ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักต้องห้าม (ภาคอรอุมารังษี) (ลบแล้วค่ะ)

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนพิเศษ 4 (ภาคอรอุมารังษี) : อนล+ภรณี

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.63K
      5
      2 ธ.ค. 49

    รักต้องห้าม (ภาคอรอุมารังษี)

    ตอนพิเศษ 5 : อนล + ภรณี

    โรซาน่า.

                    เมื่อหกปีก่อน ความทุกข์ของเสนาบดีเกษตรแห่งแคว้นสวราชย์ คือการที่ท่านต้องสูญเสียบุตรชายไปถึงสองคนในคราวเดียวกัน ความสูญเสีย ที่ไม่ได้เกิดจากความตายอันเป็นธรรมดาโลก

    สูญเสียบุตรชายคนรอง ทั้งที่ไม่แน่ใจว่าท่านเคย 'มี' บุตรชายคนนี้จริงหรือไม่

    สูญเสียบุตรชายคนเล็กให้กับ 'ความยุติธรรม' ของกฎหมาย

    สิ่งที่ได้รับมาพร้อมกับการสูญเสียในคราวนั้น คือสะใภ้และหลานสาวที่น่ารัก

    เมื่อสี่ปีก่อน ท่านสูญเสียภรรยาไปกับอุบัติเหตุรถม้าตกเขา แม้เป็นภรรยาที่ท่านไม่ได้รัก แต่ก็เป็นภรรยาที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับท่านมาสามสิบกว่าปี

    หนึ่งปีก่อน ท่านได้บุตรชายคนเล็กกลับคืนมา การกลับมาและการเปลี่ยนแปลงของบุตรชายคนนี้ทำให้ท่านภาคภูมิใจในตัวเขาเป็นครั้งแรก

    มาบัดนี้ ความทุกข์ใจกลับมาเยือนท่านอีกครั้ง เป็นความทุกข์ ที่เกิดจากบุตรสาวคนโต

    ภรณีรักวิษณุ บุตรสาวคนโตของท่านรักบุตรชายคนรองของท่าน เรื่องนี้ท่านทราบมานานแล้ว แต่นั่นเป็นเรื่องในอดีต ไม่ว่าบัดนี้ภรณีจะยังรักวิษณุอยู่หรือไม่ไม่ใช่ปัญหา และคงไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดใดขึ้น เพราะวิษณุแต่งงานแล้ว เจ้าหญิงอรอุมารังษีทรงเป็นพระขนิษฐาที่เจ้าหลวงทรงรักยิ่ง ที่สำคัญที่สุด คือภรณีไม่มีวันทำผิดศีลธรรม จะไม่ลักลอบคบกับน้องชายต่างแม่ของตน และยิ่งไม่ใช่คนที่จะทำลายครอบครัวของคนอื่น

    ความสัมพันธ์ระหว่างภรณีกับอนล บุตรชายคนโตของเสนาบดีมหาดไทยต่างหากที่ทำให้ท่านกังวล สองคนนี้รู้จักและคบหาเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว นานเกือบสิบปี แต่ไม่มีวี่แววว่าจะแต่งงานกัน ไม่ใช่ว่าท่านไม่ต้องการให้บุตรีมีเพื่อนผู้ชาย แต่ความสัมพันธ์ การกระทำ สิ่งที่ทั้งสองคนปฏิบัติต่อกันนั้น ดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เพื่อนปฏิบัติต่อกัน

    อนลเป็นนายทหารที่มีอนาคตรุ่งโรจน์ ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เป็นชายหนุ่มรูปงาม อัธยาศัยดี และมีคุณสมบัติครบถ้วนอย่างที่หญิงสาวควรจะพึงใจ แน่นอนว่าย่อมมีหญิงสาวมากมายทอดไมตรีให้ หากแต่กิจวัตรประจำวันของชายหนุ่มก็คือ ทำงานแล้วก็กลับบ้าน ตอนเย็นหลังเลิกงาน สามในห้าวันเขาจะมาเยี่ยมเยียน ถามไถ่เรื่องสุขภาพของภรณี อยู่คุยกับภวิศและเจ้าหญิงชโลธรา เล่นกับ 'หนูเล็ก' อีกครู่หนึ่งแล้วจึงกลับบ้าน หากเป็นวันหยุด บางครั้งชายหนุ่มต้องไปทำงาน จัดการงานด่วน หรือไปราชการที่อื่น หากไม่ได้ไปไหน เขาก็จะมา 'บ้านเพื่อน' เพื่อพูดคุย เล่าเรื่องชีวิตประจำวัน ปัญหา ความเป็นไปต่างๆ ในที่ทำงานให้ภรณีฟัง ช่วยเธอปลูกต้นไม้ ทำอาหาร ทำขนม หรือไม่ก็ไปจ่ายตลาด บ่อยครั้งทีเดียวที่หากภรณีสุขภาพแข็งแรงพอ ชายหนุ่มจะขออนุญาตท่านพาเธอออกไปเที่ยวข้างนอก บางครั้งก็ชวนครอบครัวของภวิศไปด้วย เป็นเช่นนี้มานานแล้ว

    ส่วนภรณี บุตรีของท่านดูจะมีความสุขดีทุกครั้งที่อนลมาหา มาพูดคุยถามไถ่อาการ หรือพาไปเที่ยว โรคร้ายที่ทำให้คนป่วยไม่น่าจะมีอายุยืนยาวไปได้เกินห้าปี ไม่ได้ทำให้ภรณีเสียชีวิตเมื่อห้าปีผ่านไปแล้ว นอกจากเพราะยาดีจากหมอต่างแคว้นที่อนลอุตส่าห์ไปพามารักษาเธอด้วยตัวเองแล้ว ท่านคิดว่าตัวของชายหนุ่มเองก็เป็น 'ยา' ด้วย สุขภาพกายของภรณียังคงดีอยู่ ไม่ทรุดลงอย่างรวดเร็วก็เพราะมีสุขภาพใจดี

