สมัยรัตนโกสินทร์
การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์
หลังจากที่สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระองค์ก็ได้ย้ายราชธานีจากธนบุรี มายังฝั่งกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2325 ด้วนเหตุผล 3 ประการ คือ
1. พระราชวังเดิมที่กรุงธนบุรีมีขนาดเล็ก ตั้งอยู่ระหว่างวัดไม่อาจขยายออกไปได้
2. ฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านธนบุรีเป็นเขตน้ำเซาะตลิ่งพังได้ง่าย
3. ฝั่งทางด้านกรุงเทพฯ มีพื้นที่กว้างขวางสามารถขยายตัวเมืองออกไปได้
การเมืองการปกครอง
การปกครองสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คงถือตามแบบธนบุรี และอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสูงสุดตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และนำรูปแบบการปกครองมาจากสมัยอยุธยาตอนปลายโดยนำรูแบบการปกครองสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มาใช้ในการปกครองแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1. การปกครองส่วนกลาง พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจสูงสุด มีตำแหน่งวังหน้า (สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข) เป็นผู้ช่วยราชการตลอดจนมีขุนนางผู้ใหญ่ 2 ตำแหน่ง คือ
- สมุหนายกว่าการมหาดไทย ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือ โดยสมัยรัชกาลที่ 3 ผู้ดำรงตำแหน่ง คือ เจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)
- สมุหพระกลาโหม ประกอบกับเสนาบดีอีก 4 ตำแหน่ง คือ นครบาล ธรรมาธิกรณ์เกษตรราชิการ และโกษาธิบดี ทำหน้าที่รับสนองพระบรมราชโองการไปปฏิบัติ
2. ปกครองส่วนภูมิภาค จัดแบ่งการปกครองออกเป็น 3 ส่วน
- การปกครองหัวเมืองเหนือ
- การปกครองหัวเมืองใต้
- การหัวเมืองชายฝั่งตะวันออก
3. การปกครองหัวเมืองประเทศราช โปรดฯ ให้เจ้านายพื้นเมืองปกครองกันเอง แต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ ต้นไม้เงิน - ต้นไม้ทองมาถวายตามกำหนดหัวเมืองประเทศราชได้แก่ เชียงใหม่ ล้านช้าง มลายู
ด้านยุติธรรม
รัชการที่ 1 โปรดให้รวบรวมกฎหมายเก่าสมัยอยุธยามาชำระแก้ไขตัดทอน เพิ่มเติมตามความเหมาะสมเพื่อให้เป็นระเบียบแบบแผน และเป็นธรรมเก่าราษฎร เนื่องมาจากคดีอำแดงกับนายริด ที่เป็นคดีลักษณะการมีชู้โดยอำแดงสามารถฟ้องหย่าได้ทั้งที่ตนเองเป็นชู้ และสามารถฟ้องหย่า แล้วจึงคัดลอกเป็นกฎหมายฉบับหลวง 3 ชุด ทุกชุดประทับตรา คชสีห์ ราชสีห์ และบัวแก้ว จึงเรียกว่า "กฎหมายตราสามดวง" และใช้เป็นระเบียบปฏิบัติมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5
ด้านเศรษฐกิจ
กรมพระคลังสินค้า เป็นหน่วยงานที่สำคัญ มีหน้าที่ดังนี้ คือ
- ควบคุมสินค้าเข้า และสินค้าออก
- กำหนดราคาสินค้า
- เลือกซื้อสินค้าที่เป็นความต้องการของตลาด
- ผูกขาดการค้า
รายได้ และผลประโยชน์ของแผ่นดิน
รายได้ของแผ่นดินได้มาจากการค้า และการเก็บภาษีอาการ
- รายได้จากการค้าขายทั้งภายใน และต่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าขายกับจีน มีมากในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
