”
“ทำไมฉันต้องไปด้วยล่ะ” เอลเลียตขมวดคิ้ว
“ก็ฉันไม่รู้ว่าใครส่งมานี่ ฉันไม่กล้าไปคุยคนเดียว” เลสเตอร์ตอบจนเอลเลียตต้องถอนหายใจก่อนจะลุกไปตาม
ทั้งสองเดินออกมาจากโรงอาหารแล้วเดินออกไปยังทางเดินที่นำทางไปตรงระเบียง โดยในระหว่างทางพวกเขาหันซ้ายหันขวามองรอบๆก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณแถวนี้เลย
“ใครกันนะ?” เลสเตอร์พูดในระหว่างที่สาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า
“ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ยังไงนายก็เป็นนักรบในสังกัดสแตนฟอร์ด อย่าทำอะไรที่มันเสียมารยาทล่ะ”
“รู้แล้วล่ะน่า” เลสเตอร์ตอบกลับเหมือนดังเช่นทุกที
ไม่นานพวกเขาสองคนก็เดินมาถึงระเบียงที่ว่า เลสเตอร์มองซ้ายมองขวาเพื่อหาบุคคลที่เรียกเขามาและในที่สุดเขาก็พบคนๆหนึ่งเขา
ชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งกำลังยืนเท้าคางอยู่ตรงระเบียงพร้อมให้สายลมแรงจากด้านนอกพัดพาใส่เขา
“คุณที่ตอนนั้น...” เลสเตอร์ค่อยๆเบิกตากว้างขึ้น ความทรงจำที่ผ่านมาค่อยๆไหลเขามาในหัวเขาทีละนิด
ชายหนุ่มคนนั้นที่ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆหันดวงตาสีเขียวอ่อนนั่นมาช้าพร้อมกับยิ้มบางให้
“อะไรกันพาเพื่อนมาด้วยเหรอ” ชายหนุ่มคนนั้นมองไปยังเอลเลียตก่อนจะไหวไหล่ “ไม่เป็นไร มีคนมาคุยเยอะๆมันก็ไม่เลวหรอกนะ”
“คุณถ้าจำไม่ผิด...คุณไนลิก” เลสเตอร์เปรยชื่อของชายหนุ่มที่เขาพบที่ห้องสมุดเมื่อตนนั้นขึ้นมาซึ่งอีกฝั่งก็ยิ้มอย่างพอใจที่เด็กหนุ่มตรงหน้าจำชื่อของตัวเองได้
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าเราจะได้เจอกันอีกน่ะ เลสเตอร์ เอลมอล”
เอลเลียตหันมามองหน้าเลสเตอร์อย่างสงสัยเพราะดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะรู้จักกันมาก่อนถึงขนาดที่รู้จักชื่อกันและกัน
“คนรู้จักเหรอ” เอลเลียตหันมากระซิบข้างหู
“เคยเจอกันนิดหน่อยน่ะ” เลสเตอร์ตอบกลับไปแบบนั้น “คุณเป็นคนส่งของขวัญมาให้ผมเหรอครับ ผมขอบคุณมากจริงๆนะครับ”
“อืม ได้เปิดดูแล้วรึยังล่ะ” ไนลิกถาม
“ยังครับ ก็คุณว่ายังไม่ให้เปิดนี่นา” เลสเตอร์ส่ายหน้าตอบซึ่งไนลิกก็ทำหน้าพอใจกับคำตอบนั้น
“ดีแล้วล่ะ ถ้าไม่งั้นก็ไม่ได้ลุ้นน่ะสิ”
“ลุ้น?” เลสเตอร์เลิกคิ้ว
“อ้อ ไม่มีอะไรหรอกอย่าได้ใส่ใจเลย” ไนลิกโบกไม้โบกมือปัดๆไป “ฉันเองก็แค่อยากจะเจอเธอหลังจากไม่ได้เจอกันนานซักหน่อยน่ะ จริงสิ ยินดีด้วยที่สอบราวเดอร์เสร็จนะ ได้ข่าวว่าชนะการเดิมพันด้วยนี่นา”
“ขอบคุณมากครับ บอกตามตรงผมเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน” เลสเตอร์เกาหัวแก้เขิน “ว่าแต่คุณเองก็เคยเข้าร่วมเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ ราวเดอร์เนี่ย”
“ราวเดอร์งั้นเหรอ คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย”
