ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลำนำรักจักรราศี

    ลำดับตอนที่ #2 : ลำนำรักจักรราศี : บทที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 201
      0
      3 มี.ค. 54


    บทที่ ๑


                            ณ จักรวาลอันไกลโพ้น
                 
              บนดาวคาร์ทอส บริวารดวงที่สามในระบบสุริยะฟาเทียร์
                            ขึ้นปีที่ 9090 ของราชวงศ์กรีนเดรียส ผู้นำสูงสุดของกาแล็กซีโอลิมปัส

                            เสียงอึกทึกวุ่นวายดังสะท้อนมาถึงสวนพฤกษาในเขตราชฐานของราชวงศ์กรีนเดรียส อันเป็นราชวงศ์ที่รั้งบัลลังก์กษัตริย์แห่งดาวคาร์ทอสมาแต่อดีต ด้วยเหตุที่เจ้าชายโอลาเดรส โอรสองค์โตของราชวงศ์ประชวรอย่างหนัก คณะแพทย์และพยาบาลจึงเดินเข้าออกที่นั่นตลอดทั้งวัน ทุกฝ่ายต่างระดมความคิดเพื่อหาหนทางรักษาที่ดีที่สุด แต่อาการก็ยังมีแต่ทรงกับทรุด สร้างความหนักใจให้กับทุกฝ่าย หนึ่งในนั้นคือเจ้าชายฟีลันเดรส ที่เพิ่งกลับออกมาจากเยี่ยมอาการป่วยของพี่ชายต่างมารดา

                            ภาพร่างกายที่ผ่ายผอมของโอลาเดรสยิ่งทำให้ฟีลันเดรสทุกข์ใจ ดวงตาคมเบือนออกจากภาพความโกลาหลตรงหน้าพลางถอนหายใจ สิ่งที่เขาจับจ้องอยู่ในเวลานี้คือกำแพงสูงที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา แม้จะหลับตาลงแต่เขาก็จินตนาการได้ว่า อีกฟากหนึ่งของกำแพงคงกำลังวุ่นอยู่กับการตระเตรียมพิธีอาบฝนบุปผาที่กำลังจะจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในอีกไม่กี่วันนี้

                            การอาบฝนบุปผาคือพิธีรับเครื่องบรรณาธิการจากเหล่าดวงดาวในอาณานิคมของดาวคาร์ทอส โดยจะให้รัชทายาทเสด็จออกไปรับดอกไม้ซึ่งถูกคัดสรรมาอย่างดี เพื่อโปรยลงมาจากฟากฟ้า และถ้าพิธีกรรมนี้มาถึงเหล่าผู้นำดวงดาวน้อยใหญ่ ก็จะได้รู้แล้วว่ารัชทายาทแห่งคาร์ทอสได้ถูกเปลี่ยน สมควรแล้วหรือที่จะจัดการเฉลิมฉลองตำแหน่งรัชทายาทขึ้นเพื่อเขา ในขณะที่พี่ชายซึ่งเพิ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งยังคงนอนเจ็บและไม่รู้ชะตากรรม

                             สาแก่ใจเจ้าแล้วสิ ตำแหน่งรัชทายาทอยู่ในมือแล้วนี่ ข้าไม่น่าไปก้มหัวอ้อนวอนเจ้าเลย เพราะเจ้าก็เหมือนกับแม่เจ้า แย่งหัวใจองค์จักรพรรดิไปจากข้า แล้วเจ้าก็มาแย่งทุกอย่างไปจากโอลาเดรส ปากก็พร่ำบอกว่ารักเชษฐา แต่สุดท้ายเจ้าก็ไม่ยอมช่วย นี่หรือคือสิ่งตอบแทนความเชื่อมั่นที่ลูกข้ามีต่อเจ้า

                           
    สายลมที่พัดอยู่รอบตัวไม่ได้ช่วยพาความเสียใจจากคำพูดขององค์ราชินีไปจากใจฟีลันเดรส จวบกระทั่งเสียงใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง...

