ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #29 : XXVIII_ยินดีต้อนรับสู่บ้านกระต่ายเจ้าค่ะ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 277
      1
      6 พ.ย. 58

    THE WHITE RABBIT

    XXVIII

    ยินดีต้อนรับสู่บ้านกระต่ายเจ้าค่ะ





             KO...

             ซันนี่เป็นฝ่ายชนะภายในกระบวนท่าเดียว... ส่วนผู้เเพ้ก็นอนท่าเดิมเพียงเเต่เอามือขึ้นมาปิดหน้าเเดงๆนั่นไว้เท่านั้นเเหละ

            ผมชักสงสารเขาแล้วแฮะ

             พอศัตรูของเธอนอนเเน่นิ่งซันนี่ก็ถอยออกมา เเล้วเดินมาทางพวกผม

             "พวกคุณดูไม่ค่อยดีเลยนะเจ้าคะ" ซันนี่บอกด้วยหน้าเรียบเฉย "กลับกันเถอะเจ้าค่ะ"

              "อะ...อืม"ผมรับคำ เเล้วซันนี่ก็ร่ายเวทย์เคลื่อนย้ายออกมา พาพลพรรคเเมวหนึ่ง กระต่ายหนึ่ง เเล้วก็คนอีกสอง ออกไปในทันที

             อืม ก็ง่ายๆงี้ล่ะครับ

             เเล้วกัสตินน่ะเหรอ? ผมยังเห็นเขานอนท่าเดิมอยู่เลยจนพวกเราหายวับไป

             "นายท่าน..."กัสตินเอ่ยขึ้นทั้งๆที่ยังนอนอยู่ท่าเดิม

             'ทำใจดีๆไว้กัสติน' นายของเขาพยายามปลอบประโลม

              "ข้าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว"

              '...'

     

     

     

     

           ผมวาบมาอีกทีก็มาอยู่ในบ้านกระต่ายเเล้ว สมเป็นซันนี่จริงๆที่ใช้เวทย์เคลื่อนย้ายออกมาได้เเม่นเป๊ะ

           "โอ๊ย... ที่นี่ที่ไหนเนี่ย" เมลโล่ร้องออกมา เหมือนมันจะพึ่งตื่น

            "ยินดีต้อนรับสู่บ้านกระต่ายเจ้าค่ะ" ซันนี่เป็นคนตอบ เเละทักทายตามมารยาทไปพร้อมๆกัน

            "บ้านกระต่าย?" เจ้าเมลโล่ดูงงๆ

            "ถ้าเมทริซฟื้นเมื่อไรเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังเเล้วกันนะ" ผมบอกกับเมลโล่ เจ้าเเมวเหมือนพึ่งนึกได้ ก็เลยไปดูเจ้านายมัน มันเเปลงร่างเป็นคน เเล้วอุ้มเมทริซขึ้นมา

            "พาเข้าไปพักในบ้านก่อนสิเจ้าคะ" ซันนี่เอ่ย เเล้วเธอก็ชี้ไปทางบ้านหลังน้อยรูปเห็ดหลังหนึ่ง เมลโล่พยักหน้าเข้าใจเเล้วพาเมทริซเข้าไป

             ส่วนผมเข้าไปอุ้มเจ้าบักกี้ขึ้นมา มันยังหายใจรวยริน เป็นอันเข้าใจกันว่ามันยังไม่ตาย

             "เขาดูไม่ดีเลยนะเจ้าคะ" ซันนี่เดินเข้ามาดู เธอขมวดคิ้วเครียด

            "อืม ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเจออะไรมา" ผมบอก

            "ฉันจะรักษามังกรตัวนั้นเองเจ้าค่ะ"เมทริซบอก เเล้วเธอก็เดินไปที่มังกรขาวเวทย์ฟื้นฟูขนาดใหญ่ถูกกางออกมา

             ผมเดินเข้าไปในบ้านรูปเห็ดนั่น ถึงภายนอกของบ้านหลังนี้จะดูเล็กๆ เเต่มันมีถึงสามชั้นเเล้วก็ยัดห้องนอนไว้ได้สี่ห้อง ข้างในนั้นอากาศอุ่นสบาย เตาผิงยังมีไฟคุอยู่ ผมเห็นเมทริซนอนนิ่งอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องที่เปิดประตูโล่งห้องหนึ่ง ข้างๆมีเมลโล่ที่นั่งจ้องอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย

             ผมวางเจ้าบักกี้ลงบนเบาะนุ่มๆหน้าเตาผิงอย่างเบามือ เเล้วนั่งลงข้างๆ

             เมื่อกี้ผมใช้เวทย์ไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นกันนะ...