“คุณเองก็เคยเรียนอยู่ที่เวสปาร์ทาวเวอร์เหมือนกันเหรอครับ” เอลเลียตที่พอจะจับใจความได้บ้างก็ถามไป
“ก็นะ สี่ปีได้แล้วล่ะ” ไนลิกตอบ “แต่ไม่คิดเลยว่าฉันจะมีโอกาสได้เจอผู้สืบทอดตระกูลดังด้วย เรียกฉันว่าไนลิกละกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ เอลเลียต สแตนฟอร์ด”
“รู้จักผมด้วยเหรอครับ”
“แน่นอนว่าต้องรู้จักอยู่แล้ว ไม่มีทางที่ฉันจะไม่มีข้อมูลของนักรบฝึกหัดอันดับหนึ่งในปีนี้หรอกนะยิ่งเป็นของสแตนฟอร์ดด้วยแล้ว” ไนลิกตอบแบบนั้นซึ่งมันทำให้เอลเลียตรู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร
“แล้วคุณไนลิกมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมงั้นเหรอครับ” เลสเตอร์ถามเข้าประเด็น
“อ๋อ ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่อยากจะคุยเรื่อยเปื่อยกับเธอก็เท่านั้นเอง” ไนลิกหัวเราะเบาๆ “เอางี้ ฉันให้เธอเป็นคนเปิดประเด็นการพูดคุยดีกว่ามั้ย”
เลสเตอร์กะพริบตาปริบๆที่อยู่ดีๆเขาก็ถูกโยนหน้าที่มาให้แต่ไม่นานเจ้าตัวแสบก็เลิกสนใจแล้วพยายามนึกว่าจะพูดอะไรดี
“งั้นก็...จะว่าไปผมยังไม่เคยถามคุณเลย คุณทำงานอะไรอยู่เหรอครับ” เลสเตอร์ถามไปจนเอลเลียตต้องหันไปมองหน้าเอาเรื่องเพราะการถามอะไรแบบนั้นไปตรงๆมันค่อนข้างจะเสียมารยาทซึ่งชายหนุ่มเองก็หัวเราะเบาๆก่อนจะยกมือเป็นทำนองว่าไม่ถือสา
“ฉันน่ะเหรอ...อืม ก็หลายอย่างอยู่ล่ะนะแต่ถ้าจะให้พูดล่ะก็...” ชายหนุ่มตรงหน้ากุมคางครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมา “กำลังตั้งคำถามกับโลกล่ะมั้ง”
“ตั้งคำถามกับโลก?” เด็กหนุ่มทั้งสองคนทวนคำนั้นด้วยสีหน้างุนงง
“ใช่แล้วล่ะ พวกเธอไม่เคยลองคิดบ้างเหรอ” ไนลิกผายมือออก “มองโลกแล้วตั้งข้อสงสัยน่ะ ว่าทำไมมันถึงได้เป็นแบบนี้แล้วทำยังไงเราถึงจะได้โลกที่สวยงามกว่าเดิม”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนนิ่งไปพักใหญ่ๆเพราะดูเหมือนคำตอบที่พวกเขาได้จากคำถามเมื่อครู่มันจะดูเหนือความคาดหมายของพวกเขาไปพอสมควร
“ผมว่าเรื่องยากๆแบบนั้น อย่างหมอนี่ไม่เคยคิดหรอกครับ” เอลเลียตยังไม่วายที่จะพูดแซะเพื่อนข้างๆไปหนึ่งที
“ไหนบอกว่าจะเลิกหาเรื่องฉันซักวันนึงไง” เลสเตอร์เบ้ปาก
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันเชื่อว่าเธอเองก็ต้องเคยคิดเหมือนฉันนั่นแหละ” ไนลิกชี้นิ้วไปที่เลสเตอร์
“ผมเหรอ?” เลสเตอร์ชี้นิ้วไปที่ตัวเองตามก่อนจะรีบส่ายหน้าไปมา “ไม่หรอกครับ อย่างที่หมอนี่บอกนั่นแหละ ผมไม่เคยคิดอะไรยากๆแบบนั้นหรอก”
“ไม่หรอก เธอต้องคิดแน่” ไนลิกพูดซึ่งไม่รู้ทำไมในตอนนั้นเลสเตอร์กลับรู้สึกขนลุกขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ “เธอเคยตั้งคำถามกับมันอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง เมื่อราวหนึ่งปีก่อนตอนที่เธอเก็บหนังสือเล่มนั้นได้จากทะเลน่ะ”
“เอ๋?”