                            ถวายพระพรเพคะ องค์รัชทายาท

                            เอลเมียส บอกตั้งกี่ครั้งว่าอย่าเรียกข้าเช่นนั้นเจ้าชายดูจะยังไม่ชินกับตำแหน่งใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้ง ต่อให้สถานภาพของข้าเปลี่ยนไป แต่เรื่องระหว่างข้ากับเจ้าก็จะเหมือนเดิม ข้ายังเป็นฟีลันเดรสคนเดิมที่เจ้ารู้จัก ยังเป็นคนที่รักเจ้า

                            ลีออนคงไม่ชอบใจนักถ้าได้ยินท่านพูดเช่นนี้เอลเมียสสะท้อนใจนัก ไยความรักของนางจึงพบแต่ปัญหา ฝ่ายนางก็ไม่ชอบฟีลันเดรส ขณะที่องครักษ์ของฟีลันเดรสเองก็ไม่ได้ไว้ใจนาง มาเกิดเรื่องเจ้าชายโอลาเดรส ข้ายิ่งหนักใจ พวกองครักษ์ของท่านคงเพ่งเล็งข้ามากขึ้น

                           
    ลีออนกับโซลาร์คแค่เป็นห่วง อย่าไปถือสาพวกนั้นเลย...

                            อย่าเศร้าใจเพื่อข้า ท่านมีเรื่องกลุ้มใจมากพอแล้ว ท่านเอาเวลาไปคิดเรื่องหน้าที่ซึ่งได้รับมาเถิด

                           
    ข้าพร้อมจะคืนตำแหน่งรัชทายาทให้กับเจ้าพี่โอลาเดรส

                            ท่านอย่าพูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เจ้าชายโอลาเดรสในยามนี้ จะรับหน้าที่สำคัญได้อย่างไร ไม่มีอะไรที่จะรักษาอาการประชวรของพระองค์ได้ แพทย์ของพวกเราจนปัญญา นอกจากท่านจะยอมช่วย หวังเพียงอำนาจจักรราศีที่ท่านมี...

                            ยังไม่ได้...ฟีลันเดรสปฏิเสธดังเดิม แต่สีหน้ามีความกังวลมากขึ้นกว่าทุกครั้ง พลังจักรราศีเป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมข้ากับท่านแม่ไว้ด้วยกัน ตราบที่ข้ายังไม่ได้พบท่าน ข้ายังให้พลังนี้แก่ใครไม่ได้... แต่ข้าสัญญา ข้าไม่มีวันปล่อยให้เจ้าพี่โอลาเดรสเป็นอะไรไป เจ้าจงมั่นใจเถิดเอลเมียส ข้าไม่ได้นิ่งเฉยกับเรื่องนี้

                            เอลเมียสเชื่อในคำพูดนั้น เพราะรู้ว่าฟีลันเดรสไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว แต่นางก็มีความลำบากใจเช่นกัน ข้ารู้ว่าท่านต้องการพบกับพระมารดา ข้าได้ยินมาเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับการจะกลับมาของเทพีไลอา ดาวของไลอามีการเปลี่ยนแปลง อากาศบนดาวดวงนั้นร้อนขึ้น ความร้อนกลายเป็นขุมพลังที่จะปลุกนางให้ตื่นอีกครั้ง มนุษย์ที่ดาวดวงนั้นกำลังจะปลุกให้ไลอาออกมาลงโทษพวกตนโดยไม่รู้ตัว เทพอารักษ์จะตื่นก่อนที่ดาวจะถูกมนุษย์ทำลาย ดาวของเทพีไลอากำลังเดินไปสู่เส้นทางนั้น อากาศที่วิปริตผิดฤดูไปทั่วจะเป็นสิ่งยืนยัน อีกไม่นานเทพีไลอาจะตื่นเพื่อหยุดการกระทำของพวกมนุษย์ นางจะเอาคืนสิ่งมีชีวิตที่จะทำลายดาวดวงนั้น

                            หลังคำพูดของนาง ฟีลันเดรสนิ่งไปครู่ใหญ่กว่าจะพูดอะไรออกมา เจ้าคงจำเรื่องเกี่ยวกับพลังจักรราศีที่ข้าเคยเล่าให้ฟังได้...

