เบื้องหลังวันวาเลนไทน์แสนหวาน

ทุกคนคงรู้กันอยู่ดีแล้วว่า "วันวาเลนไทน์" เป็นเทศกาลแห่งความรักที่ทุกคู่รักต่างก็เตรียมเซอร์ไพรส์ลับ ๆ เอาไว้ทำเซอร์ไพรส์คนรักของตัวเอง หรืออาจจะมีของขวัญแทนใจมาแลกกัน แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ความลับและที่มาของวันวาเลนไทน์ว่า แท้จริงแล้วที่มาของวันนี้เป็นมาอย่างไร สิ่งที่บอกต่อ ๆ กันมานั้นเป็นความจริงหรือไม่ ดังนั้น ในวันนี้เราก็เลยรวบรวม 7 เรื่องราวความจริงเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์จาก allwomenstalk.com มาฝากกัน จะได้ฉลองวันวาเลนไทน์กันอย่างซาบซึ้งและโรแมนติกมากขึ้น

 

1. ที่มาวันวาเลนไทน์

 

          มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับวันวาเลนไทน์ออกมามากมายหลายเรื่องราว ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องจริงบ้างเรื่องแต่งบ้างปะปนกันไปที่ไม่อาจรู้ได้แน่ชัด แต่ที่รู้ ก็คือ ในช่วงของจักรพรรดิคลอดิอุสที่ 2 ราว ๆ คริสต์ศักราชที่ 270 จักรพรรดิคลอดิอุสห้ามมิให้ชายใดแต่งงานระหว่างช่วงสงคราม เพราะเขาเชื่อว่าผู้ชายโสดจะแข็งแกร่งและมีความสามารถในการต่อสู้มากกว่าชายแต่งงาน แต่ บิชอป วาเลนไทน์ กลับเห็นต่างและได้จัดงานแต่งงานให้กับหนุ่มสาวอย่างลับ ๆ ซึ่งในเวลาต่อมา บิชอป วาเลนไทน์ เลยถูกจับกุมตัวไปขังคุกและโดนประหารชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งก่อนที่ท่านบิชอปจะสิ้นลมหายใจ ท่านก็ได้เขียนจดหมายและลงนามว่า "From Your Valentine !" หรือจากวาเลนไทน์ของคุณนั่นเอง 

 

2. สัญลักษณ์อักษร "X" ท้ายจดหมาย

 

          เชื่อว่าทุกคนก็คงจะเข้าใจกันว่าสัญลักษณ์อักษร "X" มีความเกี่ยวข้องกับการจูบ แต่รู้หรือไม่ว่าสัญลักษณ์ดังกล่าวนั้นมีที่มาอย่างไร ถ้าไม่รู้ก็จะขอเฉลยตรงนี้เลยว่า การใช้สัญลักษณ์ดังกล่าวเริ่มต้นมาจากยุคกลาง ซึ่งในตอนนั้นผู้คนยังไม่รู้จักวิธีการเขียนชื่อของตัวเอง ดังนั้น พวกเขาก็เลยใช้อักษร"X" แทนลายเซ็นแล้วตามด้วยการประทับริมผีปากลงไป เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นของตัวเองจริง ๆ

 

3. วันวาเลนไทน์ในช่วงยุคกลาง

 

          ในช่วงยุคกลางเด็กสาวมีความเชื่อกันว่า หากกินอาหารประหลาดในวันวาเลนไทน์จะทำให้พวกเธอฝันเห็นภาพสามีของตัวเองในอนาคต นอกจากนี้ หนุ่มสาวบางกลุ่มยังมีการเขียนชื่อตัวเองในถ้วย เพื่อดูคู่รักของตัวในอนาคต จากนั้นก็นำชื่อที่เชื่อว่าเป็นคู่รักของตัวเองมาใส่ในแขนเสื้อ เพราะเป็นจุดที่ตรงกับตำแหน่งของหัวใจ

 

4. กุหลาบแดง

 

          กุหลาบแดงเป็นสัญลักษณ์สากลที่เป็นตัวแทนของความรัก ซึ่งที่มาของสัญลักษณ์นี้ก็น่าจะสืบเนื่องมาจาก กุหลาบเป็นดอกไม้ที่เทพวีนัสชื่นชอบ ซึ่งเทพวีนัสก็เป็นเทพแห่งความรัก ดังนั้น ดอกกุหลาบก็เลยถูกยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของความรักไป และกลายเป็นดอกไม้ที่ขายดีที่สุดในวันวาเลนไทน์ด้วย

 

5. จูบวาเลนไทน์

 

          ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2011 ที่ประเทศไทยของเรามีการแข่งขันจูบมาราธอน ซึ่งกฎกติกาว่าไว้ว่า คู่รักที่เข้าแข่งขันไม่สามารถจะนั่ง หลับ แยกออกจาก หรือทำอะไรก็ตามที่เป็นการฝ่าฝืนกฎได้ ซึ่งหลังที่เวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วโมงก็มีคู่รักที่ยอมแพ้ไปจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในการแข่งขันจูบมาราธอนครั้งนี้ คู่รักคู่สุดท้ายก็สามารถทำเวลาได้ถึง 46 ชั่วโมง กับอีก 24 นาที ทำให้ได้รางวัล คือ แหวนเพชร เงินรางวัล 3,200 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 1 แสนบาท สำหรับการจูบที่นานที่สุดในการแข่งขันจูบมาราธอนครั้งนี้

 

6. การรักษาโรคด้วยช็อกโกแลต

 

          ประมาณปี ค.ศ. 1800 ในยุคนั้นมีการรักษาอาการอกหักด้วยการกินช็อกโกแลต โดยพวกเขาอ้างว่า ช็อกโกแลตสามารถปลอบประโลมและทำให้พวกเขาใจเย็นลงได้ ซึ่งสำหรับตอนนี้ก็ดูเป็นเรื่องปกติไปแล้ว โดยเฉพาะผู้หญิงกับการกินช็อกโกแลต เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้หญิงอกหัก ผู้หญิงส่วนมากก็จะระบายด้วยการกินช็อกโกแลต

 

7. วันวาเลนไทน์กับการฉลอง

 

          ก่อนหน้านี้วันวาเลนไทน์เป็นที่รู้จักกันในวงแคบ จนกระทั่งกษัตริย์เฮนรี่ที่ 7 แห่งอังกฤษได้ประกาศให้วันวาเลนไทน์เป็นที่รู้จักในหมู่คนทั่วไป และกลายมาเป็นเทศกาลสากล โดยในตอนนี้นานาประเทศก็มีการเฉลิมฉลองกันทั่วไป และในบางประเทศก็มีการเฉลิมฉลองอันยิ่งใหญ่ราวกับเป็นวันเทศกาลสำคัญของพวกเขาไปเลยทีเดียว

 

          วันวาเลนไทน์ เป็นอีกหนึ่งวันซึ่งเป็นวันแห่งความสุขของปี เมื่อผู้คนต่างมีการเฉลิมฉลองอย่างพร้อมเพรียงด้วยความรู้สึกดี ๆ ที่เราเรียกมันว่า ความรัก ซึ่งถ้าหากตอนนี้ยังไม่มีใครเกี่ยวแขนกันไปฉลองก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะความรักไม่ได้จำกัดเฉพาะความรักแบบคู่รักเท่านั้น แต่ยังมีความรักอีกหลายรูปแบบและคนอีกมากมายที่อยากฉลองกับคุณ อย่างน้อย ๆ ก็ครอบครัว กับเพื่อนโสด ๆ ของคุณอย่างไรล่ะ

http://wedding.kapook.com