“นับแต่วันที่เธอได้เห็นเหล่ามังกรในตำนานพวกนั้นล่องลอยออกมาจากหน้ากระดาษ โลกใบเดิมอันคับแคบของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” ไนลิกยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนสีหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังเบิกตากว้างอย่างตื่นตะลึง “นั่นเป็นวันแรกที่เธอได้ตั้งคำถามใช่มั้ยล่ะ “โลกที่ฉันอยู่อาศัยมันเป็นแบบที่ฉันคิดจริงๆเหรอ” เธอคิดแบบนั้นใช่มั้ยล่ะ”
เลสเตอร์ไม่ได้ตอบคำถาม ในตอนนี้ดวงตาของเขาเบิกกว้างอย่างปิดไม่มิด สาเหตุไม่ใช่สิ่งที่ไนลิกถามเขาแต่เป็นอีกใจความหนึ่งของประโยตที่ไนลิกพูดออกมา
“ทำไมคุณ...ถึงรู้เรื่องหนังสือ” เลสเตอร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เรื่องของหนังสือเล่มนั้นฮะการ์บอกไว้ว่านอกจากพวกเขาและคนในระดับสูงของเซ็นทรัลแล้วก็แทบไม่มีใครรู้อีก
“ฉันหวังว่าหนังสือเล่มนั้นจะถูกใจเธอนะ” ไนลิกกล่าว
ในตอนนั้นเอลเลียตเองก็รู้ได้ทันทีความรู้สึกแปลกๆที่เขาสัมผัสได้ตั้งแต่แรกที่พบชายคนนี้คืออะไร เขารีบดึงไหล่เลสเตอร์ออกแล้วทิ้งระยะห่างออกมา
“คุณเป็นใคร?” เอลเลียตถามคำถามสั้นๆพร้อมกับสีหน้าไม่เป็นมิตรซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มดวงตาสีเขียวอ่อนตรงหน้าหุบรอยยิ้มบนใบหน้าลงเลย
“น้ำเสียงรุนแรงจังนะ ช่วยใจเย็นก่อนจะดีกว่ามั้ย”
“ทำไมคุณถึงรู้เรื่องหนังสือได้” เอลเลียตไม่ได้ลดสีหน้าเคร่งเครียดนั่นลงเลย
“ลองคิดดูสิว่าทำไมฉันถึงรู้”
“ผมถามคุณอยู่นะ” เอลเลียตเปร่งเสียงเข้มดวงตาสีน้ำตาลแดงของเขาส่องประกายเอาจริงจนไนลิกต้องถอนหายใจออกมา
“พวกเธอสองคนอยู่เฉยๆจะดีกว่า” ไนลิกพูดจบก็ล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเอง
“นั่นอะไรน่ะ” เอลเลียตถามออกไปแต่เลสเตอร์ที่เห็นมันกลับเปลี่ยนสีหน้าไปในทันที
มันคือแท่งอะไรบางอย่างที่มีเหมือนปุ่มกดอยู่ด้านบน
“นั่นมัน...” เลสเตอร์พูดขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อเพราะนั่นมันเป็นอะไรบางอย่างที่เขาไม่คิดว่าจะได้เห็นมันที่แอนทีคแห่งนี้ ไม่สิ ต่อให้เป็นที่เวย์แลนด์ เขาก็เคยเห็นมันแต่ในหนังเท่านั้น
“สวิตช์ระเบิดไงล่ะ” ไนลิกพูดขึ้นอย่างสบายๆเหมือนสิ่งที่อยู่ในมือของเขาเป็นของเด็กเล่น “ถ้าฉันกดปุ่มระเบิดก็จะทำงาน เด็กเวย์แลนด์อย่างเธอคงเข้าใจการทำงานของมันดีนะ”
“ทำไมของแบบนั้นถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้” เลสเตอร์เริ่มเปลี่ยนสีหน้า เขารู้ทันทีเลยว่าสถานการณ์ตรงหน้าได้เปลี่ยนไปแล้ว
