คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #81 : บทเรียนที่ 75 ดนตรีคลาสสิก ความทรงจำของวินเซนต์และการเดินทางของเจ้าหญิง
บทเรียนที่ 75 ดนตรีคลาสสิก ความทรงจำของวินเซนต์และการเดินทางของเจ้าหญิง
เสียงเคียวยมทูตลากถูไปกับพื้นประลองหินท่ามกลางความมืดของอวกาศจำลองส่งเสียงชวนขนหัวลุกราวกับกำลังดูหนังสยองขวัญอยู่
‘ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น ’ วินเซนต์ยิ้มด้วยความยินดีแม้จะเคลื่อนตัวได้อย่างยากลำบากเพราะถูกสายฟ้าแห่งเทพเล่นงานเข้าก็ตามแต่เขาก็พยายามดึงร่างของตนเข้าไปหาไซโคร แนชเรื่อยๆ
ในหัวของวินเซนต์ตอนนี้คล้ายมีดนตรีคลาสสิกบรรเลงอยู่
‘ ซิมโฟนี่หมายเลขเก้าของบีโทเฟนคงจะใช้ได้ ’
บทเพลงแห่งความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ บทเพลงที่พิถีพิถันทุกรายละเอียด
ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้อีกต่อไป แม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าเจ้าชายก็ตาม ไม่สิไม่เคยมีใครสามารถหยุดเขาได้ต่างหาก
‘ แอ๊ด ’
ทันใดนั้นแสงสว่างก็ส่องลอดมาจากทางใดทางหนึ่ง ทำให้จักรวาลที่แสนมมืดมิดปรากฏแสงสว่างขึ้น
‘ ใครกันที่บังอาจมาทำลายการพิพากษาอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา ’ วินเซนต์หัวเสียมองตามแสงนั้นไปก็พบว่าเป็นนักเรียนหลายร้อยคนที่กรูกันเข้ามาหลังจากชมการแข่งปิงปองจบ
และวาก็เป็นหนึ่งในนั้นเขาหยุดชะงักด้วยความตกใจที่เห็นห้องประลองอาวุธกลายเป็นจักรวาลจำลองแต่ก่อนที่จะชื่นชมกับความสวยงามนั้นภาพไซโคร แนชที่นอนหมอบอยู่บนเวทีทำให้เขาใจหายพร้อมกับคะแนนพลังชีวิตที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางจักรวาลอันมืดมิด
หนึ่งต่อหนึ่งร้อย !
แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือคู่ต่อสู้ที่ถือเคียวอยู่กลางเวทีที่ยืนจ้องมายังเขาราวกับต้องการจะกลืนกินวิญญาณของพวกนักเรียนที่ทยอยกันเข้ามา
‘ บ้าเอ๊ย ’
วินเซนต์กระแทกเคียวยมทูตลงกับพื้นอย่างหัวเสียราวกับเสียงดนตรีคลาสสิกได้สะดุดลงเพราะฝีมือของเหล่านักเรียนที่ตามมาทีหลัง
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงของนักเรียนที่ทยอยเข้ามาเสียงใสเสียงหนึ่งก็ตะโกนขึ้น
“ ลุกขึ้นสิ ”
ไม่มีใครสนใจเสียงนั้นจนกระทั่งเหล่านักเรียนที่มาใหม่ต่างพากันหาที่นั่งได้จนครบทางกรรมการจัดการแข่งจึงสั่งปิดห้องประลองถาวรจนกว่าการประลองจะจบลงเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผู้เข้าแข่งขันอีก
“ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ ”
เสียงนั้นยังไม่หยุดคราวนี้เจ้าของเสียงถึงกับออกแรงตะโกนมากกว่าเดิม ทำให้ความสนใจเริ่มตกไปยังต้นเสียงส่วนวินเซนต์หันขวับไปอย่างไม่พอใจ
‘ ถึงขนาดนี้แล้วเธอเองก็ยังอยากจะเชื่อในตัวของเจ้านี่อยู่อีกหรือ ’
ทันใดนั้นเคียวยมทูตลากไปกับพื้นรวดเร็วกว่าเดิม วินเซนต์ลากสังขารตัวเองมาหยุดอยู่ตรงหน้าไซโคร แนชได้สำเร็จด้วยแรงฮึดจากความโมโหต่อเจ้าของเสียง
“ ฮ่าๆๆๆ ” วินเซนต์หัวเราะเสียงดังกลบเสียงใสนั้นลงความเย็นชาที่แฝงอยู่ในเสียงหัวเราะนั้นทำให้ทุกคนอดผวาไม่ได้
เคียวยมทูตถูกยกขึ้นอย่างบรรจง วินเซนต์ต้องการให้การประหารนี้สมบรูณ์ที่สุดดังนั้นจะพลาดไม่ได้วินาทีที่เขารอคอยมาแสนนานกำลังจะมาถึงแล้ว ภาพความทรงจำในวันนั้นหวนคืนมาในห้วงความจำของเขาก่อนที่เคียวยมทูตจะเตรียมทำการปลิดชีพไซโคร แนช
เสียงดนตรีคลาสสิกลอยผ่านเครื่องเล่นแผ่นเสียงชั้นเลิศที่แม้จะดูมีอายุมากแล้วแต่กลับดูสูงค่าอย่างน่าประหลาด ส่วนเรื่องคุณภาพเสียงนั้นไม่ต้องพูดถึงทั้งนุ่มนวลและลุ่มลึก โคมไฟแชงกรีล่าราคานับล้านส่องสว่างอยู่บนผนังที่ตกแต่งไปด้วยศิลปะยุคเรอเนอซองชวนให้หลงใหล
เด็กหนุ่มท่าทางภูมิฐานในเสื้อเชิ้ตสีเทาคลุมทับไว้ด้วยเสื้อกั๊กสีดำพร้อมทั้งเครื่องแต่งกายที่เรียกได้ว่าเนี้ยบในทุกตารางนิ้วกำลังนั่งจิบชาฟังดนตรีอย่างสุนทรีในคฤหาสน์ส่วนตัว