    แล้ว 'ยา' ที่ดีที่สุด ไม่ได้เรียกว่า 'ความรัก' หรอกหรือ

    "ลูกกับอนลไม่คิดจะแต่งงานกันหรือ" เสนาบดีเกษตรเคยถามผู้เป็นบุตรีอย่างนี้

    "ทำไมณีจะต้องแต่งงานกับนลด้วยล่ะคะ" ภรณีถามกลับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ น้ำเสียงกึ่งฉงนกึ่งขำขัน

    "ลูกกับเขาไม่ได้รักกันหรอกหรือ"

    "อะไรทำให้คุณพ่อคิดอย่างนั้นคะ"

    "การกระทำระหว่างลูกกับเขา ไม่ว่าใครมองเห็นก็ต้องคิดอย่างที่พ่อคิด"

    "ถ้าเป็นแค่เพื่อนกัน ทำให้กันอย่างนี้ไม่ได้หรือคะ" ลูกสาวของท่านฉลาด ที่ตั้งแต่คุยกันมายังไม่ได้ตอบอะไรออกมาเลย ทุกคำพูดออกมาในรูปของคำถาม

    "ก็ได้อยู่หรอกลูก แต่ถ้าลูกกับเขารักกัน แต่งงานกันไปไม่ดีกว่าหรือ ไปมาหาสู่กันอย่างนี้มานานหลายปีแล้ว คนอื่นที่รู้เห็นเขาจะมองว่ามันไม่ดี คนเราอยู่ในสังคม จำเป็นต้องสนใจสายตาคนอื่นด้วย"

    "ณีไม่ได้ทำอะไรเสียหายนี่คะคุณพ่อ ไม่ได้ทำอะไรไม่เหมาะสมเลยสักอย่างเดียว นลก็เหมือนกัน"

    "แล้วเขาไม่เคยพูดเรื่องแต่งงานกับลูกเลยหรือ"

    "ไม่เคยหรอกค่ะ" ภรณีตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ อีกเช่นเคย ผู้เป็นบิดาจึงจำต้องเปลี่ยนไปถามฝ่ายชายหนุ่มแทน

    "เธอรักลูกสาวฉันไหม" เสนาบดีสูงวัยถามไม่อ้อมค้อม

    "กระผมกับคุณณีเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันขอรับ" อนลตอบด้วยรอยยิ้มนิดๆเช่นเดียวกับภรณี ทว่าทั้งสีหน้าและแววตาเปี่ยมด้วยความจริงใจอย่างที่สุด

    "มีคนที่รักอยู่แล้วหรือยังไง"

    "ไม่มีขอรับ" คำตอบรับราบเรียบ ไม่มีแม้แต่อาการลังเล

    "แล้วไม่คิดจะแต่งงานกับภรณีบ้างเลยหรือ" หน้าที่ความเป็นพ่อทำให้ท่านต้องถามอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้

    "ถ้าท่านเห็นสมควรว่าควรจะแต่ง และคุณณีเองก็เห็นชอบ กระผมก็พร้อมเสมอขอรับ" ไม่มีการอ้างถึงความรัก ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อยนิด แต่ชายหนุ่มก็ตอบด้วยความสุภาพและหนักแน่น

    ครั้นเมื่อเสนาบดีเกษตรถามความเห็นผู้เป็นบุตรีของท่านอีกครั้ง ภรณีก็ถามกลับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ว่า

    "คุณพ่ออายที่จะมีลูกสาวเป็นสาวทึนทึก ไม่ได้แต่งงานหรือคะ"

    "ไม่ใช่หรอกลูก"

    เท่านั้น เสนาบดีสูงวัยก็อับจนถ้อยคำ ไม่รู้จะพูดโน้มน้าวอย่างไรต่อไปดี ได้แต่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ฉัน 'เพื่อน' นี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ว่าจะมองครั้งใด ก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์นั้นน่าจะเกินเลยความเป็นเพื่อนไปมากแล้ว หนุ่มสาวสมัยนี้คิดอะไรกันอยู่ ท่านคงพ้นวัยที่จะรับรู้และเข้าใจได้ไปเสียแล้ว

                                                                    *******************

    เรื่องการแต่งงานนี้ สองหนุ่มสาวก็เคยพูดคุยกันในบ่ายวันหนึ่ง ขณะนั่งเล่นอยู่บนโขดหินกลางลำธารในป่าแห่งหนึ่ง ภวิศ เจ้าหญิงชโลธรา และ 'หนูเล็ก' นั่งเผาปลาที่อนลและภวิศเพิ่งจับขึ้นมาได้อยู่ห่างออกไปไม่มาก

    "คุณพ่อเคยพูดเรื่องแต่งงานกับคุณรึเปล่าคะ" ภรณีเอ่ยถามขณะบิดผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้หมาดพอประมาณ และใช้เช็ดตามใบหน้าและลำคอ

    "ครับ" อนลรับคำสั้นๆ ขณะกำลังพับขากางเกงขึ้นมาถึงเข่า ทั้งที่มันเปียกจนชุ่มโชกไปหมดแล้ว

    "แล้วคุณตอบว่ายังไงคะ"

    "ถ้าคุณพร้อม ผมก็พร้อมครับ" ชายหนุ่มมองสบตาหญิงสาวแล้วก็ยิ้มให้อย่างอบอุ่น ภรณียิ้มตอบ

    "ขอบคุณค่ะ แต่ฉันอยากจะถาม"

