ลำดับตอนที่ #18
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #18 : ความประสงค์ดีกลายเป็นความประสงค์ร้าย
ทางฝ่ายวังหลวง ข้าราชบริพารต่างกำลังเตรียมการ ทุกแห่งทุกหนต่างประดับด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ฝ่ายพระราชพิธีเตรียมการเช่นการจัดเตรียมเครื่องอุปกรณ์ในการประกอบพิธีอภิเษกสมรส เครื่องบูชาเทพเจ้า และเครื่องอาภรณ์สำหรับเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในวันพรุ่งนี้ พระพันปีเสด็จยังห้องเตรียมเครื่องอาภรณ์ ชุดผ้าไหมสีขาวประดับด้วยเพชรชิ้นเล็กพริ้วตามลมแล้วต้องแสงไฟส่องระยิบระยับเสมือนดวงดาวบนสรวงสวรรค์
"นั้นคือชุดเจ้าสาวซิน่ะ" พระพันปีตรัสกับเหล่านางข้าหลวงผู้เตรียมเครื่องอาภรณ์
"ใช่แล้วเพคะ เครื่องอาภรณ์สำหรับเจ้าสาว" นางข้าหลวงอาวุโสกล่าว
พระพันปีทรงเสด็จเข้าไปชมใกล้ชุดซึ่งแขวนไว้กับหุ่นเสมือนคนจริง "มันช่างแวววาวดุจดวงดาราเสียจริง ในวันพรุ่งนี้พรพิงค์ต้องเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดในอียิปต์"
"ส่วนผ้าไหมก็เป็นผ้าไหมเนื้องามเบา ด้วยความเบาของผ้าจะทำให้ผู้สวมใส่ไม่ร้อนและระตคายเคืองด้วยเพคะ"
"เจ้าช่างมีปัญญาดีเสียจริง ข้าจำได้ครั้งใดก็ตามในงานอภิเษกสมรสหลายๆงานเจ้าสาวต่างมีหยาดเหงื่อกันทั้งสิ้นด้วยผ้าไหมที่หนาไป บ้านเมืองเราเป็นเมืองร้อนผ้าไหมถึงจะทรงคุณค่าและงดงามเป็นราชินีแห่งผ้าทั้งปวงบนพิภพ แต่ก็ไม่เหมาะต่อการที่เราจะสวมใส่มันตลอดไม่"
"พระพันปีทรงตรัสได้ถูกต้องเพคะ ทรงพระปรีชาเพคะ"
"ไหน..ข้าขอชมเครื่องประดับของเจ้าสาวที่เราได้สั่งทางกรมเครื่องอาภรณ์จัดเตรียม"
"ขอพระพันปีโปรดทรงรอสักครู่เพคะ..... พวกเจ้าไปนำกล่องเครื่องประดับของเจ้าสาวมาด่วน" นางข้าหลวงอาวุโสผู้เป็นหัวหน้ากรมเครื่องอาภรณ์กล่าว
กล่องเครื่องประดับถูกยกมาอย่างถะนุถนอมแล้ววางบนเบื้องพระพักตร์ของพระพันปี นางข้าหลวงอาวุโสเปิดกล่องนั้นออก แสงระยิบระยับของอัญมณีส่องสว่างทันทีที่ต้องแสงสว่างจากภายนอก และแล้วความงามแห่งเครื่องประดับนั้นก็เผยออกต่อสายพระเนตรแห่งพระพันปี นางข้าหลวงนำสายสร้อยขึ้นถวายพระพันปี พระพันปีทรงตะลึงกับความงามของสายสร้อย
"มันช่างงดงามเสียเหลือเกิน สายสร้อยรูปดอกบัวบานสัญลักษณ์แห่งความดีงามประดับด้วยอัญมณีลูกปัดเจ็ดสี ข้าคิดไม่ผิดที่สั่งทำเครื่องประดับชิ้นนี้ มันช่างเหมาะสมและเข้ากับมงกุฎดอกบัวอัญมณี 5 สีนั้นเสียเหลือเกิน"
"ดอกบัวเป็นตัวแทนแห่งความดี เหมาะสมสำหรับองค์ราชินีพระองค์ใหม่เพคะ"
พระพันปีทรงพินิจพิจารณาชมสายสร้อยอันล่ำค่านี้ แล้วส่งคืนแก่นางข้าหลวง "ข้าขอชมแหวนแต่งงานหน่อย"
นางข้าหลวงเมื่อวางสายสร้อยนั้นลงในกล่องแล้ว ก็หยิบพระธำมรงค์ทองเหลืองประดับด้วยทับทิมสีชมพูแดงถวายแด่พระพันปี เมื่อพระธำมรงค์นั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระพันปีมันช่างสุกปลั่งยิ่งนัก เม็ดทับทิมสีแดงเมื่อต้องแสงก็ออกประกายแวววาวสีชมพูอ่อนหวาน พระพันปีแย้มพระโอษฐ์อย่างพึ่งพอพระทัย "แหวนแต่งงานวงนี้ช่างงามเสียเหลือเกิน"
"เม็ดทับทิมจากชมพูทวีปเพคะ"
"สมน้ำสมเนื้อเสียจริง ข้าขอชมทับทรวงหน่อย" พระพันปีมอบพระธำมรงค์คืนนางข้าหลวงเมื่อนางข้าหลวงเก็บพระธำมรงค์ยังกล่องแล้ว ทับทรวงก็ถูกส่งขึ้นมา ทับทรวงอันอลังการลวดลายปีกวิหคสวรรค์ประทับด้วยอัญมณีหลากสีสันแข่งกันระยิบระยับอย่างงดงามยามต้องแสงไฟ เสมือนว่าทับทรวงนั้นกำลังโบยบิน พระพันปีทรงรับทับทรวงนั้นมาก็ทรงตรวจความเรียบร้อยของรายละเอียด
"ช่างเครื่องประทับทำทับทรวงออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเสียเหลือเกิน ทับทรวงอันนี้เป็นหน้าเป็นตาสำหรับเจ้าสาวเพราะมันจะเป็นเครื่องประดับที่สำคัญประจำตัวนางไปตลอดชีวิตของนาง"
"อันลวดลายของทับทรวจเป็นลวดลายรูปปีกวิหคสวรรค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของปีกวิหคสวรรค์แห่งพระเทพีไอซิสใช่ไหมเพคะ"
"ใช่จ๊ะ ปีกวิหคสวรรค์นี้ ครั้งเมื่อพระเทพีไอซิสทรงเป็นพระราชินีแห่งอียิปต์นั้น องค์ฟาโรห์โอซิริสทรงถูกพระอนุชาอธรรมเทพเซ็ตลอบปลงพระชนม์แล้วทรงแล่พระศพของพระองค์เป็นชิ้นๆ แล้วทรงนำชิ้นพระศพนั้นไปทิ้งในที่ต่างๆ ด้วยความรักและความภักดีต่อพระสวามี เทพีไอซิสจึงทรงเนรมิตปีกวิหคสวรรค์ขึ้นเพื่อใช้ในการเดินทางค้นหาชิ้นส่วนพระศพของพระสวามีของพระองค์ เช่นนี้เครื่องประดับของราชินีทุกพระองค์จึงต้องเป็นลวดลายปีกวิหคสวรรค์ เพราะมันแสดงถึงความเป็นราชินีแห่งอาณาจักรอียิปต์ ถึงแม้อาณาจักรใดๆจะนิยามความเป็นราชินีทรงเพียงมงกุฎ เทริด พระมาลา หรือ เครื่องประดับศีรษะว่านั้นคือเครื่องแสดงความเป็นพระราชินี แต่ของเรานี้หาใช่เช่นนั้นไม่ ทับทรวงนี้ต่างหากที่แสดงถึงความเป็นราชินีแห่งอียิปต์" พระพันปีตรัสอย่างภาคภูมิพระทัย
พระพันปีทรงชมทับทรวงนี้อยู่นานพอสมควร แล้วจึงส่งคืนให้นางกำนัลเก็บไว้ตามเดิม พระพันปีทรงทอดพระเนตรไปโดยรอบ ข้าราชบริพารต่างแข็งขันจัดเตรียมงานจนจวบจะสำเร็จ จากนั้นพระพันปีจึงทรงเสด็จกลับพระตำหนัก
ฝ่ายองค์ฟาโรห์ทรงประทับอยู่บนระเบียบมุขโดยพระองค์ทรงกำลังทอดพระเนตรชมดวงดาวบนท้องฟ้า ซึ่งในพระหัตถ์ของพระองค์ทรงถือรองเท้าพลาสติกสีแดงของพรพิงค์ข้างนั้นไว้แน่น ดวงจันทร์ทรงกลมท่ามกลางหมู่ดวงดาว แต่แล้วใบหน้าของพรพิงค์ก็ปรากฏขึ้นในความนึกคิดของพระองค์ ภาพงานอภิเษกสมรสในวันพรุ่ง ภาพตอนที่ทรงนั่งเคียงคู่กันบนบัลลังก์ หรือบนพระแท่นบรรทม และแล้วตอนพระโอรสน้อยทรงกำเนิด องค์ฟาโรห์ทรงจินตนาการถึงอนาคตไปไกลมาก แต่แล้วก็ทรงละจากความนึกคิดตรงนั้นแล้วทรงเสด็จเข้าห้องพระบรรทม