                            ข้าจำได้พลังนี้เกี่ยวโยงกับดวงชะตาของมนุษย์บนดาวสีน้ำเงินดวงนั้น เมื่อขาดพลังไป เทพีไลอาจึงไร้ซึ่งอำนาจที่จะสื่อสารกับมนุษย์ เมื่อมนุษย์หลงผิด นางจึงไม่อาจตักเตือนหรือชี้นำ แต่เพื่อปกป้องดาวไว้ นางอาจต้องทำลายมนุษย์เหล่านั้นเสีย เพื่อปกป้องดาวของพระนาง ธรรมชาติที่ยังรับรู้ถึงการคงอยู่ของนาง จะช่วยกันทำลายพวกมนุษย์ เพื่อคงความอยู่รอดของดาวดวงนั้นไว้

                            ข้ารู้ว่านั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ท่านแม่จะทำ นี่อาจถึงเวลาที่ข้าจะไปที่นั่น...

                            ไม่ได้!” เอลเมียสห้ามเสียงสั่น ข้าหมายถึง...ท่านจะทิ้งพิธีอาบบุปผาที่สำคัญนี้ไปไม่ได้

                           
    ไม่มีข้าก็ยังมีเจ้าพี่โอลาเดรส นางแสดงสีหน้าว่าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ ข้าต้องการพบท่านแม่ มากกว่าสิ่งใด ข้าพร้อมจะแลกทุกอย่าง และเจ้าจะไม่ห้ามข้า

                            คำถามที่ให้ ไม่ใช่เพื่อจะเอาคำตอบ แต่เป็นการถามเพื่อขอให้นางอยู่เคียงข้าง เอลเมียสมองผ่านแววตาคมออก ถึงแม้นางจะห้ามแต่ฟีลันเดรสก็คงไม่ฟัง เขาเป็นคนเช่นนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หากตัดสินใจอะไรไปแล้วจะไม่ล้มเลิกง่าย ๆ

                            ถ้าท่านตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะเดินทางไปพร้อมกับท่าน ฟีลันเดรส ข้าจะช่วยให้ท่านสมหวัง ข้าจะไปที่ดาวสีน้ำเงินพร้อมท่าน

                            อย่าเลย เจ้าอย่ามาเสี่ยงทำเรื่องผิดเพื่อข้า เจ้ามีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ

                            ในเมื่อท่านตัดทุกอย่างที่นี่ทิ้งได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน ข้าทำได้ทุกอย่างเพื่อท่าน

                            หากเป็นอย่างที่นางพูดทุกคำก็คงดี แต่เอลเมียสรู้ดีว่าสุดท้ายแล้ว นางยังต้องยึดถือหน้าที่ซึ่งคนในตระกูลลูดอสต้องถือปฏิบัติ เพื่อให้ตระกูลของนางยิ่งใหญ่เคียงคู่ไปกับราชวงศ์กรีนเดรียส และมีเพียงสนับสนุนองค์ราชินีคิเคียวล่ากับโอลาเดรสเท่านั้น จึงจะคงอุดมการณ์เดิมของตระกูลไว้ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่คนของนางจะยอมรับฟีลันเดรส

                            ข้าพยายามหาทางออก แต่ถ้าลงมือก่อน ก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย เสียงทุ้มต่ำนั้นเอ่ยแผ่วเบาคล้ายดั่งพึมพำกับตัวเอง หากก็ยังดังพอจะให้เอลเมียสจับคำได้ และมันยิ่งทำให้นางใจหาย อดคิดไม่ได้ หรือฟีลันเดรสจะรู้สิ่งที่นางคิด

                 
              ท่านหมายถึง...

