คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #58 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป – บทที่ ๑๔
Title :
The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๑๔
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Chen x Minseok
บทที่ ๑๔
The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป
เช้าวันต่อมาหลังจากที่เฉินคิดมาอย่างดีแล้ว
ขายาวรีบก้าวเข้าไปหาร่างบางที่โต๊ะในสวนของอาคารเรียน
แต่จุดประสงค์นั้นเปลี่ยนไปที่แบคฮยอน ที่มักจะถือหนังสือติดมืออยู่เป็นประจำ
“โอ้โห
วันนี้เพื่อนแกมาหาแกถึงโต๊ะกลุ่มเลยว่ะ สงสัยวันนี้ฟ้าจะผ่ากลางมหาวิทยาลัยแล้วมั้ง”
“พูดมากน่ะเซฮุน”
“สวัสดี”
ร่างโปร่งเอ่ยทักทายออกไป
ก่อนจะยกมือทักทายทุกคนที่เงยหน้ามองมาที่ตนเอง
แล้วมาหยุดยิ้มให้ซิ่วหมินที่ก็ยิ้มตอบมาให้เช่นกัน
“มีอะไรรึเปล่า มาหาเราถึงโต๊ะ?”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก”
“เอ้า?!”
“คือไม่มีอะไรกับนาย แต่มีกับเพื่อนของนายน่ะ
คนนั้น”
เฉินรู้ว่าคำพูดของเขาเหมือนเป็นการฉีกหน้าร่างบาง
แต่เขาจำเป็นต้องคุยกับแบคฮยอนตามลำพังจริงๆ
ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้เขากลัวมันจะไม่ทันใจ แต่ทุกอย่างที่เขากำลังจะทำ
ก็เพื่อซิ่วหมินอยู่ดี
“แบคฮยอนเนี่ย?!!!”
เพื่อนยกกลุ่มประสานเสียง แม้แต่แบคฮยอนเองก็หันมามองเฉินเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง
เขาไม่คิดว่าอยู่ๆร่างโปร่งก็จะเดินมาขอคุยกับเขาเองเช่นนี้
ทั้งที่ในวันที่เขาหยิบยื่นความช่วยเหลือไปให้ อีกฝ่ายยังปฏิเสธเสียงแข็งอยู่เลย
“ฉันมีเรื่องจะถาม รบกวนเวลานายไม่นาน”
“จะคุยกับฉันจริงๆเหรอ?”
“ฉันจะคุยเรื่องหนังสือเล่มนี้ นายพอจะมีเวลาคุยกับฉันมั้ย”
ร่างโปร่งหยิบเอาหนังสือเล่มบางขึ้นมาให้แบคฮยอนดู
เพราะมั่นใจว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว
ที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องหนังสือดีไปกว่าแบคฮยอน
เด็กที่เป็นแชมป์นักอ่านมาหลายปีติดต่อกัน
“ฉันว่าง...เดี๋ยวเรามานะทุกคน”
แบคฮยอนรีบตอบรับคำเชิญของเฉิน
ก่อนจะเป็นคนลากเฉินออกมาจากบริเวณที่คนพลุกพล่าน หลบมุมไปที่ด้านหนึ่งของสวน
เขาพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมที่จะคุยกับเฉินเรื่องนี้
...หนังสือหนึ่งในสองเล่มที่เขายังขาดอยู่...
“นายไปเอามันมาจากไหน”
“เรื่องนั้นไม่ใช่เรื่องของนาย”
“แต่ถ้านายอยากจะให้ฉันช่วย...”
“อย่าต่อรองกับฉันแบคฮยอน
นายไม่มีทางเอามันไปจากฉันได้”
“เหรอ?”
“ฉันมั่นใจเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอ่านมันเสียอีก”
“เหอะ!
