ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักต้องห้าม (ภาคอรอุมารังษี) (ลบแล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนพิเศษ 3 (ภาคอรอุมารังษี) : ตรัย+อภิรดี(2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.71K
      7
      21 พ.ย. 49

    หลังจากไปเยียวยา รักษาความอึดอัดทรมานใจที่พระตำหนักอิระวดีอยู่หลายวันอภิรดีก็กลับมาอยู่บ้านด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้น เย็นวันเดียวกันนั้น หลังจากที่รู้ว่าหญิงสาวคนเดียวในดวงใจกลับมาแล้ว ตรัยก็รีบรุดไปพบหน้าอย่างไม่รอช้า ไม่คิดจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใดใดทั้งสิ้น

     

    สวนหลังบ้านเสนาบดีมหาดไทยทั้งกว้างขวางและร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย ตรัยไม่ต้องเสียเวลาหานาน เพราะอภิรดีไม่ได้เดินชมสวนอยู่ด้านใน แต่อยู่ตรงแปลงปลูกดอกไม้ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ แผ่กิ่งกว้างสองต้นที่ยืนต้นอยู่ใกล้กัน สาวใช้สองคนคอยเป็นลูกมือ

     

    หลายวันที่คิดถึง วันนี้เพียงได้เห็นเสี้ยวหน้าด้านข้าง กลับยิ่งคิดถึง อยากจะวิ่งเข้าไปกอด แต่ก็รู้ว่าทำไม่ได้ อยากจะตะโกนร้องเรียกดังๆ แต่ก็ยังรู้สึกอายสาวใช้อยู่บ้าง ตรัยจึงเพียงแค่เดินเร็วๆ เข้าไปหา

     

    หนูดี

     

    อภิรดีสะดุ้ง ทั้งที่คนเรียกก็เรียกเสียงไม่ดังนัก ดวงหน้าหมดจดหันกลับไป ยิ้มให้แบบเก้อๆ ฝืดๆ นิดๆ ในสายตาของคนมองอยู่ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและทักทายตามมารยาท

     

    พี่ตรัย มาหาพี่นลหรือคะ

     

    รอยยิ้มของคนถูกทักฝืดเฝื่อนลงทันตา ทั้งที่อภิรดีก็ทักเขาด้วยประโยคนี้ประจำ แต่อาจเพราะคิดถึงมาก หวังมากกระมัง ได้ยินอย่างนี้กำลังใจของตรัยจึงหดหายไปบ้าง

     

    อภิรดีเองก็สังเกตเห็น แต่นึกอยากจะคว้าเอาคำพูดนั้นกลับคืนมาก็ไม่ทันเสียแล้ว เธอแค่ แค่รู้สึกตั้งตัวไม่ทัน แค่รู้สึกเก้อเขิน หัวใจเต้นผิดจังหวะทั้งที่แค่ถูกเรียกชื่อด้วยชื่อที่มีคนเรียกเพียงคนเดียว ทั้งที่เธอเตรียมใจมาทั้งวันแล้วแท้ๆ เพราะรู้ว่าตั้งใจมาหาเธอไง จึงได้ถามว่ามาหาพี่นลเหรอ เป็นการถามเพราะความเขินเท่านั้น แต่นี่คงเป็นเหตุผลที่แย่เอามากๆ

     

    มาหาหนูดี สมเป็นตรัย ยิ้มได้ใหม่อีกครั้งราวกับไม่เคยทำหน้าสลดหดหู่เมื่อครู่ ทว่า ภาพเมื่อครู่นี้ติดตาคนมองไปแล้ว อภิรดีนึกสงสัยว่า พี่ตรัยทำหน้าอย่างนั้นบ่อยไหมนะ เธอแทบไม่เคยสังเกตเห็นเลย คงเพราะถูกรอยยิ้มและสีหน้าทะเล้นๆ นั้นบังตา

     

    ไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าๆ อย่างนั้นเลย นับจากนี้ ไม่อยากเห็นอีกเลย เธอจะทำได้ไหมนะ

     

    หญิงสาวยิ้มอ่อนหวานให้ตรัย ตัดสินใจได้เดี๋ยวนั้น ก่อนจะสั่งสาวใช้ว่า

     

