คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #47 : สังหาร
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๔๗ สังหาร
วกกลับมาที่ หัสกัณฐ์ และ เปมิกา ซึ่งกำลังเปิดศึกอยู่กับขุนพลมาร แสงฤทธิ์ เวลานี้ หัสกัณฐ์ แผ่ซ่านพลังออกจากดาบมหาจักรพรรดิปราบไพรี ครอบคลุม ตัวของ แสงฤทธิ์ หมายสังหาร เขาให้ได้
‘ บ้าจริง พลังดาบของมันทำเอาข้าขยับตัวไปไหนไม่ได้ ’
พลังดาบของ หัสกัณฐ์ แม้จะออกมาจากจุดเดียวแต่กลับพุ่งเป้าเข้าหา แสงฤทธิ์ จากทุกทิศทาง ทำให้ แสงฤทธิ์ ไม่กล้าวู่วามเพราะหากเขาขยับตัวแม้แต่นิดเดียวก็จะถูกกระบวนดาบของ หัสกัณฐ์ ปิดตายในทันที
‘ จะออมมือให้มันไม่ได้เป็นอันขาด ’
หัสกัณฐ์ รู้ดีว่าถึงแม้พลังดาบของเขาจะกดดัน แสงฤทธิ์ อย่างไร สุดท้าย แสงฤทธิ์ ก็ต้องหาวิธีการสลายพลังดาบของเขาได้ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องออมมือและปิดบังพลังของตัวเองอีกต่อไป
“ วูบบบๆๆ ”
เกิดพลังแสงขึ้นรอบตัวของ หัสกัณฐ์ อย่างช้าๆ พร้อมกับบางส่วนของร่างกายของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงด้วย
“ ปึกๆๆๆๆๆ ”
กล้ามเนื้อบางส่วนขยายใหญ่ขึ้น ทั้งยังมีบางสิ่งที่แปลกปลอมผุดออกมาจากร่างกาย ลักษณะคล้ายกับหางของสัตว์ประเภทหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านหลัง ฟันที่เป็นลักษณะของเผ่าพันธุ์ยักษ์ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งแทนที่จะหงายขึ้นกับแหลมและคว่ำลง ลักษณะแปลกไปกว่าปกติ
‘ นี้นะหรือ... พระองค์ ’
เป็นครั้งแรกที่ เปมิกา ได้เห็นอีกร่างหนึ่งของ หัสกัณฐ์ ร่างที่เขาไม่คิดอย่างจะใช้มาก่อน
“ อสูรวานร!!!!! ”
‘ ที่แท้ครึ่งหนึ่งของมันเป็นวานรหรือนี้!!!! ’
แม้แต่ แสงฤทธิ์ เอง ก็คิดไม่ถึงเช่นกัน
หัสกัณฐ์ เป็นอสูรวงค์พรหมที่สืบทอดเชื้อสายมาจากกรุงมลิวัน ซึ่งลูกหลานในรุ่นหลังต่างสืบทอดเชื้อสายมาจาก พญาหนุราช ( มัจฉานุ ) กับนางรัตนมาลี ( ธิดายักษ์เจ้ากรุงมลิวัน ท้าวจักรวรรดิ ) ดังนั้นเขาจึงมีร่างอยู่สองร่างคือร่างที่เป็นอสูร และร่างที่เป็นวานร นี้จึงนับเป็นครั้งแรกที่เขาคืนร่างเป็นวานรในขณะทำสงคราม ( แต่ มัจฉานุ ก็เป็นลูกของ นางสุพรรณมัจฉา ธิดาของ ทศกัณฐ์ ที่เกิดกับนางมัจฉา ดังนั้นจึงถือได้ว่า มัจฉานุ เองก็ไม่ใช่วานรแท้ๆ คงเป็นครึ่งวานรครึ่งยักษ์ครึ่งมัจฉานั้นเองแต่ร่างกายหลักคงได้รับอิทธิพลจาก หนุมาน ผู้เป็นพระบิดา จึงมีรูปร่างที่เป็นวานรมากกว่าที่จะเป็นยักษ์หรือมัจฉา ซึ่งต่างกับ พญามารนุราช หรือ อสุรผัด ที่อยู่ร่างเดียวเป็นครึ่งวานรครึ่งยักษ์ แต่เนื่องจาก พระราม ได้ทรงตัดหางของ มัจฉานุ ออกตามคำขอของ หนุมาน ทำให้ทายาทรุ่นต่อมาจึงไม่หางของเหล่ามัจฉาอีกเลย คงเหลือแต่ลักษณะของครึ่งยักษ์และครึ่งวานรเท่านั้นแต่คุณสมบัติของหมู่มัจฉาที่แอบแฝงอยู่ในร่างก็ยังคงหลงเหลือไม่ได้จางหายไปกับกาลเวลา )
