สังคม ม.3
การเมืองการปกครองของไทยระหว่าง พ.ศ.
พระยามโนปกรณ์นิติธาดานายกรัฐมนตรี บริหารประเทศตามรัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ. 2475 ไปได้เพียง 2-3 เดือน ก็ได้เกิดความขัดแย้ง ในหมู่คณะรัฐมนตรี และคณะราษฎรด้วยเรื่องการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งมีความคิดเห็นแตกต่างกัน ความขัดแย้งถึงขั้นรุนแรงจะนำไปสู่การประกาศพระพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎร
การปลุกความคิดชาตินิยม พันเอกหลวงพิบูลสงคราม ซึ่งเป็นผู้ที่มีความคิดชาตินิยมอยู่แล้ว จึงดำเนินนโยบายสร้างชาติไทยให้เข้มแข็งก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลของพันเอกหลวงพิบูลสงคราม ได้ประกาศนโยบายดังนี้ คือ
- ส่งเสริมการทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ผลิตเครื่องใช้ด้วยตนเอง
- ชักจูงโฆษณาให้คนไทย ใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศ รัฐบาลประกาศคำขวัญว่า ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ
- ส่งเสริมให้คนไทยประกอบอาชีพค้าขาย และสงวนอาชีพบางอย่างห้ามคนต่างด้าวทำ
- ตั้งกรมโฆษณาการ เพื่อทำหน้าที่ปลุกใจประชาชน โฆษณาถึงความรักชาติ ให้เชื่อฟังผู้นำ โดยใช้คำขวัญ "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย"
การเมืองการปกครองของไทยช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
1. การประกาศสถานการณ์ความเป็นกลางของไทย ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยประกาศยืนยันนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัด
2. การประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตร นายปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ไม่เห็นด้วยกับการประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตร จึงมิได้ลงนามในคำประกาศสงคราม
3. บทบาทของขบวนการเสรีไทย นายปรีดี พนมยงค์ จัดตั้งขบวนการเสรีไทย ใช้รหัสย่อว่า x.o Group รวบรวมคนไทย ซึ่งมีอุดมการณ์ตรงกันคือ ความมุ่งหมายในการขับไล่ญี่ปุ่นให้ออกไปจากผืนแผ่นดินไทย
การเมืองการปกครองของไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ.2500
1. การแก้ปัญหาเนื่องจากไทยอยู่ในฐานะผู้แพ้สงคราม ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของไทย ประกาศสันติภาพ โดยถือว่าการประกาศสงครามของไทยต่อพันธมิตร ในระหว่างสงครามนั้นเป็นโมฆะ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เจรจากับสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ เพื่อความเป็นเอกราชของชาติโชคดีที่สหรัฐอเมริกา และอังกฤษไม่ติดใจไทย รัฐบาลไทยก็ได้ประกาศคืนดินแดนให้แก่อังกฤษ และฝรั่งเศส
2. การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 รัฐบาลไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่แท้จริงได้ นายปรีดี พนมยงค์ จึงแสดงความรับผิดชอบโดยการกราบถวายบังคมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
3. การแย่งชิงอำนาจระหว่างนักการเมือง และระหว่างทหารบกกับทหารเรือ ความขัดแย้งทางการเมือง มีการแย่งชิงอำนาจระหว่างฝ่ายจอมพลแปลกพิบูลสงคราม กับฝ่ายของนายปรีดี พนมยงค์ เกิดกบฏขึ้นหลายครั้งเพื่อต่อต้านรัฐบาลจอมพลแปลก
4. การก้าวขึ้นสู่อำนาจของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ การรับประหารจอมพลสฤษดิ์ ก็ได้ยื่นคำขาดต่อ จอมพลแปลกนายกรัฐมนตรี ให้แก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองโดยด่วน เมื่อไม่ได้ผลฝ่ายทหารจึงถอนตัวออกจากการสนับสนุนรัฐบาล ในไม่ช้า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ได้เป็นผู้ทำการรัฐประหาร
