sio.. (ผู้ให้ความรู้กระผ้ม..)
ศิลปะ หรือ ศิลป ทั่วๆไปแล้วจะหมายถึงการกระทำหรือขั้นตอนของการสร้างชิ้นงานศิลปะ ศิลปะเป็นคำที่มีความหมายกว้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมีความหมายเกี่ยวกับการสร้างสรรค์, สุนทรียภาพ, หรือการสร้างอารมณ์ต่างๆ
งานศิลปะ จะรวมถึงชิ้นงานหลายๆชนิดโดยผู้สร้างตั้งใจสร้างชิ้นงานเพื่อสื่อสาร,สื่ออารมณ์,หรือใช้สัญลักษณ์เพื่อให้ผู้ชมชิ้นงานตีความ ผู้สร้างงานศิลปะ มักเรียกรวมๆ ว่า ศิลปิน
ศิลปะอาจรวมไปถึงงานในรูปแบบต่างๆเช่น งานเขียน บทกวี การเต้นรำ การแสดง ดนตรี งานปฏิมากรรม ภาพวาด-ภาพเขียน หรือ อื่นๆ อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่แล้วศิลปะจะหมายถึงงานทางทัศนศิลปะพวก ภาพวาด-ภาพเขียน งานประติมากรรม งานแกะสลัก รวมถึง conceptual art และ installation art
ศิลปะ แบ่งเป็นใหญ่ๆ 2แบบ
วิจิตรศิลป์(fine art)กับศิลปประยุกต์(modifly art มั้ง)
ปราชญ์บางท่านแบ่งศืลปะซึ่งเรียกว่า วิจิตรศิลป์ (Fine Art)ออกเป็น ๕ ประเภท [1]คือ
จิตรกรรม(Fine Art)
ประติมกรรม(Sculpture)
สถาปัตยกรรม (Architecture)
วรรณกรรม(Literature)
คีตกรรม (Music)
อย่างอนิเมชั่น การ์ตูน ละคร นี่เรียกประยุกต์
จบเลคเชอร์คั่บ
ที่เราชอบเรียกนักเรียนศิลปนี่คือเรียนfine art
--------------------------------------------------------------------------------------------
ศิลปะมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์อย่างมาก เพราะศิลปะมีส่วนช่วยเสริมสร้างจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น ทำให้เกิดความรักความสามัคคีต่อกัน งานศิลปะทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการทั้งทางด้านอารมณ์และจิตใจ ในขณะเดียวกันก็มีส่วนช่วยเสริมสร้างสติปัญญาด้วย ความรู้สึกซาบซึ้งในสุนทรียภาพหรือความงาม จะบังเกิดผลสมความปรารถนาหรือไม่เพียงไรนั้น ขึ้นอยู่กับการใฝ่หาความรู้ในศิลปะ ตลอดจนการพัฒนารสนิยมของแต่ละบุคคล ความซาบซึ้งในความงามของศิลปะมี 2 ประการ คือ 1. ความซาบซึ้งทางอารมณ์ เป็นความรู้สึกบนพื้นฐานแห่งความชื่นชมยินดี และความพึง-พอใจที่ได้รับจากการสัมผัสกับความงามในองค์ประกอบของเส้น สี แสง เงา รูปทรง ท่าทาง ถ้อยคำสำนวนและอื่น ๆ อันเป็นความรู้สึกประทับใจหรือสะเทือนใจ 2. ความซาบซึ้งทางพุทธิปัญญา เป็นความรู้สึกในขั้นต่อมาจากการมีความเข้าใจในหลักของความงามทางสุนทรียภาพหรือความงามของงานศิลปะ รู้ถึงองค์ประกอบของงานศิลปะและวิวัฒนาการของศิลปะ ซึ่งเกิดจากความคิดสร้างสรรค์อันไม่สิ้นสุดของมนุษย์ เป็นการเสริมสร้างรสนิยมทางศิลปะของมวลชนในชาติให้มีระดับสูงขึ้น & ขอบข่ายในการเรียนศิลปะ โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงศิลปะย่อมหมายถึง วิจิตรศิลป์ (Fine Art) และศิลปะประยุกต์ (Applied Art) |