                  ไม่มีคำตอบกลับมานอกจากรอยยิ้มที่ทำให้นางไม่ใคร่สบายใจนัก แต่การเดินทางก็ได้เริ่มขึ้น มีจุดมุ่งหมายคือดาวสีน้ำเงินที่มีชื่อว่าดาวโลก เวลาปัจจุบันของที่นั่นคือปีพุทธศักราช ๒๕๕x

                             

                            หอนาฬิกาหน้าสวนสาธารณะกลางกรุงบอกเวลาทุ่มครึ่ง ขณะที่รถเก๋งสีดำเลี้ยวเข้าจอดเทียบฟุตบาท ฟารียาเปิดประตูลงจากรถ ดวงตากลมโตสีดำอมม่วงดูสดใสสมกับวัยยี่สิบต้น ๆ ใบหน้าเรียวรูปไข่จัดว่างดงามชวนมอง ทอดมองทางขณะที่รีบเดินเพื่อกลับเข้าบ้าน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามสวนป่ากลางกรุงนี้ สวนแห่งนี้จะมีผู้คนมาออกกำลังกายในช่วงหัวค่ำ แต่วันนี้ผู้คนดูบางตาอาจเพราะอากาศดูอึมครึมคล้ายฝนจะตก


                            ทะทำไม ต้องทำร้ายข้า?”

                  ถ้อยคำจากผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้เท้าที่กำลังรีบเร่งชะงักไป

                 
    ไย...เจ้าทรยศต่อความรักที่ข้าให้ เอลเมียส

                            ข้าไม่มีทางเลือก ฟีลันเดรส เสียงสั่นคลอสะอื้นของผู้หญิงตอบกลับ

                            ในแวบแรกที่ได้ยินคำว่า ทำร้าย บวกกับน้ำเสียงที่สะท้อนความเจ็บปวดของฝ่ายชาย ทำให้ฟารียาคิดว่าอาจมีคนต้องการความช่วยเหลือ เธอเดินจึงเข้าไปใกล้มากขึ้นมากขึ้น...และพยายามเงี่ยหูฟัง ค่อนข้างระวังตัว เกรงว่าจะเข้าไปรบกวนคนอื่นถ้าเรื่องไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอคิด

                            แต่ขอให้เชื่อเถิดว่าข้ารักท่าน ถึงตอนนี้ข้าก็ยังคงรักท่าน

                            รักข้า?”

                  คำย้อนถามอย่างผิดหวังดังสวนขึ้น ไล่เลี่ยกับที่ฟารียาก้าวออกมายืนในมุมที่สามารถมองเห็นตัวต้นเสียงปริศนา โดยเฉพาะชายหนุ่มผมสีทองยาวเคลียไหล่ ร่างสูงโปร่งดูผึ่งผาย

                 
              ปราดแรกที่เห็น ฟารียารู้ได้ทันทีว่าการทรยศที่ว่าคือการทำร้าย เพราะท่าทางยืนที่ไม่มั่นคงบวกกับมือที่กุมช่วงอกของผู้ชายคนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่าบาดเจ็บสาหัส เธอขยับจะถอยห่างอย่างตกใจ แต่ขากลับหนักอึ้ง เท้าทั้งสองเหมือนถูกตรึงไว้กับพื้น

                            รักข้า... เจ้ารักข้าหรือหลอกใช้ความรักของข้ากันแน่! ทั้งที่ข้ารักเจ้า ไว้ใจเจ้า แต่เจ้ากลับทรยศข้า อยู่ใกล้ข้าเพียงเพื่อรอโอกาสนี้ใช่ไหม...รอโอกาสทำร้ายข้า!”

