ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เซวานเนญ่า โรงเรียนแห่งเวทมนต์

    ลำดับตอนที่ #19 : ภาค 1)นักเวทย์มือใหม่ : 19. การสำรวจแห่งผู้ถูกเลือก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 391
      0
      25 ก.ค. 56

    การสำรวจแห่งผู้ถูกเลือก

     

                             "ว้าว~ ของสวยๆเต็มไปหมดเลย!" ดวงตาสีน้ำทะเลของนอเอลเป็นประกายวิบวับยามเมื่อมองไปยังสิ่งของบนแผงขายในตลาดใหญ่ใจกลางเมือง

                             สาวน้อยทั้งสองเดินนำหน้าหนุ่มๆที่ไม่มีอาการตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย ได้แต่มองไปรอบๆด้วยหน้าตาง่วงๆ

                             ตลาด'เพลินเพลิง'แห่งนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในเมือง มีสินค้าให้เลือกซื้อทุกชนิด เรียกได้ว่าตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ บัดนี้ ทั้งหมดกำลังเดินอยู่ในส่วนของเครื่องประดับต่างๆ อัญมณีแต่ละชิ้นต่างเปล่งประกายราวกับกำลังเชิญชวนให้ผู้มาเยือนสละเงินเพื่อมัน

                             "นี่ๆ" เมอร์เดนชะโงกหน้าเข้ามาแทรกกลางสองสาว "เราจะเริ่มสำรวจเมื่อไหร่น่ะ...?" และถามด้วยใบน้ากวนประสาทเกินบรรยาย... ทำให้คนถูกขัดอารมณ์ทั้งคู่แยกเขี้ยวใส่และตอบกลับ

                             “ชิ! ขอลั้ลลาหน่อยไม่ได้” คนตัวเล็กเอ่ยพร้อมทำปากยื่นๆ “ขอสุดทางนี้แล้วกัน แล้วค่อยไปที่โซนหมูบ้าน เผื่อจะมีใครให้ถามๆดู ตกลงนะ?” เมื่อที่เหลือพยักหน้าให้สองสาวนักช้อปจึงหันไปมีความสุขกับเครื่องประดับบนแผงขายต่อ

                             เมื่อสุดทางตามสัญญาและได้ของมาคนละชิ้นสองชิ้นแล้ว ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังโซนหมู่บ้านด้วยความช่วยเหลือจากแผนที่ที่เอคอร์ได้มอบให้และจากการถามทางชาวบ้านผู้ใจดีตามทาง

                             “อืม... แล้วเราจะเริ่มยังไงดีล่ะ” เอลทำหน้าครุ่นคิด “จะถามตรงๆมันก็ไม่ได้น่ะนะ”

                             “เริ่มจาก ถามเรื่องสิ่งผิดปกติดีมั้ย? เพราะหากว่ามงกุฎผ่านมาหรืออยู่ที่นี่จริงก็น่าจะมีอะไรผิดปกติไป เช่น...”

                             “สภาพอากาศ การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ หรือท่าทางที่แปลกไปของสัตว์” ก่อนที่ฟรานซ์จะเอ่ยจบ เอวี่ก็แทรกขึ้นมา “เพราะสัตว์บางชนิดมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าที่ฉับไวและอ่อนไหวกว่ามนุษย์มาก ทำให้สามารถรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงแม้เพียงน้อยนิด”

                             “ถูกต้อง” ฟรานซ์เอ่ย “ตามหนังสือเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางเวทมนต์เป๊ะๆ”

                             คนที่เหลือทำหน้าฉงน แต่ก็พอเดาได้ว่าสองคนนี้คงอ่านหนังสือเล่มเดียวกันมา

                             ทั้งหมดปรึกษากันอยู่สักพักก็ได้ข้อสรุปว่าจะลองถามชาวบ้านระแวกนี้ก่อน หากไม่มีสิ่งใดผิดปกติจึงจะลองไปถามที่หมู่บ้านอื่นดู

                             "งั้นเราก็เริ่มเลยเถอะ" นอเอลเอ่ยก่อนจะเหล่ตามองไปยังหญิงวัยกลางคนหน้าตาใจดีที่กำลังจะเดินผ่านพวกเธอและผลักฟรานซ์ออกไปอย่างรวดเร็ว "นายเริ่มละกัน!"

