งานประเพณีไหลเรือไฟเป็นประเพณีเก่าแก่ที่พุทธศาสนิกชนชาวนครพนมภาคภูมิใจ และถือปฏิบัติต่อกันมาแต่โบราณกาลเป็นพิธีกรรมหนึ่งในงานบุญออกพรรษา ซึ่งเป็นประเพณีฮีตสิบสองของชาวอีสาน จัดขึ้นในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑ โดยเชื่อกันว่าการไหลเรือไฟในแม่น้ำโขงคือการขอขมาและรำลึกถึงพระคุณของแม่คงคา พร้อมกับบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเสด็จจากดาวดึงส์ (วันพระเจ้าเปิดโลก) และเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานทีในแคว้นทักขิณาบทประเทศอินเดีย (ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุททา) ตามเรื่องราวในพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า เมื่อครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ไปแสดงธรรมในพิภพบาดาลครั้นจะเสด็จกลับ พญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ประทับรอยพระบาทไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาค เทวดา มนุษย์ตลอดจนสัตว์ทั้งหลายได้สักการะบูชารอยพระพุทธบาทนั้นแทนพระพุทธองค์
อีกประการหนึ่งเชื่อว่า การไหลเรือไฟเป็นการบูชาพระจุฬามณีเจดีย์บนสรวงสวรรค์ ซึ่งตามพุทธประวัติกล่าวว่า เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสด็จออกผนวชทรงตัดพระเกศาแล้วโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า พระอินทร์ได้นำเอาผอบมารับไว้ แล้วนำไปบรรจุไว้ในพระจุฬามณีเจดีย์ให้เหล่าเทวดานางฟ้าได้สักการะบูชาและยังเชื่อกันอีกว่า หากได้บูชาพระจุฬามณีเจดีย์ จะเกิดอานิสงส์ได้ไปเกิดในพระศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย
นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า การไหลเรือไฟจะทำให้ฝนในปีต่อไปดี เพราะการไหลเรือไฟเป็นการปล่อยไฟลงในน้ำ ทำให้พญานาคที่อยู่ในน้ำเดือดร้อน แล้วหอบน้ำหนีขึ้นไปอยู่บนฟ้า พอถึงเดือน ๖ น้ำในโลกมนุษย์จะแห้ง ผู้คนเดือดร้อนจึงจุดบั้งไฟขึ้น ๆไป พญาแถนจึงสั่งให้พญานาคนำน้ำที่หอบขึ้นไปคืนให้แก่โลกมนุษย์ โดยตกลงมาเป็นฝนโปรยปรายทั่วทั้งแผ่นดิน
เมื่อใกล้ถึงวันงาน พระภิกษุสามเณรของแต่ละคุ้มวัด จะบอกกล่าวชาวบ้านให้ชักชวนกันทำเรือไฟล่วงหน้า ๒-๓ วัน โดยนำไม้ไผ่หรือต้นกล้วยตัดเป็นท่อน ๆ มามัดรวมกันเป็นแพยาวประมาณ ๘-๑๐ วา โดยให้หัวและท้ายแพเหมือนเรือธรรมดาทั่วไป จากนั้นจึงนำไม้ไผ่ขนาดพอเหมาะมาต่อเป็นโครงสำหรับเป็นราวแขวนตะเกียงหรือกะไต้ ที่ใช้จุดไฟให้สว่างไสวไปทั้งลำเรือ พร้อมทั้งประดับประดาเรือด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม ภายในจะบรรจุธูปเทียน ขนม ของใช้ต่าง ๆ หากเรือลอยไปติดฝั่งไหน ชาวบ้านก็จะนำของเหล่านี้ไปทำทาน ต่อมาได้พัฒนาให้ไฟมีลวดลายต่าง ๆ ทั้งใช้จีวรเก่าฉีกเป็นริ้ว ๆ ชบน้ำมันยางตากให้แห้ง นำมาพันกับลวด แล้วดัดให้เป็นรูปต่าง ๆ ตามจินตนาการจากนั้นก็นำไปผูกกับโครงไม้ไผ่ที่แพ ใช้ริ้วผ้าผูกลวดดัดเป็นสายชนวนเวลาจุดไฟ เมื่อเวลาจุดไฟ ไฟจะค่อย ๆ ลุกไปตามโครงลวดที่พันผ้าชุบน้ำมันยางไว้
ตอนเช้าของวันงานชาวบ้านจะพากันไปทำบุญตักบาตร ถึงเวลาเพลมีการถวายภัตตาหารและเลี้ยงญาติโยมที่มาในงาน ช่วงบ่ายมีการละเล่นต่าง ๆ เพื่อความสนุกสนาน รวมทั้งมีการร่วงวงฉลองเรือไฟ พอประมาณ ๔-๕ โมงเย็น หรือใกล้พลบค่ำจะร่วมกันฟังเทศน์ พระสงฆ์สวดมนต์ให้ศีลให้พร หลังจากนั้นก็ร่วมกันอัญเชิญไฟพระฤกษ์ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาที่ปะรำพิธี ผู้แทนเรือไฟแต่ละลำจะต่อไฟไปจุดเรือไฟของตน แล้วเริ่มปล่อยเรือไฟให้ไหลไปตามสายน้ำโขงพร้อมกับส่องแสงแพรวพราวสะท้อนแสงแม่น้ำโขงแข่งกับแสงจันทร์วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑
จากหนังสือ นครพนม
กนกวรรณ โสภณวัฒนวิจิตร
ความคิดเห็น