                           
    ข้าไม่มีทางเลือกฟีลันเดรส ท่านอดทนสักนิด แล้วข้าจะช่วยท่าน ท่านอย่าได้ต่อต้านเลย มันจะทำให้ท่านยิ่งทรมาน

                            ฟารียาเหมือนถูกดูดเข้าไปใกล้ ภาพนั้นชัดขึ้นเรื่อย ๆ อำนาจใดกันดึงเธอเข้าไปในเหตุการณ์น่าเศร้าใจ หรือนี่เป็นเพียงความฝัน ฝันร้ายที่เห็นหญิงสาวผมสีทองกำลังแทงคนรักของเธอด้วยอาวุธบางอย่างที่ยังมองไม่ถนัด


                            แสงสว่างบาง ๆ เหมือนเคลือบอยู่บนร่างชายหนุ่มและหญิงสาว การแต่งกายดูผิดไปจากคนทั่วไป สิ่งแรกที่ฟารียานึกถึงคือคนพวกนี้เหมือนหลุดออกมาจากโลกจินตนาการแห่งเทพนิยายของเจ้าชายรูปงามกับเจ้าหญิงผมสีทอง ซึ่งยืนอยู่ท่ามกลางมวลหมู่หิ่งห้อยที่ส่องประกายระยิบระยับรอบตัว นี่คงเป็นเหตุการณ์ในความฝัน ไม่มีทางเป็นจริง เพราะเทพนิยายใดกันเล่าที่ขับขานเรื่องราวของเจ้าหญิงซึ่งทำร้ายคนรักของนางด้วยมีดคมกริบ หากมีอยู่จริงคงเป็นเรื่องที่เศร้าที่สุด

                             
    ข้าแค่ต้องการอำนาจพลังจักรราศี เพื่อช่วยชีวิตเจ้าชายโอลาเดรส ข้าจะช่วยพี่ชายของท่าน... ท่านอย่าได้ฝืนอีกเลย อำนาจในตัวท่านจะถูกส่งมาที่แก้วผลึก แล้วข้าจะรีบช่วยท่าน ท่านจะไม่เป็นอะไร จงเชื่อข้า

                            มันคือตัวแทนของท่านแม่...ใครก็อย่าหวังแย่งชิงมันไปจากข้า

                            ฟารียาไม่เชื่อว่าเหตุการณ์ตรงหน้าคือเรื่องจริง หรือนี่เป็นฉากในบทละครแฟนตาซี เธอพยายามมองหากล้องที่อาจซ่อนอยู่ในบริเวณนั้น ทีมงานซึ่งเฝ้ามองการแสดงอย่างสมจริงของฝ่ายหญิงที่ถูกสถานการณ์บังคับให้ทำร้ายคนรักของนาง

                            ฟีลันเดรส ข้าต้องทำ ข้าไม่มีทางเลือก!” ฝ่ายหญิงกรีดร้องอ้อนวอนให้อีกฝ่ายเลิกต่อต้าน ข้าไม่มีทางเลือก ข้าแค่ต้องการอำนาจจักรราศีในตัวท่าน เพื่อท่านแม่ของข้าเช่นกัน ฟีลันเดรส ท่านทนเจ็บอีกเพียงนิดเดียว แล้วข้าจะช่วยท่าน

                            เสียงร้องโหยหวนเมื่อถูกทรมานของฟีลันเดรสบอกฟารียาว่านี่ไม่ใช่การแสดง ไม่ใช่เหตุการณ์ในฝันของเธอ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ผู้ชายคนนั้นกำลังจะถูกฆ่า ยิ่งคิดได้ฟารียายิ่งตัวแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ถูก

                            อย่าคิดว่าข้าจะยอม พลังนี้แลกด้วยชีวิตของท่านแม่ของข้า ต่อให้เป็นเจ้า ข้าก็จะไม่มีวันให้อภัย! จำไว้เอลเมียส นับจากนี้ข้าจะไม่มีวันให้อภัยสิ่งที่เจ้าทำ!”