                              "เฮ้ยๆ!" คนถูกแกล้งร้องอย่างตกใจเบาๆเมื่อถูกผลักอย่างแรงจนเกือบจะล้มทับเป้าหมายคนแรก "เอ่อ..." เมื่อเงยหน้าขึ้นมาเจอสายตาที่มองมาด้วยความสงสัยระคนตกใจเล็กน้อย เขาจึงต้องเอ่ยถามอย่างเสียมิได้ " คือ พวกเรามาทำ...รายงานน่ะครับ เกี่ยวกับ..." ชายหนุ่มกลอกตาไปมา สมองปั่นเร็วจี๋ "สิ่งผิดปกติในเมืองน่ะครับ เลยอยากจะสอบถามว่า ช่วงนี้คุณผู้หญิงพบสิ่งผิดปกติไหมครับ เช่น...สภาพอากาศหรืออะไรทำนองนี้น่ะครับ" ฟรานซ์ลอบถอนหายใจเมื่อเอ่ยจบ เหล่ตาไปยังสาวน้อยที่ผลักเขา เอาเถอะ ยังไงเขาก็ต้องหาทางแก้แค้นเธอให้ได้อยู่แล้วล่ะนะ...

                             “อ๋อ ทำรายงานกันเหรอจ๊ะ” หญิงสาวยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “น้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรหรอกนะ แต่ก็พอได้ยินชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแถบชายป่าด้านนู้นบอกว่าอากาศแปรปรวนกว่าปกตินะจ๊ะ น้าก็รู้มาเท่านี้แหละจ้ะ”

                             “ไม่เป็นไรครับ เท่านี้ก็ช่วยได้เยอะแล้วล่ะครับ ขอบคุณมากนะครับ” เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งยิ้มให้หญิงสาวเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับมาที่กลุ่มเพื่อนเมื่อเธอเดินจากไป

                             “สถาพอากาศงั้นเหรอ” คนหูดีที่เป็นคนผลักฟรานซ์ออกไปเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด “การเคลื่อนที่ของชิ้นส่วนของมงกุฎคงส่งผลถึงสภาวะโดยรอบด้วยสินะ ถ้าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากมันจริงๆล่ะก็นะ บางทีเราอาจจะเข้าใกล้มันแล้วก็ได้”

     

                             ทั้งหมดเดินต่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านชายป่า ระหว่างทางก็ถามชาวบ้านที่เดินผ่านกันบ้างประปรายได้คำตอบมาทำนองเดียวกันคือสภาพอากาศที่แปรปรวนผิดปกติ ยิ่งเดินเข้าใกล้จุดหมายเท่าไร อากาศก็ยิ่งเย็นลงและผู้คนก็ยิ่งเบาบางลงเท่านั้น

                             "ตรงนี้..." เสียงเมอร์เดนดังขึ้นท่ากลางถนนเงียบสงัด ทั้งที่เป็นเวลากลางวันแต่ท้องฟ้ากลับมืดมัวราวกับฝนจะตก "...อากาศเย็นลงกว่าเมื่อกี้ แล้วไอ้ท้องฟ้าเหมือนพายุจะเข้านี่มันอะไรกัน"

                             "ฉันว่านี่มันยิ่งกว่าผิดปกติแล้วนะ" เจ้าของดวงตาสีเงินยวงเอ่ย

                             “สุดๆเลยล่ะ มีความเป็นไปได้สูงมามงกุฎจะอยู่ที่นี่จริงๆ แต่มันก็ไม่แน่” เอวี่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้วยดวงตาเคร่งเครียด เสี้ยววินาทีก่อนที่เธอจะละสายตานั้น บังเกิดสายฟ้าฟาดมายังบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ ทุกคนกระเด็นกันไปคนละทิศละทาง

                              เมอร์เดนที่ยังพอมีสติค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมองหาคนอื่นๆก็พบว่าเอวี่นอนอยู่ใกล้โคนต้นไม้ห่างออกไปพอสมควร ฟรานซ์นอนกอดนอเอลอยู่ไกลออกไป แล้ว...เอล? เอลล่ะ หายไปไหนกัน