หาง ของ หัสกัณฐ์ ที่โผล่ออกมา กำลังเหวี่ยง ปัดไป ไปมา ก่อนที่จะยืดไปตวัดตบเข้าที่ใบหน้าของ แสงฤทธิ์
“ เพลี๊ยะ ”
แสงฤทธิ์ รู้สึกทั้งเจ็บทั้งชาที่ใบหน้า ทั้งยังปรากฏรอยแดงๆฝากไว้ เป็นการท้าทายและข่มขู่จากอสูรกึ่งวานร
“ บัดซบ ”
ไม่รู้ว่า แสงฤทธิ์ ถูกความโกรธเข้าครอบงำหรือรู้สึกอับอายที่ถูกตบหน้า ออกกระบวนดาบเบนเข้าสู่ศูนย์กลางพลังดาบของ หัสกัณฐ์
“ กระบวนดาบตามแสง แสงอาทิตย์ยามเย็น ”
พลังดาบของ หัสกัณฐ์ ที่สะกด แสงฤทธิ์ เอาไว้จู่โจมเป้าหมายในทันทีที่ แสงฤทธิ์ ขยับตัว ถึงแม้ว่าพลังดาบของ หัสกัณฐ์ จะพุ่งมาเหมือนมือยักษ์ที่ขยุ้มร่างทั้งร่างแต่อสูรร้ายก็ยังไม่เปลี่ยนกระบวนต้านรับยังคงใช้กระบวนดาบบุกฟันที่จุดเดิม
‘ ร้ายกาจมากคิดไม่ถึงว่ามันจะใช้วิธีนี้ต้านพลังดาบของข้า ’
ดูเผินๆในสายตาของคนทั่วไป แสงฤทธิ์ ดูเหมือนคนโง่ก็ไม่ปาน แต่แท้ที่จริงแล้วกลับเข้าใจหาวิธีต้านรับและจู่โจมคู่ต่อสู้ได้อย่างดียิ่ง พลังดาบของ หัสกัณฐ์ รุนแรงและครอบคลุมทุกพื้นที่ก็จริงแต่ก็ล้วนออกมาจากจุดเดียวนั้นก็คือ ดาบมหาจักรพรรดิปราบไพรี ดังนั้นหากเป็นคนอื่นย่อมไม่กล้าบุกฝ่าเข้าใจกลางของพลังเป็นแน่ เพราะกว่าสลายพลังที่ออกมาจากดาบได้ ตัวเองคงถูกพลังดาบฟาดฟันเข้าจนตายเสียก่อน แต่ แสงฤทธิ์ มีกระบวนดาบที่ไวดุจแสงอาทิตย์ ดังนั้นเมื่อเขามองจุดอ่อนตรงนี้ออกจึงตัดสินใจฟาดฟันดาบเพื่อทำลายศูนย์กลางของพลัง ทั้งยังถือโอกาสจู่โจม หัสกัณฐ์ ไปในตัว
“ นับว่าเจ้าตาแหลมใช้ได้ ”
หัสกัณฐ์ หยุดพลังดาบกลางคัน วาดดาบเป็นรูปวงกลม เปลี่ยนกระบวนดาบเป็นตั้งรับ
“ แปดกระบวนดาบวานรนรลักษณ์ ลูกพระพายกลืนพระอวตาล ”
กระบวนนี้ยิ่งกว่าพลังดาบเมื่อครู่นี้เสียอีก กระบวนดาบของ แสงฤทธิ์ เหมือนวิ่งเข้าหาจุดอับแสงทั้งยังถอนคืนไม่ได้
‘ แย่แล้วถอนพลังคืนไม่ได้ ’
หัสกัณฐ์ ไม่ปล่อยโอกาสนาทีทองให้ผ่านพ้น
“ แสงฤทธิ์ เจ้าไปลงนรกได้แล้ว ”
เสียงที่ดังก้องกัมปนาท ทำเอา แสงฤทธิ์ หนาวถึงขั้วหัวใจ มองเห็นเงาดาบฝ่าเข้ามาหาอย่างเร็ว ต่อให้ต้านไว้ได้ก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ แปดกระบวนดาบวานรนรลักษณ์ วายุบุตรบดสุริยะ ”
“ ฟ้าวววววววววว ”
ขณะที่แสงฤทธิ์ กำลังจะถูกคมดาบของ หัสกัณฐ์ ฟาดฟันจู่ๆกลับมีเสียงหนึ่งคำรามก้อง
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์ฟ้าก้องคำราม ”
“ เปรี้ยงงงงงงงงงงงงงงงง ”
แสงฤทธิ์ รอดตายอย่างหวุดหวิด ในขณะเดียวกันเจ้าของเสียงก็ปรากฏพร้อมทั้งร่างที่สะบักสะบอม จากการต่อสู้
“ พยัคฆ์วารี!!!!?????? ”