งั้นเรามาคุยเรื่องที่นายต้องการจากฉันสักที”
แบคฮยอนกลอกตาอย่างเอือมระอา ทั้งที่รู้ว่าเสียเปรียบและเขาคงไม่มีโอกาสแตะต้องหนังสือเล่มนั้น
แต่แค่ได้เห็นหนังสือเล่มนี้เขาก็พอใจแล้ว
ร่างโปร่งเลือกเปิดหน้าที่คั่นไว้โดยไม่ให้ผ่านหน้าอื่นเลยแม้แต่วิเดียว
“นายอ่านภาษาโบโลนีสได้ใช่มั้ย”
“แน่นอน ฉันอ่านได้ทุกภาษาบนฟีนูคอน
และที่สำคัญคือฉันอ่านให้นายฟรีๆ
โดยไม่ต้องไปเสียเงินจ้างจงอินแสนเจ้าเล่ห์จากโซม่า”
“จงอิน?”
“คนที่นายต้องระวังมากกว่าฉันในหอพักของนายไงล่ะ
เขาเป็นนักสืบที่ดีที่สุดเลยนะ ไม่มีเรื่องไหนที่เขาไม่รู้เลยล่ะ
ที่สำคัญเขาอ่านมันได้ไวกว่านายอย่างแน่นอน”
คำเตือนภัยที่เฉินไม่เคยรู้ทำให้ร่างโปร่งต้องคิ้วขมวด
เขาที่ไม่รู้แม้กระทั่งจงอินคือใคร คงต้องเรียกว่าโชคดีมากใช่มั้ยที่ยังเก็บหนังสือเล่มนี้เป็นความลับมาได้จนถึงตอนนี้
“ช่างเถอะ ฉันจะระวังให้มากขึ้นแล้วกันนะ”
“ก็แล้วแต่นายเถอะ เพราะถ้าไปอยู่ในมือเขา
อย่างไรมันก็ตกทอดมาถึงฉันอยู่แล้ว ฉันมีฟีนมากพอจะซื้อมันอยู่แล้ว”
“เลิกพูดเรื่องที่มันจะไม่เกิดขึ้นเถอะ”
“เหอะ!”
แบคฮยอนที่ดูเรียบร้อยและน่ารักสำหรับคนทั้งมหาวิทยาลัย
ตอนนี้กลับเผลอสบถออกมาอย่างหัวเสีย ไม่มีโครงเดิมของความน่ารักนั้นเหลืออยู่เลย
แต่เฉินก็ไม่ได้ใส่ใจหรอกว่าคู่สนทนาจะหยาบคายแค่ไหน ช่วยเขาให้จบเรื่องบ้าบอนี้ได้ก็เพียงพอแล้ว
“นายรู้มัยว่ามลทินของเทพีโบโลนีคืออะไร
นายน่าจะอ่านคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดแล้ว มันบอกไว้ในความแฝงบ้างรึเปล่า”
“พูดเหมือนนายไม่รู้เรื่องเมืองของตัวเอง”
“ก็ยอมรับนะว่าฉันไม่ชอบอ่านหนังสือ และที่สำคัญเลยคือฉันไม่ได้เติบโตและอาศัยในเมืองโบโลนีตั้งแต่เกิด
โรงเรียนของฉันสอนทุกอย่างเท่าๆกัน”
“นายมาจากโรงเรียนเขตเหรอ?”
แบคฮยอนเอียงหน้าเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
เขาไม่ได้โตมาในโรงเรียนของเขต แต่ก็พอจะรู้เสื้อผ้าแบบไหนเป็นที่นิยมในโรงเรียนไหนอยู่พอสมควร
ในวันแรกที่เขาเห็นเฉินกับชุดนักศึกษาปิดมิดชิด
เขาเผลอคิดไปว่าคนๆนี้อาจเป็นชาวปาโกสเสียด้วยซ้ำ หากซิ่วหมินไม่พูดให้ฟัง
เขาคงเดินพล่านหาเฉินไปทั่วหอพักเขตเย็นแล้วแน่ๆ
ร่างโปร่งหลบสายตาไม่อธิบายหรือตอบรับอะไร
เพราะเขารู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะเชื่อใครง่ายๆ
แบคฮยอนฉลาดเกือบจะที่สุดในสายชั้น
เป็นความสามารถที่ไม่ได้มาจากพรแห่งการถือกำเนิด
แต่เป็นเพราะความชอบและความขยันของตนเองล้วนๆ
“เรื่องของฉันมันยาว”
“อ่า...”
