ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักต้องห้าม (ภาคอรอุมารังษี) (ลบแล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนพิเศษ (ภาควิเรนทรราช) : น้ำผึ้งพระจันทร์

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.87K
      13
      9 พ.ย. 50

    รักต้องห้าม
    ตอนพิเศษ : น้ำผึ้งพระจันทร์
                                               

    พระราชวังฤดูร้อนแห่งสวราชย์ตั้งอยู่บนเนินผาหินซึ่งด้านหนึ่งเป็นผาหินตัดที่อยู่ชิดริมทะเลหลวงกว้างใหญ่และมีสีฟ้าอมเขียวมรกตสดใส เจ้าหลวงแห่งสวราชย์เสด็จแปรพระราชฐานที่นี่พร้อมองค์รานีเพื่อทรงพักผ่อนหลังจากผ่านพระราชพิธีอภิเษกสมรสไปได้หนึ่งสัปดาห์และองค์เจ้าหลวงทรงสะสางราชกิจที่สำคัญๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว

    ห้าวันที่ผ่านมาเมธาวดีมีความสุขมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นทะเลและใช้เวลาส่วนใหญ่เล่นน้ำทะเล แม้จะได้เล่นอยู่เพียงบริเวณใต้ชะง่อนผาที่บรรดาราชองครักษ์กันไว้เป็นเขตหวงห้ามตามพระกระแสรับสั่งขององค์เจ้าหลวงก็ตาม บางวันเจ้าหลวงจะทรงพาไปล่องเรือชมท้องทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตาและเห็นเส้นขอบฟ้าอยู่ไกลลิบๆ ลมทะเลบางครั้งจะพัดพาความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะมาให้ แต่กลิ่นอายทะเลเค็มๆ ที่ปะทะเข้าหน้าและร่างกายก็ช่างแสนมีเสน่ห์เฉพาะอย่างประหลาด เธอจึงชอบยืนบนดาดฟ้าเรือเพื่อรับลมทะเล

    ความมีเสน่ห์แห่งลมนั้นดูจะลดลงแทบจะทันทีที่เจ้าหลวงแห่งสวราชย์รับสั่งว่า

    เพิ่งมาไม่กี่วันผิวเธอคล้ำขึ้นจนเห็นชัดเลยนะ

    เสียงสรวลห้าวๆ ดังขึ้นทันทีที่ทรงได้รับค้อนวงโตจากองค์รานี แล้วคนที่พระฉวีคล้ำขึ้นเช่นกันแต่กลับทำให้ทรง
    งาม เข้มสมชายชาตรีไปอีกแบบก็ทรงตวัดพระพาหาแข็งแรงโอบเอวอ่อนของสตรีอันเป็นที่รักเข้ามาแนบชิดกับพระวรกายหนาใหญ่อย่างรวดเร็ว เสียงสรวลแผ่วๆ ยังไม่จางหายขณะรับสั่งชิดริมหูของเธอว่า

    ฉันรักเธอเพราะสีผิวหรือ หือ...เมธาวดี

    ดวงหน้าขาวจัดที่คล้ำขึ้นนิดเพราะลมทะเลแปรเป็นสีชมพูก่ำเพราะน้ำคำของเจ้าของอ้อมกอดแน่นและพระอุระอุ่นที่แนบชิดติดกับแผ่นหลัง ทั้งรับสั่งคำรักและการแสดงความรักด้วยการกอดขององค์เจ้าหลวงทั้งที่มีราชองครักษ์ยืนประจำอยู่เต็มลำเรือล้วนแต่เป็นสิ่งที่เมธาวดียังทำใจให้ชินไม่ได้เสียที อึดอัดขัดเขินไปหมดเมื่อขยุกขยิก ขยับตัวเพื่อให้อีกฝ่ายทรงคลายอ้อมพระพาหาออกนิดหนึ่งแต่พระองค์กลับทรงโอบรัดไว้แน่นขึ้นอีก ครั้นหันหน้าไปหมายจะกราบทูลว่าให้ทอดพระเนตรมองราชองครักษ์เสียบ้าง พวงแก้มนวลก็ชนเข้ากับพระนาสิกโด่งๆ ที่หมายจะโน้มลงไปฝังลงบนแก้มนิ่มและช่วงชิงความหอมนุ่มอยู่แล้วพอดี