เปมิกา ทั้งตกใจและไม่เข้าใจว่าทำไม พยัคฆ์วารี ถึงได้ช่วยเหลือศัตรู ไม่เฉพาะเพียงแค่ เปมิกา เท่านั้น ทุกคนรวมทั้ง หัสกัณฐ์ ก็ตกใจด้วย แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ที่ติดตาม พยัคฆ์วารี ต่างร่นถอยมาสมทบไม่ถึงครึ่ง ซ้ำร้ายพยัคฆ์บางตนยังบินตกมาขาดใจตายตรงหน้าพวกนางอีกด้วย
“ นี้มันเรื่องอะไรกัน พยัคฆ์วารี ทำไมเจ้าถึงได้ทำอย่างนี้?....... ”
พยัคฆ์วารี มอง เปมิกา ด้วยสายตาที่เลื่อนลอย ไม่ตอบแต่ประการใด
“ หึๆ เกือบไปแล้วไหมล่ะ แสงฤทธิ์ ”
แม่ทัพใหญ่ที่สุดในกองทัพอสูร พุ่งทะยานมาพร้อมกับกำลังที่เหลือเกือบทั้งหมด และทหารเชลยจำนวนเกือบสองพันคน
“ อังกลาตู ”
อังกลาตู หยุดมาอยู่ข้างกายของ แสงฤทธิ์ ทั้งสีหน้าและแววตารู้สึกดูดุดันยิ่งนัก
“ พระธิดา พระเจ้าข้า ช่วยโอรสด้วย โอรสถูกมันควบคุม ” หนึ่งในกองรบพยัคฆ์สวรรค์ที่เหลือรอดบอก เปมิกา
“ ว่าไงนะ!!!! ”
คำพูดของ กองรบพยัคฆ์สวรรค์ ทำเอา เปมิกา แทบไม่เชื่อหูตัวเอง นางไม่คิดว่า พยัคฆ์วารี จะพลาดท่าได้ง่ายๆเช่นนี้ ต่อให้วิชาควบคุมจิตใจของศัตรูร้ายกาจแค่ไหน ก็ไม่น่าจะมีทางควบคุม พยัคฆ์วารี ได้เต็มร้อยถึงขนาดนี้ได้
“ ขอบใจที่ช่วยข้า ข้าประมาทมันไปหน่อย ” แสงฤทธิ์ กล่าวขอบคุณ
“ ไม่เป็นไร เจ้าเองก็คงเหนื่อยมามากแล้ว ทางนี้ข้าจะจัดการเอง ” อังกลาตู ต้องการกำจัดศัตรูโดยเร็วเผื่อป้องกันสถานการณ์พลิกเปลี่ยน
......แต่ แสงฤทธิ์ ยังยกดาบขึ้นเหมือนจะสู้ต่อ
“ ไม่....ข้ายังสู้ไหว อีกอย่างถ้าไม่เอาคืนบ้างคงเสียชื่อข้าแย่ ”
เห็น แสงฤทธิ์ ยืนยันเช่นนั้น อังกลาตู ก็ไม่อยากขัดใจ
“ ตามใจเจ้า งั้นเจ้าหมอนั้นข้ายกให้เจ้า ส่วนนังหนูนั้นข้าจะจัดการเอง”
แสงฤทธิ์ ตกใจรีบพูดร้องห้าม
“ อย่าอังกลาตู!!!!! ”
“ เพราะอะไร? ” อังกลาตู สงสัยและถาม
แสงฤทธิ์ ไม่ตอบแต่พูดว่า
“ คนอื่นเป็นตายอย่างไรก็ช่างแต่เจ้าห้ามทำร้ายนางเด็ดขาด ”
อังกลาตู เห็นท่างทางของ แสงฤทธิ์ ประกอบกับ เปมิกา มีน่าตาที่สะสวยจึงเริ่มเข้าใจ
“ อ๋อ..... อย่างนี้ๆเอง.......เจ้านี้จริงๆเลย .....อืม ” อังกลาตู เอามือกอดเองและส่ายหน้าก่อนนิ่งคิดนิดหนึ่ง
“ ก็ได้แต่เพื่อความปลอดภัยของเจ้ากับข้าจะทำให้นังหนูนี้เหมือนกับเพื่อนของมัน เจ้าเห็นว่าไง ”
“ ขอเพียงเจ้าไว้ชีวิตนางก็พอแล้วเรื่องอื่นข้าไม่สน ” แสงฤทธิ์ตอบ
“ งั้นก็ดีแล้ว ”
อังกลาตู คลายมือออก เตรียมพร้อมสู้ แต่ เปมิกา ไม่ใช่ตุ๊กตาที่ใครคิดจะมาบ่งการได้ง่ายๆ
“ พูดพอแล้วหรือยัง คิดว่าจะควบคุมข้าได้ง่ายอย่างนั้นหรือ ”
เปมิกา ไม่รั้งรอให้ศัตรูเตรียมพร้อมไปมากกว่านี้ ใช้ ดาบปราบลิขิตฟ้า บุกฟันใส่ อังกลาตู ด้วยความเร็วที่ใครจะคาดถึง
“ หึๆๆ ” อังกลาตู หัวเราะในลำคอเมื่อเห็น เปมิกา บุกเข้ามาและไม่หลบคมดาบแต่ประการใด
“ เคร้งงงงงงงงงง ”
เหตุที่ไม่หลบก็เพราะว่าคนที่จะสู้กับนางหาใช่เขาไม่
“ พยัคฆ์วารี!!!!!! ”