                            มันไม่สำคัญหรอก เพราะท่านจะไม่มีทางจำได้ ฟีลันเดรส ท่านจะจำเหตุการณ์นี้ไม่ได้ เมื่อข้าได้ในสิ่งที่ต้องการ กริชเวทเล่มนี้จะค่อย ๆ ทำให้ท่านลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ท่านจะจำเรื่องระหว่างเราที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้

                            การโต้ตอบของคนสองคนตรงหน้าทำให้ฟารียาพอเดาได้ว่า
    กริชเวทซึ่งดูเหมือนมีดสั้นเรืองแสงที่แทงทะลุไหล่ฟีลันเดรสกำลังดูดพลังบางอย่างออกจากตัวเขา เพื่อไปสะสมในแก้วอัญมณีสีรุ้งที่เปล่งแสงอยู่ในมือของหญิงสาวเรือนผมสีทองคำ

                            ท่านจะยังคงรักข้า องค์รัชทายาทฟีลันเดรส!” สิ้นเสียงของเอลเมียส ฟารียาเห็นเธอออกแรงกดสุดกำลัง ส่งผลให้ร่างฟีลันเดรสกระตุกเฮือกราวกับกำลังถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง ยิ่งต่อต้าน ท่านยิ่งจะทรมาน จงยอมแพ้ซะเถอะฟีลันเดรส!”

                            ข้าไม่ยอม...ข้าไม่มีทางยอม!”

                            ภาพตรงหน้ามีแต่ความโหดร้าย นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว มันเป็นการพยายามฆ่า เธอเข้ามาเห็นเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร ต้องทำอะไรสักอย่าง แต่จะทำอะไรได้ในเวลานี้ในเมื่อเธอขยับตัวไม่ได้ แขนขาคล้ายถูกตรึง เหมือนเวลาที่โดนผีอำ รับรู้ทุกอย่าง รู้สึกหวาดกลัว แต่ขยับเขยื้อนไม่ได้

                           
    อย่าทำเขา...นานพอดูกว่าเธอจะหลุดเสียงออกมาได้ แต่มันดูไม่มีพลังพอ จึงรวบรวมพลังถลันจะเข้าห้าม แต่ดูเหมือนร่างกายจะยังคงขยับไม่ได้ แขนขาดูไม่มีแรง ได้แต่ตะโกนห้าม แต่เสียงของเธอไม่อาจส่งถึงคนทั้งสองได้

                 
              พอซะที เธอรักเขา ทำไมถึงทำร้ายเขาได้ พอซะที พอซะที

                            ฟารียารู้ว่าขืนปล่อยไว้ผู้ชายคนนั้นจะต้องตายแน่ ๆ ต้องหาคนมาช่วย แต่ครั้นจะเคลื่อนกาย ก็ทำไม่ได้ดั่งใจนัก เท้าทั้งสองข้างเหมือนถูกตรึงไว้กับที่ สิ่งที่นึกได้ในตอนนี้คือต้องโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ หญิงสาวพยายามฝืนตัวเองอีกครั้ง น่าแปลกที่คราวนี้ มือที่ไร้เรี่ยวแรงก่อนหน้าค่อยมีกำลังพอให้หยิบโทรศัทพ์ในกระเป๋าได้ ทว่าเมื่อหยิบขึ้นมากลับพบว่าไม่มีสัญญาณ เป็นไปได้อย่างไร นี่เธออยู่กลางเมืองและก็เดินผ่านที่นี่ทุกวัน มันไม่ปกติ ทุกอย่างดูไม่ปกติไปหมด

                            เมื่อทำอะไรไม่ได้แล้วสิ่งที่พอทำได้คือสวดอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่นึกได้คือเครื่องรางที่พ่อทิ้งไว้ให้ หญิงสาวดึงเอาล็อกเกตที่แขวนติดตัวไว้ขึ้นพนม ตลับเงินทรงกลมนั้นคือสิ่งล้ำค่าที่ได้รับมา ด้วยความเชื่อว่ามันจะคุ้มครองผู้สวมใส่ สิ่งนี้พ่อของเธอแลกมันมาด้วยอิสรภาพ

                            เทพีไลอา โปรดช่วยเขาด้วย ช่วยพวกเขาเหมือนที่เคยช่วยลูก เยียวยาความเจ็บปวดของพวกเขาด้วย เทพีไลอาได้โปรดประทานอำนาจรักษา