    ร้อนหรือ เข้าไปพักในห้องไหม

    กษัตริย์หนุ่มรับสั่งถามคนที่ยืนตัวแข็ง นิ่งอึ้งและหน้าแดงก่ำไปตลอดลำคอจนกระทั่งถึงใบหูด้วยพระสุรเสียงสัพยอกหยอกเย้ากลั้วเสียงสรวล เพราะมีปฏิกิริยาอย่างนี้ทุกครั้งที่ทรงฉวยโอกาสอย่างไรเล่า เพระองค์จึงโปรดที่จะทรงแกล้งอยู่บ่อยๆ

    เมธาวดีสั่นหน้าเร็วๆ ทันที เข้าไป
    พัก ในห้องน่ะสิจะยิ่ง ร้อน กว่านี้...สีน้ำทะเลลึกที่เธอชอบมองเอามากๆ และมองอยู่บ่อยๆ ไม่เห็นจะมี อิทธิฤทธิ์ ทำให้เธอสั่นไหวไปทั้งตัวและหัวใจได้อย่างสีเดียวกันที่กำลังเต้นระยิบอยู่ในดวงพระเนตรคมพราวตรงหน้านี่เลย ต้องใช้เรี่ยวแรงมากมายทีเดียวกว่าจะกราบทูลได้ว่า

    ไม่ร้อนเพคะ แต่อึดอัด ถ้าฝ่าบาทประทับอยู่ห่างๆ อีกนิดก็คงจะดีขึ้น

    ฉันไม่เห็นจะอึดอัดสักนิด เธออยู่อย่างนี้ไปสักพักเดี๋ยวก็ชิน ถ้ายืนนิ่งๆ ให้กอดดีๆ อีกไม่นานจะปล่อย แต่ถ้าขยุกขยิกวันนี้ก็กอดกันดูพระอาทิตย์ตกดินแล้วกันนะ

    เวลานี้เพิ่งจะเลยเที่ยงวันมาได้ไม่นานนัก

    ...ดูเหมือนว่าจะไม่เคย...เมธาวดีไม่เคยเถียงชนะเจ้าหลวงได้เลย...

    องค์รานีแห่งสวราชย์ทรงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ก่อนจะทรงโอนอ่อนแต่โดยดีเมื่อเจ้าหลวงทรงดึงองค์ให้เข้าไปชิดพระองค์มากขึ้นและรับสั่งให้ผ่อนคลาย อิงกายเพรียวบางลงมาบนพระวรกายหนาอุ่นของพระองค์เอง

                                                   
    **************************

    นอกจากทรงพระสำราญกันตามลำพังสองพระองค์แล้ว องค์เจ้าหลวงและองค์รานีแห่งสวราชย์ยังเสด็จไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรที่ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นชาวประมงในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ พระราชวังอีกด้วย สองพระองค์ทรงเป็นกันเองกับประชาชน คืนหนึ่งเสด็จไปทรงร่วมพิธีแต่งงานของสองหนุ่มสาวในหมู่บ้านและเสวยอาหารพื้นเมืองภาคตะวันตก เต้นรำและทรงทำกิจกรรมร่วมกับพวกเขาอย่างไม่ทรงแบ่งแยกแปลกต่าง

    ตอนกลางวัน สองพระองค์ก็เสด็จไปทรงตกปลาบ้าง แล่นเรือใบบ้าง หรือบางครั้งก็ประทับอยู่ในศาลาทรงแปดเหลี่ยมในสวนดอกไม้หน้าพระราชวัง รับลมเย็นๆ จนทรงเผลอบรรทมหลับไปทั้งสองพระองค์ก็มี