“ฉันลองประกอบดูตามหลักวิทยาศาสตร์ของชาวเวย์แลนด์น่ะนะ แน่นอนว่ามันก็เข้าใจยากนิดหน่อยแต่พอได้พอลองทำแล้วก็สนุกใช้ได้” ไนลิกตอบจนเลสเตอร์เบิกตากว้าง
“ผมไม่เชื่อหรอก” เลสเตอร์ตอบไป ถ้าเป็นที่เวย์แลนด์เขายังไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่มีคนประกอบระเบิดแบบนี้ขึ้นมาได้แต่ที่นี่มันแอนทีค ดินแดนนักรบมังกรที่ไร้ซึ่งเทคโนโลยีไฮเทค มิหนำซ้ำชายคนนี้ยังพูดเหมือนกับว่าการประกอบระเบิดแบบนี้เป็นเรื่องง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย
“จะลองทดสอบดูมั้ยล่ะ” ไนลิกมองเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยสีหน้าเย็นชา เลสเตอร์ที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ “อย่างงั้นแหละดี ช่วยอยู่เฉยๆจะดีกว่านะ ถ้าไม่อยากให้เพื่อนของเธอเป็นอันตราย”
“เพื่อน?” ทั้งสองคนขมวดคิ้วกับคำพูดนั้น
“นี่คือสวิตช์ระเบิดแปลว่ามันต้องมีระเบิดอยู่ใช่มั้ยล่ะ พวกเธอคิดว่ามันอยู่ที่ไหนล่ะ” ไนลิกพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยซึ่งทั้งสองคนก็งงไปพักใหญ่ๆจนกระทั่งเลสเตอร์นึกอะไรบางอย่างออกจากคำพูดก่อนหน้านั้นของอีกฝ่าย
“กล่องของขวัญนั่น…” เลสเตอร์พูดด้วยใบหน้าซีดเผือดซึ่งไนลิกเองก็แสยะยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเอลเลียตเข้าใจเรื่องทุกอย่างดี
“เธอหัวไวกว่าที่ฉันคิดนะ ดีแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเวลาอธิบาย”
เลสเตอร์แทบจะล้มทั้งยืน เขายังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเกี่ยวกับเรื่องสวิตช์ระเบิดในมือของไนลิกแต่ก็อย่างที่รู้กันเขาไม่สามารถเอาความไม่แน่ใจนั่นมาเดิมพันกับชีวิตของเพื่อนเขาได้หรอก
หากเรื่องสวิตช์ระเบิดของไนลิกเป็นของจริงแล้วเขากดมันลงไปจริงล่ะก็ ระเบิดที่อยู่ในกล่องของขวัญซึ่งวางอยู่ที่โรงอาหารนั่นก็คงจะระเบิดแล้วคร่าชีวิตของทั้งนีลและร็อกแซนด์รวมถึงคนอื่นๆในโรงอาหารนั่นไปด้วย
จริงอยู่ที่ว่าร่างกายของนักรบมังกรนั้นแข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไปแต่ถ้าหากโดนระเบิดแบบนั้นในระยะประชิด เลสเตอร์ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความแข็งแกร่งของร่างกายนั่นมันจะเพียงพอมั้ย
“คุณไม่กล้ากดมันหรอก” เอลเลียตที่หัวไวพอที่จะปะติปะต่อเรื่องจากที่ได้ยินบอก “ที่นี่คือเวสปาร์ทาวเวอร์ หากคุณก่อเรื่องที่นี่คิดเหรอว่าจะรอดไปได้น่ะ”
“งั้นจะลองดูมั้ยล่ะว่าฉันกล้ากดมันมั้ย” ไนลิกพูดจบก็มือลูบสวิตช์ไปมาอย่างนุ่มนวล “บอกไว้ก่อนเลยนะว่าการหนีออกไปจากที่นี่น่ะมันไม่ยากอะไรอย่างที่พวกเธอคิดหรอก ยกตัวอย่างวิธีง่ายๆเลยนะ...”