                            ในจังหวะที่อ้อนวอนนั้น ฟารียาแทบสะดุ้งเฮือก เมื่ออยู่ ๆ ดวงตาของฟีลันเดรสก็ตวัดขึ้นมองราวกับรับรู้การคงอยู่ของเธอ และเหนืออื่นใด เขาพูดสิ่งเดียวกับเธอนั่นก็คือ...เท พี ไล อาแม้อยู่ไกลพอสมควรแต่เธอกลับได้ยินชัดเจน แววตาสีทองอมฟ้าคู่นั้นเริ่มมีหวังขึ้นอีกครั้ง เธอไม่ได้คิดไปเองว่าเขาจับจ้องที่ล็อกเกตในมือเธอ ราวกับว่าพบเจอสิ่งล้ำค่า แต่นั่นยังไม่แปลกเท่าที่เขาเรียกชื่อเธอ เขารู้ได้อย่างไร ในเมื่อเธอมั่นใจว่าไม่เคยรู้จักพวกเขา

                            ฟาง...ฟารียา

                            ยังไม่ทันที่ฟารียาจะได้ขยับตัวหรือคิดคำตอบใด ๆ เธอรู้สึกวูบร้อนในอก จี้เพชรสีรุ้งในกล่องล็อกเกต ซึ่งห้อยติดตัวสว่างวาบคล้ายตอบสนองต่อสายตาฟีลันเดรส

                            ฟารียาไม่ใช่แค่หูแว่ว เขารู้จักชื่อของเธอจริง ๆ ข้ายกอำนาจของแม่ข้าให้กับเจ้า ฟารียา!” สิ้นเสียงของฟีลันเดรส ฟารียารู้สึกถึงอำนาจบางอย่างไหลบ่าเข้าสู่ตัวเธอ

                           
    เกิดอะไรขึ้น?” เอลเมียสเองก็คงไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน ท่านจะทำอะไร ฟีลันเดรส? ท่านจะส่งพลังของท่านไปที่ใด?”

                            เอลเมียส ข้าจะไม่มีวันอภัยให้เจ้า! จะไม่มีวันให้อำนาจจักรราศีกับเจ้า! จำเอาไว้ เมื่อใดที่ข้าจำทุกอย่างได้ ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือข้า!” คนที่ถูกมีดปักคาอกตะโกนก้อง

                            เทพีไลอา ท่านแม่ของข้ามีตัวตนอยู่จริง นางส่งคนมาให้ข้าถ่ายเทอำนาจก่อนจะถูกแย่งชิง เจ้าจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการเอลเมียส! เจ้าจะไม่มีทางได้อำนาจจักรราศีไปช่วยโอลาเดรส!” ฟีลันเดรสตวาดกร้าว ก่อนจะกวาดตามองข้ามไหล่เอลเมียสมาหยุดอยู่ที่ฟารียาซึ่งยังยืนตัวแข็ง อำนาจบางอย่างกำลังถูกถ่ายเทจากเขามายังล็อกเกตเงินที่เหมือนเปล่งแสงได้ในเวลานี้

                            ใคร?”

                  ฟารียาสะดุ้งเฮือกเมื่อเอลเมียสหมุนตัวกลับมาจนพร้อมเผชิญหน้า เธอต้องการมองวงหน้าขาว ๆ ที่กำลังหันมาให้ชัด แต่แสงสีขาวส่องสว่างเจิดจ้าจนต้องหลับตาลง

                  ใครอยู่ตรงนั้นออกมานะ!”