ถึงจะรับคำออกไปอย่างไม่มีท่าทีร้อนรน แต่แบคฮยอนก็พอจะรู้ว่าเขากำลังพูดอยู่กับใคร
มันไม่ยากที่จะประติดประต่อเรื่องที่เฉินไม่มีความรู้เรื่องเมืองของตนเองมากนัก
ไม่กล้ายอมรับว่ามาจากโรงเรียนเขตร้อน และ
มีความเชี่ยวชาญเรื่องเก็บซ่อนมากเป็นพิเศษ
...มีแค่ผู้ล่าแห่งโบโลนีเท่านั้นที่เป็นแบบนี้...
“...ฉันจะไม่ถามนายหรอกนะ
เห็นที่นายเป็นเพื่อนกับเพื่อนของฉัน ฉันจะช่วยนายด้วยความปารถนาดีก็แล้วกัน”
“ขอบใจ”
“นายถามฉันถึงเรื่องมลทินใช่มั้ย
จริงๆฉันคิดว่าเคยได้ยินคำถามประหลาดๆนี้เป็นครั้งแรก
แต่โชคดีที่บนฟีนูคอนไม่มีใครอ่านเก่งไปกว่าฉันแล้ว ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเคยอ่านเรื่องนี้ผ่านๆอยู่บ้าง”
“จริงเหรอ!”
“แน่นอน
และมันโชคดีที่เป็นเรื่องเดียวกับที่ฉันกำลังสงสัยอยู่พอดี เลยตามหามาอยู่พักใหญ่”
“ตามหางั้นเหรอ?”
ร่างโปร่งถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ
บางอย่างบอกเขาว่าหนังสือในมือเขามันเหมือนจิ๊กซอที่ต้องเอาไปต่อกับบางสิ่งบางอย่าง
และเมื่อแบคฮยอนเริ่มพูด เขาก็ยิ่งมั่นใจในสิ่งที่คิดอยู่ยิ่งขึ้น
“ตำนานทุกบทย่อมมีเรื่องที่เป็นความจริงและเรื่องโกหก
และฉันศึกษามันจากการอ่านมันทั้งหมดย้อนหลังไปจนถึงปีแรก”
“ตั้งแต่เมื่อไร?”
“ตั้งแต่ฉันอายุสิบขวบ
และมันเป็นโชคดีของนายมากอีกอยู่ดีนั่นแหล่ะ
ที่ฉันบังเอิญอ่านคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดมาทุกรุ่น
ตอนนี้ฉันเหมือนสารานุกรมเรื่องราวของคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดเคลื่อนที่”
“นายมั่นใจรึเปล่าว่านายจำได้ทั้งหมดอย่างถูกต้อง”
“ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่ฉันอ่านผ่านตาแล้วหายไปจากสมองของฉัน
ทุกวันนี้ฉันจำได้แม้กระทั่งเรื่องราวในหนังสือเล่มแรก
ที่ฉันหยิบมันขึ้นมาอ่านเลยล่ะ เชื่อฉันสิ”
คำโอ้อวดนั้นดูเกินจริง
แต่เฉินกลับรู้สึกเชื่อมันจากใจจริง
ร่างเล็กตรงหน้าไม่ธรรมดาอย่างที่เคยได้ยินจริงๆ
มีบางอย่างที่พิเศษเมื่อมองไปที่ริมฝีปากบางของคู่สนทนา มันไม่ใช่ความพิศสวาท
หากแต่มันเป็นความเชื่ออย่างไร้เหตุผล
ราวกับนี่เป็นเวทร่ายที่ออกมาในภาษาพูดทั่วไป
“ฉัน...เชื่อ”
“ดี งั้นฉันก็คงต้องบอกนายก่อนเลยนะ
เรื่องราวในคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดถูกตีพิมพ์ใหม่ทุกๆทศวรรษโดยกระทรวงการถือกำเนิด
นั่นหมายความว่าแม้แต่เล่มแรกมันก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อความศรัทธาต่อการเกิดมาเท่านั้น
เมื่อพวกเขาคิดว่าความเชื่อบางอย่างในคัมภีร์ทำให้เกิดมุมมองที่ไม่เหมาะสมแก่ความเชื่อ
เขาก็จะตัดมันทิ้งทั้งหมดแล้วบรรจงสร้างเรื่องที่คล้ายกันขึ้นมาใหม่
สอดแทรกไว้ตามเดิมให้เหมือนมันเป็นความเชื่อตั้งแต่เกิดแผ่นดินฟีนูคอน”
“ไม่มีความจริงในนั้นเลยเหรอ”
“เปล่า ก็มีบางส่วนที่เป็นความจริง
มันเป็นเรื่องการตีความของผู้แปลหลายๆคนน่ะ”
“แปล? จากอะไร?”