การเมืองการปกครองของไทยช่วง พ.ศ. 2501 ถึงปัจจุบัน
1. การปกครองแบบเผด็จการ แต่มุ่งพัฒนาประเทศของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
2. การตื่นตัวในระบอบประชาธิปไตย และบทบาทของขบวนประชาธิปไตย
3. ความขัดแย้งระหว่างขบวนการเผด็จการ และขบวนการประชาธิปไตย
4. การฟื้นฟูประชาธิปไตย และการแก้ไขปัญหาคอมมิวนิสต์
5. การรัฐประหารของสภารักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)
การพัฒนาเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน
เศรษฐกิจไทยในช่วงระยะ พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2484
ภายหลังจากการปฏิวัติ พ.ศ. 2475 การเมืองการปกครองของไทยได้เปลี่ยนแปลงมาสู่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ผู้นำรุ่นใหม่ทั้งฝ่ายทหาร และพลเรือน ส่วนใหญ่มาจากชนชั้นกลาง และได้รับการศึกษาแบบตะวันตก มีความคิดว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนั้นตกอยู่ในกำมือของต่างชาติ ซึ่งเป็นทั้งชาวจีน และชาวตะวันตก
ทางด้านอุตสาหกรรม รัฐบาลส่งเสริมใช้ชาวไทยรู้จักทำอุตสาหกรรม ประกาศคำขวัญว่า "ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" รัฐบาลเริ่มดำเนินนโยบายลงทุนด้านอุตสหากรรม และธุรกิจทางด้านการบริหาร ซึ่งเราเรียกว่า "รัฐวิสาหกิจ"
เศรษฐกิจไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เศรษฐกิจของไทย การค้าขายกับต่างประเทศ เริ่มประสบความยากลำบาก สินค้าออกของไทยเริ่มลดลง สินค้าจากต่างประเทศมีราคาสูงขึ้น ในปี พ.ศ. 2483 รัฐบาลไทยเริ่มทำสงครามกับฝรั่งเศสด้วยเรื่องปัญหาอินโดจีน
เศรษฐกิจไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง พ.ศ. 2502 รัฐบาลไทยยังใช้นโยบายแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบเดิม คือ ส่งเสริมให้ชาวไร่ชาวนาไทยผลิตสินค้าเกษตรเพื่อนำส่งไปขายต่างประเทศ สินค้าหลักของไทยที่ส่งไปขายนำรายได้เข้าประเทศมาก
เศรษฐกิจไทยภายใต้ระบบการลงทุนแบบเสรี (ในช่วง พ.ศ. 2501 ถึงปัจจุบัน)
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศนโยบายส่งเสริมการลงทุนของเอกชน มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจ มีการวางแผนพัฒนาประเทศ ในระยะยาวการใช้งบประมาณอยู่ในช่วงระยะเวลา 5 ปี เรียกว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ มีการประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติในปี พ.ศ. 2504 เป็นแผนแรก จากนั้นรัฐบาลต่อ ๆ มาก็ได้ประกาศแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน คือ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2540-2545
หลังจากไทยประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติแล้วสภาวะทางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
- มูลค่าส่งออก เพิ่มขึ้น 15 เท่าตัว
- สิ่งทด เป็นสินค้าใหม่ทำรายได้สูงเป็นอันดับ 2 รองจากข้าว และมันสำปะหลัง นอกจากนั้น ได้แก่ อัญมณี แผงวงจรไฟฟ้า
- ธุรกิจการทองเที่ยว เจริญรุดหน้าจนมีรายได้สูงเป็นอันดับ 1 ในปีพ.ศ. 2532
โครงการพัฒนาเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยในช่วงที่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติที่สำคัญได้แก่
- โครงการพัฒนาชายฝั่งตะวันออก (Eastern Seaboard) กำหนดขอบเขตมาบตาพุด จังหวัดระยอง เป็นเมืองอุตสาหกรรมทันสมัย และเขตแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี เป็นที่ตั้งท่าเรือพาณิชย์ และอุตสาหกรรมขนาดกลางขนาดย่อม เพื่อส่งออก