             หรืออาจเป็นเพราะกัสติน?

             ผมสงสัยเเต่เเล้ว มือหนึ่งก็ทาบลงไปบนตัวของบักกี้ ผมร่ายเวทย์ย้อนเวลาอีกครั้ง  เเต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม จนผมล้มเลิกความคิดเพราะความเจ็บปวดในหัว

          เกิดอะไรขึ้นเนี่ย... ผมลองใช้เวทย์อื่นอย่างเวทย์ฟื้นฟู เวทย์ไฟ เสกนํ้า เสกนํ้าเเข็งไปเรื่อย เเต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน.... ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอเวทย์สักนิดก็ไม่มี

             รึผมจะใช้เวทย์ไม่ได้? หรือมาคุสเสกอะไรเเปลกๆเข้าตัวผมตอนหนีหรือเปล่า?

            "สีหน้าคุณดูไม่ดีเลยนะเจ้าคะ"ซันนี่บอกเเล้วเดินมานั่งข้างๆผม เธอถือขวดโหลเเก้วที่มีเม็ดกลมๆหลากสีอยู่ในนนั้น มันเหมือนลูกกวาด ซันนี่เอามันยัดเข้าไปในปากบักกี้ ผมถึงได้เปลี่ยนความคิดเรื่องที่มันไม่ใช่ลูกกวาด 

             "ยาเหรอ สีสันดูดีจัง" ผมพูดขึ้น นอกจากซันนี่จะมีลูกเตะมฤตยูเเล้ว เธอยังเป็นหมอยาที่เก่งกาจคนหนึ่งอีกด้วย

             "เจ้าค่ะ เผื่อสำหรับเด็กๆด้วยน่ะเจ้าค่ะ" เธอตอบ เธอมองไปที่บักกี้พักนึงเเล้วก็ต้องขมวดคิ้ว "เขาท่าจะอาการหนักนะคะ ยาของฉันถึงใช้ไม่ได้ผล"

              "อืม... " ผมรับคำ นึกถึงสภาพของบักกี้ตอนเเผลเต็มตัว สภาพนั้นน่าจะสะเทือนถึงอวัยวะภายในด้วย "ว่าเเต่เธอตามเราเจอได้ยังไง" ผมถาม 

             "บังเอิญว่าฉันไปหาสมุนไพรเเถวนั้นพอดีน่ะเจ้าค่ะ"ซันนี่ตอบด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เเต่ผมก็ขมวดคิ้วมุ่น เธอมาหาสมุนไพรจริงๆเหรอ? ฤดูนี้เนี่ยนะ?

            "ฉันขอดูอาการน้องสาวคุณหน่อยนะเจ้าคะ " ซันนี่บอกเเล้วเดินเข้าไปในห้องที่เมทริซนอนอยู่ ผมเดินตามไป

            "เธอไม่ได้ทานอะไรมาหลายวันสินะเจ้าคะ" ซันนี่ถาม

            "อืม" เจ้าเมลโล่เป็นคนตอบ มันคงตามดูเมทริซอยู่ตลอด

            ซันนี่กลับไปจัดการกับยาของเธอ เธอเอามันไปบด เเล้วละลายในนํ้าร้อน ก่อนจะเอามาป้อนให้เมทริซ ไม่กี่อึดใจ เมทริซก็ลุกขึ้นมาไอโขลกๆ        

            ยาของซันนี่ได้ผลเกินคาดเสมอ...

            "เมทริซไม่เป็นไรนะ..." ผมถาม เมทริซดูสลึมสลือเธอกระพริบตาดูพวกเราสองสามที ก่อนจะเอ่ยเรียกชื่อออกมา

             "พี่? เมลโล่?"

             ผมกับเมลโล่ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เมทริซเรียกชื่อเราออกมาได้เต็มปากเต็มคำ

             "เอาล่ะ..." ผมพูดขึ้น "จะเริ่มเล่ากันตั้งเเต่ตรงไหนดี" ผมยิ้ม ได้เวลาเผชิญหน้ากับความจริงเเล้ว...