“ก็จากหนังสือในมือนายไง”
ใบหน้าคมตีหน้าเครียดขึ้นมาทันทีที่รู้ถึงความสำคัญของหนังสือในมือ
จากที่เขามองว่ามันเป็นแค่อุปกรณ์หนึ่งที่จะพาเขาไปสู่การหลุดพ้น
แต่นี่หมายถึงภัยมากมายที่ผู้ถือครองต้องได้รับไปด้วยอย่างไม่รู้ตัว
“มันสำคัญขนาดนั้น”
“แรกๆมันสำคัญ
คนสมัยก่อนคิดว่าการสืบทอดความจริงคือการมอบแรงศรัทธาที่แท้จริงให้แก่ชาวฟีนูคอน
แต่ความจริงคือไม่มีใครที่สมบรูณ์แบบในโลกใบนี้
ไม่มีเทพเจ้าที่แสนดีช่วยเหลือพวกเราโดยไม่หวังผลตอบแทน
ไม่ใช่แค่เทพเจ้าหกพี่น้องที่รักกันดีแต่ขัดแย้งกันด้วยความที่อารมณ์ต่างกัน
ความนึกคิดต่างกัน”
“บนโลกใบนี้ยังมีด้านลบด้วยสินะ”
“มันมากมายจนเราคงคาดไม่ถึงเลยล่ะ
นายคิดว่าเทพเจ้าจะมีด้านมารได้มากแค่ไหนล่ะ
คนที่ดีแสนดีในความคิดของนายมันเป็นยังไง”
ร่างโปร่งสบตาเรียวสงบนิ่งนั้นอย่างใช้ความคิด
นี่คงเป็นเหมือนคำถามที่จงใจให้เขาเผยตัวเองออกมาไม่ผิดแน่
ถ้าเขาตอบอะไรออกไปแบคฮยอนจะรู้ว่าเขาเป็นผู้ล่าอย่างชัดเจน
ความคิดของคนที่กึ่งถือกำเนิดกึ่งสิ้นชีพ
มันเห็นในสิ่งที่ผู้ถือกำเนิดไม่เคยเห็นมากมาย
...หน้ากากที่ผู้ถือกำเนิดทุกคนมี...
“บอกได้นะ ฉันจะไม่พูดอะไรแน่นอน”
“หน้ากากที่แสร้งใส่กัน”
เฉินขมวดคิ้วด้วยความตกใจที่เผลอพูดออกไปถึงสิ่งที่คิดอยู่ในหัว
แต่ดีที่เขาไม่ได้ออกความคิดอย่างลงรายละเอียดไปด้วย
แบคฮยอนยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนจะพอใจกับคำตอบของเขาไม่น้อย
ร่างเล็กกอดอกแล้วหันหลังไปหาที่นั่งเพื่อพูดต่อ
“นายมีพี่น้องมั้ย”
“ฉันไม่เคยมีครอบครัว”
“ฉันก็ไม่เคยมีพี่น้อง
ตอนแรกมันยากที่จะเข้าใจ แต่ตอนนี้จากบางส่วนที่ฉันได้อ่านไปแล้วมันทำให้ฉันได้เรียนรู้”
“อะไร?”
“บางครั้งเลือดมันไม่ได้ข้นไปกว่าน้ำ”
แบคฮยอนพูดไปก็ทำได้แค่มองไปที่พื้นตรงหน้า
เขาหดหู่ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้
เขาได้มีโอกาสอ่านหนังสือคล้ายกับในมือหนานั้นมาแล้วหนึ่งเล่ม
และรู้ว่าคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดก็เหมือนยาเสพติดของความศรัทธาเท่านั้น
“นายรู้อะไร”
“เทพอเนโมสกับเทพีโฟเธียเป็นพี่น้องนอกพระบิดากัน”
“ห๊ะ?!”