    "ถามสิครับ"

    "ความสัมพันธ์ของเรา 'เวลา'ที่คุณให้ฉัน ไม่ได้ทำให้คุณสูญเสียโอกาสหรืออะไรในชีวิตใช่ไหมคะ"

    "ไม่หรอกครับ หรือหากผมจะเสียอะไรไป ผมก็สูญเสียอย่างเต็มใจ" อนลยิ้มนิดๆ อีกเช่นเคย

    "คุณรักฉันไหมคะ" หญิงสาวตัดสินใจถาม

    "คุณล่ะครับ" ชายหนุ่มถามกลับ

    "สำคัญ จำเป็นต้องรู้หรือคะ"

    "สำคัญ แต่ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับ" ชายหนุ่มตอบกลับเรียบๆ ง่ายๆ

    สองหนุ่มสาวมองตากันเนิ่นนาน มองแค่ตา แต่รู้สึกราวกับว่าสามารถเห็นลึกเข้าไปถึงหัวใจของกันและกัน อนลและภรณีคลี่ริมฝีปากออก แย้มยิ้มให้แก่กัน เป็นยิ้มที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งที่มุมปาก ดวงตา และหัวใจ

    สิ่งที่คนเราปรารถนาจะได้รับจากความรักก็คือความสุข จำเป็นต้องรู้ไปไย ว่ารักกันหรือไม่ ในเมื่อเวลานี้ เวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นมีความสุขมากพอแล้ว

    อนลเคยถามตัวเอง ว่าเขารักภรณีหรือไม่ แต่ไม่เคยหาคำตอบให้ตัวเองได้ และเลิกหาไปนานแล้ว 'ความสัมพันธ์'นี้แม้ไม่มีชื่อเรียกขาน และไร้ซึ่งคำจำกัดความ มันก็สามารถงดงามได้ หากความรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ ปรารถนาจะปกป้องจากอันตราย และปัดเป่าความทุกข์กายทุกข์ใจของอีกฝ่ายให้ลับหายไปนี้เรียกว่าความรัก เขาก็ไม่คิดว่าการแต่งงานเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องเกิดตามมา เขาสามารถทำทุกอย่างเพื่อเธอได้ โดยไม่ต้องมีหน้าที่หรือสัญญาใดๆเป็นตัวกำหนด

    ภรณีเคยถามตัวเองเช่นกัน ว่าเธอรักอนลหรือไม่ คำตอบเบื้องต้นคือรัก เพราะรักมีหลายรูปแบบ หลายระดับ เช่นเดียวกับหากบอกว่า 'ไม่รัก' นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า 'เกลียด' เธอรักอนล เพราะเขาคือเพื่อนที่ดีที่สุด หากเธอไม่รักคนเช่นนี้ หัวใจของเธอคงตายด้าน แต่หากถามว่ารักดุจเดียวกับที่รักวิษณุหรือไม่ เธอไม่ปรารถนาจะเปรียบเทียบ

    ทั้งความรัก และคนที่เธอรักควรได้รับการให้เกียรติ ไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน

    เธอรักวิษณุ ความรักนั้นไม่จืดจางหรือเปลี่ยนแปลง แต่หยุดลง ณ.จุดจุดนั้นตลอดกาล นับตั้งแต่วันนั้นวันที่วิษณุหันหลังให้แล้วเดินจากไป เธอตอบไม่ได้ว่า 'ยังรัก' วิษณุอยู่หรือไม่ และไม่อยากใช้คำว่า 'เคยรัก' ด้วย สำหรับเธอ รักก็คือรัก มีแค่คำว่า 'รัก' เท่านั้น ไม่มีอะไรอื่นนำหน้าอีก

    เธอไม่เคยคิดจะแต่งงานกับอนล เหตุผลอาจเป็นเพราะวิษณุ หรือบางทีอาจเพราะไม่อยากให้อนลต้องมาเสียเวลา เสียความเป็นชายหนุ่มเนื้อหอมที่ยังโสดให้กับคนอ่อนแอขี้โรคอย่างเธอ แต่ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นเหตุผลที่คลุมเครือ ความจริงที่ไม่มีอะไรจริงแท้ยิ่งไปกว่านี้ก็คือ

    เธอมีความสุขที่ได้อยู่กับอนลอย่างนี้ แม้จะไม่ได้แต่งงานกับเขา

    "ป้าณี ลุงนลคะ มากินปลากันเถอะค่ะ ปลาสุกแล้ว"

    เสียงเรียกจากเด็กหญิงตัวเล็กทำให้คนถูกเรียกหันกลับไปมอง สองคนยิ้มให้หลานสาว ก่อนภรณีจะเป็นฝ่ายตอบกลับไปว่า

    "ไปเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ"

    สองคนล้างมือในลำธาร ภรณีลุกขึ้นยืนก่อน และเดินนำไป ก้อนหินใต้ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเรียบลื่น หญิงสาวไม่ทันระวังจึงลื่น ตัวเอนมาทางข้างหลังแต่ไม่ล้มลงบนท้องธาร เพราะอนลที่มองอยู่ใช้สองแขนรองรับและช้อนตัวของหญิงสาวขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนได้ทัน สองคนหัวใจเต้นตึกตักดังระรัวเมื่อมองสบตากัน คนหนึ่งก้มลงมอง อีกคนเงยขึ้นมอง แต่ไม่มีใครหัวใจเต้นผิดจังหวะเพราะความรู้สึกหวามไหว ทั้งหมดเป็นเพียงความตกใจเท่านั้น ครู่หนึ่ง อนลจึงยกริมฝีปากขึ้นแย้มยิ้ม พูดอย่างยั่วล้อว่า