    ผลิตผลจากทะเลเป็นส่วนประกอบหลักที่พนักงานชาวเครื่องนำมาทำเป็นของเสวย และเมธาวดีก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อเพราะคนทำมีวิธีพลิกแพลงหลากหลาย เจ้าหลวงอีกเช่นเคยที่รับสั่งขณะทรง
    ‘เล่นพิเรนทร์’ ในความคิดของเมธาวดี เพราะจู่ๆก็ทรงอุ้มเธอขึ้นมาจากเตียงหวายสานหน้าระเบียงห้องนั่งเล่นที่เธอกำลังนั่งกึ่งนอนอยู่ ว่า

    “ตัวหนักขึ้นเพราะหลายวันมานี้เจริญอาหารสินะ”

    “ฝ่าบาทก็เสวยเยอะเหมือนกัน”

    “แต่เธอไม่ต้องอุ้มฉันนี่”

    “หม่อมฉันก็ไม่ได้ขอให้ทรงอุ้ม หม่อมฉันนอนอยู่ดีๆ ฝ่าบาทนั่นแหละทรงรบกวน”

    “เถอะ...เดี๋ยวจะปล่อยให้นอนต่อแล้ว แต่บนเตียงในห้องนะ”

    เมธาวดีดิ้นรนพยายามจะลงยืนทันทีทว่าอีกฝ่ายทรงโอบกระชับไว้แน่นหนาขณะทรงสาวพระบาทยาวๆ เสด็จไปห้องพระบรรทมโดยไม่ทรงมีท่าทีว่าคนในอ้อมพระพาหาจะกินแรงเลยแม้แต่น้อย

    “ฝ่าบาท หม่อมฉันยังไม่ง่วงเพคะ”

    “ดีแล้ว...ฉันก็ยังไม่ง่วงเหมือนกัน”

    เจ้าหลวงวิเรนทรราชรับสั่งประโยคนั้นเมื่อทรงวางรานีของพระองค์ไว้บนพระยี่ภู่หนานุ่มพอดี ก่อนที่พระเนตรคมดุที่จับจ้องลงมาจากข้างบนและทำให้เมธาวดีหยุดดิ้นรนและนิ่งงันราวต้องมนต์จะค่อยเคลื่อนต่ำลงมาทุกที...ขณะที่ดวงพระเนตรสีน้ำทะเลลึกหยุดอยู่ห่างจากสายตาของเธอเพียงไม่ถึงครึ่งฝ่ามือกั้น...ริมโอษฐ์อุ่นกับเรียวปากชุ่มชื้นของเธอก็ไม่มีระยะห่างอีกต่อไป

                                                   
    **************************

    ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ยังคงกลมโตสวยเฉกเช่นทุกคืนเพ็ญ แต่เมื่อมองจากพระราชวังที่ตั้งอยู่บนเนินผาสูงเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าจันทร์กระจ่างจะใหญ่โตและลอยลงมาใกล้จนเกือบจะเอื้อมมือคว้าได้ก็ไม่ปาน คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของการ
    ‘ท่องเที่ยวพักผ่อนหลังแต่งงาน’ พรุ่งนี้ต้องกลับเมืองหลวงแล้ว เมธาวดีจึงนอนมองจันทร์รับลมเย็น ซึมซับบรรยากาศดีๆ อยู่ตรงระเบียงนอกห้องนั่งเล่นบนชั้นสองของวังฤดูร้อนอยู่กับองค์เจ้าหลวง

    กลิ่นหอมหวานของสิ่งที่เจ้าหลวงกำลังทรงดื่มลอยอวลเข้ามาแตะจมูก หอมแรงยิ่งกว่าดอกไม้ในราชอุทยานหรือแม้แต่ในแจกันจนเมธาวดีต้องทูลถาม

    “นั่นอะไรเพคะ”

    “เหล้าน้ำผึ้ง หัวหน้าหมู่บ้านให้มา”

    “อร่อยไหมเพคะ”

    “ไม่ หวานอย่างเดียวไม่ค่อยขม ไม่แรง แต่รสชาติแปลกดี อยากชิมหรือ”