พยัคฆ์วารี ที่ถูก อังกลาตู ควบคุม พุ่งร่างเขาสกัดพร้อมใช้ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ ต้านทาน ดาบปราบลิขิต ปกป้อง อังกลาตู เต็มกำลัง
“ อย่ามาขวางข้า ” ถึง เปมิกา จะรู้อยู่แก่ใจว่า พยัคฆ์วารี ถูกควบคุมและไม่รับรู้ในสิ่งที่นางพูดแต่ก็อดมีอารมณ์ไม่ได้
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์คำรามแปดทิศ ”
เงาพยัคฆ์ ดาหน้าล้อมหน้าหลัง เปมิกา จนขยับไปไหนไม่ได้ เปมิกา ทั้งสุดแค้นและเจ็บใจ
“ บอกแล้วไงว่า อย่ามาขวางข้า ”
“ กระบวนดาบมัจฉาแหวกม่านน้ำ น้ำป่าทะลักสู่ที่ราบ ”
คมดาบฟาดฟันดุจลำน้ำใหญ่ เป็นกระบวนที่รุนแรงและต่อเนื่อง โหมกระหน่ำดุจน้ำป่าที่พังเขื่อนให้พังทลาย พยัคฆ์วารี ที่บาดเจ็บจากการต่อสู้รับมือด้วยท่าทางที่ซวนเซ แต่เนื่องจากถูกบังคับจากฝ่ายตรงข้ามแม้เจ็บหนัก ก็ยังคงใช้ดาบต้านรับไม่ท้อถอย
“ ......พยัคฆ์วารี ”
เปมิกา กัดฟันพูดอย่างลำบากและอึดอัดใจ ทุกครั้งที่ดาบของนางปะทะกับดาบของพยัคฆ์วารี เกิดประกายแสงดุจน้ำตาพร่างพราวและระยิบระยับ ตลอดเวลา แสงนั้นก็คือน้ำตาของดาบ ดาบเขี้ยวพยัคฆ์ที่ไม่ต้องการต่อสู้
“ พยัคฆ์วารี เจ้าได้สติ ซักทีซิ ......ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้าไปมากกว่านี้แล้ว ”
คำที่ออกมาจากใจแต่ไร้ประโยชน์อันใดต่อลูกพยัคฆ์
“ ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆ ” อังกลาตู หัวเราะชอบใจที่เห็นการต่อสู้ระหว่างนางกับเด็กน้อยที่อยู่ในกำมือของเขา
“ นังหนู ถ้าเจ้าอยากช่วยเจ้าหนูนั้นจริงๆ ก็จงฆ่าเขาเสียสิ ”
“ ว่าไงนะ !!!!????”
อังกลาตู พูดต่อว่า
“ ใครก็ตามที่ถูก พลังอสุรมาร ของข้าควบคุม มันจะต้องตกเป็นทาสของข้าตลอดไปจนกว่ามันจะตาย ถ้าเจ้าอยากจะช่วยมันจริงๆก็จงฆ่ามันซะซิ หึๆๆๆ ”
“ พูดเพ้อเจ้อไปหน่อยแล้ว ฆ่าเจ้าซะ พยัคฆ์วารี ก็จะมีสติคืนมาเหมือนเดิม ”
เปมิกา กระโดดถีบ พยัคฆ์วารี ก่อนขวางดาบเข้าหา อังกลาตู หมายฆ่าเขาให้ได้
“ เคร้งงงงงงงงง ” พยัคฆ์วารี ที่ล้มกลิ้งกลับทะยานตัวเข้ามาปกปกปัดดาบกระเด็นออก ก่อนที่ดาบจะย้อนคืนกลับมาหาเจ้าของ
“ ฟังดูเข้าทีดีนิ แต่จะทำได้จริงเหรอ? ” อสูรชั่วท้ายทายก่อนยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง
“ เจ้าหนู จงฆ่าพวกมันให้หมดซะ จงฆ่าคนที่คิดร้ายข้า เจ้านายของเจ้า จงพวกฆ่ามันให้หมด ”
พลังอสุรมาร กดดันจิตใจ ยิ่งกว่าเก่า บังคับให้ พยัคฆ์วารี ลงมืออย่างหนัก
“ อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ” พยัคฆ์วารี ส่งเสียงร้องลั่นก่อนท้องฟ้าจะแปรปรวนอย่างรุนแรง
“ ครืนนนนนนนนนนนนนนนน ”
“ วิชาสี่พยัคฆ์คำรณ พยัคฆ์ทลายไตรภูมิ ”
ร่างราชาพยัคฆ์ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เตรียมกลืนกินทุกคนที่อยู่ตรงหน้า