‘ ชาเอิร์ลเกรย์ (Earl Gray)กับดนตรีของบีโธเฟนนี่แหละคือท่วงทำนองที่สมบรูณ์แบบที่สุด ’ เด็กหนุ่มยิ้มกำลังอิ่มเอมกับเสียงดนตรีและชาเอิร์ลเกรย์อย่างถึงที่สุด ๆ
‘ อ่า ท่วงทำนองที่ราวกับอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน ดินแดนแห่งอุดมคติ ’ เด็กหนุ่มถอนหายใจเขาอยากให้เวลาช่วงนี้เป็นนิรันดร์ ทว่าเสียงโทรศัพท์จากเครื่องโทรศัพท์ทรงโบราณสไตล์อังกฤษก็ดังขึ้นขัดจังหวะความสุขอันพิถีพิถันของเขา
เด็กหนุ่มแสดงสีหน้าขัดใจขึ้นมาก่อนจะกระชับเสื้อให้เข้าที่แล้วลุกจากเก้าอี้ชั้นหรูไปรับสายที่ไม่ทราบมีธุระอันใดในเวลาขณะนี้
“ นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันขึ้น ” เจ้าของสายส่งเสียงไม่พอใจอย่างถึงที่สุด แต่เด็กหนุ่มกลับมีสีหน้านิ่งได้อย่างประหลาดคล้ายกำลังใช้สมองประเมินสถานการณ์ให้สมบรูณ์ที่สุด
“ ใจเย็นๆก่อนนะครับท่าน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือครับ ”
จากนั้นคำตอบจากปลายสายก็ต้องทำให้ความสุขุมของเด็กหนุ่มต้องหายไปหมดสิ้นเพียงแค่คำพูดไม่กี่ประโยค
“ รีน่าถูกทำร้ายเสียเลือดมาก ”
เด็กหนุ่มเหงื่อตกในทันทีความวิตกแล่นเข้าสู่ขั้วหัวใจก่อนจะเขวี้ยงแก้วชาในมือใส่เครื่องเล่นแผ่นเสียงราคาแพงอย่างไม่คิดเพียงเพื่อให้ทุกอย่างเงียบกริบเผื่อว่าสิ่งที่เขากำลังรับฟังอยู่จะเป็นเพียงอาการหูฝาดไปเท่านั้น
“ ครับ ครับ ทราบแล้วครับจะรีบไปเดี๋ยวนี้ครับ ”
เสียงฟ้าผ่าจากนอกหน้าต่างขนาดใหญ่ดังเปรี้ยงพร้อมกับฝนที่กระหน่ำตกลงมาเม็ดใหญ่ แต่เด็กหนุ่มไม่แยแสเพียงคว้าเสื้อโค้ทสีดำกับหมวกทรงโบว์เลอร์จากหิ้งแล้วเดินออกไปในทันใด จากนั้นสั่งผู้รับใช้ให้ออกรถตรงไปยังที่หมายในทันที
‘ โรงพยาบาลนี่มันอะไรกัน ’ เด็กหนุ่มท่าทางหัวเสียแบบสุดๆเมื่อเห็นสภาพอันอลหม่านในโรงพยาบาล แต่สิ่งที่เขาไม่ชอบใจมากกว่านั้นคือโรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ไกลแถมยังไม่ได้อยู่ในระดับห้าดาว หากให้รีน่ามารักษาในที่แบบนี้มีหวังแย่แน่ ซึ่งความจริงโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักเพียงแต่เด็กหนุ่มค่อนข้างจะพิถีพิถันเกินไป
“ ขอโทษครับ ” เด็กหนุ่มใส่แว่นตาที่กำลังพยุงเด็กหนุ่มอีกคนที่หมดสติอยู่กล่าวขึ้นเมื่อเผลอชนเข้ากับเขา แต่เขาไม่มีเวลาสนใจรีบจ้ำไปยังห้องฉุกเฉินอย่างไม่คิดชีวิต
‘ แอ๊ด ’
เด็กหนุ่มผลักประตูห้องเปิดออกแต่ก็พบกับม่านคลุมที่กั้นรอบเตียงไว้อยู่ การเข้ามาในห้องฉุกเฉินขณะกำลังปฏิบัติการรักษาอยู่นั้นหากไม่ใช่เพราะอำนาจของชายเจ้าของสายย่อมไม่มีทางเป็นไปได้
ร่างของบิดาและมารดาผู้ที่เขารักและป็นห่วงที่สุดยืนอยู่ห่างออกจากผ้าม่านนั้นพอสมควร สีหน้าของชายวัยกลางคนรูปร่างสันทัดแฝงแววโกรธเคืองและมีโทสะน่ากลัวเกินกว่าใครจะกล้าเข้าไปสนทนาด้วย ในขณะที่หญิงผู้เป็นแม่ผู้กำลังร้องห่มร้องไห้อย่างเสียขวัญแต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถปิดบังความงดงามและท่าทีที่สูงศักดิ์ไว้ได้
“ ขอประทานโทษที่มาช้าครับท่าน ”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นดูจะเย็นลงได้เล็กน้อยเมื่อเห็นร่างของเด็กหนุ่ม
“ ทำไมถึงปล่อยให้รีน่าตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ ตอบมาสิวินเซนต์ !”
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเมื่ออยู่ต่อหน้าชายผู้นี้และด้วยโทสะอันรุนแรงเช่นนี้คงต้องยืนขาสั่นทำอะไรไม่ถูกแล้ว นั่นก็เพราะชายผู้นี้คือเจ้าของกิจการอุตสาหกรรมใหญ่ที่คุมอำนาจของธุรกิจเกือบทั้งเมืองนี้ในนามผู้นำตระกูลแวซาลาซ์
แต่เด็กหนุ่มนามวินเซนต์กลับก้มหัวตอบด้วยเสียงเรียบ
“ ต้องขอประทานอภัยจริงๆครับท่าน ” แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มสนใจมากกว่านั้นคือ อาการของหญิงสาวที่อยู่ภายใต้ม่านคลุมผ่าตัดมากกว่า
ชายวัยกลางคนทำท่าจะต่อว่าเด็กหนุ่มแต่เมื่อรู้ว่าทำไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาจึงข่มใจลงได้
“ ถ้าหากว่ารีน่าเป็นอะไรขึ้นมาละก็….”