| 1. วิจิตรศิลป์ (Fine Art) หรือศิลปะบริสุทธิ์ (Pure Art) หมายถึง ภาพพิมพ์ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณศิลป์ และดุริยางคศิลป์ (คีตศิลป์) ซึ่งเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของธรรมชาติ จนส่งเสริมให้ศิลปินเกิดความคิดสร้างสรรค์ในงานศิลปะ มีจุดมุ่งหมายคือส่งเสริมจิตใจและปัญญาความคิดของมนุษย์ ถือเป็นศิลปะชั้นสูง - วิจิตรศิลป์ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์อันประณีตของเส้นและมวลสิ่งหรือสี - สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม และภาพพิมพ์ เรียกว่า ศิลปะกินระวางเนื้อที่ (Space Art) ซึ่งเป็นศิลปะที่มองเห็น จึงถูกเรียกว่า ทัศนศิลป์ (Visual Art) เพราะจำกัดระวางเนื้อที่ส่วนใดส่วนหนึ่งในอากาศด้วยปริมาตรของศิลปะเท่านั้น ซึ่งคุณสมบัติที่แท้จริงของศิลปะที่มองเห็น ไม่ได้อยู่ที่วัสดุแต่อยู่ที่จิตใจ 2. ศิลปะประยุกต์ (Applied Art) เป็นศิลปะที่สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านร่างกายหรือเพื่อประโยชน์ใช้สอยอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เครื่องประดับ เครื่องใช้สอยต่าง ๆ เสื้อผ้า เป็นต้น ซึ่งศิลปะประยุกต์อาจแยกย่อยออกเป็น - มัณฑนศิลป์ (Decorative Art) ได้แก่ การออกแบบและการตกแต่งภายใน - พาณิชยศิลป์ (Commercial Art) ได้แก่ ศิลปะที่ทำขึ้นเพื่อการค้าขาย อาจออกมาในรูปแบบของการโฆษณา หรือการประดิษฐ์สิ่งของขึ้นมาเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน - อุตสาหกรรมศิลป์ (Industrial Art) ได้แก่ การผลิตจำนวนมากเพื่อใช้ในอุตสาห-กรรม คุณค่าของศิลปะ 1. ศิลปะมีส่วนช่วยเสริมสร้างจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น ทำให้เกิดความรัก ความสามัคคีต่อกัน ทั้งนี้เพราะศิลปะมีขึ้นเพื่อสนองความต้องการทางอารมณ์และจิตใจ ในขณะเดียวกันก็เสริมสร้างสติปัญญาด้วย 2. ศิลปะมีความสำคัญต่อการแสดงออกถึงความเจริญทางวัฒนธรรมของสังคมในแต่ละยุค 3. ศิลปะช่วยให้ชีวิตมีความสุขราบรื่น เพราะความเข้าใจในศิลปะช่วยสร้างให้เกิดความเข้าใจกัน 4. ช่วยเสริมสร้างความงามของสิ่งแวดล้อมในสังคมและความเป็นระเบียบของบ้านเมือง 5. เด็กที่ได้คุ้นเคยต่อการพบเห็นสิ่งประณีตสวยงามตั้งแต่วัยเยาว์ จะช่วยให้เด็กมีความคิดอ่านประณีต สุขุม เป็นคนดีของสังคม และประพฤติปฏิบัติไปตามกฎแห่งศีลธรรม ศิลปะมีความเป็นกลางหรือเป็นสากล เป็นสมบัติอันน่าภาคภูมิใจของมวลชนทั่วโลก ศิลปะจึงเป็นที่รวมของจิตใจให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และให้ก้าวไปสู่ความดีงามด้วยกัน บ่อเกิดแห่งศิลปะ บ่อเกิดแห่งศิลปะมิได้มาจากธรรมชาติเท่านั้น สิ่งแวดล้อมย่อมมีผลอย่างมากต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ ปัจจัยที่ทำให้เกิดงานศิลปะขึ้นจึงประกอบไปด้วยธรรมชาติ ศาสนา ความเชื่อถือ ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ระบบการปกครอง และวัสดุที่ใช้ในการสร้าง 1. ธรรมชาติ แรงบันดาลใจอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สร้างงานศิลปะขึ้นมาคือธรรมชาติ ดังนั้นธรรมชาติจึงถือว่าเป็น "แม่" หรือบ่อเกิดของงานศิลปะ แต่ธรรมชาติมิใช่ตัวศิลปะ เพราะศิลปะย่อมหมายถึงสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นเท่านั้น กระบวนการในการสร้างสรรค์งานศิลปะนั้น นอกจากอารมณ์สะเทือนใจซึ่งก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์แล้ว การแสดงออก (Expression) ถือว่าเป็นกระบวนการขั้นสุดท้ายของการสร้างสรรค์งานศิลปะ เ แม้ว่าการสร้างสรรค์งานศิลปะจะได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติ แต่การแสดงออกเป็นรูปแบบต่าง ๆ นั้น อาจจะอยู่นอกเหนือรูปแบบธรรมชาติ โดยการแสดงออกเป็นศิลปะแบบนามธรรม (Abstract Art) ศิลปะนามธรรมหรือมโนศิลป์ คือ การนำเอารูปทรงต่าง ๆ ที่พบเห็นอยู่ในธรรมชาติมาจัดเสียใหม่ ซึ่งจะมีการจัดองค์ประกอบของภาพอย่างอิสระ ดังนั้นศิลปะนามธรรมจึงอาจมีลักษณะกึ่งธรรมชาติกึ่งนามธรรมก็ได้ เรียกว่า Semi-Abstract การแสดงออกของศิลปินอาจถ่ายทอดออกมาได้ 3 ประการ คือ . การแสดงออกหรือถ่ายทอดตามความเป็นจริง (Realism) ศิลปินจะเปิดเผยสภาพความจริงจากธรรมชาติและสังคมมากขึ้น เช่น ภาพวาดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ภาพเหมือนจริงหรือหุ่นนิ่ง ได้ถอดแบบออกมาจากธรรมชาติอย่างชัดเจนและแสดงความรู้สึกต่าง ๆ ที่ศิลปินเข้าใจและต้องการแสดงออก 2. การแสดงออกหรือถ่ายทอดด้วยการตัดทอน (Distortion) ศิลปินจะไม่ลอกเลียนธรรม-ชาติทั้งหมด แต่จะเน้นเฉพาะส่วนสำคัญหรือจุดเด่นที่ก่อให้เกิดอารมณ์สะเทือนใจ 3. การแสดงออกตามความรู้สึก (Abstraction) ได้แก่ ศิลปะเชิงนามธรรม ลักษณะหรือรูปทรงของศิลปะอันเนื่องมาจากการแสดงออกของศิลปินนั้นแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. รูปลักษณะตามธรรมชาติ (Organic Form) เป็นรูปลักษณะที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง กฎเกณฑ์ในการแสดงออกนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของมัน เช่น ภูเขา ต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ มนุษย์ สัตว์ เป็นต้น 2. รูปลักษณะแบบเรขาคณิต (Geometric Form) เป็นรูปลักษณะที่ตายตัวไม่เปลี่ยนแปลง โดยได้แบบอย่างมาจากธรรมชาติบ้าง เช่น เส้นตรง เส้นโค้ง วงกลม สี่เหลี่ยม เป็นต้น 3. รูปลักษณะแบบอิสระ (Free Form) เป็นรูปลักษณะที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวและจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามความนิยมหรือความนึกคิดของศิลปินเ ธรรมชาติมีทั้งความงามและความอัปลักษณ์ กฎแห่งสุนทรียะหรือหลักทางสุนทรียภาพ ประกอบไปด้วย 1. ความมีระเบียบ (Order) 2. ความประสานกลมกลืน (Harmony) 3. ความงาม (Beauty) |