- รายได้จากการเดินสวนเดินนา คือการเดินสำรวจไร่นาของราษฎรเพื่อเก็บภาษีอากรจากราษฎรที่ประกอบอาชีพทำนาทำสวน
- รายได้จากการเก็บภาษีอากร ซึ่งแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ
จังกอบ หมายถึง การเก็บค่าผ่านด่าน
อากร หมายถึง การเก็บภาษีจากราษฎรที่มิได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและค้าขาย
ฤชา หมายถึง ค่าธรรมเนียมในการบริการต่อราษฎร
ส่วย หมายถึง เงินหรือสิ่งของแทนการเข้าเวรของไพร่
- การผูกปี้ข้อมือชาวจีน คือ การเก็บค่าธรรมจากชาวจีนที่ไม่ต้องเข้ารับการเกณฑ์แรงงาน
- ระบบเจ้าภาษีนายอากร คือ การประมูลการเรียกเก็บภาษีจากราษฎร เพื่อให้แก่ส่วนกลาง เนื่องจากการเก็บลักษณะอากรมีหลายประเภท จึงเปิดโอกาสให้คนจีนเข้ามาประมูลการเก็บภาษีอากร
ด้านการฟื้นฟูศาสนา
ในสมัย รัชกาลที่ 1 ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้น ณ วัด มหาธาตุ ยุวราชรังสฤษฎ์ นับเป็นการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 9 เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับทอง
ในสมัย รัชกาลที่ 1 การสร้าง และปฎิสังขรณ์วัดต่าง ๆ หลายวัด ได้แก่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดสระเกศ
ในสมัย รัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าให้มีการฟื้นฟูพระราชพิธีวันวิสาขบูชา
ในสมัย รัชกาลที่ 3 ทรงสร้าง และปฏิสังขรณ์วัดต่าง ๆ และในสมัยนี้เจ้ามงกุฎ ซึ่งทรงผนวชอยู่ (ต่อมาคือรัชกาลที่ 4) ทรงจัดตั้งคณะสงฆ์นิกายใหม่ขึ้น คือ ธรรมยุติกนิกาย
ด้านศิลปกรรม
งานด้านศิลปกรรมผลงานส่วนใหญ่เกิดจากศรัทธาในพระพุทธศาสนา และความเลื่อมใสในพระมหากษัตริย์ ศิลปกรรมที่สำคัญ คือ
สถาปัตยกรรมได้แก่ การสร้างพระบรมมหาราชวัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ 2 พระองค์ทรงแกะสลักลายจำหลักบานประตูพระวิหาร วัดสุทัศนเทพวราราม และในสมัยรัชกาลที่ 3 มีการสร้างโลหะปราสาทที่วัดราชนัดดา
วรรณกรรม มีความเจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ชื่อว่ายุคทองแห่งวรรณกรรม และกาพย์กลอนมีกวีที่สำคัญ ได้แก่ สมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย สมุทรโฆษคำฉันท์ สุนทรภู่ แต่งเรื่องพระอภัยมณี พระไชยสุริยา
จิตรกรรม จิตรกรรมฝาผนังตามโบสถ์ วิหาร และวัดต่าง ๆ เช่น ภาพเขียนในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ฝาผนังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
สังคมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
โครงสร้างของสังคมในสมัยรัตนโกสินทร์ คล้ายคลึงกับสมัยอยุธยา คือ แบ่งเป็นชนชั้นปกครอง และชนชั้นใต้การปกครอง มีรายละเอียดดังนี้
1. พระมหากษัตริย์ เป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดของสังคม
2. พระบรมวงศานุวงศ์หรือเจ้านาย เป็นชนชั้นที่มีการสืบสายเลือด และมีการลดชั้นเป็นลำดับ
3. ขุนนาง เป็นชนชั้นที่มีอำนาจ เกียรติยศ และอภิสิทธิ์ต่าง ๆ มาก และกลายเป็นกลุ่มที่มีกำลังสำคัญต่อเสถียรภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์
4. ไพร่ หมายถึง ราษฎรทั่วไปทั้งชาย และหญิง เป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุดของสังคม
ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ
เขมร
ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เกิดการรบพุ่งแย่งชิงอำนาจในเมืองเขมร รัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้ยกทัพไปจัดการ และแบ่งเขมรออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ส่วนหนึ่งให้เจ้านายเขมรปกครอง อีกส่วนหนึ่งให้ขุนนางไทยปกครองต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 กษัตริย์เขมรได้ไปฝักใฝ่กับญวน ความสัมพันธ์กับไทยจึงเสื่อมลงตามลำดับ จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ญวนมีนโยบายเข้าปกครองกับกัมพูชาโดยตรง ไทยกับญวนจึงต้องทำสงครามในดินแดนเขมรเป็นเวลานานถึง 14 ปี
ลาว
ในสมัยรัชกาลที่ 1 ไทยทำสงครามกับลาวที่หลวงพระบาง และได้นำพระแก้วมรกต และหลวงพระบางเป็นประเทศราชซึ่ง ลาวเป็นส่วนหนึ่งของไทย และได้ส่งเครื่องบรรณาการมาถวายด้วยดีจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์แห่งอาณาจักร ลาวก่อการกบฏ ผู้ยกทัพมารุกรานหัวเมืองทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของไทยแต่ถูกไทยตีแตกพ่ายไป การทำสงครามในครั้งนั้นทำให้ไทยมีวีรสตรีอีกท่านหนึ่งคือ คุณหญิงโม หรือท้าวสุรนารี
มลายู
ในสมัยรัชกาลที่ 1 เมื่อเกิดสงครามเก้าทัพ พระองค์โปรดฯ ให้กรมพระราชวังบวรไปปราบปรามหัวเมืองมลายู หัวเมืองอื่น ๆ ทางภาคใต้การปกครองหัวเมืองมลายู ต้องประสบความยุ่งยากหลายครั้ง เพราะมีการก่อกบฎอยู่เสมอ จึงโปรดฯ ให้ปกครองหัวเมืองมลายูอย่างใกล้ชิด ในฐานะเมืองประเทศราช
ล้านนา
ความสัมพันธ์กับอาณาจักรล้านนา ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น เนื่องมาจากอาณาจักรล้านนาถูกพม่ารุกรานบ่อยครั้ง และไทยได้ส่งกำลังไปช่วยเหลือ โดยถือว่าอาณาจักรล้านนาเป็นส่วนหนึ่งของกรุงรัตนโกสินทร์
นโยบายต่อประเทศตะวันตก
ในสมัย รัชกาลที่ 1 โปรตุเกสส่งทูตเข้ามาเจริญไมตรีเป็นชาติแรก นอกจากนี้ยังมีชาวอังกฤษ และชาวฝรั่งเศสเข้ามาติดต่ออีกด้วย
ในสมัย รัชกาลที่ 2 โปรตุเกสได้ส่ง คาร์ลอส มานูเอล เดอ ซิล เวรา เป็นทูตเข้ามาเจริญไมตรี และขอทำการค้า การค้าระหว่างไทยกับโปรตุเกสจึงมีความก้าวหน้าขึ้น
ในสมัย รัชกาลที่ 3 ไทยได้ทำสัญญาทางไมตรี และการค้าที่สำคัญกับอังกฤษที่เรียกว่า สนธิสัญญาเบอร์นี ในปี พ.ศ. 2369 โดยมีสาระสำคัญดังนี้ คือ
- ไทยกับอังกฤษจะรักษาไมตรีต่อกัน
- อังกฤษขอความช่วยเหลือจากไทยเพื่อรบกับพม่า
- ในด้านการเก็บภาษีการค้า ให้เก็บตามความกว้างของปากเรือที่เรียกว่า "ภาษีปากเรือ"
- อังกฤษขอทำความตกลงกับไทยเกี่ยวกับหัวเมืองไทรบุรี และมลายู
การพัฒนาทางด้านการเมืองการปกครองสมัยรัชกาลที่ 4
1. การพัฒนาทางด้านความยุติธรรมที่สำคัญ ได้แก่
- เปิดโอกาสให้ราษฎรได้ถวายฎีการ้องทุกข์ได้สะดวก
- การปรับปรุงกฎหมาย และการศาลในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ยังใช้กฎหมายตราสามดวง แต่ยังขาดความยุติธรรม และยุ่งยากในการปฏิบัติ รัชกาลที่ 4 จึงตราพระราชกำหนดกฎหมายใหม่
2. การพัฒนาขนบธรรมเนียมประเพณีที่ล้าหลังให้ทันสมัยที่สำคัญ ได้แก่