    "ซุ่มซ่ามจัง ระวังหน่อยสิครับสาวน้อย...ผมเป็นห่วงนะ"

    ภรณีเผยอยิ้มนิดๆ อย่างขำขัน ก่อนจะตอบอย่างล้อเลียนว่า

    "ทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านผู้พัน"

    สองคนมองหน้า สบตา แล้วก็หัวเราะให้กันอย่างแผ่วเบา พลิ้วไหวไปกับเสียงใบไม้ที่เสียดสีกันเบาๆ เพราะแรงลมรำเพย สายลมคงพัดพาบางสิ่งบางอย่างไป...แต่บางสิ่งบางอย่างนั้นคงมิใช่ความสุข

                                                                    *******************

    ความสัมพันธ์ระหว่างอนลกับภรณีดำเนินไปเช่นนี้เรื่อยมา สองคนล้วนไม่นำพากับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของใครอื่น ความสุขที่ไม่ได้เกิดจากการทำผิดศีลธรรม หรือกระทำการใดไม่เหมาะสม ไม่ควรต้องเลือนหายเพราะสายตาหรือวาจาของบุคคลภายนอก

    วันนี้ภรณีนอนตื่นสาย เพราะรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง ไร้เรี่ยวแรง เจ้าหญิงชโลธรารับสั่งให้สาวใช้ทำอาหารอ่อนๆ มาให้ทาน และต้มยามาให้ดื่ม หญิงสาวจึงหลับไปและตื่นขึ้นอีกทีตอนบ่าย คุณหนูบ้านเสนาบดีเกษตรทานอาหารกลางวันแล้วจึงเข้าครัวทำขนม แม้เจ้าหญิงชโลธราจะรับสั่งให้ไปพักผ่อนก็ไม่ยอม เพราะสัญญากับนายทหารหนุ่ม บุตรชายเสนาบดีมหาดไทยไว้ว่าจะทำให้ลองชิมวันนี้

    ภรณีไม่ได้ฝืนใช้ร่างกายมากเกินไป แต่อาการปวดในช่องท้องอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้น รวดเร็วและรุนแรงจนหมดสติล้มพับลงกับพื้น ขมับข้างขวากระแทกกับเก้าอี้จนเลือดรินไหลออกมาราวกับน้ำ

    อนลตกใจมากเมื่อรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความห่วงใยอย่างลึกซึ้งฉายออกมาทางสีหน้าและแววตา เมื่อยืนอยู่ข้างเตียงของหญิงสาว แล้วเห็นสีหน้าซีดเซียวและผ้าพันแผลสีขาวที่อยู่ตรงขมับ

    "ณี..."

    "ฉันไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ ไม่เจ็บแล้ว" ภรณีชิงพูดขึ้นก่อน ริมฝีปากสีชมพูอ่อนจางเกือบขาวแย้มออกน้อยๆ อย่างหวังจะให้อีกฝ่ายคลายกังวล "ไม่เป็นไร แต่มีเรื่องจะขอร้อง"

    "อะไรหรือ" ไม่ว่าต้องการอะไร แม้แต่จะเป็นดาวหรือเดือนเขาก็ยินดีจะไปหามาให้

    "พาไปเที่ยวหน่อยได้ไหมคะ ไปที่ไหนก็ได้ ที่ที่จะมีแค่เรา"

                                                                    ******************

    มืดค่ำแล้ว แต่รถม้าคันหนึ่งยังคงมุ่งหน้าสู่สวนดอกไม้แถบชานเมือง สารถีทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม โดยการบังคับม้าให้ห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็วและนุ่มนวลในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มในรถม้าโอบร่างบอบบางของหญิงสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ทั้งชุดไว้ในอ้อมกอดตลอดเวลา

    สารถีควบขับรถม้ากลับไปแล้ว หนุ่มสาวสองคนในรถม้าเมื่อครู่ เวลานี้นั่งชมจันทร์กันอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้านพักหลังเล็กกลางสวนดอกไม้กว้างใหญ่

    คืนนี้เป็นคืนต้นฤดูหนาว อากาศยามค่ำคืนค่อนข้างหนาวเย็น แต่ภรณียังคงดึงดันที่จะออกมานั่งชมจันทร์ข้างนอก อนลจึงจัดให้หญิงสาวนั่งกึ่งนอนลงบนเก้าอี้หวายสานที่มีเบาะนุ่มๆ รอง หอบผ้าห่มออกมาคลี่ห่มลงบนตัวให้ ดึงขึ้นไปจนจรดปลายคางของเธออย่างนุ่มนวล ส่วนตัวเองนั่งลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆ

    สายลมต้นฤดูหนาวพัดแผ่วพลิ้ว กลิ่นดอกไม้ทั้งสวนหอมอบอวล ขจรขจาย หอมหวานชวนชื่นใจ แสงจันทร์นวลกลางโพยมสาดส่องลงมาลูบไล้กลีบนุ่มบางของดอกไม้กลางคืนอย่างนุ่มนวล เสียงจักจั่นเรไรกรีดปีกบรรเลงเป็นท่วงทำนองเพลงอันไพเราะ...บทเพลงแห่งธรรมชาติ

    ภรณียื่นมือออกมานอกผ้าห่ม วางไว้บนเท้าแขนแล้วก็เอียงหน้าไปมองคนนั่งเคียงข้าง อนลมองตาของคนเป็นเพื่อนครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มและยื่นมือของตนไปกอบกุมมือขาวบางของเธอเอาไว้ ถ่ายทอดไออุ่นให้มือเย็นเฉียบนั้นด้วยการลูบไล้ไปมาเบาๆ ตลอดเวลา

    "เล่าอะไรให้ฟังหน่อยสิคะ อะไรก็ได้"

    "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..."