เบื้องล่างในมุมมืดของพระตำหนัก เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่าทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางร่มเงาของต้นไม้ แอบมองการเตรียมงานอภิเษกสมรสที่จะมีในวันพรุ่งนี้ เจ้าหญิงผู้น่าสงสารเกิดความริษยาเล็กน้อยขึ้นในพระทัย
"งานนี้คงเป็นงานของเรา หากองค์ฟาโรห์ไม่แปรผัน แต่ก็ขอยินดีกับพระองค์ด้วยที่ทรงได้คู่ที่เหมาะสมเช่นพรพิงค์ หากข่าวที่ได้ยินมาเป็นจริงตามนั้น นางก็หาใช่คนธรรมดาสามัญไม่ นางอาจจะเป็นร่างอวตารแห่งเทพีพระองค์ใดพระองค์หนึ่งที่เหล่าทวยเทพส่งนางให้มาเป็นคู่บุญแห่งพระองค์...." เจ้าหญิงตรัสขึ้นกับพระองค์เอง แล้วทรงดำเนินจากไปท่ามกลางเสียงเจรจาของข้าราชบริพาร
"ว่าไปก็สงสารเจ้าหญิงพระคู่หมั้นเก่าขององค์ฟาโรห์เหมือนกันน่ะ พวกเธอว่าอย่างไร" นางกำนัลกล่าวกลุ่มพวกของนาง
"จะทำอย่างไรได้ก็องค์ฟาโรห์ทรงเลือกแม่หญิงพรพิงค์ และแถมนางมีเทพเจ้าเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่เสียด้วยซิ มีผู้คนมากมายที่เห็นในเหตุการณ์นั้น และข้าก็ได้ยินมาว่าเป็นเรื่องจริง และองค์ฟาโรห์กับพระพันปีก็ทรงประทับอยู่ที่นั้นในตอนนั้นด้วย" นางกำนัลอีกคนกล่าว
"หยุดๆ...หยุดกันได้แล้วสาวๆ พอเถิดกับเรื่องนินทาเจ้านายนี้ ชอบกันนัก...เดี๋ยวหากถูกจับได้คงโดนจับขังจนลืมหรือไม่ก็ถูกส่งเป็นไปอาหารจระเข้.....กันทุกนางแน่ๆ แยกย้ายกันไปทำงานเร็ว เดี๋ยวงานจะไม่เสร็จกันพอดี" นางกำนัลซึ่งดูทีท่าจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มกล่าวต่อว่า
"เจ้าค่ะ" เหล่านางกำนัลกล่าวพร้อมกันแล้วจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง
เจ้าหญิงเมื่อทรงสดับเช่นนั้นแล้ว ด้วยความเข้มแข็งของพระองค์จึงทำให้พระองค์ไม่สะทบสะท้านอะไรต่อลมปากของเหล่านางกำนัล ว่าไปแล้วเจ้าหญิงช่างน่าสงสารยิ่งนัก ตอนนี้พระเกียรติแห่งความเป็นเจ้าหญิงนั้นไม่เหลืออีกแล้ว ในสังคมอารยธรรมโบราณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เรื่องการที่ขัตติยนารีชนชั้นสูงถูกปฎิเสธนั้นเป็นเรื่องของการสูญเสียพระเกียรติยศอย่างยิ่งนัก ตอนนี้เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่ากลายเป็นสตรีที่มีมลทินไปเสียแล้วสำหรับในสายตาของบุคคลรอบข้าง ถึงเจ้าหญิงกลายเป็นหญิงสาวผู้อาภัพแต่พระองค์ก็เป็นหญิงสาวที่แกร่งพอควร ไม่มีน้ำพระเนตรปรากฏอยู่บนพระพักตร์เลย เจ้าหญิงทรงดำเนินจนถึงพระตำหนัก นางกำนัลข้าหลวงจำนวนหนึ่งกำลังรอคอยการเสด็จมาของเจ้าหญิง
"เจ้าหญิงเพคะ ทรงมีเรื่องอันใดให้พวกเราช่วยเพคะ"
"คือว่า เราอยากให้พวกเจ้าช่วยเลือกชุดและเครื่องประดับสำหรับงานวันพรุ่งนี้หน่อยอ่ะจ๊ะ" เจ้าหญิงตรัสด้วยพระอาการเขิน
"ได้เพคะ พวกเรายินดี" นางกำนัลเริ่มค้นและเปิดหีบเครื่องประดับออกมาตรวจและเลือกดู
สายสร้อยหลายเส้น ต่างพระกรรณจำนวนนับไม่ถ้วน พระธำรงค์ และ ทับทรวงหลากหลายแบบถูกจัดวางบนโต๊ะหินอ่อน วางเรียงรายจนเต็ม ทุกชิ้นล้วนสวยงามและเลอค่านัก เจ้าหญิงทรงพินิจพิจารณาเครื่องประดับทีละชิ้นจนทรงเหน็ดเหนื่อย ต่างพระกรรณคู่แล้วคู่เล่า สายสร้อยเส้นแล้วเส้นเล่าก็ไม่ทรงถูกพระทัย จนในที่สุด สายสร้อยอัญมณีสีเขียวกับสีแดงประกอบเป็นลวดลายเถาดอกไม้ ต่างพระกรรณโกเมน ทับทรวงทองคำแต่เด่นด้วยอัญมณีเพชรซีกประดับเป็นลวดลายเรขาคณิต และเครื่องประทับพระเศียรเป็นเทริดทองคำลวดลายลวดเถาวัลย์แล้วมีพลอยหลากสีประดับไปตามลวดลายของเถาวัลย์ ส่วนพระภูษาสีเขียวอ่อนนุ่มนวล
"ข้าถูกใจมากเลย ขอบใจพวกเจ้ามากที่มาช่วยเราเลือก"
"เช่นนั้นพวกเราขอทูลลาเพคะ" เหล่านางกำนัลกล่าวเสร็จก็พากันออกจากพระตำหนัก
เจ้าหญิงทรงชื่นชมกับเครื่องอาภรณ์ที่ได้จัดเตรียม เจ้าหญิงทรงดับดวงประทีปลงเพื่อที่จะเข้าพระบรรทม เจ้าหญิงทรงเสด็จขึ้นบนพระแท่นบรรทม แล้วทรงบรรทมลง "พรุ่งนี้แล้วที่อียิปต์จะได้ราชินีพระองค์ใหม่" ความมืดเข้าปกคลุมหลังจากเจ้าหญิงทรงหลับพระเนตรลง
"นั้นคือชุดเจ้าสาวซิน่ะ" พระพันปีตรัสกับเหล่านางข้าหลวงผู้เตรียมเครื่องอาภรณ์
"ใช่แล้วเพคะ เครื่องอาภรณ์สำหรับเจ้าสาว" นางข้าหลวงอาวุโสกล่าว
พระพันปีทรงเสด็จเข้าไปชมใกล้ชุดซึ่งแขวนไว้กับหุ่นเสมือนคนจริง "มันช่างแวววาวดุจดวงดาราเสียจริง ในวันพรุ่งนี้พรพิงค์ต้องเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดในอียิปต์"
"ส่วนผ้าไหมก็เป็นผ้าไหมเนื้องามเบา ด้วยความเบาของผ้าจะทำให้ผู้สวมใส่ไม่ร้อนและระตคายเคืองด้วยเพคะ"
"เจ้าช่างมีปัญญาดีเสียจริง ข้าจำได้ครั้งใดก็ตามในงานอภิเษกสมรสหลายๆงานเจ้าสาวต่างมีหยาดเหงื่อกันทั้งสิ้นด้วยผ้าไหมที่หนาไป บ้านเมืองเราเป็นเมืองร้อนผ้าไหมถึงจะทรงคุณค่าและงดงามเป็นราชินีแห่งผ้าทั้งปวงบนพิภพ แต่ก็ไม่เหมาะต่อการที่เราจะสวมใส่มันตลอดไม่"
"พระพันปีทรงตรัสได้ถูกต้องเพคะ ทรงพระปรีชาเพคะ"
"ไหน..ข้าขอชมเครื่องประดับของเจ้าสาวที่เราได้สั่งทางกรมเครื่องอาภรณ์จัดเตรียม"
"ขอพระพันปีโปรดทรงรอสักครู่เพคะ..... พวกเจ้าไปนำกล่องเครื่องประดับของเจ้าสาวมาด่วน" นางข้าหลวงอาวุโสผู้เป็นหัวหน้ากรมเครื่องอาภรณ์กล่าว
กล่องเครื่องประดับถูกยกมาอย่างถะนุถนอมแล้ววางบนเบื้องพระพักตร์ของพระพันปี นางข้าหลวงอาวุโสเปิดกล่องนั้นออก แสงระยิบระยับของอัญมณีส่องสว่างทันทีที่ต้องแสงสว่างจากภายนอก และแล้วความงามแห่งเครื่องประดับนั้นก็เผยออกต่อสายพระเนตรแห่งพระพันปี นางข้าหลวงนำสายสร้อยขึ้นถวายพระพันปี พระพันปีทรงตะลึงกับความงามของสายสร้อย