                             เขากัดฟันลุกขึ้นยืน แต่บาดแผลตามร่างกายนั้นไม่ค่อยเอื้อนัก กว่าจะลุกขึ้นได้จึงค่อนข้างทุลักทุเล เจ้าของใบหน้าสุดกวนที่บัดนี้เบ้ด้วยความเจ็บปวดพยุงตัวเองไปทางเอวี่ที่นอนหมดสติอยู่ เมอร์เดนทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าข้างเธอและเขย่าตัวเอวี่เบาๆ เปลือกตาบางที่ปกปิดดวงตาสีอเมทิสต์ค่อยๆเปิดขึ้นทีละน้อย เธอกะพริบตาถี่ๆก่อนจะเอ่ยปากพูด

                              “มะ...เมอร์เดน? เมื่อกี้...ฟ้าผ่า? ใช่มั้ย คนอื่นเป็นยังไงกันบ้างน่ะ??” เธอว่าพร้อมค่อยๆเท้าแขนลุกขึ้นนั่ง ความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาจากโคนแขนทำให้เธอทรุดลงไปอีกรอบหากไม่ได้เมอร์เดนพยุงไว้ได้ทันเวลา

                              “นอเอลกับฟรานซ์อยู่ทางนู้น...” เมอร์เดนตอบเอวี่เมื่อเธอลุกขึ้นมานั่งได้แล้ว หากแต่เขาไม่ได้พูดต่อ ถึงบุคคลที่เธอนั้นแสนเป็นห่วง...

                              “สองคนนั้นปลอดภัยใช่มั้ย แล้ว...เอลล่ะ? เอลอยู่ไหน??” เธอเอ่ยถามขึ้นอย่างร้อนรนหวังไม่ให้เป็นอย่างที่คิดเมื่อมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เจอเขาเลย

                             “ฉันก็ไม่เห็นเอล เขา...อาจจะถูกสายฟ้าลักพาตัวไปแล้ว” สิ้นคำกล่าว ดวงตาของเอวี่ก็เบิกโพลง ส่ายหน้าไปมาช้าๆ มือทั้งสองข้างกำแน่นอย่างเป็นกังวล

                              ใช่...สายฟ้าลักพาตัวเอลไป

                              กินเยอะไปมั้ยเมอร์เดน เดี๋ยวจุกนะเอวี่แซวเมอร์เดนขณะที่ทุกคนกำลังนั่งรับประทานอาหารกันเมื่อเช้า...

                             ไม่มีทางน่ะ กระเพาะฉันใหญ่จะตายไป เธอไม่รู้เหรอทุกคนบนโต๊ะพูดคุยหัวหัวเราะเฮฮากันอย่างเพลิดเพลินขณะที่เอลส่ายหัวอย่างเอือมๆและลุกขึ้นไปเอาน้ำ นอเอลกับฟรานซ์ก็เริ่มแย่งอาหารกัน เอวี่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่จู่ๆก็เหมือนมีละอองสีทองที่พัดมากับสายลม เธอเริ่มขมวดคิ้ว ละอองนั้นค่อยๆรวมตัวกัน

                              ‘แสงจากฟ้าจะพาเขาไป

                              เธอเม้มริมฝีปากแน่น นี่มันหมายถึงอะไรกัน? เอวี่หันหน้ามาทางเพื่อนๆเพื่อดูว่ามีใครเห็นหรือไม่ก็พบเมอร์เดนที่กำลังมองเธออยู่ ทั้งสองจ้องตากันราวกับจะคุยกันทางสายตา แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร เก็บความกังวลนั้นภายใต้ใบหน้าปกติ และหวังว่ามันจะไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น

                              แต่ตอนนี้...มันได้เกิดขึ้นแล้ว เขาที่ว่า หมายถึงเอล แล้วสายฟ้าล่ะ คือใครกัน?