- โปรดให้ข้าราชการขุนนางสวมเสื้อขณะเข้าเฝ้า
- โปรดให้ชาวต่างประเทศได้มีโอกาสเข้าเฝ้าในงานพระราชพิธีที่สำคัญอย่างใกล้ชิด
- โปรดให้ราษฎรไทยได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์อย่างใกล้ชิด
- โปรดให้มีการจัดสร้างเครื่องราชอิสริยภรณ์ให้แก่ขุนนาง
การพัฒนาทางด้านการเมืองการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5
การปฏิรูปการปกครอง และการบริหารประเทศ
1. จัดตั้งสภาที่ปรึกษาพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อช่วยกลั่นกรองให้กฎหมายนั้น สนองผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ในปี พ.ศ. 2417 พระองค์จึงโปรดให้จัดตั้งสภาขึ้น 2 สภา
- สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (Council of State) ทำหน้าที่ถวายคำปรึกษา และความคิดเห็นต่าง ๆ
- สภาองคมนตรี (Privy Council) ทำหน้าที่ถวายคำปรึกษาหาข้อมูลต่าง ๆ ในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายเป็นสำคัญ
2. การปฏิรูปการบริการราชการส่วนกลางการปกครอง
- จัดแบ่งหน่วยราชการเป็นกรมต่าง ๆ 12 กรม ในตอนหลังได้เปลี่ยนคำเรียก กรม เป็น กระทรวง การปกครองส่วนภูมิภาค
- ยกเลิกการจัดหัวเมืองที่แบ่งเป็นเมืองชั้นนอก โท ตรี และจัตวา เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบ "เทศาภิบาล"
- โปรดให้รวมเมืองหลายเมืองเป็น มณฑล มี "ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นผู้ปกครอง ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย แบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัด (เมือง) อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน การปกครองส่วนท้องถิ่น
ในปี พ.ศ 2440 ได้จัดตั้ง เทศบาล และสุขาภิบาล ได้เริ่มจัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพ ฯ ขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อทำหน้าที่รักษาความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อย สำหรับการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่น ในรูปแบบสุขาภิบาลในต่างจังหวัด ได้เริ่มจัดตั้งเป็นครั้งแรกที่ตำบลท่าฉลอมจังหวัดสมุทรสาคร
การพัฒนาทางด้านการเมือง
การปกครองในสมัยรัชกาลที่ 6
- ส่งเสริมความคิดชาตินิยม
- ทรงมีพระราชดำรับย้ำถึงความสามัคคี ปลุกใจชาวไทยให้เกิดความรักชาติอยู่เสมอ ๆ
- ทรงจัดตั้งกองเสือป่า และลูกเสือ เพื่อกระตุ้นเยาวชนให้เกิดความรักชาติ
- ทรงประกาศใช้ธงไตรรงค์เป็นธงประจำชาติส่งเสริมระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
- สร้างเมืองจำลองขึ้นเพื่อทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตยเรียกชื่อว่า "ดุสิตธานี"
- ตั้งกระทรวงทหารเรือ จัดตั้งกองบิน และสร้างสนามบินขึ้นเป็นครั้งแรก
- ประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์เป็นครั้งแรกการพัฒนาทางด้านการเมืองการปกครอง
ปกครองในสมัยรัชกาลที่ 7
- จัดตั้งอภิรัฐมนตรีสภา ทรงทำหน้าที่วินิจฉัยข้าราชการ และถวายความเห็นต่อพระเจ้าอยู่หัว
- องคมนตรีสภา ทำหน้าที่พิจารณาถวายความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมาย และที่จะออกใหม่