| จินตนาการ (Imagination) เป็นผลมาจากการรับรู้ตามประสาทสัมผัสต่าง ๆ ซึ่งจินตนาการเกิดขึ้นได้ 2 ทาง คือ 1. เกิดจากการรับรู้จากวัตถุจริง ๆ 2. เกิดจากความคิดทางใจ และถ้าเกิดมีจินตนาการก้าวไปไกลก็เรียกว่าเป็นความคิดเฟ้อฝัน ฟุ้งซ่าน (Fantasy) ซึ่งจะเป็นสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่เคยพบเห็น จินตนาการเหนือความเป็นจริงของศิลปะไทยได้แก่ สัตว์ต่าง ๆ ในเทพนิยายโบราณ กินรี คชสีห์ เป็นต้น หรือภาพเขียน "คืนที่แวววาวด้วยดวงดาว" (The Starry Night) ของ incent Van Gogh ม้า ในทางศิลปะถือว่าเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างสวยงามที่สุด ธรรมชาติมักจะมีกฎแห่งสุนทรียะซึ่งก่อให้เกิดความมีระเบียบ ความเหมาะสมกลมกลืน และความงามอยู่ทั้งสิ้น ธรรมชาติสามารถบอกถึงประสบการณ์และสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมาในอดีตให้ผู้พบเห็นรู้ได้ และอาจกล่าวได้ว่าธรรมชาติเป็นครูของมนุษย์ด้วย ุ 2. ความเชื่อถือและศาสนา การสร้างงานศิลปะในสมัยโบราณนั้น มิได้สร้างขึ้นมาเพื่อความสวยงามหรือเพื่ออวดสติปัญญาแต่อย่างใด หากแต่สร้างขึ้นเพื่อความสบายใจ หรือเพื่อแสดงถึงความกตัญญูที่มีต่อธรรมชาติที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการดำรงชีพ ความเชื่อถือและศาสนา เป็นแรงบันดาลใจอย่างใหญ่หลวงต่อการเกิดเป็นวิจิตรศิลป์ 5 แขนง คือ จิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรม ดนตรี และการละคร ศิลปะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ทำขึ้นจากคติความเชื่อถือทั้งสิ้น จนกระทั่งเกิดมีศาสนาขึ้นมา ศิลปกรรมทุกแขนงจึงได้เปลี่ยนมารับใช้ศาสนาเป็นส่วนใหญ่ จึงอาจกล่าวได้ว่าศาสนาเป็นแรงบันดาลอันยิ่งใหญ่ต่อการสร้างสรรค์งานศิลปะ ในภูมิภาคแถบเอเชียนั้นถือว่าประเทศอินเดียเป็นบ่อเกิดแห่งศาสนาทั้งปวง จากหลักฐานต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า ในอินเดียศิลปกรรมอันเนื่องมาแต่ศาสนานั้น ได้มีขึ้นครั้งแรกในพุทธศตวรรษที่ 3 ซึ่งเป็นศิลปะของราชวงศ์โมริยะ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ทำขึ้นจากคติของพุทธศาสนาหินยาน ในประเทศไทยศิลปกรรมที่สร้างขึ้นครั้งแรกสุด นอกจากศิลปกรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ก็ได้แก่ศิลปกรรมอันเนื่องมาแต่พุทธศาสนาหินยานทั้งสิ้น บางครั้งคติทางมหายานก็ได้เข้ามาปะปนบ้าง รูปเคารพพระศรีอารยเมตไตรยสร้างขึ้นจากความเชื่อทางศาสนาฮินดู คติความเชื่อในแต่ละศาสนาที่แตกต่างกันย่อมเป็นผลให้แบบอย่าง (Style) และลักษณะของศิลปกรรมแตกต่างกันไปด้วย งานประติมากรรมของไทยนั้นได้สร้างสัญลักษณ์เพื่อแทนพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เช่น พระพุทธรูปปางลีลา ศิลปะสุโขทัย