    เมื่อหญิงสาวพยักหน้าและทูลรับอย่างค่อนข้างกระตือรือร้น เจ้าหลวงหนุ่มก็ทรงแย้มพระสรวลอย่างทรงเอ็นดูและเห็นขัน ก่อนทรงรินจากคนโทใส่ถ้วยใบเล็กพระราชทาน

    จากชิม...กลายเป็นดื่ม

    จากดื่ม...กลายเป็นดื่มมิรู้วาง หัวหน้าหมู่บ้านคงดีใจที่รู้ว่าองค์รานีโปรดเหล้าน้ำผึ้ง แต่องค์เจ้าหลวงที่ทรงถูกสายตาฉ่ำๆ หวานๆ ขององค์รานีทอดมองอยู่กลับทรงรู้สึกเสียดาย

    เมาแล้วแน่ๆ...คืนสุดท้ายนี่พระองค์คงต้องทรงปล่อยให้นอนเฉยๆ สินะ

    เมธาวดีไม่เพียงไม่ขัดขืนหรือขัดเขินเมื่อกษัตริย์หนุ่มทรงอุ้มเธอไปนอนในห้อง แต่ยังเอื้อมมือโอบรอบพระศอไว้ค่อนข้างแน่นจนเจ้าหลวงทรงได้กลิ่นลมหายใจที่มีกลิ่นเหล้าผสมน้ำผึ้งที่ชวนให้รู้สึกมึนเมาและหอมหวาน ดวงตากลมโตสีน้ำตาลที่มีประกายหวานเชื่อมยิ่งทำให้เจ้าหลวงทรงรู้สึกว่าพลอยจะทรงมึนเมาตามหญิงสาวไปด้วยทั้งที่เหล้าเช่นนั้นต่อให้ทรงดื่มทั้งไหก็ไม่ทำให้ทรงมึนเมาไปได้ แต่ครั้นทรงดื่มมันจากเรียวปากนุ่มหวานอุ่นของรานี ความรู้สึกกลับไม่เหมือนกัน

    เจ้าหลวงแห่งสวราชย์ทรงมีสีพระพักตร์ราวคนที่รู้สึกผิดเมื่อทอดพระเนตรเห็นว่า
    ‘คนเมา’ กำลังหายใจหนักและถี่เพราะเมื่อครู่หายใจไม่ทันด้วยความมึนเมา...เมาจุมพิต แต่เมื่อทรงคิดได้ว่าพระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงแสร้งรู้สึกผิดก็ได้ เพราะตอนนี้รานีของพระองค์ดูจะไม่ค่อยเขินง่ายเช่นทุกวันอีกแล้ว จึงทรงไล้พระหัตถ์ใหญ่หยาบไปตามนวลแก้มนิ่มและเลื่อนลงมาตรงซอกคอขาว ฝังพระนาสิกลงไปสูดความหอมอ่อนๆ บนพวงแก้มนวลอย่างแรงๆ ครั้งหนึ่งแล้วจึงทรงเงยพระพักตร์ขึ้นมาตรัสถาม

    “เธอรักฉันไหม เมธาวดี”

    นั่นเป็นคำถามที่ตรัสถามกี่ทีๆ หญิงสาวก็ไม่เคยทูลตอบ ยิ่งเวลาอยู่ลำพังเช่นนี้ยิ่งไม่เคยตอบ กราบทูลเพียงแต่ว่า

    “หม่อมฉันเคยกราบทูลแล้วไงเพคะ” ครั้งเดียว...ตอนที่พระองค์ทรงทวงสัญญาในคืนอภิเษก...ถ้าไม่นับที่ทรงแกล้งไม่ได้ยินและให้พูดซ้ำหลายๆ ครั้งในตอนนั้นน่ะนะ ทว่า...คราวนี้กลับทูลตอบเสียงหวานว่า

    “รักเพคะ...หม่อมฉันรักฝ่าบาท”

