ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักต้องห้าม (ภาคอรอุมารังษี) (ลบแล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนพิเศษ 3 (ภาคอรอุมารังษี) : ตรัย+อภิรดี(1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.99K
      6
      21 พ.ย. 49

    รักต้องห้าม (ภาคอรอุมารังษี)

     

    ตอนพิเศษ 4 : ตรัย + อภิรดี

     

    โรซาน่า.

     

    โว้ย! ฉันทนไม่ไหวแล้วนะวิษณุ ประโยคนั้นดังขึ้นพร้อมๆ กับที่ประตูถูกเปิดออกโดยไม่ได้ขออนุญาต ซึ่งเป็น มารยาท ที่ตรัยไม่เคยมีอยู่แล้ว

     

    คนถูกเรียกชื่อสวมเสื้อนอนจนเรียบร้อยแล้วจึงหันกลับไปมอง ตรัยหาที่นั่งให้ตัวเองเรียบร้อยแล้วโดยไม่ต้องมีใครเชิญ ซึ่งก็คือบนเตียงนอนในห้องพักแขกของบ้านตัวเอง แต่ตอนนี้เป็นห้องของวิษณุชั่วคราว

     

    หลังจากวิษณุนั่งลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะเขียนหนังสือข้างๆ เตียง คนมีปัญหาคับอกก็บ่นออกมาโดยไม่ต้องมีใครถาม

     

    ฉันอยากแต่งงานกับหนูดีใจจะขาดอยู่แล้ว

     

    ก็แต่งสิ อดีตราชองครักษ์ประจำพระองค์เจ้าหลวง ที่ตอนนี้เป็นผู้บัญชาการทหารตอบง่าย

     

    แต่งงานนะไม่ใช่ไปเที่ยว จะได้อยากทำก็ทำได้ พอพูดเรื่องนี้ทีไร หนูดีหาทางบ่ายเบี่ยงทุกที

     

    คุณหนูดีเขาจะแต่งกับคนอื่นหรือ

     

    ปากเสียน่ะวิษณุ ฉันมองมาตั้งนานจะไปแต่งกับคนอื่นได้ยังไง แต่งกับฉันได้คนเดียวเว้ย ประโยคนั้นมาพร้อมกับสายตาเคืองๆ พูดอะไรเป็นลาง เขายิ่งกลัวว่าจะเป็นอย่างนั้นอยู่

     

    อย่างนั้นก็มีคนมาชอบคุณหนูดี

     

    นั่นมันเรื่องปกติ พวกเห็บไรพวกนั้นฉันจัดการได้ แล้วหนูดีก็ไม่เคยสนใจด้วย

     

    แล้วนายจะหงุดหงิดไปทำไม

     

    ก็ฉันอยากแต่งงานเร็วๆ นี่หว่า เจ้าหลวงก็อภิเษกไปตั้งแต่ปีก่อน ถ้ายังเสียใจอยู่ก็แต่งงานมาให้ฉันปลอบใจก็ได้ ไม่เห็นต้องอยู่คนเดียวเลย ผู้บังคับการกองหนุ่มไม่เข้าใจจริงๆ

     

    ไหนเคยบอกว่ายินดีจะปลอบใจไปตลอดชีวิตไม่ใช่หรือ

     

    คนหนวดเคราครึ้มเหมือนโจรเพราะไม่ได้โกนมาหลายวันมองเพื่อนเหมือนจะค้อน

     

    ปลอบใจก็ส่วนปลอบใจ แต่งงานก็ส่วนแต่งงานสิ ความทรมานของฉัน คนมีคู่หมั้นแล้วอย่างนายไม่เข้าใจหรอก ช่วยอะไรไม่ได้ก็ฟังเงียบๆ อย่าขัดคอไม่ได้รึไงคนโดนบุกรุกห้องยามวิกาลโดนพาลเสียอีก

     

    นายว่าฉันควรทำยังไงดี

     

    เงียบ...

     

    ตรัยมองสีหน้าเรียบเฉยของผู้เป็นเพื่อนอย่างขอความเห็น ครั้นมองนานเข้าและผู้บัญชาการทหารหนุ่มแถมคิ้วที่ขมวดน้อยๆ ราวไม่เข้าใจให้ด้วย ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าถูกศอกกลับเข้าให้แล้ว

     

    ครู่ต่อมา วิษณุจึงได้เห็นผู้ชายตัวโตงอน และสรุปด้วยเสียงห้วนๆ ว่า

     

    เออ ฉันช่วยเหลือตัวเองก็ได้!”

     

                                                    ********************

     

    ตลาดใหญ่ใจกลางเมืองเวลาเช้าวันนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากนัก และแดดก็ค่อนข้างร้อน หากแต่บุตรีเสนาบดีมหาดไทยกลับมาเดินเลือกซื้อของกับสาวใช้

     

    อภิรดีซื้อของให้ผู้เป็นมารดาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงยืนอยู่ตรงแผงขายเครื่องประดับเล็กๆ น้อยๆ ปกติแล้วจะมีคนนำไปให้เลือกถึงที่บ้าน หากแต่หญิงสาวคิดว่านานๆ ครั้งๆได้มีโอกาสมาเที่ยวข้างนอก เดินเลือกซื้อจากแผงขายก็น่าสนุกดีเหมือนกัน

     

    ถูกใจสร้อยข้อมือเส้นบางซึ่งทำจากหินสีสวย ร้อยเรียงเป็นรูปดอกไม้ กำลังจะเอ่ยปากถามราคาจากพ่อค้า มือใหญ่ข้างหนึ่งก็เอื้อมมาจับทั้งสร้อยและมือเรียวบาง อภิรดีตกใจ ดึงมือออกและถอยห่างทันที

     

    ชอบเส้นนี้หรือจ๊ะ พี่ซื้อให้เอาไหม

     

    คนพูดเป็นชายหนุ่มรูปร่างสันทัด การแต่งกายคล้ายลูกชายคหบดี หน้าตาจัดว่าดี หากจะไม่มีรอยยิ้มกรุ้มกริ่มและดวงตาแพรวพราวอย่างเจ้าชู้ ผู้ชายสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังมีสีหน้าอย่างเดียวกัน

     

    สาวใช้ของคุณหนูบ้านเสนาบดีมหาดไทยขึ้นมายืนบังคุณหนูของเธอไว้อย่างปกป้อง เตรียมจะต่อว่า แต่อภิรดีห้ามปรามด้วยการดึงมือไว้เสียก่อน ก่อนจะดึงมือให้เดินกลับไปอีกทางอย่างเร่งรีบ ทว่า

     

    พี่พูดด้วยก็ไม่พูดด้วย หยิ่งเหรอจ๊ะน้องสาว

     

    คนที่ตามมาติดๆ ก้าวเท้ายาวๆ มาดักหน้า

     

    เปล่า ตอบจบก็พยายามจะเลี่ยงไปอีกทาง หากแต่แขนของอีกฝ่ายยื่นมาขวางหน้า

     

    ไม่ได้หยิ่งก็ไปซื้อสร้อยกับพี่สิจ๊ะ ชอบเส้นไหนพี่ซื้อให้เลย หรือจะเอาทั้งแผงก็ยังไหวนะจ๊ะ

     

    ไม่เป็นไร ฉันไม่เอาแล้ว ขอบใจจ้ะ หญิงสาวพยายามหาทางหนี และมองหาคนช่วย

     

    แหม หักหาญน้ำใจพี่อย่างนี้ไม่ดีนะจ๊ะ ไปเถอะ มา...พี่พาไป พูดพลางทำท่าจะยื่นมือมาจับ สาวใช้วัยแรกรุ่นปัดมือหนานั้นออกไปเต็มแรง

     

    อย่ามาทำอะไรรุ่มร่ามกับคุณหนูนะ ขืนยังไม่หลีกทาง รู้ถึงท่านเสนาบดีมหาดไทยแกเดือดร้อนแน่

     

    โอ๊ะโอ ท่านเสนาบดีมหาดไทยนี่คุณพ่อของน้องสาวคนสวยรึเปล่าจ๊ะ งั้นฉันก็จะมีพ่อตาเป็นถึงเสนาบดีล่ะสิเนี่ย ช่างมีบุญวาสนาจริงๆ นอกจากไม่หวั่นเกรงแล้ว ชายหนุ่มยังหันไปหัวเราะกับผู้ติดตามสองคนที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลัง

     

    แก...

     

    สา อภิรดีปรามสาวใช้ ก่อนจะเป็นคนพูดเสียเองว่า ฉันจะกลับบ้านแล้ว ขอทางด้วยจ้ะ

     

    จะรีบไปไหนล่ะ เดินเที่ยวเป็นเพื่อนพี่ก่อนสิจ๊ะ ไม่พูดเปล่า มือยังพยายามยื่นมาเกาะแกะอีกด้วย สาวใช้ถูกดึงออกไปและถูกยึดตัวไว้โดยคนที่มาด้วย อภิรดีละล้าละลัง ห่วงสาวใช้ก็ห่วง แล้วยังต้องหลบหลีกมือที่พยายามยื่นมาสัมผัสนั่นอีก คนที่นี่ก็ช่างไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย หรือว่าคนคนนี้จะเป็นอันธพาลที่ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วยกันนะ

     

    ทันทีที่ข้อมือถูกคว้าไว้ได้ หญิงสาวก็รู้สึกถึงแรงกระชาก พร้อมได้ยินเสียง

     

    เฮ้ย! ทำอะไร

     

    เปล่า ชายหนุ่มที่มาเกาะแกะไม่ได้เป็นคนเริ่ม บุคคลที่สามในชุดเครื่องแบบทหารต่างหากที่เป็นฝ่ายกระชากไหล่อันธพาลหนุ่มจนผงะหงาย ส่งผลให้อภิรดีเซไปข้างหน้า ปะทะเข้ากับหน้าอกคนที่ยังจับข้อมือเธอไว้อยู่อย่างช่วยไม่ได้

     

    เหตุการณ์นั้นทำให้ตรัยถึงกับตาโต รีบแยกอันธพาลหนุ่มออกจากหญิงสาวที่ตนหมายปองทันที

     

    พี่ตรัย

     

    อภิรดีเอ่ยเรียกอย่างฝากความหวัง หัวใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นหน้าบุคคลที่สามแจ่มชัด ลืมสนิทว่าข้อมือเรียวบางอยู่ในมือของอีกฝ่าย หากแต่ไม่รู้สึกกลัวหรือรังเกียจแต่อย่างใด

     

    อะ...อะไรวะ เรื่องของคนรักกัน แกไม่เกี่ยว อย่ามายุ่ง

     

    ผู้หญิงคนนี้น้องสาวฉัน ปวดหนึบที่หัวใจอยู่ไม่น้อยหรอกนะที่พูด ใครจะไปอยากให้เป็นแค่น้องสาวเล่า จำไม่ได้ว่าอนุญาตให้พวกเห็บไรอย่างแกมาเกาะแกะตั้งแต่เมื่อไหร่

     

    น้องสาวอะไร หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย เพิ่งจะเป็นพี่น้องกันวันนี้รึเปล่าพี่ชาย

     

    แม้ดวงตาจะมีแววเกรงๆ และน้ำเสียงจะสั่นอยู่บ้าง หากแต่สีหน้ายังกวนอารมณ์อยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มสองคนที่มาด้วยปล่อยมือจากสาวใช้และมายืนสนับสนุนอยู่ด้านหลัง...สามต่อหนึ่ง

     

    วันนี้หรือวันไหนแกไม่เกี่ยว แต่ถ้ายังไม่ไป ฉันจะจับแกไปนอนในคุก

     

    โห เอาคุกตะรางมาขู่ด้วย ถือตัวว่าเป็นทหารถือดาบอยู่ในมือแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง แน่จริงก็สู้กันมือเปล่าสิวะ

     

    คนถูกท้ากระตุกยิ้มนิดๆ แบบที่ทำให้คนถูกมองรู้สึกเสียววาบๆ หากแต่ก็ปลอบใจตัวเอง ว่าไม่เป็นไร แค่เล่นๆ เท่านั้นเอง เตรียมตัวมาดีน่า

     

    ทันทีที่ตรัยปลดดาบออกและฝากไว้กับอภิรดี ฝ่ายตรงข้ามก็พุ่งหมัดเข้าใส่อย่างไม่รอช้า ตรัยหลบได้และโต้กลับค่อนข้างหนักหน่วง ดูเหมือนฝ่ายนั้นจะงงๆ ไปเล็กน้อยเมื่อถูกเสยเข้าที่ปลายคาง จริงๆ หลังจากนั้นการต่อสู้แบบคู่ก็กลายเป็นแบบหมู่

     

    อาศัยช่วงที่มีเสียงดังจากบรรดาคนที่มาซื้อของกำลังมุงดูและวิจารณ์กันไปต่างๆ นานาอยู่ อันธพาลหนุ่มก็หาโอกาสเข้าประชิด คู่ต่อสู้ และกระซิบถาม

     

    ไหนว่าไม่เอาจริงไงครับผู้การ

     

    สีหน้าของ ผู้การ ยังคงมองดูขี้เล่น ทว่าน้ำเสียงติดจะเหี้ยมเกรียมเล็กน้อยเมื่อกระซิบตอบ

     

    ฉันเปลี่ยนใจแล้ว โทษฐานที่ทำเกินกว่าเหตุ หนูดียังไม่เคยเซมาซบอกเขาอย่างนั้นเลยให้ตายเถอะ และนี่ของแถม พูดพลางเอี้ยวตัวหลบหมัดของหนึ่งในผู้ติดตาม ก่อนปล่อยหมัด จริง ส่งท้ายให้ชายหนุ่มที่เขาเพิ่งยัดข้อหา ทำเกินกว่าเหตุ ให้

     

                                                    *******************

     

    ตรัยไปถึงบ้านเสนาบดีมหาดไทยด้วยใบหน้า บานไม่หุบ ถึงแม้จะไม่ได้แนบชิดอะไรมาก แต่หนูดีก็อยู่บนหลังม้าตัวเดียวกับเขามาตลอดทาง ส่วนสาวใช้นั่งบนหลังม้าอีกตัว มากับทหารในกองอีกนายหนึ่ง

     

    บอกเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณหญิงเสนาบดีมหาดไทยทราบแล้ว ตรัยก็ขอตัวไปทำงาน และไม่อาจหุบยิ้มได้สักนาทีเดียวตลอดทางไปกองสรรพาวุธที่เขาเป็นผู้บังคับการกองอยู่ ชายหนุ่มอารมณ์ดีตลอดทั้งวัน เมื่อมีใครถามถึงสาเหตุ คำเดียวที่ผู้การหนุ่มตอบพร้อมยักคิ้วให้เสียข้างหนึ่งคือคำว่า ความลับ

     

    หารู้ไม่ว่าทุกคนในกองต่างรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนเช้าหมดแล้ว เนื่องจาก อันธพาลหนุ่ม ซึ่งมาทำงานก่อนหน้าบอกโดยไม่ปิดบังสักนิดว่า รอยฟกช้ำบนใบหน้าของเขานั้นได้มาเพราะ พิษรักแรงหึง ของผู้การ

     

    ตรัยจึงไม่รู้ว่ารอยยิ้มของทุกคนหลังจากได้ยินเขาตอบว่า ความลับ นั้นมีความหมายพิเศษอยู่

     

    ...เขารู้กันหมดแล้วครับผู้การ...