ไนลิกพูดจบก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดใบหน้าของตัวเองชั่วครู่ หลังจากนั้นก็เอามือออก ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้าอื่นที่ไม่ใช่ใบหน้าเดิม
มันคือใบหน้าของเอลเลียต
“ฉันก็แค่วิ่งไปให้ลับตาแล้วเปลี่ยนใบหน้าอื่นก็พอ เท่านี้ก็ไม่มีใครหาฉันได้เจอแล้ว” ไนลิกพูดขึ้นด้วยใบหน้าของเอลเลียตแต่เสียงของเขายังคงเดิมอยู่ “หรือถ้าไม่พอใจจะเปลี่ยนเป็นใบหน้าอื่นก็ได้นะ แบบนี้ไง...”
ไนลิกพูดจบใบหน้าของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นใบหน้าของใครก็ไม่รู้ที่เด็กหนุ่มทั้งสองคนไม่รู้จัก หลังจากนั้นใบหน้าพวกนั้นก็ถูกสลับไปมาอย่างรวดเร็วโดยทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นใบหน้าที่พวกเขาไม่รู้จักทั้งนั้นก่อนที่สุดท้ายจะกลับมาสู่ใบหน้าเดิมของเจ้าตัว
เด็กหนุ่มทั้งสองคนที่มองภาพนั้นอย่างตื่นตะลึง ในตอนนั้นพวกเขาก็รู้ทันทีว่าชายตรงหน้าของพวกเขานั้นเป็นใคร
“คุณคืออาชญากรที่เซ็นทรัลตามตัวอยู่...คุณคือเจ้าของหนังสือเล่มนั้น” เลสเตอร์พูดเสียงสั่นซึ่งมันก็ทำให้รอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิมบนใบหน้าของไนลิก
“ดูจากที่พูดแล้วแสดงว่าฮะการ์ สแตนฟอร์ด คงเล่าเรื่องของฉันให้ฟังมาบ้างแล้วสินะ งั้นก็ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ชื่อจริงของฉันคือ ไนเดลิก เวอร์เดน ผู้ครอบครองพลาน่าของมังกรแห่งความฝัน เจ้าของตัวจริงของหนังสือสีแดงเล่มนั้นของเธอยังไงล่ะ”
นักรบฝึกหัดทั้งสองคนขนลุกซู่ในทันที ที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาในตอนนี้คืออาชญากรที่เซ็นทรัลใช้เวลาหลายต่อหลายเดือนในการตามตัวแต่ก็ตามหาไม่เจอ อาชญากรที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงในรอบหลายสิบปี
“มาหาพวกเราแบบนี้ต้องการอะไรกันแน่” เอลเลียตถามต่อ
“พวกเธอเหรอ? ไม่ๆ เธอก็เป็นแค่ของแถมเท่านั้นแหละ เอลเลียต สแตนฟอร์ด คนที่ฉันอยากเจอจริงๆก็คือเธอต่างหากล่ะ เลสเตอร์ เอลมอล”
“งั้นต้องการอะไรจากผมล่ะ” เลสเตอร์มองหน้าอีกฝ่ายด้วยความเคร่งเครียดทันที