    ความหวานทั้งถ้อยคำ น้ำเสียงและสายตาปรือๆ มึนๆ นั้นได้รับรางวัลเป็นจูบหนักๆ ตรงซอกคอและบนลาดไหล่เปล่าเปลือย

    “รักมากไหม รักตั้งแต่เมื่อไหร่”

    “รัก...มาก เพคะ ตั้ง...แต่เมื่อไหร่ไม่รู้”

    “ไม่ได้รักอุรุพงษ์ใช่ไหม”

    “รัก...อ๊ะ...รักแบบพี่ชายเพคะ แต่รักฝ่าบาทคนเดียว”

    คนที่เริ่มได้ใจทรงแย้มพระสรวลกว้างอย่างทรงพึงพระทัยยิ่งยวด รับสั่งพระสุรเสียงนุ่มกึ่งบังคับทั้งที่ลมหายพระทัยผ่าวร้อนยังรินรดไม่ห่างจากดวงหน้านวลของคนนอนใต้พระวรกายว่า

    “เรียกเจ้าพี่สิ” นี่ก็อีก...องค์รานีแห่งสวราชย์ไม่เคยทูลเรียกขานพระสวามีว่า ‘เจ้าพี่’ เลยสักครั้ง กราบทูลแต่ว่าเรียก ‘ฝ่าบาท’ นั้นเหมาะสมและดีแล้ว ทว่า...

    “เจ้าพี่” หวานนัก...จูบหนักๆ ทั้งจากพระนาสิกและพระโอษฐ์จึงประทับลงบนเนินอกขาวผุดผ่องเป็นรางวัลจนเจ้าของกายหอมหวานสะท้านขึ้นนิดๆ พลางพยายามเบี่ยงกายหลบทั้งที่มึนเมาและไม่มีสติดีนัก

    “เรียกอย่างนี้ทุกวันนะ อย่าเปลี่ยนเป็นอย่างอื่น ถ้าวันไหนไม่เรียกจะลงโทษ เข้าใจไหมเมธาวดี”

    “อื้อ... ฝ่าบาท...”

    “เจ้าพี่” คนได้ทีและทรงเอาแต่พระทัยทรงแก้ให้ใหม่และย้ำชัดด้วยพระสุรเสียงหนัก

    “เจ้าพี่”

    “หือ” อดีตเจ้าชายรัชทายาทแห่งสวราชย์ทรงขานรับทั้งที่ไม่ทรงเงยพระพักตร์จากการวนเวียนหยอกเย้าเคล้าคลึงและประทับจูบลงบนเนินเนื้อหัวใจของผู้หญิงที่ทรงรัก

    “ปิด...ปิดไฟ”

    สงสัยว่าฤทธิ์เหล้าคงไม่แรงจริง...กษัตริย์หนุ่มทรงพระราชดำริเช่นนั้นหลังจากทรงได้ยิน
    ‘คำประจำ’ ที่เจ้าของกายเนียนอุ่นในอ้อมพระพาหากราบทูล ทั้งๆ ที่ตอนนี้ก็เหลือเพียงโคมไฟบนโต๊ะตัวเล็กข้างพระที่เท่านั้นที่ยังส่องสว่างให้แสงสลัวๆ อยู่

    “ไม่ต้องปิดหรอกคืนนี้ นะ...ฉันอยากเห็นเธอ”

    นั่นไม่ใช่ทั้งคำสั่งและคำขอ เพราะเจ้าของประโยคที่ไม่ใช่ทั้งประโยคคำถามและคำอ้อนวอนทรงเลื่อนองค์ขึ้นมาใช้พระโอษฐ์อุ่นชื้นปิดปากคนที่กำลังจะทูลตอบแทบจะทันทีที่รับสั่งจบ เสียงคราง อื้ม เบาๆ นั้นจึงไม่เป็นที่รู้แน่ว่ามีความหมายเชิงรับหรือปฏิเสธ แต่เมื่อเมธาวดีมีโอกาสได้อ้าปากพูดอีกครั้ง สิ่งที่ออกมากลับมีแต่ลมหายใจถี่กระชั้นและหน่วงหนัก ยังคงมึนเมาอยู่...แต่มิรู้ว่าสิ่งที่มอมเมาสติสัมปชัญญะนั้นคือเหล้าน้ำผึ้งที่เพิ่งดื่มไป พระโอษฐ์อุ่นร้อนที่กำลังประทับความเสน่หาไปตามผิวผ่องหรือพระหัตถ์ใหญ่หยาบที่ไล้ไปตามเรียวขาอย่างนุ่มนวลจนสั่นสะเทิ้นหวามไหวไปทั้งช่องท้องและโพรงอกกันแน่