“ ไม่ต้องห่วงครับ พวกนั้นจะต้องได้รับการชดใช้อย่างสาสมผมขอรับประกันด้วยฐานะว่าที่คู่มั่นของรีน่า ”
วินเซนต์ก้มหัวจิตใจร้อนรุ่มไปด้วยเพลิงโทสะแต่ที่ทำให้ร้อนยิ่งไปกว่านั้นคือความกระวนกระวายที่อยากจะทราบอาการของรีน่า
คำตอบนั้นทำให้ชายวัยกลางคนสงบลงได้ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
‘ ฟึ่บ ! ’
ผ้าคุลมถูกเปิดออกพร้อมด้วยสีหน้าของหมอที่ไม่สู้ดีนัก พร้อมรายงานที่กล่าวอย่างเร่งรีบตัดกับเสียงชีพจรที่ดังอย่างน่าวิตก
“ ตอนนี้อาการคงตัวในระดับหนึ่งแล้ว แต่ทางโรงพยาบาลเราไม่มีเลือดเหลือพอคงจะต้องทำการย้ายโดยด่วน ”
“ งั้นก็รีบสิ ! ”
ชายวัยกลางคนตวาดทำเอาทั้งทีมแพทย์สะดุ้งจากนั้นกระจัดกระจายทำตามคำสั่งราวกับมดแตกรัง ส่วนหญิงผู้เป็นแม่มีสีหน้าวิตกกว่าเดิม
“ ไม่เป็นไรหรอกครับนายหญิง ผมเชื่อว่ารีน่าจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน ” วินเซนต์เข้าไปช่วยปลอบ
“ เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้นะคุณ ” ผู้เป็นแม่เมื่อเริ่มตั้งสติได้ก็กล่าวกับชายวัยกลางคน
“ หึ ” ชายวัยกลางคนเค้นเสียงจากนั้นคล้ายมีน้ำโหมากขี้น “ มันจะเป็นอะไรก็เรื่องของมันสิ ไว้จบเรื่องนี้เมื่อไหร่มันก็จะต้องได้รับโทษอย่างสาสมที่ทำให้รีน่าต้องมาโดนลูกหลงไปด้วย ”
“ แต่สภาพเขาดูแย่มากเลยนะคุณ ร่างกายได้รับบาดเจ็บขนาดนั้นแต่ยังลากรีน่ามาถึงที่นี่โดยที่ไม่มีรถสักคันได้ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง ” แม้จะกล่าวเช่นนั้นแต่ความเป็นห่วงของผู้เป็นแม่ย่อมมีมากกว่าดังนั้นไม่กล้าจะไปดูอาการของเด็กหนุ่มคนนั้น
‘ ติ๊ด ติ๊ด ’
เสียงชีพจรเต้นถี่ขึ้น พร้อมด้วยเสียงเรียกอันแผ่วเบาของสาวน้อยบนเตียงผ่านผ้าม่านที่ปิดไว้จับใจความแทบไม่ได้
ฟังไปคลับคล้ายกับกำลังเรียกหาใครสักคนหนึ่งอยู่แต่ไม่ใช่ทั้งชื่อของชายวัยกลางคนหรือผู้เป็นแม่ แม้กระทั่งเด็กหนุ่มที่มาด้วยก็ไม่ใช่
“ ไซ…โคร… แนช ”
มีเพียงผู้เดียวที่ฟังออกได้ชัดเจนก็คือ วินเซนต์เขารู้สึกร่างกายชาวูบแม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของชายผู้นี้มาบ้าง แต่การที่รีน่าเรียกเขาในสภาพไร้สติเช่นนี้ออกมาแสดงให้เห็นถึงความรักและเป็นห่วงอย่างสุดซึ้งทำให้หัวใจของวินเซนต์คล้ายถูกฉีกกระฉากออกเป็นชิ้นๆ เขากำหมัดแน่นเก็บอาการไว้แทบไม่อยู่คล้ายกับระเบิดที่กำลังจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อทั้งๆที่ปกติไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน
เหตุการณ์ในคืนนั้นเป็นคืนที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่วินเซนต์เคยจำได้ หลังจากย้ายไปยังโรงพยาบาลระดับห้าดาวทีมแพทย์ก็ทำการรักษาอย่างคล่องแคล่ว วินเซนต์นั่งเฝ้าอาการอยู่หน้าห้องพร้อมกับพ่อของรีน่าจนเช้า ส่วนแม่ของรีน่าสลบไปด้วยความเหนื่อยล้าและพักรักษาตัวอยู่ในห้องใกล้ๆ
เสียงประตูห้องพักของรีน่าถูกเปิดออกในเวลาเช้าก่อนที่หมอจะรายงานผลอาการของรีน่าที่ทำให้โลกของวินเซนต์ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล
ในฐานะว่าที่คู่หมั้นตามผลประโยชน์ทางธุรกิจเขาอาจจะไม่รู้สึกเจ็บสักเท่าไหร่ ในฐานะเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กเขาอาจจะรู้สึกเสียใจและใจหายหากได้รับรู้ข่าวนี้ แต่ในฐานะชายที่รักผู้หญิงคนหนึ่งอย่างจริงจังเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างที่ไม่สามารถหาคำใดๆมาบรรยายได้
ไม่มีวันให้อภัยพวกแกแน่ รวมทั้งแกด้วยเจ้าชาย !
แสงแดดยามเที่ยงส่องผ่านผ้าม่านสีน้ำเงินมายังเตียงไข้กระทบเข้ากับตาของร่างอ้อนแอ้นที่ยังคงหลับอยู่ ร่างนั้นสั่นกระตุกเล็กน้อยก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆเปิดขึ้นเพื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้น
ที่ข้างเตียงหล่อนเห็นร่างของเด็กหนุ่มที่ฟุบหลับอยู่เพราะความเหน็ดเหนื่อย เธอรีบยันตัวขึ้นนั่งครึ่งตัว
“ ไซ…..”