     

                                                    **********************

     

    หลังจากเดินไปส่งตรัยที่หน้าบ้านแล้ว อภิรดีก็กลับเข้าบ้านและขึ้นห้อง ทันทีที่ประตูปิดสนิทลงรอยยิ้มที่อุตส่าห์กลั้นไว้เสียนานก็ปรากฏออกมาบนใบหน้า ซ้ำยังหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป เมื่อคิดว่าคนอะไรเจ้าแผนการนัก คงคิดว่าแนบเนียนจนไม่มีใครจับได้สินะนั่น

     

    เธอคงไม่รู้หรอกว่าทั้งหมดนั่นเป็นแผน หากไม่เพราะ

     

    อันธพาลหนุ่มคนนั้นดูจะเกรงพี่ตรัยยังไงอยู่ ปล่อยหมัดแต่ละทีก็ไม่ค่อยเต็มแรง ซ้ำยังดูงงๆ เสียอีกเมื่อถูกชก แทนที่จะรู้สึกโกรธหรือโวยวายกลับกระซิบกระซาบอะไรก็ไม่รู้

     

    สงสัยตั้งแต่ตอนแรกที่คุณแม่ใช้ให้ไปซื้อของ แทนที่จะเป็นสาวใช้เหมือนทุกๆ วันนั่นแล้ว และยังต้องเดินไปกับสาวใช้แค่คนเดียว เพราะว่า ตลาดใกล้แค่นี้ และ คนรับใช้ผู้ชายไม่ว่างสักคน อีก คุณแม่คงรู้เห็นเป็นใจด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

     

    พี่ตรัยเองก็ใช่ว่าจะแนบเนียน ตอนเช้าๆ ไม่ไปทำงาน กลับใส่เครื่องแบบไปเดินตรวจตลาด ซ้ำยังแยกกันเดินตรวจกับลูกน้องอีก คงเพื่อว่าตอนเข้าไปช่วยจะได้ไปคนเดียว แต่ตอนมาส่งบ้านจะได้ให้สาวใช้แยกมากับนายทหารคนนั้น ตอนต่อสู้ก็ใช่ว่าจะไม่มีพิรุธ ถึงจะดูโกรธๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ปกติอยู่ดี ปกติจะเลือดร้อนกว่านี้ แล้วก็ไม่พูดนานด้วย ชกทีเดียวผู้ชายตัวโตๆ สลบเหมือด

     

    คิดมาถึงตรงนี้ หญิงสาวพลันสามารถเชื่อมโยงไปยังอีกหลายเรื่องในอดีตได้ ทำไมเธอไม่เคยคิดถึงเลยนะ ว่าแต่ไหนแต่ไรมา พี่ตรัย ก็คอยปกป้องคุ้มครองเธอตลอดมา ถึงจะเป็นเรื่องจริงบ้าง แผนการบ้าง แต่พี่ตรัยก็ทำตัวราวกับเป็นราชองครักษ์พิทักษ์เจ้าหญิง เป็นอย่างนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่มีความพิเศษมากนัก ทั้งที่คนคอยปกป้องทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องพิเศษที่น่าภูมิใจเสียทุกครั้ง

     

    ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าพี่ตรัยคิดอย่างไรกับเธอ ผู้ชายไว้หนวดเคราสั้นๆ แต่หน้าตาสะอาดสะอ้าน คนที่มีสีหน้าวาจาขี้เล่น แต่มีดวงตาคมที่แสนซื่อตรงคนนั้นไม่เคยปิดบังความรู้สึก และไม่เคยเปลี่ยนใจ ทั้งๆที่...ทั้งๆ ที่เธอยังรู้สึกเจ็บแปลบทุกครั้งที่เห็นเจ้าหลวงกับองค์รานีเสด็จเคียงข้าง และแย้มพระสรวลให้กัน

     

    เวลานี้ ความพยายามยามของตรัยทำให้อภิรดีเริ่มคิด

     

    ถ้าเขามาพูดจาสู่ขอกับคุณพ่อคุณแม่ บางทีเธออาจจะยอมตกลงแต่งงาน ผู้ชายอย่างนั้นคงทำให้เธอมีความสุขได้ทุกวัน และหากเขาจะยอมให้เธอเก็บ เจ้าหลวงไว้ในมุมหนึ่งของหัวใจต่อไป เธอก็คงสามารถทำให้เขามีความสุขได้ด้วยการทำหน้าที่แม่บ้านและภรรยาที่ดีไปตลอดชีวิต ขอเพียงเขาทำใจยอมรับได้ว่า แม้เขาจะเป็นผู้ชายที่ น่ารัก แต่เธอก็ไม่ได้ รัก เขาเกินกว่าพี่ชาย

     

                                                    *******************

     

    กลับมาถึงบ้านด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ตั้งใจว่าจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปทานข้าวเย็นที่บ้านหญิงสาวในดวงใจ เพราะอนล พี่ชายของเธอออกปากชวนไว้เมื่อกลางวัน ตรัยก็ต้องยืนจังงัง หยุดชะงักอยู่กลางห้องโถงใหญ่ในบ้าน เปลี่ยนอารมณ์เป็นงุนงงอย่างกะทันหัน เมื่อหญิงสาวรูปร่างอวบนิดๆ ร้องเรียก

     

    ตรัย...คิดถึงจังเลย ก่อนคำว่าคิดถึง เธอก็โอบกอดเขาไว้เรียบร้อยแล้ว

     

    เอ่อ คนพูดมากอย่างตรัยถึงกับติดอ่างไปชั่วขณะ กว่าจะเรียกชื่อออกมาได้ว่า ภัคคินี และพยายามถึงมือเธอออกจากตัวเขา ซึ่งครั้งนี้ไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ผิดกับครั้งก่อนๆ ที่ต้องพยายามจนเหงื่อซึมหน้าผาก

     

    คุณมาได้ยังไง จริงๆ แล้วอยากถามว่ามาทำไมมากกว่า

     

    แหม...ก็มาอย่างธรรมดานี่แหละค่ะ หญิงสาวตอบงอนๆ ก่อนจะตบท้ายเสียงหวาน ความหวานลามเลยไปถึงรอยยิ้ม ใบหน้า และประกายตา มาเพราะว่าคิดถึงตรัย พูดจบก็ดึงแขนของอีกฝ่ายไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกราวกับเธอเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง

     

    คิดถึงภัคบ้างไหมคะ เก้าอี้ก็มีหลายตัว ทว่าหญิงสาวเลือกนั่งบนเท้าแขนเก้าอี้ตัวที่ตรัยนั่ง

     

    ถ้าถามว่าคิดถึงหนูดีไหม คงจะตอบได้ทันทีเลยล่ะ...ชายหนุ่มตอบในใจก่อนพยายามมองรอบๆ พ่อแม่ พี่ชาย พี่สะใภ้ รวมถึงยัยรัตติตัวดีคงหนีกันไปหมดแล้ว ปล่อยให้เขารับกรรมอยู่คนเดียว

     

    หาอะไรเหรอคะตรัย

     

    เอ่อ...หาเรียกให้ใครเอาน้ำมาให้คุณน่ะ

     

    โอ๊ย! ไม่ต้องหรอกค่ะ ภัคบอกให้เขาหลบๆ ไปแล้ว ภัคจะได้คุยกับตรัยให้หายคิดถึง

     

    เวรกรรม...คนใช้ก็พึ่งไม่ได้

     

    ตรัยยังไม่ได้บอกเลยว่าคิดถึงภัครึเปล่า

     

    เอ่อ เป็นคนอื่นเขาคงบอกไปแล้วว่าคิดถึง จะคิดถึงจริงหรือไม่ก็ช่างเถอะ แต่สำหรับภัคคินีไม่ได้เด็ดขาด ธยุตไม่มาด้วยหรือ ชายหนุ่มถามไปอีกทาง

     

    ธยุตเป็นเพื่อนรุ่นน้องของเขา แน่นอนว่าอายุน้อยกว่าภัคคินี เพราะภัคคินีอายุเท่าเขา แต่สองคนนี้ก็เป็นสามีภรรยากัน แต่งงานกันเมื่อปีที่แล้ว เพราะการวางแผนเล็กๆ น้อยๆ ของเขาเอง อาศัยจังหวะที่ธยุตตกหลุมรักภัคคินี แต่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอมากนัก บวกกับหญิงสาวเริ่มทนรอเขาใจอ่อนไม่ไหว เขาจึงสามารถกำจัด เอ๊ย...ส่งเสริมให้คนทั้งคู่ได้แต่งงานกันในที่สุด

     

    ถามไปแล้วก็ไม่คิดว่าจะเบี่ยงประเด็นได้นานนัก ทว่า ผลที่ได้กลับผิดคาด เพราะหญิงสาวที่เมื่อครู่ยังยิ้มหวานออดอ้อนกลับหน้าบึ้งขึ้นมาทันที

     

    อย่าถามถึงเขาอีกนะ ภัคไม่อยากพูดถึง

     

    ทำไม ทะเลาะกันหรือ แต่งกันมาตั้งปีหนึ่งแล้ว ทำไมเพิ่งจะทะเลาะกันหว่า มันน่าจะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นสิ

     

    เอ๊ะ บอกว่าอย่าพูดถึงไงตรัย หญิงสาวตอบเสียงหนัก มือก็พลันปล่อยจากการเกาะแขนอีกฝ่ายด้วย

     

    ไม่ได้พูดถึงธยุต พูดถึงคุณต่างหาก

     

    พูดถึงภัคก็พูดถึงคนเดียวสิคะ อย่าเอาไปเกี่ยวข้องกับคนอย่างนั้น ไม่เอาล่ะ ถ้าตรัยพูดมากกว่านี้เดี๋ยวภัคหงุดหงิดนะ หญิงสาวขู่อย่างน่ารัก ตรัยรีบฉวยโอกาส

     

    งั้นผมไม่พูดแล้วดีกว่า เชิญตามสบายนะ ผมจะไป...