“ พยัคฆ์วารี!!!!! ” หัสกัณฐ์ แทบไม่เชื่อว่าพลังอสุรมารจะมีอำนาจมากขนาดนี้
“ พยัคฆ์วารี...... ” เปมิกา ก้มหน้านิ่งไม่รู้จะทำอย่างไรดีหากไม่ทำอะไรซักอย่างพวกนางทั้งหมดจะต้องแย่แน่ๆ
“ อังกลาตู!!!!!! ” แสงฤทธิ์ รีบทักท้วงเพราะคิดว่า อังกลาตู คงลืมเรื่องที่ตกลงไปแล้ว แต่ อังกลาตู กลับยกมือขึ้นห้ามเหมือนบอกว่าไม่ต้องห่วงและกังวลอะไร
“ กรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรรร ”
เสียงของราชาพยัคฆ์ ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับร่างพยัคฆ์ร้ายที่บ้าเลือด
“ พยัคฆ์วารี!!!!!!!!!!!!! ” เปมิกา เงยหน้าขึ้นมามอง พยัคฆ์วารี ก่อนที่น้ำตาของนางจะร่วงออกมาและทะยานร่างพุ่งเข้าหา
“ กระบวนมัจฉาแหวกม่านน้ำ ร้อยมัจฉาทลายมหาสมุทร ”
“ เปรี้ยงงงงงงงงงงงงง ”
เกิดเสียงจากการปะทะดังสนั่นหวั่นไหว
“ กรรรรรรรรรร ”
เสียงของราชาพยัคฆ์ ค่อยๆแผ่วเบาและหยุดนิ่งอย่างช้าๆ กลายเป็นร่างของ พยัคฆ์วารี แทน ร่างของเขาซบอยู่ที่ไหล่ของ เปมิกา มองไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น
“ พยัคฆ์วารี.... เปมิกา...... ”
หัสกัณฐ์ เอ่ยชื่อทั้งสองอย่างแผ่วเบาเพราะเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ อ๊อคคคคคคคคคค ”
พยัคฆ์วารี กระอักเลือดออกมาหนึ่งครั้งก่อนที่ร่างจะเกร็งสะท้านหงายหลังลงไปนอนต่อหน้าทุกคน
“ ตึงงงงงงงงง ”
“ อึกกกกกกกกๆๆ ”
ลูกพยัคฆ์ หายใจเข้าออกอย่างแรงก่อนที่ดวงตาจะไร้แววแห่งความมีชีวิตอีกต่อไป
“ เปาะๆๆๆๆ เยี่ยมมาก ฉากสังหารเมื่อครู่นี้เยี่ยมจริงๆ ฮะๆๆๆๆ ”
เปมิกา เงยหน้าขึ้นมามอง อังกลาตู น้ำตาเอ่อล้นทั้งสองข้างพร้อมทั้งความโกรธแค้น
“ ข้าจะฆ่าเจ้า จะฆ่าเจ้าให้ได้ ”
“ ย๊ากกกกกกกกกกกก ” กระบวนดาบแฝงไอสังหารมากที่สุดเท่าที่นางเคยใช้มา
“ ฆ่าพวกมันซะ ” อังกลาตู ออกคำสั่ง
กองรบมารทั้งหมดรวมทั้งทหารเชลยที่ต่างเหม่อเมื่อครู่นี้ถูกเสียงสั่งการปลุกประสาทกลับคืนก่อนยกพลบุกเข้าปะทะกับกองทัพนครอัญจารี การที่ เปมิกา สังหาร พยัคฆ์วารี ทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารลดลงไปมากถึงแม้จะรู้ว่านางทำเพราะความจำเป็นก็ตาม
“ ปึก ”
“ อ๊อคค ”
เปมิกา ไขว้ดาบไว้ด้านหลังใช้เพียงแค่หมัดของนาง เดินฝ่าเข้าหากองรบมาร หมายบุกเข้าไปหา อังกลาตู ให้ได้ โดยมี หัสกัณฐ์ ตามมาช่วยติดๆแต่ก็ถูกกันออกมาโดยฝีมือของ แสงฤทธิ์
“ จะรีบไปไหน บัญชีเมื่อครู่นี้ข้ายังไม่ได้คิดเลย ” แสงฤทธิ์ว่า
“ หึ... กลัวว่าจะไม่ได้ตายหรือไง ” หัสกัณฐ์ตอบ
ส่วน เปมิกา บุกฝ่าเข้ามาถึงตัวของ อังกลาตู จนได้และนางก็เริ่มใช้ดาบฟาดฟันศัตรู
“ เอาชีวิตมาให้ข้า ”
ไม่ว่าดาบจะมาเร็วแค่ไหน อังกลาตู ก็เพียงแค่โยกตัวหลบ