    "ไม่เอาอย่างนี้สิคะ ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะคะ" น้ำเสียงของหญิงสาวกระเง้ากระงอดนิดๆ ริมฝีปากโค้งลง ดวงตามีแววตัดพ้อระคนรื่นรมย์ เธอไม่เคยทำกิริยาอย่างนี้กับผู้ชายคนใดเลยนอกจากผู้เป็นบิดาและ...ผู้ชายที่อยู่เคียงข้างในเวลานี้

    ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะถามว่า

    "ผมเคยเล่าเรื่องพิธีแต่งงานของชนเผ่าทางเหนือของนิมมานให้ฟังไหม"

    "ไม่เคยค่ะ"

    อนลมองสีหน้าสนใจ และแววตากระตือรือร้นของหญิงสาวด้วยความพึงพอใจ เล่าว่า

    "ตอนตามท่านทูตทหารไปราชการที่นิมมาน ผมได้เข้าไปในเผ่าเล็กๆ ที่นั่น พักอยู่สามวัน เห็นวัฒนธรรมแล้วก็อาหารการกินแปลกๆ หลายอย่าง อย่างหนึ่งที่แปลกมากคงเป็นพิธีแต่งงาน แต่จะเรียกว่าพิธีคงเรียกได้ไม่เต็มปาก เพราะมันเป็นแค่การจูบกันเท่านั้น คนที่รักกันและตกลงใจจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจะรอคอยวันพระจันทร์เต็มดวง รอคอยเวลาที่มีเมฆมาบังจันทร์ และจะเริ่มจูบกันตั้งแต่ตอนนั้น จนกว่าเมฆที่บังจันทร์จะลอยผ่านไป"

    "แค่นี้น่ะหรือคะ" ภรณีถามอย่างฉงน

    "ครับ...แค่นี้ แปลก แต่น่ารักและมีความหมาย เป็นความหมายว่า เต็มใจจะร่วมทุกข์ร่วมสุข จะผ่านทุกคืนวันนับจากนั้นไปด้วยกัน ไม่ว่าจะสบายดีหรือเจ็บไข้ แม้ว่าชีวิตจะมืดมนก็จะทนฟันฝ่าไปจนกว่าแสงสว่างจะมาเยือนอีกครั้ง อ้อ...ที่จริงก็ออกจะตลกอยู่สักหน่อย เพราะมีปัญหาเกิดขึ้นเยอะมาก เรื่องทะเลาะวิวาทส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการตู่เอาเอง พิธีนี้ต้องทำสองครั้ง คือให้ผู้ชายเป็นฝ่ายจูบครั้งหนึ่ง และให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายจูบก่อนอีกครั้งหนึ่ง แต่ผู้ชายที่หลงรักสาวเจ้าอยู่ข้างเดียวมักจะบังคับจูบแล้วก็อ้างว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายจูบ ที่ตลกกว่านั้นก็คือ มีหลายคู่แต่งงานกันเพราะเดินไปด้วยกันในป่าแล้วสะดุดล้ม จูบกันโดยบังเอิญ"

    "แต่งงานทั้งที่ไม่ได้รักกันหรือคะ"

    "ไม่ใช่หรอก" ชายหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ ตอบเสียงนุ่มนวล ขณะใจนึกเอ็นดูหญิงสาวที่กำลังมองเขาตาแป๋วอย่างใคร่รู้ราวกับเด็กๆ รอฟังตอนต่อไปของนิทาน

    "ไม่มีใครแต่งงานโดยไม่สมัครใจ ส่วนมากจะรักกันอยู่แล้ว หรือไม่ก็เริ่มๆ ชอบกันอยู่บ้าง"

    "พูดเหมือนกับว่าคนไม่ได้รักกันไม่มีสิทธิ์สะดุดล้มยังไงอย่างนั้นเลยค่ะ" ภรณีตั้งข้อสังเกต

    "เรื่องนี้ไม่รู้สิครับ"

    "แต่อยากไปเห็นสักครั้งจังเลยนะคะ ชนเผ่าที่ว่า" หญิงสาวเอ่ยขึ้นมา ขณะสายตาทอดมองออกไปไกลแสนไกล

    "เอาไว้คุณสุขภาพแข็งแรงกว่านี้อีกนิด ผมจะพาไป" ชายหนุ่มให้สัญญา

    "คงไม่มีวันนั้นหรอกค่ะ ฉันคงไม่มีชีวิตอยู่ยืนยาวนัก" หญิงสาวคาดเดาอนาคตด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

    "ยืนยาวสิ...ยืนยาวแน่ๆ" น้ำเสียงของอนลราบเรียบ นุ่มนวลจนฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ควรเชื่อถือได้จริงๆ ภรณีเงยหน้าขึ้นยิ้มกว้างใส่ดวงตาของอีกฝ่าย เป็นรอยยิ้มแทนคำขอบคุณขณะพูดด้วยน้ำเสียงสดใสว่า

    "อย่าพูดเรื่องที่เราต่างก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องโกหกสิคะ"

    "คุณจะมีชีวิตยืนยาว" มือบางข้างหนึ่งถูกกุมไว้ด้วยมือหนาสองข้าง "ยืนยาว...ตราบเท่าชีวิตของผมเอง"

    "ขอบคุณค่ะ" คืนนี้ไม่มีดาว แต่หยาดน้ำใสที่วะวับวาวอยู่ในดวงตาของหญิงสาวกลับสุกสกาวไม่แตกต่าง

    "ใช้ชีวิตที่เหลือให้มีความสุข ใช้ชีวิตเผื่อฉันด้วยนะคะ แต่อย่าให้ฉันอยู่กับคุณตลอดไป อย่าให้ฉันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงอีกคนในชีวิตของคุณไม่มีความสุข"