     

    แหม แค่นี้ก็ต้องงอนด้วยเหรอคะ

     

    ยังไม่ทันจะลุกขึ้น แขนก็ถูกยึดไว้อีกครั้ง เวรกรรม...ไปไม่รอด

     

     

     

    เลยเวลาอาหารเย็นไปแล้ว ความหวังริบหรี่ของตรัยพังทลายลง หลังรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป ทำงาน ทั้งที่ปกติเวลานี้จะไม่มีใครทำอะไร นอกจากนั่งคุยกันภายในครอบครัวแท้ๆ หนีเอาตัวรอดกันหมด รัตติที่ปกติจะ หวง เขายังยอมแพ้ไปนานแล้ว เหลือแต่เขานั่งคุยกับภัคคินีตามลำพัง คืนนี้หญิงสาวค้างที่นี่ อีกต่อไปหลายๆ คืนก็คงค้าง...แบบไม่มีกำหนด ภัคคินีถือตัวว่าเธอเป็นญาติคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ ไม่เหมาะสม แม้ว่าจะเป็นญาติที่ห่างและซับซ้อนเสียจนตรัยไล่เรียงไม่ถูกก็ตาม

     

    อารมณ์เบื่อๆ เล็กน้อยของตรัยเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อแขกยามค่ำมาเยือน ชายหนุ่มขยับตัวออกห่างจากหญิงสาวข้างตัวทันทีที่เห็นหญิงสาวในดวงใจเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่พร้อมกับพี่ชายของเธอ ทว่า ยังช้ากว่าภัคคินีที่จับหมับเข้าที่แขนของเขาไว้ก่อน ซ้ำยังนั่งเบียดชิดยิ่งขึ้น

     

    อภิรดียืนนิ่ง หน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครอยู่ในห้องกับตรัยด้วย ยิ่งเห็นว่านั่งอยู่ด้วยกันในลักษณะอย่างไรยิ่งรู้สึกหัวใจแกว่ง แน่นอนว่าทั้งสีหน้าและท่าทางนั้นอยู่ในสายตาของชายหนุ่มตลอด

     

    ความคิดบางอย่างวาบขึ้นมาอย่างกะทันหัน ไหนๆ ก็คงเข้าใจผิดอยู่แล้ว ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปหาใครมาแสดงละครด้วย

     

    ตรัยไม่ได้ขยับหนีหรือพยายามแกะมือภัคคินีออกอีก แต่ยังคงยิ้มให้อภิรดีและอนลตามปกติ

     

    คุณแม่ให้เอาขนมหวานมาให้ค่ะ พี่ตรัย อภิรดีเพิ่งจะพูดออกมาหลังจากยืนนิ่งไปนิด

     

    ขอบใจจ้ะ ฝากขอบคุณคุณป้าด้วยนะ ชายหนุ่มตอบแค่นั้น ไม่ได้กระตือรือร้นเดินเข้าไปหา ดูหน้าตาขนม และถามไล่เลียงวิธีการทำอย่างเช่นทุกครั้ง

     

    บุตรีเสนาบดีมหาดไทยทำท่าจะขอตัวกลับ หากแต่ถูกเจ้าบ้านรั้งให้อยู่คุยกับมารดาของเขาก่อน ครั้นเมื่อคุณหญิงออกมาชวนทั้งอภิรดีและอนลให้ไปคุยกันอีกห้องหนึ่ง ตรัยก็รั้งให้คุยในห้องนั้นอีกคุยกันหลายๆ คนสนุกดีนั่นเป็นเหตุผล

     

    ภัคคินีได้รับการแนะนำให้สองพี่น้องรู้จักอีกครั้งในฐานะ ญาติ ซึ่งเจ้าตัวขยายความว่า

     

    ญาติห่างๆ น่ะค่ะ ก่อนจะยิ้มหวาน และตบท้ายว่า แต่สนิทกันม๊าก มาก โดยเฉพาะกับพี่ตรัย

     

    ว่าพลางก็กอดแขน พี่ตรัย ที่เกิดก่อนเพียงแค่เดือนเดียวเพื่อเป็นการยืนยัน มารดาของ พี่ตรัย ทำสีหน้าไม่ถูกนัก พยายามส่งสายตาบอกบุตรชายให้ทำอะไรเสียบ้าง หากแต่ตรัยก็ยังนิ่งเฉย และยิ้มแย้มเป็นปกติ

     

    ตลอดเวลา อภิรดีพยายามแล้วที่จะไม่หันไปมอง แต่คราใดที่เผลอตัว สายตาก็มักจะเหลือบแลไปทางแขนสองข้างของคนสองคนที่คล้องเกี่ยวกันไว้ตลอดเวลานั่นเสมอ ส่วนตรัยที่คอยสังเกตสีหน้าของหญิงสาวอันเป็นที่รักอยู่ตลอด และรู้สึก(ไปเอง)ว่า ดวงหน้างามหมดจดนั่นหม่นหมองลงไปอย่างน่าสงสาร ก็ร่ำๆ อยากจะดึงแขนคนข้างๆ ออก ปราดเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าและอธิบายว่า

     

    หนูดีจ๋าอย่าเข้าใจผิด มันไม่ใช่อย่างที่หนูดีคิด

     

    หากแต่ก็ต้องจำทน นิ่งเฉยไว้ เพื่ออนาคต เขาจะได้ไม่ต้องเป็นโสดสนิทไปอีกยาวนาน

     

                                                    **********************

     

                    หลายวันมานี้ อภิรดีรู้สึกว่าชีวิตเงียบเหงาลงไปอย่างประหลาด ทั้งที่ชีวิตประจำวันก็เป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง จะต่างก็เพียงไม่ได้เห็นใบหน้าสะอาดและรอยยิ้มกว้างขวางใต้ไรหนวดเขียวครึ้มนั่นมาหลายวันแล้วเท่านั้นเอง ปกติจะต้องหาข้ออ้างมาบ้านเธอได้ทุกวัน แต่ช่วงนี้อาจจะไม่ค่อยว่าง เพราะต้องดูแลคุณภัคกระมัง ผู้หญิงคนนั้นดูมีเสน่ห์ไม่จืดชืดเหมือนเธอ

     

                    จำได้ว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่มาชอบพี่ตรัย เข้าถึงพี่ตรัยได้มากที่สุด และพี่ตรัยก็เคยพยามปฏิเสธเป็นพัลวันว่าไม่ได้ชอบเธอ เพราะพี่ชอบหนูดีคนเดียว

     

    นึกมาถึงตรงนี้ใบหน้าขาวเนียนหมดจดของอภิรดีก็ขึ้นสีเรื่อและลามเลยไปจนถึงใบหู แต่ นั่นมันเป็นเรื่องนานมาแล้ว พี่ตรัยอาจจะเปลี่ยนใจแล้ว เมื่อวันก่อนยังใกล้ชิดกันถึงขนาดนั้น บางที คงเบื่อที่จะรอเธอแล้วกระมัง

     

    ก็ดีแล้วนี่นา พี่ตรัยจะได้มีความสุขเสียที ยังไงเธอก็ไม่ได้รักเขา อวยพรให้เขารับรักคนที่รักเขาจริงๆ ดีกว่า แต่ว่า คุณภัคคินีแต่งงานแล้ว แม้จะไม่มีใครบอกแต่เธอก็เคยได้ยินสาวใช้พูดกัน