     

                              “นอเอล ไหวมั้ย” เอวี่เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงขณะที่ทั้งสี่คนนั่งพักอยู่ใต้ร่มไม้ และกำลังรักษาตัวเองด้วยเวทมนต์ ถึงแม้จะทำได้ไม่เต็มที่เพราะร่างกายที่บาดเจ็บและความกังวลในจิตใจที่รบกวนประสิทธิภาพของพลังสำรอง ตอนนี้ท้องฟ้ายังคงมืดมัว แม้จะไม่มีสายฟ้าแล้วแต่ฝนที่ตั้งเค้ามากขึ้นกว่าเก่านั้นยิ่งส่งให้บรรยากาศยิ่งดูหดหู่

                             “ไม่เป็นไร ฉันไหวอยู่ เธอนั่นแหละ...อย่ากังวลมากนะ เอลจะไม่เป็นไร” นอเลอยิ้มให้กำลังใจ เธอเองก็เป็นห่วงเอล และก็รู้ว่าเพื่อนเธอเป็นห่วงเขามากแค่ไหน เธอไม่ปฏิเสธเลยว่าความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นช้าๆทว่ามั่นคงภายในใจของเธอและเอวี่เป็นเรื่องจริง

                              “เราพักอีกสักแปปแล้วก็ออกเดินต่อกันเถอะ พวกเธอไหวใช่มั้ย?” ฟรานซ์เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศหดหู่นั้นระหว่างที่กำลังเอาเศษผ้าพันแผลที่ข้อมือให้เมอร์เดน เมื่อพวกเธอพยักหน้า ทั้งหมดจึงเร่งทำแผลและรักษาตนเองเพื่อออกเดินทางต่อไป...

     

                              อืม...” เสียงครางดังขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัดและเสียงร้องของแมลงยามค่ำคืนของ ป่า

                              เอลค่อยๆยันตัวขึ้นแม้จะรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างกายแต่สัญชาติญาณที่กำลังร้องบอกเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติอย่างมหันต์ทำให้เขาต้องฝืนตัวเองลุกขึ้นนั่ง

                              เขาสะบัดหัวไล่ความมึนงงก่อนจะมองไปรอบตัวเอง

                              ตอนนี้เขาอยู่ในป่าทึบ...ท้องฟ้ามืดมิด มอเห็นเพียงดวงจันทร์เด่นสง่า สมองเขาปั่นเร็วจี๋ทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาจำได้ว่า ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันอยู่นั้น เอวี่ก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาเลยมองตามและเห็นสายฟ้าที่ผ่าลงยังพวกเขาอย่างรวดเร็ว เขาพยายามจะเอื้อมมือคว้าตัวเธอเอาไว้ แต่เขายืนอยู่ห่างจากเธอพอสมควร เสี้ยววินาทีที่มือเขาจะสัมผัสเอวี่สายฟ้าก็ฟาดลงมา จากนั้นทุกอย่างก็ดับมืดลง...

                              ขณะที่เขากำลังนั่งทบทวนเหตุการณ์อยู่นั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านหลัง เอลจึงเตรียมพลังสายลมไว้ที่มือพร้อมหันไปอย่างรวกเร็ว

                              “หึ...เก็บพลังไว้รักษาตัวเองเถอะ เอล คาร์โนเปิล...” เสียงแหบห้าวดังขึ้จากร่างสูงที่สวมเสื้อคลุมฮู้ดปิดหน้าปิดตา มองเห็นเพียงริมฝีปากบางเฉียบกับเครายาวสีขาวเท่านั้น

                              “คุณ...เป็นใคร” เอลเอ่ยถามด้วยท่าทางระแวดระวังพลางยันตัวลุกขึ้นยืน

                              “ฉันว่ามันไม่สำคัญหรอกว่าฉันเป็นใคร แต่มันสำคัญตรงที่ว่า จุดมุ่งหมายเราเหมือนกันต่างหาก” สิ้นเสียงนั้น ชายตรงหน้าก็ยื่นมือมาทางเขาอย่างรวดเร็ว แล้วทุกอย่างก็ดับวูบไป

                              อะไรกัน...อีกแล้วเหรอ ทำไมต้องเกิดเรื่องอย่างนี้ด้วยนะ...แล้วเอวี่ล่ะ? เพื่อนเขาอยู่ที่ไหนกัน...??