    สาไปบอกให้ใครเตรียมขนมกับน้ำไว้ให้พี่ตรัยหน่อยเถอะจ้ะ ไม่ต้องยกมาที่นี่หรอกนะ เดี๋ยวฉันจะเชิญเข้าไปคุยข้างในแล้ว

     

    ความจริงไม่ต้องสั่งสาวใช้ก็ได้ คนข้างในคงเตรียมไว้แล้ว แต่สาวใช้ก็ยังทำตามคำสั่ง

     

    มีคนชวนทานข้าวหรือยังคะพี่ตรัย

     

    ยังจ้ะ คำตอบไม่คำนึงถึงมารยาท เพราะคนตอบมัวแต่ดีใจที่อีกฝ่ายชวนทั้งที่ไม่เคยชวน

     

    งั้นรดีเชิญทานข้าวเย็นนะคะ แม้เสียงจะไม่สั่น แต่สองข้างแก้มก็รู้สึกร้อนผ่าว ทั้งที่แค่ออกปากชวนทานข้าวเท่านั้น ใช่สิ แค่ชวนทานข้าว ทำไมพี่ตรัยต้องทำหน้าดีใจขนาดนั้นด้วยนะ

     

    กิ่งช่วยไปบอกในครัวนะจ๊ะว่าพี่ตรัยจะอยู่ทานมื้อเย็นด้วย

     

    เจ้าค่ะ

     

    ในสวนเหลือกันอยู่เพียงสองคน อภิรดีชวนชายหนุ่มนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวยาวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น

     

    คุณภัคไม่มาด้วยหรือคะวันนี้ เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของตรัย อภิรดีก็สำนึกเสียใจ ที่เธอทำให้เขาต้องมีสีหน้าอย่างนี้อีกแล้ว

     

    หนูดี พี่ไม่ได้ชอบภัคนะ สีหน้าของตรัยเดือดร้อนสาหัส เป็นกังวลหนักหนา หญิงสาวขยับปากจะพูด หากแต่ไม่ทันอีกฝ่าย ภัคคินีแต่งงานแล้ว ถึงไม่ได้แต่งพี่ก็ไม่ทีทางชอบภัคแบบนั้น เราเป็นแค่ญาติกัน แล้วตอนนี้ธยุต...สามีภัคเขาก็ตามมาปรับความเข้าใจ รับตัวกลับไปแล้วด้วย

     

    พี่ตรัยคะ รดีไม่ได้...

     

    หนูดีไม่ต้องห่วง พี่แค่อยากบอกให้เข้าใจ ไม่ได้ผูกมัดหรือบีบบังคับให้หนูดีชอบพี่ พี่รู้ว่าหนูดีไม่ได้สนใจ ไม่ได้เข้าวังไปเพราะเรื่องนี้ แต่พี่ร้อนใจ แค่อยากอธิบายเท่านั้น

     

    ค่ะ รดีเข้าใจแล้ว เสียงตอบรับทอดอ่อนโยน

     

    ตรัยมองสีหน้าของหญิงสาว มองลึกเข้าไปในดวงตา แล้วก็ผ่อนลมหายใจ คิดว่าอีกฝ่ายคงเข้าใจจริงๆ กระมัง

     

    พี่ตรัย...ลำบาก ทรมานมากไหมคะที่...ที่ชอบรดี ถามแล้วก็อดหน้าแดงไม่ได้ เพราะช่างเป็นคำถามที่ดูเหมือนหลงตัวเองนักหนา

     

    หือม์ ทุกครั้งมีแต่เขาเริ่มก่อน ทำไมคราวนี้มาแปลก หากแต่เขาก็ยินดีตอบ

     

    ไม่ลำบากสักนิด ทรมานใจไหม ก็มีบ้างหรอก แต่เขาเข้าใจและพร้อมเสมอ ที่จะเป็นทุกข์เพราะความรัก

     

    หนูดีลำบากใจหรือ รำคาญที่พี่มากวนใจบ่อยไปรึเปล่า งั้นนานๆ ครั้งพี่มาก็ได้นะ

     

