ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The White Rabbit

    ลำดับตอนที่ #9 : VIII_I_ผมชื่อเอริค...

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 299
      1
      6 พ.ย. 58

          THE WHITE RABBIT
    VIII_I

    ผมชื่อเอริค...




    ผมชื่อเอริค...

          พ่อเเม่เเยกทางกันตั้งเเต่ผมห้าขวบ ภาพตอนนั้นยังติดตาผมไม่มีวันหาย ....

          วันนั้นฝนตกหนักมาก เเต่ผมยังได้ยินเสียงเคาะประตูตอนกำลังดูหนังสยองขวัญรอบดึก แม่ทำงานอยู่ในห้องอีกห้องหนึ่ง ผมเลยบอกเธอว่าจะไปเปิดให้ ผมเขย่งเท้าเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู พอกลอนถูกบิดให้เปิดออก คนที่อยู่หลังประตูก็ผลักประตูเข้ามาอย่างเเรงจนผมปลิวกระเเทกผนังดังเเอ้กเหมือนเเมวที่โดนเตะ

           เเม่ออกมาจากห้องตอนผมโดนอัดกระเเทกผนังพอดี เธอโมโหมากเดินกระเเทกเท้ามาต่อยหน้าคนกระเเทกผมจนล้มทั้งยืน เเถมเเม่ยังต่อว่าใส่อีกต่างหาก ปกติเเล้วถ้ามีใครทำอะไรผมเจ็บเเม่จะโกรธมากเเละผมก็จะทำหน้าสำออยอยู่เฉยๆ คอยให้ไอ้คนที่มันทำผมเจ็บโดนด่าอย่างสะใจ แต่ครั้งนี้ผมคงอยู่เฉยไม่ได้เพราะคนที่เปิดประตูออกมาเป็นพ่อผมเอง

          "แม่!! ผมไม่เป็นไร!!"ผมลุกไปกระตุกเเขนเสื้อเเม่ เธอหยุดเเละหันมามองผม แต่เเทนที่เธอจะใจเย็นลงกลับโมโหกว่าเดิม .... เเย่เเฮะ ผมลืมเช็ดเลือดกำเดาออก ผมใช้เเขนเสื้อป้ายมันออกเเล้วพยายามรั้งเเม่อีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร พ่อก็ลุกขึ้นมากระเเทกเเม่ออกไป แล้วก็กลับมากระชากเเขนผมดึงออกไปจากบ้าน ร่างของผมปลิวไปตามเเรงของเขา…. ผมปลิวจริงๆนะ นั่นเป็นหนึ่งในหลายๆครั้งที่ผมคิดว่าควรกินเยอะกว่านี้

           ตัวของผมเปียกโชกทันทีที่ออกจากบ้านเพราะฝนที่กระหนํ่าออกมาไม่หยุดยั้ง มือเล็กๆนั่นพยายามเเกะมือของพ่อที่กำคอของผมไว้เเล้วลากออกไป

          ผมบอกว่าผมเจ็บ พ่อเลยหยุดเเล้วก็มองตอบ  ด้วย...สีหน้าแบบไหนผมก็ไม่รู้เพราะผมลืมมันไปแล้ว อาจจะเป็นเกลียดชังล่ะมั้ง?

           แม่วิ่งออกมาจากบ้านโดยไม่ได้ใส่รองเท้า เธอไม่ได้ร้องให้ฟูมฟายเหมือนนางเอกในละคร สำหรับผมเธอเป็นหญิงเหล็กที่หาใครเทียบไม่ได้... ก็อย่างว่า พอเธอเดินเข้ามาถึงตัวพ่อหมัดของหญิงสาวก็ตอกจนหน้าหัน พอผมหลุดออกจากมือของพ่อก็วิ่งเข้าไปหาเเม่ทันที พ่อที่โดนต่อยหันกลับมาด้วยสีหน้าโมโห เเต่พอเเม่พูดอะไรบางอย่างออกไป ซึ่ง... ผมจำไม่ได้เเล้วอีกนั่นแหละ พ่อก็เก็บสีหน้าโมโหกลับไป เขาถอยหลังเเล้วส่ายหน้าก่อนจะเดินกลับทางเก่าที่เขามา