    ...เจ้าหลวงแห่งสวราชย์ทรงใช้โคมไฟที่ส่องสว่างเพียงสลัวอยู่ข้างพระที่ตลอดทั้งราตรี...

                                                   
    *****************************

    “ฝ่าบาท!” เมธาวดีทูลเรียกเสียงดังเมื่อกษัตริย์หนุ่มทรงอุ้มเธออีกแล้ว “หม่อมฉันเดินไปเองได้เพคะ”

    “ไหนเมื่อกี้บอกว่าเมื่อย รู้สึกเพลียๆ ฉันก็จะช่วยอุ้มไปอาบน้ำนี่ไง”

    “หม่อมฉันแค่จะขอนอนพักอีกแป๊บเดียวแล้วค่อยไปอาบน้ำ ทูลขอให้ทรงอุ้มเมื่อไหร่กัน”

    “เจ้าพี่” เจ้าหลวงรับสั่งสั้นเสียจนอดีตราชองครักษ์ประจำพระองค์ที่กลายมาเป็นองค์รานีงุนงง

    “อะไรเพคะ”

    “เรียกว่าเจ้าพี่สิ ไม่ต้องเรียกว่าฝ่าบาทแล้ว”

    “หม่อมฉันไม่ใช่เจ้าหญิงอรอุมา ไม่ใช่พระขนิษฐาของฝ่าบาท เรียกว่าฝ่าบาทเหมาะสมดีแล้วเพคะ”

    สีหน้ามุ่งมั่นยืนกรานความคิดและน้ำเสียงหนักแน่นของคนในอ้อมพระพาหาทำให้เจ้าหลวงทรงยินยอม รับสั่งว่า

    “ไม่เรียกก็ไม่เรียก” แล้วก็ทรงพึมพำต่อ “ตอนเมาน่ารักกว่าจริงๆ”

    เมธาวดีได้ยินประโยคท้ายของพระองค์ไม่ถนัดนัก แต่สีพระพักตร์หมายมั่นในบางสิ่งบางอย่างของเจ้าหลวงทำให้เธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเอาเสียเลย
     
     


    ขบวนเสด็จขององค์เจ้าหลวงและองค์รานีค่อยเคลื่อนจากพระราชวังไปโดยมีประชาชนในหมู่บ้านแถบนั้นมาส่งเสด็จกันอย่างเนืองแน่น หัวหน้าหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดมองตามขบวนเสด็จไปพลางพูดกับชายอายุเลยวัยกลางคนที่ยืนส่งเสด็จอยู่ข้างๆ กันทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากขบวนเสด็จว่า

    “สองพระองค์ท่านพระทัยดีนะ ไม่ทรงถือพระองค์ เป็นกันเองกับพวกเราแถมยังโปรดของง่ายๆ ที่ชาวบ้านอย่างเราทำอีก”

    “เอ็งรู้ได้ยังไงว่าโปรด แล้วโปรดอะไร”

    “บ๊ะ...รู้สิ ก็เหล้าน้ำผึ้งที่เราหมักกันเองไง เจ้าหลวงท่านโปรดขนาดให้คุณทหารมาขอซื้อไปตั้งสิบไห แถมยังตั้งชื่อให้ด้วยนะ”

    “ชื่ออะไร”

    “น้ำผึ้งว่าง่าย”
     



    14.57 น.
    12 ต.ค.2550
    โรซาน่า
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×