             "ค่ะ... หนูจะเล่าให้ฟังทุกอย่างเลย..."

     

     



     

              วันนั้นพ่อเธอกลับมา เขาจะพาเธอเข้าประตูมิติ ไปอยู่โลกที่เขาอยู่ ทำงานให้เขา ก็เหมือนทุกครั้งที่เธอกลับไปกับพ่อ

             เเต่มันเริ่มเปลี่ยนไปทุกๆครั้งที่เธอได้มาอยู่กับพี่ชาย เธอเริ่มระเเคะระคายในงานที่พ่อสั่งให้ทำ ไม่รู้เพราะอะไรทั้งๆที่นั่นเป็นสิ่งที่เธอทำมาทั้งชีวิต ตั้งเเต่จำความได้ด้วยซํ้า... เธอถูกเลี้ยงมาเพื่อสังหารตามคำสั่งผู้เป็นพ่อเท่านั้น

             เเต่พี่ต่างออกไป เขาบอกให้เธอเข้าโรงเรียน เขาสอนให้เธอมีเพื่อน สอนให้รู้จักเเบ่งปัน... สอนให้เธอรู้จัก... ความเป็น 'มนุษย์'

             เสียงรถคันนึงจอดอยู่หน้าบ้านเธอเเบบที่นานๆจะมีสักคัน

             พ่อมาเเล้ว...

             เธอเปิดประตูให้เขาเข้ามา พ่อเธอดูสงบนิ่งในวันนั้น เขาน่าจะอารมณ์ดี

             บางทีฉันน่าจะขอเขาได้ เธอคิด ฉันไม่อยากกลับไปโลกนั้นอีกเเล้ว...

             ตอนนั้นเองที่มีเสียงระเบิดขึ้นเรียกเธอให้ตื่นจากภวังค์...

             รอยเเยกของมิติขนาดใหญ่วาบขึ้นกลางห้องของเธอ ผลจากรอยเเยกของมิตินั้นทำให้ห้องลุกเป็นไฟ สีหน้าตกใจขอบผู้เป็นพ่อบอกเธอว่าเขาไม่ใช่คนทำ

             รอยเเยกของมิติเกิดขึ้นได้ทุกที่ ถ้ามิติมีการเเปรปรวนอย่างหนัก มันเหมือนกับพายุหรือใกล้เคียงหน่อยก็คือหลุมดำ

             ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้มันปิดตัวของมันเอง เเต่พี่ยังอยู่ข้างบน นั่นคือสิ่งที่ฉันห่วง เเต่เเล้วฉันก็ได้ยินเสียงเขาเดินลงมา

            ใบหน้าของฉันซีดเซียว ไม่ดีเเน่ถ้าพี่มาเห็นเขา

            ฉันเห็นเขาตอนมองสภาพห้องอย่างตกใจ เเต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ฉันมองเขาร่วงลงไปในหลุมดำนั่น เเต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้...

            ฉันจะกระโดดลงไป เเต่พ่อก็ห้ามไว้

            'เขาไม่รอดหรอก'

            นั่นคือสิ่งที่พ่อบอกกับฉัน เขาพูดออกมาได้ยังไงฉันก็ไม่เข้าใจ นั่นลูกของเขานะ

            วินาทีที่รอยเเยกมิติปิดลงพร้อมร่างของพี่ฉัน ฉันก็เเทบทรุด ความคิดด้านลบโถมเข้ามา พ่ออาจจะพูดถูก หล่นลงไปในรอยเเยกมิติ มันไม่เหมือนประตูมิติที่สร้างขึ้นมาเอง เขาอาจจะโดนฉีกเป็นชิ้นๆตอนอยู่ในนั้น หรือถ้ารอดเขาอาจจะไปโผล่ที่ไหนก็ได้ ที่นั่นอาจมีสัตว์ร้าย เขาจะรอดยังไง เขาใช้เวทย์ไม่เป็นด้วยซํ้า...

            ช่วงนั้นเป็นตอนที่ฉันเกลียดตัวเองที่สุด ฉันบอกกับพ่อเรื่องที่ไม่อยากทำงานให้เขาอีกต่อไปแล้ว ฉันอยากอยู่คนเดียว อยู่อย่างสงบ พ่อเชื่อฉันเขาให้ฉันไป เเต่ก็มีข้อเเม้ถ้าฉันทำงานสุดท้ายให้เขาสำเร็จ...