"มันช่างงดงามเสียเหลือเกิน สายสร้อยรูปดอกบัวบานสัญลักษณ์แห่งความดีงามประดับด้วยอัญมณีลูกปัดเจ็ดสี ข้าคิดไม่ผิดที่สั่งทำเครื่องประดับชิ้นนี้ มันช่างเหมาะสมและเข้ากับมงกุฎดอกบัวอัญมณี 5 สีนั้นเสียเหลือเกิน"
"ดอกบัวเป็นตัวแทนแห่งความดี เหมาะสมสำหรับองค์ราชินีพระองค์ใหม่เพคะ"
พระพันปีทรงพินิจพิจารณาชมสายสร้อยอันล่ำค่านี้ แล้วส่งคืนแก่นางข้าหลวง "ข้าขอชมแหวนแต่งงานหน่อย"
นางข้าหลวงเมื่อวางสายสร้อยนั้นลงในกล่องแล้ว ก็หยิบพระธำมรงค์ทองเหลืองประดับด้วยทับทิมสีชมพูแดงถวายแด่พระพันปี เมื่อพระธำมรงค์นั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระพันปีมันช่างสุกปลั่งยิ่งนัก เม็ดทับทิมสีแดงเมื่อต้องแสงก็ออกประกายแวววาวสีชมพูอ่อนหวาน พระพันปีแย้มพระโอษฐ์อย่างพึ่งพอพระทัย "แหวนแต่งงานวงนี้ช่างงามเสียเหลือเกิน"
"เม็ดทับทิมจากชมพูทวีปเพคะ"
"สมน้ำสมเนื้อเสียจริง ข้าขอชมทับทรวงหน่อย" พระพันปีมอบพระธำมรงค์คืนนางข้าหลวงเมื่อนางข้าหลวงเก็บพระธำมรงค์ยังกล่องแล้ว ทับทรวงก็ถูกส่งขึ้นมา ทับทรวงอันอลังการลวดลายปีกวิหคสวรรค์ประทับด้วยอัญมณีหลากสีสันแข่งกันระยิบระยับอย่างงดงามยามต้องแสงไฟ เสมือนว่าทับทรวงนั้นกำลังโบยบิน พระพันปีทรงรับทับทรวงนั้นมาก็ทรงตรวจความเรียบร้อยของรายละเอียด
"ช่างเครื่องประทับทำทับทรวงออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเสียเหลือเกิน ทับทรวงอันนี้เป็นหน้าเป็นตาสำหรับเจ้าสาวเพราะมันจะเป็นเครื่องประดับที่สำคัญประจำตัวนางไปตลอดชีวิตของนาง"
"อันลวดลายของทับทรวจเป็นลวดลายรูปปีกวิหคสวรรค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของปีกวิหคสวรรค์แห่งพระเทพีไอซิสใช่ไหมเพคะ"
"ใช่จ๊ะ ปีกวิหคสวรรค์นี้ ครั้งเมื่อพระเทพีไอซิสทรงเป็นพระราชินีแห่งอียิปต์นั้น องค์ฟาโรห์โอซิริสทรงถูกพระอนุชาอธรรมเทพเซ็ตลอบปลงพระชนม์แล้วทรงแล่พระศพของพระองค์เป็นชิ้นๆ แล้วทรงนำชิ้นพระศพนั้นไปทิ้งในที่ต่างๆ ด้วยความรักและความภักดีต่อพระสวามี เทพีไอซิสจึงทรงเนรมิตปีกวิหคสวรรค์ขึ้นเพื่อใช้ในการเดินทางค้นหาชิ้นส่วนพระศพของพระสวามีของพระองค์ เช่นนี้เครื่องประดับของราชินีทุกพระองค์จึงต้องเป็นลวดลายปีกวิหคสวรรค์ เพราะมันแสดงถึงความเป็นราชินีแห่งอาณาจักรอียิปต์ ถึงแม้อาณาจักรใดๆจะนิยามความเป็นราชินีทรงเพียงมงกุฎ เทริด พระมาลา หรือ เครื่องประดับศีรษะว่านั้นคือเครื่องแสดงความเป็นพระราชินี แต่ของเรานี้หาใช่เช่นนั้นไม่ ทับทรวงนี้ต่างหากที่แสดงถึงความเป็นราชินีแห่งอียิปต์" พระพันปีตรัสอย่างภาคภูมิพระทัย
พระพันปีทรงชมทับทรวงนี้อยู่นานพอสมควร แล้วจึงส่งคืนให้นางกำนัลเก็บไว้ตามเดิม พระพันปีทรงทอดพระเนตรไปโดยรอบ ข้าราชบริพารต่างแข็งขันจัดเตรียมงานจนจวบจะสำเร็จ จากนั้นพระพันปีจึงทรงเสด็จกลับพระตำหนัก
ฝ่ายองค์ฟาโรห์ทรงประทับอยู่บนระเบียบมุขโดยพระองค์ทรงกำลังทอดพระเนตรชมดวงดาวบนท้องฟ้า ซึ่งในพระหัตถ์ของพระองค์ทรงถือรองเท้าพลาสติกสีแดงของพรพิงค์ข้างนั้นไว้แน่น ดวงจันทร์ทรงกลมท่ามกลางหมู่ดวงดาว แต่แล้วใบหน้าของพรพิงค์ก็ปรากฏขึ้นในความนึกคิดของพระองค์ ภาพงานอภิเษกสมรสในวันพรุ่ง ภาพตอนที่ทรงนั่งเคียงคู่กันบนบัลลังก์ หรือบนพระแท่นบรรทม และแล้วตอนพระโอรสน้อยทรงกำเนิด องค์ฟาโรห์ทรงจินตนาการถึงอนาคตไปไกลมาก แต่แล้วก็ทรงละจากความนึกคิดตรงนั้นแล้วทรงเสด็จเข้าห้องพระบรรทม
เบื้องล่างในมุมมืดของพระตำหนัก เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่าทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางร่มเงาของต้นไม้ แอบมองการเตรียมงานอภิเษกสมรสที่จะมีในวันพรุ่งนี้ เจ้าหญิงผู้น่าสงสารเกิดความริษยาเล็กน้อยขึ้นในพระทัย
"งานนี้คงเป็นงานของเรา หากองค์ฟาโรห์ไม่แปรผัน แต่ก็ขอยินดีกับพระองค์ด้วยที่ทรงได้คู่ที่เหมาะสมเช่นพรพิงค์ หากข่าวที่ได้ยินมาเป็นจริงตามนั้น นางก็หาใช่คนธรรมดาสามัญไม่ นางอาจจะเป็นร่างอวตารแห่งเทพีพระองค์ใดพระองค์หนึ่งที่เหล่าทวยเทพส่งนางให้มาเป็นคู่บุญแห่งพระองค์...." เจ้าหญิงตรัสขึ้นกับพระองค์เอง แล้วทรงดำเนินจากไปท่ามกลางเสียงเจรจาของข้าราชบริพาร
"ว่าไปก็สงสารเจ้าหญิงพระคู่หมั้นเก่าขององค์ฟาโรห์เหมือนกันน่ะ พวกเธอว่าอย่างไร" นางกำนัลกล่าวกลุ่มพวกของนาง
"จะทำอย่างไรได้ก็องค์ฟาโรห์ทรงเลือกแม่หญิงพรพิงค์ และแถมนางมีเทพเจ้าเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่เสียด้วยซิ มีผู้คนมากมายที่เห็นในเหตุการณ์นั้น และข้าก็ได้ยินมาว่าเป็นเรื่องจริง และองค์ฟาโรห์กับพระพันปีก็ทรงประทับอยู่ที่นั้นในตอนนั้นด้วย" นางกำนัลอีกคนกล่าว
"หยุดๆ...หยุดกันได้แล้วสาวๆ พอเถิดกับเรื่องนินทาเจ้านายนี้ ชอบกันนัก...เดี๋ยวหากถูกจับได้คงโดนจับขังจนลืมหรือไม่ก็ถูกส่งเป็นไปอาหารจระเข้.....กันทุกนางแน่ๆ แยกย้ายกันไปทำงานเร็ว เดี๋ยวงานจะไม่เสร็จกันพอดี" นางกำนัลซึ่งดูทีท่าจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มกล่าวต่อว่า
"เจ้าค่ะ" เหล่านางกำนัลกล่าวพร้อมกันแล้วจึงแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง
เจ้าหญิงเมื่อทรงสดับเช่นนั้นแล้ว ด้วยความเข้มแข็งของพระองค์จึงทำให้พระองค์ไม่สะทบสะท้านอะไรต่อลมปากของเหล่านางกำนัล ว่าไปแล้วเจ้าหญิงช่างน่าสงสารยิ่งนัก ตอนนี้พระเกียรติแห่งความเป็นเจ้าหญิงนั้นไม่เหลืออีกแล้ว ในสังคมอารยธรรมโบราณที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้เรื่องการที่ขัตติยนารีชนชั้นสูงถูกปฎิเสธนั้นเป็นเรื่องของการสูญเสียพระเกียรติยศอย่างยิ่งนัก ตอนนี้เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่ากลายเป็นสตรีที่มีมลทินไปเสียแล้วสำหรับในสายตาของบุคคลรอบข้าง ถึงเจ้าหญิงกลายเป็นหญิงสาวผู้อาภัพแต่พระองค์ก็เป็นหญิงสาวที่แกร่งพอควร ไม่มีน้ำพระเนตรปรากฏอยู่บนพระพักตร์เลย เจ้าหญิงทรงดำเนินจนถึงพระตำหนัก นางกำนัลข้าหลวงจำนวนหนึ่งกำลังรอคอยการเสด็จมาของเจ้าหญิง
"เจ้าหญิงเพคะ ทรงมีเรื่องอันใดให้พวกเราช่วยเพคะ"
"คือว่า เราอยากให้พวกเจ้าช่วยเลือกชุดและเครื่องประดับสำหรับงานวันพรุ่งนี้หน่อยอ่ะจ๊ะ" เจ้าหญิงตรัสด้วยพระอาการเขิน
"ได้เพคะ พวกเรายินดี" นางกำนัลเริ่มค้นและเปิดหีบเครื่องประดับออกมาตรวจและเลือกดู
สายสร้อยหลายเส้น ต่างพระกรรณจำนวนนับไม่ถ้วน พระธำรงค์ และ ทับทรวงหลากหลายแบบถูกจัดวางบนโต๊ะหินอ่อน วางเรียงรายจนเต็ม ทุกชิ้นล้วนสวยงามและเลอค่านัก เจ้าหญิงทรงพินิจพิจารณาเครื่องประดับทีละชิ้นจนทรงเหน็ดเหนื่อย ต่างพระกรรณคู่แล้วคู่เล่า สายสร้อยเส้นแล้วเส้นเล่าก็ไม่ทรงถูกพระทัย จนในที่สุด สายสร้อยอัญมณีสีเขียวกับสีแดงประกอบเป็นลวดลายเถาดอกไม้ ต่างพระกรรณโกเมน ทับทรวงทองคำแต่เด่นด้วยอัญมณีเพชรซีกประดับเป็นลวดลายเรขาคณิต และเครื่องประทับพระเศียรเป็นเทริดทองคำลวดลายลวดเถาวัลย์แล้วมีพลอยหลากสีประดับไปตามลวดลายของเถาวัลย์ ส่วนพระภูษาสีเขียวอ่อนนุ่มนวล
"ข้าถูกใจมากเลย ขอบใจพวกเจ้ามากที่มาช่วยเราเลือก"
"เช่นนั้นพวกเราขอทูลลาเพคะ" เหล่านางกำนัลกล่าวเสร็จก็พากันออกจากพระตำหนัก
เจ้าหญิงทรงชื่นชมกับเครื่องอาภรณ์ที่ได้จัดเตรียม เจ้าหญิงทรงดับดวงประทีปลงเพื่อที่จะเข้าพระบรรทม เจ้าหญิงทรงเสด็จขึ้นบนพระแท่นบรรทม แล้วทรงบรรทมลง "พรุ่งนี้แล้วที่อียิปต์จะได้ราชินีพระองค์ใหม่" ความมืดเข้าปกคลุมหลังจากเจ้าหญิงทรงหลับพระเนตรลง
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
วิหารหลวงอันเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์สุริยเทพราห์ แสงสว่างของดวงประทีปนับพันดวงในวิหารแสงสว่างทำให้ภายในวิหารสว่างไสว ยามค่ำคืนนี้วิหารเงียบสงบไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงแต่พระราชครูพระองค์เดียวเท่านั้นที่คงนั่งจ้องมองเทวรูปองค์สุริยเทพราห์ แววตาของพระราชครูเต็มไปด้วยคำถามมากมายซึ่งมันอยู่เต็มอกของพระองค์ พระราชครูทรงระลึกถึงในอดีตครั้งที่องค์ฟาโรห์ทรงเป็นเจ้าชายองค์น้อยวิ่งเล่นอยู่ในพระวิหารแห่งนี้ ความน่ารักสดใสของพระองค์เป็นที่ตรึงใจของคนทั้งหลาย พระราชครูทรงเข้ามาแล้วอุ่นชูยุวกษัตริย์น้อยไว้แนบกาย
"ข้าจะภักดีต่อองค์ฟาโรห์ ข้ารักและสงสารองค์ฟาโรห์ของข้า ข้าควรยินดีกับการที่พระองค์จะทรงอภิเษกสมรส แต่ว่าเหตุไฉนจึงเป็นนางที่องค์สุริยเทพราห์ตรัสว่านางเป็นปีศาจร้าย แต่ คงคาเทพฮาปิกลับทรงประกาศว่านางคือเจ้าสาวที่เหล่าทวยเทพสนับสนุนและเลือกสรรว่านางเหมาะสมกับการเป็นพระราชินีแห่งอียิปต์ สรุปว่านางเป็นปีศาจจริงหรือไม่ องค์สุริยเทพราห์ พระเจ้าทรงเมตตาช่วยแก้ความสงสัยและความกังขาในข้อนี้ด้วยเถิด....พระองค์"
เปลวเพลิงซึ่งจุดขึ้นในคบเพลิงก็ลุกโชติช่วงขึ้น ภาพนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้แก่พระราชครู และแล้วเปลวเพลิงเหล่านั้นก็ดับลง ความมืดเข้าครอบงำวิหารหลวง ดวงประทีปพากันค่อยๆดับลงอย่างไร้แรงลมพัดผ่านเสมือนว่ามันหมดอายุของมันหรือไม่ก็ด้วยเชื้อเพลิงหมดลงเช่นนั้น และเสียงหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
"เจ้านักบวชผู้ภักดีต่อองค์สุริยเทพราห์ จงฟังข้า...." เสียงอันไร้ที่มาของเสียงกล่าวขึ้น
"ท่านคือใครกัน"
"ข้าคือเทวทูตแห่งองค์สุริยเทพราห์ ข้านำสารแห่งองค์สุริยเทพราห์มาแจ้งแก่เจ้า" พระราชครูนั่งในท่าคุกเข่า "องค์สุริยเทพราห์ทรงมีพระประสงค์ให้เจ้าสังหารพรพิงค์ นางผู้นี่เป็นภัยต่อพระราชบัลลังก์แห่งองค์ฟาโรห์"
"หากเป็นเช่นนั้นจริง และเหตุไฉนนางจึงได้รับการสนับสนุนจากเหล่าทวยเทพทั้งหลายในอียิปต์ และเหตุไฉนองค์สุริยเทพราห์พระเป็นเจ้าแห่งข้าจึงทรงตรัสแก่ข้าว่านางเป็นปีศาจร้ายที่จะทำร้ายองค์ฟาโรห์และอันความจริงนั้นคือไฉนกันแน่ช่วยตอบข้าที"
"สิ่งเหล่านั้นเจ้าจงอย่าได้ใส่ใจ เพียงเจ้าจงเชื่อฟังในองค์สุริยเทพราห์ที่เจ้าจงรักและภักดีเป็นพอ และสิ่งที่เจ้ารู้นั้นย่อมเป็นความสัจจริง มันเป็นพระประสงค์แห่งองค์สุริยเทพราห์แน่แท้"
"ข้าเริ่มสงสัยเสียแล้วซิ"
"เจ้าสงสัยอันใด"
"ข้าเกรงว่านี้มันจะมิได้เป็นพระประสงค์แห่งองค์สุริยเทพราห์จริง"
"เจ้ากล้าลบหลู่พระเป็นเจ้าสูงสุดเฉกเช่น องค์สุริยเทพราห์เช่นนั้นหรือ เจ้าไม่กลัวว่าเพลิงพระพิโรธแห่งพระองค์จะเผาผลาญร่างของเจ้านั้นหรือ"
"ข้ามิได้สงสัยในพระเป็นเจ้าของข้า แต่ข้าสงสัยว่าเทวทูตผู้นำสาส์นมานี้จะมิใช่ฝ่ายธรรมะเทพแห่งองค์สุริยเทพราห์เป็นแน่ เพราะหากเป็นฝ่ายธรรมะเทพจริงแล้วไซร้แสงสว่างแห่งดวงตะวันและแสงสว่างแห่งเปลวเพลิง และ ดวงประทีปอันศักดิ์สิทธิ์คงไม่ดับลงเพียงนี้ ท่านเป็นพระเป็นเจ้าแห่งด้านมืดใช่หรือไม่ และเหตุไฉนจึงต้องการกำจัดพรพิงค์ผู้นี้ด้วย"
"เจ้านักบวชเจ้าฉลาดมาก เจ้าช่างปราดเปรื่องมาก ดีแล้ว ข้าจะบอกความจริงให้ เจ้าจงดูร่างอันแท้จริงแห่งข้า"
ทันใดนั้นเงาดำมึนก็ปรากฏต่อเบื้องหน้าพระราชครู จากร่างใหญ่เสมอคานวิหารหลวงก็ลดลงเทียมเท่ามนุษย์ ดวงตาสีแดงดั่งเลือดก็ปรากฏในใบหน้าของร่างอันดำมืดนั้น
"อะไรกันนี้ พระองค์คือ...."