- เสนาบดีสภา ทำหน้าที่ในการถวายคำปรึกษาหารือแด่พระเจ้าอยู่หัวการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
1. อิทธิพลทางความคิดทางการเมือง จากประเทศตะวันตกโดยมีกลุ่มนักศึกษาไทยในยุโรปเป็นผู้นำ
2. ความไม่พอใจในนโยบาย แก้ไขเศรษฐกิจตกต่ำของรัฐบาล
3. บทบาทของหนังสือพิมพ์ ในการเผยแพร่ แนวความคิดการปกครองระบอบประชาธิปไตย
4. ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่างๆ เช่น ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มทหารที่ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ กับกลุ่มทหารที่เป็นพระราชวงศ์ เป็นต้น
คณะผู้ก่อการ ซึ่งเรียกว่า "คณะราษฎร" ประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ และพลเรือน มีหัวหน้าคือ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาได้เข้ายึดอำนาจ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ 2475 ขณะที่รัชกาลที่ 7 เสด็จแปรพระราชฐาน ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นแก่ความสงบสุขของประชาราษฎร และมีพระราชดำริที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองอยู่แล้วจึงทรงยอมรับเป็นพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญแบบชั่วคราวเป็นหลักในการปกครองประเทศ และต่อมาคือในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ก็ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับถาวร
การพัฒนาเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่
ปัจจัยแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจไปสู่แบบสมัยใหม่
1. ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ของยุโรป
2. ความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม
3. การปฏิวัติอุตสาหกรรม
4. ความก้าวหน้าทางด้านการคมนาคมขนส่ง
5. ความเหมาะสมของประเทศไทยในฐานะเป็นตลาดระบายสินค้ายุโรป
6. รัฐบาลไทยถูกอังกฤษบีบบังคับให้ยอมรับเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเศรษฐกิจสมัยใหม่
สาระสำคัญของสนธิสัญญาเบาว์ริง ระหว่างไทยกับอังกฤษ พ.ศ. 2398
1. พ่อค้าอังกฤษเข้ามาค้าขายได้โดยเสรี ไม่ต้องผ่านคนกลาง
2. ไทยเก็บภาษีขาเข้าได้ไม่เกินร้อยละ 3 สำหรับสินค้าขาออกใช้อัตราที่กำหนดไว้ในพิกัดต่อท้ายสัญญา
3. ไทยให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่คนในบังคับของอังกฤษ
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของไทยหลังทำสนธิสัญญาเบาว์ริง
1. การเปลี่ยนแปลงสินค้าหลักที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศ
- ข้าว กลายเป็นสินค้าที่นานชาติต้องการมาก
- ไม้สัก เป็นสินค้าที่ส่งไปขายยังยุโรป และอินเดีย
- ดีบุก มีนายทุนชาวยุโรป เช่น อังกฤษ เดนมาร์ก สนใจมาลงทุนขุดแร่ดีบุกทางใต้ แล้วส่งไปถลุงที่สิงคโปร์
- ยางพารา กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ
2. การพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม
- โรงสีไฟ มีการตั้งโรงสีโดยใช้เครื่องจักรไอน้ำ
- โรงเลื่อย มีการตั้งโรงเลื่อยใช้ทำเครื่องจักรไอน้ำ