    นานๆ ครั้งมาได้ แต่นานๆ ครั้งรักไม่ได้หรอกนะ เขารักเธอทุกวัน ทุกนาที และหยุดรักไม่ได้สักขณะจิตเดียว

     

    ไม่ใช่ค่ะ รดีไม่ได้ลำบากใจ รดี...รดีมีความสุขดี เปลือกตาหลุบต่ำลงไม่กล้าสบตาเมื่อเอ่ยประโยคสุดท้าย เธอเปิดเผยและกล้าเกินไปรึเปล่านะ แต่เธอก็ควรพูดให้เขารับรู้บ้างใช่ไหม

     

    หนูดีว่าอะไรนะ ไม่แน่ใจว่าได้ยินถูก แต่หัวใจเต้นผิดจังหวะนำไปแล้ว

     

    ไม่มีใครดีกว่ารดีอีกแล้วหรือคะ รดีไม่อยากให้พี่ตรัยเสียเวลา เสียใจที่ชอบคนผิด

     

    ไม่มี

     

    คะ

     

    ไม่มีใครดีกว่าหนูดี เสียงห้าวลึกตอบหนักแน่น คำตอบที่สลักปักตรึงแน่นลงกลางใจคนฟัง ไม่อยากเชื่อ ไม่น่าเชื่อ แต่ดวงตาคู่ซื่อใต้คิ้วคมเข้มนั้นบ่งบอกว่ากำลังหลอกลวงหรือเยินยอเธอหรือ...เปล่าเลย

     

    อภิรดีไม่ได้ดีที่สุด แต่คนที่ตรัยรักดีที่สุดเสมอในสายตาของเขา ความจริงจากใจผู้ชายคนหนึ่งโยกไหว สั่นคลอนใจผู้หญิงคนหนึ่งให้สั่นสะท้านแล้ว

     

    ร้องไห้ทำไมหนูดี พี่พูดอะไรผิดหรือเมื่อได้เห็นน้ำตาของคนที่รัก ตรัยตกใจยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าอาวุธในคลังหายไปเกลี้ยงภายในคืนเดียวเสียอีก ชายหนุ่มขยับเข้าใกล้ทันทีโดยไม่ได้คิดอะไร ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก ค้นหาผ้าเช็ดหน้าให้วุ่น ลืมไปว่าเขาไม่เคยพกของอย่างนั้น อยากจะใช้มือเช็ดให้ก็ไม่ได้ล้างมือมาอีก

     

    พอดีกับที่อภิรดีหยิบผ้าเช็ดหน้าของเธอขึ้นมาซับน้ำตาที่หยาดริน และพยายามกลั้นสะอื้นได้แล้วชายหนุ่มจึงไม่ต้องทำอะไรไม่ถูกอยู่นานนัก

     

    พี่พูดอะไรให้ร้องไห้หรือ ถาม ทั้งที่ยังไม่ขยับออกห่าง คิดให้ตายก็คิดไม่ออกว่าพูดผิดตรงไหน ให้ตายเถอะ จนใจจริงๆ

     

    ไม่ใช่เพราะพี่ตรัยหรอกค่ะ หญิงสาวส่ายหน้าน้อยๆ ให้ด้วย เพราะรดีเอง ขอโทษนะคะ...ขอโทษ...รดีขอโทษค่ะ

     

    ตรัยกำลังงง อ้าว...เฮ้ย! หนูดีร้องไห้อีกแล้ว ทำยังไงดี ทำยังไงดี แค่เห็นน้ำตา เขาก็ทำอะไรไม่ถูกเสียแล้ว เอาวะ ตรัยทำวิธีเดียวที่เขาทำได้ วิธีที่ใจปรารถนา

     

    ร่างบางระหงเกร็งนิดหนึ่ง เมื่อคนที่มาทั้งเครื่องแบบขยับชิด และเอื้อมมือมาโอบกอด หากแต่ก็ยอมใช้อกกว้าง ที่เพิ่งรู้ว่าอบอุ่นด้วยเป็นที่พึ่งพิงในที่สุด ตรัยโอบกอดหญิงสาวอันเป็นที่รักไว้ในอ้อมอกนิ่งๆ ไม่กอดแน่น ไม่ฉวยโอกาสใดๆ เช่นที่มักจะหาวิธีเล็กๆ น้อยๆ ทำ ชายหนุ่มไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เพราะพูดไม่เป็น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายร้องไห้เพราะอะไรด้วย

