chai2v8
ดู Blog ทั้งหมด

ฝึก ‘โยคะ’ ตามตำนาน บนวิถีแห่งความ ‘พอเพียง’

เขียนโดย chai2v8
Converter Box Coffee Pod Maker Coffee Makers Best Coffee Makers Bunn Coffee Makers Cuisinart Coffee Makers Single Cup Coffee Makers 4 Cup Coffee Makers Braun Coffee Makers Keurig Coffee Makers Melitta Coffee Makers Best Price On Bunn Coffee Makers Krups Coffee Makers Grind And Brew Coffee Makers Drip Coffee Makers Mill And Brew Coffee Makers Under Cabinet Coffee Makers Hamilton Beach Coffee Makers Consumer Review Coffee Makers Grind & Brew Coffee Makers Kuerig Coffee Makers Mini Travel Coffee Makers Discount Bunn Coffee Makers One Cup Coffee Makers Senseo Coffee Makers Top Rated Coffee Makers Delonghi Coffee Makers Red Coffee Makers The Best Type Of Coffee Makers Commercial Coffee Makers Bunn Coffee Maker Coffee Maker Keurig Coffee Maker Krups Coffee Maker Braun Coffee Maker Best Coffee Maker Cuisinart Coffee Maker Who Makes The Best Coffee Maker One Cup Coffee Maker Delonghi Coffee Maker French Press Coffee Maker Espresso Coffee Maker Single Cup Coffee Maker Vacuum Coffee Maker Senseo Coffee Maker Travel Coffee Maker Hamilton Beach Coffee Maker How To Clean Coffee Maker Thermal Coffee Maker Capresso Coffee Maker
ทุกครั้งที่เอ่ยถึงขั้นตอนแห่งการดูแลสุขภาพ ตัวแปรสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงเสมอๆ ก็คือการออกกำลังกาย โดยเฉพาะ “โยคะ” ที่ถือเป็นหนึ่งในศาสตร์ที่ถูกจัดไว้ในอันดับแถวหน้าของการออกกำลังกายเสมอ

    ในปัจจุบันโยคะเป็นศาสตร์ที่กำลังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่สังเกตได้ชัดที่สุดเห็นจะเป็นตามศูนย์ออกกำลังกายหรือฟิตเนสที่คนในสังคมใหญ่ให้ความสนใจ ทำให้มีการจับเอาโยคะมาแปรรูปเป็นสินค้า พร้อมสอดแทรกโปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้ากันต่างๆนานา

    ด้วยเหตุผลดังกล่าว ได้ทำให้โยคะที่เราๆท่านๆเห็นและยอมรับกันส่วนใหญ่จึงปรากฏออกมาในรูปแบบของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพทรวดทรงองค์เอวสมสัดส่วน รวมไปถึงผิวพรรณที่ผ่องใสเปล่งปลั่ง โดยหาได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของโยคะตามต้นกำเนิดที่แท้จริงแต่อย่างใด อีกทั้งตามสถานที่เหล่านั้นต่างเรียกเก็บค่าฝึกอบรมจะว่าไปก็สูงเอาการ

    ดังนั้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จึงได้ร่วมกับสถาบันโยคะวิชาการและมูลนิธิหมอชาวบ้าน จึงได้จัดเวทีเพื่อบอกเล่าถึงตำนานของโยคะที่สามารถยึดปฏิบัติได้บนวิถีแห่งความพอเพียง

    อาจารย์กวี คงภักดีพงษ์ ผู้อำนวยการสถาบันโยคะวิชาการ มูลนิธิหมอชาวบ้าน ได้อธิบายว่า โยคะคือวิถีทางดับการปรุงแต่งของจิต ยกระดับจิตขั้นต่ำ โดยมีเป้าหมายที่โมกษะหรือการหลุดพ้น ซึ่งศาสตร์แห่งการยกระดับจิตวิญญาณนี้ ได้รับการฟื้นฟูในช่วงต้นคริสต์ศักราช 1900 โดยครูอาจารย์หลายท่านเป็นคนเผยแพร่ไปทั่วและได้รับการประยุกต์ จนอาจแบ่งโยคะยุคใหม่ออกได้เป็น 3 สาย คือ 1.โยคะที่มุ่งเน้นเรื่องจิตวิญญาณล้วนๆซึ่งแตกแขนงออกเป็นลัทธิ นิกายใหม่ๆ 2. โยคะเพื่อการพัฒนาสุขภาพกาย สุขภาพใจโดยรวม 3. โยคะเพื่อการออกกำลังกาย ซึ่งได้รับการเผยแพร่อย่างแพร่หลายในปัจจุบันนี้

และนั่นจึงทำให้หลายคนเข้าใจกันว่า โยคะเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างสุขภาพ รวมทั้งที่ขาดเสียไม่ได้คือเรื่องของความสวยความงาม

“ดังนั้นทุกครั้งที่เราเดินเข้า-ออกตามศูนย์ออกกำลังกายหรือฟิตเนส หลายสถาบันต่างชูจุดเด่นของตัวเองด้วยโยคะหลากแบบที่ประยุกต์กันขึ้นมาใหม่ เช่น โยคะร้อน ซึ่งนั่นล้วนแต่เป็นยุทธวิธีในการส่งเสริมการขาย จนปัจจุบันโยคะกลายเป็นสินค้าหรือเป็นธุรกิจประเภทหนึ่งไปแล้ว”

“แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ด้วยเหตุที่ครูสอนโยคะส่วนใหญ่ที่เห็นในศูนย์ออกกำลังกายเป็นผู้ที่ได้รับการพัฒนาโดยมีพื้นฐานมาจากครูสอนออกกำลังกาย เช่นครูสอนแอโรบิกแล้วมาเรียนโยคะเพื่อไปเป็นครูอีกทีหนึ่ง ดังนั้น จึงไม่แปลกที่โยคะจะถูกบิดเบือนให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นการออกกำลังกายโดยประยุกต์ท่าทางออกไปต่างๆนานา ซึ่งตามหลักการจริงของโยคะสูตรโดยปตัญชลีผู้คิดค้นเมื่อ พ.ศ. 200 นั้นได้บันทึกไว้ชัดเจนว่าท่าอาสนะคือท่าดั้งเดิมที่สุด”


ผู้อำนวยการสถาบันโยคะวิชาการผู้คร่ำหวอดในวงการโยคะมานานเล่าต่อว่าในการทำงานของตนเองนั้น ตลอดเวลาที่เป็นครูสอนโยคะจะเน้นให้ผู้เรียนรู้จักโยคะสายที่ 2 ซึ่งเป็นการฝึกโยคะเพื่อการพัฒนาสุขภาพกาย สุขภาพใจโดยรวม ให้ความสำคัญกับตำราดั้งเดิมคือให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตไปพร้อมๆกับการพัฒนากาย ไม่ทิ้งอันใดอันหนึ่ง เพราะโยคะคือศิลปะโบราณในการอยู่อย่างสุข ตั้งอยู่บนหลักทางด้านธาตุฐานอันละเอียดอ่อนของมนุษย์ ได้แก่ร่างกาย พลังชีวิต อารมณ์ วิจารณญาณ และจิตวิญญาณ แม้แก่นของโยคะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณ แต่การฝึกปฏิบัติของศาสตร์นี้ ยังนำมาซึ่งความเป็นอยู่ดีของกายภาพ สุขภาพจิต และอารมณ์

ทั้งนี้ โยคะเป็นการพัฒนาจิต เป็นงานเชิงคุณภาพ ต้องเริ่มจากการอบรมเพื่อปรับทัศนคติเสียใหม่ก่อนแล้วจึงค่อยๆ ฝึกปฏิบัติตนด้วยเทคนิคต่างๆ เพื่อขัดเกลาจิต บริหารจิต และเมื่อผู้ฝึกสามารถปฏิบัติได้ถึงระดับที่เพียงพอแล้วก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมคือเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนวิถีชีวิต ดังนั้น หากคนคนหนึ่งฝึกโยคะจนเกิดผลเกิดความเปลี่ยนแปลง ก็จะสามารถทำหน้าที่เป็นครู เป็นแบบอย่างถ่ายทอดไปยังผู้สนใจอื่นๆ ต่อไปได้ดี

“ที่หลายคนชอบมาฝึกโยคะเพราะต้องการลดความอ้วน ออกกำลังกาย หรือต้องการทำให้สุขภาพดีขึ้นนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะโดยสภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันและข้อมูลข่าวสารจากสถาบันและครูผู้สอนทำให้ต้องเข้าใจแบบนั้น ครูก็ไม่กล้าบอกข้อมูลที่แท้จริงแก่ลูกศิษย์เพราะกลัวว่าลูกศิษย์จะไม่มาเรียนกับตนอีกจึงต้องทำตามข้อเรียกร้องของลูกศิษย์ แต่ตามหลักแล้วโยคะเป็นเรื่องของจิตใจถ้าเราควบคุมจิตของตัวเองได้ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะควบคุมส่วนต่างๆในร่างกายได้ อย่างเรื่องความอ้วน ถ้าเราควบคุมจิตเราว่าไม่ให้รู้สึกอยากได้เราก็จะไม่อ้วน”

นอกจากนี้ เราจะพบว่าตำราโยคะของแต่ละครูผู้สอนและแต่ละสถาบันก็มักแตกต่างกันไป พร้อมกับแข่งขันกันโฆษณาชวนเชื่อเพื่อเบนเข็มให้ผู้ที่ต้องการเรียนต้องไปเสียค่าใช้จ่ายซึ่งก็สูงลิบลิ่วทีเดียว ขณะเดียวกันอาจารย์กวีกลับบอกว่าในความเป็นจริงตำราโยคะสอนให้ผู้เรียนรู้จักพอเพียง หากจะเรียนโยคะก็ต้องยืนอยู่บนวิถีแห่งความพอดี นั่นคือโยคะทำให้กิเลสอ่อนกำลังลง กำจัดกิเลส จนเรากลับคืนสู่สภาพเดิมปราศจากกิเลส ขจัดมารแห่งอวิชชาที่ครอบบังจิตใจ ดังนั้นจิตจะหยุดการกระทำต่างๆต่อร่างกาย ต่อใจ มีความสามารถในการแยกแยะจิตเดิมแท้ออกจาก สิ่งแปลกปลอมอื่นๆ และเมื่อถึงสภาวะนั้นได้ เราก็ปราศจากทุกข์ เกิดความพอเพียง พอดี

“ผมจะบอกลูกศิษย์ที่มาเรียนเสมอว่าถ้าจะมาเรียนขอให้มาครั้งเดียวแล้วนำไปปฏิบัติเองไม่ต้องกลับมาเรียนที่ห้องเรียนกับครูอีกก็ได้เพราะหลักของโยคะมีอยู่ไม่มาก เน้นเรื่องจิตใจ ให้ผู้ฝึกเกิดความสุขกาย สุขใจ พอเพียง โดยยึดมรรค 8 เป็นหลัก เท่านี้ชีวิตก็อิ่มเอมไปด้วยคุณค่า เรียนหรือฝึกปฏิบัติโยคะได้อย่างพอเพียงแล้ว”อาจารย์กวีสรุปทิ้งท้าย

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น