- โรงหล่อ มีการจัดตั้งโรงหล่อ แบบสมัยใหม่
- โรงงานน้ำตาลทรายหรือโรงหีบ
- อู่ต่อเรือแบบใหม่ มีการต่อเรือกลไฟหลายลำ
3. การพัฒนาทางด้านการค้า และเงินตรา
- รัชกาลที่ 4 ใช้เงินพดด้วงเป็นหลัก ต่อมาให้เหรียญกษาปณ์
- รัชกาลที่ 5 ประกาศใช้ธนบัตร และตั้งกรมธนบัตร ขึ้นกับกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เพื่อทำหน้าที่ในการออกธนบัตร และต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยเงินตราครั้งใหม่ โดยยกเลิกเงินตราแบบเก่าโดยสิ้นเชิง และประกาศกำหนดหนึ่งบาทเท่ากับ 100 สตางค์
4. การพัฒนาทางด้านการธนาคาร
- ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดตั้งธนาคารของเอกชนไทยขึ้นเป็นครั้งแรก คือ แบงก์สยามกัมมาจล (ปัจจุบันคือ ธนาคารไทยพาณิชย์)
- ในปี พ.ศ. 2455 จัดตั้งธนาคารของรัฐบาล คือ ธนาคารออมสิน สนับสนุนให้ราษฎรออมทรัพย์
5. การพัฒนาระบบการเก็บภาษีอากร
- ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการลดหย่อนอัตรา ค่าภาษีบางประเภทแต่มีการเก็บภาษีประเภทใหม่ ๆ เช่น อากรสมพัตสร
- อากรสวน เช่น ทุเรียน ในสมัยรัชกาลที่ 3 เก็บต้นละ 4 บาท ในสมัยรัชกาลที่ 4 เก็บต้นละสลึงเฟื้อง
- อากรนา ในสมัยรัชกาลที่ 3 รัฐบาลเก็บค่านาปักดำ และนาหว่านเท่ากันคือไร่ละ 2 ถัง ในสมัยรัชกาลที่ 4 เก็บภาษีเฉพาะพื้นที่ที่ทำนาได้ และลดค่าอากรลงมาเหลือเพียงไร่ละ 4 สลึงเท่านั้น การพัฒนาระบบการเก็บภาษีอากรในสมัยรัชกาลที่ 5
- จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เมื่อปี พ.ศ. 2416 ทำหน้าที่รวบรวมเงินภาษีอากรทั่วประเทศ เพื่อนำเงินมาพัฒนาประเทศ
- จัดตั้งงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งแรก
6. การส่งเสริมการทำนา
- คัดพันธุ์ข้าวที่ดีมาให้ราษฎรปลูก
- การจัดให้มีการประกวดพันธุ์ข้าวเป็นครั้งแรกที่เมืองธัญบุรี
- มีการนำเครื่องจักรมาไถนา เป็นครั้งแรกการพัฒนาทางด้านชลประทาน
- ในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการขุดคลอง เพื่อเป็นแนวป้องกันพระนครชั้นนอก และเพื่อสะดวกในการคมนาคม
- ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการขุดคลองเพื่อการเกษตร และการคมนาคมขนส่ง
7. การพัฒนาทางด้านการคมนาคมขนส่ง การสื่อสาร และสาธารณูปโภค
- ในสมัยรัชกาลที่ 4 โปรดให้สร้างถนนเจริญกรุง ถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร ถนนสีลม และถนนพระรามที่ 4
- ในสมัยรัชกาลที่ 5 ถนนที่ตัดขึ้นใหม่ เช่น ถนนสุรวงศ์ ถนนสี่พระยา ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสน ถนนบูรพา เป็นต้น
- ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีรถราง รถไฟ
- ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงมีนโยบายกิจการเดินรถไฟทั่วประเทศ
- ในปี พ.ศ. 2426 โปรดให้ตั้งกรมไปรษณีย์เป็นครั้งแรกเพื่อบริการรับส่งจดหมาย
การปฏิรูปทางสังคม
สมัยรัชกาลที่ 4 โปรดให้ขุนนางสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้า ทรงอนุญาตให้ทูตต่างชาติยืน และทำความเคารพ ตามแบบชาติตะวันตก
ในสมัยรัชกาลที่ 5
การเลิกทาส ใน พ.ศ. 2448 จึงโปรดให้ตราพระราชบัญญัติทาส ร.ศ. 124 ขึ้นใช้บังคับทั่วประเทศ