     

    ครู่หนึ่ง เสียงสะอื้นจึงสงบลง อภิรดีดึงตัวออกมาจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย ซับน้ำตาจนแห้งก่อนจะขยับออกห่าง

     

    ตรัยที่กำลังรู้สึกก้ำกึ่งระหว่างโล่งอกที่หญิงสาวที่รักไม่มีน้ำตาอีกแล้วกับเสียดายที่เวลาใกล้ชิดมีน้อยเกินไปถึงกับตัวแข็งทื่อ งุนงง ทำอะไรไม่ถูกเมื่ออภิรดีโน้มตัวก้มกราบลงบนตักของเขานิ่งๆ

     

    หนูดี ประหลาดใจ ไม่เข้าใจ

     

    ขอบคุณนะคะ น้ำเสียงนุ่มนวลบอกกล่าวความในใจ ขณะริมฝีปากสีชมพูเรื่อคลี่ออกแย้มยิ้มอ่อนหวาน ดวงตาช้ำนิดๆ ที่ดูเหมือนยังมีน้ำอยู่คลอคลองทอประกายความซาบซึ้ง

     

    ขอบคุณจริงๆ ค่ะพี่ตรัย

     

    คำคำนี้คงมีค่าน้อยกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ตรัยเพียรพยายามทำให้เธอมากนัก แต่เธอหาคำใดที่ตรงกับความรู้สึกมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ...ขอบคุณ

     

     

     

    ตรัยไม่เข้าใจอะไรเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่า หนูดีไม่สบายรึเปล่า ต้องการสื่ออะไรกับเขากันแน่ ถามว่าขอโทษทำไม ขอบคุณเรื่องอะไรก็ไม่ยอมบอก สุดท้าย เขาก็ได้แต่ทำตามที่เธอขอ

     

    พี่ตรัยช่วยรดีปลูกต้นไม้หน่อยได้ไหมคะ

     

    ต้นอะไรน่ะหนูดี ที่อภิรดีปลูกคือต้นไม้ ไม่ใช่ดอกไม้ หน้าที่ของตรัยเพียงเอาดินใส่กระถาง และขุดหลุมให้หญิงสาวหยอดเมล็ดลงไปเท่านั้น

     

    อโรชาค่ะ หมายถึงไม้ยืนต้นสูงใหญ่ชนิดหนึ่ง แผ่ร่มเงากว้างขวางและมีดอกใหญ่สีเหลืองสดใสขนาดเท่าฝ่ามือ ซ้ำยังมีกลิ่นหอมจัด

     

    หนูดีชอบดอกอโรชาหรือ ทำไมเขาไม่เคยรู้มาก่อนนะ ผิดพลาดไปจริงๆ ยังมีสิ่งที่เขาไม่รู้อีกมากมั้ยนะ

     

    ไม่ใช่หรอกค่ะ หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ รดีแค่อยากปลูกต้นไม้ต้นใหญ่ๆ

     

    ตรัยขมวดคิ้ว เย็นแล้ว แดดไม่ร้อน ทำไมหนูดีหน้าแดง หรือว่าจะมีไข้

     

    มีคนบอกว่าความรักของรดีเหมือนกับการปลูกต้นไม้ บังคับเสียงไม่ให้สั่น ไม่ให้ฟังดูขัดเขินก็ยากพออยู่แล้ว อย่าเต้นแรงมากนักได้ไหมนะหัวใจ แค่อยากจะมองสบตาของเขาตอนที่กำลังพูดอยู่ก็เท่านั้น

     