     

    หรือว่านี่จะเป็นแผนการอีกแล้ว

     

                                                    ********************

     

    คุณตรัยมาเจ้าค่ะ คุณหญิง

     

    เสียงสาวใช้รายงานผู้เป็นมารดาทำให้อภิรดีเผลอเงยหน้าขึ้นด้วยความดีใจ เข็มในมือปักพลาดลงบนนิ้วจนร้องอุทานออกมา แทนที่คุณหญิงจะบอกสาวใช้ให้เชิญแขกเข้ามา กลับต้องถามบุตรีก่อนว่า

     

    เป็นอะไรจ๊ะ รดี

     

    ไม่ทันที่คนถูกถามจะได้ตอบ คำถามที่ดังกว่าจากคนที่เพิ่งเข้ามาก็ดังขึ้น

     

    หนูดีเป็นอะไร แทบจะทันทีที่พูดจบ คนพูดก็ปราดเข้ามาถึงตัวด้วยความเป็นห่วง

     

    ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ เข็มตำนิดเดียว เลือดไม่ออกด้วย เป็นอะไรก็ไม่รู้ เมื่อเงยหน้าขึ้นตอบคนที่ยืนค้ำอยู่ตรงหน้า มองเห็นสีหน้าและดวงตาเป็นห่วงเป็นใยคู่นั้นแล้ว ขอบตาก็เหมือนจะร้อนผ่าวและเปียกชื้นในเวลาเดียวกัน

     

    นั่นเป็นสีหน้าปกติของตรัยแท้ๆ แต่ คงเพราะรู้สึกว่าไม่ได้เห็นมานาน

     

    ใครเป็นอะไรเหรอคะ เมื่อคำถามเดียวกันจากคนที่สามดังขึ้น และอภิรดีมองเห็นแล้วว่าเป็นใคร หัวใจก็หล่นวูบลงสู่ความหดหู่และน้อยใจอีกครั้ง

     

    ไม่มาก็แล้วไปเถอะ แต่ทำไมต้องมาพร้อมกับคุณภัคคินีด้วย

     

     

     

    วันนั้นตรัยมาเป็นเพื่อนภัคคินีเพื่อขอเรียนทำขนมกับคุณหญิง และเป็นอีกวันหนึ่งที่ชายหนุ่มต้องทนฝืนใจตัวเอง ไม่ให้เขาใกล้หญิงสาวในดวงใจมากเกินไป พยายามพูดคุยให้น้อย ยิ้มและหัวเราะไปกับภัคคินีให้มาก อยากจะเลิกล้มแผนการก็หลายครั้งหลายหน แต่ก็อดทนผ่านไปได้ในที่สุด

     

    ส่วนอภิรดี แม้จะพยายามไม่มองไม่ฟัง แต่ก็ยังเห็นและได้ยินอยู่ดี ห้องครัวไม่ได้กว้างขวางมากจนมองไม่เห็นหรือไม่ได้ยินเสียงกันเลย ทุกครั้งที่เห็น หัวใจก็รู้สึกเหมือนถูกเสียดแทง

     

    ทั้งที่คิดว่าน่าจะเป็นแผน แต่ก็ยังเจ็บแปลบ เหมือนตอนที่เห็นเจ้าหลวงกับรานีไม่มีผิด

     

                                                    *************************

     

    คุณกำลังวางแผนอะไรอยู่ใช่ไหมคะตรัย ภัคคินีเอ่ยถามขึ้นมาขณะเดินกลับบ้านท่านนายพลศรายุธด้วยกัน

     

    แผนอะไร เปล่านี่ ไม่ได้กำลังวางแผน แต่กำลังดำเนินตามแผนต่างหาก

     

    ก็แผนทำให้คุณหนูดีของคุณหึงไงคะ แต่ก่อนคุณยอมให้ภัคเข้าใกล้เธอที่ไหน แล้วก็ไม่เคยทำตัวสนิทสนมกับภัคขนาดนี้ด้วย โดยเฉพาะเวลาอยู่ต่อหน้าเธอ

     

    คุณคิดมากเกินไปรึเปล่า ชายหนุ่มพยายามตอบด้วยน้ำเสียงปกติ และคิดในใจว่า ทำไมฉลาดจริง หวังว่าผู้หญิงคงไม่มีความรู้สึกดีเป็นพิเศษอย่านี้หมดทุกคนหรอกนะ

     

    คิดมากแล้วคิดถูกรึเปล่าคะ หญิงสาวไล่ต้อน

     

    ให้ตาย...แล้วเขาจะตอบยังไงล่ะนี่

     

    ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ หญิงสาวว่าอย่างนั้น ตรัยที่กำลังงงว่าทำไมคราวนี้ใจดีจริงถึงกับหันหน้ามามองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ลืมซ่อนสีหน้าโกหกไม่เก่งนั้นเสียสนิท

     

    แต่ภัคจะบอกอะไรให้นะคะ ผู้หญิงไม่ชอบคนโกหกหลอกลวงหรอกค่ะ คุณอาจจะทำท่าสนิทสนมกับภัคได้ แต่อย่าโกหกด้วยคำพูด ทำให้เธอเข้าใจไขว้เขวนะคะ อย่าบอกว่าคุณชอบภัค หรือเราเป็นอะไรกัน มันอาจทำให้เธอแสดงความหึงออกมาได้ แต่คุณจะกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ ช่างโกหก แล้วเธอก็จะไม่เชื่อคุณอีก ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม

     

    เมื่อเห็นคนฟังทำหน้าอึ้งๆ ภัคคินีก็หัวเราะราวกับขบขัน ทว่าเมื่อตรัยถาม

     

    คุณทะเลาะกับธยุตเพราะเรื่องนี้หรือ

     

    หญิงสาวก็หยุดหัวเราะไปทันที ครู่หนึ่งจึงตอบ

     

    ค่ะ เอาเถอะ เห็นแก่สีหน้าขรึมๆ ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนักของตรัย

     

    หลังจากนั้นสองคนก็หยุดคุยเรื่องนี้กันอยู่ที่สวนหน้าบ้าน ฟังเรื่องของภัคคินีจบแล้วตรัยก็ตัดสินใจได้ ว่าจะเลิกล้มแผนการทั้งหมด เขาจะทำให้อภิรดีรับรักด้วยความพยายามอย่างจริงใจของเขาเอง ไม่มีการอดทนอะไรทั้งนั้น ต่อให้ต้องเป็นโสดไปอีกยาวนานก็ตาม

     

                                                    **************************

     

    สองวันต่อมา เมื่อตรัยและสุรัตติยาไปทานอาหารที่บ้านเสนาบดีมหาดไทย อภิรดีก็ถือเอาโอกาสที่ทุกคนในครอบครัวเปิดให้(เป็นประจำ)ถามคำถามที่ค้างคาใจกับตรัย

     

    พี่ตรัยคะ ขอโทษนะคะที่ละลาบละล้วง แต่ พี่ตรัยชอบคุณภัคหรือคะ

     

    เมื่อเห็นสีหน้าสดชื่นเหมือนดอกไม้ได้น้ำ และดวงตาพราวระยับของชายหนุ่ม หญิงสาวก็ต้องรีบเสริม

     

    เอ่อ คือ รดีก็ถามไปอย่างนั้นเองค่ะ ไม่ได้คิดอะไร พี่ตรัยอย่าคิดมากนะคะ ทุกครั้งที่โป้ปด อภิรดีมักจะหลบสายตา

     

    ภัคเขาแต่งงานแล้ว คำตอบไม่ตรงกับคำถาม แต่ตรัยคิดว่าเขาตอบกระจ่างชัดแล้ว เขาไม่คิดจะชอบผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่ก็ไม่แน่ ถ้าผู้หญิงคนนั้นคือ หนูดี

     

    อภิรดีไม่กล้าย้ำถามคำถามเดิมอีก ได้แต่แสดงความคิดเห็นคล้ายกับกำลังหึงหวงโดยไม่รู้ตัวว่า

     

    ดูพี่ตรัยสนิทกับคุณภัคดีนะคะ

     

    คือ เราเป็นญาติกันน่ะหนูดี แล้วตอนนี้ภัคเขาก็กำลังมีปัญหากับสามีเขาด้วย พี่ก็เลยต้องช่วยปลอบใจ

     

    ...ปลอบใจกันจนความเห็นใจกลายเป็นความรักเลยล่ะสิ...