“ฉันก็แค่อยากรู้ความเห็นของเด็กเวย์แลนด์อย่างเธอก็เท่านั้นแหละ รู้สึกยังไงกับหนังสือของฉันล่ะ” ไนลิกแบมือขึ้นทันใดนั้นภาพของเหล่าดราเชนที่เขาเคยเห็นในหนังสือเล่มนั้นก็ค่อยๆปรากฏมาทีละตัวๆ “คิดยังไงกับเหล่าดราเชนพวกนี้น่ะ ชอบมันบ้างรึเปล่า”
เลสเตอร์ไม่ตอบคำถามแต่เพียงแค่มองไนลิกก็รู้แล้วว่าคำตอบของเลสเตอร์คืออะไร
“งั้นคุณก็เป็นคนส่งมังกรตัวนั้นมาฆ่าผมด้วยสินะ”
“มังกรตัวนั้น? อ๋อ บัลเรฟ น่ะเหรอ” ไนลิกพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ นั่นเป็นครั้งแรกที่เลสเตอร์ได้รู้ชื่อของมังกรที่โจมตีเขาบนหาดทรายในวันนั้น “ฉันแค่ให้เขาไปเอาหนังสือของฉันคืนแต่ดูเหมือนเขาจะติดเล่นมากไปหน่อยน่ะนะ ถ้ามันทำให้เธอไม่พอใจก็ต้องขอโทษด้วย”
“ทำไมถึงส่งหนังสือเล่มนั้นมาให้ผม” เลสเตอร์เอ่ยคำถามที่เขาอยากรู้ที่สุดออกไปซึ่งเมื่อได้ยินแบบนั้นไนลิกก็หัวเราะออกมา
“ฉันไม่ได้ส่งหนังสือเล่มนั้นไปให้เธอหรอก ฉันแค่โยนมันลงทะเลหวังให้น้ำทะเลพัดมันไปที่เวย์แลนด์ก็เท่านั้นแหละ ฉันก็แค่หวังว่าจะมีใครซักคนเก็บมันไปได้ซึ่งเธอก็ดันเป็นคนๆนั้นพอดี ตอนที่ฉันส่งบัลเรฟไปฉันก็แค่ลองดูจากกระแสน้ำทะเลของที่ๆฉันโยนมันไปแล้วคาดเดาเอาว่ามันจะพัดไปที่ไหนซึ่งที่นั่นก็คือเมืองบ้านเกิดของเธอไงล่ะ”
ทั้งสองคนฟังอย่างไม่อยากจะเชื่อเพราะถึงกระแสน้ำทะเลของโลกมันจะมีรูปแบบที่พอจะให้คาดเดาได้แต่ถึงอย่างงั้นการโยนหนังสือเล่มหนึ่งโดยหวังว่าจะให้มันพัดไปยังอีกทวีปนึงนั้นเป็นอะไรที่ฟังดูไม่น่าเป็นไปได้เลย
“สรุปแล้วคุณต้องการอะไรจากผมล่ะ”
“ก็แค่แนะนำตัวเท่านั้นแหละ เพราะสิ่งที่ฉันอยากจะรู้จากเธอนั้นเธอเองก็เคยพูดให้ฟังไปตั้งแต่ตอนที่เราพบกันครั้งนั้นแล้ว พูดตามตรงนะเธอไม่ได้เกี่ยวกับข้องอะไรกับแผนการของฉันเลย การที่หนังสือเล่มนั้นไปอยู่ในมือเธอก็เป็นแค่ความสนใจเล่นๆของฉันเท่านั้นแหละ” ไนลิกยังคงพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไรเช่นเดิม ยิ่งเรียกสีหน้าไม่พอใจให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองให้เพิ่มมากขึ้น
“เป้าหมายของคุณคืออะไร ทำเรื่องทั้งหมดนั่นไปเพื่ออะไร” เอลเลียตถามออกมา
‘ได้โอกาสก็เก็บข้อมูลใหญ่เลยนะ เอาเถอะจะเล่นด้วยซักหน่อยก็ได้’ ไนลิกคิดขณะมองเอลเลียตพร้อมกับหัวเราะในลำคอ