           ผมมองไปที่เเม่ ไม่รู้ว่าที่ใบหน้าของเธอเป็นนํ้าฝน... หรือนํ้าตา

           หลังจากวันนั้นพ่อไม่เคยกลับมาอีกเลย จนกระทั่ง... เมทริซเกิดมา

          แม่ไม่เคยบอกผมว่าท้อง ยอมรับว่าผมเป็นลูกที่เเย่ ขนาดเเม่ท้องจนครบเก้าเดือนเเล้วยังไม่รู้เลย มารู้อีกทีก็ตอนโทรหาเเม่หลังจากโรงเรียนเลิก นางพยาบาลคนหนึ่งรับโทรศัพท์ เธอบอกว่าเเม่อยู่โรงพยาบาล เธอ พึ่งคลอดลูกสาว

           ตอนนั้นผมมือสั่น  วางโทรศัพท์เเล้วกลับไปดูหมายเลขอีกทีว่ากดเบอร์ถูกหรือเปล่า เเล้วก็ลองโทรไปอีกครั้ง พยาบาลคนเดิมก็รับ....

           นี่ผมอยู่ในรายการเกมโชว์รึเปล่าเนี่ย!!??

           แต่ คงไม่มีรายการเกมโชว์ไหนปล่อยให้เด็กห้าขวบวิ่งไปโรงพยาบาลเป็นกิโลๆหรอก

          ผมหอบฮักๆอยู่หน้าตึกโรงพยาบาลพอเตรียมใจได้ก็ถามหาเเม่โดยการเกาะขอบเค้าเตอร์ แล้วก็พยายามยื่นหน้าออกไป พอได้เลขห้องผมก็ไม่มานั่งรอรีบวิ่งขึ้นบันไดไปทันที ทั้งๆที่ลิฟท์ก็อยู่ข้างๆ

           นี่เป็นวันอีกวันหนึ่งที่ผมจำได้เเม่นที่สุดตอนห้าขวบ เเม่ผมนอนสลบอยู่บนเตียง ข้างตัวเธอมีเด็กทารก ผมก้าวเข้าไปหาเด็กคนนั้นช้าๆด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ เด็กคนนั้นก็หลับอยู่เช่นกัน    

          ผมดีใจไหมที่มีน้องสาว... จริงๆก็ไม่รู้ ก็ยังไม่ได้ทันเตรียมใจเลยว่าจะมีน้อง... เเต่ได้เตรียมใจหรือไม่ผมก็เลี้ยงเธอมาได้ถึงขวบเศษๆ

          ภาพของเด็กน้อยที่คลานเตาะเเตะยังอยู่ในสมองผมเสมอ ผมว่าช่วงเวลาที่ได้ดูเเลเธอเป็นหนึ่งปีที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตเลย ใช่... แค่ปีเดียว เพราะบุคคลที่ไม่คาดคิดก็โผล่มา พ่อกลับมาอีกครั้งแล้วก็พาเมทริซไปด้วย ผมไม่รู้ว่าเเม่ยินยอมหรือเปล่า เพราะตอนนั้นผมอยู่ที่โรงเรียน พอกลับมาเมทริซก็ไปซะแล้ว ผมอยากซักไซร้ให้มากความกว่านี้ เเต่ดูหน้าของเธอเเล้ว ... คงไม่อยากจะตอบ

           เเม่ไม่อยากตอบผมก็ไม่อยากถามชีวิตผมหลังจากนั้นรู้สึกว่าจะน่าเบื่อสุดๆเลย ผมอยากให้น้องสาวกลับมา ก็เเค่อยากมีเพื่อนคุยเท่านั้น

     



     

           ต่อจากนั้นก็ตอนผมขึ้นมัธยม

          โรงเรียนกับบ้านเป็นปรัชญาของผม เย็นนี้ก็เช่นกัน ผมกลับบ้านเป็นปรกติตามเวลาเดิมเป๊ะๆ ทุกครั้งที่ผมเดินเข้าบ้านเเม่จะพูดว่า กลับมาเเล้วเหรอ ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง เเต่เย็นนี้ไม่มี บ้านผมเงียบสนิท ประตูยังล็อกอยู่เเสดงว่าเเม่ไม่ได้กลับมาบ้านอาจเป็นเพราะงานยังไม่เสร็จ

          ผมหยิบกุญเเจที่อยู่ใต้พรมเช็ดเท้าขึ้นมา เเล้วเปิดประตูเข้าไปในบ้านเอง แต่พอเดินเข้าไปผมก็ต้องเเปลกใจ

          รู้สึกว่าห้องมันโล่งเเปลกๆ ผมเดินไปพลางเอานิ้วป้ายชั้นหนังสือที่ปรกติมันจะสกปรกมากทีเดียว เเต่ตอนนี้ไม่มีเเม้ฝุ่นที่ติดอยู่ปลายนิ้วผม