ได้แสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดถึงสัญลักษณ์แห่งความหลุดพ้น ความรู้แจ้งในรสพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ศิลปินชั้นครูของไทยนอกจากจะมีฝีมือแล้วยังสร้างสรรค์ศิลปกรรมด้วยจิตใจและวิญญาณ จากความรู้สึกสะเทือนใจส่วนตนออกมาอย่างอิสระ งานศิลปะจึงดูสด มีชีวิตและพลัง แฝงให้เห็นความมีวิญญาณอันเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง เ ศิลปินไทยในสมัยโบราณได้อาศัยแบบอย่างที่เหมือนจริงตามธรรมชาติมาเป็นส่วนประกอบในผลงานนั้น ๆ เพื่อชี้ให้เห็นถึงหัวใจของศิลปกรรมและจุดมุ่งหมายที่ถูกต้อง แต่ศิลปินยุคใหม่ยึดถือรูปแบบนามธรรมเป็นที่ตั้ง และให้ความสำคัญกับ เส้น สี และน้ำหนัก เป็นสื่อนำจิตใจให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามและเกิดอารมณ์สะเทือนใจ ุ 3. ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และวัสดุที่นำมาใช้ มนุษย์มีความสามารถคือปรับตัวทางความคิดและการกระทำให้เข้ากันจนเกิดเป็นงานศิลปกรรมที่มีรูปร่างแตกต่างกันออกไป วัสดุที่นำมาใช้ในงานศิลปะแตกต่างกัน ย่อมทำให้งานศิลปกรรมมีความอ่อนหวานไม่เหมือนกัน ในทำนองเดียวกันศิลปกรรมแขนงต่าง ๆ ที่ถูกแสดงออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน ย่อมมีผลมาจากสภาพภูมิ-ประเทศและภูมิอากาศอย่างมากด้วย พวกซาเรเซนเป็นกลุ่มชนที่เร่ร่อนตามทะเลทรายในตะวันออกกลาง ดังนั้นศิลปกรรมที่พวกเขาแสดงออกมาจึงมีลักษณะเป็นเพียงเส้นและลวดลายแบบเรขาคณิต ุ 4. สังคมและระบบการปกครอง การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและระบบการปกครองมีผลต่อการสร้างสรรค์งานด้านศิลปะ เช่น ในสมัย ร.5 ชาวไทยรู้จักการเขียนภาพไทยแบบ Perspective ตามแบบศิลปะตะวันตก & เพิ่มเติม Paul Gauguin เห็นว่า ศิลปะคือการแสดงออกของภาวะนามธรรมที่มีอยู่ตามธรรมชาติบวกกับจินตนาการของศิลปิน การชื่นชมกับงานทัศนศิลป์หรือการพัฒนารสนิยม เพื่อบังเกิดความเข้าใจในสัญลักษณ์ของความงามและศิลปะ เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้กันได้ ทัศนศิลป์ (Visual Art) หมายถึง งานในศิลปะในประเภทที่สัมผัสได้ด้วยการมองเห็น เป็นศิลปะที่มีรูปทรงและมีโครงสร้าง ศิลปะประเภทนี้ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์ ซึ่งทัศนศิลป์แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. Graphic Art เป็นการบันทึกภาพหรือสร้างรูปลงบนพื้นที่แบนราบ เป็นงานที่มีเพียงสองมิติ คือมีความกว้างและความยาว เป็นงานศิลปะที่ปรากฏบนแผ่นกระดาษ ผืนผ้า แผ่นฟิล์ม ฝาผนัง เป็นต้น 2. Plastic Art เป็นงานศิลปะที่มีรูปทรงเป็นสามมิติ ประกอบด้วย ความกว้าง ความยาว ความลึก หรือความหนา จึงเป็นงานที่มีรูปทรง มีปริมาตร และกินเนื้อที่ในตัวเอง เช่น งานสถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์ ประติมากรรม เป็นต้น นอกจากนี้งานทัศนศิลป์ยังแยกออกเป็น 