ขณะกำลังจะเอ่ยปากเรียกชื่อด้วยความยินดีร่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นทำให้เธอหยุดชะงักลง
“ วินเซนต์หรอ ”
หญิงสาวเอ่ยปากส่วนเด็กหนุ่มผู้นั้นผู้ยิ้มมีสีหน้ายินดียิ่งเมื่อได้ยินเธอเรียกชื่อเขาความเหน็ดเหนื่อยจากการเฝ้าคอยทั้งคืนหายเป็นปลิดทิ้ง
“ ขอบคุณพระเจ้า ” วินเซนต์กุมมือของหญิงสาวผู้นั้นไว้แน่น แต่เธอกลับมีท่าทางไม่เต็มใจนัก
“ กินอะไรก่อนไหม แล้วยังเจ็บอยู่หรือเปล่า อย่าเพิ่งขยับตัวนะ ”
คำพูดด้วยความเป็นห่วงพรั่งพรูออกจากปากของวินเซนต์ซึ่งปกติเป็นคนเงียบขรึมไม่สุงสิงกับผู้ใด
“ ขอบใจมากนะ แต่เราไม่เป็นไรหรอก ” หญิงสาวผู้นั้นซึ่งก็รีน่าที่ได้รับบาดเจ็บหลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนตอบด้วยสีหน้าอ่อนโยน เธอหันไปมองรอบห้องก็พบเพียงแต่วินเซนต์กับช่อดอกไม้ของพ่อกับแม่ที่ทิ้งไว้ให้เธอเท่านั้น แต่เธอก็ไม่ได้เสียใจแม้แต่น้อยเพราะเข้าใจในงานที่รัดตัวของท่านพ่อ
“ เดี๋ยวเราจะรีบโทรไปรายงานนายท่านกับนายหญิงให้นะ ”
“ อืม ขอบใจนะ ”
รีน่ายิ้มเธอรู้สึกตื้นตันในความห่วงใยของเพื่อนคนนี้มาตลอด ตั้งแต่สมัยเด็กวินเซนต์มักจะคอยดูแลเธออยู่ห่างๆเสมอ แต่ความรู้สึกที่เธอมีต่อวินเซนต์นั้นเป็นได้แค่เพื่อน ส่วนวินเซนต์กลับคิดไปมากกว่านั้น และที่น่าอึดอัดใจที่สุดก็คือพ่อแม่ของเธอกับตระกูลของวินเซนต์มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันจนถึงหมายมั่นว่าจะให้เธอกับวินเซนต์แต่งงานกัน มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่จะต้องแต่งงานกับเพื่อนที่ไม่ได้มีความรู้สึกรักด้วย
รีน่าดึงมือของเธอกลับจากนั้นเลิกผ้าห่มขึ้นบริเวณท้องน้อยรู้สึกเจ็บปวดเพราะแผลที่ถูกแทงเมื่อคืน
“ อย่าเพิ่งลุกขึ้นจะดีกว่าแผลของเธอยังไม่หายดี แล้วหมอก็สั่งห้ามด้วย ” วินเซนต์รีบห้ามเมื่อเห็นรีน่าทำท่าจะลุกออกจากเตียงสีหน้าของเขาหวาดวิตกจนเธอต้องชะงัก
“ ก็ได้ ” รีน่าพยักหน้าตอบแบบสั้นๆล้มตัวลงนอนต่อ
“ ถ้าอย่างนั้นนอนรอไปก่อนนะ เดี๋ยวเราจะไปเรียกหมอแล้วหาอะไรมาให้ทานแล้วก็รายงานนายท่านทั้งสองก่อน ห้ามลุกไปไหนเด็ดขาดนะเข้าใจไหม ”
รีน่าก้มหน้ารับอีกครั้ง เธอแอบขำเมื่อเห็นท่าทางลุกลนของวินเซนต์ซึ่งปกติแทบจะไม่ได้เห็นเลย เพราะวินเซนต์จะทำตัวเคร่งเครียดอยู่เสมอ ก้มหน้ารับทุกงานที่พ่อกับแม่ของเธอมอบหมายให้ในฐานะว่าที่คู่หมั่น ทั้งการเรียนและทุกเรื่องวินเซนต์ล้วนต้องเป็นที่หนึ่งในทุกๆด้านสมกับที่เกิดมาในตระกูลผู้ดี แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าชายของเธอแล้วก็ดูไม่ต่างกันสักเท่าไหร่นัก เพียงแต่ไซโคร แนชคล้ายกับด้านสว่างของวินเซนต์ทั้งสองคนนี้หากเทียบกันจริงๆก็คล้ายแสงกับเงาเอย่างน่าประหลาด
เมื่อคิดถึงตรงนี้รีน่าก็เกิดเป็นห่วงอาการของเจ้าชายขึ้นมา เหตุการณ์เมื่อคืนเธอจำได้เพียงว่าเธอหมดสติไปหลังจากมอบกางเขนให้กับเจ้าชาย แล้วหลังจากนั้นเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายของเขาบอบช้ำถึงขนาดนั้นแล้วใครเป็นคนพาพวกเธอทั้งสองมาหรือว่าจะเป็นเขา
โอ้ ยิ่งคิดยิ่งหวาดหวั่นเธออยากจะติดต่อไซโคร แนชให้ได้ไวที่สุดแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเธอจึงหลับตาภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองเจ้าชายให้ไม่เป็นไรด้วยเถิด
วินเซนต์หายไปนานพอสมควรจนรีน่ารู้สึกอยากจะเข้าห้องน้ำ เธอจึงค่อยๆยันตัวลุกขึ้นแต่ขณะที่กำลังจะยกขาขึ้นเธอก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง
จากนั้นน้ำหยดเล็กๆหล่นลงบนผ้าห่มสีขาว ก่อนที่ขอบตาของเธอจะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
ทันในนั้นประตูห้องเปิดออกพร้อมวินเซนต์ที่รีบวิ่งเข้ามาหาเธอ ส่วนผู้เป็นแม่ได้แต่ยืนตะลึงก่อนจะรีบเข้ามาดูอาการของเธอ
‘ ไปพบเขาไม่ได้แล้ว เราไปพบเขาไม่ได้อีกแล้ว ’ รีน่ารู้สึกคล้ายหัวใจกำลังถูกบีบด้วยความเจ็บปวด วินเซนต์เองก็เช่นกัน
“ ไม่เป็นไรนะ มันเป็นแค่ยาชาที่หมอให้ไว้เท่านั้น ”
“ ไม่เป็นไรนะจ๊ะ ” ผู้เป็นแม่เข้ามาโอบกอดและให้กำลังใจ แต่จิตใจของรีน่าสับสนและเจ็บปวดเกินกว่าที่จะตั้งสติรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทัน
‘ ปัก ! ’
หัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้ในสภาพทุลักทุเลล้มลงไปนอนกองกับพื้นอย่างหมดท่า ส่วนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในวันนั้นทั้งหมดต่างพากันสั่นเทาไปด้วยความกลัว
ชายในเสื้อคลุมสีดำพร้อมกับเคียวยมทูตภายใต้ความมืดมิดที่ไม่มีแม้แสงจันทร์ยืนจ้องคนพวกนั้นอย่างอาฆาต
พวกเขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเรื่องราวเป็นมาได้อย่างไร รู้เพียงแต่พวกเขามารวมตัวกันที่โกดังร้างด้วยคำสั่งของหัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้
แต่เมื่อถึงก็พอกับสภาพหัวหน้าแก๊งโดนซ้อมในสภาพปางตายจากนั้นชายในชุดคลุมดำก็เริ่มเล่นงานพวกเขาทีละคนๆโดยทีแรกพวกเขาพยายามสู้เพราะมีคนกำลังมากกว่าเทียบแล้วแทบจะเป็นยี่สิบต่อหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกับร่างปริศนานี้ได้ หนำซ้ำเมื่อคิดจะหนีร่างปริศนาก็คล้ายวิญญาณร้ายตามติดได้อย่างรวดเร็ว จนท้ายที่สุดก็ถูกไล่ต้อนจนหมดทางหนีร่างกายแต่ละคนบอบช้ำจนดูแทบไม่ได้