            ทำความสะอาดให้ด้วย... เเม่ทำอย่างงั้นเหรอ

           ผมขมวดคิ้วสงสัยเเล้วลองขึ้นไปบนห้องเเม่ ในความคิดของผมมีลางสังหรเเปลกๆที่ไม่ใช่เรื่องดีเเน่

          ใช่... ไม่ดีจริงๆ

          ห้องของเเม่ว่างเปล่าทั้งตู้เสื้อผ้าข้าวของหายไปหมด เหมือนกลายเป็นห้องว่างไม่มีคนอยู่ ผมหยิบโทรศัพท์โทรหาเเม่ด้วยความร้อนรน แต่ก่อนนั้นก็มีข้อความขึ้นมา เป็นฝากข้อความเสียง ของเเม่ซะด้วย

           "เอริค เเม่จะไม่อยู่บ้านซักพัก เเม่หวังว่าลูกจะอยู่คนเดียวได้นะ เเม่สัญญาว่าเเม่จะกลับมา ระวังตัวด้วยนะลูก แม่รักลูกนะ"

           แค่นี้...จริงๆเหรอ

           ผมลองโทรเบอร์เเม่เเต่ก็ไม่มีคนรับ หลายครั้งที่ผมนั่งฟังข้อความนั้น ผมหวังว่าเธอจะกลับมา เเต่เมื่อผมฟังนํ้าเสียงของเธอ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าเธออาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย

            สามวันได้มั้งที่ผมอยู่บ้านเงียบๆคนเดียว ชีวิตของผมเคยสนุกกว่านี้ ตอนที่พ่อเเม่ยังอยู่ เเต่พอพ่อหายไปน้องก็หายไปเเม่ก็ตามไปด้วย ผมเลย...เหลือเเค่ตัวคนเดียว

           เเต่ตอนนี้ผมกำลังพูดถึงวันที่สามที่ผมอยู่คนเดียว โทรศัพท์บ้านที่ไม่เคยได้เเตะจนฝุ่นเกาะก็ดังขึ้นผมวิ่งลงบันไดด้วยความรีบร้อนลงไปรับ ต้องเป็นเเม่เเน่ๆเลย

          "แม่!!??"

          "ขอโทษนะ เเต่ไม่ใช่หรอก"

           เสียงตอบกลับมาเป็นเสียงผู้ชาย เหมือนความหวังของผมโดนลมออ่นๆปลิวพัดไป ให้ตายเถอะรู้สึกเหมือนอยากจะทรุดเข่าลงกับพื้นเลย

          "แล้วคุณเป็นใคร"

          "ฉันอยากให้นายไปรับเมทริซหน่อยเธอ เธอน่าจะไปถึงสถานนีรถไฟเเล้ว เธอจะมาอยู่บ้านนายซักพักคงไม่ว่าอะไรกันนะ แล้วเรื่องเเม่นายก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เธอยังอยู่"

           ชายคนนั้นไม่ยอมตอบคำถามผมเเล้วตัดสายทิ้งไปดื้อๆ ... ขอบคุณมากครับ

            ผมวางโทรศัพท์ลง เหมือนชายคนนั้นจะบอกให้ไปหาเมทริซ  อืม.... ผมไม่ได้ลืมชื่อน้องสาวตัวเองหรอก แต่... ผมจะไปรู้ได้ไงว่าชายที่ว่านั่นพูดจริง หรือต่อให้จริง ผมจะรู้ได้ยังไงว่าใครคือเมทริซ

           ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ามีเมฆครึ้มอีกไม่นานฝนต้องตกเเน่

          ถ้าเมทริซมาจริงๆล่ะ?

          ลองดูหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง

          ผมหยิบร่มสีดำพกติดตัวไปด้วย พลางนึกโกรธชายที่อยู่ปลายสายเมื่อกี้ ไม่คิดจะบอกชื่อเเซ่หน่อยเลยรึไงว่าตัวเองเป็นใคร เเต่อาจจะเป็นคนรู้จักของเเม่ก็ได้ มีน้อยคนนักที่รู้เบอร์บ้านผม