การเลิกไพร่ โปรดให้ยกเลิกไพร่ พ.ศ. 2448 มีการออกพระราชบัญญัติลักษณะการเกณฑ์ทหาร กำหนดใช้ชายฉกรรจ์ทุกคนที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์จะต้องรับราชการเป็นทหาร
การปฏิรูปการศึกษา ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในบริเวณพระบรมมหาราชวัง ส่วนโรงเรียนที่ตั้งขึ้นสำหรับบุตรหลานราษฎรทั่วไปแห่งแรก คือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงกำหนดให้มีเครื่องแบบของทหาร และพลเรือนเปลี่ยนทรงผมชายหญิงให้เหมาะสม สมัยรัชกาลที่ 6 เริ่มมีการใช้นามสกุล กำหนดคำนำหน้านามสตรี และเด็ก เป็น นาง นางสาว เด็กชาย เด็กหญิง ใช้ธงไตรรงค์แทนธงช้างเผือก
การปรับปรุงด้านการคมนาคม
มีการตัดถนน และการสร้างทางรถไฟ ทางรถไฟสายแรกเป็นของเอกชน คือ สายกรุงเทพฯ สมุทรปราการ สำหรับทางรถไฟของรัฐบาลสายแรก คือ กรุงเทพฯ นครราชสีมา หลังจากนั้นก็ได้มีการสร้างทางรถไฟเพิ่มมากขึ้น
การติดต่อกับประเทศตะวันตก
1. สถานการณ์ก่อนการทำสนธิสัญญาเบาว์ริง ในตอนต้นสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีพวกหมอสอนศาสนาเดินทางเข้ามาเผยแพร่คริสต์ศาสนา และยังนำวิทยาการตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ด้วย เช่น หมอบรัดเลย์ มีบทบาทในด้านการรักษาโรคตามวิชาการแพทย์ สมัยใหม่ทำการออกหนังสือพิมพ์ ตั้งโรงเรียนสอนหนังสือแบบตะวันตกขึ้น
2. การทำสนธิสัญญากับประเทศตะวันตก เพื่อลดการคุกคามจากชาติมหาอำนาจ
ในสมัยรัชกาลที่ 4 อังกฤษ ส่ง เซอร์ จอห์น เบาร์ริง เข้ามาเจรจาทำสนธิสัญญากับไทย เรียกว่า สนธิสัญญาเบาว์ริง ใน พ.ศ. 2398 เป็นสนธิสัญญาไม่เสมอภาค โดยไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบอังกฤษอย่างชัดเจนเพราะทำให้ไทยขาดอำนาจอธิปไตยทั้งทางการศาล และการค้า และยังมีการพระราชทานยศให้แก่ เซอร์ จอห์น เบาร์ริง เป็น พระยากัลยาณไมตรี
การเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส และอังกฤษในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5
ในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ได้เสียดินแดนทั้งหมด 7 ครั้ง
ครั้งที่ 1 ในสมัยรัชกาลที่ 4 เสียเขมรส่วนนอกแก่ฝรั่งเศสใน พ.ส. 2410
ครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2430 ไทยต้องสละแคว้นสิบสองจุไทย และหัวพันทั้งห้าทั้งหกให้ฝรั่งเศส
ครั้งที่ 3 ใน พ.ศ. 2435 ไทยเสียดินแดนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสาละวินให้อังกฤษ
ครั้งที่ 4 ใน พ.ศ. 2436 เสียดินแดนลาวส่วนใหญ่ หรือดินแดนลาวฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงแก่ฝรั่งเศส
ครั้งที่ 5 ใน พ.ศ. 2446 เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส
ครั้งที่ 6 ใน พ.ศ. 2449 เสียดินแดนมณฑลบูรพาให้ฝรั่งเศลแลกเมืองตราดคืน
ครั้งที่ 7 ใน พ.ศ. 2451 เสียหัวเมืองมลายูให้อังกฤษ
ความคิดเห็น
กรี๊ดดด ขอบคุณแกจังเลย TwT
PS. โลกของผมมันเบี้ยวๆ นิสัยผมเลยออกจะบวมๆ บางคนเลยมองว่าผมเป็นพวกบ้าๆ ผมไม่ได้บ้าเสียหน่อย..มั้ง
ครั้งแรกไอ้หลิงขอบคุณ!!!!!!!
PS. แวะมาเยี่ยมสปอยนารุโตะในไดอารี่เรากันบ้างนะ