    ต้องอาศัยระยะเวลา ความรักของรดีเกิดจากความผูกพัน ค่อยๆ เพิ่มขึ้นและเหนียวแน่นขึ้นตามวันเวลา เหมือนการเติบโตของต้นไม้ใหญ่ รดีอาจจะโง่ อาจจะรู้สึกตัวช้าไปบ้าง อาจจะดื้อดึงไม่ยอมรับ แต่รดีก็แน่ใจว่ารดีคิดไม่ผิด คิดว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกคือรักจริงๆ

     

    ดวงหน้าสะอาดของตรัยปรากฏแววสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวงดวงตาสัตย์ซื่อมีรอยเจ็บปวด กระทั่งมือที่จับขอบกระถางต้นไม้ยังสั่นระริก เมื่อเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม ต่ำว่า

     

    ใคร

     

    คะ

     

    หนูดีรักใคร

     

    รัก...รักพี่ตรัยค่ะ เขินอายจนหน้าแดงไปถึงหู แต่ที่ตอบได้ คงเพราะกำลังงงด้วย

     

    แล้ว แล้ว เมื่อกี้บอกว่าผูกพัน ผูกพันกับใคร คนพูดมากติดอ่างกะทันหัน งงไปหมด ทว่าประโยคนั้นกระแทกหัวใจอย่างจัง รักพี่ตรัย มีตรัยไหนนอกเหนือจากเขาอีกไหมนะ

     

    รดีไม่เคยผูกพันกับใครนี่คะ นอกจากพี่ตรัย กำลังแกล้งกันอยู่รึเปล่านะพี่ตรัย ถึงจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แต่จะให้พูดหลายๆ ครั้งนี่ก็

     

    หนูดีรักพี่ รักแบบไหน แบบพี่ชาย หรือว่าแบบให้แม่พี่มาสู่ขอหนูดีแต่งงานได้ คราวนี้คำถามเร็วปรื๋อ

     

    รดีไม่แต่งกับคุณป้าหรอกค่ะอุตส่าห์ตอบทั้งที่เขินอายจะแย่อยู่แล้ว

     

    ไม่ใช่ พี่หมายถึงแต่งงานกับพี่ ว่ายังไงล่ะหนูดี รักพี่แบบไหน

     

    แบบ...แบบหลังค่ะ

     

    งั้นพี่ให้แม่พี่มาขอหนูดีนะ

     

    คราวนี้อภิรดีไม่ตอบแล้ว ได้แต่พยักหน้าลงน้อยๆ ทั้งที่สีหน้าตื่นเต้น ดวงตาเบิกกว้างและเป็นประกายอย่างดีใจแบบนั้นของตรัย เธอก็เคยเห็นอยู่บ่อยๆ แต่ทำไมวันนี้จึงไม่กล้ามองสบ อาจเพราะ ดวงหน้าสะอาดที่ขึ้นสีเรื่อด้วยอารมณ์ภายในนั้นอยู่ห่างออกไปไม่มากก็เป็นได้

     

    หัวใจของตรัยเต้นแรงจนเกือบจะโลดออกมาข้างนอกอยู่แล้ว คงจะเป็นอย่างนั้นแน่ๆ หากไม่ได้ทำอะไรเสียบ้าง ชายหนุ่มอ้าแขนคว้าตัวหญิงสาวในดวงใจมากอดเอาไว้อย่างแนบแน่น อภิรดีเจ็บเพราะแรงกอดของผู้ชายตัวโต หากแต่เธอก็เข้าใจ ตรัยกอดไว้ไม่นานก็ดึงตัวหญิงสาวออก

     

    พี่ขออนุญาต

     

    กอดไปแล้ว เพิ่งจะมาขอเนี่ยนะ อภิรดีคิดอย่างขันๆ

     

    พี่ขออนุญาตนะ หนูดี บางสิ่งบางอย่างอัดแน่นอยู่ในอกจนใกล้จะระเบิดอยู่แล้ว

     

    ค่ะ

     

    สิ้นคำอนุญาต ตรัยก็ลุกขึ้นยืนและออกวิ่งเต็มฝีเท้าไปทางตัวบ้าน สลับกระโดดโลดเต้น สองมือกำแน่น ยกขึ้นชกอากาศเหนือศีรษะไปมาราวกับเด็กๆ ปากร้องตะโกนไม่หยุด

     