     

                              “นี่ก็เย็นมากแล้ว เราพักกันตรงนี้มั้ย” ฟรานซ์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท้องฟ้าที่มืดลงทุกขณะ “อยู่ห่างจากลำธารไม่มากนัก ต้นไม้ใหญ่นี่ก็ดูจะเป็นที่พักพิงได้”

                              “อืม เอางั้นละกัน เดี๋ยวฉันร่ายมนต์ล่องหนให้” เมอร์เดนว่าก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งและเริ่มร่ายนต์

                             นอเอลบีบมือเอวี่อย่างให้กำลังใจก่อนจะร่ายมนต์ให้ใบไม้รอบๆตัวมารวมกันและกลายเป็นหมอนและผ้าห่มที่ถักทอขึ้นจากใยใบไม้ด้วยเวทมนต์

                             เอวี่ที่กำลังมองเพื่อนๆจัดที่จัดทางนอนด้วยดวงตาที่มีอารมณ์หลากหลายก่อนที่ฟรานซ์จะเดินเข้ามาหา

                              “เอลก็เป็นเพื่อนของฉันนะ ทุกคนต่างก็เป็นห่วงเขาเหมือนกับเธอ และฉันเชื่อ ว่าคนอย่างเอลน่ะ เอาตัวรอดได้อยู่แล้วล่ะ มันไม่เคยยอมแพ้ให้กับอะไร โดยเฉพาะเมื่อ รู้ ว่ามีคนกำลังรอเขาอยู่ ยังไงเขาก็จะไม่เป็นอะไร เขาจะกลับมา โอเคมั้ย?” คำพูดนั้นทำให้เอวี่มีสายตาที่ผ่อนคลายลง ก่อนจะพยักหน้าช้าๆและสะบัดมือเบาๆให้ลูกแอปเปิ้ลบนต้นไม้ใกล้ๆหลุดจากกิ่งลอยมาทางพวกเธอสี่ห้าลูก

                             “บางทีทุกคนอาจจะลืมอาหารเย็นไปนะ” เธอแย้มรอยยิ้มน้อยๆออกมา แม้ดวงตาสีม่วงที่เคยแสนสดใสนี้จะยังคงมีร่องรอยแห่งความกังวล แต่เมื่อเธอยิ้มได้ทุกคนจึงค่อยสบายจขึ้นมา

                              “นั่นสิ แอปเปิ้ลกับแซนด์วิชคงไม่เลวเท่าไหร่นะ” ฟรานซ์ว่าพร้อมกับขยับมือเรียกแซนด์วิชชิ้นหนาที่ห่อไว้อย่างดีจากช่องเก็บเวทมนต์ซึ่งเป็นเหมือนอีกมิติว่างเปล่าที่เอาไว้ใช้ประโยชน์ได้ และนั่นทำให้ทุกคนตาลุกวาวและร้องดีใจเพราะเมื่อผ่านความกังวลมหาศาลนั่นมาท้องก็เริ่มครวญครางให้เจ้าของหาอะไรใส่ท้องเสียที

                              ถึงแม้ว่าวันนี้จะไม่ใช่วันที่ดีสำหรับทุกคนนัก แต่ทุกคนก็เชื่อ เชื่อว่ายังมีวันพรุ่งนี้ มีความหวัง มีโอกาส ที่จะได้พบกันในไม่ช้า ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาจะต้องปลอดภัย...

                              กลางดึกอันเงียบสงัดนั้น เสียงอันแสนคุ้นเคยลอยมาตามเสียงหวีดหวิวของสายลม...

    ...ความเชื่อ จะปกป้องพวกเจ้าทุกคน...

                      

    ********************************************************

     

    คุยกันนิด!

    ก่อนอื่นก่อนใด...

    ไรเตอร์ขอโทษษษ~!! ขอโทษที่ลงช้าสุดใจขนาดนี้ Y^Y

    ไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ การบ้าน สอบย่อย(ที่จำไม่ได้ว่าจะสอบ!) เรียนเสริมนู่นนี่นั่นโน่น บลาๆๆ

    เยอะเหมือนเดิม ว่ากันได้นะคะ ไรเตอร์ยอมรับผิด TTOTT// เจ็บปวด

    เริ่มเครียดเล็กน้อยๆ เอนจอยรีดดิ้งนะคะ ^-^// ใจดีสู้เสือ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×