    "ภรณี" น้ำเสียงที่ใช้เรียกนุ่มนวลนัก "คุณจะมีชีวิตยืนยาวด้วยลมหายใจของคุณเอง ผมไม่สามารถใช้ชีวิตแทนคุณได้ อีกอย่าง..." เสียงของชายหนุ่มยิ่งอ่อนโยนนักหนาเมื่อเอ่ยประโยคต่อไป

    "อยู่กับปัจจุบันให้มากเข้าไปสิครับ อย่าห่วงกังวลไปถึงอนาคต ปัจจุบันของผม ผมมีความสุขเสมอที่ได้อยู่กับคุณ ผมไม่รู้อนาคต ไม่รู้ว่าความรักคืออะไร แต่รู้ว่าในหัวใจตอนนี้มีแค่คุณคนเดียว"

    สายลมยังคงโบกโบย ลำต้นของดอกไม้โยกไหว ใบไม้ที่หลับใหลเสียดสีกันเบาๆ หมู่แมลงกรีดปีกระงม หากแต่สำหรับภรณี ทุกสรรพสิ่งคล้ายหยุดเคลื่อนไหวก็ไม่ปาน ร่างกายที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงคล้ายได้รับแรงกระตุ้น ความรู้สึกหนึ่งคล้ายจะทำให้เลือดในกายไหลเวียนได้ดีขึ้น เลือดสูบฉีดแรง หัวใจเต้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา เป็นความรู้สึกที่ทำให้เกิดความปรารถนาที่ไม่เคยปรารถนามาก่อน

    ...เธออยากมีชีวิตอยู่ยืนยาว...

    หญิงสาวอยากมองหน้าคนที่พูดกับเธอด้วยถ้อยคำอย่างนั้นให้เต็มตา แต่ไม่สามารถทำได้ จำต้องหลับตาลง ขับไล่หยาดน้ำอุ่นๆ ออกไปเสียก่อน ภรณีรู้สึกถึงความอุ่นของนิ้วมือที่ไล้ผิวแก้ม เช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน หญิงสาวใช้มือหยุดนิ้วนั้นไว้

    "นลคะ"

    ยังไม่ทันได้พูดอะไร ภรณีก็ก้มตัวลงกระอักกระไอออกมาติดต่อกันจนตัวงอ ไอจนดวงหน้าซีดขาวกลายเป็นแดงก่ำ อนลประคองหญิงสาวเอาไว้ด้วยการเอื้อมมือไปโอบไหล่ไว้อย่างอาทร หัวคิ้วขมวดเป็นปมด้วยความห่วงใยอย่างลึกซึ้ง ดวงตามีรอยเจ็บปวดที่ไม่อาจช่วยแบ่งเบาความทรมานนั้นมาไว้ที่ตัวเองได้ มือของเขาแดงฉานไปด้วยเลือดที่เธอกระอักออกมา ผ้าห่มเปื้อนเลือดเป็นหย่อมๆ ชายหนุ่มทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่รอจนกระทั่งหญิงสาวหยุดไอ และให้เธอเป็นฝ่ายฝืนยิ้มและเงยหน้าขึ้นมาบอกเขาว่า

    "ไม่เป็นไรนะคะนล ฉันไม่เป็นไรค่ะ"

    อนลนิ่งอึ้ง ก่อนจะค่อยๆ ยิ้มให้เธออย่างอบอุ่น ทั้งที่ดวงตาเต็มไปด้วยแววเจ็บปวดรวดร้าว

    "ครับ...ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ หายแล้ว...พักผ่อนก่อนนะครับคนดี ผมจะไปหยิบยา"

    อนลประคองให้หญิงสาวเอนตัวลงนอน ก่อนจะเข้าไปในบ้าน และกลับออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับถาดใส่อ่างน้ำและขวดยากับแก้วน้ำดื่ม ชายหนุ่มใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด เช็ดเลือดออกจากริมฝีปาก คาง และมือของหญิงสาว ก่อนจะเทยาใส่ฝ่ามือ ส่งให้เธอถึงริมฝีปากและป้อนน้ำให้ดื่ม

    "ดึกแล้ว เข้านอนดีกว่านะครับ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน"

    อนลว่าอย่างนั้น ภรณีขยับริมฝีปาก อยากจะขออยู่ตรงนี้กับเขาให้นานขึ้นอีกนิด อยู่ให้นาน...ตลอดไป เพราะเธอกลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ หากแต่หญิงสาวก็รู้ดี ว่าข้างนอกหนาวเกินไป ร่างกายของเธอต้องการพักผ่อนในที่ที่อุ่นกว่านี้ จึงได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ

    อนลสอดมือ ช้อนตัวหญิงสาวขึ้นมาอย่างนุ่มนวล อุ้มเข้าไปในห้องนอน และค่อยๆ วางร่างบางระหงนั้นลงบนเตียงนอนสีขาวสะอาด เลื่อนผ้าห่มขึ้นมาให้จนถึงปลายคาง

    "พักผ่อนนะครับ ผมจะไปเอาฟูกนอนสำรองมานอนเป็นเพื่อน"

    ภรณีฝืนยิ้มรับ พยักหน้าอย่างว่าง่าย

    ทว่า...เมื่ออนลกลับมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าภรณีไม่ได้นอนอยู่บนเตียง แต่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างหน้าต่างที่คงเพิ่งถูกเปิดออกเมื่อครู่นี้

    "คืนนี้พระจันทร์สวยนะคะ  ฉันอยากดูมันนานๆ" นั่นเป็นคำแก้ตัวอย่างน่ารัก ทว่าอนลกลับส่ายหน้าและว่า