            ปลงพระชนราชาเเละเชื้อพระวงศ์ทั้งหมด...

            หรือนั่น...ก็ไม่ได้ต่างจากสร้างสงคราม เเละฆ่าอีกหลายชีวิตที่โลกนี้

            ฉันอาจจะเป็นพวกเห็นเเก่ตัวก็ได้ เพราะฉันรับคำของเขา

           เเน่นอนว่าเราไม่ได้บุกเข้าไปฆ่าราชาเฉยๆ นั่นเป็นความคิดที่โง่มาก เราใช้เเผนเดิมที่ใช้กันอยู่บ่อยๆนั่นก็คือ 'หนอน' โชคดีที่หนอนของเราในคราวนั้นคือหัวหน้าองครักษ์อย่างไวเนอร์ เราสืบประวัติของเขา เขาอยู่เอริคาซีมาตั้งเเต่เกิด เเต่เขาเกิดในสลัม มันอาจดูไม่น่าเชื่อที่จะมีสลัมในอาณาจักรที่รุ่งเรืองอย่างเอริคาซี เเต่มันมี ต่อให้เป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่อย่างราชาโรเซียน เเต่อาณาจักรที่กว้างใหญ่เท่าไร ยิ่งดูเเลยากขึ้นเท่านั้น

           ครอบครัวของไวเนอร์เป็นหนึ่งในเศษที่หลงเหลือเหล่านั้น...

           เขามาเป็นอัศวินก็เพราะเหตุนี้ ต้องการทูลกับราชาเรื่องครอบครัวของเขา ชุมชนของเขา ทั้งกองโจร โรคระบาด ศาลเตี้ย... เเน่นอนว่าราชาโรเซียนรับฟัง ความภักดีของไวเนอร์ก็เกิดขึ้นในตอนนั้น

            เเต่ความภักดีนั้นก็ทำลายได้ง่ายๆเช่นกัน

           มันไม่ยากเลยที่เเค่จะเป่าหูเขาด้วยจดหมายปลอมๆจากครอบครัวของเขาสักฉบับ เเละก็ได้ผล ไวเนอร์เลือดขึ้นหน้าทันทีโดยไม่เช็คให้ดีก่อน หลังจากนั้นเราก็เข้ามาทำเป็นบอกว่าเห็นอกเห็นใจเขา

            จนกระทั่งวันที่นักฆ่าได้ลงมือ...

            วันนั้นเองที่ฉันได้เจอกับพี่พร้อมเวทย์กาลเวลาอันคาดไม่ถึงของเขา

             เเต่เเค่เห็นหน้าพี่ความผิดชอบชั่วดีที่เขาเคยสอนก็โถมเข้าใส่ใจฉัน ฉันถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งหลังจากนั้น

             ฉันทำอะไรลงไป?

             ฉันเห็นศพของไวเนอร์ คนคนนั้นต้องใช้ความพยายามเท่าไรถึงจะไต่เต้าจากเด็กในสลำมาเป็นหัวหน้าองครักษ์  ... เเต่ฉันก็ทำลายเขา

             ฉันทำอะไรลงไป?

             เวลานั้นเหมือนพื้นดินที่ฉันยืนอยู่เหลวเป้วเป็นบ่อโคลนที่ดูดตัวฉันเองลงไป ความเเข็งเเกร่งที่เคยมีมามันหายไป พี่ชายที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงหนึ่งเดียวก็ไม่อยู่...

              หลังจากนั้นฉันก็เห็นใบประกาศจับชื่อ ผีดิบ ที่ขึ้นหราอยู่ พร้อมใบหน้าของพี่ชาย ซึ่งฉายาของเขาไม่ได้เข้ากับตัวจริงของเขาเลย เเต่ฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่ล่าหัวของเจ้า'ผีดิบ'ที่ค่าหัวขึ้นอันดับหนึ่ง

             ฉันหวังว่าจะได้เจอ...