"ข้าคืออธรรมเทพเช็ต ตอนนี้ข้าเป็นข้ารับใช้แห่งองค์สุริยเทพราห์ และสิ่งที่ข้าบอกแก่เจ้านั้นคือพระโองการแห่งองค์สุริยเทพราห์จริง"
"ข้าไม่เชื่อหรอก ท่านเป็นเทพเจ้าจอมหลอกลวงและเลวร้าย แสดงว่าท่านหลอกข้าว่ามาโดยตลอดตั้งแต่ครั้งที่องค์ฟาโรห์เสด็จนมัสการวิฬารเทพีบาสท์ใช่หรือไม่ ที่แท้ท่านหลอกลวงข้ามาโดยตลอดใช่ไหม"
"ไม่...เจ้านักบวชอย่าได้เห็นข้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้ากลับตัวกลับใจเสียใหม่แล้ว เจ้าคงเคยได้ยินสำนวนที่ว่า โจรกลับใจใช่ไหม ข้ามีความประสงค์ดีต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่เราได้สืบทอดกันมาอย่างยาวนานซึ่งมีมานานโขแล้วตั้งแต่ยุคแห่งเทพนิยาย วายุเทพชูกับวสันต์เทพีเทฟนัทผู้เป็นพระอัยกาและพระอัยกีแห่งข้าก็ทรงเป็นพระเชษฐากับพระขนิษฐาร่วมอุทรเดียวกันและทรงอภิเษกสมรสกัน จนให้กำเนิดปฐพีเทพเก๊บและนภาเทพีนัทผู้เป็นพระบิดาและพระมารดาแห่งข้า และทั้งสองพระองค์ก็ทรงเป็นพระเชษฐากับพระขนิษฐาร่วมสายพระโลหิตจากพระบิดาและพระมารดาเดียวกัน ต่อมาก็พระเชษฐากับพระเชษฐภคนีแห่งข้าคือ ยมเทพโอซิริสและพระเทพีไอซิส และข้าเองก็อภิเษกสมรสกับพระขนิษฐาแห่งข้าคือ พระเทพีเนปทีส เจ้านักบวชเห็นไหม ว่าพงศ์กษัตริย์อียิปต์สืบทอดการอภิเษกสมรสกันร่วมสายเลือดเดียวกันมานานแล้ว ตั้งแต่เทพเจ้ายังสถิตบนพิภพ ข้าไม่เห็นด้วยกับพระพี่นางแห่งข้าหรอกนะที่จะทำลายกฎระเบียบที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน เจ้านักบวชข้ามีความประสงค์ดีจริงๆน่ะ จะบอกให้ " อธรรมเทพเช็ตกอดพระอุระของพระองค์
"ข้าว่า ความประสงค์ดีของพระองค์มันคงเป็นเพียงหน้ากากปกปิดความประสงค์ร้ายแห่งพระองค์ พระองค์มิอาจจะเป็นโจรกลับใจได้หรอก พระองค์เป็นตัวแทนแห่งความเลวร้ายอย่างไรพระองค์ก็ย่อมที่จะเป็นเช่นนั้นมิอาจจะเปลี่ยนแปลงมันได้หรอกพระองค์ และอีกอย่างการอภิเษกสมรสร่วมสายเลือดเดียวกันมันก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป....... พระองค์อย่าได้หลอกลวงข้าอีกเลย....."
"ข้าคงจะโกหกเจ้าไม่ได้เสียแล้ว แต่ก่อนที่ข้าจะบอกความจริงแก่เจ้า ข้าต้องทำให้เจ้าไม่สามารถที่จะบอกผู้ใดให้ล่วงรู้ความลับของข้าได้ไม่" อธรรมเทพเช็ตร่างเวทย์มนต์ดำและส่งรัศมีดำอำมหิตนั้นเข้าไปในล่องจมูกและปากของพระราชครู เมื่อพระราชครูสูบรัศมีดำนั้นแล้ว พระราชครูก็ไม่สามารถที่จะขยับร่างกายไปไหนได้อีก เสมือนว่าร่างกายกลายเป็นอัมพาตไปทั้งตัว มีสิ่งเดียวที่ขยับได้คือดวงตาเท่านั้น
"ตอนนี้ เจ้านักบวชก็ไม่สามารถบอกใครได้อีก เมื่อเจ้าอยากรู้ความจริงข้าก็จะบอกให้ องค์สุริยเทพราห์กับพระเทพีไอซิสได้แตกฝ่ายกันเสียแล้วด้วยฝีมือข้าเอง ข้าบอกไม่ให้องค์สุริยเทพราห์เชื่อพี่สาวของข้า พี่สาวของข้ารังเกลียดข้ามาก นางไม่ได้ต้องการให้สายเลือดของข้าปกครองอียิปต์ที่จริงแล้ว เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่านั้นมีสายเลือดของข้า ส่วนองค์ฟาโรห์นั้นมีสายเลือดแห่งโอรสสวรรค์โฮรัส หลานชายของข้าเอง สุดท้ายด้วยความเกลียดชังของนางจึงต้องนำนางมนุษย์พรพิงค์มาจากโลกแห่งอนาคตให้มาเป็นพระราชินีแห่งอียิปต์ แต่อีกไม่นานหรอก ข้าปล่อยให้พี่สาวของข้าดีใจไปก่อน ไม่นานพรพิงค์จะต้องถึงจุดจบ และเมื่อไม่มีนางแล้วลูกหลานข้าก็จะได้ขึ้นปกครองอียิปต์อีกครั้ง และอีกอย่างหนึ่งที่ข้ารอคอยหลังจากนี้คือ บัลลังก์แห่งองค์สุริยเทพราห์ เมื่อทั้งสองเทพเจ้าต่อกรกัน มหาสงครามสวรรค์ก็จะเกิดขึ้น เมื่อนั้นข้าจะใช้โอกาสอันนี้ผลักองค์สุริยเทพราห์นี้ออกไปจากบัลลังก์และข้านี้ก็จะขึ้นเป็นองค์สุริยเทพราห์พระองค์ใหม่......." อธรรมเทพเช็ตพระสรวลด้วยพระสุรเสียงอันดังลั่น พระราชครูทำอันใดมิได้ด้วยร่างกายมิอาจจะขยับได้ ได้แต่ร้องไห้ด้วยความกลัวและความโกรธแค้นในอธรรมเทพเช็ตที่จะชิงบัลลังก์แห่งองค์สุริยเทพราห์
"เดี๋ยวข้าลืมบอกเจ้าไปอีกอย่าง เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่าจักต้องได้เป็นพระราชินีแห่งอาณาจักรอียิปต์ เพราะนางสืบเชื้อสายมาจากข้าผู้เป็นเทพเจ้าต้นตระกูล....นางต้องได้เป็นราชินีเพื่อครอบครองบัลลังก์แห่งมนุษยโลก และข้าผู้เป็นบรรพบุรุษแห่งนางจะต้องได้ครอบครองบัลลังก์แห่งดวงตะวันอันและปกครองแดนสรวงสวรรค์....... ข้าต้องเป็นใหญ่ ลูกหลานของข้าก็ต้องเป็นใหญ่เช่นกัน"ความจริงเปิดเผยเช่นนี้แล้ว แต่กลับทำอะไรมิได้ พระราชครูผู้ทราบความจริงแล้วว่าอธรรมเทพเช็ตจะครอบครองจักรวาล และราชวงศ์เก่าอันสืบเชื้อสายมาจากอธรรมเทพเช็ต บัลลังก์แห่งองค์ฟาโรห์มิได้ปลอดภัยเสียแล้ว และภัยร้ายก็มาถึงพรพิงค์อนาคตราชินีแห่งอียิปต์เป็นแน่ จะไม่มีผู้ใดคุ้มครององค์ฟาโรห์อันเป็นที่รักและภักดียิ่งแห่งพระราชครูอีกแล้ว