     

    ทันทีที่ความคิดอย่างนั้นเข้ามา อภิรดีก็สะดุ้งวาบ ทำไมเธอจึงมีความคิดชั่วร้ายขนาดนี้ได้ ละอายใจจนแทบไม่กล้าสบสายตาสัตย์ซื่อคู่นั้น ได้แต่พูดเก้อๆ ว่า

     

    เหรอคะ

     

    ครับ ยังไม่ทันจะหยอดด้วยประโยคเดิมว่า พี่ชอบหนูดีคนเดียวคุณหญิงที่เห็นว่าสองคนคุยกันตามลำพังนานแล้วก็มาตามให้เข้าไปคุยด้วยกันข้างใน

     

                                                    **************************

     

    หลังจากเปิดใจคุยกันเรื่องปัญหาของภัคคินี ตรัยและหญิงสาวก็ดูสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น พูดคุยกันมากขึ้น ความเป็นห่วงของตรัยแสดงออกผ่านคำพูดที่ฟังดูเล่นๆ และไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย หลังจากเลิกล้มแผนการทำให้อภิรดีหึง ชายหนุ่มก็สนทนากับภัคคินีได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น ยอมให้หญิงสาวใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวได้บางครั้งโดยไม่รู้สึกว่าอยากหนีไปไกลๆ เหมือนแต่ก่อน เพราะเข้าใจว่าเป็นธรรมดาของเธอ และรู้ว่าภัคคินีรักสามีของเธอมาก

     

    ทว่า อภิรดีไม่ได้เข้าใจไปด้วย

     

    ตรัยหมั่นแวะมาเยี่ยมเธอที่บ้านตามปกติ หากแต่บางครั้งก็พาภัคคินีมาด้วย สองคนดูสนิทสนมกันยิ่งกว่าเดิมเสียอีก สนิทอย่างเป็นธรรมชาติ พยายามหาพิรุธเท่าใดก็ไม่พบเลย ทุกครั้งที่เธอไปที่บ้านชายหนุ่ม เขาเป็นต้องอยู่กับภัคคินีเสมอ ยิ้มแย้ม พูดคุยอย่างสนุกสนาน ภัคคินีหัวเราะเต็มเสียงอย่างสดใส ขณะที่เธอไม่ได้ทำสีหน้าอย่างนั้นให้ตรัยเห็นบ่อยนัก

     

    ทั้งหมดไม่ใช่แผนการ พี่ตรัยบอกเธอตามตรงว่าคุณภัคแต่งงานแล้ว ไม่ได้หลอกลวง ถ้าอย่างนั้น ภาพที่เธอเห็นจนทำให้นอนไม่หลับทั้งคืนนั่นก็ไม่ใช่การเสแสร้ง

     

    เวลากลางคืน ที่สวนหน้าบ้าน ภัคคินีนั่งเอียงศีรษะซบไหล่ตรัย ขณะที่ชายหนุ่มลูบศีรษะเธอเบาๆ

     

    อภิรดีรู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่เป็น ของเธอหรืออย่างน้อยมันก็ เคยเป็น

     

     

     

     

     

    ยัยหนู เป็นอะไรรึเปล่าลูก คุณหญิงเสนาบดีมหาดไทยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย เมื่อเห็นบุตรีเหม่อ ถือดอกไม้ค้างอยู่นานแล้ว ไม่ปักลงแจกันเสียที มองดูตาก็เหมือนจะชื้นๆ อย่างไรอยู่

     

    คะ เปล่าค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร ปฏิเสธแล้วจึงจัดดอกไม้ต่อ พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ทว่าทันทีที่ผู้เป็นมารดาย้ายมานั่งลงข้างๆ และวางมือลงบนต้นแขน ความอดทนที่มีต่อความสับสนตลอดหลายวันมานี้ก็พังทลาย หญิงสาวโผเข้าซบกับตักของมารดา น้ำตาที่มาจากไหนไม่รู้มากมายร่วงพรู

     

    ยัยหนู ตกใจและห่วงใยอยู่ไม่น้อย คุณหญิงวางมือลงบนศีรษะของบุตรีอย่างเป็นห่วง

     

    ไม่อยาก รดีไม่อยากคิด ไม่อยากรู้สึก ไม่อยากเป็นคนไม่ดีอย่างนี้เลยค่ะคุณแม่

     

    อยากถามไถ่ หากแต่ผู้เป็นมารดาก็เลือกที่จะเงียบ ปล่อยให้บุตรีผู้เป็นดั่งดวงใจสะอึกสะอื้นไปสักพัก ก่อนที่จะพรั่งพรูความอึดอัดใจออกมาเอง

     

    ทั้งๆ ที่ไม่ได้รัก ไม่เคยตอบแทนความดีที่มีให้ แต่ก็ยังอยากให้เขาดีกับเราตลอดไป ทั้งที่เคยคิดแท้ๆ ว่าอยากให้เขามีความสุขกับคนที่สามารถให้ความรักกับเขาได้ แต่พอมีคนคนนั้น พอเห็นเขาสนิทสนม ยิ้มแย้มกับคนอื่นก็รู้สึกหึงหวง ไม่อยากให้เขาทำอย่างนั้นกับใครเลย รดีเป็นคนไม่ดีเลยนะคะ ไม่อยากจะเป็นคนแบบนี้เลยจริงๆ อึดอัด ทรมานเสียจริง ความรู้สึกแบบนี้

     

    ถ้าหนูหมายถึงพ่อตรัยกับหนูภัคคินี  หนูภัคเขาแต่งงานแล้วนะจ๊ะ

     

    รดีทราบค่ะ แต่ทั้งๆ ที่รู้ ก็ยังรู้สึกว่าไม่อยากให้เขาสนิทกัน น้ำตารินลงมาอาบแก้มไม่ขาดสาย บางส่วนที่คลอขังทำให้ดวงตาพร่ามัว หัวใจถูกบีบคั้นเพราะคิดว่าตัวเองเป็นคนเลวเสียเหลือเกิน

     

    หนูเคยคิดไหมลูก ว่าหนูรักพ่อตรัยเข้าให้แล้ว คุณหญิงถามอย่างอ่อนโยน

     

    ดวงหน้าที่ซุกอยู่แทบตักส่ายไปมา

     

    ไม่ใช่หรอกค่ะ ความรักไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวแบบนี้ รดีแค่เป็นคนไม่ดี ที่อยากยึดเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยให้มาเป็นของตัวเองคนเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรตอบแทนเขาได้ ไม่มีความรักมอบให้ แต่ก็ไม่อยากให้เขารับมันมาจากคนอื่น รดีไม่ได้ตั้งใจเลยค่ะคุณแม่ ไม่ได้ตั้งใจทำเหมือนว่าอยากให้เขารอ รอไปตลอดชีวิต รอทั้งที่ไม่มีความหวัง แต่รดีกำลังทำอยู่ใช่ไหมคะ

     

    มันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัวหรอกจ้ะรดี ความรักก็เป็นแบบนี้ บางทีก็ไม่ใช่สิ่งสวยงาม ไม่ได้ให้แต่ความสุขกับเราเสมอไป แต่การที่เราอ่อนไหว เป็นสุขเมื่อเขาดีกับเรา เป็นทุกข์ กระวนกระวายเวลาที่เขามีท่าทีว่าจะไปชอบคนอื่น มีหัวใจที่ทุกข์สุข เปลี่ยนแปลงไปได้แค่ช่วงเวลาประเดี๋ยวประด๋าว นั่นก็เป็นมนต์ของความรักอย่างหนึ่ง คนเป็นมารดาอธิบายช้าๆ ราวกับจะให้บุตรีค่อยๆ ซึมซับ

     