    ยะฮู้! เฮ้ย! นล หนูดีรับรักฉันแล้ว วู้! คุณป้าครับ หนูดีรับรักผมแล้วครับ เย็นนี้ผมพาพ่อแม่มาสู่ขอหนูดีจากคุณลุงคุณป้านะครับ เฮ้ย! นล...นล หนูดีรักฉันว่ะ

     

    หนูดีมองตามไปอย่างอึ้งๆ ถึงกับสะดุ้งตอนที่ชายหนุ่มบอกว่าจะพาพ่อแม่มาสู่ขอเย็นนี้ คนดีใจจนลืมตัว ลืมอาย หายไปจากสายตานานแล้ว หากแต่อภิรดียังคงมองอยู่อย่างนั้นด้วยหัวใจที่เต็มตื้น อิ่มเอิบอย่างประหลาด

     

    ผู้ชายคนนี้ น่ารักทำไมนะ เธอจึงไม่รู้ตัวก่อนหน้านี้ว่ารัก จนเต็มหัวใจเช่นเดียวกัน

     

                                                    *******************************

     

    เพราะว่าที่เจ้าบ่าวเร่งรัดทุกวี่ทุกวัน งานแต่งงานระหว่างอภิรดีและตรัยถึงถูกจัดขึ้นในหนึ่งเดือนต่อมา งานนี้เป็นงานใหญ่ไม่น้อย เพราะเจ้าหลวงและรานีเสด็จมาเป็นองค์ประธาน บิดาของทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวต่างก็เป็นข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ และพี่ชายทั้งสามของตรัยก็เป็นนายทหารระดับสูง แขกเหรื่อมากมาย เจ้าบ่าวและเจ้าสาวเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย

     

    ตรัยหน้าบาน ยิ้มแย้มอารมณ์ดีตลอดวัน รอยยิ้มกว้างขวางนั้นแทบจะหุบไม่ลงเลยสักนาทีเดียว ทว่าสายตาเขียวปั้ดได้ทันทีที่เห็นใครเข้าใกล้เจ้าสาวของเขาเกินจำเป็น บรรดาลูกน้องในกองยิ่งทักทายได้แค่คำว่าขอแสดงความยินดี แม้แต่วิษณุยังถูกเขม่นว่า ปกติไม่ใช่คนพูดมากขนาดนี้ไม่ใช่หรือ ทั้งที่คุยกับอภิรดีไปแค่สามประโยค

     

    ส่วนอภิรดี หญิงสาวยังคงรู้สึกเจ็บแปลบอยู่บ้าง เมื่อเห็นเจ้าหลวงประทับเคียงคู่รานี ทว่าความรู้สึกนั้นหายไป ราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เมื่อเห็นรอยยิ้มอารมณ์ดีของคนข้างตัว รอยยิ้มนั้นเป็นราวกับสายลมอบอุ่น เยียวยารักษาและให้ความอุ่นสบาย ความเจ็บปวดทั้งหลายจะมลายหายไป ความสุขทั้งปวงอันพึงมีนับจากนี้จะได้รับการปกป้องไว้ ในอุ้งมือใหญ่ของคนที่กุมมือเธอไว้ตลอดเวลา

     

    วันนี้...เธอมีคนของเธอเองแล้ว

     

                                                                  ****************

     

    ตรัยกำลังยืนงงอยู่หน้าห้อง งงว่าเขามายืนอยู่ตรงนี้ได้ยังไง

     

    รู้สึกเหมือนว่าใครสักคนจะทรยศเขาใช่ไหม ใครสักคนในกองเขานี่แหละ ที่บอกอภิรดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ตลาดเช้าวันนั้นเป็นการสร้างสถานการณ์ แถมซ้ำร้าย ภัคคินียังเฉลยเรื่องที่เขาแกล้งเล่นละครให้หึงหวงอีก แล้วยังไงนะ หนูดีโกรธเลยไล่เขาออกมานอกห้องหอใช่ไหม

     

    เหมือนฟ้าผ่าลงมาตรงหน้า ไม่จริงใช่ไหม นี่มันวันแต่งงาน เขารอคอยวันนี้มาตลอดชีวิตเชียวนะ