อธรรมเทพเช็ตก้มพระเศียรลงมันยังร่างของพระราชครู"ขอให้เจ้านักบวชผู้ปราดเปรื่องจงหลับให้สบาย" อธรรมเทพเช็ตร่างเวทย์มนต์ไปยังร่างของพระราชครู เปลือกตาของท่านก็ค่อยๆปิดลงและเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา
อธรรมเทพเช็ตพระสรวลอีกครั้งแล้วร่างของพระองค์ก็สลายหายไป แสงสว่างในวิหารกลับมาอีกครั้ง ดวงประทีปที่ดับไปนั้นก็กลับมามีเปลวไฟอีกครั้ง คบเพลิงก็กลับมาโชติช่วงอีกตามเดิม ร่างของพระราชครูนอนหมดสติอยู่ในมุมหนึ่งของวิหาร แต่แล้วก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปงามเดินเข้ามาจากมุมหนึ่งของวิหาร เขาค่อยๆก้มตัวลงแล้วเอามือแตะที่ปลายจมูก
"พระราชครูยังหายใจอยู่น่ะ"
"แล้วเราจะช่วยอะไรพระราชครูได้อย่างไรบ้างเพคะพระองค์" เสียงของหญิงสาวปรากฏขึ้น
"ถ้าที่จริง เราก็ทราบถึงมหาสงครามเทพเจ้าที่จะอุบัติขึ้นในไม่ช้าว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่เรื่องความลับที่อธรรมเทพเช็ตนี้ซิที่ว่าจะชิงบัลลังก์แห่งดวงตะวันแล้วตั้งตนขึ้นเป็นองค์สุริยเทพพระองค์ใหม่"
หญิงสาวก็ปรากฏกายขึ้นแล้วมานั่งอยู่ใกล้ๆร่างของพระราชครู นางยกศีรษะของพระราชครูวางไว้บนตักแล้วนางก็ลูบที่ศีรษะของพระราชครูประดุจว่าเป็นมารดาเช่นนั้น
"เราต้องอยู่ในร่างของมนุษย์นี้จนกว่าจะเสร็จพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างองค์ฟาโรห์กับพรพิงค์เพื่อดูแลและพิทักษ์ให้พรพิงค์พ้นจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตามพระบัญชาแห่งพระเทพีไอซิส" ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล
"และพระองค์จะทรงรักษาพระราชครูหรือเพคะ"
"เราต้องรักษาแน่แต่ว่า การหายจากความเป็นอัมพาตของพระราชครูในตอนนี้อาจจะนำภัยมาสู่พระราชครูเป็นแน่ เช่นนั้นไม่สมควรที่จะรักษาพระราชครูในเวลานี้ แต่นี้ยังถือว่าเป็นความโชคดีที่อธรรมเทพเช็ตนั้นยังปราณีที่ไม่ได้ให้พระราชครูถึงแก่ความตาย เพียงแต่ให้กลายเป็นอัมพาตไปเท่านั้น"
"พระองค์ทรงจะให้พระราชครูอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปก่อนใช่ไหมเพคะ"
"ใช่แล้ว พระเทพี แต่เราควรจะปล่อยพระราชครูไว้ตรงนี้เพื่อให้นักบวชรูปอื่นมาเห็นแล้วนำไปดูแล และพระราชครูจะปลอดภัยหากยังคงอยู่ในสภาพที่เป็นอัมพาตเช่นนี้ เราจะกลับมาพยาบาลรักษาเขาอีกทีหลังจากการที่เราเปิดโปงแผนชั่วร้ายของอธรรมเทพเช็ตสำเร็จ จริงซิพระเทพี...."
"เพคะ พระองค์"
"เราควรนำเรื่องนี้ไปบอกแด่พระเทพีไอซิสเสียด้วย เพื่อให้พระเทพีเจ้าทรงทราบถึงสาเหตุที่องค์สุริยเทพราห์เป็นเช่นนี้เพราะเนื่องมาจากอธรรมเทพเช็ตเป็นผู้บ่งการอยู่เบื้องหลัง"
หญิงสาวค่อยๆวางศีรษะพระราชครูลงกับพื้นพระวิหารอย่างถะนุถนอม แล้วกลุ่มละอองเวทย์มนต์ก็หมุนวนรอบร่างของหนุ่มสาวนิรนามนี้และเขาทั้งสองก็หายไปอย่างไร้ร่องลอย เหลือเพียงร่างของพระราชครูเท่านั้น
เมื่อความลับและแผนการชั่วร้ายแห่งอธรรมเทพเช็ตเป็นที่รับทราบของเทพยดาบางพระองค์แล้ว จะมีผู้ใดยุติแผนอันเลวร้ายของอธรรมเทพเช็ตได้หรือไม่ และความสัมพันธ์อันดีงามแห่งองค์สุริยเทพราห์กับพระเทพีไอซิสจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะพระเทพีไอซิสทรงเป็นพระเทพีผู้พิทักษ์บัลลังก์แห่งดวงตะวัน และการที่อธรรมเทพเช็ตทำให้เทพเจ้าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นอริกันในคราวนี้เพื่อให้พระเทพีไอซิสเป็นปรปักษ์กับองค์สุริยเทพราห์เพื่อให้บัลลังก์แห่งดวงตะวันปราศจากผู้คุ้มครอง จึงเป็นช่องทางที่อธรรมเทพเช็ตจะสามารถครอบครองบัลลังก์แห่งดวงตะวันได้อย่างง่ายดาย
"ข้าจะภักดีต่อองค์ฟาโรห์ ข้ารักและสงสารองค์ฟาโรห์ของข้า ข้าควรยินดีกับการที่พระองค์จะทรงอภิเษกสมรส แต่ว่าเหตุไฉนจึงเป็นนางที่องค์สุริยเทพราห์ตรัสว่านางเป็นปีศาจร้าย แต่ คงคาเทพฮาปิกลับทรงประกาศว่านางคือเจ้าสาวที่เหล่าทวยเทพสนับสนุนและเลือกสรรว่านางเหมาะสมกับการเป็นพระราชินีแห่งอียิปต์ สรุปว่านางเป็นปีศาจจริงหรือไม่ องค์สุริยเทพราห์ พระเจ้าทรงเมตตาช่วยแก้ความสงสัยและความกังขาในข้อนี้ด้วยเถิด....พระองค์"