    "คุณสวยยิ่งกว่าดวงจันทร์อีกครับ" ชายหนุ่มวางฟูกสำรองลงบนพื้นข้างเตียง ก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงสาว บอกเสียงนุ่มนวลว่า "คืนนี้ดูมานานพอแล้ว พรุ่งนี้ดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วคืนพรุ่งนี้ค่อยนั่งดูจันทร์ คุยกันไปเรื่อยๆ ใหม่นะ ผมจะดูเป็นเพื่อนคุณทุกวันทุกคืน นานเท่าที่คุณต้องการ"

    ภรณียิ้มขำขัน เธออายุสามสิบกว่าแล้ว แต่อนลชอบพูดหลอกล่อเหมือนเธอเป็นเด็กอยู่เรื่อย แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็มักจะโอนอ่อนตามเขาอยู่ร่ำไป

    อนลเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ยื่นมือให้เธอใช้เป็นหลักยึดในการดึงตัวเองขึ้นมา ภรณียิ้มและวางมือลงไป เซนิดหนึ่งขณะลุกขึ้นยืน แต่ชายหนุ่มใช้มือโอบมาทาบไว้ข้างหลังเพื่อช่วยประคองได้อย่างทันท่วงที ภรณีทรงตัวได้มั่นคงแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองสบตาอีกฝ่าย เห็นกระแสความห่วงหาอาทรเปี่ยมล้นอยู่ในนั้น สองคนมองตากันเนิ่นนาน

    กลางฟ้า...เมฆาเคลื่อนคล้อย ค่อยๆ ลอยเลื่อนมาบดบังจันทราดวงงามทีละนิด กระทั่งแสงจันทร์นวลถูกบดบังไว้สนิท รัตติกาลมืดมิดสนิทไปชั่วขณะ...ชั่วขณะหนึ่งซึ่งยาวนาน ก่อนเมฆก้อนใหญ่จะค่อยๆ เคลื่อนตัวออก เผยให้เห็นแสงนวลไยสีเงินยวงนั้นอีกครั้ง

    เมื่อจันทราปรากฏโฉมกลางโพยมอีกครั้ง นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่หนุ่มสาวสองคนที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างในบ้านพักเคลื่อนริมฝีปากออกจากกัน ทิ้งระยะห่างระหว่างดวงหน้าเพียงช่วงฝ่ามือกั้น

    อนลไม่รู้...ภรณีไม่รู้ ว่าตัวเองเป็นฝ่ายเคลื่อนดวงหน้าเข้าไปหา หรืออีกฝ่ายเป็นฝ่ายเคลื่อนเข้ามาหากันแน่ แต่ที่แน่ๆ ความหอมหวานยังคงอบอวลอยู่รอบกาย ความอบอุ่นอ่อนโยนยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจ รสสัมผัสจากรอยจุมพิตบนริมฝีปากคล้ายยังประทับแน่น อบอุ่นและอ่อนหวาน นุ่มนวลแต่ดูดดื่มลึกซึ้ง...เนิ่นนาน

    อนลยิ้มอ่อนโยนให้กับเจ้าของร่างในอ้อมแขน ภรณียิ้มอ่อนหวานให้กับเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่น

    ร่างบางระหงของภรณีถูกอุ้มมาวางลงบนเตียงนุ่มอย่างนิ่มนวล อนลประทับจูบลงบนหน้าผากนวลเบาๆ ก่อนจะผละออก ทว่า มือบางของภรณีจับแขนของชายหนุ่มไว้ หญิงสาวบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    "ไม่มีคำว่าเสียใจนับจากนี้ ความรู้สึกนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นกับฉันค่ะ"

    อนลลังเล มีความห่วงกังวลอยู่ในดวงหน้าคมคาย หากแต่เมื่อสบตาอีกฝ่าย ประกายตานุ่มนวลแต่หนักแน่นมั่นคงคู่นั้นก็ทำให้เขาตัดสินใจได้ เขารู้แล้ว เหมือนกับที่ภรณีรู้แล้วเช่นกัน ว่าเหตุใดคนเราต้องแต่งงานกัน...

    เพราะความรัก เพราะต้องการอยู่ร่วมเป็นครอบครัว เพราะปรารถนาจะให้กำเนิดชีวิตใหม่ที่เกิดจากความรัก นั่นอาจเป็นเหตุผลทั่วไปของคนส่วนใหญ่ แต่ไม่ใช่เหตุผลของสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับภรณี

    'พิธีแต่งงาน' ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เกิดเพราะต้องการความชอบธรรมในการมีสัมพันธ์ทางกาย ความสัมพันธ์ทางใจนั้นงดงามเสมอ งดงามมายาวนาน แต่ทั้งคู่เพิ่งรู้ว่ามันไม่เพียงพอ สัมพันธ์ทางใจก่อให้เกิดความปรารถนาทางกาย ความสัมพันธ์ทางกายจะเติมเต็มความงดงามนั้นให้บริบูรณ์ ไม่มีอะไรสกปรก เป็นความงาม...ที่งดงามไม่แตกต่าง

    อนลโน้มตัวลงไปจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากนวลเกลี้ยงอีกครั้ง ภรณีหลับตาพริ้ม รับสัมผัสอ่อนโยนนั้นอย่างเต็มใจ ชายหนุ่มแตะริมฝีปากลงบนปลายจมูกขาวๆ นั่น ก่อนจะเลื่อนลงมาหยุดอยู่ที่กลีบปากนุ่ม มอบความอบอุ่นอ่อนโยนให้ และดื่มด่ำความหวานล้ำไปในขณะเดียวกัน เนิ่นนาน...กว่าชายหนุ่มจะถอนริมฝีปากออก มือข้างหนึ่งทาบอยู่ที่ซีกแก้มนุ่ม ดวงตามองสบตาของหญิงสาวอย่างอบอุ่นที่สุด ถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า