    พ่อตรัยเขาไม่ได้ให้แต่ความทุกข์กับหนูใช่ไหมลูก เวลาอยู่กับเขา หนูมีความสุขรึเปล่า ยิ้มได้ หัวเราะได้ไหม รู้สึกอุ่นใจ หรือว่ารู้สึกอึดอัด ทบทวนความรู้สึกของตัวเองให้ดีๆ ยังไม่สายเกินไปหรอกนะจ๊ะ ถ้าหนูจะค่อยๆ คิดโดยไม่มีอคติ ไม่ปักใจเชื่ออยู่ก่อนว่าไม่ได้รัก สำหรับหนูภัคคินี แม่เชื่อว่าเขาไม่ได้ชอบพ่อตรัยในแง่นั้น พ่อตรัยเองก็เหมือนกัน

     

    ความทุรนทุรายดูเหมือนจะผ่อนคลายลงบ้างเมื่อได้ยินดังนั้น หากอภิรดียังปักใจเชื่อ ว่าเธอไม่ได้รักตรัย เธอมีความสุขเวลาอยู่กับเขามั้ยงั้นหรือ มี...มีแน่ๆ แต่...ไม่มีอะไรเหมือนกับตอนที่อยู่กับเจ้าหลวง ไม่มีความขวยเขิน หัวใจไม่ได้เต้นแรง ไม่รู้สึกว่ามือไม้เกะกะเก้งก้าง ไปหมด ไม่รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผะผ่าว หรือสะท้านหวั่นไหวเพียงแค่ได้สบตา

     

    สิ่งเดียวที่เหมือนคือความทุกข์ต่างหาก เจ็บแปลบ เสียดลึกเข้าไปในอกเมื่อเห็นเขายิ้มให้ใครที่ไม่ใช่เธอ เจ็บแบบเดียวกัน ในขณะที่ความเจ็บแปลบที่เกิดเพราะเจ้าหลวงเริ่มเลือนๆ ห่างหายไปจนเกือบจำไม่ได้ แต่ความรู้สึกเดียวกันที่เกิดเพราะตรัยกลับยิ่งตอกย้ำทุกรั้งที่นึกถึง

     

    อภิรดียังคงสะอื้นอยู่กับตักของมารดา คุณหญิงลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยผมนุ่มสลวยนั้นอย่างรักใคร่ และเวทนาปรานี บุตรีของเธอต้องมนต์ของความรักเข้าให้แล้ว

     

                                                    *********************************

     

    ทั้งที่ผู้เป็นมารดาแนะนำว่าควรคุยกันให้เข้าใจ แต่ทันทีที่รู้ว่าคุณหญิงท่านนายพลเชิญครอบครัวเธอไปทานอาหารค่ำวันนี้ อภิรดีก็เข้าวังไปขออยู่กับเจ้าหญิงอรอุมารังษี ทั้งที่รู้ดีว่าเสียมารยาท

     

    บุตรีเสนาบดีมหาดไทยเพิ่งตระหนักว่า นั่นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด เมื่อได้ยินเจ้าหญิงโฉมงามแห่งสวราชย์ตรัสถาม

     

    มีเรื่องอะไรจะปรึกษาฉันไหม ดูเธอไม่ค่อยสบายใจเลยเป็นคำถามหลังอาหารมื้อค่ำ หลังจากทรงสังเกตเห็นว่าอภิรดีทานน้อยเหลือเกิน ขณะอภิรดีกำลังจะทูลตอบ อีกฝ่ายก็ทรงดักคอ

     

    ห้ามตอบว่าไม่

     

    อภิรดีคิดว่า หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ ไปบ้านพี่ตรัยแล้วหาทางหลบเลี่ยงเอาเอง ไม่มอง ไม่ฟังเสียยังจะดีกว่า

     

    เราเป็นเพื่อนกันนะอภิรดี มีอะไรไม่สบายใจก็พูดคุยกับฉันได้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบ เจ้าหญิงอรอุมาก็ทรงเปลี่ยนไปใช้ไม้อ่อน

     

    อาจเพราะสีพระพักตร์ชวนเชื่อถือ เพราะความอึดอัดทรมานใจที่ยังคงสุมแน่น เพราะบรรยากาศเหงาๆ ที่เกิดจากสายฝนที่เทกระหน่ำอยู่เบื้องนอก หรืออาจเป็นเรื่องปกติ ที่เธอไม่เคยปิดบังอะไรจากเจ้าหญิงพระองค์นี้ได้ อภิรดีจึงทูลเล่าเรื่องทั้งหมดถวาย

     

    เธอรักเขาเข้าแล้วล่ะ อภิรดี เป็นข้อสรุปอย่างมั่นพระทัยของผู้ฟัง

     

    ไม่ใช่หรอกเพคะ เป็นความเห็นแก่ตัวของหม่อมฉันเองต่างหาก หม่อมฉันทำตัวเหมือนเด็กที่หวงแหนของเล่น ของที่ตัวเองไม่ต้องการ แต่ก็ไม่อยากยกให้คนอื่น หม่อมฉันเป็นคนไม่ดีเลย

     

    ในเมื่อรัก ก็ต้องรู้สึกหึงหวงเป็นธรรม ไม่เห็นแปลกเลย ฟังจากพระสุรเสียง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรกังวลเลย

     

    หม่อมฉันไม่ได้รักเขาจริงๆ เพคะ นี่เป็นครั้งแรกที่อภิรดียืนกรานปฏิเสธหนักแน่นในสิ่งที่เจ้าหญิงอรอุมารังษีทรงสันนิษฐาน ส่งผลให้พระพักตร์งามง้ำลงอย่างรวดเร็ว

     

    งั้นก็ดี ไม่รักก็ดีแล้ว ถ้าไม่อยากเป็นคนไม่ดีก็ปล่อยเขาไปก็แล้วกัน หลงรักเธอมาตั้งนานคงทรมานแย่ ถ้าวันนี้เขาคิดได้ว่าไม่ควรทรมานตัวเอง ขึ้นจากหลุมแล้วไปตกหลุมใหม่ที่จะทำให้มีความสุขกว่าเธอก็ปล่อยเขาไปเถอะ ความอึดอัดใจที่คิดว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีจะได้หายไป ถ้ามันไม่ใช่ความรัก อีกไม่นานมันคงหายไปเองนั่นแหละ ความเจ็บปวดน่ะ

     

     

                    ได้เรื่อง คุยกับเจ้าหญิงอรอุมารังษีก็มักจะเป็นแบบนี้ พระอารมณ์ขึ้นลงไม่คงที่ อภิรดีเจ็บจี๊ดที่หัวใจ จริงหรือ ที่สักวันหนึ่งความเจ็บนี้จะหายไป ในเมื่อแค่คิด หัวใจก็เหมือนถูกบีบโดยมือที่มองไม่เห็น หยาดน้ำใสเอ่อคลอแม้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ เจ้าหญิงโฉมงามทอดพระเนตรเห็นแล้วก็พระทัยอ่อน พระสุรเสียงที่ตรัสถามก็พลอยอ่อนลงด้วย

     

    เพราะอะไรถึงคิดว่ามันไม่ใช่ความรักล่ะ

     

    เพราะ เพราะมันไม่เหมือนที่หม่อมฉันรู้สึกกับ...