     

     

     

    อภิรดีนั่งแปรงผมอยู่หน้ากระจกในห้องนอน เธอทำเกินไปไหมนะ ไม่เคยทำอะไรที่โหดร้าย แล้งน้ำใจอย่างนี้มาก่อนเลย แต่เธอกลัวจริงๆ ไม่ใช่กลัวพี่ตรัย ไม่ได้กลัวว่าเขาจะทำอะไรหยาบคาย แต่กลัว...ก็กลัวพี่ตรัยนั่นแหละ แค่คิดว่าต้องอยู่ในห้องกันตามลำพัง หัวใจก็หวิวๆ มือไม้อ่อนไปหมด

     

    เธออายนี่นา แล้วเจ้าหญิงอรอุมารังษีก็ทรงแนะนำวิธีนี้มา

     

     

     

    ไม่จริงน่า หนูดีต้องไม่โกรธด้วยเรื่องแค่นี้แน่ เรื่องสร้างสถานการณ์นั่นเขาทำออกบ่อย หนูดีไม่เห็นจะว่าอะไร ส่วนเรื่องภัคคินี ก็น่าจะคุยกันเข้าใจแล้วนี่นา

     

    อาย...หนูดีต้องอายแน่ๆ ไม่ได้การ คืนนี้เขาไม่ยอมนอนข้างนอกหรือนอนห้องอื่นเด็ดขาด

     

     

     

    เธอทำเกินไปไหมนะ ให้พี่ตรัยไปนอนที่อื่นทั้งที่คืนนี้เป็นคืนแต่งงาน เธอไม่ควรทำอย่างนี้ใช่ไหม ไม่เป็นผู้ใหญ่เลย ถ้าพูดตรงๆ คุยกันดีๆ พี่ตรัยก็คงเข้าใจ เขาเข้าใจเธอเสมอมาและไม่เคยหักหาญหรือบังคับใจเธอสักที

     

    อภิรดีสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะตัดสินใจเดินไปเปิดประตู นอกห้องมีเพียงความว่างเปล่า ตรัยไม่อยู่แล้ว หรือจะไปนอนห้องอื่น จะตามไปหาก็ไม่สมควรใช่ไหม เผื่อใครเห็นเข้าจะดูไม่ดี

     

    หญิงสาวปิดประตูกลับด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็คงกลับมา เพราะเธอไม่ได้ลงกลอนประตู

     

    นั่งรออยู่นาน ชายหนุ่มก็ยังไม่กลับมา อภิรดีตัดสินใจเข้านอนด้วยหัวใจหนักอึ้ง น้ำตาซึมออกมาตรงปลายหางตาจนเปียกหมอน ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เธอจะขอโทษ แล้วจะยอมให้พี่ตรัยลงโทษยังไงก็ได้

     

     

     

    ดึกแล้ว เจ้าสาวคืนแรกที่นอนอยู่ลำพังบนเตียงนุ่มและกว้างใหญ่สะดุ้งตื่นเพราะเสียงก็อกแก็กน่าสงสัย ความกลัวจับจิตทำให้หัวใจเต้นระส่ำ อภิรดีลุกขึ้นนั่งฟังที่มาของเสียง

     

    เสียงมาจากหน้าต่าง หรือจะเป็นเสียงลมปะทะก่อนฝนจะตก ไม่น่าจะใช่ เพราะดังอยู่บานเดียว จิตใจของหญิงสาวสงบลงบ้าง เมื่อเสียงแปลกประหลาดเงียบไป ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อเสียงนั้นดังขึ้นอีก จะเรียกใครมาดูดีไหม ไม่ดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้ว

     

    หญิงสาวพยายามปลุกปลอบใจตัวเองว่าคิดไปเอง ไม่มีอะไรทั้งนั้น แค่เสียงลมปะทะหน้าต่าง พยายามทำใจกล้า เดินเข้าไปใกล้หน้าต่างเจ้าปัญหา

     

    แค่เปิดหน้าต่างออกดูก็จะรู้ว่าไม่มีอะไร...ไม่มีอะไร

     

    หน้าต่างบานนั้นถูกเปิดออก...โดยมือของใครก็ไม่รู้ที่ไม่ใช่ของเธอ ฟ้าแลบแปลบปลาบก่อนฝนตกทำให้เห็นเงาทะมึนของคนที่เกาะอยู่ตรงหน้าต่าง

     

    กรี๊ดดดดดดดดด....