“ มีปัญญาทำได้เพียงแค่นี้หรือ? ช่างน่าสงสารซะจริงๆ ” อังกลาตู พูดจาเยาะเย้ย
“ ไอ้บ้าเอย ”
เปมิกา ตวัดดาบคืนกลับมาคมดาบฟาดฟันมาทางลำตัวเต็มๆ อังกลาตู แทนที่จะโยกหลบกลับยืนนิ่งอยู่เฉย
“ หึๆๆๆ ”
เหตุที่ อังกลาตู ไม่หลบเพราะเขาดึงตัวทหารเชลยผู้หนึ่ง มาเป็นโล่ให้กับตัวเอง
“ หา..... ”
เมื่อเห็นชีวิตของผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า เปมิกา รีบถอนดาบเพื่อไม่ให้ดาบของนางต้องเข่นฆ่าผู้คนที่ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งพยามรวบรวมสมาธิ เพื่อระงับความโกรธที่กำลังพลุ่นพล่านขึ้นมาเรื่อยๆ
“ ชั่วช้า ”
“ หึๆๆ อะไรแค่นี้ก็ไม่กล้าฟันข้าแล้วหรือ งั้นแบบนี้เป็นไง? ”
อังกลาตู ที่สุดแสนเจ้าเล่ห์ เมื่อเห็น เปมิกา ไม่เข้ามา ก็ทำในสิ่งที่ใครเกิดจะคาดคิด
“ แคล็ก ”
“ อ๊อคค ”
เพียงทีเดียวร่างของเชลยคนนั้นถึงกับสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะสิ้นใจในลักษณะที่หัวหมุนกลับไปอีกด้านหนึ่ง
“ เจ้า... ” ตั้งแต่นางเกิดมายังไม่เคยพบอสูรตนไหนที่ชั่วร้ายได้ถึงขนาดนี้มาก่อน
อังกลาตู จับตัวทหารเชลยเข้ามาเป็นโล่ให้กับตัวเองอีกคน พร้อมทั้งออกกำลังเค้นไว้ที่มือเตรียมหักคอทหารเชลยคนนั้น
“ ถ้าหากเจ้าไม่กล้าเข้ามา ข้าก็จะฆ่าพวกมันไปเรื่อยๆ จนกว่าเจ้าจะเข้ามา ข้าจะพวกมันได้รู้ว่าคนที่พวกมันหวังจะให้ช่วยเหลือสุดท้ายก็ช่วยพวกมันไม่ได้ ”
“ เจ้าเดรัชฉาน ”
เปมิกา ไม่อาจระงับความโกรธแค้นได้อีกต่อไป ออกกระบวนดาบที่เร็วเกินคาด
“ กระบวนดาบ มัจฉาแหวกม่านน้ำ มัจฉาทวนลำธาร ”
เป็นกระบวนดาบที่เร็วมาก เลือกจู่โจมแขนทั้งสองข้างของ อังกลาตู
‘ มาไวเป็นบ้า ’
กระบวนดาบที่รวดเร็วนี้แม้แต่ อังกลาตู ยังรับไม่ทันจนต้องปล่อยมือออกจากตัวทหารเชลยที่เขาใช้เป็นโล่เพื่อไม่ให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ
“ พลังอสุรมาร ปุณฑริกสราญรมย์ ”
พลังลำแสงสีดำปรากฏอยู่ที่มือทั้งสองของ อังกลาตู ก่อนจะกางกรงเล็บต้านทานสกัด ดาบปราบลิขิตฟ้า ที่ฟาดฟัดเข้ามา
“ เคร้งงงงงงงงงงงงงๆ ”
เสียงดาบและกรงเล็บ ปะทะกันดังสะนั่นจนแสบแก้วหู
“ เจ้าว่าข้าเป็นเดรัชฉานอย่างนั้นหรือ? เจ้าเองก็เพิ่งจะฆ่าเพื่อนมาเหมือนกันไม่ใช่หรือ เจ้ากับข้ามันก็ไม่ต่างกันหรอก เพื่อเป้าหมายของตัวเองเมื่อแต่เพื่อนพ้องหรือญาติมิตร ก็ไม่คำนึงถึงเหมือนกันนั้นแหละ ”
คำพูดของ อังกลาตู เหมือนคมมีดที่กรีดหัวใจของ เปมิกา อย่างสุดแสนจะเจ็ดปวดและทรมาน เมื่อคิดถึงว่าเมื่อครู่นางต้องลงมือสังหาร พยัคฆ์วารี ด้วยน้ำมือของนางเอง
“ หุบปาก ข้าขอสาบาน หากเจ้าไม่ตายด้วยน้ำมือข้า ข้าไม่ขออยู่เป็นคน ”
แม้แต่ แสงฤทธิ์ ที่กำลังต่อสู้อยู่กับ หัสกัณฐ์ ก็ยังรู้สึกว่านอกจาก อังกลาตู จะชั่วร้ายเกินกว่าที่เขาจะคาดคิดแล้ว เรื่องทำลายความรู้สึกของคนอื่นก็แทบไม่เป็นรองเลยแม้แต่น้อย