                            ฟารียารู้สึกเหมือนสติกำลังจะขาดสะบั้นลง บอกตัวเองให้มีสติ แต่ทุกอย่างกลับเป็นตรงข้าม ไม่เพียงมองไม่เห็นใบหน้าของหญิงสาวเรือนผมสีทองคนนั้น หากสายตาเธอยังพร่ามัวไปหมด แต่แล้วความพยายามดูจะเป็นผล เมื่อเธอเห็นรอยแผลใหญ่และลึกที่ตัดผ่านฝ่ามือของเอลเมียส แผลเก่าที่น่าจะเกิดจากคมมีดที่กรีดผ่านเป็นทางยาว


                            เราต้องได้เจอกันอีกเสียงทุ้มต่ำของฟีลันเดรสก้องขึ้นข่มเสียงของเอลเมียส เราต้องได้เจอกัน ฟารียา

                           
    ใครอยู่ตรงนั้น!” เอลเมียสกรีดร้อง เจ้าอย่าโง่รับพลังนั้นไว้ เพราะมันจะนำภัยมาสู่เจ้า! ฟีลันเดรสจะฆ่าเจ้า! เขาจะฆ่าเจ้าเพื่อเอาพลังกลับคืน! จงดู! ดูสิ่งที่ฟีลันเดรสจะทำกับเจ้า!”

                            สิ้นเสียง ฟารียามองเห็นซากศพที่ระเนระนาดอยู่เต็มพื้น กลิ่นคาวเลือด แขนขาที่ถูกตัดจากร่าง ซากศพของคนนับสิบมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และจะบอกว่าความตายเหล่านี้เกิดขึ้นจากบุรุษหนุ่มตรงหน้าอย่างนั้นน่ะหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาเป็นคนที่ถูกทำร้ายไม่ใช่หรือ

                            เจ้าจะมีสภาพเช่นนี้! ฟีลันเดรสจะฆ่าเจ้าอย่างไม่รู้สึกผิด! เจ้าจะมีสภาพเช่นนี้ ฟารียา!” คำขู่นั้นทำให้หญิงสาวรู้ว่าเอลเมียสรู้ชื่อเธอแล้วเช่นกัน ฟารียา เจ้าจงเชื่อข้า ฟีลันเดรสจะฆ่าเจ้า!”

                            จากนั้นเสียงของฝีเท้าคนจำนวนมากดังอยู่รอบตัว พร้อมการต่อสู้ ฟารียาเข่าอ่อน ล้มพับอยู่ตรงสนามหญ้านั้น ขอบเขตการมองเห็นของเธอคล้ายแคบลง ได้ยินเพียงเสียงร้องที่สะท้อนความเจ็บปวดของผู้คน

                            ไว้เราต้องได้เจอกันอีก ฟารียา…’ นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เธอได้ยิน ก่อนสติจะดับวูบลง หากเธอยังทันเห็นร่างหนึ่งที่มีดวงตาสีเหลืองอำพันที่แสนจะคุ้นเคยไม่ไกลจากตรงนั้น

                  เธอไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ มารู้สึกตัวอีกทีก็ถูกห้อมล้อมด้วยพลเมืองดีมากมายซึ่งกำลังปฐมพยาบาลเธอ ด้วยคิดกันว่าหญิงสาวเป็นลมล้มพับไป


                           
    เจ้าหลง เราเห็นเจ้าหลงนี่นา?”

                  หญิงสาวรำพึงกับตัวเองเบา ๆ เมื่อความคิดแรกที่เข้ามาในหัว คือภาพสายตาสีเหลืองอำพันที่เธอเห็นก่อนหมดสติไป จากนั้นเธอก็กลับบ้าน พร้อมกับคำถามที่ค้างคาในใจที่ไม่สามารถให้คำตอบ แต่เบื้องหลังของฟารียา สุนัขสีดำตัวใหญ่ก้าวออกมาจากเงาไม้ ดวงตาสีอำพันคู่นั้นสะท้อนประกายดั่งผู้รู้ หาใช่ดั่งสัตว์อย่างที่ควรจะเป็น มันทอดถอนใจ พร้อมกับรำพึงสิ่งที่ไม่มีใครจะได้ยิน

                            “ข้าทำได้เพียงเท่านี้ กษัตริย์ผู้เป็นความหวังแห่งคาร์ทอส”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×