    "ไม่กลัว ไม่เสียใจใช่ไหมครับ"

    รอยยิ้มอ่อนโยนทั้งบนริมฝีปากและในดวงตาของหญิงสาวคือคำตอบ

    อนลยิ้มตอบด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกัน ขณะพูดปลอบประโลมว่า

    "ถ้าอย่างนั้น นี่คือตัวตนของผมนะครับภรณี ตัวของผม ที่คุณรู้จักมายาวนาน หัวใจของผม ที่เหมือนและจะเต้นเป็นจังหวะเดียวกับหัวใจของคุณ สัมผัสของผม ที่จะไม่ทำให้คุณต้องเจ็บปวด เพราะฉะนั้น ไม่กลัวนะครับ นี่เป็นความปรารถนา และเป็นเส้นทางเดินของเรา ผมจะเดินไปพร้อมกับคุณนะครับ"

    "ค่ะ" เท่านั้น คือคำตอบของทั้งหมดทั้งมวล

    บทเพลงแห่งรักถูกบรรเลงด้วยท่วงทำนองอันอ่อนหวาน ขับขานด้วยสำเนียงเสียงอันไพเราะ สองคนดื่มด่ำอยู่ในห้วงอารมณ์อันลึกซึ้ง ละเมียดละไม ความอบอุ่นแผ่ซ่านจากริมฝีปาก ฝ่ามือ จากบริเวณผิวกายที่ถูกสัมผัสและแนบชิดกันไปจนทั่วทั้งตัว อบอุ่น ลุ่มลึก ไปจนถึงหัวใจ ความอ่อนโยนซึมแทรกอยู่ในทุกจังหวะของการเคลื่อนไหว ความนุ่มนวลสอดประสานเข้าไปเป็นเนื้อเดียวกัน อนลและภรณีซึมซับ รับเอาทุกความรู้สึกที่แทบจะทำให้ร่างกายหลอมละลายนั้นไว้จนหัวใจเต็มตื้น...บริบูรณ์

    ทว่าเมื่อบทเพลงแห่งรุ่งอรุณมาเยือน บทเพลงแห่งการจากลาก็ขับขาน

    เช้าแล้ว ทุกสรรพสิ่งตื่นขึ้นจากการหลับใหล เว้นไว้แต่เพียงสิ่งเดียวที่จะหลับใหลยาวนาน อนลยังคงตื่นอยู่ เพราะเขาไม่ได้หลับเลยตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มนั่งอยู่เคียงข้างร่างบางระหงที่นอนหลับสนิท แสงอ่อนๆ อบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานเดียวกับแสงจันทร์เมื่อคืนไม่ได้รับความสนใจจากเขาแม้แต่น้อยนิด เพราะดวงหน้ายามหลับใหลของคนข้างกายจับใจและน่ามองกว่าเป็นไหนๆ

    ชายหนุ่มโน้มตัวลงจุมพิตหน้าผากนวลเกลี้ยงของผู้เป็น 'ภรรยา' เอื้อมมือลูบไล้ดวงหน้าของเธออย่างแผ่วเบา ทุกสัมผัสเต็มไปด้วยความรักใคร่ ดวงตาของชายหนุ่มแดงก่ำ มีรอยความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวง ขณะที่ริมฝีปากกลับคลี่ออกน้อยๆ กลายเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนนักหนาเมื่อพูดว่า

    "ผมใช้ชีวิตเผื่อคุณไม่ได้ แต่จะมีชีวิตเพื่อคุณ ลมหายใจของคุณจะอยู่ในลมหายใจของผม พักผ่อนให้สบายเถอะนะครับคนดี คุณจะไม่ต้องเจ็บปวดทรมานอีกแล้ว"

    เขารักภรณี...อนลบอกตัวเองได้แล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นคือการ 'ร่วมรัก' ไม่ใช่การ 'ร่วมสุข' เขา 'รัก' กับเธอ แม้จะรู้ดีว่าวันหนึ่งจะต้องเจ็บปวด สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ทั้งความใคร่และความเห็นแก่ตัว แต่คือความรัก เขารักเธอ และคงจะรักอย่างนี้ตลอดไป ไม่ว่าภรณีจะยังรักวิษณุอยู่หรือไม่ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขารู้แค่ว่าเขารักเธอ และเธอเป็น 'ภรรยา' ของเขา เท่านี้ก็พอแล้ว

    ชายหนุ่มไล้ข้อนิ้วไปตามเรียวปากที่ยังคงอุ่นอยู่ของหญิงสาวเบาๆ ริมฝีปากของภรณียกขึ้นน้อยๆ บ่งบอกว่ากำลังมีความสุขในขณะที่พริ้มตาหลับเป็นครั้งสุดท้าย

    บ่อยครั้งที่อนลอ่านความคิดและความรู้สึกของภรณีได้จากการมองตา แต่เขาไม่สามารถอ่านความคิดของเธอจากการมองแค่ริมฝีปากได้ ทว่าหากทำได้ เขาคงจะรู้ว่า 'ภรรยา' อันเป็นที่รักของเขาคิดอะไรอยู่ในวาระสุดท้าย

    ...ไม่ว่ายามตื่นฉันจะรักใคร

                                    แต่ในห้วงแห่งการหลับสนิทนิจนิรันดร์

                                                                                    ฉันจะฝันถึงคุณคนเดียว...

                                              อนล

                                                                                                                                                    โรซาน่า.

                                                                    จบตอนพิเศษ 5

    *******************************************************


    สวัสดีเดือนใหม่และคิดถึงทุกคนเช่นกันค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×