เปลวเพลิงซึ่งจุดขึ้นในคบเพลิงก็ลุกโชติช่วงขึ้น ภาพนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้แก่พระราชครู และแล้วเปลวเพลิงเหล่านั้นก็ดับลง ความมืดเข้าครอบงำวิหารหลวง ดวงประทีปพากันค่อยๆดับลงอย่างไร้แรงลมพัดผ่านเสมือนว่ามันหมดอายุของมันหรือไม่ก็ด้วยเชื้อเพลิงหมดลงเช่นนั้น และเสียงหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
"เจ้านักบวชผู้ภักดีต่อองค์สุริยเทพราห์ จงฟังข้า...." เสียงอันไร้ที่มาของเสียงกล่าวขึ้น
"ท่านคือใครกัน"
"ข้าคือเทวทูตแห่งองค์สุริยเทพราห์ ข้านำสารแห่งองค์สุริยเทพราห์มาแจ้งแก่เจ้า" พระราชครูนั่งในท่าคุกเข่า "องค์สุริยเทพราห์ทรงมีพระประสงค์ให้เจ้าสังหารพรพิงค์ นางผู้นี่เป็นภัยต่อพระราชบัลลังก์แห่งองค์ฟาโรห์"
"หากเป็นเช่นนั้นจริง และเหตุไฉนนางจึงได้รับการสนับสนุนจากเหล่าทวยเทพทั้งหลายในอียิปต์ และเหตุไฉนองค์สุริยเทพราห์พระเป็นเจ้าแห่งข้าจึงทรงตรัสแก่ข้าว่านางเป็นปีศาจร้ายที่จะทำร้ายองค์ฟาโรห์และอันความจริงนั้นคือไฉนกันแน่ช่วยตอบข้าที"
"สิ่งเหล่านั้นเจ้าจงอย่าได้ใส่ใจ เพียงเจ้าจงเชื่อฟังในองค์สุริยเทพราห์ที่เจ้าจงรักและภักดีเป็นพอ และสิ่งที่เจ้ารู้นั้นย่อมเป็นความสัจจริง มันเป็นพระประสงค์แห่งองค์สุริยเทพราห์แน่แท้"
"ข้าเริ่มสงสัยเสียแล้วซิ"
"เจ้าสงสัยอันใด"
"ข้าเกรงว่านี้มันจะมิได้เป็นพระประสงค์แห่งองค์สุริยเทพราห์จริง"
"เจ้ากล้าลบหลู่พระเป็นเจ้าสูงสุดเฉกเช่น องค์สุริยเทพราห์เช่นนั้นหรือ เจ้าไม่กลัวว่าเพลิงพระพิโรธแห่งพระองค์จะเผาผลาญร่างของเจ้านั้นหรือ"
"ข้ามิได้สงสัยในพระเป็นเจ้าของข้า แต่ข้าสงสัยว่าเทวทูตผู้นำสาส์นมานี้จะมิใช่ฝ่ายธรรมะเทพแห่งองค์สุริยเทพราห์เป็นแน่ เพราะหากเป็นฝ่ายธรรมะเทพจริงแล้วไซร้แสงสว่างแห่งดวงตะวันและแสงสว่างแห่งเปลวเพลิง และ ดวงประทีปอันศักดิ์สิทธิ์คงไม่ดับลงเพียงนี้ ท่านเป็นพระเป็นเจ้าแห่งด้านมืดใช่หรือไม่ และเหตุไฉนจึงต้องการกำจัดพรพิงค์ผู้นี้ด้วย"
"เจ้านักบวชเจ้าฉลาดมาก เจ้าช่างปราดเปรื่องมาก ดีแล้ว ข้าจะบอกความจริงให้ เจ้าจงดูร่างอันแท้จริงแห่งข้า"
ทันใดนั้นเงาดำมึนก็ปรากฏต่อเบื้องหน้าพระราชครู จากร่างใหญ่เสมอคานวิหารหลวงก็ลดลงเทียมเท่ามนุษย์ ดวงตาสีแดงดั่งเลือดก็ปรากฏในใบหน้าของร่างอันดำมืดนั้น
"อะไรกันนี้ พระองค์คือ...."
"ข้าคืออธรรมเทพเช็ต ตอนนี้ข้าเป็นข้ารับใช้แห่งองค์สุริยเทพราห์ และสิ่งที่ข้าบอกแก่เจ้านั้นคือพระโองการแห่งองค์สุริยเทพราห์จริง"
"ข้าไม่เชื่อหรอก ท่านเป็นเทพเจ้าจอมหลอกลวงและเลวร้าย แสดงว่าท่านหลอกข้าว่ามาโดยตลอดตั้งแต่ครั้งที่องค์ฟาโรห์เสด็จนมัสการวิฬารเทพีบาสท์ใช่หรือไม่ ที่แท้ท่านหลอกลวงข้ามาโดยตลอดใช่ไหม"
"ไม่...เจ้านักบวชอย่าได้เห็นข้าเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ข้ากลับตัวกลับใจเสียใหม่แล้ว เจ้าคงเคยได้ยินสำนวนที่ว่า โจรกลับใจใช่ไหม ข้ามีความประสงค์ดีต่อขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามที่เราได้สืบทอดกันมาอย่างยาวนานซึ่งมีมานานโขแล้วตั้งแต่ยุคแห่งเทพนิยาย วายุเทพชูกับวสันต์เทพีเทฟนัทผู้เป็นพระอัยกาและพระอัยกีแห่งข้าก็ทรงเป็นพระเชษฐากับพระขนิษฐาร่วมอุทรเดียวกันและทรงอภิเษกสมรสกัน จนให้กำเนิดปฐพีเทพเก๊บและนภาเทพีนัทผู้เป็นพระบิดาและพระมารดาแห่งข้า และทั้งสองพระองค์ก็ทรงเป็นพระเชษฐากับพระขนิษฐาร่วมสายพระโลหิตจากพระบิดาและพระมารดาเดียวกัน ต่อมาก็พระเชษฐากับพระเชษฐภคนีแห่งข้าคือ ยมเทพโอซิริสและพระเทพีไอซิส และข้าเองก็อภิเษกสมรสกับพระขนิษฐาแห่งข้าคือ พระเทพีเนปทีส เจ้านักบวชเห็นไหม ว่าพงศ์กษัตริย์อียิปต์สืบทอดการอภิเษกสมรสกันร่วมสายเลือดเดียวกันมานานแล้ว ตั้งแต่เทพเจ้ายังสถิตบนพิภพ ข้าไม่เห็นด้วยกับพระพี่นางแห่งข้าหรอกนะที่จะทำลายกฎระเบียบที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน เจ้านักบวชข้ามีความประสงค์ดีจริงๆน่ะ จะบอกให้ " อธรรมเทพเช็ตกอดพระอุระของพระองค์
"ข้าว่า ความประสงค์ดีของพระองค์มันคงเป็นเพียงหน้ากากปกปิดความประสงค์ร้ายแห่งพระองค์ พระองค์มิอาจจะเป็นโจรกลับใจได้หรอก พระองค์เป็นตัวแทนแห่งความเลวร้ายอย่างไรพระองค์ก็ย่อมที่จะเป็นเช่นนั้นมิอาจจะเปลี่ยนแปลงมันได้หรอกพระองค์ และอีกอย่างการอภิเษกสมรสร่วมสายเลือดเดียวกันมันก็ใช่ว่าจะดีเสมอไป....... พระองค์อย่าได้หลอกลวงข้าอีกเลย....."