ถ้านี่เป็นความจริง
มันก็ถือว่าเป็นความจริงที่น่าตกใจกว่าสิ่งที่เขารู้มาจากหนังสือในมือมาก บางอย่างที่อาจเชื่อมโยงไปได้ถึงเรื่องภายในหนังสือในมือของเขา
ยิ่งคิดมือหนาก็ยิ่งกำหนังสือในมือของตนเองแน่นกว่าเก่า
ซ่อนความลับที่อ่านมาจนถี่ถ้วนไม่ให้มันหลุดออกไปอีกครั้ง
“ละ...แล้วเทพอเนโมสรู้เรื่องนี้มั้ย”
“คงจะรู้ เทพอเนโมสเป็นผู้ชาย น่าจะขาดทักษะในการเขียนบรรยายที่สุด
และ คิดว่าคงเป็นเพราะแบบนี้เรื่องราวของเทพอเนโมสจึงดูเป็นความลับไม่น้อย
เรื่องเดียวที่ฉันมั่นใจ คือเทพอเนโมสไม่ได้ตั้งใจจะปลิดชีพเทพีโฟเธียอย่างแน่นอน”
“ทำไมถึงมั่นใจนัก
ในเมื่อนายบอกเองว่าทั้งสองพระองค์ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆ”
“เพราะเทพอเนโมสทรงเลี้ยงน้องสาวคนเล็กมาด้วยตนเอง
เรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่าเลือดมันข้นกว่าน้ำ และ
ความรักที่เทพอเนโมสมอบให้แก่น้องสาวคนเล็ก ก็มากมายกว่าพี่น้องคนไหน”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!”
เสียงทุ้มสบถออกมาอย่างสุดจะทน
จากที่เขาคิดว่าแค่มาถามแบคฮยอนให้มันจบๆ ทำไมเหมือนร่างเล็กนั้นกำลังลากเขาเข้าไปสู่สิ่งที่ยุ่งเหยิงมากขึ้น
เหมือนเรื่องทั้งหมดมันลอยออกมหาสมุทรไปเรื่อยๆ
“อย่าเพิ่งโมโหสิ
ใกล้ถึงสิ่งที่นายอยากรู้แล้วล่ะ”
“จริงๆนายไม่ต้องบอกสิ่งที่นายรู้เลยก็ได้”
“ฉันไม่สามารถบอกแค่ปลายเหตุให้นายรู้ได้
ถ้านายไม่รู้ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด บางเรื่องมันผิดที่จะทำนะ”
“แต่บางครั้งมันจำเป็น
ทีนี้นายก็เล่ามันต่อได้แล้ว”
“ด้านลบของเทพอเนโมสคือความลำเอียง
ด้านลบของเทพีโฟเธียคือเอาแต่ใจและเห็นแก่ตัวมาก
แต่ถ้านายมีน้องสักคนนายจะรู้ว่าทำไมพี่ถึงต้องรักน้องไม่เท่ากัน มันไม่ผิดที่พี่แต่ฉันก็ไม่ได้จะเข้าข้างเทพอเนโมสด้วย
แค่จะบอกว่าบางครั้งน้องๆก็ไม่ได้ทำตัวน่ารักกับพี่ไปเสียหมด และ
น้องคนเล็กก็ไม่ผิดที่จะเอาแต่ใจ ในเมื่อเธอคือคนสุดท้ายที่คนรอบข้างสามารถดูแลได้
ทุกอย่างมันแค่เป็นไปตามสิ่งที่ความรู้สึกพาไปเท่านั้น”
เฉินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
ถึงเขาจะไม่เคยมีครอบครัว แต่การได้อยู่กับผู้สิ้นชีพมากว่าสิบปี
มันทำให้เขาเข้าใจความคิดถึง เข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นอย่างชัดเจน
ผ่านคำพูดของผู้สิ้นชีพที่เฝ้ารอใครบางคนในสุสาน
...มันหดหู่ที่เขารับรู้แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้...