          ผมต่อรถไปถึงสถานนีรถไฟก่อนฝนตก นี่เป็นเรื่องดี แต่ผมจะรู้ได้ยังไงว่าใครคือเมทริซ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ผมรู้จักเมทริซตอนขวบเดียว เเต่ตอนนี้เธอน่าจะเจ็ด แปดขวบได้เเล้ว ฮึ? เดี๋ยวก่อน เมทริซคงไม่ได้มาตัวคนเดียวทั้งที่อายุเเค่นี้หรอกนะ

           หรืออาจจะมากับพ่อ... รู้สึกไม่อยากเจอหน้าคนคนนั้นเลยเเฮะ

            ผมเดินไปหาประชาสัมพันธ์ เพื่อประกาศหาเมทริซ เเล้วผมก็นั่งรอ รอ... จนหลับไปเลย... ผมตื่นมาอีกทีเพราสะดุ้งเสียงฟ้าร้อง เเล้วก็ลุกพรวดพราดตะลีตะลานไปหาฝ่ายประชาสัมพันธ์ ผมได้ข่าวร้ายคือผมหลับไปเป็นชั่วโมงเเละก็ยังไม่มีเด็กชื่อเมทริซมาถามหาเลย

           เวรเหอะ....

           ผมขอให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ประกาศอีกที ถ้าเมทริซมาให้โทรมาเบอร์ผม ก่อนที่ผมจะวิ่งออกไปหาเองรอบสถานนี ผมเดินวนรอบด้านใน เเต่รู้สึกโง่ๆยังไงไม่รู้ ตามหาเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาเป็นปีๆ

          ผมลองไปดูนอกสถานนีฝนตกโครมครามอย่างกับฟ้ารั่ว ร่มสีดำที่ผมถือมาด้วยก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย

           จากนั้นผมก็เจอเมทริซ... อาจจะดูข้ามฉากข้ามตอนไปหน่อย เเต่ผมลืมไปแล้วว่าเจอเธอได้ยังไง ผมจำได้เเต่ว่าวิ่งไปทั่ว จนไปเจอเด็กผู้หญิงผมสีนํ้าตาลนั่งกอดเข่าอยู่บนม้านั่ง ในอกของเธอกอดเเมวดำตัวนึงไว้ ที่ผมรู้ว่าเธอคือเมทริซคือเธอเหมือนเเม่ เหมือนมากๆ

           เธอตัวเปียกปอนไปหมดท่าทางเหมือนกำลังร้องไห้ ผมเดินเข้าไปช้าๆด้วยความไม่เเน่ใจ จนกระทั่งร่มของผมช่วยกันฝนให้เธอ เธอเลยเงยหน้าขึ้นมามองผม ... อย่างกับผมเห็นหน้าเเม่ของตัวเองตอนเด็กๆเลย

          "ใช่... เมทริซหรือเปล่า"ผมถาม เธอพยักหน้า

          "ผมเอริค ดีใจที่ได้เจอเธออีกครั้งนะ...."ผมยิ้มให้แล้วบอกชื่อ เพราะผมไม่คิดว่าเธอจะจำชื่อนี้ได้

     

     

           "แล้วคุณเมทริซออกไปอยู่ข้างนอกได้ยังไงล่ะขอรับ"เจ้ากระต่ายถามพลางเกาหูตัวเอง

           "เธอบอกว่าเธอโดนขโมยของ เลยวิ่งตามโจรมา"

           "โห... ช่างเป็นเด็กที่กล้าหาญ"

           "กล้าหาญอะไรเล่า ถ้าเธอโดนฆ่าตายขึ้นมาจะทำยังไง"

           "แต่ผมฟังเรื่องนี้เเล้วรู้สึกว่าเรื่องมันขาดๆหายๆยังไงไม่รู้สิ"เจ้ากระต่ายเเย้ง

            "ก็เเน่ล่ะ ทั้งพ่อทั้งเเม่เเล้วก็เมทริซเอง ดูเหมือนจะปิดความลับกับผมไว้เยอะเลย"ผมพูดพลางกัดฟัน

            "นี่ทั้งสองคน!!! มาอู้อะไรกันตรงนี้น่ะ!!!" เสียงหญิงสาวกระเเทกเท้าปึงปังเข้ามา จนผมกับบักกี้สะดุ้งเฮือก

           "พี่เปล่าอู้ซะหน่อย"เจ้ากระต่ายทำปากมุบมิบ

           "นายนั่นเเหละตัวดีเลย"

           "คุณก็เล่าให้ผมฟังซะยาวเลยนี่นา"

           "หยุดเถียงกันเเล้วไปทำงานเดี๋ยวนี้!!!!!"

    ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×