aeae08
ดู Blog ทั้งหมด

ประเพณีไหลเรือไฟ

เขียนโดย aeae08




                   งานประเพณีไหลเรือไฟเป็นประเพณีเก่าแก่ที่พุทธศาสนิกชนชาวนครพนมภาคภูมิใจ  และถือปฏิบัติต่อกันมาแต่โบราณกาลเป็นพิธีกรรมหนึ่งในงานบุญออกพรรษา  ซึ่งเป็นประเพณีฮีตสิบสองของชาวอีสาน  จัดขึ้นในวันขึ้น  ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ หรือแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๑  โดยเชื่อกันว่าการไหลเรือไฟในแม่น้ำโขงคือการขอขมาและรำลึกถึงพระคุณของแม่คงคา  พร้อมกับบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเสด็จจากดาวดึงส์ (วันพระเจ้าเปิดโลก)  และเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานทีในแคว้นทักขิณาบทประเทศอินเดีย (ปัจจุบันเรียกว่าแม่น้ำเนรพุททา) ตามเรื่องราวในพุทธประวัติกล่าวไว้ว่า  เมื่อครั้งที่พญานาคได้ทูลอาราธนาพระพุทธองค์ไปแสดงธรรมในพิภพบาดาลครั้นจะเสด็จกลับ   พญานาคได้ทูลขอให้พระองค์ประทับรอยพระบาทไว้ ณ ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที  เพื่อให้บรรดานาค  เทวดา  มนุษย์ตลอดจนสัตว์ทั้งหลายได้สักการะบูชารอยพระพุทธบาทนั้นแทนพระพุทธองค์

                        อีกประการหนึ่งเชื่อว่า  การไหลเรือไฟเป็นการบูชาพระจุฬามณีเจดีย์บนสรวงสวรรค์  ซึ่งตามพุทธประวัติกล่าวว่า  เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสด็จออกผนวชทรงตัดพระเกศาแล้วโยนขึ้นไปบนท้องฟ้า  พระอินทร์ได้นำเอาผอบมารับไว้ แล้วนำไปบรรจุไว้ในพระจุฬามณีเจดีย์ให้เหล่าเทวดานางฟ้าได้สักการะบูชาและยังเชื่อกันอีกว่า  หากได้บูชาพระจุฬามณีเจดีย์  จะเกิดอานิสงส์ได้ไปเกิดในพระศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย

                        นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่า  การไหลเรือไฟจะทำให้ฝนในปีต่อไปดี  เพราะการไหลเรือไฟเป็นการปล่อยไฟลงในน้ำ  ทำให้พญานาคที่อยู่ในน้ำเดือดร้อน  แล้วหอบน้ำหนีขึ้นไปอยู่บนฟ้า  พอถึงเดือน ๖ น้ำในโลกมนุษย์จะแห้ง  ผู้คนเดือดร้อนจึงจุดบั้งไฟขึ้น ๆไป  พญาแถนจึงสั่งให้พญานาคนำน้ำที่หอบขึ้นไปคืนให้แก่โลกมนุษย์  โดยตกลงมาเป็นฝนโปรยปรายทั่วทั้งแผ่นดิน

                        เมื่อใกล้ถึงวันงาน  พระภิกษุสามเณรของแต่ละคุ้มวัด  จะบอกกล่าวชาวบ้านให้ชักชวนกันทำเรือไฟล่วงหน้า ๒-๓ วัน  โดยนำไม้ไผ่หรือต้นกล้วยตัดเป็นท่อน ๆ มามัดรวมกันเป็นแพยาวประมาณ ๘-๑๐ วา  โดยให้หัวและท้ายแพเหมือนเรือธรรมดาทั่วไป  จากนั้นจึงนำไม้ไผ่ขนาดพอเหมาะมาต่อเป็นโครงสำหรับเป็นราวแขวนตะเกียงหรือกะไต้ ที่ใช้จุดไฟให้สว่างไสวไปทั้งลำเรือ  พร้อมทั้งประดับประดาเรือด้วยดอกไม้อย่างสวยงาม  ภายในจะบรรจุธูปเทียน ขนม ของใช้ต่าง ๆ หากเรือลอยไปติดฝั่งไหน ชาวบ้านก็จะนำของเหล่านี้ไปทำทาน       ต่อมาได้พัฒนาให้ไฟมีลวดลายต่าง ๆ ทั้งใช้จีวรเก่าฉีกเป็นริ้ว ๆ ชบน้ำมันยางตากให้แห้ง  นำมาพันกับลวด  แล้วดัดให้เป็นรูปต่าง ๆ ตามจินตนาการจากนั้นก็นำไปผูกกับโครงไม้ไผ่ที่แพ  ใช้ริ้วผ้าผูกลวดดัดเป็นสายชนวนเวลาจุดไฟ  เมื่อเวลาจุดไฟ  ไฟจะค่อย ๆ ลุกไปตามโครงลวดที่พันผ้าชุบน้ำมันยางไว้

                ตอนเช้าของวันงานชาวบ้านจะพากันไปทำบุญตักบาตร  ถึงเวลาเพลมีการถวายภัตตาหารและเลี้ยงญาติโยมที่มาในงาน  ช่วงบ่ายมีการละเล่นต่าง ๆ เพื่อความสนุกสนาน  รวมทั้งมีการร่วงวงฉลองเรือไฟ  พอประมาณ ๔-๕ โมงเย็น  หรือใกล้พลบค่ำจะร่วมกันฟังเทศน์  พระสงฆ์สวดมนต์ให้ศีลให้พร  หลังจากนั้นก็ร่วมกันอัญเชิญไฟพระฤกษ์ที่ได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาที่ปะรำพิธี  ผู้แทนเรือไฟแต่ละลำจะต่อไฟไปจุดเรือไฟของตน  แล้วเริ่มปล่อยเรือไฟให้ไหลไปตามสายน้ำโขงพร้อมกับส่องแสงแพรวพราวสะท้อนแสงแม่น้ำโขงแข่งกับแสงจันทร์วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑

               

 

    จากหนังสือ  นครพนม

กนกวรรณ  โสภณวัฒนวิจิตร

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น