“ ขอร้องละ พวกเราไม่มีความแค้นอะไรกับแกปล่อยพวกเราไปเถอะ ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มนั้นกล่าวขอร้อง แต่ก็ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะอันเย็นยะเยือก
“ ไม่มีความแค้นอย่างนั้นเรอะ ” ร่างปริศนาลูบคางก่อนที่จะตวาดด้วยเสียงอันดังสั่นขวัญคนที่อยู่ตรงนั้นทั้งหมดให้ขนหัวลุกสติกระเจิงไปหมดสิ้น “ แล้วพวกแกเคยคิดไหมว่าแกได้ทำอะไรกับคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องลงไป พวกเขาเคยขอร้องแกแบบนี้บ้างไหม ”
เคียวยมทูตฟันตรงจะปักใส่ศีรษะของเด็กหนุ่มที่พูดออกมา แต่ก็ตวัดเฉียงกลางคันเฉียดผ่านใบหน้าไปเพียงนิดเดียวปักลงกับพื้นส่งเสียงดังลั่น เลือดไหลผ่านข้างแก้มที่ถูกกรีดด้วยเคียวก่อนที่เจ้าของร่างจะอ้าปากร้องไห้ตัวสั่นเทา
ทุกคนต่างพากันตัวสั่นด้วยความกลัว บางคนที่ทนไม่ได้ก็ปล่อยโฮออกมาอย่างเสียสติ
ท้องฟ้ามืดมิดราวกับคืนนี้เป็นค่ำคืนสุดท้ายในชีวิตของพวกเขา หรือว่าชายผู้นี้เป็นยมทูตที่ถูกส่งมาเพื่อตัดสินโทษของวิญญาณพวกเขา
“ ขะ ขอร้องละ ปล่อยเพื่อนของชั้นไป พวกนั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย ” หัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้คลานเข้ามาจับขาของชายปริศนา
“ มือข้างนี้ใช่ไหมที่แกใช้แทงรีน่า ” ชายปริศนาชี้ถามโดยไม่สนใจคำพูดและสภาพที่บอบช้ำจนดูไม่ได้ของหัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้
“ ชะ ชั้นจำไม่ได้ ตะ แต่ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ พวกเราสำนึกผิดแล้ว ” หัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้อ้อนวอน แต่ชายปริศนากลับมีน้ำโมถึงขีดสุดหมุนเคียวยมทูตอย่างรวดเร็วก่อนที่เหตุการณ์ชวนสยองจะ
‘ ฉึก ! ’
เคียวปักทะลุมือข้างขวาตรึงไว้กับพื้นพร้อมเสียงแผดร้องโหยหวยนของหัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเข้าไปช่วย
ชายปริศนาใช้เท้าเหยียบกดเคียวเพิ่มแรงลงไปอีก โชคยังดีที่ปลายเคียวเล็กแหลมมิเช่นนั้นหัวกน้าแก๊งเอ็ดดี้คงต้องเสียมือข้างนี้ไปแน่
ชายปริศนาก้มลงเอาหน้าลงไปชิดหน้าของหัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้ที่ร้องครวญครางอย่างน่าเวทนาเพราะความเจ็บปวด ภายใต้เสื้อคลุมนั้นปกปิดไว้ด้วยหน้ากากแฟนท่อมชวนขนหัวลุก
“ ความเจ็บปวดนี้ยังไม่เท่าที่ชั้นได้รับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่รีน่าต้องได้รับ ” ชายปริศนาเค้นเสียง
“ รู้แล้ว ” จู่ๆคนในกลุ่มก็ร้องขึ้น “ แกคือเจ้าชายใช่ไหม แกมาแก้แค้นให้รีน่าใช่ไหม พวกเราขอโทษก็ได้ถ้าอย่างนั้น พวกเราไม่ได้ตั้งใจ ”
‘ หมับ ! ’
ร่างนั้นถูกคว้าจับคอจากนั้นยกชูขึ้น แววตาของชายปริศนาแฝงแววไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเมื่อถูกเข้าใจผิดเป็นคนที่เรียกว่าเจ้าชายผู้ที่เป็นต้นเหตุให้รีน่าต้องพบกับชะตากรรมเช่นนั้นแล้วด้วยภายในใจยิ่งระอุจนสุดทนออกแรงบีบคอเจ้าของร่างหายใจไม่ออก จากนั้นเหวี่ยงร่างผู้โชคร้ายเข้าไปรวมกับกลุ่มเพื่อนอีกครั้ง
เสียงร้องจากหัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้แผ่วลงไปเพราะหมดแรงจนแทบหมดสติไปแล้ว ชายปริศนาจึงเดินกลับไปพร้อมดึงเคียวออกอย่างรวดเร็วสร้างความเจ็บปวดให้หัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้อีกครั้ง
เสียงร้องโหยหวนชวนสยดสยอง ราตรีนี้คล้ายกำลังจะถูกย้อมไปด้วยเลือดแต่คำพูดของยมทูตทำให้พวกนั้นรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“ พวกแกจงจำไว้ อย่าให้ชั้นได้เห็นหน้าพวกแกในเมืองนี้อีกเป็นครั้งที่สองไม่อย่างนั้นละก็…. ” เคียวคมกริบส่องประกายภายใต้ความมืดมิดทุกคนที่อยู่ในที่นั่นต่างพากันกลืนน้ำลายพยักหน้าอย่างหวาดกลัว
ก่อนที่ร่างปริศนาจะเดินจากไปมันหันหลังกลับมาพูดด้วยเสียงอันทรงพลัง
“ และจงจำเอาไว้ว่าชื่อของข้าคือ แฟนท่อม ไม่ใช่เจ้าชายจอมอ่อนแอนั่น จงเกรงกลัวข้าเพราะข้าจะเป็นเงาตามลงทัณฑ์บาปของพวกแก ฮ่าๆๆๆ ”
แน่นอนชายปริศนาผู้เรียกตัวเองว่า แฟนท่อมก็คือวินเซนต์นั่นเอง หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเพียงเวลาไม่ถึงอาทิตย์เขาก็สามารถสืบถึงตัวการทั้งหมดได้ก่อนจะใช้แผนเรียกตัวหัวหน้าแก๊งเอ็ดดี้ออกมา หลังจากเหตุการณ์นี้พวกแก๊งเอ็ดดี้ก็รีบพากันไปสารภาพผิดที่โรงเรียนและถูกไล่ออกในภายหลัง ส่วนเรื่องที่ถูกแฟนท่อมหรือวินเซนต์เล่นงานนั้นไม่มีใครกล้าเอ่ยปากบอกออกมาแม้แต่คนเดียว ก่อนจะพากันหนีหน้าไปจากเมืองโดยที่ไม่มีใครเห็นหน้าพวกนั้นอีกต่อไป แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ยังคงคาใจวินเซนต์อยู่นั่นก็คือ เจ้าชายควรจะได้รับโทษอย่างไรกับความผิดในครั้งนี้
คำตอบนั้นเขาเองก็ไม่สามารถตอบได้เพราะทันทีที่รีน่าถูกส่งตัวไปรักษายังต่างประเทศเนื่องจากอาการของเธอจำเป็นต้องใช้ทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการรักษา เขาจึงถือโอกาสติดตามโดยทิ้งศักดิ์ศรีแชมป์ประลองอาวุธสี่สมัยรวดทิ้งในปีที่ห้าและรางวัลนักเรียนดีเด่นของเขาเพื่ออยู่ดูแลรีน่าอย่างใกล้ชิด
หนึ่งปีผ่านไป….