‘ หึๆ นังหน้าโง่ โกรธเข้าไปอีกสิ เคียดแค้นเข้าไปสิ ข้าจะได้ทำให้เจ้าเหมือนกับไอ้หนูนั้นอีกคน ’
เวลานี้ เปมิกา โกรธแค้นจนเลือดขึ้นหน้า กระบวนดาบที่นางใช้จึงเต็มไปด้วยช่องโหว่ พริบตาที่นางทุ่มกำลังฟาดฟันดาบ อังกลาตู ก็ได้โอกาส เข้าถึงตัว
“ นังหนูหน้าโง่ ข้าจะให้เจ้าเป็นทาสของข้าตลอดไป ฮะๆๆๆ ”
อังกลาตู หลบคมดาบอีกครั้งพลิกเปลี่ยนตำแหน่งมายังด้านหลังของ เปมิกา ซึ่งกำลังเปิดช่องว่างอย่างเต็มๆ ก่อนใช้กรงเล็บตะปบเข้าที่ศีรษะของนางพร้อมทั้งเร่ง พลังอสุรมาร ขึ้น
“ พลังอสุรมาร ภูติจุติแดนมาร ”
ปรากฏ พลังอสุรมาร อันมหาศาลจากกรงเล็บนั้น แทรกซึมเข้าร่างของ เปมิกา ทั้งยังกระตุ้นจิตใจให้เกิดความชั่วร้ายเพื่อเข้าครอบงำ
“ กรี๊ดดดดดดดดดดด ” เปมิกา ส่งเสียงกรีดร้อง
“ เปมิกา!!! ”
หัสกัณฐ์ ตกใจ รีบพยายามเข้าไปช่วย
“ จะรีบไหนเล่า คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้าต่างหาก ”
หัสกัณฐ์ ถูก แสงฤทธิ์ ขวางทาง
“ หึมมมมม ไสหัวไปเดี๋ยวนี้ ”
“ แปดกระบวนดาบวานรนรลักษณ์ จ้าววานรถล่มบาดาล ”
หัสกัณฐ์ ทั้งโมโหและเป็นห่วงความปลอดภัยของ เปมิกา ออกกระบวนดาบที่รุนแรงหมายสังหาร แสงฤทธิ์ ในดาบเดียวแต่ แสงฤทธิ์ หลบเหลี่ยงไม่ปะทะเพราะเข้าต้องการขัดขวางไม่ให้ หัสกัณฐ์ เข้าไปช่วย เปมิกา ได้เท่านั้น
“ ฮะๆๆๆ นังหนู จงมาเป็นทาสของข้าซะ ฮะๆๆๆๆ”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะของ อังกลาตู และพลังอสุรมารที่สุดแสนร้ายกาจ เปมิกา ก็ยังไม่ยอมแพ้ ต่อสู้กับพลังความชั่วร้ายอย่างสุดฤทธิ์
“ ฝันไปเถอะ ใครจะไปยอมเป็นทาส ของเจ้ากัน ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกก ”
เปมิกา รวบรวมพลังทั้งหมดเข้าสู่สมาธิ อันแน่วแน่
“ เคล็ดพลังปราณจิต สมาบัติญาณกระจ่างแจ้ง ”
ทั่วร่างของนางเปล่งแสงสว่างขจัดจิตมารและพลังอันชั่วร้าย
“ อะไรกัน!!! ”
อังกลาตู ไม่คาดคิดว่า เปมิกา จะมีวิชาที่ต่อกรกับพลังอสุรมารได้ ไม่ทันระวัง ถูกพลังปราณจิต กระแทกเข้าอย่างแรง
“ เปรี้ยงงงงงงงงงงงง ”
“ อ๊อคคคคคคคคคค ” อังกลาตู กระอักเลือด ปล่อยมือจาก เปมิกา
ผลของความประมาทและชะล่าใจ ทำให้ อังกลาตู ต้องได้รับบาดเจ็บเป็นครั้งแรกในศึกนี้ แต่ถึงอย่างไร อังกลาตู ก็ยังเป็นชนชั้นระดับขุนพลมาร เพียงเวลาชั่วครู่ก็สามารถตั้งหลักได้
“ อึกกก ” อังกลาตู พยายามฝืนกลั้นความเจ็ดปวด
“ กรอดดด เบญจมหาโยคี!! ”
พลังอสุรมาร เป็นวิชาของโยคีดำซึ่งเคยพ่ายให้กับ นันทสีดาบส หนึ่งในเบญจมหาโยคีดังนั้นเมื่อมาเจอกับวิชาของ อารยะดาบส ซึ่งเป็นหนึ่งในเบญจมหาโยคีเช่นกัน จึงเปรียบเสมือนเจอดาวข่มของตัวเองเข้า หาก เปมิกา ใช้พลังปราณจิต เข้าต่อสู้ตั้งแรก อังกลาตู คงจะระมัดระวังตัวมากกว่าและไม่เพลี่ยงพล้ำง่ายๆ