- โครงการพัฒนาชายฝั่งทะเลภาคใต้ (Southern Seaboard) กำหนดให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมประเภทซ่อมเรือ ต่อเรือ อุตสาหกรรม ประมง พาณิชย์นาวี
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
1. ชนชั้นในสังคมแบ่งได้เป็น 3 ชนชั้น คือ ข้าราชการ ปัญญาชน และกรรมกร
2. การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ที่ผู้คนมีการแข่งขันกันมากขึ้นต้องปรับตัวมากขึ้น ซึ่งให้คุณธรรมที่ดีในสังคมไทยแต่เดิมมาลดลง
3. ค่านิยมในสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้หญิงก็ต้องออกทำงานนอกบ้านมากขึ้น เพื่อให้มีรายได้เพียงพอเลี้ยงดูครองครัว สถานภาพของผู้หญิงในปัจจุบันจึงเท่าเทียมกับผู้ชายทั้งสิทธิ และโอกาสในการทำงาน
การเปลี่ยนแปลงทางการศึกษา
หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 การศึกษาของไทยมีความก้าวหน้ามากขึ้น ในปัจจุบันเรามีการศึกษาภาคบังคับ 6 ปี และกำลังขยายโอกาสทางการศึกษาเป็น 9 ปี ซึ่งทำให้เยาวชนได้มีโอกาสหาความรู้ใส่ตัวมากขึ้น ก่อนจะออกไปทำงานเลี้ยงชีพสำหรับผู้ไม่เรียนต่อ
การเปลี่ยนแปลงทางศิลปวัฒนธรรม
1. การเปลี่ยนชื่อประเทศสยาม เป็นประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2482
2. การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ โดยเปลี่ยนเป็นวันที่ 1 มกราคม ตามสากลนิยม แทนวันที่ 1 เมษายน เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2484
3. มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2483 ให้คนไทยแต่งกายให้เหมาะสม คือ นุ่งกางเกงแทนผ้าม่วงหรือโจงกระเบน สำหรับชาย ส่วนสตรีให้สวมกระโปรง และยังต้องสวมเสื้อ รองเท้าหมวก
ด้านศิลปกรรม
1. สถาปัตยกรรม รับอิทธิพลของชาติตะวันตก เช่น การสร้างอนุสาวรีย์ อาคารต่าง ๆ
2. วรรณกรรมตะวันตกที่เคยมีการแปล ก็ถูกดัดแปลงหรือแต่งขึ้นมาโดยคนไทยมากขึ้น
3. นาฏกรรม เช่น โขน ละคร เสื่อมความนิยมลง เนื่องจากมีความบันเทิงหลายหลากมากขึ้น ทั้งภาพยนตร์ โทรทัศน์
โครงสร้างทางการปกครอง และกระบวนการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย(democracy) หมายถึง ระบอบการเมือง ซึ่งประชาชนมีอำนาจสูงสุด หรือการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน
โครงสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทย
ในการจัดการปกครองของไทยได้ยึดหลักการของสากล ซึ่งเป็นยอมรับกันทั่วไป 3 ประการ คือ การรวมอำนาจ การกระจายอำนาจ และการแบ่งอำนาจ สรุปได้ดังนี้
1. หลักการปกครองแบบรวมอำนาจ การปกครองแบบนี้มีหลักการที่สำคัญ คือ
1.1 อำนาจทั้งหมดอยู่ที่ส่วนกลางหรือรัฐบาลกลาง
1.2 ส่วนกลางมีอำนาจสูงสุดในการบังคับบัญชา
1.3 ส่วนกลางเป็นผู้ออกคำสั่งในการเปลี่ยนแปลงตัวข้าราชการ
2. หลักการปกครองแบบแบ่งอำนาจ ลักษณะการปกครองแบบนี้อันที่จริง แล้วนับเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองแบบรวมอำนาจ แต่มีเหตุจำเป็นที่ส่วนกลางต้องมีสถานที่ทำการอยู่ที่ส่วนต่าง ๆ ของประเทศได้แก่ จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน
3. หลักการปกครองแบบกระจายอำนาจ การปกครองแบบนี้มีลักษณะสำคัญ 3 ประการคือ
3.1 ส่วนกลางไม่มีอำนาจเด็ดขาดเพียงส่วนเดียว ต้องยอมให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการปกครองด้วย
3.2 คณะบุคคลผู้ใช้อำนาจในการปกครองแบบกระจายอำนาจจะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนในเขตการปกครองนั้น
3.3 หน่วยงานปกครองท้องถิ่นต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล
ความคิดเห็น