เสียงดนตรีคลาสสิกลอยกลางอากาศ พร้อมวินเซนต์ที่กำลังชงชาเอิร์ยเกรย์อย่างมีความสุขในเวลาบ่ายหลังจากรับประทานอาหารมื้อเที่ยงหรือเมนครอสเสร็จ
“ ได้แล้วครับ ” วินเซนต์ยื่นแก้วชาหอมกรุ่นให้รีน่าที่นั่งอยู่บนรถเข็น
“ ขอบใจนะ ” ผู้รับกล่าวแม้สีหน้าจะดูอ่อนโยนแต่ขอบตาสีคล้ำของเธอบ่งบอกให้รู้ว่าเมื่อคืนเธอก็ยังคงแอบร้องไห้มาอีกแล้ว
วินเซนต์ทำเป็นไม่เห็น
“ วันนี้อยากไปไหนไหมครับ ”
แต่รีน่าส่ายหน้าหนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากต้องเดินทางมายังประเทศนี้เธอก็ไม่เคยรู้สึกมีความสุขเลยแม้แต่วันเดียว ไม่เพียงแต่อาการของเธอที่ต้องไปตรวจเช็คทุกหนึ่งสัปดาห์ แต่ความห่วงหาที่มีต่อเจ้าชายยังคงเดิมเสมอ เพียงแต่ท่านพ่อของเธอสั่งกำชับไม่ให้เธอติดต่อกับคนๆนั้นอีกรวมถึงคอยให้วินเซนต์อยู่ดูแลเธอตลอดเวลา จริงอยู่ที่เธอควรจะดีใจที่วินเซนต์ไม่เคยปริปากบ่นทั้งๆที่เธอตกอยู่ในสภาพนี้ หนำซ้ำยังคอยดูแลไม่ห่างด้วยความทะนุถนอม แต่นั่นก็ไม่อาจปฏิเสธความเป็นจริงในสิ่งที่เธอสูญเสียไปได้ เธอไม่อยากไปโรงพยาบาลอีกแล้วพอกันทีกับการตรวจและการบำบัดที่ยังไงเสียก็ไม่มีทางได้ผล เธอในตอนนี้หวังเพียงจะได้พบกับเขาคนนั้นอีกสักครั้งหนึ่งก็พอ
เธอหลบสายตาอันหวังดีของวินเซนต์ไปยังหนังสือเรียนบนโต๊ะ จู่ๆน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาอีกจนได้
หนึ่งปีที่ผ่านมาเธอต้องเรียนหนังสืออยู่แต่ภายในห้องไม่ก็สวนหลังบ้านโดยครูสอนพิเศษไม่มีโอกาสได้ออกไปพบใครเลย จะมีก็แต่บางวันที่ไม่มีการเรียนการสอนวินเซนต์จะมาดูแลพร้อมถามเธอด้วยคำถามเดิมๆแบบเมื่อครู่
ตอนนี้พวกเพื่อนที่โรงเรียนของเธอจะยังมีความสุขกับการเรียนที่โรงเรียนเก่าของเธอขนาดไหน เจ้าชายจะเป็นอย่างไรบ้าง ใช่ลืมคนอย่างเธอไปแล้วหรือยัง ยิ่งคิดน้ำตายิ่งพรั่งพรูออกมา
คราวนี้วินเซนต์จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ได้แล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รีน่าเป็นอย่างนี้ และเขาก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่ความเสียใจเพราะอาการบาดเจ็บของเธอเพียงอย่างเดียว
‘ ปึก ! ’
วินเซนต์ตบโต๊ะเสียงดัง ทำเอารีน่าตกใจหยุดร้องไห้ในทันที นี่เป็นครั้งแรกที่วินเซนต์แสดงกริยารุนแรงต่อหน้าเธอออกมา
สีหน้าของวินเซนต์แฝงความตกใจในสิ่งที่ตัวเองทำ เขามองรีน่าที่หวาดกลัวและสิ้นหวังจนหัวใจแทบจะแตกป็นเสี่ยงๆ
“ ขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจ ”
‘ ตรู๊ด ตรู๊ด ’
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาขัดบรรยากาศมาคุ
“ ฮัลโหลครับ โอเคครับ ” วินเซนต์ยื่นโทรศัพท์ให้รีน่า “ มีคนอยากพูดสายด้วย เราขอตัวครู่หนึ่งนะ ”
หลังจากวินเซนต์ก้าวออกจากห้องรีน่าค่อยแนบหูเข้าไปโทรศัพท์ในใจเพียงหวังให้เป็นสายของเจ้าชายทั้งๆที่มันมีทางเป็นไปได้
“ เป็นยังไงบ้างจ๊ะ ” เสียงนุ่มจากอีกฝั่งของสายกล่าวอย่างกระฉับกระเฉงซึ่งเธอนึกออกเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ อืม สบายดี ว่าแต่เธอโทรมาได้ยังไงกันเนี่ย หรือว่าเธออยู่ที่นี่ ” รีน่าหัวเราะรู้สึกดีใจอย่างยิ่งที่เพื่อนสุดที่รักของเธอโทรมาหาเธอได้
“ ใช่แล้วเราอยู่ที่นี่ พอดีมาเที่ยวกับที่บ้านน่ะ ว่าแต่อาการของเธอเป็นยังไงบ้าง ” ปลายสายถามอย่างห่วงใย
“ อืมก็ดีขึ้นมากแล้ว หมอบอกด้วยว่าใกล้จะหายแล้วละ ” รีน่าแสร้งบอกเพื่อให้เพื่อนของเธอสบายใจ
“ อยากให้เธอรีบกลับมาเร็วๆจัง รู้สึกว่าเทศกาลประลองระหว่างสถาบันปีนี้จะคึกคักเป็นพิเศษเลยนะ ได้ข่าวว่าโรงเรียนเธอมีชวนพวกโรงเรียนเกเบรียลมาชมการประลองรอบคัดเลือกก่อนการแข่งด้วย ”
รีน่าขนลุกไม่สามารถบรรยายความรู้สึกขณะนี้ได้ ไม่รู้ว่าเป็นความห่วงหาหรือยินดีเมื่อได้รับข่าวเกี่ยวกับโรงเรียนของเธออีกครั้ง แต่ที่เธออยากจะได้ยินมากที่สุดก็คือเรื่องของคนๆนั้น
การประลองระหว่างสถาบันอย่างนั้นหรอ