     

                                                                  *******************

     

    วันนี้ตรัยไม่ได้ไปทำงานเพราะไม่สบาย วิษณุจึงมาเยี่ยมที่บ้าน ผู้บัญชาการทหารหนุ่มพบว่า อาการของผู้เป็นเพื่อนหนักกว่าที่คิด ตรัยไม่ได้ไม่สบาย แต่บาดเจ็บ

     

    นายทหารหนุ่มมีผ้าพันแผลสีขาวพันรอบศีรษะ แขนข้างหนึ่งเข้าเฝือก มีผ้าคล้องไว้กับคอ ดวงหน้าสะอาดมีรอยกิ่งไม้ข่วน ข้อเท้าแพลง และมีรอยถลอกตามขาหลายแห่ง สีหน้าของชายหนุ่มบึ้งสนิทเมื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เพื่อนฟัง

     

    ถ้าร้องเฉยๆ ก็คงดีหรอก ถึงจะตกใจแต่ฉันคงยังจับขอบหน้าต่างไว้ได้ นี่เล่นคว้าแจกันบนโต๊ะข้างๆ มาฟาดหัวฉันเต็มแรง ดีที่มีต้นไม้รับ ไม่งั้นฉันพิการแน่...นายเป็นอะไร

     

    ประโยคสุดท้ายถามเมื่อเห็นสีหน้าแปลกๆ ของคนเป็นเพื่อน วิษณุหันหน้าไปทางอื่น ปากเม้มสนิท สีหน้าเหมือนกำลังพยายามอดกลั้น

     

    เปล่า...หึ...ไม่มีอะไร...หึหึ... สุดท้าย กลั้นไม่อยู่ วิษณุหัวเราะออกมาเต็มเสียง ก่อนเบี่ยงตัวหลบเท้าเพื่อนได้อย่างหวุดหวิด ตรัยสบถเสียงดังอย่างหงุดหงิด

     

    ไอ้... แทนที่จะเห็นใจ มาหัวเราะเยาะกันได้

     

    อย่างไรก็ตาม เจ้าบ่าวหมาดๆ ก็ดูมีความสุขดี เวลาที่ได้อ้อนภรรยาว่าเจ็บโน่นเจ็บนี่ เจ็บไปทั้งตัว และได้กอดปลอบเมื่อหญิงสาวหน้าเศร้า คิดว่าตัวเองเป็นคนผิดอยู่ไม่คลาย

     

                                                                  ********************

     

    สามวันต่อมา ตึกบัญชาการทหาร

     

    ผู้บังคับการกองสรรพาวุธขอพบครับ นายทหารหน้าห้องเข้ามาบอก วิษณุเงยหน้าจากแผนที่ขึ้นตอบเรียบๆ

     

    เชิญ

     

    ผู้ได้รับอนุญาตก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่รอช้า และทันทีที่นายทหารหนุ่มออกไปและปิดประตูห้องทำงานลง ตรัยก็ระบายความอัดอั้นออกมาอย่างไม่เกรงใจ

     

    ฉันทนไม่ไหวแล้วนะวิษณุ

     

    คนถูกเรียกชื่อปักหมุดลงไปบนแผนที่ผืนใหญ่บนโต๊ะแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน คนมีปัญหาคับอกบ่นออกมาโดยไม่ต้องรอให้ถามอีกเช่นเคย

     

    หนูดีเอาแต่บ่ายเบี่ยงเพราะเรื่องแขนหักจิ๊บจ๊อยของฉัน แต่ฉันอยากเข้าห้องหอกับหนูดีใจจะขาดอยู่แล้วนะโว้ย นายช่วยคิดวิธีหน่อยสิ

     

    ...หนทางยังอีกยาวไกล...

     

                                              *******************

     

    จบตอนพิเศษ 3

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×