“มันก็เป็นแค่การทดสอบความสามารถของเซ็นทรัลก็เท่านั้นแหละ ว่าพวกเขาจะป้องกันไม่ให้ฉันพามังกรซักตัวไปจากเวย์แลนด์ได้รึเปล่าซึ่งฉันก็ต้องแปลกใจนิดๆที่ทุกอย่างมันดันง่ายดายกว่าที่คิดซะอีก” ชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย
เอลเลียตได้แต่ตะลึงเพราะชายคนนี้พึ่งบอกว่าการพามังกรซักตัวหลบหนีจากแอนทีคในยุคที่ความปลอดภัยแน่นหนาเรื่องนี้แน่นหนาถึงขนาดนี้เป็นเรื่องง่าย
“คุณกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่” เลสเตอร์พูดอย่างไม่เข้าใจ
“โลกใบนี้น่ะกำลังถูกผูกมัดด้วยพันธสัญญาบ้าๆ ถ้าอยากจะให้โลกใบนี้หลุดพ้นก็มีแต่ต้องทำลายมันทิ้งเท่านั้น” ไนลิกพูดต่อไปอย่างไม่สนใจจนเลสเตอร์นิ่งเงียบไป เขาไม่เข้าใจว่าไนลิกกำลังพูดอะไรอยู่แต่ว่าพันธสัญญาที่ว่านั้นก็น่าจะหมายถึงพันธสัญญาเดียวกับที่เขารู้จัก
พันธสัญญาแห่งเออร์มิน
“คุณตั้งใจจะทำลายพันธสัญญา? ทำแบบนั้นแล้วจะได้อะไรขึ้นมา” เอลเลียตเองก็เข้าใจได้ไม่ต่างกับเลสเตอร์เพราะแบบนั้นเขาถึงได้ถามออกไป
“ฉันก็แค่...อยากจะเห็นโลกที่สวยงามกว่าเดิมมันก็เท่านั้น” ไนลิกตอบไปแบบนั้น
ดวงตาสีเขียวสดคู่นั่นไม่ได้มีเศษเสี้ยวของความโกหกอยู่เลยแม้แต่น้อยและเพียงแค่ได้มองมันเลสเตอร์ก็รู้สึกหวาดกลัวผู้ชายคนนี้อย่างแท้จริง
ไนลิคมองออกไปนองระเบียงราวกับจะหาอะไรบางอย่างจนในที่สุดเขาก็เห็นสิ่งที่ต้องการ
“มีคนมารับแล้วล่ะ ดูเหมือนจะหมดเวลาของวันนี้แล้วล่ะนะ ฉันเองก็คงต้องไปได้แล้ว” ไนลิกพูดจบก็ดันตัวขึ้นไปยืนตรงราวระเบียงจนเด็กหนุ่มทั้งสองสะดุ้งโหยง
“เดี๋ยวก่อนสิ!” เอลเลียตพยายามจะหยุดแต่เมื่อไนลิกควงสวิตช์นั่นอยู่ในมือ เขาก็ได้แต่ยืนนิ่ง
“จนกว่าพวกเราจะพบกันใหม่” ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีเขียวสวิตช์ระเบิดมือไปให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนก่อนจะกระโดดออกไปสู่ท้องฟ้ายามราตรีอันเวิ้งว้าง
เลสเตอร์กับเอลเลียตที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่ตกตะลึง พวกเขารีบวิ่งไปดูตรงระเบียง ทันใดนั้นมังกรสีแดงสดขนาดมหึมาตัวหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากด้านล่างจนเกิดกระแสลมแรงพัดขึ้นมากระแทกหน้าพวกเขาทั้งสอง บนหลังของมังกรตัวนั้นคือไนลิกที่หันมายิ้มให้พวกเขาทิ้งท้ายก่อนจะหายไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด
เมื่อเห็นแบบนั้นเลสเตอร์กับเอลเลียตก็หันมามองหน้ากันก่อนจะรีบวิ่งกลับไปโรงอาหารทันที
“พวกนายกลับมาแล้วเหรอ สรุปใครกันล่ะ” ร็อกแซนด์ที่กำลังกินเค้กอย่างเอร็ดอร่อยถามแต่เด็กหนุ่มทั้งสองไม่สนใจ เป้าหมายของพวกเขาคือกล่องของขวัญสีแดงที่วางอยู่บนโต๊ะ เอลเลียตรีบหยิบมันแล้วเปิดออกทันทีและเมื่อเขาเห็นของที่อยู่ด้านใน เด็กหนุ่มผู้สืบทอดก็ได้แต่บีบมือแน่น
ด้านในนั้นคือตุ๊กตาหมีตัวเล็กๆที่มีกระดาษโน๊ตเหน็บไว้ข้างๆเขียนไว้ว่า
“เด็กๆอย่างพวกเธอไม่จำเป็นต้องใช้อะไรรุนแรงแบบระเบิดหรอก ตุ๊กตานี่แทนคำขอโทษของฉัน หวังว่าจะไม่โกรธกันนะ”
เพียงแค่อ่านข้อความนั้นเอลเลียตเองก็รู้ได้ทันทีเลยว่าพวกเขาถูกหลอกเข้าให้แล้ว ในกล่องของขวัญนี่ไม่ได้มีระเบิดอะไรซ่อนอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
“ตุ๊กตาหมี น่ารักดีนี่” ร็อกแซนด์พูดหลังจากเห็นของที่อยู่ในกล่อง
“หยามกันชัดๆ” เอลเลียตพูดขึ้นอย่างเจ็บใจเพราะสิ่งที่ข้อความนี่มันเขียนไว้มันเหมือนกำลังบอกว่าชายคนนั้นรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าทุกๆอย่างจะเป็นแบบนี้
“เลสเตอร์ อะไรล่ะนั่นไอ้แท่งๆที่อยู่ในมือนาย” นีลหันมาถามหลังจากเห็นสวิตช์ระเบิดในมือของเลสเตอร์
เด็กหนุ่มจากเวย์แลนด์ไม่ได้ตอบอะไร เขายกสวิตช์ที่อยู่ในมือขวาของตัวเองขึ้นมาดูแต่ในหัวของเขานั้นมีแต่ภาพใบหน้าที่เปลี่ยนไปมาของไนลิกวนไปวนมา
ในตอนนั้นเขาก็นึกถึงตอนที่พวกเขาสองคนเคยพูดคุยกันที่ห้องสมุดได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ไนลิกเคยไล่ฉายาของมารามอสออกมาให้เขาได้ยิน
มังกรแห่งความฝัน...อเมทิสต์แห่งรุ่งตะวัน...ราชินีผู้ชักใยมนุษย์...บุตรีผู้นอกคอกแห่งอิกนิส
แต่ถึงอย่างงั้นก็มีฉายาอีกฉายาหนึ่งที่ไนลิกไม่ได้พูดออกมาซึ่งเลสเตอร์พึ่งนึกมันออกได้ตอนที่เห็นชายคนนั้นสร้างภาพมายาของดราเชนบนฝ่ามือของตัวเอง
มันช่างเป็นฉายาที่เหมาะกับมารามอสอย่างแท้จริงและบางทีมันก็อาจจะเหมาะกับผู้ถือครองพลาน่าของเธอด้วยเช่นกัน
“สัตว์ประหลาดมายา”
ความคิดเห็น