ทันใดนั้นรีน่าก็คิดอะไรขึ้นมาได้
“ นี่เรานึกอะไรออกแล้ว เธอพอจะช่วยเราได้ไหมถือว่าเป็นคำขอร้องของเพื่อนสนิทคนหนึ่งนะ ขอร้องละ ”
รีน่ากล่าวเป็นการใหญ่ ซึ่งเจ้าของสายรู้จักนิสัยของเธอดีลงเธอร้องขออะไรแล้วเป็นต้องใจอ่อนให้ทุกที เพราะคนอย่างรีน่าไม่เคยร้องขออะไรใครง่ายๆเว้นเสียแต่นั่นจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ
“ ช่วยพาเราหนีไปพบกับคนๆนั้นทีสิ ”
ปลายสายรับฟังเรื่องราวที่รีน่าร้องขอทั้งหมดก็ถึงกับกุมขมับ เรื่องนี้ดูเหมือนจะใหญ่โตเกินกำลังของเธอเช่นกัน
‘ ปัง ! ’
ทันใดนั้นประตูห้องถูกผลักออกวินเซนต์เปิดประตูเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มยากจะบรรยาย
“ แผนการนั้นผมจะช่วยให้สมหวังเองครับ ” วินเซนต์ก้มหน้า “ แต่ว่ามีข้อแม้เพียงอย่างเดียวก็คือ หากเราสามารถล้มเจ้าชายคนนั้นได้ในการแข่งประลองอาวุธ ห้ามไม่ให้เธอไปพบกับหรือพูดคุยกับเขา และเธอจะต้องเลิกติดต่อกับเขาอีกตกลงไหมครับ ”
รีน่าตกใจที่วินเซนต์รู้ถึงการสนทนาของเธอทั้งหมด แต่เมื่อเพื่อแลกกับการได้กับเขาคนนั้นอีกครั้งอย่างไรเสียการได้รับความร่วมมือจากวินเซนต์ย่อมทำให้แผนการของเธอนั้นเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น
“ ตกลง ” รีน่ารับคำท้าด้วยจิตใจแน่วแน่แววตาของเธอเป็นประกายขึ้นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา ทำเอาวินเซนต์อดเจ็บใจไม่ได้
หลังจากนั้นวินเซนต์จึงทำการรายงานพ่อของรีน่าว่าเธอจำเป็นต้องไปเที่ยวเพื่อทำการบำบัดตามคำสั่งของหมอซึ่งระหว่างนั้นเขาจะเป็นผู้คอยดูแลเอง และแล้วการเดินทางของเจ้าหญิงก็เริ่มต้นขึ้นถึงกระนั้นจิตใจเบื้องลึกของเธอก็ยังคิดอยู่เสมอว่าเจ้าชายอาจไม่สามารถรับสภาพที่เกิดขึ้นกับเธอได้ เธอจึงตกลงใจปลอมตัวเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ใครจำได้และบอกข่าวนี้แก่เพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวหรือเจ้าของสายที่โทรมาเท่านั้น
กลับมาที่การประลองร่างของบุคคลที่เธออยากจะพบเป็นที่สุดกำลังนอนแน่นิ่งในขณะที่เคียวยมทูตถูกยกขึ้นจนพร้อมที่จะฟันลงมาแล้ว
จริงอยู่ที่เธออยากเพียงแค่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เมื่อเห็นว่าเขาสบายดีเธอก็มีความสุข แต่ว่าตอนนี้เธออยากได้พบกับเขา ได้พูดคุยกับเขาอีกครั้ง
“ ขอร้องละ ได้โปรดช่วยลุกขึ้นมาด้วยเถอะ ” หญิงสาวในหมวกแก๊ปที่นั่งบนรถเข็นข้างไลร่าตะโกนขึ้นเป็นคำรบที่สามน้ำตาแห่งความคิดถึงไหลออกมาจากสองข้างแก้มจากนั้นพยายามยันตัวขึ้นจากรถเข็น
แต่ไซโคร แนชยังคงนอนนิ่งคล้ายไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ
“ นี่เธอ ” ไลร่าที่อยู่ข้างๆตะลึงเมื่อเห็นเพื่อนของเธอเกิดอาการห่วงหาได้ถึงขนาดนี้
ไม่เพียงแต่ไลร่าที่ตกใจ วินเซนต์เองก็เช่นกันเคียวยมทูตชะงักลงกลางคัน
หญิงสาวในหมวกแก๊ปนั้นที่แท้ก็คือ รีน่านั่นเอง เธอพยายามยันตัวลุกขึ้นมาจากรถเข็นเพียงเพื่อที่จะได้เข้าไปใกล้เวทีหวังเพียงให้เจ้าชายได้ยินเสียงของเธอ
“ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ นี่เป็นคำสั่ง ได้ยินไหม ! ”
น้ำตาไหลอาบข้างแก้มก่อนที่ร่างของหล่อนจะยันตัวได้ด้วยขาสองข้าง ทำให้วินเซนต์เบิกตากว้างด้วยความตกใจนึกถึงคำพูดของแพทย์ในวันนั้น
‘ ต้องขอโทษด้วยนะครับ แต่มีดปักเข้าบริเวณเส้นประสาทเธออาจไม่สามารถเดินได้อีกต่อไป ’
‘ ตอนนี้เรารักษาเส้นประสาทของเธอได้แล้ว ส่วนเหตุผลที่เธอยังไม่สามารถเดินได้นั้นอาจเป็นอาการทางจิตที่เกิดจากความหวาดกลัวและผิดหวังอยู่ลึกๆก็เป็นได้ ’
‘ โครม ! ’
ร่างของรีน่าเสียหลักล้มลงจากรถเข็นเพราะยังไม่สามารถทรงตัวได้ แต่โชคยังดีที่ไลร่าเข้ามาช่วยประคองไว้ได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บนัก ความสนใจของทั้งห้องขณะนี้ตกไปยังหญิงสาวทั้งสอง
รีน่าได้แต่สะอื้นความหวังทุกอย่างจบลงแค่นี้แล้วหรือ เธอจะไม่ได้เจอกับเขาแล้วใช่ไหม….