“แล้วทีนี้ถ้ามีคำว่าน้องรัก
ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า...น้องชัง”
“น้องชัง?”
“ใช่ น้องที่พี่ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากดูแล
ก็แค่รับรู้ว่าเป็นน้องร่วมสายเลือด”
“ใคร...”
“นายก็ลองคิดดูสิว่าน้องคนไหนที่ไม่น่ารักเอาเสียเลย”
คำตอบแรกในใจเฉินคงเป็นใครไม่ได้นอกจากเทพีโบโลนี
สตรีที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งกว่าชายทั้งปวงบนแผ่นดินฟีนูคอน
อีกทั้งยังไม่เคยมีใครกล่าวถึงใบหน้าของท่านเลยแม้สักหน้าประวัติศาสตร์
ทุกหน้าเต็มไปด้วยเรื่องราวของการทำลายและสร้างใหม่
เล่าข้ามส่วนที่เป็นสตรีราวกับเทพีโบโลนีเป็นบุรุษ
“แต่เรื่องเล็กๆไม่น่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
“ผิดแล้ว เรื่องเล็กๆแต่สะสมในใจมานาน
อาจทำให้เราเผลอทำสิ่งผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ลงไปก็ได้นะ”
“เทพีโบโลนีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับคำสาปแห่งโฟเธีย
นั่นเป็นเรื่องของเทพอเนโมสและเทพีโฟเธียเท่านั้นไม่ใช่เหรอยังไง”
“คัมภีร์เขาก็เขียนบอกนายแค่ส่วนที่อยากจะให้นายรู้เท่านั้นแหล่ะ
เขาบอกตัวละครที่อยู่ในคำสาป สร้างเหตุผลจอมปลอมที่ดูสมจริงสำหรับพวกชอบลองของ
ให้มันดูไร้ที่ติในความผิดบาปนั้น ความผูกพันน่ะมันเข้าใจยากนะเฉิน
นายรู้มั้ยว่ามันไม่ง่ายหรอกที่พี่ชายที่แสนรัก
จะยกคมแร่นักรบปลิดชีพน้องสาวที่ตนเองรักอย่างสุดหัวใจ แต่อะไรล่ะที่ทำให้มันเกิดขึ้น
บางสิ่งที่นายกำลังตามหามันไง ฉันพอจะรู้เหตุผลที่มันกลายเป็นมลทิน
แต่คงบอกไม่ได้หรอกว่าต้องทำยังไงที่จะล้างมัน”
“ความริษยาเหรอ”
ตาคมมองใบหน้าสวยของแบคฮยอนเมื่อคิดบางอย่างขึ้นมาได้
ถามออกไปเพื่อวามแน่ใจถึงการเกิดเรื่องทั้งหมดบนฟีนูคอน
เพียงแรงอารมณ์นั้นเหรอที่ทำให้เกิดคำสาปจองจำชาวโฟเธียมาถึงตอนนี้
การพยักหน้ารับยิ่งทำให้เฉินหัวเสีย ลุกขึ้นตีอกชกอากาศอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“มลทินที่ว่าคือล้างคำพูดจอมปลอมที่ลวงหลอกคนอื่นเหรอ
บ้าจริง!”
“มันไม่ใช่คำโกหกหรอก
มันคือความจริงแต่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น
สิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นคือการเพิ่มความน่าเชื่อถือ คำพูดและน้ำเสียงของคนเราน่ะ
สามารถเปลี่ยนให้เรื่องเล็กน้อยเป็นเรื่องใหญ่ได้”
“ช่างเถอะ!