             เเต่ไม่เลย มีเเต่พวกโจรกระจอกที่เเอบอ้างตัวเองว่าคือเจ้าผีดิบอันโด่งดังเพื่อสร้างชื่อให้ตัวเอง

             พวกนั้นโง่นัก ไม่รู้หรือไงว่ามีนักล่าค่าหัวกี่คนต่อกี่คนที่ตามล่าผีดิบอยู่

             ฉันตามหาเขามาร่วมสี่เดือนเเต่ก็ไร้วี่เเวว เหมือนมีใครคอยปกป้องเขาอยู่ ใครบางคนที่ฉันไม่สามารถต่อกรได้...

             ฉันกลับมาหาพ่อพร้อมความผิดหวังเป็นครั้งที่เท่าไรเเล้วก็ไม่รู้ วันนั้นเองที่ฉันเห็นพ่อร่ายเวทย์ต้องห้ามนั่น ...เวทย์คืนวิญญาน

             ใครคนหนึ่งฟื้นขึ้นมาจากวงเวทย์ที่พ่อฉันสร้าง เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันไม่รู้จัก นางเป็นหญิงที่งดงามนักเสียเเต่นางมีเเววตาที่น่ากลัว...

              เเต่พ่อไม่จบเเค่นั้น เขาคืนชีพให้เผ่าพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วอย่างเวตาล เเล้วฝูงเวตาลนั่นก็หอบพลพรรคของมันไปที่เอริคาซี

              พ่อบอกเเผนการน่ากลัวของเขาให้ฉัน... เเล้วหายไปกับฝูงเวตาลนั่น

     



     

     

             "หนูพยายามหยุดเขา ตามเขามาถึงเอริคาซี เขาหนี เเต่หนูโดนจับ ... เเล้วพี่ก็มาช่วย" เมทริซเล่าเรื่องเเบบกระชับที่สุด เธอยิ้มเศร้าเมื่อเล่าทั้งหมดนั่นจบ

             ผมนึกถึงเรื่องที่ลานประหารนั่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมไปไม่ทัน

             "พี่อย่าทิ้งหนูไปไหนอีกนะ" เธอบอกปนด้วยเสียงสะอื้น

             "ไม่เเล้วล่ะ ไม่มีทาง..."ผมกอดเธอตอบ พวกเราดูเป็นพี่น้องที่รักกันดีเนอะ เเต่ก็ใช่ ผมกับน้องอยู่โดยไม่มีพ่อเเม่คอยเลี้ยงดู หรือคอยบ่นเวลาทะเลาะกัน นั่นคือเหตุผลที่เราเห็นความสำคัญของกันเเละกัน เรามีกันอยู่เเค่สองคนพี่น้อง สองคนที่เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าวันหนึ่งใครสักคนหายไป ก็เหลือเพียงตัวคนเดียว...

            ถ้าพี่น้องคู่ไหนกำลังทะเลาะกัน เชื่อผมเถอะ รักเขาให้มาก อยู่กับเขาให้นานๆ ทะเลาะกัน เเต่อย่าเกลียดชังกัน ในวันที่เขาไม่อยู่ คุณจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง

           "นี่เมทริซ" ผมเรียกชื่อน้องออกมา "ยังมีอีกเรื่องนึงที่พี่ยังไม่รู้..."

            "อืม พี่ถามมาสิ"เมทริซตอบเสียงอู้อี้ เพราะซบหน้ากับอกผมอยู่

            "เเม่ล่ะ? รู้หรือเปล่าว่าเเม่อยูไหน?"

            สิ้นคำผมรู้สึกว่าเมทริซหายใจสะดุด เธอค่อยๆคลายมือที่กอดผมไว้เเล้วนั่งนิ่ง

            "เมทริซ?" ผมเรียกเธอซํ้า เธอไม่กล้าสบตาผม นั่นทำให้ผมใจไม่ดี

            "พี่รู้ไหม เเม่เราเป็นผู้มีสายเลือดเทพเชียวนะ" เมทริซมองขึ้นสบตาผม "เธอเป็นร่างทรงของเรอา"

            ร่างทรงของเรอา... คำนั้นเวียนเข้ามาในหัวผมซํ้าเเล้วซํ้าเล่า ผมก็ได้เเต่ภาวนา อย่าให้เธอเป็นอย่างที่คิดเลย...

            "พี่คะ... เเม่น่ะจากไปนานเเล้วนะ..."

    ---------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×