วา ดีว่า โซเฟียหรือแม้กระทั่งซาโต้ต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งวาบอกได้คำเดียวว่าถึงแม้เขาจะไม่รู้ที่มาที่ไป แต่สิ่งที่รีน่ากำลังทำอยู่นั้นทำให้เขารู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก
ท่ามกลางห้วงจักรวาลอันมืดมิดไซโคร แนชได้ยินเสียงสุดท้ายนั้นอย่างชัดเจน ร่างกายของเขาขณะนี้ชาด้านไปด้วยผลข้างเคียงของการใช้รีเจนเนเรเตอร์และสายฟ้าแห่งเทพติดต่อกัน
‘ ไม่ผิดแน่เสียงๆนั้น ’
เพียงแค่พยายามขยับนิ้วร่างกายก็รู้สึกชาและเจ็บปวดเกินกว่าจะรับได้ แต่ไซโคร แนชไม่ยอมแพ้ฝืนกำหมัดที่สั่นระริกจากนั้นร่างทั้งร่างก็สั่นเทาจากอาการชาของไฟฟ้าที่ไหลเวียนอย่างผิดปกติในตัวเขา
แต่จิตของเขาสั่งให้เขาลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เพราะคำตอบที่รอคอยมาแสนนานบัดนี้ได้อยู่ตรงหน้าแล้ว และเขาจะไม่ยอมให้อะไรมาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจของเขาอีก
‘ อยากจะเจอกับเธออีกสักครั้ง ! ’
ไซโคร แนชฝืนลุกขึ้นมาได้อย่างปาฏิหาริย์แม้ว่าการลุกขึ้นยืนครั้งอาจทำให้ร่างกายบางส่วนของเราได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ได้
ความเจ็บปวดแผ่ไปทั่วร่างของเขาเพราะไฟฟ้าสถิตในร่างที่ไม่สามารถควบคุมได้
“ กะ แก ” วินเซนต์ยกเคียวค้างด้วยความตกใจไม่คิดว่าไซโคร แนชจะสามารถลุกขึ้นมาได้จริงๆ ซึ่งความจริงขอเพียงแค่เขาสะบัดเคียวใส่ไซโคร แนชในตอนนี้ไซโครแนชย่อมไม่สามารถหลบรอดได้
“ ระ รี เจน เนอ เร เตอร์ ! ” ไซโคร แนชกัดฟันโคจรปราณสายฟ้าไม้ตายสุดยอดขึ้น พริบตานั้นสมองรู้สึกชาด้านพร้อมกับความเจ็บแปลบที่ไหลเข้ามาสติคล้ายจะหลุดลอยไปอีกครั้ง
ไซโคร แนชข่มความเจ็บปวดทั้งหมดไว้ด้วยจิตใจอันแน่วแน่
‘ ได้โปรดเถิดพระผู้เป็นเจ้า ขอพลังให้ผมอีกสักครั้งเถอะ ขอเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอแค่เธอยืนอยู่ตรงนั้น เพียงแค่นั้นเราจะไปหาจะไม่ยอมให้หนีไปไหนอีกแล้ว ’
‘ กรรแสงเทวทูต ! ’
รีเจนเนอเรเตอร์ขั้นสูงสุดจากความคะนึงหาถูกใช้ออกมาในพริบตานั้น
แสงสว่างส่องวาบขึ้นจากการโคจรรีเจนเนอเรเตอร์เป็นครั้งที่สามซึ่งเกินกว่าที่ร่างกายและขีดจำกัดของคนๆหนึ่งจะทำได้ พร้อมสายฟ้าเปรี้ยงปร้างขึ้นทั่วร่างของไซโคร แนชวูบหนึ่ง
อาการชาทั่วร่างกายหายเป็นปลิดทิ้ง ทว่าความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในสมองของเขากลับรุนแรงขึ้น
ผลจากการฝืนใช้รีเจนเนอเรเตอร์เป็นครั้งที่สามเพื่อให้ร่างกายหากจากอาการเจ็บปวดนั้นช่วยให้ร่างกายของไซโคร แนชหายเจ็บไปได้ชั่วขณะก็จริง แต่ประสาทสมองก็ถูกทำร้ายด้วยการเสียการควบคุมของไฟฟ้าสถิตจนแทบจะควบคุมสติไว้ไม่ได้
‘ ความจริงการแข่งครั้งนี้พ่อควรจะยุติมันลงเสีย แต่การที่ลูกยังลุกขึ้นมาได้ด้วยการใช้รีเจนเนอเรเตอร์เป็นครั้งที่สามคงเป็นเพราะพลังศรัทธาอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า ความรัก ’
หลวงพ่อแอนเดอร์สันอาจารย์ประจำชมรมนักสู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้ประสิทธิประสาทวิชาให้ไซโคร แนชยืนมองด้วยจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธา
‘ ถึงแม้ว่าการที่พ่อปล่อยให้ลูกฝืนร่างกายของตัวเองจะเป็นความผิดใหญ่หลวงแต่ศรัทธาที่เจ้ามีในขณะมันเกินกว่าที่คนอย่างพ่อจะมีสิทธิเข้าไปห้ามได้ ขอให้ลูกโชคดีก็แล้วกัน เอเมน ’
‘ ก็เอาสิชั้นจะให้โอกาสแกอีกสักครั้งก็แล้วกันเพื่อเห็นแก่รีน่า ’ วินเซนต์ถอยห่างออกมาจากไซโคร แนชเปิดโอกาสให้เขาก้มเก็บดาบกางเขนคู่ในสภาพที่เกือบจะเรียกได้ว่าทุลักทุเล
ดาบกางเขนคู่บัดนี้กลับมาอยู่ในมือทั้งสองของไซโคร แนชอีกครั้ง พร้อมตั้งท่าเป็นรูปกางเขนเตรียมเพื่อเข้าสู่ศึกตัดสินครั้งสุดท้าย
“ น้อมรับคำสั่ง กำลังจะไปหาเดี๋ยวนี้ ”
_____________________________________
ความคิดเห็น