ฉันไม่อยากจะรู้กลโกงอะไรในหน้าประวัติศาสตร์อีกแล้ว แต่ช่วยบอกหน่อยแล้ววิธีล้างมลทินนี้จะทำได้ยังไง”
“หาจากในนั้นไง”
นิ้วเรียวชี้ไปที่หนังสือในมือของร่างโปร่งอีกครั้ง
เพื่อยืนยันว่ากุญแจของเรื่องทั้งหมดยังคงอยู่ในนั้น
ใบหน้าคมมองหนังสือในมือแล้วยิ่งหัวเสีย
เขานึกขึ้นได้ทันทีถึงเรื่องราวที่อ่านมาทั้งหมด เขาแปลเจตนารมณ์ผิดไปหมด
ในช่วงแรกดูเหมือนจะมีเรื่องราวของเทพีโบโลนี ที่ดูแสนหวานและรักน้องมากเหลือเกิน
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งบอกเล่าไร้สาระอย่างที่เขาคิด
มันคือคำโน้มน้าวของผู้เขียนคนแรกที่จงใจมอบให้สู่ลูกสาวคนโต
...ด้วยความรักของผู้เป็นแม่...
“ทำหน้าตกใจแบบนี้ นายคงตีความมันผิดมาตลอดเลยสินะ”
“ยุ่งน่ะ ขอบใจที่นายยอมช่วยฉัน
ทั้งที่ฉันเลยปฏิเสธมันจากนายนะแบคฮยอน”
“พูดลาแบบนี้
คงอยากจะไล่ฉันเพราะหมดประโยชน์แล้วสินะ”
“ทำนองนั้น”
แบคฮยอนยักไหล่อย่างไม่อยากจะเซ้าซี้
ยอมเดินออกมาปล่อยให้เฉินได้อยู่ทบทวนหนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง
ขายาวก้าวออกไปในที่ๆทำให้เขาสงบเสมอมา เดินไปหยุดใต้ต้นไม้ใหญ่กลางสุสาน
ทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน
แต่ก็ยังคงต้องเปิดหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามลทินนั้นเกิดจากความริษยาของเทพสตรีผู้พี่
มันน่าตกใจที่เทพีโบโลนีกลายเป็นคนอ่อนแอในความรู้สึก
แต่ก็คงเลี่ยงความจริงที่ว่าพระนางยังคงเป็นสตรีเพศไม่ได้
“ผมจะจบเรื่องนี้ให้ได้
ชดใช้มลทินของเทพีโบโลนีทั้งหมด ไม่ว่าคุณจะเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมกำลังทำมั้ย
ก็ขอให้ช่วยผมให้สามารถทำได้ด้วยนะครับ”
ใบหน้าคมก้มลงอ่านข้อความเหล่านั้นในใจ
ไม่ยอมให้มันออกมาให้แม้แต่ผู้สิ้นชีพได้รับรู้ เขาจะเก็บมันไว้ให้ลึกสุดใจของเขา
ให้ความศรัทธานั้นยังสามารถคงอยู่ได้
“ลูกสาวของข้าทั้งสองนั้นช่างงดงามในห้วงความคิดของข้า
แม้ลูกจะงดงามเหมือนพระบิดา
แต่ใบหน้าของเจ้าก็สมบรูณ์แบบในแบบของเจ้าอย่าได้น้อยใจเพียงเล็กน้อย โฟเธียยังเล็กเจ้าเดินจูงมือน้องไปเล่นที่สระน้ำเย็นบ่อยๆ
แม่มองพวกเจ้าด้วยความแสนรักไมต่างกัน...”
กว่าสิบหน้ากระดาษแรกบรรยายถึงความเป็นไปตั้งแต่เด็กของเทพีโบโลนี
และมันไม่มีอะไรน่าสงสัยในความรู้สึกของเฉินแม้แต่น้อย
ดูเหมือนพระนางก็รักเทพีโฟเธียดีนับตั้งแต่ถือกำเนิด
หากแต่เรื่องราวเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยสาว
“...ความอิจฉาริษยาในใบหน้าอันงดงามจะทำร้ายเจ้าลูกข้า
สิ่งที่เหนือกว่าคือจิตใจที่ดีภายในของเจ้า
อย่าให้ความมืดดำของห้วงอารมณ์จองจำเจ้าไว้กับความรู้สึกไม่ดีเลยลูก
เจ้ามีสิ่งมากมายที่ดีกว่าโฟเธีย ไม่มีสิ่งไหนที่พระบิดาไม่พอพระทัยในตัวเจ้า
แต่โฟเธียทำเรื่องมากมายไม่เคยเข้าในสายพระเนตร...”