1. ศิลปะบริสุทธิ์หรือวิจิตรศิลป์ (Fine Art) เป็นงานศิลปะที่คำนึงถึงประโยชน์ทางจิตใจ เป็นงานศิลปะชั้นสูง เช่น งานจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ 2. งานศิลปะที่อำนวยประโยชน์ทางกาย (Functional Art) หรือศิลปะประยุกต์ (Applied Art) เป็นงานที่ก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน และชื่นชมยินดีทางด้านโลก (Physical Pleasure) ไม่ก่อให้เกิดความซาบซึ้งประทับใจเหมือนศิลปะบริสุทธิ์ ดนตรี บทกวี และวรรณกรรม เป็นศิลปะประเภทหนึ่งที่เข้าสัมผัสกับจิตใจของผู้รับ ซึ่งเรียกว่า "จินตศิลป์" (Imaginative Art) เ ศิลปะนามธรรม (Abstract Art) หรือศิลปะเชิงสร้างสรรค์ (Creative Art) เป็นศิลปะในแบบ "สัญลักษณ์" หรือศิลปะสมัยใหม่ เพื่อใช้แสดงออกถึงแนวความคิดและต้องมีการแปลความหมาย งานทัศนศิลป์ที่เกี่ยวข้องกับมวลมนุษย์ 1. งานจิตรกรรม (Painting or Pictorial Art) คือ กรรมวิธีของการนำสีชนิดต่าง ๆ มา ระบายหรือเขียนลงบนแผ่นราบ ให้บังเกิดเป็นภาพความหมายและมีความงามตามต้องการ 2. งานวาดเส้น (Drawing) คือ การเขียนเป็นลายเส้นหรืออาจมีการระบายแสงและเงา สร้างลักษณะของผิวเพียงสีเดียว 3. ศิลปะภาพพิมพ์ (Graphic Art) หมายถึง การสร้างรูปหรือเครื่องหมายลงบนวัสดุ ผิวราบใด ๆ ด้วยวิธีการกดหรือประทับจากแม่พิมพ์ เป็นงานที่มีลักษณะ 2 มิติ งานโฆษณาและ Graphic Design ถือว่าเป็นศิลปะภาพพิมพ์ 4. ประติมากรรม (Sculpture) คือ การปั้น (เป็นกรรมวิธีก่อขึ้น เพิ่มขึ้น) และการแกะสลัก (เป็นกรรมวิธีของการลด สกัด ตัด หรือเฉือนออก) ให้เป็นรูปทรงในลักษณะสามมิติ เช่น "ดาวเพดาน" ซึ่งอยู่ภายในอาคาร พุทธศาสนาได้ใช้สัญลักษณ์เป็นดอกบัวกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ อันหมายถึง "จักรวาล" ก่อนที่จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของพุทธิปัญญาในภายหลัง 5. สถาปัตยกรรม (Architecture) หมายถึง ศิลปะที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ใช้สอย เป็นรูปทรง กินเนื้อที่ มีปริมาตร เช่น ปิรามิดของชาวอียิปต์สร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอย เพราะชาวอียิปต์เชื่อว่าเมื่อคนตายไปแล้ววิญญาณจะกลับมาเกิดอีก เขาจึงได้สร้างปิรามิดไว้สำหรับเก็บศพที่เรียกว่า "มัมมี่" ภายใน ปิรามิดสร้างไว้เพื่อให้วิญญาณได้ฟื้นกลับมาในรูปร่างเดิมและดำเนินชีวิตอย่างสุขสบาย 6. มัณฑนศิลป์ (Decorative Art) มีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ใช้สอยและความสุขทางใจ เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา เช่น การออกแบบ การตกแต่งภายใน เป็นต้น |
ความคิดเห็น
นี่ๆ ศิลปะ ประยุกต์น่าจะเป็นคำว่า Applied Art มากกว่านะ
Modify มันไม่น่าจะเอามาใช้กะศิลปะไง มันออกแนวแปลว่า ดัดแปลงมากกว่า
ส่วนข้อมูลอื่นๆแน่นดี มีประโยชน์จิงๆฮะ