     

    เจ้าพี่ ทรงต่อให้ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้า เจ้าหญิงน้อยก็ถอนพระทัยเฮือก

     

    ทำไมไม่คิดกลับกันบ้างล่ะ ว่าเธอรักตรัย แต่ไม่ได้รักเจ้าพี่ เพียงแต่ปลื้ม ประทับใจ หรือแม้แต่เคารพเทิดทูนมานานแสนนาน

     

    อภิรดีส่ายหน้าเบาๆ ขยับปากจะทูลแย้ง หากแต่เจ้าหญิงผู้เผด็จการไม่ทรงยอมเปิดโอกาส

     

    ยังไงก็ช่างเถอะ ถึงแม้จะเป็นรักทั้งสองครั้งก็ไม่แปลก ความรักไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นครั้งเดียวหรอกนะ ความรักของพระองค์ก็เกิดขึ้นหลายครั้ง เพียงแต่ มันเกิดขึ้นกับคนคนเดียวกันทุกๆ ครั้ง และจะเป็นอย่างนั้นตลอดไป หากจะทรงตกหลุมรักอีกสักครั้ง คนคนนั้นก็ยังคงเป็น...วิษณุ สีพระพักตร์ของเจ้าหญิงอรอุมาอ่อนโยนนักหนา เมื่อรับสั่งประโยคต่อไป

     

    แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเกิดเหมือนกันด้วย กับเจ้าพี่ มันอาจจะเกิดขึ้นกะทันหันไปหน่อย เธอก็เลยฝังใจว่าความรักจะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นเหมือนอุบัติเหตุที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้น แต่ความรักของเธอที่มีต่อตรัย รับสั่งโมเมเอาเองเสียอย่างนั้น คงเหมือนความรักของฉัน

     

    รับสั่งเองก็ทรงขัดเขินเอง แต่ก็เพียงครู่เดียวนั้น

     

    เหมือนกับการปลูกต้นไม้ จากเมล็ดเล็กๆ หลายเป็นต้นอ่อน ค่อยๆ เติบโตจนสูงใหญ่ สามารถให้ร่มเงาและเป็นที่พักพิงอาศัยได้ตลอดไป เขาเรียกว่าเป็นความผูกพัน ก่อตัวขึ้นทีละนิด อาจใช้เวลานาน สานเป็นตาข่ายบางๆ ที่เหนียวแน่นขึ้น เธอไม่รู้ตัวหรอกว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนไหน แต่พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกพันแน่นหนาจนดิ้นไม่หลุดแล้ว

     

    ดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์ของอภิรดีปรากฏแววสับสน ใจเอนเอียง

     

    เคยได้อาศัยร่มเงาของต้นไม้นั้นทุกวัน เป็นเรื่องธรรมดา มองเห็นคุณค่า แต่ไม่ได้รัก ไม่ได้ซาบซึ้งใจไปมากกว่านั้น ทีนี้พอจะมีคนโค่นมันทิ้งจึงรู้สึกหวงแหน คิดถึงทุกๆ วันที่ได้อาศัยความร่มเย็น แต่รู้สึกไหม ว่าจะไม่มีอะไรมาทดแทนได้     แม้ว่าจะเป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่กว่าเดิมหรือสวยงามความเดิม มันก็ไม่ใช่ต้นเดิม ถ้าเธอเพียงแต่คิดถึงความดีที่เขาทำให้ เสียดายที่เขาจะไม่ทำอย่างนั้นให้เธออีก นั่นคือความรู้สึกของเด็กที่เสียดายของเล่น แต่ถ้าเธอคิดถึงตัวตนของเขา เจ็บปวดเมื่อคิดว่าเขาอาจจะเป็นของคนอื่น ไม่ใช่เพราะเขาไปดีกับคนอื่น นั่นคือความรู้สึกที่เรียกว่ารัก เธอรักเขาเข้าแล้วล่ะ อภิรดี

     

    หยาดน้ำใสไหลรินลงมาโดยไม่รู้ตัว ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะปาดออก นั่นคือคำพูดของ เด็กสาวที่อายุเพียงสิบเก้าปี แต่ก็เป็นคำพูดของ ผู้หญิง ที่มีความรัก

     

    อาการเขินอาย หน้าแดง ใจสั่นเวลาได้พูดคุยหรือเพียงแค่พบหน้ามันไม่จำเป็นหรอกนะ เมื่อพบเจอบ่อยจนไม่ใช่แค่คนแปลกหน้า ผูกพันจนไม่ใช่แค่คนรู้จัก อาการอย่างนั้นก็ไม่ค่อยเกิดขึ้นหรอก แต่เธอไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นกับเขาเลยจริงๆ น่ะหรือ ไม่เคยเลยสักครั้งเลยหรือ

     

    เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ ไม่จำเป็นต้องตอบ

     

    หม่อมฉันยังรู้สึกเจ็บปวด เวลาที่ได้เห็นเจ้าหลวงกับรานีอยู่เลยเพคะ

     

    นี่เป็นความเจ็บปวดของคนที่กำลังคิดว่าตัวเอง หลายใจเจ้าหญิงอรอุมารังษีทรงดึงมือบางของอภิรดีมาไว้ในอุ้งหัตถ์ของพระองค์เองที่ดูจะเล็กกว่า

     

    บางทีความหึงหวงที่เกิดจากความรัก กับความอิจฉาที่เกิดจากความไม่มีก็แทบจะไม่แตกต่างกันนะ เธออาจจะไม่ได้เจ็บเพราะรัก แต่กำลังอิจฉาที่ตัวเองไม่มีความรักอย่างนั้นบ้างก็เป็นได้ ลองมีความรัก มีคนรักของตัวเองดูก่อน แล้วเธออาจจะจำความเจ็บนั้นไม่ได้อีกเลยก็เป็นได้

     

    เจ้าหญิงโฉมงามแย้มพระสรวลกว้างขวางอย่างสดใส เปลี่ยนพระอารมณ์ไปเป็นร่าเริงอีกแล้ว เมื่อตรัสถามกึ่งสัพยอกว่า

     

    มีปัญหาอะไรอีกรึเปล่าจ๊ะ คนปากแข็งขี้สงสัย มีก็รีบถาม แล้วฉันจะได้ให้คนส่งใบค่าคำปรึกษาไปที่บ้านเจ้าคุณมหาดไทย รับสั่งถามเล่นๆ แต่อีกฝ่ายมีปัญหาจริงๆ

     

    ความรู้สึกของหม่อมฉันคงไม่พัฒนาไปมากกว่านี้ หม่อมฉันคงเป็นคนเห็นแก่ตัวจริงๆ เพคะ เพราะแค่อยากให้เขาดีกับหม่อมฉันตลอดไป และไม่อยากให้เขา เป็นของคนอื่นด้วย หม่อมฉันไม่อยากแต่งงาน แค่...แค่อยากอยู่อย่างนี้

     

    เป็นความจริงที่เพิ่งค้นพบได้ใหม่ หญิงสาวสับสนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก คราวนี้เจ้าหญิงน้อยไม่ถอนพระทัย เพียงแต่ทรงนิ่งคิด ก่อนจะทรงอธิบายว่า

     

    นั่นเขาเรียกว่าจุดอิ่มตัว คนเราถึงจะรักกันมากและบอกว่าตัวเองรักอีกฝ่ายมากขึ้นทุกวันๆ แต่ความจริงแล้วก็คงรักมากเท่าเดิมนั่นแหละ เพียงแต่มีเหตุการณ์บางอย่างเข้ามาทำให้ประทับใจมากๆ เป็นระยะเท่านั้นเอง ความรู้สึกรักไม่จำเป็นต้องเป็นความรู้สึกที่หวือหวา ทำให้หัวใจเต้นแรงอยู่ตลอดเวลาหรอกนะ แค่รู้สึกมีความสุข สงบ อบอุ่นก็น่าจะใช้ได้แล้ว เธอรู้สึกอย่างนั้นเวลาอยู่กับเขารึเปล่า ความรู้สึกดีๆ ที่ว่าไม่เพิ่มขึ้นนั่นมันลดน้อยลงไหม ความคงที่มีอะไรที่ไม่ดี เธออยากอยู่อย่างนี้ พูดดีๆ กับเขาก็คงจะยอม ขอเพียงรู้ว่าเธอก็รักเขา แต่ความดีที่เขาทำให้ทั้งหมด เธอยึดครองเอาไว้ แล้วให้อะไรตอบแทนเขาบ้างรึเปล่า ฉันว่าถ้าเธอยินดีที่จะ ให้บ้าง เธอจะมีความสุขขึ้นมากทีเดียว หัวใจ ความสุขของตัวเอง ตัดสินใจเอาเองเถอะนะ

     

    คืนนั้นฝนตกหนักทั้งคืน ไม่มีสายลมพัดโบกโบย เพราะอย่างนี้กระมัง ความคิดถึงจึงยังคงอัดแน่นอยู่เต็มอกของคนที่เพิ่งรู้ใจตัวเอง ไม่สามารถส่งผ่านไปยังอีกคนที่รู้ใจตัวเองนานแล้ว และกำลังนอนไม่หลับเพราะความคิดถึงได้

     

                                                    **************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×