ยิ่งอ่านถึงตรงนี้เขายิ่งเหมือนอ่านความรู้สึกของผู้อ่านออก
เพราะเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกันมาตลอดหลายปีเช่นเดียว
ความรู้สึกที่คิดว่าเราดีที่สุดแล้วเมื่อมองไปรอบกาย แต่สิ่งที่คนรอบกายมีทำไมจึงมีเพียงเราที่ไม่ได้รับ
ในเมื่อคำชื่นชมส่งมาให้คนที่ดีที่สุด
แต่ทำไมถึงมอบความรักความเมตตาให้กับคนที่น่าสงสาร
หรือคนเข้มแข็งไม่มีความรู้สึกรัก
“...ไม่ว่าพี่คนใดต่างก็ชื่นชมและรักในสิ่งที่เจ้าเป็น
ลูกสาวคนโตของข้าคือความภาคภูมิใจของแผ่นดินฟีนูคอน
และไม่ว่าแม่จะตัดสินใจทำอะไรที่เจ้าแสนรังเกียจ
แม่ยังหวังอยู่ในใจว่าลูกจะเข้าใจในสิ่งที่แม่ทำ
ความรักเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ของสตรีเพศนะลูกข้า
แต่สำหรับบุรุษบางตนเขาไม่ได้มีชีวิตเพียงเพื่อมอบความรักหรอก สักวันลูกจะเข้าใจ”
หน้ากระดาษจบลงเพียงขึ้น เมื่อเปิดไปที่อีกหน้าที่เต็มไปด้วยรอยน้ำแห่งจนหน้ากระดาษพอง
ก็มีอีกรายมือหนึ่งเริ่มจรดหมึกเขียนต่อ
เฉินเคยสงสัยว่านับจากนี้ใครกันที่กล้าบิดเบือนข้อความข้างต้น...หากไม่ใช่เทพีโบโลนี
“รักแสนรัก ห่วงแสนห่วง
แต่สุดท้ายพระมารดาก็ทิ้งข้าไปอย่างไม่ใยดี เหมือนครั้งที่โฟเธียน้องรักเกิดไม่มีผิด
พี่ๆต่างหลงในรูปโฉมและความลวงหลอกของน้องชั่ว
ข้าคือคนเดียวที่เก็บงำความจริงมาโดยตลอดด้วยความชอกช้ำใจ
ทำไมข้าถึงไม่พูดออกไปเสียตั้งแต่พระมารดายังทรงอยู่
ประกาศก้องให้คนทั้งแผ่นดินฟีนูคอนได้รับรู้ถึงความคิดด้านมืด ที่ถูกคลอบงำมาตั้งแต่เด็กของโฟเธีย
แม่พูดไม่ผิดเลยว่าข้ารักน้องอย่างสุดหัวใจ
แต่หัวใจของข้านั้นถูกกระทำจนสิ้นชีพไปแล้วด้วยน้ำมือของพวกท่านทุกตน
ไม่มีใครเลยที่จะมองเห็นความดีมากไปกว่าความงดงาม
พี่ข้าจะต้องรู้เรื่องเลวทรามที่โฟเธียคิด ข้าขอสาบานต่อหนังสือจองปลอมเล่มนี้
จงรู้ไว้เรื่องทั้งหมดเกิดเพราะท่านทิ้งข้า...พระมารดา!”
แม้เป็นเพียงคำอ่านในใจร่างโปร่งก็รู้ว่าคำสาบานนั้นจะศักดิ์สิทธิ์เพียงใด
เพราะคำสาบานนี้เกิดจากความแค้น ความโกรธ
และทั้งหมดคือห้วงอารมณ์ที่ทำให้เกิดหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้
...เกิดหน้าที่แห่งผู้ล่า...
“เหอะ!
นี่เหรอความศรัทธาที่ฉันเชื่อมาตลอด”
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
The
Phonucorn – Chapter 3.15
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ ตอนนี้หลักๆแค่อยากจะขยาความเรื่องคำสาปที่กำลังตามแก้กันอยู่ค่ะ
ในส่วนของพาร์ทโบโลนีหลังจากนี้จะเครียดมากๆ สู้ๆค่ะนักอ่านทุกท่าน^^
ความคิดเห็น