“ แฮ่กๆๆ ” เนื่องจากใช้พลังไปไม่น้อย เปมิกา เองถึงกับเหนื่อยหอบแต่โชคยังดีที่ว่า อังกลาตู ยังไม่หายจากการอาการตกตะลึงจึงทำให้มีเวลาได้พักหายใจ
“ เบญจมหาโยคี เจ้าพวกฤษีเฒ่า ”
อังกลาตู ส่งเสียงคำรามหลังจากได้สติก่อนพุ่งพรวดเข้าหา เปมิกา ทั้งยังผนึกพลังอสุรมารไว้ที่หมัดทั้งสองข้าง
“ พลังอสุรมาร มหาภูมิมารทำลายโลกเล็ก ”
เป็นการแบ่งพลังจากลูกพลังขนาดใหญ่เอาไว้ที่หมัดแทนที่จะปล่อยลูกพลังเข้าทำลาย ใช้สำหรับเข้าจู่โจมในระยะประชิดตัวโดยเฉพาะ
“ เข้ามา ”
เปมิกา ไม่ยอมแพ้ กัดฟัน ฟาดฟันดาบเข้าต่อกรอีก
“ พระเวทย์อวตาล ๕ ธาตุ ร่างเทวะอัคคี กระบวนดาบมหาจักรพรรดิปราบไพรี กระบวนที่ ๓ ทลายหน้าด่านกำแพงศึก ”
พลังดาบแฝงพลังเพลิงเข้าต้านทานสองหมัดที่พุ่งเข้าหา อังกลาตู คล้ายกับเหมือนจะเสียสติหรือหวาดกลัวก็ไม่ทราบแน่ชัด ระดมหมัดเข้าหา เปมิกา ไม่เว้นจังหวะให้หายใจ
“ เคร้งงงงงงงงงงงงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ”
เปมิกา ที่อ่อนล้าจากการใช้พลังไปมากสุดท้ายก็ออกกระบวนดาบได้ช้าลง เป็นโอกาสให้กับ อังกลาตู ได้ลงมือ
“ ตายซะนังหนู ”
อังกลาตู ไม่ออมมือแม้แต่น้อยรวมพลังไว้ที่จุดๆเดียว เตรียมซัดเข้าที่ช่วงท้อง หมายต้องการสังหาร เปมิกา ให้ได้ จนลืมไปแล้วว่าเคยให้สัญญาอะไรกับ แสงฤทธิ์ เอาไว้
‘ แย่แล้ว ’ เปมิกา สุดปัญญาที่จะต้านทานได้
“ พลังอสุรมาร มหาภูมิมารทำลายโลก ”
ช่วงจังหวะนั้นเอง จู่ๆ ก็ปรากฏศรขึ้นมาดอกหนึ่งพุ่งเข้ามาหา อังกลาตู
“ ศรพรหมเมศเมฆา ( ลิขิตแผ่นฟ้า ) ”
“ ฟ้าววววววววววววววววววววววววววววว ”
ศรประหลาดที่พุ่งเข้ามาหาอสูรร้ายพุ่งมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ทำให้ อังกลาตู ต้องเปลี่ยนเป้าหมายปล่อยพลังอสุรมาร ออกมาต้านทานศรดอกนั้นแทนที่จะได้ปลิดชีพของ เปมิกา
“ ฟ้าวววววววววววววว ”
“ ตูมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม ”
เกิดการระเบิดอย่าง สนั่นหวั่นไหว ลูกพลังอสุรมารแตกสลาย ก่อนที่ศรพรหมเมศเมฆาจะพุ่งปักเข้าบริเวณหน้าอกของ อังกลาตู
“ ฉึก ”
หากไม่ใช่เพราะพลังอสุรมารที่ปล่อยออกไปช่วยลดทอนพลังจากศรพรหมเมศเมฆาแล้ว ตัวเขาของ อังกลาตู คงต้องไปอยู่ที่ปรโลกเป็นแน่ แต่ศรพรหมเมศเมฆานั้นกลับไม่ได้ทำให้อังกลาตู เกิดบาดแผลแต่อย่างใดนั้นก็เพราะศรนั้นปักถูกกล่องสีดำใบหนึ่งแทน
“ ตูม ”
พริบตาที่ศรปักถูกที่กล่องใบนั้น กล่องใบนั้นก็ระเบิดออกมาพร้อมทั้งคีมภีร์สองเล่มก็กระเด็นหลุดออกมาด้วย
“ คัมภีร์อสุมาร ”
“ คีมภีร์ของข้า ” อังกลาตู ตกใจรีบกระโดดรับคีมภีร์อสุรมารคืนกลับมา
“ หมับ ” อังกลาตู หยิบได้เล่มหนึ่ง
ส่วนอีกเล่มลอยละลิ่วไปอีกทาง
“ หมับ ” ก่อนตกอยู่ในมือของ เปมิกา
จบตอนที่ ๔๗ ครับ
ความคิดเห็น