"ข้าคงจะโกหกเจ้าไม่ได้เสียแล้ว แต่ก่อนที่ข้าจะบอกความจริงแก่เจ้า ข้าต้องทำให้เจ้าไม่สามารถที่จะบอกผู้ใดให้ล่วงรู้ความลับของข้าได้ไม่" อธรรมเทพเช็ตร่างเวทย์มนต์ดำและส่งรัศมีดำอำมหิตนั้นเข้าไปในล่องจมูกและปากของพระราชครู เมื่อพระราชครูสูบรัศมีดำนั้นแล้ว พระราชครูก็ไม่สามารถที่จะขยับร่างกายไปไหนได้อีก เสมือนว่าร่างกายกลายเป็นอัมพาตไปทั้งตัว มีสิ่งเดียวที่ขยับได้คือดวงตาเท่านั้น
"ตอนนี้ เจ้านักบวชก็ไม่สามารถบอกใครได้อีก เมื่อเจ้าอยากรู้ความจริงข้าก็จะบอกให้ องค์สุริยเทพราห์กับพระเทพีไอซิสได้แตกฝ่ายกันเสียแล้วด้วยฝีมือข้าเอง ข้าบอกไม่ให้องค์สุริยเทพราห์เชื่อพี่สาวของข้า พี่สาวของข้ารังเกลียดข้ามาก นางไม่ได้ต้องการให้สายเลือดของข้าปกครองอียิปต์ที่จริงแล้ว เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่านั้นมีสายเลือดของข้า ส่วนองค์ฟาโรห์นั้นมีสายเลือดแห่งโอรสสวรรค์โฮรัส หลานชายของข้าเอง สุดท้ายด้วยความเกลียดชังของนางจึงต้องนำนางมนุษย์พรพิงค์มาจากโลกแห่งอนาคตให้มาเป็นพระราชินีแห่งอียิปต์ แต่อีกไม่นานหรอก ข้าปล่อยให้พี่สาวของข้าดีใจไปก่อน ไม่นานพรพิงค์จะต้องถึงจุดจบ และเมื่อไม่มีนางแล้วลูกหลานข้าก็จะได้ขึ้นปกครองอียิปต์อีกครั้ง และอีกอย่างหนึ่งที่ข้ารอคอยหลังจากนี้คือ บัลลังก์แห่งองค์สุริยเทพราห์ เมื่อทั้งสองเทพเจ้าต่อกรกัน มหาสงครามสวรรค์ก็จะเกิดขึ้น เมื่อนั้นข้าจะใช้โอกาสอันนี้ผลักองค์สุริยเทพราห์นี้ออกไปจากบัลลังก์และข้านี้ก็จะขึ้นเป็นองค์สุริยเทพราห์พระองค์ใหม่......." อธรรมเทพเช็ตพระสรวลด้วยพระสุรเสียงอันดังลั่น พระราชครูทำอันใดมิได้ด้วยร่างกายมิอาจจะขยับได้ ได้แต่ร้องไห้ด้วยความกลัวและความโกรธแค้นในอธรรมเทพเช็ตที่จะชิงบัลลังก์แห่งองค์สุริยเทพราห์
"เดี๋ยวข้าลืมบอกเจ้าไปอีกอย่าง เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์เก่าจักต้องได้เป็นพระราชินีแห่งอาณาจักรอียิปต์ เพราะนางสืบเชื้อสายมาจากข้าผู้เป็นเทพเจ้าต้นตระกูล....นางต้องได้เป็นราชินีเพื่อครอบครองบัลลังก์แห่งมนุษยโลก และข้าผู้เป็นบรรพบุรุษแห่งนางจะต้องได้ครอบครองบัลลังก์แห่งดวงตะวันอันและปกครองแดนสรวงสวรรค์....... ข้าต้องเป็นใหญ่ ลูกหลานของข้าก็ต้องเป็นใหญ่เช่นกัน"ความจริงเปิดเผยเช่นนี้แล้ว แต่กลับทำอะไรมิได้ พระราชครูผู้ทราบความจริงแล้วว่าอธรรมเทพเช็ตจะครอบครองจักรวาล และราชวงศ์เก่าอันสืบเชื้อสายมาจากอธรรมเทพเช็ต บัลลังก์แห่งองค์ฟาโรห์มิได้ปลอดภัยเสียแล้ว และภัยร้ายก็มาถึงพรพิงค์อนาคตราชินีแห่งอียิปต์เป็นแน่ จะไม่มีผู้ใดคุ้มครององค์ฟาโรห์อันเป็นที่รักและภักดียิ่งแห่งพระราชครูอีกแล้ว
อธรรมเทพเช็ตก้มพระเศียรลงมันยังร่างของพระราชครู"ขอให้เจ้านักบวชผู้ปราดเปรื่องจงหลับให้สบาย" อธรรมเทพเช็ตร่างเวทย์มนต์ไปยังร่างของพระราชครู เปลือกตาของท่านก็ค่อยๆปิดลงและเข้าสู่ห้วงแห่งนิทรา
อธรรมเทพเช็ตพระสรวลอีกครั้งแล้วร่างของพระองค์ก็สลายหายไป แสงสว่างในวิหารกลับมาอีกครั้ง ดวงประทีปที่ดับไปนั้นก็กลับมามีเปลวไฟอีกครั้ง คบเพลิงก็กลับมาโชติช่วงอีกตามเดิม ร่างของพระราชครูนอนหมดสติอยู่ในมุมหนึ่งของวิหาร แต่แล้วก็ปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปงามเดินเข้ามาจากมุมหนึ่งของวิหาร เขาค่อยๆก้มตัวลงแล้วเอามือแตะที่ปลายจมูก
"พระราชครูยังหายใจอยู่น่ะ"
"แล้วเราจะช่วยอะไรพระราชครูได้อย่างไรบ้างเพคะพระองค์" เสียงของหญิงสาวปรากฏขึ้น
"ถ้าที่จริง เราก็ทราบถึงมหาสงครามเทพเจ้าที่จะอุบัติขึ้นในไม่ช้าว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ๆ แต่เรื่องความลับที่อธรรมเทพเช็ตนี้ซิที่ว่าจะชิงบัลลังก์แห่งดวงตะวันแล้วตั้งตนขึ้นเป็นองค์สุริยเทพพระองค์ใหม่"
หญิงสาวก็ปรากฏกายขึ้นแล้วมานั่งอยู่ใกล้ๆร่างของพระราชครู นางยกศีรษะของพระราชครูวางไว้บนตักแล้วนางก็ลูบที่ศีรษะของพระราชครูประดุจว่าเป็นมารดาเช่นนั้น
"เราต้องอยู่ในร่างของมนุษย์นี้จนกว่าจะเสร็จพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างองค์ฟาโรห์กับพรพิงค์เพื่อดูแลและพิทักษ์ให้พรพิงค์พ้นจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตามพระบัญชาแห่งพระเทพีไอซิส" ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล
"และพระองค์จะทรงรักษาพระราชครูหรือเพคะ"
"เราต้องรักษาแน่แต่ว่า การหายจากความเป็นอัมพาตของพระราชครูในตอนนี้อาจจะนำภัยมาสู่พระราชครูเป็นแน่ เช่นนั้นไม่สมควรที่จะรักษาพระราชครูในเวลานี้ แต่นี้ยังถือว่าเป็นความโชคดีที่อธรรมเทพเช็ตนั้นยังปราณีที่ไม่ได้ให้พระราชครูถึงแก่ความตาย เพียงแต่ให้กลายเป็นอัมพาตไปเท่านั้น"
"พระองค์ทรงจะให้พระราชครูอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปก่อนใช่ไหมเพคะ"
"ใช่แล้ว พระเทพี แต่เราควรจะปล่อยพระราชครูไว้ตรงนี้เพื่อให้นักบวชรูปอื่นมาเห็นแล้วนำไปดูแล และพระราชครูจะปลอดภัยหากยังคงอยู่ในสภาพที่เป็นอัมพาตเช่นนี้ เราจะกลับมาพยาบาลรักษาเขาอีกทีหลังจากการที่เราเปิดโปงแผนชั่วร้ายของอธรรมเทพเช็ตสำเร็จ จริงซิพระเทพี...."
"เพคะ พระองค์"
"เราควรนำเรื่องนี้ไปบอกแด่พระเทพีไอซิสเสียด้วย เพื่อให้พระเทพีเจ้าทรงทราบถึงสาเหตุที่องค์สุริยเทพราห์เป็นเช่นนี้เพราะเนื่องมาจากอธรรมเทพเช็ตเป็นผู้บ่งการอยู่เบื้องหลัง"
หญิงสาวค่อยๆวางศีรษะพระราชครูลงกับพื้นพระวิหารอย่างถะนุถนอม แล้วกลุ่มละอองเวทย์มนต์ก็หมุนวนรอบร่างของหนุ่มสาวนิรนามนี้และเขาทั้งสองก็หายไปอย่างไร้ร่องลอย เหลือเพียงร่างของพระราชครูเท่านั้น
เมื่อความลับและแผนการชั่วร้ายแห่งอธรรมเทพเช็ตเป็นที่รับทราบของเทพยดาบางพระองค์แล้ว จะมีผู้ใดยุติแผนอันเลวร้ายของอธรรมเทพเช็ตได้หรือไม่ และความสัมพันธ์อันดีงามแห่งองค์สุริยเทพราห์กับพระเทพีไอซิสจะกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะพระเทพีไอซิสทรงเป็นพระเทพีผู้พิทักษ์บัลลังก์แห่งดวงตะวัน และการที่อธรรมเทพเช็ตทำให้เทพเจ้าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นอริกันในคราวนี้เพื่อให้พระเทพีไอซิสเป็นปรปักษ์กับองค์สุริยเทพราห์เพื่อให้บัลลังก์แห่งดวงตะวันปราศจากผู้คุ้มครอง จึงเป็นช่องทางที่อธรรมเทพเช็ตจะสามารถครอบครองบัลลังก์แห่งดวงตะวันได้อย่างง่ายดาย
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น